ตอนที่ 7
ภายในห้องนอนที่ประตูปิดสนิทยังมีแสงแดดลอดผ่านผ้าม่านโปร่งเข้ามารำไร บรรยากาศกึ่งสลัวทำให้ใครคนหนึ่งใต้ผ้านวมสีขาวเนื้อหนาค่อยๆขยับเคลื่อนไหว บิดขี้เกียจอยู่ครู่หนึ่ง คนที่ซุกอยู่ใต้ผ้าห่มจึงลุกขึ้นนึ่งพิงหลังกับกำแพงตรงหัวนอน เขาขยี้ตาเล็กน้อยก่อนจะสะบัดหัวนิดหน่อยไล่ความง่วงงุน นั่งมึนอยู่บนที่นอนอีกไม่นาน ร่างสูงก็ตัดสินใจลุกไปอาบน้ำชำระล้างร่างกาย เมฆาไม่เคยปล่อยตัวเองเมาเละเทะเหลวไหลแล้วเข้านอนโดยไม่อาบน้ำอาบท่า ความจริงเรียกได้ว่าน้อยครั้งที่จะเมาจนไม่มีสติเหมือนอย่างเมื่อคืน
ทว่าพอสำรวจตัวเองดีๆ เมฆากลับพบว่าเขาอยู่ในสภาพที่เรียบร้อยจนเกือบคิดว่าเมื่อคืนไม่ได้ไปดื่มมา เสื้อผ้าถูกเปลี่ยนเป็นเสื้อยืดกางเกงขาสั้นง่ายๆ เนื้อตัวไม่เหนียวเหนอะหนะคล้ายกับว่าถูกเช็ดเนื้อเช็ดตัวมาอย่างดีแล้ว คิ้วเข้มขมวดมุ่นอย่างใช้ความคิด
เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น? หรือจะเป็นไอ้วิน? ระหว่างที่คิดเจ้าตัวก็เข้าไปล้างหน้าล้างตาในห้องน้ำ พอเสร็จเรียบร้อยจึงลงไปข้างล่างเพื่อหาอะไรใส่ท้องเพราะหิวจนไส้กิ่วไปหมด ทั้งยังปวดหัวตุบๆเนื่องจากอาการเมาค้าง ก่อนเดินเข้าครัวเหลือบตามองผ่านนาฬิกาแขวนเรือนใหญ่ที่แขวนไว้ตรงบันได มันบอกเวลา 8:28 นั่นถือว่าสายสำหรับเขา ปรกติแม้จะเป็นวันหยุดเขาก็จะตื่นนอนหกโมงเช้า
กำลังจะเดินเข้าครัว หูพลันได้ยินเสียงดังก๋องแก๋งแว่วออกมาจากด้านใน สองขาจึงรีบเดินเร็วๆเข้าไปดูโดยอัตโนมัติ แล้วหน่วยตาคมก็ปะทะกับแผ่นหลังเล็กของคนคุ้นเคย เสียงแหบพร่าเปล่งผ่านลำคอออกมาด้วยความฉงนสนเท่ห์
“รัก...?”
“อ๊ะ!...พี่เมฆ ตื่นเร็วจังครับ” ดวงตาหวานคมมีแววแปลกใจเล็กน้อยก่อนที่คนตัวเล็กจะเอ่ยทักทาย
“ชินน่ะ แล้วเรา..ทำไมถึง…”
“อ๋อ เมื่อคืนพี่เมฆเมามาก เฮียวินแกก็เมา กลัวพาพี่กลับไม่ไหว เฮียวินก็เลยโทรเรียกผมให้ช่วยไปรับพี่เมฆน่ะครับ กว่าจะมาถึงบ้านพี่ก็เกือบตีสองแล้ว ผมไม่มีรถกลับก็เลยถือวิสาสะค้างที่นี่ ขอโทษนะครับที่ไม่ได้ขออนุญาตก่อน” ระหว่างพูดจงรักสังเกตเห็นว่าคิ้วเข้มของเมฆาขมวดมุ่นจึงรีบกุลีกุจอวิ่งมาเลื่อนเก้าอี้ให้นั่ง มือข้างหนึ่งถือแก้วใส่น้ำเก๊กฮวยเย็นเฉียบที่เพิ่งรินเอาไว้แน่น
“ขอบใจนะ”
“ปวดหัวใช่ไหมครับ ดื่มนี่นะ แก้เมาค้างได้ ไม่ทำให้คลื่นไส้ แถมยังช่วยให้หายปวดหัวด้วย” ปากก็บรรยายสรรพคุณน้ำเก๊กฮวยที่เลื่อนไปตรงหน้าร่างสูงเจื้อยแจ้ว ก่อนหันกลับไปดูหม้อข้าวต้มที่ต้มทิ้งไว้
“ขอบใจนะ”
