(ต่อตรงนี้)
ทั้งสองนั่งลงตรงข้ามกันในกระเช้า
“วิวสวยเนอะ” รติพัทธแกล้งพูด เมื่อคนที่ปากบอกว่าไม่อยากขึ้นเอาแต่มองออกไปข้างนอกตาเป็นประกายเมื่อกระเช้าค่อยๆ ไต่ความสูงขึ้นไปในอากาศเห็นบรรยากาศภายในงานโดยรอบชัดเจนโดยไม่มีอะไรมาบดบัง และแม้จะอยู่ท่ามกลางตึกที่สูงระฟ้าแต่ดวงดาราก็ยังกะพริบแสงสู้ไฟนีออนเห็นจุดแสงสีทองวับแวบอยู่บนพื้นสีกำมะหยี่
“อือ” ตอบโดยไม่หันมามอง
คิ้วเข้มเลิกขึ้นสูง รติพัทธแกล้งทำเป็นชะเง้อคอมองตามออกไปอย่างสนอกสนใจก่อนจะตีเนียนลุกย้ายมานั่งข้างๆ กัน
“อะไรเนี่ย! กลับไปนั่งฝั่งโน้นเลยนะมันเอียงแล้วเห็นไหม” วิทยาเอ็ดพลางกระเถิบตัวหนี
“อยู่นิ่งๆ สิคุณเดี๋ยวก็ตกหรอก” รติพัทธว่าพลางเอื้อมมือโอบรอบไหล่ร่างโปร่งให้นั่งนิ่งๆ เพราะกระเช้าเริ่มแกว่งแรงขึ้นทุกที
วิทยานั่งตัวแข็งทื่ออยู่ในอ้อมแขนแกร่งเพราะวัสดุที่ทำแอบดูเก่า มีสนิมเกาะเขรอะและตามข้อต่อก็ส่งเสียงร้องดังเอี๊ยดอ๊าดน่าขนลุก จริงๆ แล้วมันอาจจะเป็นเรื่องปกติก็ได้ แต่เขาไม่ชินนี่นา
เมื่ออีกฝ่ายนิ่งไปรติพัทธจึงลดมือลงประคองหลวมๆ ไว้ที่รอบเอว และชวนคุยเรื่อยๆ “ขนมครกหมดแล้วเหรอ”
“ยัง” วิทยาบอกพลางยกกระทงใบตองในมือขึ้นตรงหน้า
“ผมไม่กินแล้ว คุณกินสิ”
“ทำไมล่ะ นี่ชิ้นสุดท้ายแล้วนะหมดแล้วหมดเลยฉันไม่เดินไปซื้อให้ใหม่หรอกนะ”
“คุณไม่เคยได้ยินเหรอว่าชิ้นสุดท้ายแฟนหล่อ คุณกินผมจะได้หล่อ”
หนุ่มหน้าตี๋ย่นปาก “งั้นทิ้งไปดีกว่า” พร้อมทั้งทำท่าจะโยนทิ้ง ผู้กองหนุ่มจึงต้องรีบคว้ามือหมับ
“อย่านะคุณเสียดายของ”
“ก็ฉันไม่กินนี่”
“งั้นคนละครึ่งนะ”
“ไม่!”
“ไม่เป็นไร งั้นผมกินเองก็ได้ ผมกินคุณก็หล่อ”
หนุ่มหน้าตี๋เอียงคอมองคนตรงหน้าที่ยัดขนมครกใส่ปากทั้งชิ้นแล้วเคี้ยวหยับๆ อยู่อึดใจ “ถามจริง มีอะไรหรือเปล่าทำไมวันนี้นายดู ‘พยายาม’ แปลกๆ แล้วก็เล่นมุกอะไรตลอดเลย”
“ไม่ขำเหรอ”
วิทยาส่ายหน้า
ผู้กองหนุ่มผ่อนลมหายใจออกจมูก “ว่าแล้วเชียววิธีนี้ใช้กับคุณไม่ได้ผลจริงๆ ด้วย... ผมแค่อยากเห็นคุณยิ้มน่ะ”
“หมายความว่าไง ฉันก็ไม่ได้หงุดหงิดอะไรนี่ หรือว่าหน้าตาฉันมัน...”
