ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ
สรุปข้อสำคัญดังนี้
1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความที่ไม่เหมาะสมและเกิดความขัดแย้ง
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ
ผมมีนิยายเรื่องนึงอยากให้เพื่อนๆและพี่ๆๆอ่านที่นี่ครับและผมก็ได้ขออนุญาตพี่เอ้เจ้าของเรื่องเรียบร้อยแล้วคับ
เรื่องเป็นเรื่องที่สนุกมากเลยครับ ผมชอบมากๆๆเลยขอให้พี่ๆเพื่อนได้สนุกกับอ่านกันนะครับ
ขอบคุณพี่เอ้มากๆเลยครับที่อนุยาดให้เอามาลง
เครดิต : COMMERCIAL COLLEGE STUDENT @ Palm-plaza
1 INTRODUCTION
การมีความจำที่ดี ถ้าเราได้ใช้ในสิ่งที่เป็นประโยชน์ มันก็จะดีกับตัวเรา แต่เคยได้ยินมั๊ยครับ กับคำว่า “อยากลืมกลับจำ” และเรื่องที่เราอยากลืมมักจะจำได้แม่นกว่าเรื่องที่อยากจำเสียอีก
ผมก็เป็นอีกคนที่มีความจำดีเยี่ยม และผมก็รู้จักใช้ในเรื่องที่ถูกที่ควร อาทิเช่นเรื่องการเรียน แต่มีอยู่เรื่องนึง…อย่างที่บอก อยากลืมกลับจำ แม้แต่ในฝันมันยังตามมาหลอกหลอนผมอยู่บ่อย ๆ และเรื่องนี้ก็ทำให้ผมแทบเสียความมั่นใจกับพรสวรรค์ เอ๊ะ…หรือจะเป็นเพราะตอนเด็ก ๆ พ่อแม่ผมให้กินของดี ๆ ก็เลยทำให้ผมมีความจำที่ดีได้ขนาดนี้ แต่คนเราก็พลาดกันได้ใช่มั๊ยครับ และผมก็คนนึงที่พลาด…พลาดเพราะความที่ไม่ค่อยใส่ใจในรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ผมจึงมีเรื่องที่ทำให้ผมจำมาจนทุกวันนี้ จริง ๆ แล้วมันก็มีทั้งเรื่องดี และเรื่องไม่ดีนั่นแหละครับ มันเป็นเรื่องที่สร้างความอับอายให้ผมอย่างมากที่สุดก็ว่าได้ แต่สุดท้ายแล้วความอับอายที่เกิดขึ้นนั้นก็ดันกลายเป็นเรื่องของความรักแทน….ลองอ่านกันดูนะครับ…..
ก่อนอื่นผมต้องขอแนะนำตัวนิดนึงนะครับ ผมชื่อเอ้ เพิ่งจบมหาวิทยาลัยเมื่อต้นปีนี้เอง ตอนนี้ทำงานแล้ว แต่เป็นงานอะไร ที่ไหน ตอนหลัง ๆ ค่อยบอกนะครับ เรื่องที่ผมจะเขียนต่อไปนี้ มันเป็นเรื่องจริงของผมที่ค่อนข้างจะแตกต่างจากนักเขียนในบอร์ดนี้หลายคน….