ฟ้ามืดลงทุกทีๆ แต่ป่านฉะนี้ลูกศิษย์ตัวดีก็ยังไม่กลับมา หะแรกคนึงฝืนตีหน้านิ่งเฉยไม่รู้ร้อนเมื่อกลับมาพบเพียงห้องว่างเปล่า แกล้งไม่รู้หนาวเมื่อได้เวลาอาหารเย็นแล้วก็ยังไม่เห็นเงาเจ้าของดวงตาสดใสคู่นั้น
ไม่.. เขาไม่ได้ห่วงเด็กคนนั้น เด็กนิสัยเสีย เอาแต่ใจ ไร้ความรับผิดชอบพรรค์นั้นมีอะไรให้ห่วง
หายไปค่ำๆมืดๆแบบนี้ คงไม่แคล้วไปเที่ยวเล่นกับพวกนักเลงหัวไม้อีกกระมัง
ได้แต่บอกตัวเองว่าไอ้อาการร้อนรนนั่งไม่ติดนี่น่าจะเป็นเพราะหากคุณชายนั่นเป็นอะไรไป หม่อมเจ้าอาทิตย์ธวัชจะต้องกริ้ว และอาจลงโทษทางโรงเรียนได้ เขาแค่ห่วงชื่อเสียงของโรงเรียน ก็เท่านั้น..
ไม่มีอะไรอื่น ‘เกินเลย’ กว่านั้น ไม่มีแน่นอน!
เกือบสองทุ่มแล้ว คนึงตัดสินใจจะออกไปตามหา จ้อยอาสาไปด้วยเพราะเป็นห่วงเพื่อนต่างชนชั้น ศิษย์อาจารย์เอาเรือออกจากท่าหลังโรงเรียน โดยมีเป้าหมายที่บ้านกำนัน ขณะที่มือใหญ่กำลังสาละวนคลายเชือกผูกเรือ จ้อยที่ยืนหิ้วตะเกียงเจ้าพายุก็สังเกตเห็นเรือลำหนึ่งจ้ำพายตรงมา
แสงตะเกียงหัวเรือวอมแวมไม่สว่างนัก แต่จ้อยจำเรือนร่างกำยำและรูปหน้าคมสันของฝ่ายนั้นได้ขึ้นใจ คนที่ชังแสนชัง
ไอ้สิงห์!?
มือเล็กสะกิดอาจารย์ให้เงยหน้าดู สิงห์เองก็คล้ายจะชะงักไปเช่นกันที่เห็นเขา หากเพียงวูบเดียว แขนแกร่งรีบจ้วงพายจนขึ้นกล้าม ถึงท่าแล้วรีบเหนี่ยวหลัก ดึงเรือเทียบชิด นั่นแหละทั้งจ้อยและคนึงจึงได้เห็นสภาพร่างแบบบางที่ทอดกายเอนซบกับฝีพายท้ายเรืออย่างชัดเจน
“คุณชาย!” จ้อยร้องลั่น ผวาเข้าไปหา สิงห์โดดขึ้นท่า อ้อมแขนแกร่งยื่นไปรับร่างระทดระทวยที่ลูกน้องส่งให้ขึ้นช้อนอุ้ม
เมื่อนั้นทุกคนถึงได้เห็นชัดเต็มสองตา
ด้านหลังของผ้าขาวม้าแดงฉานชุ่มโชกด้วยเลือด หยดติ๋งลงพื้นไม้แหมะๆ เป็นหยดแดงด่างดวง
ตาใสๆของจ้อยเบิกโพลงตะลึงลาน เลือดแดงฉานหยาดไหลมาตามเรียวขาขาว ดวงตาที่สดใสเป็นนิตย์คู่นั้นปิดสนิท สมองน้อยๆประมวลผลได้ว่าคุณชายของเขาโดนทำร้ายไม่ต้องสงสัย ตัวการจะเป็นใครนอกจากไอ้คนสารเลวตรงหน้านี่
“ปล่อยคุณชายนะ พวกเอ็งทำอะไรเขา!” ไม่ฟังอีร้าค่าอีรม กำปั้นเล็กทุบอั้กๆที่หลังไหล่ล่ำสัน อีกฝ่ายเพียงเบี่ยงกายหลบหลีก
“ไม่รู้โว้ย!” เสียงทุ้มห้าวตะคอกใส่อย่างเหลืออด ถ้าไม่ติดว่าอุ้มคุณชายอยู่ละก็ จะจับไอ้เตี้ยนี่หักแข้งหักขาแล้วโยนลงน้ำเสียให้หมดฤทธิ์
คนึงยืนตัวชา มือสั่น ความโกรธจากไหนไม่รู้มากมายมาสุมใจจนเดือดพล่าน พยายามแล้วที่จะระงับมัน แต่ก็เกินควบคุมไหว ดวงตาคมเข้มวาววับด้วยโทสะ กำหมัดขบกรามแน่น เมื่อได้ประจักษ์ว่าการณ์เป็นอย่างที่คาดไว้ไม่มีผิด ยิ่งคิดสภาพตัวเองที่ผุดลุกผุดนั่งกระวนกระวายยิ่งรู้สึกเหมือนถูกตบหน้า
หายหัวไปทั้งวัน กลับมาเอาเสียมืดค่ำในสภาพเนื้อตัวเกือบล่อนจ้อน ซบอิงแอบมากับผู้ชาย แถมยังรอยเลือดนั่นอีก
ภาพมันฟ้องออกโต้งๆแบบนี้ จะให้เขามองเป็นอะไรได้!
“ไปทำอะไรกันมา!” อาจารย์หนุ่มตะคอกลั่นไม่ออมเสียง ก้าวอาดๆไปยืนตรงหน้าลูกชายกำนัน มือใหญ่ตบหน้าคนที่เอาแต่นอนซบให้ได้สติสองสามที ไม่แรง.. แต่ก็ไม่เบา
ดวงตาแดงก่ำค่อยๆปรือขึ้นมอง
“มานี่!” แขนแข็งแรงกระชากร่างโปร่งบางจนลงไปกองกับพื้น ก่อนตามไปเขย่าตัวจนหัวสั่นหัวคลอน “ครูถามว่าเราไปทำอะไรมา ตอบ!”
“อาจารย์ คุณชายเจ็บอยู่นะครับ” เสียงจ้อยที่ผวาเรียกทำให้คนึงได้สติ มือที่บีบต้นแขนขาวแน่นชะงัก ค่อยๆคลายออก ปรากฏรอยแดงเด่นชัด ริมฝีปากได้รูปเม้มแน่น สบดวงตาสีน้ำตาลใสที่มองสบแวบหนึ่งแล้วเบือนหลบ
คมตานั้นกรีดใจเขาเสียเจ็บซิบ
อาจารย์หนุ่มช้อนอุ้มร่างเบาหวิวเดินกึ่งวิ่งขึ้นไปบนเรือน มีจ้อยตามไปติดๆ สิงห์ก้าวขาจะขึ้นบันไดตามไปทว่ากลับชะงักเมื่อลูกน้องคนสนิทดึงแขนไว้
“หมดเรื่องของเราแล้ว กลับเถอะ” ลอยบอกด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง แต่ลูกพี่กลับสะบัดแขนอย่างแรง เดินขึ้นไปไม่สนใจ ทิ้งให้อีกคนถอนใจเฮือก เดินไปนั่งรอบนแคร่ใต้ต้นหางนกยูง
อ้อมแขนแกร่งค่อยๆวางร่างแบบบางลงบนเตียง ทะนุถนอมเหมือนแก้ว ราวกับเป็นคนละคนกับที่ท่าน้ำ มือใหญ่แหวกผ้าขาวม้าออกหาที่มาของบาดแผล เห็นแผลเล็กๆตรงต้นขาด้านใน แผลนิดเดียว แต่กลับมีเลือดไหลไม่ยอมหยุด
“เจอคุณชายที่ท่าสวนตาแหวง บอกว่าไปตกกุ้งกับเพื่อน” ลูกชายกำนันหยุดอยู่แค่หน้าประตูห้อง บอกเล่าข้อมูลเท่าที่รู้แก่อีกฝ่าย นิ่งมองเจ้าตัวเล็กที่แค่เห็นเลือดก็หน้าซีด ใช้กระดาษซับเช็ดเลือดด้วยมือสั่นเทา
“สงสัยถูกปลิงเกาะ” ใบหน้าหล่อคมสลดวูบ ความรู้สึกผิดถาโถมกัดกินใจ “จ้อย ไปเอากล่องปฐมพยาบาลมา ขอบุหรี่อาจารย์วิรัชมาด้วย”
ร่างเล็กพยักหน้าหงึกหงักก่อนวิ่งตัวปลิวไป ชะงักนิดหนึ่งเมื่อเห็นคนตัวโตยืนขวางประตูมองมาด้วยดวงตาเรียบนิ่ง มือใหญ่ยื่นซองบุหรี่ส่งให้ แต่จ้อยกลับเมินหนี ถูกกระชากต้นแขนกลับมายัดเยียดซองบุหรี่ให้อีก หนนี้มือเล็กปัดมันเสียกระเด็นแล้ววิ่งตื๋อออกไป ไม่แยแสว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกเช่นไร
ความหวังดีของคนๆนี้ เขาไม่ต้องการ!