“ผมไม่ได้ว่าคุณนะ” รติพัทธรีบพูด “ผมรู้คุณสนุก ผมเห็นคุณยิ้ม คุณหัวเราะ”
“แล้วนายยังต้องการอะไรอีก”
“ต้องการเป็นเหตุผลของรอยยิ้มและเสียงหัวเราะนั่นไง” รติพัทธบอก “คุณหัวเราะกับพี่อุ้ม คุณยิ้มกับพี่วี คุณมีความสุขกับขนม แต่ไม่มีอันไหนเลยที่เป็นเพราะผม... แม้แต่ตุ๊กตาหมีนี่ก็... ขอโทษนะที่ผมคิดอะไรไร้สาระ”
“มากด้วย” วิทยาว่า “ถ้าปืนมาก็คงพาลมันด้วยอีกคนใช่ไหม”
“ผมขอโทษ”
ความเงียบอึดอัดโรยตัวลงมาพร้อมๆ กับกระเช้าที่ขยับไปอย่างเชื่องช้า วิทยาไม่ได้โกรธคนตรงหน้า อันที่จริงเขาแค่ไม่รู้จะอธิบายยังไงให้อีกฝ่ายเข้าใจ
นัยน์ตาเล็กตี่เหลือบมองตุ๊กตาหมีที่นั่งตาแป๋วมองพวกเขาอยู่ตรงข้ามราวกับจะให้กำลังใจก่อนจะละสายตากลับมายังคนที่นั่งอยู่เคียงข้าง ฝ่ามืออุ่นประคองหลวมๆ อยู่รอบเอว ใบหน้าด้านข้างเห็นเพียงเลือนลางเมื่อแสงไฟจางด้านนอกเริ่มน้อยลงเพราะกระเช้าเคลื่อนตัวขึ้นจนเกือบถึงจุดสูงสุด
เขาขยับเข้าไปใกล้เพื่อดูหน้าอีกฝ่ายให้ชัดอยากรู้ว่ากำลังทำหน้าแบบไหน กลิ่นน้ำหอมจางๆ ที่เจ้าตัวชอบใช้ประจำลอยมาแตะจมูก วิทยาขยับตัวอีกครั้ง แต่เขาคงจะขยับตัวมากไปหน่อยเมื่อปลายจมูกแตะลงข้างแก้มจนอีกฝ่ายสะดุ้งเบาๆ และเหลียวมามอง
“คุณ”
“เงียบสิ” วิทยากระซิบ นัยน์ตาเล็กตี่กวาดมองสีหน้าตกประหม่าของอีกฝ่ายอยู่อึดใจก่อนจะยกมือขึ้นคว้าคอเสื้อพร้อมกับขยับตัวเข้าไปใกล้อีกครั้ง
ภายใต้แสงสลัวของจันทร์เสี้ยวบนท้องฟ้า รติพัทธเห็นเพียงเงาของคนที่อยู่ข้างๆ ทาบทับลงบนตัวก่อนที่ริมฝีปากอุ่นจะประทับลงบนหน้าผากและกดจูบซ้ำๆ ราวกับจะย้ำให้แน่ใจ ก่อนจะถอนออกหากยังรู้สึกได้ถึงไออุ่นจากปลายสันจมูกโด่งที่ไล้ไปตามผิวแก้มก่อนที่เจ้าตัวจะฝังใบหน้าลงข้างซอกคอ
“คุณ” ผู้กองหนุ่มกระซิบกับเรือนผมที่คลอเคลียอยู่ปลายจมูก เมื่อคนข้างๆ ขยับซุกหน้าพร้อมกับสอดแขนเข้ารอบเอวเบียดตัวแนบกับอกกว้าง
“ไม่ห็นต้องทำอะไรเลย แค่อยู่เฉยๆ แล้วให้ฉันกอดไปเงียบๆ ก็พอ” วิทยาบอก และเขาต้องการแค่นั้นจริงๆ แค่ได้อยู่ข้างๆ กันแบบนี้ก็พอแล้ว
