Boulevard of Broken Dreams 4
........................................
ตั้งแต่วันนั้น ผมก็ไม่ไปโรงเรียนอีกเลย ผมใช้เวลาในช่วงกลางวันเตร็ดเตร่ไปเรื่อยไร้จุดหมาย ตกค่ำก็แวะไปหาพีร์ นอนฟังกีตาร์บนฟูกมุมห้องจนเริ่มดึก เขาก็สั่งให้กลับบ้านทุกทีไป
หีบเพลงใหม่ก็ยังไม่ถูกทำขึ้นซักที
บ้านหลังใหญ่สวยงามที่ผม ต้องกลับยังคงเงียบเหงาเหมือนเดิม ความอบอุ่นที่ผมควรจะได้รับก็ยังไม่เห็นว่ามันจะมีอยู่ตรงซอกไหนของบ้าน ผมยังคงกินข้าวเย็นคนเดียว นอนอยู่คนเดียวในห้องนอนเหมือนเดิม สิ่งที่ต่างจากเดิมก็คือ ยามใดที่ผมล้มตัวลงนอนหลับตาบนเตียง ภาพของผู้ชายใส่เสื้อยืดเก่าๆถือกีตาร์เล่นไปร้องไปจะเข้ามาแทนฉากดำมืดที่ เคยเห็น
ตอนนี้ผมเริ่มมีความสนใจในคน อื่นได้แล้ว...ความอบอุ่นที่ไม่เคยได้รับจากคนเป็นญาติ กลับได้จากคนที่เพิ่งเคยพบกันเพียงไม่กี่สัปดาห์ ความเข้าใจในตัวของผม ความเหงาที่จางหายไป ทั้งหมดนี้ผมได้รับมาเมื่อผมได้พบกับพีร์
พีร์เองก็ดูร่าเริงกว่าที่พบในวันแรก
ระหว่างที่พีร์นั่งดีดกีตาร์ ร้องเพลงอย่างเพลิดเพลิน ผมก็ลอบมองเขาเป็นระยะ มือใหญ่ กับรูปลักษณ์ของเพศชาย เสียงทุ้มห้าว เรียกร้องในสิ่งที่ผมเคยทำกับก้องให้หวนกลับมา
“พีร์” ผมเรียกชื่อเขาเมื่อเสียงเพลงเงียบลง
“บอกให้เรียกพี่พีร์ เจ้าเด็กแก่แดดนี่!” เขาเขกหัวผมทีหนึ่งก่อนว่าอย่างไม่จริงจังนัก
“กอดผมได้รึเปล่า?”
“…” เขาเงียบ
“ผมพูดจริงๆ...มีเซ็กซ์กับผมได้มั้ย?”
“ไม่ได้หรอก” เขาพูดเรียบๆ วางกีตาร์พิงผนังห้อง
“รังเกียจผมหรือไง?”
“วารู้สึกยังไงกับฉัน?” เขาถามกลับ
“…” คราวนี้ฝ่ายที่เงียบกลับเป็นผมซะเอง
“อยากมีอะไรกัน เพราะอะไร?”
ผมตอบคำถามนั้นไม่ได้...ผมไม่รู้จะตอบว่าอย่างไร
++++++++++++++++++++++++++++
ผมกลับถึงห้องนอนที่ใหญ่โตแต่กลับหนาวเหน็บกว่าห้องของพีร์มากมาย
ทิ้งตัวนอนลงบนเตียง หลับตาได้สักพัก ใบหน้าของพีร์ก็ผ่านเข้ามาเหมือนดังเคย พีร์กำลังยิ้ม เป็นยิ้มเหงาๆแต่ดูอบอุ่นเหลือเกินในความคิดของผม มือใหญ่ที่คอยเกาสายกีตาร์ ตอนนี้กำลังลากไล้ลงบนแผ่นอกของผม ไล่ลงไปยังส่วนกลางกาย ความร้อนของฝ่ามือนั้นปลุกเร้าอารมณ์ใคร่ให้ลุกโชน ความปรารถนาที่ไม่ได้ปลดปล่อยมาร่วมสัปดาห์ถูกปลุกขึ้นให้ตื่นตัว มันไต่ระดับขึ้นสูงเรื่อยๆ พร้อมกับลมหายใจที่หอบหนัก จิตใจร้อนรนสั่งให้เร่งเดินทางให้ถึงยังจุดหมายที่ต้องการโดยเร็ว
ผมมองของเหลวสีขาวขุ่นเยิ้มชุ่มฝ่ามือ คำถามของพีร์ก็ดังขึ้นในใจ
‘วารู้สึกยังไงกับฉัน?’