ได้กล่องปฐมพยาบาลแล้ววิ่งไปหาอาจารย์วิรัชที่ยืนสูบบุหรี่อยู่ตรงหัวบันได ซึ่งก็ยอมปันบุหรี่ให้เมื่อร้องขอ
“รดน้ำผักแล้วหรือจ้อย” อาจารย์ร่างสันทัดถามอย่างแปลกใจ
“ยังครับ ว่าจะอยู่ดูแลคุณชายก่อน”
“อ้าว เป็นอะไร”
“คุณชายโดนปลิงเกาะครับ เอาไว้ดึกๆค่อยไปรด” หนุ่มน้อยพนมมือไหว้ขอบคุณแล้ววิ่งจากมา
เจอคนตัวโตยืนขวางหน้าห้องอยู่เช่นเคย จ้อยเพียงเดินผ่าน มองผ่านเหมือนมองอากาศธาตุ เข้าไปเป็นผู้ช่วยอาจารย์คนึงทำแผลและห้ามเลือดให้คุณชายอย่างขะมักเขม้น อาจารย์หนุ่มเริ่มจากเช็ดคราบเลือดรอบปากแผลแล้วฉีกมวนบุหรี่เอายาเส้นมาโปะแผลไว้เพื่อห้ามเลือด จ้อยเจ็บแทนทุกครั้งเมื่อเห็นคุณชายสะดุ้งหรือร้องครางด้วยความเจ็บ
เลือดหยุดไหล จ้อยทำหน้าที่เช็ดเนื้อเช็ดตัวให้ เอาชุดนอนหอมสะอาดให้ใส่ เลอมานนั่งพิงหมอนอยู่บนเตียง ดวงตาคู่สวยนั้นแดงก่ำ ขณะถูกอาจารย์ผู้ดูแลซักไซ้ราวกับเป็นจำเลย
“ผมไม่รู้! ไปถามนักเรียนของอาจารย์เอาเองสิ!” คนเจ็บแหวเข้าให้อย่างเหลืออด ปลายจมูกแดงเรื่อ เจ็บใจ เจ็บตัว ผิดหวัง น้อยใจ หลากหลายอารมณ์ปนเปกันคุกรุ่นอยู่ในอก
คนึงเข้าใจได้ไม่ยากว่าเป็นใคร คนที่เลอมานสนิทสนมด้วยในโรงเรียนนี้ นอกจากจ้อยก็มีแต่สง่าและสันติเท่านั้น จ้อยจึงถูกใช้ให้ไปตามสองสหายมาสอบสวนโดยด่วน
ร่างเล็กวิ่งตื๋อออกจากห้อง โล่งใจที่ไม่เห็นคนตัวสูงๆยืนขวางกรอบประตู แต่ทันทีที่ลงบันได หนุ่มน้อยก็เข้าใจว่าตนคิดผิด
“ดูสิวะคนเรา อุตส่าห์ช่วยแท้ๆเสือกถูกด่าถูกทุบ พอรู้ว่าเข้าใจผิดอย่าว่าแต่ขอโทษเลย จะขอบคุณกันซักคำก็ไม่มี” ร่างสูงใหญ่เดินจากแคร่ใต้ต้นหางนกยูงเข้ามาหาด้วยท่าทางยียวน มีลูกสมุนคนสนิทตามติด แต่มีหรือคนอย่างหลานยายช้อยจะกลัว
“ไสหัวกลับไปได้แล้วไอ้สิงห์ อย่ามาเกะกะแถวนี้” นักเรียนร่างเล็กเชิดหน้าไล่ส่งอย่างไม่กลัวเกรง
“น้อยหน่อยไอ้จ้อย วันนั้นทำพวกกูอับอายขายหน้า กูยังไม่ได้เอาคืนเลย” ไอ้ลอยท่าทางเดือดร้อนกว่าลูกพี่หลายเท่านัก “แล้วพี่สิงห์แก่กว่าเอ็งตั้งกี่ปี เอ็งเรียกเขาว่าอะไรนะ”
ดวงตาคู่ใสจ้องมองหัวหน้าอันธพาลด้วยความเกลียดชัง เมื่ออยากฟังนักก็จะพูดให้ฟังช้าๆ ชัดๆให้สมใจ
“ไอ้ สิงห์”
น่าแปลก คนถูกเรียกกลับเพียงมองนิ่ง..