“ครับ” จงรักตอบรับคำพูดขอบใจเป็นครั้งที่สองของเมฆาและหันหน้าเข้าหาเตา ยืนคนข้าวต้มไม่ยอมหันกลับมา “พี่เมฆหิวหรือเปล่าครับ”
“นิดหน่อย”
“ผมไม่คิดว่าพี่จะตื่นเร็วขนาดนี้ ไปตลาดกลับมาก็เลยรดน้ำต้นไม้ในสวนก่อน พี่ค่อยๆจิบน้ำเก๊กฮวยให้หมดข้าวต้มคงเดือดพอดี รอหน่อยนะครับ”
“ไม่ต้องรีบหรอก ค่อยๆทำไปเถอะ แค่นี้พี่ก็เกรงใจจะแย่แล้ว ต้องคอยรบกวนเราตลอดเลย” เมฆรู้สึกเกรงใจหนุ่มรุ่นน้องจริงๆ เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา เป็นเขาที่เอาแต่พึ่งพาจงรัก
“ไม่รบกวนหรอกครับ อย่าคิดมากนะ” คนตัวเล็กหันมายิ้มให้บางๆอย่างที่ชอบทำก่อนหันกลับไปเช่นเดิม ทว่าครั้งนี้เมฆากลับรู้สึกว่าในดวงตาคู่นั้นฉายแวววูบไหวผิดจากทุกที
แม้จะเพิ่งตื่น ซ้ำยังปวดหัวหน่อยๆ แต่เมฆาเชื่อว่าเขามองไม่ผิด คล้ายกับจงรักมีอะไรในใจ ไม่อยากเข้าข้างตัวเองมากจนเกินไป ถึงอย่างนั้นสัญชาติญาณก็ร้องบอกว่าเรื่องที่ทำให้จงรักมีสีหน้าแตกต่างไปจากเดิมอาจมีสาเหตุมาจากเขา ในความเงียบระหว่างคนสองคน สรรพเสียงรอบกายเหมือนถูกตัดออกจากการรับรู้ สมองค่อยๆประมวลผลเหตุการณ์และความสมเหตุสมผลที่ทำให้จงรักมายืนอยู่ที่นี่
วินโทรเรียกน้องมา แปลว่าน้องอาจจะรู้อะไรไปไม่มากก็น้อย อีกทั้งหลังจากนั้นจงรักยังพาเขากลับมาที่บ้าน จัดการดูแลขณะที่เขาไม่ได้สติ ไม่ได้สติ…
“พี่เมฆครับ ปล่อยรักก่อนนะ” ภาพความรู้สึกเต็มตื้นยามที่กอดกระหวัดร่างกายอุ่นๆมาแนบชิดแล่นปราดเข้ามาในสมอง อารมณ์ไม่คงที่เนื่องจากแอลกอฮอล์ทำให้แสดงออกในการกระทำอันไม่เหมาะสม คงเป็นสาเหตุนั้นหรือเปล่าที่ทำให้วันนี้จงรักมีสีหน้าเปลี่ยนไป คิดแล้วก็อยากจะด่าตัวเองหลายๆคำที่ทำให้น้องกลัวด้วยการทำอะไรรุ่มร่ามเช่นนั้น
“ข้าวต้มเสร็จแล้ว พี่เมฆกินเลยไหมครับ”
เสียงเรียกของจงรักทำให้เมฆซึ่งว้าวุ่นอยู่คนเดียวสะดุ้งตกใจ เขาเงยหน้าขึ้นมองคนตัวเล็กที่เดินเข้ามาใกล้ คราวนี้เมฆสังเกตเห็นใบหน้าที่ดูซีดเซียว ใต้ดวงตาก็บวมตุ่ยราวกับอดนอนหรือไม่ก็ผ่านการร้องไห้มากอย่างหนัก
ร้องไห้ ราวกับพบคีย์เวิร์ดสำคัญในการไขปริศนาอันแสนเลื่อนลาง พอคำๆนี้ปรากฏขึ้นในหัว ภาพความทรงจำเหล่านั้นก็ไหลบ่าเข้ามาอย่างรวดเร็ว ทั้งคำพูด การกระทำ ความรู้สึกที่ถูกส่งมาให้ แม้กระทั่งคราบน้ำตาที่เปียกชุ่มขนตายาวนั่นเขายังจำได้
“อยู่ด้วยกันนะ อย่าไป...อยู่ด้วยกันเถอะ”
“พี่พูดกับรักใช่ไหม...”
“พี่พูดกับรักใช่ไหมครับ...หรือพี่พูดกับใคร”
“.......”
“นี่พี่เมฆ”
“.......”
“เป็นรักไม่ได้เหรอ”
“.......”
“คนคนนั้นน่ะ......เป็นรักได้หรือเปล่า”
“.......”
“เป็นได้ไหมครับ”
“.......”