อย่างแรกเลยก็คือ ผมเป็นคนที่มีสองบุคลิกในคนเดียวกัน เป็นเด็กผู้ชายที่เรียบร้อยมากถึงมากที่สุดเวลาอยู่บ้าน ตื่นเช้ามืดไปตลาดซื้อของทำกับข้าวเตรียมใส่บาตรกับแม่ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ ดูเป็นเหมือนลูกสาวมากกว่าลูกชาย พ่อกับแม่ก็ไม่ว่าอะไรท่านกลับชอบซะอีกที่ผมเรียบร้อย ไม่เหมือนน้องชายทั้งสองของผมที่ซน ทะโมนตามธรรมชาติของเด็กผู้ชายทั่วไป แต่…ถ้าผมได้ก้าวขาออกจากบ้านเมื่อไหร่ผมจะเป็นอีกคนหนึ่ง ซึ่งแตกต่างกับ “น้องเอ้” ที่แม่ผมมักจะเรียกผมอย่างนั้นเสมอ แตกต่างกันยังไงน่ะเหรอ ถ้าจะเปรียบเทียบให้เห็นภาพอย่างน่ารักก็คือ เหมือนผีเสื้อที่ถูกปล่อยให้ออกมาจากโถแก้ว แล้วบินแรด ๆ ไปผสมพันธุ์จนได้ดักแด้ตัวน้อย ตัวเองก็ตายไป ส่วนเจ้าหนอนดักแด้ตัวนั้นก็ถูกจับลงโถแก้วใบเดิม…รอเวลาที่จะกลายเป็นผีเสื้อตัวสวยอีก เหมือนเดิมเป็นวัฎจักรชีวิต แต่ผมไม่ได้ไปผสมพันธุ์กับใครนะครับ…แค่ออกไปแรดเฉย ๆ เวลาผมอยู่บ้านจะเป็นคุณหนูพูดเพราะ พูดด้วยเสียงเบา ๆ เหมือนกลัวดอกพิกุลจะร่วง สะอาดเรียบร้อย ดูเป็นเด็กขี้อาย แต่ถ้าผมอยู่นอกบ้านน่ะ หึ หึ เป็นคนละเรื่องกันเลย…ผมได้รับฉายาจากเพื่อน ๆ ว่า ”ลูกสาวกำนัน” เพราะเพื่อนผมทุกคนจะรู้ว่าผมถูกเลี้ยงในแบบ CONSERVATIVE ทำให้เก็บกดมาก ต้องออกมาระบายข้างนอก แต่ผมไม่ได้วี๊ดว้ายกระตู้วู้นะครับ เพราะผมกลัวคนรู้จักฟ้องที่บ้าน ผมก็แค่ก๋ากั่น โผงผาง พูดคำด่าคำ (จริง ๆ แล้วน้องชายทั้งสองของผมก็รู้นะครับว่าเวลาผมอยู่นอกบ้านผมเป็นยังไง แต่พวกมันไม่กล้าบอกพ่อกับแม่หรอกครับ มันกลัวผมกระทืบ !) จากน้องเอ้ที่คุณแม่เรียกจะกลายเป็น ไอ้เอ้ อีเอ้ หรือ อีดอกเอ้ สำหรับเพื่อนชะนีที่สนิทกัน และ ไอ้สัตว์เอ้ สำหรับเพื่อนผู้ชายในห้องที่มีอยู่น้อยมาก จากคุณหนูพูดเพราะ ก็กลายเป็นคนที่มีปากเป็นอาวุธที่ร้ายกาจไม่มีใครกล้าแหยม จากเด็กท่าทางเรียบร้อยดูอ่อนต่อโลก ก็จะกลายเป็นคนที่ดูเหมือนจะกินผู้ชายมาแล้วเจ็ดทวีปทั่วโลก สะอาดสะอ้าน โอเคครับ…เรื่องความสะอาดยกให้เพราะผมก็รักสะอาด แต่เครื่องแบบนักเรียนผมนะคุณ ตั้งแต่หัวจรดเท้า ไม่มีอะไรถูกระเบียบซักอย่าง โชคดีที่พ่อแม่ไม่ค่อยรู้เรื่องเครื่องแบบผมนัก (เพราะผมไปสั่งตัดและซัก-รีดเอง) จากเด็กที่ดูขี้อาย ก็กลายเป็นคนตลกโปกฮา สัปดน (จริง ๆ น่ะ มีไม่กี่สาเหตุหรอกครับที่ทำให้ผมอายได้) เพราะความที่ผมไม่ค่อยอาย ทำให้ผมเป็นหัวโจกในห้อง เป็นผู้นำให้กิจกรรมหลาย ๆ อย่าง เช่น เรื่องออกไปรายงานหน้าห้อง เป็นเหมือนหน้าที่หลักของผม จนอาจารย์ห้ามไม่ให้ผมออกไปรายงานเพราะกลัวว่าคนอื่น ๆ จะไม่เข้าใจเรื่องรายงาน ซึ่งมันก็จริงของอาจารย์นะครับ เพราะเพื่อนในกลุ่มมีหน้าที่ผลัดกันพิมพ์อย่างเดียว เรื่องหาข้อมูลเป็นเรื่องของผม มันอ้างว่าผมเป็นคนรายงานก็ต้องรู้เรื่องมากกว่าคนอื่น จริงของพวกมันครับผมต้องเตรียมตัวก่อนออกไปรายงานหน้าห้องทุกครั้ง และด้วยเหตุนี้เองก็ทำให้คะแนนผมดีจนติด TOP 5 ในห้อง ถ้าไม่ติดว่ามัวแต่ไปแรด ๆ อาจจะเป็น TOP 3 ก็ได้
*
*
*
อย่างที่สองผมเป็นเด็กพาณิชย์ครับ และผมก็ภูมิใจในความเป็นเด็กพาณิชย์ของผมมาก เพราะผมสอบเข้าได้เป็นหนึ่งในพันกว่าคนของนักเรียนที่สมัครสอบเข้าในปีนั้น (สมัครประมาณห้าพันคน รับแค่พันกว่าคนและได้เรียนในรอบเช้าด้วย) ผมเรียนที่วิทยาลัยพณิชยการที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ นี่แหละครับ ที่ผมบอกว่าเรื่องของผมอาจจะต่างกับคนอื่นก็เพราะ คุณจะได้รู้เรื่องราวของเด็กพาณิชย์บ้าง หลังจากที่อ่านเรื่องของด็กมัธยม หรือเด็กมหา’ลัยมาหลายเรื่องก่อนหน้านี้ และเหตุการณ์ทั้งหลายต่อไปนี้เกิดขึ้นที่กรุงเทพฯ เมื่อเกือบ 10 ปีที่แล้วเป็นส่วนใหญ่
LOVE STORY ของผมเกิดขึ้นตอนอยู่ ปวช. 2 หรือเทียบได้กับ ม. 5 ของเด็กมัธยม อ้าว…แล้วชีวิตตอนปี 1 ของผมไปไหนอ่ะ…ก็มันไม่มีอะไรมากนี่นา แต่เล่าดีกว่าเพราะมันจะได้โยงไปถึงเพื่อน ๆ ที่คบกันอยู่จนทุกวันนี้
*
*
*
วันแรกที่เปิดเทอม ผมตื่นเต้นมาก เพราะนี่เป็นครั้งแรกของผมที่ได้ไปเรียนไกลบ้านขึ้นอีกนิด แถมยังได้ไป-กลับเองด้วย วันนี้แม่ขับรถไปส่งผม (เค้ากลัวผมหลงทาง…ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ผมก็มาลงทะเบียน ปฐมนิเทศแล้วนะครับ) แต่ขากลับได้ขึ้นรถเมล์กลับเองด้วย…ผมแอบดีใจอยู่ลึก ๆ อย่างที่บอกน่ะครับว่าผมถูกเลี้ยงมาอย่างคุณหนู มีคนไปรับไปส่งตั้งแต่อนุบาลจนถึงมัธยมต้น แม้ผมจะแอบพ่อกับแม่ขึ้นรถเมล์ และข้ามถนนคนเดียวโดยไม่มีคนจูงมือบ่อย ๆ ก็เถอะ วันนี้จะเป็นวันที่ผมได้ทำแบบนั้นโดยไม่ต้องแอบอีกต่อไปแล้ว
