ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ
สรุปข้อสำคัญดังนี้
1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความที่ไม่เหมาะสมและเกิดความขัดแย้ง
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ
เรื่องนี้เป็นหนึ่งในโครงการสาน Y ไทยสู่ Y โลก ของนางสาวว่างวน ณ รักนาย My Boyfriend ที่ตอนนี้ยังคงดองข้ามเดือน คนโป๊ดเห็นว่าหากนานไปกว่านี้คนโป๊ดเองนั่นแหละที่จะแย่
ก็เลยไปขอฉกชิงเรื่องของน้องร่วมโครงการของท่านพี่ว่างวนมาสังเวยกันไปพลางๆ ก่อน :m5
:
*********************************
Thai Y Studio #๒ ขอเสนอ เรื่องราวความรักในรั้วมหาวิทยาลัย(?) ของสองอนาคตวิศวกรหนุ่มผู้อยู่ท่ามกลางคณะรั่ว เเละผองเพื่อนสุดฮา จะเป็นอย่างไรเมื่อถูกหยอดบ่อยๆเเล้วจิตมันผูกพันธ์ ต้องรอดู...
รักไม่รู้ชื่อ (ทำ)ซื่อไม่รู้รัก Chapter๑ หลุมรักวงวอลเล่ย์‘ร้อน เอี้ยๆ’ ขอโทษที่ผมหยาบนะครับ แต่มันเป็นสิ่งแรกที่พบคิดเมื่อย่างเท้าเข้าหน้าสถาบันนับตั้งแต่วันแรกที่มายืนยันสิทธิ์จนถึงตอนนี้
ถนนราดยางตะนอยเข้าสู่สถาบันการศึกษาของผมทอดยาวอยู่ท่ามกลางเปลวแดดร้อนระอุของเช้าวันจันทร์ในฤดูฝนที่ร้อนอย่างกับส่งตรงมาจากนรกเพื่อสถาบันเราโดยเฉพาะ วิวทิวทัศน์ด้านซ้ายขวาเป็นแถวต้นโมกข์ที่เพิ่งลงดินใหม่ๆ ข้างหลังนั่นเป็นหอนอกที่เหมือนหอใน เพราะห่างรั้วสถาบันแบบสิบก้าวถึง จึงได้รับขนานนามจากผมว่า ‘หอ19’ เพราะมันสิบเก้าถึงจริงๆ ผมเร่งฝีเท้าเดินก้าวยาวๆให้พ้นเปลวแดดที่ลามเลียนี้เสียที ข้างหน้ามีนักศึกษาหญิงหลายคนนำหน้าอยู่ จากลักษณะท่าทางของแผ่นหลังและการแต่งกายแล้ว ผมฟันธงว่า เป็นเพื่อนสาวในคณะผมแน่นอนงานนี้ แต่ผมก็ขี้เกียจตะโกนทัก ไว้ค่อยคุยกันในห้องเรียนดีฟ่า
สถาบันเรามองจากด้านหน้า จะคิดว่ามันช่างกว้างใหญ่ไพศาลเสียเหลือเกิน มีห้องเรียนมากมาย แต่จริงๆแล้วคุณคิดผิดครับ เพราะสถาบันเรามีตึกเรียนอยู่สองตึกเท่านั้น ตึกใหญ่ยาวๆที่เห็นอยู่ด้านหลังนั่นมันหลอกตาครับทุกคน มันเป็นตึกของมหาลัยเอกชนข้างเคียง ถ้าถามว่าแล้วมีสองตึกพอเรียนหรอ ผมตอบได้เต็มปากว่าเหลือเฟือครับ เพราะสถาบันเรามีนักศึกษารวมแบบโม้ตัวเลขสุดๆแล้วแค่ประมาณสามร้อยกว่าคนเท่านั้น เพราะเป็นสถาบันเพิ่งเปิดใหม่เอี่ยมอ่อง ไม่มีขี้มือรุ่นพี่ให้ระคายผิว เรามีกันแค่สามคณะเท่านั้นเอง ข้อดีและข้อด้อยของการเป็นรุ่นแรกก็มีบ้างให้พอสับสนกับการตัดสินใจเรียนที่นี่ แต่สุดท้ายแล้วผมยอมทิ้งมหาลัยรัฐดังๆมาเรียนไอ ม. ครึ่งผีครึ่งคน เอ๊ย ครึ่งเอกชน แต่กึ่งรัฐบาลที่นี่ครับ
“เรียนห้องไหนวะ?”เสียงเพื่อนสาวในsecเดียวกันกับผมถามกัน ที่หน้าลิฟท์
“ชั้นสาม ห้องไหนไม่รู้”
“ตารางสอนมีก็ดูดิ”เสียงกิ๊งเบาๆบอกให้รู้ว่าลิฟท์มาถึงแล้ว