“นะ...เป็นรักเถอะ...ได้โปรด”
“พี่เมฆครับ รักกลับก่อนนะ”
หลังจากจัดการเรื่องอาหารเช้าเรียบร้อย จงรักจึงขอตัวกลับบ้าน เมื่อคืนเกือบทั้งคืนเขาไม่ได้นอนเลย ถึงจะข่มตาให้หลับอย่างไรก็ทำไม่ได้ ในขณะที่ร่างสูงหลับสนิทไปแล้ว จงรักจึงทำได้แต่ถือวิสาสะ นอนอยู่ข้างๆกอดร่างของชายที่แอบรักมานานปี ทั้งที่รู้ว่าทำไม่ถูก รู้ว่าไม่ควรทำ ทว่ามันอาจเป็นวิธีเดียวที่ช่วยให้หัวใจบรรเทาความเจ็บปวดลง กระทั่งเช้ามืดจึงตัดสินใจลุกมาเช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เมฆ แล้วล้างหน้าล้างตาตัวเองให้สดชื่นก่อนออกไปตลาด จากนั้นก็ทำอย่างที่รายงานให้เมฆฟัง
ตอนนี้สถานการณ์ทุกอย่างเข้าที่เข้าทางเป็นปรกติ เรื่องที่ถูกเบี้ยวนัดเมื่อวานจงรักไม่คิดอยากรู้อีกต่อไป กลัวว่าเกิดรู้สาเหตุขึ้นมาจริงๆ เป็นเขาเองที่จะรับกับมันไม่ไหว เพราะรู้ว่าความสัมพันธ์ของตัวเองกับเมฆาไม่ได้ก้าวหน้าเกินกว่าคนที่สนิท ดังนั้นเขาควรทำใจให้ปลง ทำหัวให้โล่ง ปล่อยความรู้สึกถลำลึกของตัวเองไปบ้าง ต้องยับยั้งชั่งใจ หยุดความอยากจะเป็นเจ้าของ ความคาดหวังที่รังแต่จะเพิ่มขึ้นทุกวันให้อยู่ในกรอบเช่นที่เคยเป็นมา
รู้ดีที่สุดว่ามันทำได้ยากยิ่งแต่ก็ต้องทำ เพราะถ้าไม่ทำคงจะเจ็บยิ่งกว่านี้ เจ็บที่เขาไม่รัก เจ็บที่เขาไม่ลืมใครคนนั้น
บางทีการทำดีกับเขาไปเรื่อยๆ ทำเพราะอยากทำให้จริงๆ มันอาจมีความสุขกว่าการทำเพื่อคาดหวังความรู้สึกที่จะได้รับตอบแทนกลับมาจากเขาก็ได้ ก่อนจะเดินออกจากบ้าน อยู่ๆคนตัวสูงก็เดินมารั้งแขนเอาไว้ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ตอนที่จงรักบอกจะกลับ เมฆาก็ไม่ได้พูดอะไรสักคำแท้ๆ คนตัวเล็กหันมาทำหน้างง ไม่เข้าใจในการกระทำนั้นเลยสักนิด กำลังจะเอ่ยปากถาม เมฆาก็พูดขึ้นเสียก่อน
“อย่าเพิ่งกลับเลย เดี๋ยวเย็นๆพี่ไปส่ง” เสียงทุ้มเอ่ยออกมาทื่อๆ
“ไม่รบกวนดีกว่าครับ ผมอยากกลับไปอาบน้ำด้วย ซักแห้งมาคืนหนึ่งแล้ว” อีกอย่างตอนนี้จงรักก็ถูกความง่วงงุนโจมตี ก็เมื่อคืนไม่ได้นอน ตอนเช้าออกแรงทำนั่นทำนี่ หนำซ้ำหัวสมองกับจิตใจยังอ่อนล้า ไม่แปลกที่ร่างกายจะเรียกร้องให้พักผ่อน
“อาบน้ำที่นี่แหละ”
“หา?”
“ใส่ชุดพี่ก็ได้ เดี๋ยวหยิบให้”
“แต่ว่ามันรบกวน...” ยังไม่ทันพูดจบ เมฆก็พูดแทรกประโยคอย่างรวดเร็ว
“ไม่รบกวน ถึงจะรบกวนก็ไม่เป็นไร ตาเราบวมมากเลย อาบน้ำนอนพักที่นี่ก่อน เย็นๆพี่ไปส่งเอง”
“แต่ว่าผม..”
