
งานสมโภชน์วัดภูเขาทองจัดขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาเจ็ดวันเจ็ดคืน ผู้คนจากหัวเมืองต่างๆทั่วสารทิศไม่ว่าจะจากหัวเมืองเหนือทางล้านนา ล้านช้างถึงกับนั่งช้างนั่งเกวียนกันมาเป็นเวลาแรมเดือน เพื่อมางานนี้
หัวเมืองปักษ์ใต้เองจากนครศรีธรรมราช สงขลาก็มา ผมเดินอยู่ในงานก็มักจะได้ยินผู้คนหลายภาษาหลายสำเนียง ฝรั่งหัวทองก็มาก ที่แต่งตัวใส่สูทผูกหูกระต่ายมือถือซิกกาแรตตามสมัยนิยม
ฝรั่งจากโปรตุเกตุนั้นดูจะเป็นมิตรกว่าชาวฝรั่งจากฝรั่งเศสที่ดูวางท่า แต่ในเรื่องเจ้ายศเจ้าอย่าง ต้องยกให้ฝรั่งจากอังกฤษ ในขณะที่ฝรั่งจากอเมริกันนั้นกลับเข้ากันได้ดีกับชาวสยาม ผมมักเห็นฝรั่งรับจ้างพวกนี้นั่งก๊งเหล้ากับคนไทยอยู่เนืองๆ
ทุกครั้งที่ผมกลับมาจากงาน ผมก็จะพบกับสายตาคู่หนึ่งที่มองลอดผ่านระเบียงบ้านลงมา ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าสายตาจับผิดคู่นั้นเป็นของใคร
“ว่าไงหมอ” ผมจะร้องทักทุกครั้งที่กลับบ้านมาและพบว่ามันนั่งอ่านหนังสืออยู่ศาลาริมระเบียง แต่ไร้ซึ่งคำพูดใดๆ หมอนั่นมองผมแว๊บเดียว ก่อนจะปิดหนังสือ และเดินถือตะเกียงหายเข้าห้องตัวเองไป
เป็นอย่างนี้ทุกวัน
ตลอดระยะเวลางานสมโภชน์นั้น ทุกวันคือการผจญภัย ทุกค่ำคืนผมจะได้เห็น ได้เรียนรู้วิถีชีวิตบรรพบุรุษเราเพิ่มมากขึ้นและผูกพันธ์กับมันมากขึ้นเรื่อยๆ
ที่นี่ผมรู้สึกว่าเราใช้หัวใจในการดำเนินชีวิต เรารู้จักกันอย่างลึกซึ้ง เรากินและรู้ที่มาที่ไปอย่างลึกซึ้ง เราเข้าวัดเราก็รู้อย่างลึกซึ้งว่าเราเข้าไปเพื่อสิ่งใด ผมว่าความลึกซึ้งนี่มันจะลดน้อยถอยลงตามกาลเวลาแหละมั้ง
จากอดีตจนถึงปัจจุบันในยุคของผม ที่ผู้คนเริ่มฉาบฉวยกันมากขึ้น ในยุคผม เรารู้จักกันแบบฉาบฉวย เราเลือกที่จะคบกับคนที่มีประโยชน์กับเรา เรากินอะไรก็กินส่งๆ เรารับวัฒนธรรมจากที่ใดก็รับมาแบบทื่อๆ การใช้ชีวิตด้วยหัวใจเริ่มน้อยลงในขณะที่ใช้สมองคิดมากขึ้น