‘พี่สิงห์’ ภาพใบหน้าเด็กน้อยในชุดนักเรียน ตาโตใสกระจ่าง เรียกขานชื่อเขาพร้อมรอยยิ้มกว้างผ่านวูบเข้ามาในความทรงจำ
วันเวลาผ่านไป เด็กน้อยคนนั้นเติบโตขึ้นเป็นหนุ่มน้อย น่ารัก น่าถนอมไม่เปลี่ยน ดวงตาใสซื่อเหมือนลูกหมา รอยยิ้มอ่อนหวานนั้นก็ยังเหมือนเดิม หากแต่มีไว้ให้คนอื่น ไม่ใช่เขา!
นึกแล้วมันน่าเจ็บใจนัก!
“ถือว่าอยู่ในโรงเรียน ทำเป็นกร่างนะมึง” สิงห์กระซิบเหี้ยม ก้าวพรวดเดียวเข้ามากระชากข้อมือน้อยอย่างแรง จ้อยสะดุ้งผวาเมื่อถูกคนแรงเยอะกว่าออกแรงลากไปในมุมมืด
“ไอ้สิงห์ ไอ้อันธพาล ไอ้ชาติชั่ว ปล่อย!” หนุ่มน้อยดิ้นปัดๆ
“เออ! กูมันอันธพาล กูมันชั่ว แล้วไงวะ!” คำด่าทอนั้นยังผลให้คนฟังโกรธจนเหวี่ยงร่างเล็กไปกระแทกกับต้นมะม่วงอย่างแรง
จ้อยลูบหัวป้อยด้วยความเจ็บ ดวงตาคู่สวยถลึงจ้องอีกฝ่ายอย่างชิงชังสุดหัวใจ “เป็นถึงลูกกำนัน กลับทำตัวเป็นอันธพาล เที่ยวใช้อำนาจระรานคนไปทั่ว คนอย่างเอ็งถ้าไม่มีพ่อคุ้มกะลาหัวให้ก็ไม่ต่างอะไรกับหมาตัวนึง”
สิงห์หยุดทันที เหมือนถูกกระสุนพุ่งเข้าใส่
“ซักทีเถอะวะ!” ไอ้ลอยเงื้อง่ากำปั้นปราดเข้ามาหมายจะสั่งสอนเด็กปากดี แต่กลับถูกลูกพี่ยกแขนกันไว้
“กลับ!” พูดแค่นั้นคนตัวโตก็หันหลังเดินลิ่วๆจากไป ทิ้งจ้อยให้หน้าตื่นอยู่พักหนึ่งก่อนวิ่งตื๋อไปหาสง่าและสันติ
ไอ้ลอยเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างหงุดหงิด เหวี่ยงตีนเตะปลายหญ้าระบายอารมณ์ หงุดหงิดไอ้จ้อยที่วันนี้ก็ยังเอาคืนมันไม่ได้ แต่ที่น่าหงุดหงิดยิ่งกว่านั้นคือลูกพี่ตัวเอง ที่ปล่อยเหยื่อที่ดิ้นเร่าๆคามือให้หลุดรอดไปได้แบบนี้
จู่ๆก็นึกถึงบทสนทนาระหว่างจ้อยกับอาจารย์วิรัชขึ้นมาได้
ริมฝีปากหนาหยักยิ้ม แววตาเจ้าเล่ห์แพรวพราย ภูมิใจกับแผนการใหม่ที่เพิ่งคิดได้สดๆร้อนๆนัก
ระหว่างทางกลับบ้าน สิงห์เอาแต่นั่งเหม่อ แจวเรือซ้ายทีขวาทีอย่างคนใจลอย จนต้องเอาพายราน้ำนิ่งปล่อยให้ลอยจ้วงพายไปคนเดียว