“พี่ไม่ชอบคนดื้อ”
“ผมไม่ได้ดื้อสักหน่อยนะครับ” คนตาโตเถียงทันควัน
“ไม่ดื้อก็เชื่อที่พี่บอกสิ มาเร็ว”
“ครับ”
พอรับคำจงรักก็ถูกจูงให้เดินตามขึ้นไปชั้นบน เมฆาดันให้เขาเข้าไปในห้องน้ำพร้อมกับผ้าขนหนู พอออกมาก็มีชุดลำลองเป็นเสื้อยืดสีฟ้าอ่อนกับกางเกงเอวยางยืดสีน้ำเงินพับเรียบร้อยอยู่บนที่นอน ส่วนคนที่เตรียมทุกอย่างให้กลับหายตัวไปไหนไม่รู้ จงรักรีบแต่งตัวลวกๆแล้วเดินลงมาข้างล่างด้วยความมึนงง เขาไม่รู้ว่าพี่เมฆคิดอะไรอยู่ ทำไมจู่ๆถึงทำพฤติกรรมประหลาดนักก็ไม่รู้ แม้มันจะทำให้รู้สึกดี ทว่าก็ยังอดแปลกใจอยู่ลึกๆไม่ได้
พอลงมาข้างล่างก็เห็นร่างสูงยกที่นอนปิกนิคเดินผ่านไปทางข้างบ้าน จงรักรีบก้าวเร็วๆตามหลังพบว่าเจ้าบ้านกำลังปูที่นอนพร้อมกับเอาหมอนอิงจากในห้องรับแขกมาเรียง
“พี่เมฆทำอะไรครับเนี่ย”
“พี่จะนอนอ่านหนังสือ ตรงระเบียงฝั่งนี้แดดไม่ส่อง แถมลมยังพัดเย็นตลอด แล้วเราไม่นอนหรือไง ลงมาข้างล่างทำไม”
จงรักมองดูบริเวณระเบียงข้างบ้านที่เมฆว่า แดดมันจะไปส่องได้อย่างไร ก็เขาเอาระแนงไม้มาตีเมื่อสองเดือนก่อน ทั้งช่อฟ้าที่เอามาปลูกก็งามจนเลื้อยเต็มระแนงเป็นที่บังแดดชั้นเยี่ยม เยื้องๆกันมีต้นกาสะลองที่เอามาลงสูงชะลูดผลิใบงามเต็มต้นช่วยบังแดดอีกแรง ทั่วพื้นที่จึงเขียวชอุ่มร่มรื่นไปหมด
“ก็ผมเห็นพี่เมฆหายไป เลยลงมาดูครับ”
“พี่จะอยู่ตรงนี้แหละ เราไปนอนเถอะ ถ้าจะเปิดแอร์บนห้องอย่าลืมปิดหน้าต่างให้พี่ด้วยนะ”
“ผมยังไม่ง่วง ขอนอนอยู่ตรงนี้ด้วยคนได้ไหมครับ”
“เอาสิ” คนตัวสูงพยักหน้ารับแล้วขยับแบ่งที่ให้น้องนอนด้วย “ตาเราบวมมากเลยนะ ยังไม่ง่วงจริงๆเหรอ”
“ยังครับ”
“ถ้าง่วงก็นอนเลยนะ ไม่ต้องเกรงใจพี่”
“ครับ”จงรักพยักหน้ารับ ก่อนแสร้งถามเรื่องอื่น ”ปรกติพี่เมฆมานอนเล่นตรงนี้บ่อยเหรอครับ”
“อืม มุมโปรดน่ะ” เมฆาเงยหน้าขึ้นมาตอบ แล้วว่าต่อ “อยากอ่านหนังสือก็ไปหยิบมาอ่านได้นะ”
“ครับ”
จงรักลุกขึ้นไปหยิบหนังสือมาอ่านตามที่เมฆาแนะนำ ความจริงก็รู้สึกง่วง แต่พอได้พูดคุยอย่างผ่อนคลายแบบนี้กับเมฆา ช่วงเวลาดีๆมันก็หอมหวานจนไม่อยากจะหลับตาลงเลย เขาเลือกหนังสือที่ชั้นมาเล่มหนึ่ง เป็นนิยายแปลสัญชาติญี่ปุ่นเรื่อง โต๊ะโตะจัง จงรักเลิกคิ้วความความแปลกใจ ไม่คิดว่าคนหน้าดุดูท่าทางจริงจังอย่างเมฆาจะอ่านนิยายประเภทนี้ด้วยเหมือนกัน โดยส่วนมากเวลามาที่บ้านหลังนี้ เขาจะมาทำกับข้าวกินกัน มาช่วยกันต่อเติมบ้าน ดูแลสวน ทว่าส่วนใหญ่จงรักจะถูกเมฆาพาไปเดินเที่ยวตามที่ต่างๆมากกว่า จึงไม่ค่อยได้เห็นมุมที่ร่างสูงจะมานอนเอกขเนกอ่านหนังสือเช่นนี้ ถือว่าครั้งนี้เป็นอีกมุมหนึ่งที่เขาต้องทำความรู้จัก พอกลับมาที่ข้างบ้าน เมฆาก็เงยหน้าขึ้นมายิ้มรับก่อนจะก้มหน้าอ่านหนังสือของตัวเองต่อ
“โต๊ะโตะจังเหรอ”
“ครับ”
“เล่มนี้ตาพี่ซื้อให้เป็นของขวัญวันเกิด นานมากแล้วล่ะ”
“จริงเหรอครับ!” จงรักทำตาโต มือก็พลิกหนังสือกลับไปกลับมาเพื่อสำรวจหน้าปก “แต่ยังไม่เก่าเลยนะ”