+++++++++++++++++++++++
ประตูห้องที่มีพีร์คอยเปิดรับผมทุกวัน วันนี้มันปิดไฟเงียบไร้การตอบรับ
ผมไม่ยอมแพ้ ยังคงนั่งรอด้วยความคิดที่ว่า พีร์อาจจะไปขายของเพลินจนดึกก็ได้ แต่มันไม่ใช่…ผมรอ...รอพีร์ตั้งแต่บ่ายจนดึกก็ยังไม่เห็นวี่แวว
แปะ แปะ
เสียงน้ำฝนร่วงหล่นจากกันสาด กระทบกับหลังคาสังกะสีข้างล่างเป็นจังหวะ มองออกไปภายนอกที่มืดสนิทก็พบว่าฝนซาแล้ว อากาศยามดึกบวกกับฝนที่เพิ่งหยุดตกไปเย็นยะเยียบจนผมต้องยกมือขึ้นกอดตัวเอง
ทำไมผมต้องมานั่งรอพีร์อย่างนี้ด้วยนะ?
ผมรู้สึกยังไงกับพีร์กันแน่?
ที่แน่ๆ มันแตกต่างจากที่ผมรู้สึกกับก้อง ผมอยากให้ก้องกอดเพราะมันทำให้ผมรู้สึกว่า ยังไงก็ยังมีใครสักคนกอดผมอยู่
แต่กับพีร์ล่ะ?
นาฬิกาข้อมือบอกเวลาสามทุ่มครึ่ง เลยเวลาที่ผมกลับบ้านตามปกติแล้ว ผมควรจะเลิกคอย
...ผมควรจะกลับบ้านได้แล้ว...
+++++++++++++++++++
“ไปไหนมา กลับบ้านดึกดื่น?” น้าวีที่กำลังอ่านหนังสือพิมพ์ธุรกิจอย่างเคร่งเครียดในห้องอาหาร ทักเสียงเรียบถามผมที่เดินย่องผ่านไป
“ไปติวกับเพื่อนครับ”
“เฮอะ! ติวกับเพื่อน” เขาแค่นเสียงเหยียดๆ กระแทกหนังสือพิมพ์บนโต๊ะอาหาร ก่อนจะก้าวเข้ามาจับต้นแขนผมบีบไว้แน่น
“น้าวี ผมเจ็บ”
“ดี ให้เจ็บซะบ้าง! มันจะได้จำ!”
“น้าวีพูดเรื่องอะไร?”