สมุนตัวโตมองอาการลูกพี่แล้วยิ้มหยันในความอ่อนหัดของอีกฝ่าย ทำเป็นวางท่าโหดเหี้ยมใส่ได้ไม่กี่น้ำ แค่พอไอ้เตี้ยจ้อยมันพูดกระแทกใจเข้าหน่อยก็อ่อนปวกเปียก ดูอย่างวันก่อนที่ตลาดนั่นปะไร เตรียมพร้อมไปโวยวายหาเรื่องเต็มที่ แต่พอเจอตาใสๆนั่นจ้องมองมา ไอ้สิงห์ก็สิ้นฤทธิ์เป็นงูเจอเชือกกล้วย
ไอ้สิงห์ ไอ้อ่อนหัด ไอ้กระจอก ไอ้โตแต่ตัว ที่จ้อยมันด่าเข้าให้ก็ถูกแล้ว ถ้าไม่มีบารมีพ่อคุ้มกะลาหัว คนอย่างเอ็งมันก็ไม่ต่างอะไรกับหมาตัวนึงแหละว้า
ไอ้สิงห์แก่กว่าไอ้จ้อยสามปี แต่มันสองคนเรียนทันกันจนได้อยู่ห้องเดียวกันตอนป.๕ ทำไมน่ะหรือ ก็ไอ้สิงห์มันโง่จนสอบตกซ้ำชั้นสองปีซ้อน ในขณะที่จ้อยมันเรียนเก่งจนได้ข้ามชั้นขึ้นมาปีนึงน่ะซี ไอ้สิงห์จึงกลายเป็นเด็กโข่ง ตัวโตที่สุดในห้อง แล้วดันเสือกดวงซวยได้นั่งข้างๆกับไอ้จ้อย ที่ตัวเล็กกะจ้อยร่อยสมชื่อ โลกมันตาลปัตร คนแก่สุดในห้องเสือกโง่สุด แต่คนอ่อนสุดในห้องเสือกเก่งสุด สอบได้ที่หนึ่งทุกปี เป็นตัวแทนห้องถือพานพุ่มไหว้ครู ได้รางวัลมารยาทงามอีกด้วย
ตรงข้ามกับไอ้สิงห์ทุกอย่าง ก็บอกแล้วว่าคนอย่างไอ้สิงห์มันมีดีอย่างเดียวคือเกิดมาเป็นลูกกำนัน
ตอนเด็กๆ พวกมันสนิทกัน รักกันมากจนคนไม่รู้ยังนึกว่าเป็นพี่น้องกัน ไอ้จ้อยเรียกพี่สิงห์ๆ แล้วแทนตัวเองว่าน้องจ้อยยังงั้นน้องจ้อยยังงี้ เรื่องเรียนพวกมันสองคนก็คอยช่วยเหลือกัน อ้อ ต้องเรียกว่าไอ้จ้อยช่วยไอ้สิงห์ถึงจะถูก เพราะมีแต่จ้อยที่เป็นฝ่ายสอนการบ้าน ส่วนบ้านไอ้จ้อยมันจน สิงห์มันก็คอยช่วยตลอด เอาข้าวกลางวันมาเผื่อบ้างละ เหมาขนมที่ยายช้อยให้จ้อยหอบมาขายที่โรงเรียนบ้างละ
ไม่น่าเชื่อว่าพอโตขึ้นจะเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังตีน
สาเหตุที่พวกมันสองคนไม่ถูกกัน ไอ้ลอยคนนี้รู้ดีที่สุด หึหึหึ
“ยิ้มอะไรของเอ็งวะ” สิงห์หันมามองหน้าลูกน้องคนสนิทเมื่อมันมาเทียบเรือส่งถึงท่าน้ำหน้าบ้าน
“ไม่มีอะไรพี่” ไอ้ลอยยังยิ้มไม่หุบ ทว่าเป็นยิ้มที่ดูเจ้าเล่ห์พิกล “ฉันไปล่ะ ถ้ามีอะไรเดี๋ยวจะมาเรียก”
ทิ้งท้ายไว้เป็นปริศนาก่อนแจวเรือจากไป ลูกชายกำนันได้แต่ส่ายหน้า
หารู้ไม่ว่าไอ้ลอยมุ่งมาดจะพายเรือไปรับไอ้เลิศและไอ้หมาน แล้วจะวกกลับไปที่โรงเรียนฝึกหัดครูอีกครั้ง!