“อ้าว เมศ” หนึ่งในนั้นหันมาเห็นผมพอดี ผมทักทายพวกเธอนิดหน่อย
“ตอนเช้าพูดน้อยเชียวนะ”
“โทษว่ะ Ramน้อย” ตอนเช้าๆผมเป็นโรคหนึ่งคือไม่อยากพูดอะไรกับใครมากครับ มันเป็นโรคเรื้อรังรักษาไม่หาย ประตูลิฟท์กำลังจะปิด มือๆหนึ่งรีบยื่นเข้ามาในลิฟท์ ประตูลิฟท์รีบเปิดออกทันที ร่างสูงเปรตๆของเพื่อนร่วมsecผมอีกคนก้าวเข้ามา กระเป๋าแบคแพคสีฟ้าใบใหญ่ของมันเบียดเอาผมติดฝาลิฟท์
“ตอนยืนรอแมร่งไม่ขึ้น พอกรุจะขึ้นละรีบวิ่งมาเชีย”เพื่อนสาวคนหนึ่งบ่นนิดๆ ก็อย่างงี้ละครับ หญิงสาวคณะผม พวกหล่อน สวย ถึก และบึกบึน ด้วยความว่าทั้งคณะมีผู้หญิงกันอยู่15คน พวกเธอเลยห้าวๆไปหน่อยสมกับวิชาที่เรียน
“อากาศข้างบนเป็นไงมั่งวะ” เพื่อนสาวใส่แว่นคนหนึ่งถามเปรตแบคแพคด้วยอาการแหงนหน้าขึ้น45องศา ผมเองก็ต้องแหงนเหมือนกัน มันไม่ตอบแค่หัวเราะแหะๆแก้เขินก็พอดีกับลิฟท์เปิดประตูให้ออกพอดี ลิฟท์ที่นี่มันเร็วครับ หายใจสองเฮือกถึงแล้ว
“ห้องไหนวะเมศ?”เพื่อนสาวคนหนึ่งถาม
“304”ผมเองก็ตอบสั้นๆ
“เออ ไปส้วมก่อน”เธอตอบก่อนจะยกพวกกันเข้าห้องน้ำไป ส่วนผมก็ก้าวเอื่อยๆไปตามทางเดินโดยมีเปรตแบคแพคเดินนำอยู่ข้างหน้า
ห้อง304ตึกBสำหรับเช้าวันจันทร์อย่างนี้มันคือวิชาเลคเชอร์ เขียนแบบครับ อาจารย์จะสลับผลัดเปลี่ยนส่งไม้ผลัดกันเข้าสอน เรียนรวมกันสองsecคือsec1ของผมกับsec2 พอเปิดประตู เสียงเพลง j-popดั่งสนั่นเข้าโสตผมทันที ลมเย็นๆของห้องแอร์ลอยกระทบหน้า เพื่อนสาวหนึ่งในเจ็ดกำลังเดินไปเดินมาอยู่คนเดียว ไอเสียดเพื่อนผมกำลังเปิดเพลงอยู่นั่นเอง ผมเลือกทำเลเหมาะนั่งลงในแถวที่สามฝั่งซ้าย อันเป็นศูนย์กลางของห้อง เพราะไม่ชอบนั่งหน้า แต่ไม่อยากนั่งใน ไม่กี่อึดใจเพื่อนๆก็เริ่มทยอยกันมาจนเกือบครบ แน่นอนครับเมื่อสาวๆเข้ามาครบองค์ประชุม เสียงร้องเพลงj-popคลอตามก็เริ่มดังขึ้น
สำหรับที่นี่การที่คุณชอบดารานักร้องเกาหลีแบบคลั่งไคล้ถือเป็นเรื่องแปลก เพราะคนส่วนใหญ่ชอบดาราญี่ปุ่น และส่วนใหญ่ที่เลือกเรียนที่นี่มักมีแรงจูงใจมาจากดารานักร้อง หนังทั้งโป๊และไม่โป๊ หรืออย่างผม มาเรียนที่นี่เพื่อการ์ตูนโดยเฉพาะ (ขำ) อาจารย์เปิดประตูเข้ามาในห้องพร้อมแฟ้มขนาดย่อมเยา เพื่อนผมที่เปิดเพลงอยู่รีบปิดแล้วดอลลี่ตัวเองออกจากหน้าคอมทันที อาจารย์ก็เหมือนแกล้งทำเป็นไม่เห็นมันแล้วเตรียมฉายสไลด์ประกอบการสอน หลังจากเตรียมการเสร็จอาจารย์ก็เดินมายืนหน้าห้องแล้วเริ่มบรรยาย
“วันนี้จะเรียนเรื่องothographic การบ้านอาทิตย์ที่แล้ว เดี๋ยวผมจะคืนให้พวกพี่ในคาบปฎิบัติการ”นี่ล่ะครับอาจารย์ของพวกผม แกยกนักศึกษาให้เป็นพี่เลยครับ
“วันนี้ต้องใช้A3นี่หว่า”ไอเสียดกระซิบคุยกับผม
“ไม่รู้มีใครไปซื้อมายัง” ผมพยักหน้าเออออไปกะมัน แต่ยังไม่พูดเพราะยังอยู่ในภาวะRamน้อย บวกกับเดี๋ยวถูกอาจารย์เฉ่ง