“ของอะไรที่มีค่ากับความทรงจำ เรามักจะดูแลมันดีเสมอแหละ” เสียงทุ้มก็เอ่ยออกมาด้วยเสียงเบาๆ ดวงตาคมไม่ได้หันมามองหน้าของจงรัก แต่ริมฝีปากยิ้มนิดๆ เหมือนกับว่าได้ย้อนกลับไปในความทรงจำดีๆเหล่านั้น
“นั่นสินะ ดีจังเลยนะครับ” จงรักยิ้มออกมาเช่นเดียวกัน ก่อนจะเปิดหนังสืออ่านหน้าแรก
ผ่านไปครู่หนึ่ง เมฆาก็ได้ยินเสียงลมหายใจที่เข้าออกสม่ำเสมอ เขาวางหนังสือลงแล้วหันกลับมามอง คนที่บอกว่ายังไม่ง่วงตอนนี้หลับสนิทไปเสียแล้ว มือหนาค่อยๆดึงหนังสือออกจากมือน้องแล้วเอาหมอนรองคอ จัดท่าจัดทางให้นอนสบายขึ้น ขนาดว่าพลิกให้เจ้าตัวนอนหงาย ยังไม่รู้สึกตัวเลยสักนิด แล้วอย่างนี้ยังจะบอกว่าไม่ง่วง ไม่ง่วงอยู่อีก
“ถึงปรกติจะว่าง่าย แต่บางทีรักก็ดื้อเหมือนกันนั่นแหละ รู้หรือเปล่า”
ดื้อ ดื้อเอามากๆ ขนาดก่อนหน้านี้รู้ว่าเขาไม่ได้มีใจให้ ก็ยังดื้อรั้นดันทุรังรักเขามาได้ตั้งหลายปี แล้วอย่างนี้จะไม่ให้ว่าดื้อได้อย่างไรกัน ตาคมดุทอดมองใบหน้าของจงรัก มันดูไร้เดียงสาเหมือนเด็กน้อย แทบจะไม่มีอะไรแตกต่างกันเลยกับตอนที่ตื่นอยู่ จงรักไม่ใช่คนที่น่าตาดีมากจนชวนให้ตะลึง เหมือนเด็กผู้ชายทั่วไป ไม่ได้โดดเด่นอะไรท่ามกลางผู้คนเป็นแสนเป็นล้าน แต่เพราะความซื่อตรง จริงใจ และความพยายามของเด็กหนุ่มคนนี้ มันทำให้เมฆารู้สึกว่าหัวใจที่เหมือนตายสนิทไปแล้วครั้งหนึ่งมีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้ง
อาจเป็นเรื่องยากที่จะเริ่มรักใครจริงจังอีกครั้งหลังจากที่เคยถูกหักหลังอย่างร้ายกาจ แต่เด็กหนุ่มคนนี้ทำให้เขาต้องยอมเปิดใจให้โอกาส โอกาสที่ว่าในที่นี้คือโอกาสที่จะเริ่มรักของตัวเอง เขาไม่รู้ว่าเขาจะดีพอไหม แต่เมฆารู้สึกว่าเขาคงโง่ซ้ำสองหากไม่ลองรักตอบ ลองไขว่คว้ารักดีๆดูอีกสักครั้ง
ไม่ใช่เรื่องยากที่จะยอมรับว่าเขาก็รู้สึกดีๆกับน้อง แต่ที่ยากยิ่งกว่าคือหลังจากนี้พวกเขาจะเดินไปในทิศทางไหนต่างหาก ความรักที่เคยผิดหวังมาก่อนทำให้เขาระมัดระวังที่จะรักมากขึ้น หากแต่จะรอให้นานกว่านี้ก็ดูจะเป็นการทรมานคนที่รอเขามากเกินไป เพราะฉะนั้นเพื่อตอบแทนความรักดีๆ เขาจะไม่ปล่อยให้จงรักต้องรออีกแล้ว ที่บอกว่าให้อยู่ด้วยกันเมื่อคืน เขารู้ว่านั่นคือจงรัก เขาคิดแล้วคิดอีกเกือบจะร้อยรอบก็เห็นเพียงภาพคนที่แบกเขากลับมานั้นคือจงรัก อาจเป็นเพราะความเหงา ความกลัวที่จะโดดเดี่ยว กลัวว่าคนๆนี้ที่บอกว่ารักเขาจะหายไป ดังนั้นปากจึงพลั้งไปด้วยสัญชาตญาณเบื้องลึก
“อยู่ด้วยกันนะ อย่าไป...อยู่ด้วยกันเถอะ” จงรักตื่นขึ้นมาพบว่ารอบๆเงียบสงบ แสงแดดส่องสาดตกไปอีกฟาก คาดว่าเวลานี้คงจะบ่ายแก่แล้ว เขาหลับเสียจนเต็มที่ หลับสนิทจนตื่นมาสดชื่นอีกครั้ง ร่างเล็กลุกขึ้นนั่ง ดวงตาสอดส่ายหาร่างใครอีกคนที่หายไปไหนก็ไม่รู้ กำลังจะลุกขึ้นไปล้างหน้า ร่างสูงของคนที่หายไปก็กลับมา
“ตื่นแล้วเหรอเรา”
“ครับ”
“พี่กำลังจะมาปลุกพอดี”
“กี่โมงแล้วครับพี่เมฆ”