“กลับบ้านดี ๆ นะลูก เวลาข้างถนนต้องข้ามตอนที่มีคนเยอะ ๆ มองด้านขวาก่อนนะแล้วค่อยมองซ้าย…ดูซ้ายดูขวาดี ๆ ถ้าข้ามไม่ได้ก็เดินไปหาตำรวจตรงป้อมโน่น แล้วขอให้เค้าพาข้ามนะ ถ้าไม่รีบก็รอขึ้นรถปอ. นะลูกมันมีประตูจะได้ปลอดภัย ขึ้นลงรถต้องรอให้รถจอดให้สนิทนะลูก ถ้าลงไม่ถูกก็บอกกระเป๋ารถเค้า ก่อนลงดูมอไซค์ด้วยเผื่อมันแซงซ้ายขึ้นมา ถ้าหนูกลับไม่ได้ก็โทรไปเรียกพี่นุชมารับนะแม่บอกเค้าแล้ว และ…..ฯลฯ….” แม่พูดอย่างเป็นห่วงก่อนที่ผมจะลงจากรถ
“ครับ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ เอ้ไปเรียนก่อนนะครับ สวัสดีครับ“ ผมได้แต่รับคำแม่ จริง ๆ แล้วยังมีอีกเยอะนะครับกับคำพูดด้วยน้ำเสียงที่ห่วงใยในทุกครั้งที่แม่เจียดเวลาไปส่งผมตอนเช้า ซึ่งก็ไม่บ่อยนัก แต่แม่พูดเหมือนอัดเทปมาพูดทุกครั้งจนผมกลัวเทปยืด นึก ๆ แล้วก็ขำนะครับ แม่ทำเหมือนกับผมเป็นเด็ก ป.5 ป.6 แต่ก็ต้องขอขอบพระคุณคุณแม่มาก ๆ เพราะ สิ่งที่แม่พร่ำสอนเหล่านี้ทำให้ผมกลายเป็นคนที่ไม่ประมาทจนเป็นนิสัย
วันนี้ทั้งวันก็ไม่มีอะไรมาก อาจารย์ให้แนะนำตัว พูดเรื่องการให้คะแนนนิดหน่อย แล้วก็ให้พวกนักเรียนนั่งล่นนั่งคุยกันตามประสา ผมได้เพื่อนที่คิดว่าเข้าขากันได้ดีทั้งหมด 5 คน ซึ่งแต่ละคนก็สุดยอดกันทั้งนั้น เป็นผู้หญิงทั้งหมด เพราะทั้งห้องผู้ชายมีแค่ 9 คน รวมผมด้วยนะครับ
…..อ๋า…..คนนี้ฮามาก ชีจะชื่ออ๋าได้แค่วันเดียวเพราะต่อไปพวกเราพร้อมใจกันเรียกหล่อนว่า “อีเอ๋อ” อ๋าเป็นผู้หญิงที่ตลกที่สุดที่ผมเคยรู้จัก ขนาดชีเล่าเรื่องตอนที่พ่อชีตาย มันยังสามารถเล่าให้พวกเราขำได้
…..นัท…..เราสองคนถูกเลี้ยงดูมาเหมือนกันมาก แต่ครอบครัวชีจะแรงกว่า เนื่องจากมีคุณพ่อเป็นข้าราชการระดับสูง ส่วนคุณแม่เป็นอาจารย์ฝ่ายปกครอง เวลาอยู่บ้านหล่อนจะเรียบร้อยมาก แต่ถ้าอยู่นอกบ้าน…สุดยอด แรดได้ใจดีจริง ๆ ชีจะมีถุงกระดาษใส่ชุดนักเรียนที่ผิดระเบียบมาเปลี่ยนที่โรงเรียนทุกวัน และชุดที่เอามาเปลี่ยนนั้นมันอลังการกว่าทุกคน เพราะชีขโมยมาจากห้องที่แม่ชีใช้เก็บเสื้อผ้าที่ริบจากนักเรียนในโรงเรียนที่เค้าสอนอยู่