อาจารย์เริ่มบรรยายไปได้เกือบครึ่งชั่วโมง ซึ่งการนับว่าสายคือการเข้าห้องหลังเวลาเริ่มสอนไปแล้วสิบห้านาที แต่เพื่อนผมอีกคนมันยังไม่โผล่ศีรษะมา ผมเรียนไปเรื่อยพลางเหลือบมองนาฬิกาบ่อยๆ ในที่สุดเมื่อเข็มยาวชี้เลขเก้าแล้วประตูหน้าห้องจึงเปิดออก ร่างสูงผมสีดำสนิทโผล่หน้าหล่อๆของมันเข้ามาในห้องมองซ้ายมองขวาพลางยิ้มเก้อๆ ก่อนจะยกมือไหว้อาจารย์ทีนึงแล้วเดินเข้ามาตามมาด้วยชายร่างเล็กลงมาหน่อยหัวชี้ๆหน้าขาวตาชั้นเดียวตามสไตล์คุณชายตี๋อันได้รับการขนานนามจากสาวๆว่า ‘โจโกโบะ’เดินเข้ามา
“ไปไหนมาวะเมิงโผล่มาเอาป่านนี้?” ผมกระซิบถามไอ้หล่อ มันมีชื่อครับ มันชื่อ ศรันย์ มันจึงชื่อว่ารันย์ครับ ตอนแรกเห็นเรียกรันๆ นึกว่าเป็นหนึ่งในเจ็ดสาวมหัศจรรย์ซะอีก ชื่อกับตัวมันไม่เข้ากันอย่างแรงครับ ชื่อออกจะน่ารัก แต่ตัวมันไม่น่ารักเอาซะเลย เพราะมันสูงกว่าผมเยอะ พอๆกับเปรตแบคแพคนั่นแหล่ะ ผมสูงแค่คางมันเท่านั้นเอง ส่วนหน้ามัน ผมคงไม่ต้องบรรยายเยอะ เป็นขวัญใจของทั้งสาวและไม่สาวในสถาบัน(และคิดว่านอกสถาบันด้วย)
“รถกรูเสียอ่ะดิเมริง”
“ขับมาทำซากอะไร บ้านเมริงอยู่แค่ซอย53 ตรงข้ามหอกรุ ขึ้นรถเมล์ก็ได้ว้อย บ้านรวยนักรึไง”
“เออ ก็บ้านกรูรวย”มันกวนตรีนพลางยักคิ้วหลิ่วตาวอนกีบเท้าหน้า
“เออๆ พวกกรูมันจน และถ้าเมริงจะคุยข้ามหน้ากรูอีก เดี๋ยวแลกที่กะกรูได้ สราด”เสียดมันอดรนทนไม่ได้
“ไอ้เมศ จริงๆเมริงมาอยู่บ้านกรูก็ได้นะเนี่ย บ้านกรูอยู่ตรงข้ามหอเมริงพอดี เมริงจะได้ไม่ต้องเสียตังค์ค่าหอ หอเมริงแพงไม่ใช่หรอ”
“อยู่บ้านเมริงเนี่ยนะ ขืนกุต้องเจอเมริงตลอด24ชม. กุคงปวดกะโหลกตายห่า”
“ไรว๊า?”รันย์ส่งเสียงกวนตรีนได้ใจ
“กรูจ่ายตังค์ค่ามัดจำหอไปแล้วหกเดือน เสียดายตังค์ว่ะ”
“พี่ที่มาสายก็นั่งหน้าสิครับ”เสียงอาจารย์เหมือนเป็นสัญญาหมดยกช่วยไม่ให้ผมกับรันย์ฟาดปากสงครามน้ำลายกันเรื้อรังยืดยาว นี่คือบทลงโทษของอาจารย์ครับ ใครมันบังอาจมาสายมันต้องนั่งหน้า โจโกโบะกับรันย์ถอนใจเซ็งๆก่อนจะเดินไปนั่งหน้าตามบัญชา แต่โจโกโบะมันอาศัยความไวชิงนั่งเก้าอี้ข้างหนึ่งในเจ็ดสาวมหัศจรรย์ซะก่อน รันย์มันเลยต้องระเห็จไปนั่งตรงอื่น โสะน้ำหน้านะเมริง....
เลคเชอร์เขียนแบบวิศกรรมจบลงด้วยอาการมึนงง เนื่องจากหลักจากเรียนเสร็จเกิดการถกเถียงกันเกี่ยวกับเนื้อหาที่เรียนตอนเลิกเล็กน้อย เถียงกันล้งเล้งอยู่นานจนในที่สุดอาจารย์ก็ยอมเขียนอธิบายให้เพราะทนลูกตื้อของไอคุณรันย์ไม่ไหว อาจารย์ควักอาวุธประจำกายออกมา ปากกาแดงแลนเซอร์รุ่นเส้นบางเฉียบขีดลงบนชีทผม.....งานนี้เถือกเลยครับ แดงเถือกทั้งหน้ากระดาษ อาจารย์อธิบายไปอย่างมันส์ในอารมณ์ในขณะที่ผมมองปลายปากกาอาจารย์อย่างปวดใจ โธ่ ชีทกรู...
