
ถนนสายนี้มีความรัก...3
ถอดเสื้อกล้ามตัวจิ๋วออกทางหัว แล้วโยนมันทิ้งไม่ไยดี จากนั้นคว้าผ้าเช็ดตัวผืนนุ่มมาพันรอบเอวมัดเป็นปมหมิ่นเหม่ โก้งโค้งลงดึงเอากางเกงนักมวยออกมาแล้วโยนไปรวมกับเจ้าเสื้อกล้ามก่อนหน้านั้น หลังจากการลอกคราบเสร็จสิ้น เขาจึงเดินอวดกล้ามสวยผ่านเพื่อนนักมวยอีกหลายคนซึ่งกำลังทำอย่างเดียวกันเข้าไปในห้องอาบน้ำห้องหนึ่งในบรรดาหลายๆห้อง ปิดประตูดังปึงดึงผ้าเช็ดตัวสะบัดออกเปลือยกายหมดจดล่อนจ้อน โชคดีที่ไม่มีใครได้เห็น...เพราะหากมีคนอยู่ในห้องนั้นด้วย คงต้องเลือดกำเดาพุ่งกระฉูดหยุดไม่อยู่ เพราะหุ่นคนตรงหน้าระดับพระเอกอย่างเช่นแบรด พิท ยังต้องหลบแอบอยู่ใต้เตียงด้วยความอับอาย...
เขาเปิดน้ำฝักบัวแล้วกดเอาสบู่เหลวมาถูๆทาๆตามตัว จากนั้นเอาที่ขัดตัวมาขัดตามที่ต่างๆ จนเกิดฟองฟู่ฟูฟ่อง ฮัมเพลงไปพลาง ด้วยว่ารู้สึกราวกับได้พักผ่อนเหยียดยาวหลังวิ่งมาราธอนแปดพันกิโลเมตร...มันสุขสมไปทั่วร่างเสียจริงๆ
เสียงเพื่อนเขาตะโกนมาจากห้องอาบน้ำข้างๆ
“ได้ข่าวว่ามึงไปมีเรื่องกับเจ้านักบอลห้องหนึ่ง...เห็นเขาลือกันให้แซดว่า มึงอ่ะ...ไปวิ่งตามเขา”
เขาชะงักกึกหยุดกุก...
“วิ่งตาม ? กูเนี่ยนะ ตามใครวะ”
“ก็ไอ้เอกไง...กัปตันทีมฟุตบอลโรงเรียนอ่ะ...ไอ้หน้าจืดแต่ชอบหลงตัวเองคิดว่าตัวเองหล่อเหลาเสียเต็มประดา หล่ออย่างมันเขาเรียกหล่อไม่เต็มกระบุง...”
“เหอะ...ไปเอาที่ไหนมาพูด...”
“เห้ย...วันก่อนเขายังลือกันว่า มึงไปเม้งๆกับมันที่โรงอาหารอยู่เลย”
“อ้อ” เขาร้องอย่างรู้แจ้งเห็นสัจจะอย่างจริง “กูเล่นๆไปงั้นแหละ เห็นหน้ามันแล้วหมั่นเขี้ยว...ปากมันไปเองว่ะ”
“ไปบอกว่า มันกับมึงเป็นผัวเมียละเหี่ยใจกันเนี่ยนะ....บอกว่าไม่ได้นอนด้วยกันแล้วหงุดหงิด...ไม่อายอื่นหรือไง...”