…..ตาล…..เด็กใจแตกประจำกลุ่ม เรื่องเลว ๆ ชีลองมาหมดแล้ว แต่มันเป็นคนที่นิสัยดีมาก มีน้ำใจ รักเพื่อน และที่สำคัญไม่เคยชวนเพื่อนให้ทำตามที่มันเคยทำ แถมยังชอบสอนพวกเราซะอีก มันบอกว่ามันอาบน้ำร้อนมาก่อน พูดเหมือนมันแก่กว่าเราซักสิบปี
…..แจน…..สาวหวานซ่อนเปรี้ยว เป็นคนที่สวยที่สุดในกลุ่ม เชี่ยวชาญเรื่องผู้ชายมาก แต่ที่น่าเหลือเชื่อคือ ชียังซิง หล่อนจะเป็น LOVE CONSULTANT ให้กับเพื่อน ๆ ทุกคน และผมก็ได้ข้อคิดดี ๆ ในเรื่องผู้ชายจากแจนนี่แหละ
…..ตูน…..อีนี่ห้าวมาก มองเผิน ๆ เหมือนทอม แต่เรื่องผู้ชายไม่เป็นรองใคร ชีเป็นนักกีฬาวอลเลย์บอลของวิทยาลัย มือหนักมาก ไม่กลัวใคร เพราะพวกเยอะ แรงดี เป็นพวกบ้าพลัง ผมไม่เคยเห็นมันเหนื่อยเลย
หลังจากพักเที่ยง ตอนบ่าย ๆ ก็มีเสียงประกาศจากลำโพงให้เด็กปีหนึ่งทุกคน ทั้งรอบเช้าและรอบบ่ายเข้าห้องประชุม พวกเราก็เข้าไปอย่างไม่รู้อิโหน่อีเหน่ ผมนั่ง…นั่งกับพื้นนะครับ โรงเรียนรัฐบาลก็อย่างเนี่ยแหละ…ไม่มีงบ มารู้ตอนหลังว่ามีหอประชุมอีกตึกนึงที่มีเก้าอี้(พลาสติก) พวกเราฟังอาจารย์หลายต่อหลายท่านพูดอะไรก็ไม่รู้ซ้ำไปซ้ำมาเกี่ยวกับกฎระเบียบ ข้อห้ามที่เยอะมากจนน่าเบื่อ ซึ่งผมรู้หลังจากอยู่ที่นั่นไม่ถึงเทอมว่า…กฎของที่นี่มีไว้ให้แหก…
“เอาล่ะ…นี่ก็เสียเวลามานานแล้ว…ยืนขึ้นทีละแถว เริ่มจากห้อง 1/1 ก่อน” เสียงจอกแจกจอแจก็ดังขึ้นหลังอาจารย์สั่งให้ยืน
“เงียบ…ยังไม่ได้ปล่อยให้กลับ…วันนี้ครูจะตรวจเครื่องแบบซักหน่อย…จะได้หมายหัวไว้ว่าคนไหนต้องดูแลเป็นพิเศษ” อาจารย์หัวหน้าฝ่ายปกครองพูดพร้อมมองกวาดสายตาลอดแว่นหนา ๆ อันนั้น เสียงฮือฮายิ่งดังขึ้นกว่าเดิม เมื่ออาจารย์หัวหน้าฝ่ายปกครองพูดจบแล้วเดินลงจากเวทีเดินดูนักเรียนทีละคนพร้อมอาจารย์ที่ปรึกษาของแต่ละห้อง ลืมบอกไปว่าอาจารย์ที่ปรึกษาของห้องผมก็เป็นหนึ่งในอาจารย์ฝ่ายปกครองและสอนวิชาภาษาอังกฤษที่ต้องเจอกันทุกวันด้วย