“คุณนึกถึงควอตแด้นสิครับ เวลาฉายภาพเนี่ย ภาพมันต้องตกที่ฉาก เพราะฉะนั้นมุมมองที่1เนี่ยมันต้องเป็นแบบนี้”อาจารย์ยังคงขีดเส้นประกอบการอธิบายอย่างไม่ปราณี
“เห็นไม๊เมริง กรูถูกแล้ว”รันย์มันร้องแทบเป็นตะโกนอยู่ข้างหู ส่วนผมนอกจากชีทถูกขีดจนเถือกแล้ว ยังทำการบ้านผิดอีกต่างหาก
“นี่ๆ งานเมริงวางรูปผิดด้านแล้ว มุมมองที่1เมริงต้องวางtopไว้ข้างล่างfront แถมfrontสลับด้านกันด้วย”นิ้วยาวๆของรันย์จิ้มลงบน A3 ที่ผมทำการวาดฟรีแฮนด์มาร่วมสามวันเต็มกว่าจะได้แผ่นนี้มา
“กรูไม่แก้แล้วเมริง ส่งๆมันไปซะให้ออกไปจากชีวิตกรูซะที”ผมบอกมันด้วยอาการเซ็งจิตขั้น-est
“เมริงแก้ดิ คะแนนจะได้ดีๆ ปรกติงานเมริงก็ไม่เคยต่ำกว่า3.5อยู่แล้วนี่หว่า แก้ซะจะได้รักษาคะแนนไว้”
“กรูไม่แก้ กรูหิวแล้วโว้ย” ผมเก็บงานอย่างเร็ว เดินลากขาออกประตูไปอย่างสุดเซ็ง
“รอกรูด้วยดิว๊ะ”ผมเดินลิ่วๆไม่ฟังเสียงรันย์ หน้าลิฟท์มีเสียดรอผมอยู่แล้ว มันมาเข้าห้องน้ำตั้งแต่ช่วงที่อาจารย์อธิบายเพิ่ม ผมยื่นมือไปกดลูกศรชี้ลง
“เป็นไรเมริงหน้าเป็นลิงปวดตูด”เสียดทักผมที่ทำหน้าบอกบุญไม่รับ
“กรูเซ็ง หิว จิตตก สราดดดดดดดดดดดดดด” ลิฟท์เปิดในนั้นมีโคซากะเซนเซ(*อาจารย์) สอนวิชาภาษาญี่ปุ่นอยู่ในลิฟท์นั้น
“โดโซะๆ”เธอเชื้อเชิญอย่างอารมณ์ดี ผมกับเสียดมองหน้ากัน
“อ่า...อาจารย์ไปก่อนเถอะครับ โดโซะๆเหมือนกัน”ผมรีบบอกอย่างเกรงอกเกรงใจ พอดีเจ็ดสาวมหัศจรรย์เดินออกมาจากห้องน้ำจะขึ้นลิฟท์พอดี ผมจึงบอกให้เธอไปพร้อมกับเซนเซ ผมจะได้ไม่ถูกเบียดติดฝาลิฟท์ เพราะพวกเธอใหญ่สุดแล้วในคณะ
“ไม่ไปด้วยกันหรือคะ? ภาณุเมศซัง เสียดศิริซัง” โคซากะเซนเซถามอย่างปรารถนาดี
“ไม่เป็นไรครับ คนเยอะแล้วเดี๋ยวน้ำหนักเกิน”
“จะบอกว่าพวกฉันอ้วนก็บอกมาเถอะ”สาวแว่นผมยาวตาโตเหมือนนกฮูกพูดอย่างไม่จริงจังนัก ก่อนประตูลิฟท์จะปิดแล้วเคลื่อนลงสู่ภาคพื้น
ผมมองหน้าเสียดทีนึง มันก็มองผมอยู่เช่นกัน หน้าตี๋ตัวขาวของมันจ้องผมจนผมนึกว่าหน้ามีอะไรติด ผมเลยเริ่มถูหน้าตัวเอง แต่มันยังมองอยู่ ผมเลยอ้าปากจะถาม แต่พอดีได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักของสาวๆหลายคนกับเสียงทุ้มๆคุ้นหูหัวเราะประสานเบาๆผมจึงหยุดหันไปมอง ภาพนายศรันย์ท่ามกลางสาวต่างคณะกลุ่มใหญ่ทำให้ผมและเสียดอิจฉาตาร้อนผ่าวๆ ทำไมสาวๆไม่เห็นรุมล้อมกรูมั่งวะ
“อ้าว ยังไม่ลงไปหรอ?” ถ้าลงแล้วจะเห็นกรูยืนแกว่งไปแกว่งมาอยู่แถวนี้ไม๊ล่ะ
“ยังว่ะ ลิฟท์เต็ม”