“สี่โมงเย็นแล้ว”
“คืนนี้นอนไม่หลับแน่ๆ” จงรักนั่งหน้ามุ่ย มือก็ขยี้หัวตัวเองด้วยความหงุดหงิดใจ
“หึหึ..หิวไหม” เมฆาหัวเราะในลำคอคลอไปกับคำถาม
“หิวครับ” จงรักตอบตามจริง หลับตั้งแต่สายจนเย็นขนาดนี้ ไม่แปลกที่จะรู้สึกหิว
“งั้นก็ลุกไปล้างหน้าล้างตา เปลี่ยนเสื้อผ้าด้วย เดี๋ยวพี่จะพาไปกินข้าว เสร็จแล้วจะได้เลยไปส่งบ้านทีเดียว”
“ครับ”
พอแต่งตัวเรียบร้อยทั้งสองคนก็ออกจากบ้าน เมฆาขับรถเลียบถนนสายนครนายกไปเรื่อยๆไม่รีบร้อน ร้านอาหารที่เลือกเป็นร้านอาหารริมน้ำร้านหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านเท่าไหร่ ส่วนหนึ่งของร้านยื่นลงไปในคลอง แขกบางตากว่าที่คิด แต่เมฆาหันมาการันตีว่าอร่อยเพราะเป็นร้านประจำ เลือกที่นั่งริมน้ำแล้วสั่งอาหาร รอไม่นานก็มาเสิร์ฟ อาหารรสชาติดีสมราคาคุย แต่สำคัญกว่านั้นคือปลาและกุ้งสดมากจนจงรักติดใจและหวังว่าจะได้กลับมาอีกเร็วๆนี้ ทั้งสองคนคุยกันไปเรื่อยเปื่อยทั้งเรื่องงาน เรื่องรถ และก็เรื่องฟุตบอลที่ต่างก็ชื่นชอบด้วยกันทั้งคู่
“วันพุธนี้ไอ้วินมันโทรมานัด มันจะรวมตัวกันดูเชลซีกับแมนยูที่บ้าน ไม่รู้นึกอะไรอยากรวมตัวกันเหมือนเมื่อก่อน รักก็มาด้วยกันสิ” สมัยเรียนมหาวิทยาลัยกลุ่มของเมฆาจะนัดรวมตัวกันดูบอลคู่โปรด แต่พอโตมาก็ห่างๆกันไปเพราะไม่ได้อยู่หอรวมกันเหมือนแต่ก่อน
“ไปได้เหรอครับ เพื่อนๆอยากปาร์ตี้กันเองหรือเปล่า”
“ได้สิ มีแต่พวกสนิทๆกันทั้งนั้น หน้าเดิมนี่ล่ะ เรารู้จักทุกคนอยู่แล้ว แต่ยังไงพี่ไม่ชวน ไอ้วินมันก็ต้องชวนเราอยู่แล้ว”
“ครับ งั้นผมทำอะไรให้กินด้วยดีไหมครับ”
“ก็ดีนะ ทุกทีมันจะซื้อพิซซ่ามาแกล้มกับเบียร์ ห่วยแตกมาก”
“งั้นเดี๋ยวเย็นๆวันพุธปิดร้านเร็วหน่อยดีกว่า ผมจะได้ไปซื้อของที่ซุปเปอร์” จงรักวางแผนการไว้ล่วงหน้าด้วยท่าทางนึกสนุก
“งั้นเดี๋ยวพี่ไปรับที่ร้านตอนสี่โมงแล้วกัน จะได้ไปช่วยซื้อ”
“ครับ”
กว่าจะกินข้าวเสร็จออกจากร้านมาก็ค่ำมากแล้ว หัวค่ำวันอาทิตย์รถเข้าเมืองไม่มากเท่าวันธรรมดา เผลอแปบเดียวก็ถึงคอนโดของจงรัก หลังจากที่ได้นอนหลับพักผ่อนจนกระทั่งตื่นขึ้นมา จงรักรู้สึกว่าสมองของเขาปลอดโปร่งมากขึ้น ความคิดยุ่งเหยิงที่วนเวียนอยู่ในหัวก็ถูกสลัดทิ้งไปหมด เขาสบายใจ มีความสุขที่ได้พูดคุยกับพี่เมฆมากขึ้น เป็นแบบนี้ก็ดีแล้ว จงรักบอกตัวเอง
พอรถจอดสนิทเขาจึงหันมาลาเจ้าของรถ ถ้าไม่นับเรื่องที่ทำให้ปวดใจเมื่อคืน วันนี้ก็ถือว่าเป็นวันที่ดีมากๆสำหรับเขา จงรักยิ้มหวานให้เมฆาก่อนจะเอ่ยขอบคุณที่มาส่ง แล้วบอกลา
“ผมไปก่อนนะครับ แล้วเจอกันวันพุธครับ”
ทว่าขณะที่กำลังจะลงจากรถ เมฆากลับขับรถออกไปเสียอย่างนั้น ทำให้คนตัวเล็กรีบชักประตูปิดแทบไม่ทัน จงรักหันมามองหน้าเมฆาอย่างไม่เข้าใจ คนตัวสูงไม่พูดอะไรแต่กลับขับรถออกไปเรื่อยๆ เป็นจงรักที่ทนไม่ไหวจนต้องถามออกมาก่อน
“มีอะไรหรือเปล่าครับพี่เมฆ ลืมของเหรอครับ”
“เปล่าหรอก”
“อ่าว....แล้วทำไม?”