งานสมโภชน์ดำเนินต่อมาจนก้าวเข้าสู่วันสุดท้าย ซึ่งตรงกับวันลอยกระทงก่อนหน้านั้นผมมักจะออกไปงานพร้อมกันกับสน และกลับมาก่อนมันเสมอ เพราะมันต้องช่วยแม่เก็บร้าน มีเพียงวันหลังๆเท่านั้นที่ผมไปเอง และทุกครั้งที่ผมกลับมาผมก็จะไม่ลืมหิ้วของเล็กๆน้อยๆที่ซื้อมาจากเงินที่หามาด้วยน้ำพักน้ำแรงมาฝากเจ้าแดงมัน มันจะทำหน้าดีใจทุกครั้งที่เห็นผม
ดวงตาที่สลึมสะลือจะเบิกกว้างเมื่อเห็นผม ผมจำแววตาเดียงสาคู่นั้นได้ขึ้นใจ มันเป็นเหมือนสิ่งเดียวที่ทำให้ผมรู้ว่าแดงยังคงมีความหวัง
คืนวันนี้ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของงานผมอาบน้ำแต่งตัวปราณีตเป็นพิเศษ เพราะเป็นคืนสุดท้ายและเป็นคืนที่ใหญ่ที่สุด
มีประเพณีลอยกระทงและห่มพระเจดีย์ด้วย เสื้อผ้าที่สนหามาให้นั้นดูดีทีเดียว ผมจับชายเสื้อยัดใส่กางเกง ก่อนจะเอามือลูบเสื้อให้เรียบ
จากนั้นจึงใช้แป้งร่ำที่อ่ำมันบดเอาไว้ให้ในผอบมาตบที่คอและที่หน้า หยิบหวีไม้ขึ้นมาสางผม การหวีผมตั้งชี้โด่ชี้เด่สำหรับที่นี่เป็นอะไรที่เสร่อมากกกกกกกกกกกกกก
เขาว่างั้นนะ
ผมจึงเลิกที่จะหวีแบบที่ชาวบ้านที่นี่เขาหวีกันนั่นคือ แสกกลาง
เมื่อผมจัดแจงแต่งองค์ทรงเครื่องเรียบร้อยแล้วก็ถึงเวลาออกไปรอสนที่ชายกระไดหน้าบ้าน คืนนี้พระจันทร์เต็มดวงส่องแสงสาดจ้าไปทั่วบริเวณราวกับกลางวัน หมู่ดาวน้อยใหญ่ต่างหลบลี้หนีหายไม่กล้าสู้แสงนวลผ่องของพระจันทร์ในคืนนี้
ชาวบ้านที่นี่เขาเชื่อว่าวันพระจันทร์เต็มดวงในวันลอยกระทงนั้นเป็นวันดี เขาจะมีพิธีกรรมอย่างหนึ่งที่เรียกว่า “พิธีอาบแสงจันทร์” นังอ่ำเล่าให้ผมฟังว่าพวกเขาเชื่อกันว่าในวันที่พระจันทร์เต็มดวงวันนี้ พระจันทร์จะมีอำนาจและมีพลังในด้านคุณเสน่ห์และรักษาโรคภัย ชาวบ้านจะตักน้ำใส่อ่างแล้วตั้งไว้ในลานโล่งๆเพื่อให้รับแสงจันทร์ก่อนจะตักมาอาบน้ำรดหัว บางคนพิเรนทร์กว่านั้นโดยเลือกที่จะนุ่งน้อยหุ่มน้อย หรือแก้ผ้าเลยก็มี นอนแผ่หรากับพื้นหญ้ารับแสงจันทร์ราวกับกำลังอาบแดดยังไงยังงั้น
พวกเขาเชื่อกันว่าสตรีผู้ใดที่อาบน้ำจากแสงจันทร์ หรืออาบแสงจันทร์โดยตรงจะมีเสน่ห์ใครเห็นใครรัก สำหรับผู้ชายก็จะทำให้มีวิชาอาคมแก่กล้าขึ้น ใครที่เจ็บป่วยอาการเหล่านั้นก็จะทุเลาหายไป
สำหรับผมนั้นไม่ค่อยเชื่อเรื่องอะไรพวกนี้เท่าไหร่หรอก