นึกถึงดวงตาใสแจ๋วเหมือนลูกหมาคู่นั้นแล้วมันน่าสนุกนัก
********************
เลอมานชะโงกหน้ามองจากหน้าต่างข้างเตียง แสงไฟจากบนเรือนส่องให้เห็นสง่ากับสันติยืนกุมเป้าตัวลีบอยู่กลางลานดินกว้าง เบื้องหน้าคืออาจารย์ฝ่ายปกครองผู้แสนเข้มงวด เสี้ยวหน้าได้รูปนั้นดูนิ่งขรึม น่ายำเกรง
สองสหายสารภาพหมดเปลือกว่าจงใจแกล้งทิ้งเขาไว้ แต่ไม่คิดว่าจะเลยเถิดบานปลายจนเจ็บตัวแบบนี้ แล้วเขาก็ได้เห็นคนึงฟาดไม้เรียวที่ก้นสองคนนั้นคนละ ๕ ที ขู่ตัดคะแนน และสั่งให้มาขอโทษเขาในวันรุ่งขึ้น ไม่ลืมต่อว่าเรื่องที่ชวนกันไปทำบาปโดยการตกกุ้งในวันพระ และสั่งให้เอากุ้งที่ยังไม่ตายไปปล่อยให้หมด
เฮ่อะ พ่อคนใจบุญ
หม่อมราชวงศ์หนุ่มได้แต่มองอย่างนิ่งสงบ อดคิดไปไม่ได้
ถ้า..ถ้าเป็นจินดา ถ้าจินดาบาดเจ็บเลือดอาบมาแบบนี้ มือใหญ่นั่นจะตบหน้าให้รู้สึกตัว จะกระชากจนเจ็บแบบที่ทำกับเขาไหม จะตะคอกใส่หน้า กล่าวหาว่าเขาไปก่อเรื่องเสื่อมเสียไหม
ร่างสูงในเสื้อกุยเฮงกางเกงแพรเดินเข้าห้องมา ชะงักเล็กน้อยเมื่อเห็นดวงตาสีน้ำตาลใสจ้องเขม็ง
“ยังไม่นอนหรือ” ถามโดยไม่สบตา ปกติเลอมานคงตอบกวนประสาทไปแล้วว่า ‘ถ้านอนแล้วจะลุกขึ้นมานั่งหรือ’
แต่ไม่ใช่ตอนนี้
“อาจารย์คิดว่าสิงห์กับลอยทำอะไรผม” เขาตัดสินใจถามคำถามที่รู้คำตอบอยู่เต็มอก
ดวงตาคมวาวเรียบนิ่ง นิ่งพอๆกับน้ำเสียง “ถามแบบนี้ ไม่รู้จริงๆหรือว่าแกล้งไม่รู้”
“ผู้ชายเหมือนกัน จะทำอะไรได้” คนเจ็บไล่ต้อนให้จนมุม
“ผู้ชายบางคนมันไม่เลือกหรอกนะ” ความหงุดหงิดเจือในน้ำเสียงจนจับได้ เป็นเชื้อไฟที่ทำให้คนฟังตีรวนอย่างหาเรื่อง
“อาจารย์เคยทำงั้นสิ ถึงได้รู้ดีนัก”
เจอย้อนเข้าให้อย่างเจ็บแสบแบบนี้ คนึงถึงกับนิ่งงัน แกล้งเบือนหลบไม่สบดวงตาคาดคั้นของอีกฝ่าย กำลังจะหันกลับไปยังฝั่งตนแต่กลับต้องชาวาบทั้งร่างเมื่อได้ยินประโยคต่อไป
“อย่าคิดว่าคนอื่นจะเหมือนตัวเอง ชอบผู้ชายเหมือนกัน” ปากซีดเผือดแสยะเหยียดหยัน “น่าขยะแขยง”
‘น่าขยะแขยง?’ เขาไม่ได้คิดเช่นนั้น ไม่ได้คิดเช่นนั้นเลยจริงๆ ที่พูดออกไปเพราะแค่อยากทำให้อีกฝ่ายรู้สึกเจ็บปวดบ้าง
ได้ผล
“เอาอะไรมาพูด” คนกินปูนร้อนท้องหน้าถอดสีทันที รีบร้อนเดินไปยังโต๊ะทำงานตัวเอง คงจะเพิ่งเห็นโน้ตที่เขาเขียนไว้ให้
“ไปบ้านจ้อยมาหรือ ไปหายายช้อยมาใช่ไหม ไปรบกวนอะไรแก”
ทำไมนะ? ทำไมเขาเจ็บอีกแล้ว? น่าแปลก ทำไมเขาถึงเจ็บได้อย่างง่ายดายกับคำพูดเพียงแค่นี้
“นี่คือคำพูดที่อาจารย์ควรพูดหรือ” เลอมานกระบอกตาร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ แม้แต่เสียงยังสั่นพร่าน่าสมเพช “แทนที่จะถามผมสักคำ ผมกลัวไหม ผมหนาวไหม ผมเจ็บไหม อาจารย์กลับไม่ถามเลย!”