น้าวีหยิบกระดาษจดหมายยับยู่ ออกจากกระเป๋าเสื้อเชิ้ต ใช้มันตบหน้าผมจนแสบจี๊ด ผมเหลือบมองแผ่นกระดาษที่ปลิวหล่นลงบนพื้นหินอ่อนอย่างสงสัย ก่อนจะหยิบมันขึ้นมาอ่าน
มันคือจดหมายรายงานผู้ปกครอง จากโรงเรียน เนื้อความในนั้นบอกว่าผมไม่ได้เข้าเรียนเป็นเวลาสิบวันติดต่อกันแล้ว ให้ผู้ปกครองติดต่อกลับพร้อมบอกเหตุผลให้ทางโรงเรียนทราบด้วย
“โรงเรียนยังไม่เข้า แล้วเสือกขยันไปติวอะไรกับเพื่อนซะดึกดื่น?” เสียงน้าวีดุกว่าทุกครั้งที่เคยได้ยิน ผมยังคงจ้องข้อความในกระดาษนั้น อ่านวนไปมา ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองน้าวี
“ทำตัวเป็นเด็กเลว โดดเรียนตั้งแต่ยังเล็ก เกรดก็ห่วยแตก คิดจะทำให้ฉันขายหน้ารึไงกัน!!?” น้าวีตะโกนประโยคสุดท้ายดังลั่นบ้านจนคนใช้แอบเข้ามาเมียงมอง “มองอะไรกัน มีงานอะไรก็ไปทำ!”
หลังจากหันไปว่าคนใช้จบ น้าวีก็กลับมาให้ความสนใจกับผมอีกรอบ
“ทำไมไม่ตอบ กล้าทำไม่กล้ารับหรือไง?”
“...ผมขอโทษ...” ผมยังคงก้มหน้า พูดเสียงเบาอย่างกลัวๆ พลันมือของน้าวีก็จับคางผมบังคับให้เงยหน้าขึ้น
“พูดกับผู้ใหญ่ ทำไมไม่มองหน้า ที่โรงเรียนมันห่วยขนาดไม่ได้สอนมารยาทพื้นฐานเลยใช่มั้ย!”
“ผม...ขอโทษ” ดวงตาของน้าวีดดุดันจนผมไม่กล้ามองสบ เขาปล่อยมือเดินหันหลังให้ผม
“ฉันอุตส่าห์ใจดี เอาแกที่เป็นลูกชายคนเดียวของพี่มารับเลี้ยง ค่ากินค่าเรียนก็เยอะแยะ หวังว่าแกจะเป็นเด็กดีตั้งใจเรียนเชิดหน้าชูตาฉันซักหน่อย แล้วนี่ยังไง! แกทำตัวเหลวแหลกห่วยแตกขนาดนี้ ไม่คิดจะไว้หน้าฉันเลยใช่มั้ย!! รู้มั้ย ว่าฉันรู้สึกยังไง เวลาเพื่อนร่วมงานเค้าคุยอวดเรื่องลูกเรื่องหลาน...แกมันไม่มีอะไรให้ฉันได้ ภูมิใจเลยสักอย่าง!!”
น้าวีพูด พูด แล้วก็พูด
พูดในสิ่งที่ตัวเองอยากให้เป็น พูดในเรื่องที่เกี่ยวกับตัวเองทั้งนั้น
ทำไมไม่ถามผมหน่อยเล่า ว่ามีปัญหาอะไรที่โรงเรียน จะดุจะว่าผมหนักขนาดไหนก็ได้ อย่างน้อยก็ขอให้ดุด่าเพราะเป็นห่วงผม...แค่นี้ไม่ได้หรือ?
“พอกันที โรงเรียนรัฐบาลมันคงเข้มงวดกับแกไม่พอ ฉันจะส่งแกไปเรียนโรงเรียนประจำที่ต่างจังหวัด ไม่ต้องมาเสนอหน้าอยู่ให้อายใครอีก”
ความอบอุ่นจากญาติเพียงคนเดียวที่พีร์พูดถึง มันอยู่ตรงไหน?
“ไม่ต้องมาทำบีบน้ำตา ขึ้นห้องไปซะ แล้วห้ามออกจากบ้านนับจากนี้ไป จนกว่าฉันจะหาโรงเรียนใหม่ให้แกได้”
ใครบีบน้ำตา? ผมยกมือขึ้นแตะแก้ม ปลายนิ้วรับรู้ถึงสัมผัสเปียกร้อน
...ผมกำลังร้องไห้...