ผู้กองหนุ่มนั่งตัวแข็งทื่อเป็นท่อนไม้ หัวใจเต้นแรง ไม่เคยมีใครทำให้เขาเป็นได้ถึงขนาดนี้ ผู้ชายที่คาดเดาอะไรไม่ได้และเพราะแบบนี้แหละเขาถึงกลายเป็นเสือสิ้นลาย เหมือนลูกไก่ในกำมือจะบีบก็ตายจะคลายก็ไม่มีแรงคลานหนีไปไหนอยู่ดี
“กอดได้ไหม” พร้อมกับยกมือขึ้นแตะที่กลางหลัง
“ก็บอกให้นั่งเฉยๆ”
เสียงเอ็ดเบาๆ ทำเอารติพัทธวางมือกลับลงบนตักแทบไม่ทัน
วิทยาหลุดขำออกมาเล็กน้อยแล้วเงยหน้าขึ้นแตะริมฝีปากที่แนวกรามก่อนจะซุกหน้าลงบนบ่าตามเดิม “แค่กอดอย่างเดียวนะ”
มือใหญ่โอบเข้ารอบเอวแทบจะทันทีที่สิ้นคำอนุญาต พร้อมกับวางมือข้างหนึ่งลงบนศีรษะ สอดเข้าใต้เรือนผมนุ่มพลางลูบไล้เบาๆ
นึกอยากให้เวลาเดินช้าลงสักร้อยพันเท่า แต่มันคงเป็นไม่ได้เมื่อกระเช้าเริ่มไต่ระดับลงต่ำเรื่อยๆ
“ปล่อยได้แล้วมั้งครับ เดี๋ยวคนอื่นเห็นนะ”
“ช่างเขาสิ” วิทยาว่า “ไหนว่าแฟนหวงไม่ใช่เหรอ แล้วยังกล้าไปก้อร่อก้อติกกับสาวๆ อีก”
รติพัทธตาโต “เห็นด้วยเหรอครับ”
“ฉันแค่ตาตี่นะไม่ได้ตาบอดสักหน่อย เด่นซะขนาดนั้น” หนุ่มหน้าตี๋คว้ามือใหญ่ที่ขยุ้มอยู่บนศีรษะตนลงมาวางบนตักแล้ววางมือของตนทับ ถึงจะดูบอบบางกว่าแต่ขนาดก็ไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่ “นายชอบคนตัวเล็กๆ ขาวๆ ที่อายุน้อยกว่าสินะ”
“จู่ๆ ก็พูดเรื่องอะไรเนี่ย”
“น้องแม็กซ์นั่นก็ตัวเล็กเหมือนลูกกระต่าย”
“นั่นแกล้งจีบเพราะไปทำคดีครับ”
“สาวๆ กลุ่มเมื่อกี้ก็เหมือนลูกนก หยิกแกมหยอกกันน่ารักเชียว”
“นั่นน้องเขาแค่มาขอถ่ายรูปด้วย”
“น่าเบื่อชะมัด”
“ตกลงอยากจะพูดอะไรกันแน่ครับ หึง?” คุณหมอหนุ่มสอดเรียวนิ้วเข้าระหว่างนิ้วใหญ่แล้วกุมไว้ “ฉันก็ขาวนะ ตัวไม่เล็กแต่ก็กอดเต็มมือ แต่เรื่องอายุนี่ฉันคงโกงให้ไม่ได้จริงๆ”
“แก่กว่านี้ก็รักครับ” รติพัทธขโมยหอมแก้มไปอีกครั้งพร้อมกับสะกิดไหล่ “เดี๋ยวชิงช้าจะถึงพื้นแล้วเราเตรียมลงกันเถอะ ชักช้าเดี๋ยวไอ้หนุ่มนั่นจะบ่นเอา”
“เขาไม่กล้าบ่นหรอก” วิทยาว่า “เพราะฉันแถมไปอีกห้าร้อย ค่าขึ้นกระเช้าคนละยี่สิบใช่ไหม ฉันยังนั่งได้อีก12รอบครึ่งเชียวนะ”
“คุณนี่มันจริงๆ เลย”