พูดได้แค่นั้นแล้วก็ผินหลังให้ สะบัดผ้าห่มคลุมร่างจนมิดหัว
ดูเอาเถิด ขนาดกุ้งที่สง่ากับสันติตกได้มา คนึงยังมีแก่ใจห่วงใยมันมากกว่าเขาเสียอีก แบ่งปันความเมตตาที่มีให้กุ้งพวกนั้นมาให้เขาสักนิดไม่ได้หรือ หากการทำใจให้รักและเอ็นดูเขาในฐานะศิษย์มันยากนัก ก็เมตตาเขาในฐานะเพื่อนมนุษย์ร่วมโลกคนหนึ่ง มันลำบากยากเข็ญนักหรือ
หรือในสายตาของฝ่ายนั้น เขามีค่าน้อยกว่ากุ้งในถังสังกะสีพวกนั้นเสียอีก ไม่สิ ไม่ว่าอะไรก็มีค่ามากกว่าเขาทั้งนั้น เพราะสำหรับอาจารย์คนึงแล้ว หม่อมราชวงศ์เลอมานคนนี้ไม่มีค่าเลยสักนิดเดียว
มือที่ซุกอยู่ใต้หมอนกำแน่น ความอุ่นผ่าวจากเบ้าตากลั่นกรองเป็นหยาดน้ำหยดไหลผ่านสันจมูกร่วงเผาะสู่หมอน กัดริมฝีปากแน่นจนช้ำ ไม่มีแม้เสียงสะอื้น ไม่มีอาการตัวสั่น ไม่มีวันเสียละที่เขาจะให้อีกฝ่ายมารับรู้ว่าเขาน่าสมเพชเพียงใด
เป็นวันแรกในแผ่นดินไทยที่เขาเสียน้ำตา
แต่หากเลอมานจะเปิดผ้าห่มที่คลุมโปงไว้จนมิดขึ้นมองสักหน่อย ก็จะได้เห็นมือที่เอื้อมไปทำท่าคล้ายจะสัมผัสร่างที่นอนคุดคู้ ทว่าพอจวนถึงกลับชะงักนิ่ง ก่อนเปลี่ยนใจ หรือตัดใจวางมือลงข้างตัว
และจะได้เห็นดวงตาที่อ่อนโยนลงตามหัวใจที่อ่อนยวบนิ่งมองอยู่อย่างนั้นเนิ่นนาน
โปรดติดตามตอนต่อไป----------------------------------------------------------------------------
*น้อยใจ, พรพิรุณ คำร้อง, โฉมฉาย อรุณฉาน ขับร้อง ตอบเม้นกันดีกว่า WinterRoseแหม.. ถ้าเป็นหนังจีนคงต้องบอกว่าข้าน้อยมิบังอาจ มิบังอาจ (คารวะ 2 ที) อ่านคอมเม้นคุณแล้วเราเขินเลยล่ะ (เกาหัวแกรกๆ) ไม่เคยคิดว่าตัวเองเขียนดีอะไรเลยค่ะ แค่รู้สึกยังไงก็เขียนยังงั้น แล้วก็ความรักจับมือเขียน.. เท่านั้นเอง ตอนนี้กำลังเริ่มเขียนตอน ๑๐ ต่อแล้วค่ะ คาดว่าจะลงที่เล้าพร้อมกับบอร์ดอื่นไปด้วยเลย สะดวกอ่านบอร์ดไหนก็ได้จ้า และขอบคุณมากๆสำหรับโค้ดทำลิ้งค์สารบัญนะคะ ว่าแต่ตัวเลข ๗ ตัวนั่นคืออะไรคะ ถามไว้เผื่อคราวหน้าเราจะได้ทำเองโดยไม่ต้องรบกวนคนอื่นน่ะค่ะ ^^