++++++++++++++++++++++++++++++++++
ผมยังนอนนิ่งอยู่บนเตียงหลังใหญ่ ตามองเหม่อไร้จุดหมาย รอเวลาแค่ให้น้าวีออกจากบ้านไปทำงานเสียที
เมื่อเสียงเครื่องของรถยนต์ไกลออกไปจนไม่ได้ยิน ผมก็ดีดตัวขึ้นหยิบเป้ที่จัดไว้เมื่อคืนขึ้นสะพายบ่า เดินไปทางประตู
แกร๊ก
ลูกบิดหมุนได้ แต่ประตูกลับเปิดไม่ออก...ผมถูกขังอยู่ในห้องนอนอย่างแท้จริง น้าวีคงตั้งใจจะให้ผมอดอาหารเป็นการลงโทษด้วยแน่ๆ ผมเดินกลับไปนั่งบนเตียงอย่างเครียดๆ
ผมไม่อยากอยู่ที่นี่อีกต่อไป...ที่นี่ไม่มีใครต้องการผม...
ใจของผมมันร่ำร้องบอกเจ้าของว่า...มันต้องการใครสักคน…
“ผมอยากเจอพีร์” ผมพูดออกมาแผ่วเบา ภาพห้องนอนที่เห็นมันโย้เย้ไปหมดเพราะหยดน้ำที่คลอเบ้าตา ผมตัดสินใจเด็ดขาด กระชากผ้าปูที่นอน ลงมือใช้คัตเตอร์กรีดเป็นริ้วยาว ต่อกันจนคิดว่าน่าจะลงไปยังพื้นดินได้ก็ผูกติดกับขอบหน้าต่าง ค่อยๆโรยตัวอย่างเก้ๆกังๆ
โชคดีเหลือเกินที่ห้องนอนของผมอยู่ด้านข้างของตัวบ้าน และตอนนี้ก็เป็นเวลาที่พวกคนใช้ไปรวมกันที่หลังบ้านเพื่อกินข้าวเช้า
เมื่อเท้าแตะพื้นได้ ผมก็วิ่งหนีออกจากบ้านสุดชีวิต เรียกรถมุ่งไปยังจุดหมายที่ใจเรียกร้องทันที
++++++++++++++++++++++++
มาถึงหน้าห้องก็ต้องแปลกใจ ที่พีร์อยู่ข้างในทั้งๆที่เป็นเวลากลางวัน หน้าตาของพีร์ดูดีขึ้นกว่าที่เห็นวันก่อนมาก แม้ท่าทางจะดูเพลียๆก็เถอะ
“ทำไมไม่ไปเรียนล่ะ แล้วกระเป๋านี่มันอะไร?” เขาถามขณะที่ผมวางกระเป๋าลงข้างประตูห้อง
“ขอผมอยู่ด้วยได้มั้ย?” ผมถามอย่างกล้าๆกลัวๆ...ถ้าพีร์ไม่ยอมขึ้นมาล่ะ ผมจะไปอยู่กับใคร
นิ้วใหญ่อบอุ่นยกขึ้นเช็ดคราบน้ำตาบนแก้มผมก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง “มีเรื่องอะไรรึเปล่า?”
น้ำตาที่แห้งไปแล้วกลับเอ่อล้นขึ้นมาอีก ครั้งนี้ไม่เหมือนกับเมื่อวาน...มันเป็นน้ำตาที่กลั่นออกมาเพราะความดีใจ
...ดีใจที่อย่างน้อยผมก็ยังมีพีร์คอยรับฟัง…
“วา เป็นอะไรไป เจ็บตรงไหนรึเปล่า” พีร์ถามอย่างลนลาน เอื้อมมือจับตามตัวเพื่อหาบาดแผลตามเนื้อตัว
“ตอนนี้...ไม่เป็นไรแล้ว” ผมตอบไปหัวเราะไปทั้งน้ำตา สองแขนโอบกอดร่างกายผอมๆของเขาไว้แน่น ซุกหน้าลงกับเสื้อยืดเก่าๆแต่สะอาดหอมกรุ่น เช็ดน้ำตากับเสื้อจนเปียกชื้นเป็นวงกว้าง พีร์ก็ไม่ได้ว่าอะไร เพียงแค่จับหัวลูบหลังผมเบาๆจนสงบลงเท่านั้น
...