เวลาผ่านไปไม่นานอาจารย์คนนั้นก็เดินมาถึงห้องผม ผมกระสับกระส่ายอยากจะหนีออกไปจากห้องประชุมนี่จริง ๆ เพราะอย่างที่บอกอ่ะครับ ตั้งแต่หัวจรดเท้าผิดระเบียบหมด คนที่เริ่ดที่สุดต้องเป็นอีนัท…มันขออนุญาตอาจารย์ไปเข้าห้องน้ำ ใช่…มันไปเข้าห้องน้ำ แต่มันไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดที่ถูกระเบียบอย่างแรงแถมยังถักเปียด้วยตัวเอง กลับมาอีกทีเพื่อน ๆ ทั้งห้องปล่อยก๊ากกับชุดและหัวมัน รวมทั้งหน้าที่โล้นไม่มีร่องรอยของดินสอเขียนคิ้ว และลิปสติกเหมือนเมื่อตะกี้นี้เลย
“อีเอ้…มึงโดนแน่” มันพูดพร้อมทำหน้าเชิด ๆ
“อีห่า…คนหรือลิงวะ…ไวชิบหาย วันหลังกูจะเอาชุดมึงไปซ่อน” ผมแกล้งขู่มัน
“เฮ้ย…อย่านะมึง กูกลับบ้านไม่ได้เชียวนะโว้ย” มันรีบพูดสีหน้าวิตก
“เออ…กูพูดเล่น” ผมต้องรีบหุบปากเพราะอาจารย์ใกล้จะมาถึงแล้ว
“นี่เธอแต่งตัวอะไรของเธอเนี่ย ขึ้นไปข้างบนเลย” อาจารย์หมายถึงบนเวทีครับ ผมก็เดินขึ้นไปอย่างเสียไม่ได้ ทันทีที่ผมก้าวขึ้นเวทีก็มีเสียงกรี๊ดกร๊าดของบรรดาชะนี และกะเทยแรง ๆ ที่อยู่รอบบ่าย พวกเค้าคงคิดว่าผมเป็นแมนเต็มตัวมั้งครับ มันก็น่ากรี๊ดอยู่หรอก ผู้ชายตัวสูง ๆ ผมรากไทรแสกกลาง ตาโต คิ้วเข้ม จมูกโด่งเด้ง หน้าหวาน ผิวสองสี ใส่เสื้อผ้าดิบ กางเกงทรงกระบอกขาบานนิดนึง กระเป๋ากางเกงเป็นแบบเฉียง กระเป๋าหลังเป็นแบบปะมีลาย ตรงด้านข้างประมาณหัวเข่ามีช่องไว้ให้เสียบปากกา เด็ดสุด…กางเกงผมไม่มีซิปนะครับ เป็นกระดุมเหล็ก 6 เม็ด หูเข็มขัดเป็นแบบไขว้ เข็มขัดของโดมอน ถุงเท้าสีดำก็จริงแต่เป็นแบบมีลายในเนื้อผ้า รองเท้าหัวโต มองไกล ๆ ถ้าไม่เห็นว่าปักชื่อโรงเรียนคนต้องคิดว่าผมเรียนช่างกลแน่ ๆ
“เธอก็ขึ้นไปข้างบนด้วย” อาจารย์บอกอีนัท ซึ่งตอนนี้มันทำหน้าแบบงง ๆ “ให้กูขึ้นไปทำไมเนี่ย” ผมเห็นมันขมุบขมิบปากบ่น
ในที่สุดอาจารย์ก็ตรวจเครื่องแบบทุกคนเสร็จเล่นเอาผมยืนเมื่อยไปเลย บนเวทีมีนักเรียนรอบเช้าอยู่แค่ 9 ส่วนรอบบ่ายนั้นเกือบ 20 คนได้ อาจารย์ไล่เรียงความผิดของทุกคนโดยเว้นผมไว้ก่อน ส่วนอีนัทน่ะเหรอ อาจารย์เรียกมันขึ้นมาชมว่าแต่ตัวเรียบร้อยที่สุด มันยิ้มหน้าบานแถมยังหันมายักคิ้วให้ผมอีก
“เราน่ะ…มานี่…มายืนตรงนี้” ถึงตาผมแล้ว อาจารย์เรียกผมให้มายืนกลางเวที และเสียงกรี๊ดก็ดังขึ้นอีก
“นี่…นี่…น้อย ๆ หน่อย เห็นคนหล่อ ๆ เป็นไม่ได้…เด็กผู้หญิงสมัยนี้…ชื่ออะไรหาเราน่ะ” อาจารย์ยื่นไมค์มาจ่อที่ปากผม