แต่ก็นะแหม
ไหนๆก็ออกมายืนตากน้ำค้างรอเจ้าสนมันทั้งที จะลองดูสักหน่อยก็ไม่เสียหายอะไรนี่นา
“ทำอันใดของเจ้า เจ้าบ้า” เสียงนายสนทักทำเอาผมสะดุ้ง
“อ่อ ป่าว เอ่อเราแค่ เอ่อ แหงนหน้ามองพระจันทร์ไง มันสวยดี” ปล่าวหรอกจริงๆตอนนั้นตั้งใจจะอาบแสงจันทร์กับเขาด้วย เผื่อจะได้มีเสน่ห์กับเขามั่งอะไรมั่ง
สนยิ้ม
“ไปกันรึยีงหล่ะ ยุงกัดจะแย่แล้ว” ผมถามแก้เขิน
“ไปสิ คืนนี้นะเจ้าบ้า คุ้งน้ำจะสว่างไสวไปด้วยแสงไฟจากเทียนในกระทง เจ้าจักคิดเลยว่าที่นี่สวรรค์หรือโลกมนุษย์กันแน่”
สนทำท่าเวิ่นเว้อ
“ขนาดนั้นเชียว” ผมแซว
เราทั้งคู่เตรียมตัวหยิบของติดมือมา ผมถือตะเกียง ส่วนสนนั้นถือไม้ตะพดไว้ในมือ มันบอกว่าเอาไว้ตีงู
ส่วนกระทงนั้นแม่ของสนได้เตรียมเอาไว้ให้เราแล้ว
ผมเดินตามหลังสนที่นุ่งแค่ผ้าจูงกระเบนและเสื้อจีนสีขาว เรากำลังจะเดินผ่านหน้าเรือน ทันใดนั้นเองเสียงเรียกชื่อสนก็ดังขึ้นจากด้านหลัง
“อ้ายสน” เราทั้งคู่หยุดหันหลังไปมอง
“หมอปีย์” ผมคิดในใจเอาละซิ จู่ๆจะมาห้ามอะไรผมอีก
“ขอรับคุณหลวง” สนรีบวิ่งงุดๆไปหาหมอปีย์ที่วันนี้มันแต่งตัวไม่เหมือนกับจะไปนอนเลย
ทั้งคู่พูดคุยกับอยู่ครู่ใหญ่ ผมยืนรอยุงกัดยุบยิบไปหมด แล้วสนก็วิ่งหายไปทางบ้านคุณชื่น ก่อนที่หมอนั่นจะเดินตรงมาหาผม
“ชั้นขอไปด้วยนะเจ้าบ้า หวังว่าเจ้าจะมิขัดข้อง” มันยิ้มมีพิรุธ รอยยิ้มแบบนี้คงจะละลายใจสาวน้อยสาวใหญ่ แต่ใช้ไม่ได้กับผมหรอก
“ก็ไปดิ งานวัดไม่ใช่งานชั้นซะหน่อย” ผมตอบ
“เราคงมิไปขัดจังหวะความสุขของเจ้าดอกนะ”
“ถ้าชั้นจะบอกว่าใช่หล่ะ” ผมตอบตามความคิดตอนนั้นจริงๆ เพราะถ้าหมอนั่นไปด้วยงานนี้มีแต่กร่อยกับกร่อย
“เราก็จักไป”
อ้าว ไอ้นี่ แล้วจะมาถามกูหาตะบวยทำไม
“แล้วมาถามกูทำไม บ้ารึป่าว” คำพูดออกมาพร้อมๆกับความคิด
ผมกับมันยืนแน่นิ่งกันอยู่ตรงนั้นก็ไม่รู้เหมือนกันว่ารออะไร รู้แต่ว่าผมรอสน ที่ตอนนี้หายไปไหนไม่รู้
“เจ้าคงเกลียดเรามากสินะ” จู่ๆหมอปีย์ก็ถามคำถามนี้ขึ้นมาอีก
แต่ผมไม่ตอบก้มหน้านิ่ง
“เราก็เกลียดตัวเองเหมือนกัน.................................................................”