“เออดี ลงพร้อมกรู” ถ้าเมริงจะไปกับกิ๊กทั้งฝูง ในฐานะที่เป็นเพื่อน กรูกะเสียดยอมลงกะไดก็ได้ว่ะ ผมได้แต่เถียงในใจ พอลิฟท์มาผมกับเสียดก็ได้แต่ซุกมุมลิฟท์ แนบแผ่นหลังไปกับฝาลิฟท์เพราะเกรงจะไปโดนคุณเธอทั้งหลายเข้า
“เดี๋ยวรันย์เรียนไรต่อหลังจากพักอ่ะ”สาวสวยในกลุ่มที่รุมล้อมถามพลางกระแซะเข้ามาใกล้
“อ๋อ เดี๋ยวบ่ายเรียนแคล แล้วเรียนlabเขียนแบบต่อ”
“งั้นก็เลิกเย็นเลยน่ะสิ”สาวๆซุบซิบกันเหมือนหารือ
“พวกเรารอดีไหม?จะได้ไปคาราโอเกะด้วยกัน”สาวๆเริ่มกระเง้ากระงอด พอดีกับประตูลิฟท์เปิด ผมขี้เกียจรอมัน เลยเดินนำไปก่อนพร้อมกับเสียด ทิ้งคนเนื้อหอมให้โดนรุมตอมอย่างที่มันชอบนักหนา
“เดี๋ยวดิไอ้เมศ รอด้วย”มือแข็งแรงคว้าเข้าที่ ต้นแขนดึงรั้งให้ผมผงะถอยหลังจนกระแทกเข้ากับอกกว้างนั้น
“โทษทีๆ ไม่นึกว่าจะออกแรงเยอะไปหน่อย”
“แรงอย่างกะควาย ไอ้หมาบ้า เมริงมีไร”
“ป่าว กรูแค่จะบอกว่าเมริงน่ารักสาดๆ”ไอรันย์รีบเผ่นแพล้วหลบกีบเท้าหน้าของผมไปได้อย่างหวุดหวิด
“เอี้ย เมริงเมากิ๊กรึไงวะ”ผมด่ามันทั้งรู้สึกหน้าหนาๆของตัวเองร้อนชอบกล
“หน้าไปโดนใครตบมาวะ แดงเถือกมาเลย”เสียดที่หายหัวไปตอนช็อตสำคัญนั่งลงพร้อมจานผัดผักที่ใส่พริกไทยเยอะราวกับเจ้าของร้านเป็นเจ้าของโรงงานพิรกไทย
“ป่าว กรูสำลักน้ำลายนิดหน่อย”
“สำลักน้ำลายหรือสำลักความน่ารักละจ๊ะ น้องสาว”หนึ่งในเจ็ดสาวมหัศจรรย์เริ่มแกว่งปากเมื่อมีโอกาส แปลกนะครับ ม.อื่นคณะอื่นผู้ชายถึงจะแซวผู้หญิง แต่ที่นี่...ผู้หญิงแซวผู้ชายครับ ผมเองก็ตกเป็นเหยื่อของพวกเธอมาแล้วหลายหน ไม่รู้ทำไมถึงสนใจแซวผมเป็นพิเศษ
“เจ๊กรครับ ผมว่าก๋วยเตี๋ยวเจ๊เย็นแล้วครับ รีบรับทานดีกว่าไหมครับ” เจ็ดสาวมหัศจรรย์ที่บัดนี้จ้องผมเป็นตาเดียวขำกลิ้งฮิฮะกันใหญ่
“แหม ขอบใจที่เป็นห่วงนะจ๊ะน้องสาว เดี๋ยวเจ๊กรเลี้ยงติม”
“เอาดีเมริง เจ๊กรเลี้ยงเลยนะเว้ย ของฟรีๆ”ไอเสียดมันยุแยง
“ไอติมแลกกะช๊อตYหนึ่งช๊อต ยอมไม๊จ๊ะ ฮี้ว~”
“เจ๊ครับ ช๊อตวายผมคงให้ไม่ได้ แต่ถ้าเป็นช๊อตควายละพอไหวครับ”
“อะไรกันวะพวกเมริง เสียงดั่งลั่นโรงอาหาร”ไอรันย์เดินกลับมาอีกครับพร้อมสุกี้แห้ง เหลือผมคนเดียวที่มัวแต่ต่อล้อต่อเถียงเลยยังไม่ซื้อข้าว
“ไม่มีอะไรหรอก แค่แซวเมศมันนิดหน่อยเอ๊ง ไม่ต้องรีบปกป้องกันขนาดนั้น”สาวๆยังแซวต่อ
“วันนี้ไม่นั่งกับสาวๆหรอคะคุณรันย์ ผิดวิสัยหูดำนะเนี่ยวันนี้”
“พวกเจ๊ก็ ผมก็ต้องนั่งกับเพื่อนผมมั่งสิครับ เดี๋ยวมันน้อยใจแย่”