“ขอบคุณที่ชมนะครับ…ผมชื่อ XXXXX ครับ” เสียงกรี๊ดดังกว่าเก่าอีก
“นี่…นี่…นี่…เงียบ ไม่ใช่เรื่องดีเลยนะ…ที่ให้ขึ้นมาเนี่ย…ทุกคนดูไว้…ทั้งตัวไม่มีส่วนไหนที่ถูกระเบียบเลย แต่งตัวอย่างนี้ออกมาจากบ้านได้ยังไงหา ไม่กลัวโดนตีกบาลเหรอ เราเป็นเด็กพาณิชย์นะ ไม่ใช่เด็กช่าง มองข้างหลังไม่รู้เลย เดี๋ยวก็โดนตีหัวแบะหรอก” ผมได้ยินทั้งเสียงหัวเราะ…ทั้งเสียงพวกผู้ชายโห่ดังลั่นเลยครับ แต่…ไม่อายครับ ผมยังแอบอมยิ้มเลย
“ยังจะมาทำหน้าระรื่นอีก…ไอ้พวกบนเวทีนี่เดี๋ยวตามครูไปห้องปกครองทุกคนเลย ส่วนเธอ” อาจารย์ชี้มาที่ผม “เลิกเรียนแล้วไปตัดผม ตัดเล็บซะ พรุ่งนี้เช้ามารายงานตัวกับครูด้วย…พวกข้างล่างลุกขึ้นแล้วแยกย้ายกันไปได้…ไม่ต้องแย่งกัน…ไปทีละแถว”
วันนั้นผมโดนตัดคะแนนความประพฤติไป 5 คะแนน (ถ้าผมโดนรวม 20 คะแนนเมื่อไหร่ต้องโดนเชิญผู้ปกครอง อันนี้รับไม่ได้จริง ๆ ) ยัง…ยังไม่พอนะครับ ผมโดนยึดกางเกงอีก โดยให้ใส่ “ผ้าถุง” เป็นผ้าถุงสีแดงโคตร ซึ่งจริง ๆ แล้วผู้ชายต้องใส่เป็นกางเกงขาก๊วยสีแดงเช่นกัน แต่ไอ้พวกรอบบ่ายมันเอาไปใส่หมดแล้ว ไม่เป็นไร ผมก็ใส่เดินเชิด ๆ พอออกมาจากห้องปกครองเดินกลับห้องเรียนทันที สายตาทุกคู่ก็มองมาที่ผม ไม่อายอีกครับ น่ารักดีออก เหมือนพวกนักศึกษาบ้านใกล้เรือนเคียงของประเทศเราจะตาย
นับว่าเป็นการแจ้งเกิดอย่างเป็นทางการในวันแรก ทุกคนเริ่มรู้จักผม และต่อมาผมก็กลายเป็นหนึ่งในคนที่ทุกคนในวิทยาลัยต้องรู้จัก อ้อ…ลืมบอกว่าผมใส่ผ้าถุงผืนนั้นแค่ไม่กี่ชั่วโมงเองนะครับ พอตอนเย็นผมก็ไปเอากางเกงคืน และยังต้องเอาผ้าถุงไปซักให้อาจารย์อีก กลับถึงบ้าน…ผมก็ไปตัดผม ตัดเล็บที่ร้านเจ้าประจำของผม ซึ่งลูกพี่ลูกน้องผมแนะนำมา สมัยนั้นนักเรียนชายส่วนมากจะตัดที่ร้านบาร์เบอร์ หรือ ซาลอนสำหรับผู้หญิงน่ะครับ ส่วนผมมีที่ปรึกษาที่ดีหน่อย ก็เลยได้ตัดผมในร้านที่ดี ๆ (คล้าย ๆ กับแฮร์สตูดิโอในสมัยนี้อ่ะครับ) ไม่ใช่แค่รองทรงธรรมดา แต่พี่ช่างแกเล่นซอยซะอลังการ ผมก็ได้ทรงผมใหม่ที่ดูเรียบร้อย แต่ยังแอบมีจอนนิด ๆ ไว้รากไทรบาง ๆ ขอผิดระเบียบอีกหน่อยละกัน
*
*
*