“ก็มันร้อนนี่ ชุดก็หนา ขี้เกียจเดินแล้วด้วย วันนี้ก็ยุ่งเดินจนขาแทบหลุดแล้ว อุตส่าห์ได้หยุดทั้งทีฉันก็แค่อยากนั่งสบายๆ ให้นายกอดแบบนี้... ไม่ได้เหรอ” น้ำเสียงที่อ่อนลงพร้อมกับนัยน์ตาเล็กที่ตวัดมองขึ้นมาอย่างออดอ้อนทำเอาคนที่กอดอยู่เผลอกดริมฝีปากเข้าข้างแก้มไปฟอดใหญ่
“แล้วทำไมคุณไม่บอกผมล่ะ ผมก็หลงคิดวางแผนนู่นนี่นั่นซะมากมาย เพราะแทบไม่เคยพาคุณไปเที่ยวไหนเลยก็กลัวจะเบื่อ”
“ฉันจำไม่ได้นะว่าเคยบ่นสักคำว่าเบื่อน่ะ มีแต่นายน่ะแหละที่ชอบคิดเองเออเอง”
“งั้นกลับบ้านกันไหมครับ”
“แต่นายยังพาฉันเดินไม่ทั่วงานเลยนะ เดี๋ยวไม่เป็นไปตามแผนก็มาบ่นฉันอีก”
ผู้กองหนุ่มหัวเราะลงคอพร้อมกับบิดจมูกคนช่างย้อนครั้งหนึ่ง “เรื่องนั้นช่างมันเถอะครับ กลับกันเถอะ”
ทั้งสองกลับมายืนบนถนนที่คราคร่ำไปด้วยผู้คนอีกครั้ง รติพัทธเอาเจ้าหมียักษ์เข้าข้างเอวเพื่อถือให้ถนัด ชักรู้สึกว่าคิดผิดนิดๆ ที่ไปชนะเดิมพันเอาเจ้าตัวนี้มา
“คุณจอดรถไว้ที่ไหนผมจะเดินไปส่ง”
“ฉันไม่ได้เอามา”
“แล้วคุณมายังไง”
“โบกแท๊กซี่จากบ้านมาต่อสถานีรถไฟฟ้า แล้วก็เดินมา” วิทยาอธิบายการเดินทางของตน “ก็รถมันติดนี่นา ฉันไม่รู้จะจอดรถตรงไหน แล้วก็...” จู่ๆ แก้มขาวแต้มสีเข้มขึ้นเล็กน้อยจนรติพัทธนึกประหลาดใจแต่พอวิทยาต่อประโยคจนจบก็กลับกลายเป็นเขาเองที่เขินจนแทบมุดดินหนี “วันนี้นายไม่ได้ตั้งใจจะไปส่งฉันที่ห้องหรอกเหรอ... พรุ่งนี้ฉันหยุดนะ”
“คุณ!” รติพัทธพูดเพียงเท่านั้นแล้วคว้าข้อมือบางก่อนจะดึงจนตัวปลิวทำให้วิทยาต้องออกวิ่งเหยาะๆ เพื่อตามให้ทัน
“ช้าๆ ก็ได้จะรีบร้อนไปไหนเนี่ย”
“กลับบ้าน”
“รู้แล้ว ไม่เห็นต้องรีบร้อนขนาดนี้เลย”
“ก็ผมอยากกอดคุณ และผมจะไม่รออะไรอีกแล้ว!”
OOOOOO
“ใจเย็นๆ สิขอฉันถอดเสื้อก่อน” คุณหมอหนุ่มดุคนที่แทบจะอุ้มเขาขึ้นมาถึงห้อง และพอเปิดประตูเข้ามาได้ก็ระดมจูบใส่ไปทั่วโดยไม่ยอมให้หยุดพักหายใจหายคอ
“มาถึงขนาดนี้แล้วใครมันจะไปเย็นลงล่ะครับ” ไม่พูดเปล่ายังสอดมือใหญ่เข้าใต้ขอบโจงกระเบน ทั้งด้านหน้าและด้านหลังจนคนที่ถูกสัมผัสสะดุ้งเฮือกเผลอฟาดเข้าที่ต้นเแขนล่ำๆ นั่นไปครั้งหนึ่ง
“นายน์!”