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
ผมกับหมอนั่นยืนนิ่งไม่มีใครพูดอะไรหลังจากคำพูดคำนั้นของหมอปีย์ ผมไม่เข้าใจหรอกว่ามันหมายถึงอะไร
“เราก็เกลียดตัวเองเหมือนกัน”
หมายความว่ายังไง ทำไมมันต้องเกลียดตัวเองด้วย เกลียดตัวเองที่เจ้าอารมณ์ เกลียดตัวเองที่อารมณ์สวิงค์ เกลียดตัวเองที่เป็นคนอมทุกข์.............เหรอ
“งั้นก็สมควรแหละ” ผมคิดเอาเองในใจ
แสงจันทร์สาดส่องมาที่มัน ผมเงยหน้าไปมองใบหน้าและแววตาที่ฉายแววเศร้าอยู่ในทีก่อนจะหลบตามัน หมู่นี้ดูมันเศร้าลงไม่เหมือนเมื่อก่อน ผมยังจำหมอปีย์วันที่วิ่งหนีพวกโจรอั่งยี่มาด้วยกันได้ วันนั้นมันดูเป็นผู้ชายที่เข้าถึงได้ง่าย น่าคบและดูเป็นมิตรมากกว่านี้ ผมต้องการหมอปีย์คนนั้นมากกว่าหมอปีย์คนที่ดูซับซ้อนทางอารมณ์ และคล้ายพายุที่คาดเดาไม่ได้แบบนี้
“เมื่อไหร่ สนจะมาวะ” ผมคิดในใจเพราะเริ่มอึดอัดกับบรรยากาศแบบนี้เต็มทน
เสียงกลองดังตึกๆแว่วมาแต่ไกล เสียงปี่ชวาคลอเบาๆมาตามลม ผมว่างานตอนนี้คงเริ่มคึกคักขึ้นมากแล้ว ไม่น่าเชื่อว่างานที่ผมคิดว่าจะน่าเบื่อเพราะไม่มีแสงสีแสงตระการตาแบบสมัยผม ไม่มีรถไต่ถัง ไม่มีสาวน้อยตกน้ำ ไม่มีเมียงู ไม่มีโคโยตี้ จะกลับน่าหลงใหลและมีมนต์เสน่ห์มากถึงเพียงนี้
“หนาวรึ” หมอนั่นถามทำลายบรรยากาศเงียบเชียบที่กำลังจะฆ่าเราตอนนี้
“ปล่าว”
“แล้วทำไมถึงสั่น”
“สั่นที่ไหน ยุงกัดตะหาก”
“ทำไมไม่เห็นกัดเรา”
“มันคงเลือกกัดคนดีๆละมั้ง”
“นี่เจ้าหมายว่าเราบ้ากระนั้นรึ”
“ม่ายรุ แล้วแต่จะคิด”
“เจ้านี่ ปากดีไม่เปลี่ยนทีเดียว”
“ชั้นน่ะเป็นยังไงก็เป็นยังงั้นไม่เคยเปลี่ยน ไม่เหมือนคนบางคนหรอก”
“คนบางคนที่เจ้าว่า เขาอาจมีเหตุผลที่ต้องเปลี่ยนไปก็ได้”
“ไม่มีเหตุผลอะไรที่ทำให้คนทิ้งตัวตนของตัวเองได้หรอก”
“มีสิ”
“อะไร”
“เราบอกว่ามีก็แล้วกัน”
“ก็อะไรหล่ะวะ!!!”
“ความรักไง..............................................”
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
เหมือนหูฝาด เหมือนฟาดเหล้าขาวไปกลมใหญ่ๆ นี่ผมไม่ได้หูเพี้ยนไปใช่มั๊ย หมอนั่นกำลังจะบอกว่าที่มันเปลี่ยนไปเพราะมันมีความรักอย่างนั้นเหรอ
หมอโรคจิตนั่นน่ะนะจะมีความรัก
มันจะไปมีกับใคร
ใครที่ไหน
ใครคือคนโชคร้ายคนนั้น
ใคร
“คุณหลวงขอรับ แม่คำแก้วมาแล้วขอรับ”
เสียงสนดังขึ้นมา จากทางรั้วบ้านคุณชั้น ผมหันไปมอง และพบกับหญิงสาวที่แต่งตัวสวยงามด้วยเครื่องแต่งตัวแบบชาวเหนือ ผ้าซิ่นทอสีทองอร่าม กับเสื้อลูกไม้สีขาว พร้อมกับปิ่นปักผมสีเงินที่วูบวาบเมื่อต้องเสียงจันทร์
“หรือจะเป็น............เธอคนนั้นที่ทำให้หมอนั่น....................เปลี่ยนไป!!!!!”