หนุ่มร่างสูงปานกลางหน้าขาวบ่งบอกว่ามีเชื้อจีนชัดเดินมาพร้อมกับสาวๆอีกกลุ่มหนึ่ง ผมซอยสั้นชี้โด่ไปเด่มาเล็กน้อย เขาคือโจโกโบะ มันมีชื่อเล่นจริงๆของมันแต่ไม่มีใครเรียกแล้วครับ เพราะเจ็ดสาวฯได้ทำการตั้งให้ใหม่เนื่องจากมันนั่งหน้าใครคนนั้นโดนหัวมันบังมิด หนึ่งในเจ็ดสาวฯจึงตั้งให้เหมือนนกในเกมส์ดัง ซึ่งหัวชี้ๆเหมือนมันเลย มันคือไอ้หนุ่มคณะผมที่มีคุณสมบัติพิเศษคือหูดำนักหนา สาวน้อยสาวใหญ่ติดมันกันแจ สาวๆที่เข้ามาเกาะแกะมันล้วนถูกเรียกว่า โจโกบิ อันนี้ผมไม่ทราบที่มาว่าทำไมเรียกแบบนี้เหมือนกัน แต่ที่แน่ๆมันกับรันย์ทำให้สาวๆไขว้เขวได้มากทีเดียว
“เมริงไม่ต้องมานั่งตรงนี้เลยไอ้โจโกโบะ เกะกะกรู สาวๆเค้าได้ไขว้เขวความหล่อกรูหมด”เสียดมันรีบปัดป้องพื้นที่ว่างข้างผมไม่ให้โจโกโบะมานั่ง โจโกโบะจึงจำได้ตีปีกจากไปนั่งโต๊ะตัวถัดไปแต่โดยดี ก่อนไปก็ทิ้งท้ายให้ฉงน
“กันที่ไว้ก็บอกมาเหอะ”
“เมศ เมริงจะไม่กินข้าวหรอ นั่งสบตากะสุกี้กรูจนน้ำแห้งและนะเมริง”รันย์แกว่งปากหากีบเท้าหน้าอย่างเป็นห่วงเป็นใยทันที
“สุกี้เมริงน้ำแห้ง ไม่ต้องมาซุง”ผมรีบลุกขึ้นไปหาของกิน ทันที ก่อนจะต้องต่อปากต่อคำจนตายกันไปข้าง
“เฮ้ย โจโกโบะ มานั่งไรแถวนี้วะ ไปนั่งไกลๆโน่นไป ชิ๊วๆ” รันย์ออกปากไล่พลางโบกมือไล่เหมือนหมูเหมือนหมา แต่ขอโทษ โจโกโบะเป็นสัตว์ปีก หาได้ขยับตัวไม่
“ไรวะกินข้าวอยู่ดีๆ”โจโกโบะบ่นๆ
“เค้าหวงของน่ะสิ”เจ๊กรที่กินก๋วยเตี๋ยวน้ำใสหมดแล้วรีบแทรกขึ้น
“ก็น่าหรอกสวยกว่าดาวคณะ” หนึ่งในเจ็ดสาวพูดขึ้น น้องดาว(คณะ)ที่ปัจจุบันเลื่อนขั้นเป็นดาวสถาบันแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว มองเพื่อนสาวแบบ เออ มันก็จริง
“ฉันไม่ได้อยากเป็นดาวคณะ ดาวสถาบันซะหน่อย” น้องดาวพูดแล้วเขี่ยเหยือกน้ำอัดลมที่มีหลอดหลายอันจิ้มมาดูด
“มันได้เพราะของเค้าแรง”โม สาวแว่นที่ดูจะเงียบที่สุดพูดขึ้น
“แม่ยกมันแรง จริงไม๊แชร์รี่” ขวัญหรือน้องเชอร์รี่ที่อัพเกรดตัวเองด้วยสำเนียงสุดอลังการหันมาหัวเราะ
“แกไม่น่าเป็นเจ๊ดันชั้นเลยรู้ไม๊ วันเสาร์นี้ชั้นต้องไปสัมมนาโรคเอดส์เลย” ทั้งโต๊ะขำกลิ้งกับความซวยของน้องดาว พอดีผมกลับมาพร้อมข้าวผัดพอดี
“ก็บอกแล้วว่าให้ชิ่ง”
“ชิ่งบ้านแกดิ เดี๋ยวก็โดนถีบส่งให้ไปอยู่ดีอ่ะ”
“เมศวันนี้จะกลับบ้านป่ะ?” สาวแว่นเจ้าของนามว่า แตงโม หรือ โม ญ. หนึ่งในเจ็ดสาวที่ดูเหมือนจะเงียบที่สุดในกลุ่มถามผม
“อ่อ วันนี้กลับ โมจะกลับด้วยกันไม๊” โมพยักหน้า โมกับผมเป็นเด็กหอครับ ซุกหัวอยู่หอ แต่กลับบ้านสัปดาห์ละสองครั้ง วันอังคารและวันศุกร์ คาดว่าพวกเราเป็นเด็กหอที่กลับบ้านบ่อยที่สุดแล้ว
“กลับ ไปล้างส้วมให้แม่”