เสียงที่เข้มขึ้นทันทีทำเอาผู้กองหนุ่มหน้าจ๋อยไปถนัด “นั่นสินะ ชุดนี้คุณเช่ามานี่นา ถ้าเปื้อนไปล่ะแย่เลย”
“เรื่องนั้นไม่ใช่ปัญหาเสียหน่อย”
คิ้วเข้มย่นเข้าหากันและโดยไม่ทันตั้งตัว มือเรียวยันเข้าที่กลางอก ผลักร่างสูงให้หงายหลังล้มลงนอนแผ่หราบนเตียง ก่อนที่เจ้าตัวจะก้าวตามขึ้นมาคุกเข่าคร่อมอยู่บนปลายขา
“ฉันแค่อยากจะชวนอาบน้ำด้วยกันก่อน แต่ถ้านายไม่แคร์ว่าจะเหม็นเหงื่อฉันก็ไม่มีปัญหาหรอกนะ”
ยังไม่ทันจะกะพริบตา เสื้อตัวนอกก็ถูกถอดออกโยนลงมากองข้างตัว นัยน์ตาของผู้กองหนุ่มพราวระยับและกวาดไล่ไปทั่วเรือนร่างขาวเนียนที่ทาบทับอยู่บนตัว
“เหล้าก็ไม่ได้กินแท้ๆ แต่ทำไมวันนี้ทำตัวน่ารักจัง”
“แล้วไม่ชอบเหรอ”
“ไม่ครับ”
“เอ๊ะ...”
คำตอบจริงจังทำเอาวิทยาหน้าเจื่อนไปถนัด เมื่อคนที่นอนอยู่คว้าเข้าที่หัวไหล่แล้วพลิกกลับเป็นฝ่ายขึ้นคร่อมไว้แทน
“ไม่ปฏิเสธ” รติพัทธต่อคำพูดสุดท้ายจนจบแล้วก้มลงปิดปากคนที่นอนยั่วยิ้มอยู่ข้างล่าง
...
...
...
“หนัก”
เสียงอู้อี้ที่ดังมาจากคนที่นอนอยู่ใต้ร่างทำให้ผู้กองหนุ่มขยับตัวเล็กน้อย หากยังไม่ยอมเปลี่ยนอิริยาบทและสอดแขนกอดแน่นขึ้นอีก
“ขอผมอยู่แบบนี้อีกแป๊บไม่ได้เหรอ”
วิทยาทั้งตีทั้งข่วนเข้าที่แผ่นหลังก่อนจะรวบรวมเรี่ยวแรงที่เหลือพยายามดันอกคนตัวโตกว่าออกไป แต่ยิ่งผลักแรงเท่าใดคนที่กอดไว้ยิ่งรัดวงแขนแน่นซ้ำยังแกล้งซุกไซร้ลงบนหน้าอกที่เจ้าตัวฝากร่องรอยไว้เต็มไปหมด
“นายน์ ฉันหายใจไม่ออก”
เมื่อเสียงคนที่อยู่ข้างล่างเหมือนจะเริ่มขาดใจจริงๆ ผู้กองหนุ่มจึงยอมพลิกตัวกลับพร้อมทั้งดึงร่างเขาตามขึ้นมานอนทับอยู่บนแผงอกกว้าง รู้สึกไม่เสียชาติเกิดที่เข้ายิมเน้นกล้ามอกเป็นพิเศษ เพราะถึงไม่เคยเอ่ยให้ได้ยินแต่เขาสังเกตได้ว่าคนรักของเขาชอบที่จะหนุนนอนแทนหมอนจนหลับไปทุกคืน