รองแชมพูจากขวดใส่มือแล้วเอามาขยี้ที่หัว ผมแข็งๆตัดรองทรงรู้สึกนุ่มมือ เมื่อโดนฟองฟู่นั่น...หลับตาเพราะกลัวฟองแชมพูจะเข้าตา
“กูแค่กวนมันให้อายเล่นแค่นั้นแหละ ไม่มีไรหรอกโว้ย หุ่นควายขนาดนั้น เอาไม่ลงวะ”
หลังอาบน้ำเสร็จจนเรี่ยมเร้ เขาใส่เพียงชุดลำลองง่ายๆ สบายๆ ส่วนชุดนักเรียนพับเก็บเรียบร้อยในกระเป๋าเป้สะพายหลัง ก้าวขึ้นคร่อมเจ้ามอไซด์คู่ใจ กระทืบเท้าสตาร์ททีเดียวติดปรื้น แล้วออกตัวรุนแรง
เป็นเวลาโพล้เพล้ แต่รู้สึกเหมือนเหล่าดอกไม้แห่งโลกจะออกมาโชว์โฉมกันเกินปกติ...เหล่าดอกไม้แห่งโลก...คือเหล่า “น้องนาง” หัวเม่นโปะหน้าด้วยเครื่องสำอางเทลมีทูเวพาวเดอร์ป้องกันแดด แต่ไม่ได้ช่วยให้หน้าน้องดูดีขึ้นแม้แต่นิดเดียว...น้องนางดอกไม้แห่งโลก ขับรถซ้อนกันโฉบไปเฉี่ยวมา อย่างต้องการจะให้เขาเห็น
อีตอนขับรถออกจากโรงเรียนก็เจอเพียงสองสามคันรถมอเตอร์ไซด์ แต่พอตอนขับผ่านเขตตลาดสด จำนวนเหมือนจะบวกกับคูณ แถมด้วยอินทิเกรต จนมากขึ้นเป็นสิบ... แล้วเขาก็ให้ขมวดคิ้วนิ่วหน้างวยงงสงกา เมื่อตอนออกจากตัวเมืองมาสู่ถนนตัดผ่านท้องทุ่ง ข้างทางเป็นป่าโปร่งสลับป่าทึม และทุ่งรวงข้าว เขาเห็นเหล่าน้องนางขี่รถกันเป็นพรวน ส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวเหมือนเหล่าดรุณีน้อยออกเก็บบุปผามาร้อยมาลัยอย่างในหนังสือวรรณคดีที่เคยเรียนมา...
แรกๆเขายิ้มๆกับภาพที่เห็น เพราะเอ็นดูพวกหล่อน แต่หลังๆจากยิ้มๆกลายเป็นแสยะปากแหยด้วยขยาดและรู้สึกแขยงเพราะรู้โดยไม่ต้องให้ใครบอกว่า พวกหล่อนขี่รถตามเขา...
จากขยะแขยงขยาดกลายเป็นหวาดผวา
และจากหวาดผวากลายเป็นขวัญหนีดีฝ่อ
เขา...หนุ่มแมนนักมวยมือหนึกประจำโรงเรียนเร่งเครื่องบิดตีนผีหนีระห่ำบ้านรก ขับฉวัดเฉวียนบู๊สุดขีด เหยียบแหลกไม่ใช้สลิงขนาดเฉินหลงยังอายเขินม้วนต้วนเป็นสาวน้อย
“เฮ้ย...ไรวะ” เขาสบถเมื่อกระเทยนักซึ่งหลายนางขี่ขนาบข้างอย่างผู้กำชัยชนะในมือ...รุ่นนี้มันไม่ใช่กระเทยธรรมดาแล้วโว้ย...มันกระเทยนักแข่งรถซิ่งแล้ว
“จอดสิจ๊ะ...พ่อหนุ่ม” เสียงใหญ่ดัดให้เล็กแต่ไม่สำเร็จเสียงจึงแมนยิ่งกว่าเจ้าแมนอย่างเขาเสียอีก
แมนหนุ่มนักมวยเห็นท่าไม่ดีจึงชะลอรถจนรถหยุดอยู่ข้างทาง แล้วพวกน้องนางหน้าวอกจึงเข้ามารุมลอ้นตอมกลิ่น จอดรถกันเป็นขบวนเดินส่ายอาดๆขยับบั้นท้ายด้วยลีลาน่าหวาดกลัว...
เขายืนใจเต้นอยู่ตรงนั้น...
“มะ...มีอะไรกับเราเหรอ” ทำใจดีสู้เสือ ทำเบ่งกล้ามเนื้อสู้กระเทย เขารู้สึกความกล้ากับความเก่งจะลดลงไปอยู่ที่ศูนย์ซีโร่จุดตาย
“อยากจะมี...อะไร...กับเธอ...ต้องพูดอย่างนี้ถึงจะถูกนะคะ พ่อหนุ่มรูปงามนามเพราะ ใบหน้าฉอเลาะน่าฟัด น่ากัด” ถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นว่าน้ำลายคนพูดไหลย้อยลงมาตามคาง...เธอไม่ปกปิดสายตาวาววับด้วยประกายวิบๆแวบพร้อมกระพริบตาปริบๆ
“เรา...เรารีบกลับบ้านน่ะ...พ่อแม่รอรอทานข้าวเย็น” เขาพูดตะกุกตะกัก
“อู้ย...” น้องๆทั้งหลายส่งเสียงรับกันเป็นทอดๆ ฟังดูคล้ายกับเสียงสุนัขเห่าหอนรับกันตอนเห็นภูตผีวิญญาณ “เป็นเด็กดีนะเคอะ...กลับไปกินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตาครอบครัว...เสียใจเค่อะ...วันนี้คุณพี่รูปหล่อคงไม่ได้กลับเพราะมีธุระกับพวกน้องๆ”
“เรา...ไปทำอะไรให้พวกเธอเหรอ...”