“ไอ้โม แกไม่ต้องบอกละเอียดขนาดนั้นก็ได้มั้ง”เจ๊ใหญ่สาวหมวยร่างอวบขาวบอก
“เมริงจะกลับบ้านหรอ กรูไปส่งมะ?”รันย์รีบขันอาสาทันทีท่ามกลางสายตาวิบวับอยากรู้อยากเห็นของเจ็ดสาว
“ไม่ต้องว่ะ กรูเกรงใจ กลับพร้อมโมก็ได้ขึ้นรถไฟฟ้าเอา”
“บ้านเมริงไกลกรูไปส่งดีกว่าน่า ถ้ารู้สึกผิดก็ออกค่าทางด่วนให้กรูก็ได้” ไอคุณรันย์ยังดิ้นรน เมริงจะเอาอะไรจากผมครับ...เอี้ยเอ้ย
“แล้วโมจะกลับไง”
“ก็ช่างมันดิ” รันย์ตอบแล้วแย่งโกโก้ปั่นจากเสียดมาดูดอึกใหญ่
“ไอ้!...”ผมนึกคำด่าไม่ออกได้แต่ขึ้นสรรพนามนำหน้า
“ไอ้อะไร กรูรู้น่าว่ากรูน่ารัก”
“น่ารักเหมือนตัวเห้ใช่ไหมเมริง”เสียดมันแทรกดอดเข้ารับมุกไซด์คิกแทนผมอย่างสวยงาม
“ตัวเห้บ้านเมริงสิจะน่ารักขนาดสาวๆล้อมหน้าล้อมหลังขนาดนี้”
“ไม่เป็นไร ถ้าจะสวีทกันเราขึ้นรถเมล์ไปกับดาวก็ได้”โม ญ.ตอบเรียบๆ ด้วยสีหน้าสงบหากนัยน์ตาหลังกรอบแว่นพราวแพรว
“อุซางิๆ!!” หนึ่งในเจ็ดสาวอุทานออกมาทำให้สาวๆมองตามหนุ่มน้อยเพื่อนร่วมคณะร่างบางผู้มีผิวขาวเรื่อเรืองที่เดินมาไกลๆกันเป็นตาเดียว
“ขาวชิบเป๋งเลยว่ะ นีออนโคตรๆ” พวกเธอเริ่มนินทาเบาๆพลางกลบเกลื่อนด้วยการกินข้าว ทั้งที่ตากวาดมองกระต่าย(=อุซางิ)กันเป็นตาเดียว
“เอวเล็กมากเลยอ่ะแก เอวเล็กกว่าไอน้องดาวอีก”
“ทำไมต้องพาดพิงชั้นวะ”ดาวบ่น
“แกเห็นมันวันใส่ชุดพิธีการป่าว โคตรเข้าอ่ะ อิโจโกโบะอีกตัว แมร่งขาวใส่อะไรก็ขึ้น”
“เมศ กรูว่ากรูไปส่งเมริงดีกว่าว่ะ แล้วเอาโมไปด้วย บ้านโมทางผ่านบ้านแกอยู่แล้วนี่”รันย์กระซิบถามผม แต่ทำไม๊ทำไมมันใกล้หูผมมากกว่าปรกติชอบกล
“แล้วแต่เมริงสิ”ผมตอบทั้งที่กำลังคิดอยู่เหมือนกันว่า ไอ้รันย์เมริงจะใกล้เกินไปแล้วว้อย
“สองคนจู๋จี๋อะไรกันจ๊ะ เห็นเจ๊หันไปสนใจอย่างอื่นละฉวยโอกาสเชีย”เจ๊กรพูดพลางตักไอติมใส่ปาก เจ๊แกตาไวจริงๆครับ ผมกับรันย์คุยกัน0.25วิเท่านั้นเจ๊กรก็หันมาเห็นพอดี
“ที่คอเป็นอะไรทำไมมีรอยแดงๆ”โม ญ.ถามขึ้น คนนี้ก็ตาไวครับ ผมเพิ่งเกาๆอยู่ไม่กี่ทีเมื่อกี้
“มันคันๆเหมือนจะแพ้สบู่”
“แพ้ใจเว้ย แพ้ใจ เอาฮี้วววว~”เจ็ดสาวขำขันเฮฮา....ไม่ได้ฟังกันเลย ผมบอกว่าแพ้สบู่(ว้อย)
“แพ้ใจใครวะ ถ้าไม่ใช่กรู กรูไม่ยอมนา”ผมหันไปถลึงตาใส่ไอ้รันย์ทันที มันหันไปยิ้มนัยน์ตาพราวพลางใช้นิ้วแกร่งเรียวจับหลอดชามะนาวแล้วคนเบาๆ
“แสรด ฝันไปเหอะเมริง เมริงอีกตัวไอ้เสียด ไม่ต้องมาทำตาวับๆใส่กรู”
“เอี้ย อย่ากราดกรูด้วยดิวะ กรูแค่จะบอกว่า ฮิปโปะนัดพวกประจำชอปวันเปิดถาบันไปพบใต้ชอปบ่ายโมง เมริงลงชื่อไว้ตอนประชุมคณะรึเปล่าล่ะ?”