วันนี้ก็เช่นกัน ทั้งที่บ่นว่าอึดอัด แต่พอได้พลิกมาอยู่ข้างบนกลับเป็นฝ่ายก่ายเกยขึ้นมาบนตัวเขาเต็มที่ ทิ้งศีรษะซุกไว้แถวๆ แนวไหปลาร้า แล้วแกล้งปล่อยให้เขาอดทนกับเรือนผมนุ่มที่คลอเคลียอยู่ปลายจมูกกับลมหายใจอุ่นที่รดลงเหนือยอดอกพอดิบพอดี
“ไม่ร้อน ไม่อึดอัดแล้วนะครับ”
ศีรษะที่ประกอบด้วยเรือนผมสีน้ำตาลทองขยับเบาๆ ครั้งหนึ่ง ก่อนที่เสียงทุ้มจะกระซิบตอบกลับมา “หนาว”
รติพัทธหัวเราะหึอย่างเอ็นดู ก่อนจะดึงผ้าห่มขึ้นคลุมให้ถึงต้นคอแล้วกระชับวงแขนแน่นขึ้นอีก “ดีขึ้นไหมครับ”
“อือ”
“ให้กี่คะแนน”
“ยังไม่เลิกถามอีก”
“ไหนๆ วันนี้ก็เลือกมาทางนี้แล้ว เห็นทีผมต้องเอาให้สุด ว่าไงครับ ตกลงผมได้กี่คะแนน”
“สิบ”
“จริงอะ”
“จริงสิ แต่คะแนนเต็มร้อยนะ”
“ปากดีจัง แฟนใครเนี่ย” แล้วรติพัทธก็ก้มลงงับข้างหูครั้งหนึ่งข้อหาหมั่นไส้ “แล้วเมื่อกี้ใครกันนะ ที่กอดผมซะแน่นเลยน่ะ หืมมม ตอบมาสิครับ”
“อ้าว นี่คบกันมาตั้งนานฉันไม่เคยบอกนายเหรอว่าจบเอกแพทยศาสตร์ โทการแสดงน่ะ”
“ดูพูดเข้า”
“ก็จริงๆ นี่ไม่งั้นฉันจะเล่นละครหลอกเป็นเพื่อนกับใครคนหนึ่งมาได้ตั้งเกือบยี่สิบปีเหรอ”
“แล้วตอนนี้ล่ะ คุณกำลังเล่นละครหลอกว่ารักผมอยู่หรือเปล่า” ถามพลางไล้ปลายนิ้วเบาๆ ไปบนแก้มนิ่มราวกับจะตัดพ้อ
หนุ่มหน้าตี๋ตะแคงหน้าขึ้นมามอง “แล้วนายคิดว่าไงล่ะ”
“ไม่เอาหรอก ผมไม่อยากคิดเองเออเอง คุณบอกมาเลยดีกว่า”
วิทยาเงียบไปอึดใจ “นายถามว่าต้องทำยังไงฉันถึงจะให้คะแนนเต็มใช่ไหม งั้นลองทายดูสิ ถ้าทายถูกนายก็จะรู้คำตอบเอง”
รติพัทธย่นปากครุ่นคิดอยู่อึดใจ “ไม่พูดมากแล้วยอมให้คุณกอดเฉยๆ”
“แปดคะแนน”
“งั้นจูบอะ”
“ห้าคะแนน”
“บอกรักคุณทุกวัน”
“สามคะแนน”
“เอ้า! ไหงยิ่งทายคะแนนยิ่งลดละคุณ แกล้งกันหรือเปล่าเนี่ย”
“ช่วยไม่ได้ ก็นายทายไม่ถูกเอง”
“ไม่เอาผมไม่ทายแล้วคุณเฉลยมาเลยดีกว่า”
“ไปเอาน้ำให้หน่อย”
คิ้วเข้มเลิกขึ้นสูง “แล้ว...”