...
ผมยกขวดน้ำดื่มขึ้นดื่มแก้ กระหาย เล่าเรื่องให้พีร์ที่นั่งอยู่บนฟูกข้างตัวฟัง “ขอผมอยู่ด้วยได้มั้ย ผมยังไม่อยากเจอน้าวีตอนนี้ ผมเอาเงินมาด้วยนะ ไม่ทำให้พีร์เดือดร้อนหรอก”
พีร์นั่งคิดอยู่นาน “อยากอยู่ฉันก็ไม่ว่าอะไร...แต่ให้เวลาแค่สิบวันนะ แล้วก็สัญญามาก่อน ว่ากลับไปแล้วจะต้องเป็นเด็กดีตั้งใจเรียน ไม่ต้องทำเพื่อน้าวีก็ได้...ทำเพื่ออนาคตของเราเอง รักตัวเราเอง เท่านั้นก็พอ เรื่องที่ผ่านมาทั้งหมดอย่าหันกลับไปทำอีก ลืมมันไปให้หมด แค่นี้ทำได้มั้ย?”
ผมกำลังจะรับปากก็เอะใจขึ้นมา “ทำไมต้องสิบวัน?”
“...เพราะหลังจากนั้น ฉันก็จะไม่อยู่แล้ว”
“จะย้ายบ้านเหรอ?” มีอีกเหตุผลหนึ่งที่ผมไม่กล้าถามออกไป...อยากจะปิดหูปิดตาเรื่องอาการป่วยของพีร์ไปตลอดกาล
“เปล่า” พีร์ล้มตัวลงนอน มือหมุนแท่งแกนเหล็กหีบเพลงที่เพิ่งทำเสร็จเล่น “เงินเก็บสำหรับล้างไตหมดแล้วน่ะ เมื่อวานนี้เป็นครั้งสุดท้าย”
ผมลำคอตีบตันพูดอะไรไม่ออก เรานอนมองเหม่ออยู่ข้างกันเงียบๆไปนาน
“...อยู่ต่อไปไม่ได้เหรอ ผมพอมีเงินให้นะ”
“บอกแล้วไง ไม่อยากรับเงินจากเด็ก” พีร์ตอบกลั้วหัวเราะ น้ำเสียงสบายอกสบายใจเหมือนเป็นเรื่องล้อเล่น
“ทำไมยังใจเย็นอยู่อีกเล่า! ไม่กลัวตายหรือไง!” ผมลุกขึ้นนั่ง สองมือกดบ่าของเขาลงกับพื้นฟูก ถามอย่างเดือดดาล
“เรื่องที่อยากทำก็ทำหมดแล้ว จะกลัวตายไปทำไม” พีร์ยังคงตอบเรียบๆ ผมทนไม่ไหว น้ำตามันเอ่อขึ้นมาอีกแล้ว ผมเอนตัวลงทาบทับ ก้มหน้าลงซุกกับอกเขาอีกครั้ง
“แต่ผมไม่อยากให้พีร์ตาย...” ผมพูดไปสะอื้นไป ไม่สนใจว่าพีร์จะฟังรู้เรื่องหรือเปล่า มือใหญ่ยังคงลูบหัวผมอย่างแผ่วเบา
“เหงาหรือ?” ผมพยักหน้า
“ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวย้ายโรงเรียนใหม่ ลองหาเพื่อนดีๆซักคน ก็หายเหงาเองล่ะ”