“เออ ก็ลงกันสามคนเลยนี่หว่า เดี๋ยวไปเว้ย กินข้าวก่อน”
สถาบันของพวกเรายังไม่เปิดอย่างเป็นทางการครับ กำหนดเปิดอย่างเป็นทางการคือวันที่ ๒สิงหาคม ในวันนั้นจะมีแขกผู้หลักผู้ใหญ่ทั้งฝ่ายไทยและญี่ปุ่นมามากมาย พวกผมจึงจำเป็นต้องเป็นแรงงานทาสทำงานตามจุดต่างๆ อย่างผม รันย์และเสียด รับผิดชอบนำเสนอชอุปยานยนต์ใต้อาคารA ผมยังสงสัยว่าจะทนใส่ชุดพิธีการร้อนเหมือนห้องโยคะร้อนไปได้นานเกิน15นาทีไหม เพราะวันนั้นพวกผมต้องใส่ชุดพิธีการกันตลอดวัน หลังจากได้ลิ้มรสความเลิศแบบร้อนๆของชุดจากวันไหว้ครูมาแล้ว
ชุดพิธีการสถาบันเรามันไม่ธรรมดาครับ ไม่ใช่ใส่แล้วต้องโหนสลิงค์ ปีนเขา ยิงปืน แต่มันเท่ห์แบบเหงื่อตกกีบ เพราะมีสูทเป็นเสื้อนอกสีดำคอปิดเหมือนในการ์ตูนญี่ปุ่น ที่คอเสื้อขวาติดเข็มตราสถาบันแงะจากเนคไทมา เรียบง่ายแต่เท่ห์สุด ใส่แล้วมาเดินรวมกันเป็นกลุ่มดูเผินๆเหมือนกลุ่มยากูซ่าหน้าโฉด มารวมตัวกันไปบุกแก๊งค์อื่น แต่ก็นั่นแหล่ะครับ ชุดพิธีการสุดเท่ห์ที่ใส่แล้วสาวๆ(ชาวบ้าน)มองกันเหลียวหลังมันแลกมาด้วยความร้อน ร้อนมาก ถึงร้อนที่สุด(ว้อย) ร้อนขนาดที่วันไหว้ครูสถาบันยอมทุ่มทุนสร้าง เปิดแอร์18องศาให้พวกผมมาแล้ว ส่วนชุดพิธีการนักศึกษาหญิงคล้ายกันครับ แต่ของพวกเธอเข้าเอวเน้นรูปร่างเล็กน้อยพอน่ารักกลัดเข็มตราสถาบันที่อกขวาซึ่งเวลากลัดจะสับสนมากว่าข้างไหนเป็นด้านหน้าแล้วด้านไหนเป็นด้านหลัง สูทพิธีการมีประวัติทำให้คณะวิศกรรมศาสตร์รวมมีนศ.ชาย77คน จากทั้งหมด77คนมาแล้วครับ ใส่คู่กับกระโปรงทรงตรงผ่าหลังสุภาพ ที่เวลานั่งลำบากมากและรองเท้าหุ้มส้นที่ทำให้ร้านโชห่วยข้างหอ19ขายพลาสเตอร์ปิดแผลหมดภายในสิบห้านาทีมาแล้ว
“พวกคุณที่ประจำแต่ละจุดมากันครบแล้วใช่ไหมครับ”อาจารย์คณะวิศกรรมศาสตร์ผู้มีรูปหน้าใหญ่แล้วจมูกใหญ่กว่าปรกติสมกับฉายาที่เจ็ดสาวตั้งให้กล่าวหลังจากปล่อยให้พวกผมรออยู่นาน เพราะอาจารย์ท่าน....ตบปิงปองกับนักศึกษาคู่แข่งอย่างเมามันส์
“ครับ นานแล้วครับ”
“อ๊าว พวกคุณก็นั่งสิ จะยืนอยู่ทำไม” อาจารย์นั่งลงเป็นประธานที่หัวโต๊ะรูปวงรีในส่วนที่เป็นชั้นเรียนชอป พวกผมนั่งตามอย่างเซ็งๆ ก่อนอาจารย์จะถามขึ้น
“เช็คชื่อ ...”อาจารย์ขานชื่อพร้อมกับบอกฝ่ายว่าทำหัวข้ออะไร ผมทำงานคู่กับรันย์ครับ ทั้งที่คู่อื่นเป็นคู่หญิงชาย แต่ของผมต้องคู่กับมัน เป็นที่เสียดส่อและล่อแหลมมาก เพราะจะตกเป็นเหยื่อการแซวของสาวๆ
“พวกคุณทำhybridใช่ไหม ผมปลดโซนคุณ เรามีปัญหาด้านอุปกรณ์เลยจำเป็นต้องโยกพวกคุณไปทำงานอย่างอื่น”
“อ้าว ‘จารย์ แล้วข้อมูลที่พวกผมหามาละครับ” รันย์ถาม
“ก็เป็นบอร์ดเฉยๆ พวกคุณไปประจำแขนกลกับคาร์เทียแล้วกัน”อาจารย์บอกแบบไม่คิดมาก แต่ผมนี่ถึงกับซีด เพราะทั้งหมดที่ขวนขวายหาข้อมูลมาแทบจะไม่ได้ใช้ หลังจากนั้นไม่นานอาจารย์ก็ปล่อยให้ขึ้นไปเรียนคาบบ่าย ซึ่งผมถึงกับเซ็งเครียดกินข้าว เลยต้องระบายด้วยการร่วมวงตบวอลเล่ย์กับเจ็ดสาว ซึ่งพอเลิกเรียนแล้วก็เหลืออยู่5
.
.
.
.
*** ขออนุญาตแก้ไขคำห้อยท้ายของชื่อเรื่อง เพื่อลดความรุงรังของหัวข้อ แต่หากผู้แต่งมีเรื่องแจ้งเพิ่มเติม ก็สามารถแก้ไขชื่อเรื่องได้ตามปกติค่ะ
ทิพย์โมบอร์ดนิยาย