“ก็แค่นั้นแหละ ไปเอาน้ำให้หน่อย ฉันคอแห้งไปหมดแล้วเนี่ย”
“มันน่าตีจริงๆ เชียว” แล้วผู้กองหนุ่มก็ลงโทษด้วยการใช้ริมฝีปากตีแรงๆ เข้าที่กลางหน้าผากครั้งหนึ่ง “เอาน้ำอุ่นหรือน้ำเย็นครับ”
วิทยาหลับตารับรอยจูบก่อนจะพลิกตัวลงนอนบนหมอนอีกใบ “น้ำเย็น” แล้วเฝ้ามองดูร่างสูงลุกขึ้นพันผ้าเช็ดตัวเข้ารอบเอวก่อนจะเดินออกประตูห้องนอนไป
“ใส่น้ำแข็งมาด้วยนะ”
“รับทราบคร้าบบบ” รติพัทธหยิบแก้วทรงสูงจากชั้นวางแล้วดึงประตูตู้เย็นเปิดออก
เขาเอื้อมมือเข้าไปควานหาถาดใส่น้ำแข็ง กำลังจะบิดมันออกมาจากบล๊อกเมื่อสังเกตเห็นว่ามันถูกทำให้เป็นรอยตัวอักษรภาษาอังกฤษบนผิวหน้าน้ำแข็ง ช่องละ 1 ตัวอักษร
ผู้กองหนุ่มมองกลับไปยังทางที่ทอดนำสู่ห้องนอน ก่อนจะหยักยิ้มมุมปากครั้งหนึ่งแล้วยกถาดน้ำแข็งขึ้นส่องกับแสงไฟเพื่อดูข้อความให้ชัด
T-E-R-R-A-C-E
“ระเบียง?” เมื่อได้คำตอบก็แกะน้ำแข็งใส่แก้วจนเต็มแล้วเดินออกไปตามคำใบ้ นึกสนุกว่าวิทยาวางแผนอะไรไว้นี่เอง... ถึงว่าสิ ปกติต้องไปคอนโดเขาแต่วันนี้กลับยืนกรานจะกลับมาห้องตัวเอง
ร่างสูงดันบานประตูเลื่อนเปิดออกแล้วกวาดตามองไปรอบๆ ระเบียงแคบๆ เพียงแค่อึดใจเขาเห็นขวดแก้วใบหนึ่งวางแอบไว้ตรงมุมในสุด
ถึงตรงนี้ก็อดจะหลุดหัวเราะออกมาไม่ได้ ด้วยว่ามันเป็นแบล็ค เลเบิล หนึ่งในเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่เขาโปรดปรานมากที่สุด
“รู้ใจซะด้วยนะว่าชอบกินกับน้ำแข็งเยอะๆ”
ผู้กองหนุ่มหยิบขวดเหล้าเดินกลับเข้ามาในห้องและเปิดเทลงไปแบบเพียวๆ ใช้ปลายนิ้วคนเบาๆ ให้เข้ากัน ก่อนจะยกขึ้นจิบ พลันสายตาเหลือบไปเห็นฉลากใบน้อยที่ห้อยอยู่ตรงคอขวดเหมือนจะเขียนอะไรไว้จึงจับพลิกดู
ลายมือหวัดๆ ที่เขาจำได้ดีเขียนไว้ว่า
เลิกกินแล้วเดินไปเอากับแกล้มในตู้มาด้วย
“นี่เป็นญาติฝ่ายไหนกับริวจิตสัมผัสหรือเปล่าเนี่ย”
รติพัทธเดินกลับไปในครัวและเปิดชั้นวางของทีละตู้ ๆ แต่ก็ไม่เจออะไรสักอย่าง เขาพลิกฉลากใบนั้นมาอ่านอีกครั้ง
“ฉลาก... label?... หรือมันจะเป็นคำใบ้... ของอยู่ใน ‘ตู้’... Black label... หมายถึงตู้หรือกล่องอะไรสีดำเหรอ”
เขากวาดตามองไปรอบๆ อีกครั้ง และเจอสิ่งที่ตามหาทันที ถึงจะดูไม่น่าใช่แต่มันก็มีลักษณะตรงกับคำใบ้พอดี
รติพัทธเดินไปนั่งยองๆ ลงหน้าตู้อบขนมที่อยู่ใต้เตาไฟฟ้า และดึงฝาเปิดออก
แล้วคำตอบที่ตามหาก็วางอยู่ข้างใน