“พี่มีเรื่องจะคุยกับเราน่ะ เดี๋ยวค่อยกลับแล้วกัน หาที่คุยกันสักหน่อยดีกว่า”
“มีเรื่องคุยเหรอครับ…” จงรักใช้ความคิดนิดหน่อย ก่อนเอ่ยปากชวน “คุยที่ห้องผมก็ได้นะ ถ้าพี่เมฆไม่ว่าอะไร ไม่ต้องไปที่อื่นหรอกครับ เดี๋ยวพี่ต้องย้อนกลับมาส่งผมอีก” เมฆหยุดคิดนิดหน่อยจึงตอบตกลง
“เอางั้นก็ได้”
ห้องของจงรักก็เหมือนกับห้องในคอนโดทั่วไป ที่มีเพียงห้องนอนเดียว มีครัวเล็กๆ ห้องน้ำหนึ่งห้อง และระเบียงเอาไว้ตากผ้า ตรงกลางห้องจัดชุดรับแขกเล็กๆเอาไว้ เมฆาเดินตามจงรักเข้ามานั่งที่โซฟา จงรักหยิบน้ำมารินใส่แก้วให้ร่างสูงก่อนกลับมานั่งตรงข้ามกัน
“พี่เมฆมีอะไรจะคุยกับผมเหรอครับ” ความสงสัยทำให้ร่างบางถามไปทันที แม้จะมีความรู้สึกตุ้มๆต่อมๆในใจแต่ก็ดีกว่าเก็บมันเอาไว้ไม่ยอมถามเสียที
“พี่คิดดูแล้วนะรัก”
“ครับ” เพราะสีหน้าจริงจังจนหน้ากลัวของเมฆทำให้จงรักพลอยนั่งตัวเกร็งไปด้วย
“เรา...
คบกันดีไหม”
“หา!!?” ประโยคสั้นๆที่จงรักได้ยิน ทำให้เจ้าตัวตาโตขึ้น คำที่เคยได้ยินเป็นครั้งที่สองแต่ก็ยังทำให้หัวใจเต้นเร็วจนเกือบจะหลุดออกมาจากอกได้
“อย่างที่บอกนั่นแหละ เราคบกันไหม”
“คบ...คบกัน” เสียงเบาแผ่วลอดออกมาจากลำคอได้นับว่าปาฏิหาริย์มากในนาทีนี้
“อืม...คบกัน”
“บะ...แบบไหน” เพราะไม่ทันได้ตั้งตัว ทำให้ปล่อยคำถามโง่ๆให้หลุดออกจากปาก
“คบกัน...แบบเป็นแฟน แบบ
คนรักกันน่ะ พี่รู้สึกว่าอยากจริงจัง ไม่อยากให้อะไรมันคลุมเครือ ทั้งความรู้สึกของพี่ ทั้งสถานะของเรา”
คนรักกัน
คำๆนี้ดังก้องสะท้อนไปมาในหัวของจงรัก คนรักกันแปลว่าคนสองคนต้องรักกัน แล้วถ้าเมฆาจะขอคบกับตน ตนจะอยู่ในฐานะนั้นได้หรือ มันจะเป็นเช่นนั้นจริงๆหรือ ให้เป็นคนรัก คนที่พี่เมฆรักน่ะนะ! พี่เมฆที่จงรักเข้าใจว่ายังเพ้อหาคนรักเก่าเมื่อคืน พี่เมฆที่ร้องของให้คนรักเก่าไม่จากไปไหน พี่เมฆที่จงรักมั่นใจว่ายังรักหนึ่งนทีอยู่ แค่เงื่อนไขนี้พี่เมฆก็ไม่อาจใช้เงื่อนไขของคนรักกับจงรักได้แล้ว
“พี่เมฆแน่ใจเหรอครับ
คนรักกัน พี่เมฆแน่ใจจริงๆเหรอครับถึงอยากให้เราเป็นแบบนั้น ผมเคยบอกพี่ หากว่าพี่ยังรักเขา ผมไม่ว่าเลย ผมไม่ได้อยากเรียกร้องว่าต้องอยู่ในฐานะนั้น โอเคถ้าผมเป็นแฟนพี่ ผมมีความสุขแน่ๆ แล้วพี่ล่ะจะมีความสุขจริงๆหรือเปล่า ผมอยากให้พี่มั่นใจจริงๆ ไม่ต้องห่วงหรอกนะครับ ผมจะไม่ไปไหน ผมอยู่กับพี่ตรงนี้ตลอดอยู่แล้ว ขอแค่พี่ไม่ไล่”
“พี่แน่ใจ”
“จริงๆเหรอครับ”
“จริง” เสียงหนักแน่ที่จงรักได้ยิน ทำให้เจ้าตัวเงียบไปชั่วครู่ ตอนนี้เขาปั่นป่วนไปหมดแล้ว คิดอะไรไม่ออกทั้งนั้น อยากจะตัดทิ้งเหตุผลต่างๆแล้วกระโจนลงไปในห้วงความสัมพันธ์ที่ก่อตัวขึ้นตรงหน้า แต่อีกด้านหนึ่งในใจก็ไม่อาจทำได้
“ผมกลัว กลัวพี่จะเสียใจถ้าเราเป็นคนรักกัน”
“รัก
รักพี่หรือเปล่า”
“ครับ ผม
รักพี่” จงรักตอบอย่างไม่มีความลังเลสักนิดในความรู้สึก
“เพราะฉะนั้นก็ไม่ต้องกลัวว่าพี่จะเสียใจ พี่ต่างหากที่กลัวว่าวันหนึ่งรักอาจจะเสียใจถ้าคบพี่”
“พี่เมฆ...”