“ผมไม่ต้องการเพื่อนใหม่... ผมต้องการพีร์ ผม...ฮึก...ผมรักพีร์” พีร์กอดผมที่ตัวสั่นสะท้านไว้แน่น โยกตัวเหมือนปลอบเด็กน้อย ตอนนี้ผมแน่ใจในความรู้สึกที่ผมมีต่อพีร์แล้ว ผมอยากมีความสุขร่วมกับพีร์ อยากอยู่กับพีร์ไปนานเท่านาน
“อย่ารักคนใกล้ตายเลย อย่าทำให้การจากไปของฉันทำให้มีคนต้องเสียใจไปมากกว่านี้”
“ขอให้ผมได้รัก...ผมอยากเป็นคนที่รู้จัก...ความรัก”
“ความรัก หาที่ไหนก็ได้” เขาตะกองแก้มผมขึ้นให้มองใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม “นี่ไง แค่ยิ้มให้อย่างนี้ เดี๋ยวก็มีคนมารักเองล่ะนะ” นิ้วโป้งบรรจงปาดน้ำตาให้ “ลองยิ้มดูสิวา”
ผมฝืนยิ้มให้ตามที่เขาบอก ทั้งๆที่น้ำตายังคงไหลอาบแก้ม
“ไม่ไหวแฮะ เหมือนแยกเขี้ยวมากกว่า” เขาหัวเราะ สองมือยกขึ้นกันกำปั้นที่ผมทุบลงบนอกเบาๆ
...
...
“จริงสิ!” หลังจากที่ผมนอนเล่นดูพีร์ประกอบหีบเพลง ก็คิดขึ้นได้ “เปลี่ยนไตไง! เดี๋ยวนี้เค้าเปลี่ยนไตกันได้แล้วใช่มั้ย ผมยกไตให้พีร์ข้างนึง แล้วอยู่กับผมต่อไปได้มั้ย?”
พีร์ละมือจากหีบเพลง คลานเข้ามาโอบกอดผมไว้เบาๆ ส่งผ่านความอบอุ่นมายังร่างกาย
“วาเป็นคนใจดี ไม่ต้องห่วงเลยว่าจะไม่มีใครรัก ฉันรับรอง ว่าจะต้องมีคนที่รักวาสุดหัวใจแน่ๆ”
“อย่าเพิ่งนอกเรื่องซี่ ตอบมาก่อน นะ...เปลี่ยนไตแล้วอยู่กับผมต่อไปนะ?” ผมถามอย่างมีความหวัง
“เราเลือดกรุ๊ปอะไร?”
“…O” เขาหัวเราะเบาๆ
“ของฉัน AB”
“แล้วทำไม” ผมถามกลับอย่างไม่เข้าใจ
“จะเปลี่ยนไตได้ มันต้องมีอะไรหลายๆอย่างที่เข้ากัน ไม่ใช่แค่ตัดมาใส่จะใช้ได้นะ” เสียงเขาเศร้าลง “ขนาดแม่ที่เลือดกรุ๊ปเดียวกัน ยังให้ไม่ได้เลย”
ผมนั่งซึมเงียบไปด้วยความผิด หวัง รู้สึกว่าวันนี้บ่อน้ำตามันตื้นเหลือเกิน พีร์คงจะทนเห็นเด็กโข่งงอแงไม่ไหว เลยส่งกีตาร์โปร่งมาให้ผมรับไว้ “เดี๋ยวจะสอนให้นะ อยู่ในห้องจะได้ไม่เหงา”
เรานั่งจับคอร์ดตีสายกันจนมืดค่ำ นิ้วของผมเจ็บแสบไปหมด จึงค่อยทำอาหารกินและเข้านอนกัน
...คืนนี้ ผมฝันดีที่สุดเท่าที่เคยฝันมาเลยทีเดียว...