silverspoonคุณชายเริ่มเผยนิสัยด้านดีให้เห็นทีละนิดแล้วค่ะ ส่วนอาจารย์ก็เริ่มหลงเด็กหน่อยๆ ช่วยไม่ได้อ่ะเน้อ เรื่องพรรค์นี้มันไม่เข้าใครออกใคร ^^
vk_iupkยินดีต้อนรับและยินดีที่ได้รู้จักค่ะ ขอบคุณที่แวะเข้ามาอ่านนะคะ ^^
tonkhawขอบคุณมากนะคะที่ชอบ เป็นคนเขียนนิยาย แค่มีคนอ่านก็ดีใจแล้วค่ะ ยิ่งได้คอมเม้นให้กำลังใจแบบนี้ยิ่งปลื้มตัวลอยเลย^^ ส่วนที่บอกว่าอยากให้ลงทุกวันนี่ (ปาดเหงื่อ^^”) ถ้าทำอย่างนั้นได้จริงจะวิ่งรอบสนามหลวงสองรอบเลยค่ะ ใจจริงก็อยากอัพถี่ๆเหมือนนักเขียนหลายๆคนนะคะ แต่เราเป็นคนเขียนช้านี่สิ T^T ขอเป็นอาทิตย์ละตอนแล้วกันนะคะ
davil01ขอบคุณมากค่ะ ^^
roseenอ๋าย.. ไม่ต้องกังวลค่ะไม่ต้องกังวล วาระแห่งดราม่ายังมาไม่ถึงค่ะ ^^
Mioสามคำให้น้องนางฟ้า >> รัก เช่น กัน (จ้า)
wdaisuwดีใจมากๆเลยค่ะที่อ่านแล้วชอบ แต่อยากบอกว่า.. มาม่าน้ำ(ตา)ตกเนี่ย.. อร่อยนะคะ ๕๕๕+
ordkrubชื่อเรื่องมันเรียบมากเลยเนอะ ๕๕๕+ ตั้งใจตั้งชื่อให้เหมือนนิยายสมัยก่อนน่ะค่ะ อยากบอกว่ามีคนอ่านเข้าใจว่าเป็นนิยายกำลังภายในด้วยนะเออ (สงสัยเพราะคำว่า ‘หงส์’ เป็นแน่แท้) ขอบคุณที่ผ่านมาแล้วไม่ผ่านไป อยู่เป็นเพื่อนกันไปนานๆนะคะ^^
dearmeepoohตอนนี้แค่ซอฟท์ๆ พอให้เขินๆแก้มแดงอ้องต้องก่อนเนอะ ไว้รอเลือดพุ่งพร้อมกันในฉากอัศจรรย์เนอะ ^^
Artemisยินดีต้อนรับสู่นิยายเรื่องนี้ค่ะ มามะกอดกันๆ :กอด1:ขอบคุณมากๆเช่นกันนะคะที่แวะเข้ามาอ่าน เขียนนิยายแล้วมีคนอ่านก็เหมือนสารที่ต้องการจะสื่อเดินทางไปถึงคนรับ ไม่ใช่พูดใส่กำแพงอยู่คนเดียว ขอบคุณมากนะคะ
2pmuiชอบอะไรๆย้อนยุคเหมือนกันค่ะ ขอบคุณที่ติดตามนะคะ^^
Zymphonizเดี๊ยวๆๆๆ อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องรวมเล่มเลยจ้า.. เรื่องราวดำเนินมาแค่ต้นๆเรื่องเอง การรวมเล่มมันยังเป็นเรื่องของอนาคตอันยาวไกล ^^ (แต่ถ้าเป็นไปได้พี่ก็อยากรวมเล่มน่ะเน้อ) ขอบคุณที่คอยให้กำลังใจเสมอมานะจ๊ะ
รักคนอ่านค่ะ
ดอกไม้
๑๓ มกราคม ๕๕