“เปล่าหรอกค่ะ...แต่คุณไปทำให้ขวัญใจพวกเราไม่พอใจ”
“หา”
“ไม่ต้องงง...เพราะถึงจะงง พวกเราก็ไม่บอกว่าเขาเป็นใคร คุณพี่ไปก่อกวนเขาให้ไม่อยู่สบายกายและใจ คุณพี่ต้องรับผิดชอบนะคะ”
พูดดังนั้น ทุกนางต่างย่างกรายเข้ามาใกล้ หมายจะตะครุบเขาแต่เขาไวกว่า เพราะใส่ตีนผีโกยแนบ นิมนต์พระอาจารย์โกยมาลง ทว่ากลับมีมือมาดึงคอเสื้อกระชากทีเดียว เขาปลิววืดกลับไปทันที เสื้อแสงขาดกระจุยกระจาย
“จำไว้นะคะว่า ทีมฟุตบอลของโรงเรียนเป็นทีมขวัญใจพวกเรา...คุณพี่อย่าได้กล้าไปแหยม...”
ด้วยคำพูดนั้น พวกน้องนางก็กระโจนใส่เขาทันที เหมือนนางแมวป่าตะครุบเหยื่อด้วยหิวโหย เขาโอดโอยด้วยเสียงแหบแห้งและแผ่วโหยเหมือนคนหมดสิ้นความหวังของการมีชีวิต...
“เฮ้ย...ไอ้แมน...ไอ้พี่แมน”
เสียงเหล่านี้ดังขึ้นพร้อมกับเสียงเครื่องล้อรถบดกับถนนดังเอี๊ยด แล้วกลุ่มนักเรียนชายหลายคนกรูเข้ามาช่วยเขา แกะตัวออกจากมือไม้เป็นหนวดปลาหมึกของเหล่าน้องนาง มีเสียงวี้ดว้ายด้วยความตกใจและเจ็บปวดเพราะมีหนุ่มน้อยบางคนลงมือรุนแรง
“เฮ้ย...พวกนี้...ทำไรเพื่อนพวกกูวะ...”
“แอร๊ย...กรี๊ดกรีดร้อง”
แล้วพวกหล่อนแตกหนีกระเจิดกระเจิงไปคนละทิศทาง ทิ้งไว้แต่กลุ่มหนุ่มน้อยทั้งหลายที่กำลังกลุ้มรุมดูอาการของหนุ่มแมนผู้หวาดผวาเสียสติไปจนเหมือนคนบ้า...
หนึ่งในกลุ่มนั้นคุกเข่าลงประชิดตัวเจ้าแมนร้องเรียกด้วยน้ำเสียงลุกลน
“พี่แมน...พี่แมน...เฮ้ย...พี่แมน” เรียกเฉยๆคงไม่ได้ผลต้องเอามือตบหน้าเบาๆไปสองสามที จนเหมือนคนโดนเรียกชื่อจะได้สติ สะบัดหัวราวเมื่อตอนขึ้นจากน้ำ สายตาเบลอๆค่อยโฟกัสจับจุดจนเห็นใบหน้าคนตรงหน้าเครียดเขม็ง
“ไอ้หมอก...กู...โดน”
คนชื่อหมอกโบกมือพัดไหวบอกไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว เพราะเท่าที่เห็นก็รู้ซึ้งถึงอาการและสถานภาพ
“ผมเห็นตั้งแต่พี่ออกมาจากโรงเรียนแล้ว พวกมันตามพี่มาตั้งนาน ผมต้องไปตามไอ้พวกนี้มาช่วยกันอีกแรง รู้เลยว่าพวกมันจะงาบพี่...รู้นะว่าแก๊งนี้อ่ะ มันแรง ชอบดักจับผู้ชาย แต่ไม่นึกว่าจะกล้ารุมพี่ และก็ไม่นึกว่าพวกมันจะกล้าทำกับคนโรงเรียนเดียวกัน”
“เออ...ถ้าไอ้หมอกน้องมึงไม่ไปตามพวกกูนะ...มีหวังได้เป็นผัวกระเทยทั้งกองทัพแน่ๆไอ้แมนเอ๊ย...ดีที่น้องมึงหูตาไว...เหมือนน้องมึงว่า แก๊งอีศรีทนได้นี่มันไม่เล่นพวกโรงเรียนเดียวกันนี่นา แล้วไหงเป็นงี้อ่ะ”
เพื่อนผู้โผล่เข้ามาในโฟกัส เกาหัวแกรกๆด้วยความงุนงง...