+++++++++++++++++++++++++
เวลาผ่านไปแปดวัน ทุกๆวันก็เหมือนเดิมๆ ตอนกลางวันพีร์จะออกไปข้างนอกเพื่อขายหีบเพลง ส่วนผมก็นั่งเล่นนอนเล่นอยู่ในห้องของเขา เมื่อตกดึกพีร์กลับบ้านมา เขาก็จะมีเรื่องสนุกๆเล่าให้ผมฟังเสมอ ทุกๆวันผ่านไปด้วยเสียงหัวเราะ เราคุยกันด้วยเรื่องต่างๆมากมายโดยพยายามเลี่ยงไม่พูดถึงโรคของพีร์อีกต่อไป
“กดเส้นนี้ กับเส้นนี้” พีร์พยายามสอนคอร์ดกีตาร์เพิ่มให้ผม แต่มันยากเกินกว่าที่นิ้วสั้นๆจะเอื้อมไปถึง เขาจึงเอื้อมแขนโอบข้ามเอวเพื่อวางนิ้วทับช่วยกดอีกแรง ลมหายใจร้อนๆตีต้นคอจนรู้สึกขนลุก สมาธิกระเจิงหมด ผมหันหน้าไปสบตาพีร์ ตอนนี้หน้าเราห่างกันแค่นิดเดียว ปลายจมูกของเขาไล้ลงบนแก้มผมแวบหนึ่งก่อนที่พีร์จะตั้งตัวได้ถอยห่างออกไป
“...ขอโทษที”
“...พีร์...” ผมวางกีตาร์พิงผนังห้องอย่างเบามือ ก่อนจะเอื้อมแขนโอบคอเขาไว้ เงยหน้าขึ้นแนบริมฝีปากกับปากของเขา มันเป็นจูบแบบเด็กๆที่แค่แตะแล้วก็ถอยห่าง แต่ให้ความรู้สึกดีกว่าที่เคยจูบกับก้องมากมาย
“วา...คิดดีแล้วเหรอ?...” พีร์กระซิบถาม
“ผมอยากมีความทรงจำร่วมกับพี ร์นะ ถึงพีร์จะไม่อยู่ใกล้ตัว ผมก็จะยังจำพีร์ได้ ยังนึกถึงวันที่เรามีความสุขได้…ผมจะมีพีร์อยู่ในใจตลอดไป...มันไม่ใช่แค่ ความเหงาหรอก ผมรู้ดี” …มันคือความรัก...เป็นคำต่อที่พูดเพียงในใจ
ผมสบตาพีร์อย่างอ้อนวอน เขาหลับตานิ่งคิด ก่อนจะเอ่ยปากเบาๆ “แต่ฉันไม่เคยกับผู้ชาย”
ผมยิ้มกว้าง “ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกน่า”
เราถอดเสื้อให้กันและกัน อย่างอ้อยอิ่ง จูบปากกันเมื่อมีโอกาส หัวเราะให้กันยามตาสบตา ผมเป็นฝ่ายนำทาง เขาเป็นฝ่ายตาม มันเป็นการทำรักที่เก้ๆกังๆแต่หอมหวานกว่าที่ผมเคยเจอมาทั้งหมด ผมพร่ำบอกคำรักข้างหูยามที่พีร์ดันกายเข้ามาในตัว เราช่วยกันขยับโยก ฉุดกระชากโลดแล่นหลีกหนีโลกแห่งความเป็นจริง ปีนป่ายขึ้นยังสวรรค์ชั้นสูงสุด
เขาถอนแก่นกายที่อ่อนนุ่มออก ล้มตัวลงนอนเคียงข้าง ผมขยับตัวให้ร่างกายเราสัมผัสถึงไออุ่นของกันและกันได้มากที่สุด วางหัวลงบนต้นแขนของเขา ก่อนจะกระซิบเบาๆ “ผมรักพีร์นะ”
แล้วพวกเราก็หลับไปทั้งๆร่างกายที่ชื้นเหงื่อ
...
...