การเรียนในปีแรกของผมผ่านไปอย่างรวดเร็ว ผมแทบไม่มีเวลานอนเลย ตะลอนไปทั่ว …โรงเรียนเข้าเจ็ดโมงเช้า บางวันก็เลิกบ่ายสองครึ่ง บางวันก็บ่ายสามครึ่ง แต่กว่าจะถึงบ้านก็สามสี่ทุ่มทุกวัน ตีห้าก็ต้องตื่นอีกแล้ว ชีวิตช่วงนั้นเหนื่อยแต่สนุกมาก พ่อแม่เริ่มปล่อยผมบ้างแล้ว เพราะท่านคงเบื่อที่จะพูดเตือนผม แล้วผมจะตอบว่าผมโตแล้ว ดูแลตัวเองได้แล้ว ไม่ต้องเป็นห่วง….ตอนนั้นผมเริ่มทำงาน PART TIME ในวันเสาร์-อาทิตย์ ที่ SUPERMARKET แห่งหนึ่งพ่อกับแม่ผมก็ไม่อยากให้ทำนักหรอกนะครับ…เค้าอยากให้ผมตั้งใจเรียนมากกว่า แต่ผมยังดื้อทำงานอยู่ แม้แต่ตอนปิดเทอมกลางภาคผมก็ทำงานแบบ FULL TIME ตำแหน่ง CASHIER (เป็นงานที่มีประโยชน์กับผมมากในอนาคตต่อไป เพราะผมต้องเรียนเครื่องใช้สำนักงานและเครื่องคิดเลขแบบอันใหญ่ ๆ ในปีต่อมา และปัจจุบันนี้ ผมก็ยังต้องใช้เครื่องพวกนี้ในงานของผมด้วย) แรก ๆ ผมก็ไม่อยากทำหรอกครับ มีความรู้สึกขี้เกียจ กลัวเหนื่อยด้วย คนเคยอยู่บ้านสบาย ๆ ไม่ต้องทำงานก็มีเงินกินเที่ยว แต่อันนี้เป็นความภูมิใจของเด็กพาณิชย์ครับ สมัยนั้นทุกคนต้องทำงาน มันเป็นเหมือน FASHION ถ้าใครไม่ทำก็ไม่รู้จะคุยกับเพื่อนยังไง ผมไม่อยากทำตัวเป็นแกะดำอะครับ อีกอย่างที่วิทยาลัยก็สนับสนุนเรื่องนี้ เพราะเราเรียนทางด้านสายอาชีพ เราควรต้องมีประสบการณ์ทำงาน ถึงแม้ว่ามันจะเป็นงานเล็ก ๆ แต่อย่าลืมนะครับว่าทุกที่จะสอนเรื่องการเข้าสังคม การอยู่ร่วมกัน การทำงานร่วมกับผู้อื่น ซึ่งในห้องเรียนไม่มีสอน (LEARNING BY DOING) เพื่อน ๆ ในห้องก็ทำงานกันทุกคน พอเปิดเทอมหรือเช้าวันจันทร์ก็จะมาเม้าธ์เรื่องงานกันสนุกสนาน หลายคนได้แฟนที่ทำงานบ้าง เป็นลูกค้ามาจีบบ้าง ส่วนผมก็มีบ้างแต่ไม่ได้จริงจังอะไร เพราะมัวแต่ตั้งหน้าตั้งตาทำงาน และสนุกกับการหาเงินเที่ยวกับเพื่อน ๆ เรียกได้ว่าผมเดินห้างมาแล้วทุกห้างในกรุงเทพฯ ส่วนห้างที่ใกล้วิทยาลัยที่สุดก็ไปบ่อย…ไปเกือบทุกวันหลังเลิกเรียน จนจะได้ผัวเป็นรปภ.ห้างซะแล้ว
---------------TBC------------------------
แค่นี้ก่อนเน้อเด๋วพุ่งนี้เอามาลงให้ใหม่ สนุกกับการอ่านนะครับ
ขอบคุณพี่เอ้อีกครั้งครับผม