“แต่เชื่อเถอะ ที่พี่พูดตอนนี้ไม่ใช่สับสน ไม่ใช่เห็นเราเป็นตัวแทนหรืออะไรทั้งนั้น ที่พี่มองเห็นตอนนี้คือจงรัก”
“ผม...”
“พี่อยากเริ่มต้นรักใหม่ เริ่มต้นกับ
รัก”
“..........”
แววตาคมดุที่จ้องมองมาที่เขา ในแววตานั้นมันมีเพียงเขา สิ่งที่มองเห็น สิ่งที่สัมผัสมันทำให้หัวใจตื้นตัน พองโต ทว่าลึกๆก็ยังรู้สึกกลัว กลัวว่ามันจะเป็นเพียงหมอกควันบังบด กลัวว่าสักวันพอมันจางลง พี่เมฆอาจเห็นอะไรๆชัดเจนขึ้น เห็นว่าหลังหมอกควันเป็นอีกใครคนที่รออยู่ คนที่แอบรักมาเกือบทั้งชีวิตอย่างเขาบางครั้งก็ยากเหลือเกินที่จะทำใจยอมรับว่าตัวเองกำลังจะสมหวัง
“วันนี้พี่อาจเรียกชื่อเราได้ไม่เต็มเสียง แต่...พี่จะเรียกชื่อเราพร้อมกับรู้สึกอย่างนั้นได้แน่นอน”
“ผมเชื่อพี่ได้ใช่ไหม”
“
พี่ไม่เคยโกหก”
“ครับ...ผมรู้”
“ถ้าอย่างนั้น...เราคิดว่ายังไง”
รู้ว่าเมฆาไม่เคยโกหก เมื่อรู้เช่นนั้น เมื่อเจ้าตัวยืนยันขนาดนั้น จึงไม่ลังเลที่จะตอบรับกลับไป อาจดูเหมือนง่าย แต่มันไม่ได้ง่ายเลย ข้างในยังลังเล แต่ตรงหน้ามีความรักซึ่งรอคอยมานานวางตั้งอยู่ ความหอมหวานของมันทำให้คนธรรมดาอย่างจงรักตอบรับ หยิบมันขึ้นมา แล้วเก็บเกี่ยวเอาใส่ใจ แม้จะกลัว แต่เมื่อตัดสินใจตามความรู้สึกที่นำทางไปก่อนแล้ว เขาก็จะพยายามทำให้มันดีที่สุด เมื่อตอบรับแล้ว เขาจะไม่มีวันเสียใจอย่างที่พี่เมฆว่าเด็ดขาด
“ผมอยากเริ่มต้นกับพี่ครับ พี่เมฆ”
<><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><>

มาแล้วค่าาาาาาาาาาาา
ขอพื้นที่ขอโทษ+แก้ตัวนะคะ
ที่หายไปคือทำงานด่วนค่ะ รับงานทำพิเศษ แต่ตอนนี้โอเคแล้ว ถึงจะเจอมรสุมสอบที่ใกล้มาถึง แต่เราโอเค เราจะรีบมาต่อเลย นี่ก็ยังไม่ได้คอมเลยอ่า

แต่ใช้คอมเพื่อนปั่นมาอย่างไวว่อง คำผิดก็ยังไม่ได้แก้เลย ถ้าเจอก็ช่วยตรวจให้ด้วยนะคะ

ขอบคุณที่มาทวงค่ะ ขอโทษที่ให้รอนานนะคะ อย่าเพิ่งสาปแช่งเราเลยน้าาา