ผมลืมตาขึ้นอีกครั้ง กะเวลาว่าน่าจะยังมืดอยู่ ด้วยเสียงถนนภายนอกยังไร้วี่แววของรถรา ในห้องมืดสนิท มีเพียงแสงไฟจากโคมไฟดวงเล็กที่มุมห้องเท่านั้น พีร์กำลังนั่งทำอะไรบางอย่างอยู่
“พีร์”
“ไฟแยงตารึเปล่า ขอโทษทีนะ” เขาพยายามใช้ตัวเองบังแสงไฟไว้ แต่กลับกลายเป็นการบดบังไม่ให้ผมเห็นสิ่งที่เขากำลังทำ
“ทำอะไรอยู่ ทำไมไม่นอน” ผมคลานเข่าไปตรงมุมห้อง กอดเขาจากด้านหลัง วางคางลงบนลาดบ่าเพื่อมองสิ่งที่พีร์ถืออยู่ในมือ
“หีบเพลงน่ะ”
“ทำไมไม่ทำตอนเช้า?”
“ไม่รู้สิ แค่รู้สึกว่าต้องทำตอนนี้” เขาหันมาจูบปากผมก่อนจะกลับไปสนใจเจ้าแท่งเหล็กชิ้นน้อยตามเดิม
“ทำเพลงอะไรเหรอ?”
“ไม่บอก...ไปนอนซะ เจ้าหนู”
“อย่าเรียกผมว่าเจ้าหนูเซ่ ผมโตแล้วนะ ผมรู้จักความรักแล้ว!” ใช่ ผมรักคนอื่นเป็นแล้ว แม้จะยังรักตัวเองไม่เป็นก็เถอะ ผมจับคางพีร์ให้หันมารับจูบอีกที “คนนี้ไง คนรักของผม”
“เด็กแก่แดด” พีร์หันมายิ้มตาหยีระยับ กอดเอวผมลากไปยังฟูกอีกมุมของห้อง ก่อนจะลงมือให้ความรักแก่ผมอีกครั้งหนึ่ง
...
...
เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกที ก็เป็นเวลาสายแล้ว พีร์ออกจากห้องไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ผมสำรวจตัวเองก็พบว่าร่างกายถูกทำความสะอาดเรียบร้อย ช่วงตัวถูกคลุมด้วยเสื้อยืดหอมสะอาดของพีร์ ผมล้มตัวลงนอนหนุนหมอน ยกเสื้อแนบจมูกสูดดมกลิ่นอย่างมีความสุข มองห้องไปมาได้ซักพัก สายตาก็สะดุดอยู่กับแท่งเหล็กชิ้นน้อยที่มีรอยปุ่มนูนใหม่เอี่ยม ...คงจะเป็นแกนเหล็กที่พีร์นั่งทำเมื่อคืน
เขาทำให้ผมรึเปล่า?
เป็นเพลงอะไรนะ?
ผมคลานไปยังจุดหมาย ยกแท่งเหล็กขึ้นมองด้วยความสงสัย ปุ่มนูนนี่มันไม่ได้ช่วยบอกโน้ตเพลงได้เลยซักนิด ด้วยความอยากรู้ ผมคว้ากล่องพลาสติก แผ่นเหล็กที่ตัดไล่ระดับไว้แล้ว แล้วก็ลานสำหรับไขเพื่อประกอบมันอย่างที่เคยเห็นพีร์ทำ
นั่งประกอบไปได้ไม่ถึงครึ่ง ผมก็รื้อมันทิ้ง วางอุปกรณ์เก็บเข้าที่ดังเดิม
...รอให้พีร์ประกอบให้ผมเองดีกว่า...
++++++++++++++++++++++
ไม่อยากั๊กอีกแล้ว กลัวเน็ตเน่าอีก หงุดหงิด ไม่มีคนอ่านกะช่างมาน แต่ผมทำมายถึงน้ำตาซึมกะมันได้นี้อ่ะ