เขามองหน้าทั้งน้องชายตัวเองและเพื่อนๆผู้ช่วยชีวิตด้วยความปลาบปลื้ม แล้วถอนหายใจโล่งอกเปี่ยมสุข
“กูรอด...กูรอด”
แล้วเขาสะดุ้งกระเด้งตัวอย่างแรง จนทุกคนกระโจนออกแทบไม่ทัน เกือบโดนเท้าเขาฟาดหน้า
“มึงว่าไงนะ...แก๊งอะไรนะ”
“แก๊งน้องหนูศรีทนได้ไงเล่า”
เขานิ่งงันแล้วฟันเฟืองสมองหมุนรวดเร็ว...
“ศรีทนได้...นักบอล...ทีมฟุตบอล...ไอ้ศรีทนได้มันอยู่ห้องหนึ่งนี่นา...” แล้วพลันเขาเบิกตากว้างเหมือนโลกจะหมุนเร็วจนเขาแทบยืนกับที่ไม่ได้ เซแถดๆจะล้มมิล้มแหล่ดีที่น้องหมอกถลามารับเขาไว้ได้
เขากำหมัดแน่น ขบกรามกรอด เสียงที่ลอดไรฟันออกมานั้น ทำเอาเจ้าหมอกคนเป็นน้องชายในไส้ต้องหนาวสั่น
“ไอ้เอก...ไอ้คนลอบกัด...ไอ้จอมวางแผน ไอ้จอมบงการ”
โลกเบื้องหน้าเขาพลันมีแต่ประกายเพลิงแห่งความโกรธแค้น
++++++++++++++++++++++++++++++++
พระจันทร์เป็นสีราวน้ำผึ้งหยาดรวง เสมือนโลกทั้งโลกตกไปในถังน้ำขมิ้น ร่างสูงทะมัดทะแมงพุ่งพรวดขึ้นจากน้ำมานอนแผ่ที่กระดานไม้ท่าน้ำ เอามือรองหัวหนุนต่างหมอนแล้วนอนนิ่งมองพระจันทร์กลมโตอวดโฉมเด่นเป็นสง่าอยู่บนฟ้าไร้เมฆ...คืนไร้เมฆ ไร้ดาวประดับ...
เอกสั่นกายหนาวยะเยือกเมื่อลมแรงพัดมาวูบหนึ่ง เสียงแมลงกลางคืนร้องกันระงม เขาผุดลุกขึ้นนั่งคว้าเอาผ้าเช็ดตัวมาห่อร่างหนาวสั่นของตนไว้ ได้ยินเสียงน้ำตูมไกลออกไปที่ฝั่งน้ำตรงข้าม คงเป็นตัวอะไรสักอย่างลงไปกินปลา เขานึกในใจ แหงนมองลูกผลสีเหลืองบนท้องฟ้า แล้วเขาก็ถอนใจอีกรอบก่อนจะลุกเดินกลับบ้านที่ปรากฏเป็นเงาตะคุ่มๆอยู่ท่ามกลางหมู่ไม้รกครึ้ม แสงไฟริบหรี่จากหน้าต่างห้องนอนของเขาส่องลอดจนเป็นแสงสลัวรางๆ
สองวันแล้วหลังจากที่มอบหมายให้น้องศรีทนได้ไปกระทำการเผด็จศึกเจ้าแมนคู่แค้นอาฆาตของเขา แต่หลังจากรอแล้วรอเล่า ก็ไร้แม้แต่ข่าวคราว อีกทั้งตัวน้องศรีเองดันหยุดเรียนติดกัน ถามใครก็สั่นหัวบอกไม่รู้ไม่ชี้กันทั้งนั้น จนเขาอ่อนใจหงอยไปทันตา เขาไม่ได้รู้ตัวว่าตนทำสีหน้าเป็นหมาโดนเจ้าของทิ้ง เมื่อเจ้าเดชทักขึ้นตอนเที่ยงวันนี้เอง
“เป็นไรวะ เกลอ...ทำหน้าเหมือนญาติเสียเมียหัก อก โดนชู้ชกไข่บวม...โดน”
“หยุดก่อนกูจะเอาเกือกยัดปาก” เขายกมือเบรกเกียร์ห้าของปากเกลอสนิท “เบื่อว้อย เซ็งชะมัด ทำไมมันน่าเบื่องี้วะ...ไปหาเหล้ากระแทกปากกันดีกว่า”