เขายิ้มกว้างอย่างควบคุมไม่ได้
มีการ์ดใบเล็กวางไว้ด้านข้าง มันเป็นแค่กระดาษโน้ตสีขาวเรียบๆ หากตัวอักษรที่เขียนไว้มีความหมายมากมายนัก
Happy Birthday
(อย่ามัวแต่ยิ้ม ไม่ต้องเชลฟี่ แล้วรีบกลับมาที่เตียงได้แล้ว)
อ่านจบ มือใหญ่ก็ค่อยประคองถาดใส่เค้กครีมสดที่ใครบางคนซ่อนเอาไว้ออกมา หนีบขวดเหล้าไว้ที่ข้างแขนแล้วหยิบแก้วใส่น้ำแข็งเดินกลับไปที่ห้องนอน
“เล่นอะไรครับเนี่ย”
ยิ้มจนตาหยีได้พอๆ กับหนุ่มเชื้อสายจีนที่นั่งอมยิ้มอยู่บนเตียง ในมือถือกุหลาบแดงดอกโตไว้หนึ่งดอก แต่กลีบและใบของมันแห้งกรอบจนออกสีน้ำตาล
“หายไปนานจัง นึกว่าจะคิดไม่ออกซะแล้ว”
ผู้กองหนุ่มวางของทั้งหมดลงบนโต๊ะข้างเตียงแล้วนั่งลงเคียงข้าง “ขอบคุณนะครับที่ยังจำกันได้”
“ฉันจะลืมวันเกิดนายได้ยังไง แต่บอกไว้ก่อนนะว่าฉันไม่ร้องเพลงให้เด็ดขาด” วิทยาว่า
“แล้วกุหลาบดอกนั้นล่ะครับ นั่นที่ผมให้เมื่อตอนวาเลนไทน์หรือเปล่า”
คุณหมอหนุ่มพยักหน้า
“แล้วเอาออกมาทำไมครับ”
“ก็นอกจากจะเป็นวันเกิดนายแล้ววันนี้ยังเป็นวันไวท์เดย์ด้วยนี่นา อะ! เอาไปสิ”
“ตามธรรมเนียมเขาให้ให้ของขวัญคืนกับคนที่ให้ครับ ไม่ใช่ให้คืนของขวัญ”
“แต่ไหนๆ ฉันก็เอามาแล้วนายก็รับไปเถอะน่า”
เพราะรอยยิ้มเขินที่กว้างไปถึงตาทำให้เขาไร้สิ้นถ้อยคำจะขัดขืน รติพัทธยื่นมือออกไปตรงหน้าส่งดอกกุหลาบคืนมาพร้อมกับที่มือเรียวปล่อยวัตถุสีเงินไหลตามก้านกุหลาบลงมาใส่มือ
หัวใจเต้นแรงจนแทบหลุดจากอก เขามองแหวนเงินสองวงในมืออย่างไม่เชื่อสายตา ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตาคนตรงหน้าเต็มที่ “มันคืออะไรครับ”
“อ้าว ไม่รู้จักแหวนเหรอ” แล้วแก้มขาวก็แต้มสีแดงระเรื่อก่อนจะเห่อลามไปจนถึงใบหู
“ผมรู้ครับว่ามันเป็นแหวน แต่ว่ามันมีสองวง แถมยังคนละขนาด แบบนี้มันมีความหมายพิเศษอะไรหรือเปล่าครับ”
“จะมีความหมายพิเศษอะไรล่ะ ก็แค่แหวน” วิทยาว่า “แต่ถ้านายอยากให้มีก็ใส่สิ” ไม่พูดเปล่ายังยื่นมือของตนออกมาตรงหน้า
รติพัทธหยิบแหวนวงที่เล็กกว่าขึ้นมาสอดผ่านเข้าไปในเรียวนิ้วนาง
“ทำไมถึงใส่นิ้วนั้น”
“เหตุผลเดียวกับที่คุณส่งมือซ้ายให้ผมแหละครับ” พร้อมกับกดริมฝีปากย้ำลงไปบนหลังมือครั้งหนึ่ง “ใส่ให้ผมบ้างสิ”
วิทยาใส่แหวนให้อีกฝ่ายที่ตำแหน่งเดียวกัน “ใส่แล้วห้ามถอดนะ”
“นี่คือการใส่ปลอกคอให้ผมเหรอครับ” ปากแซวไปอย่างนั้นทั้งที่ใบหน้าระบายยิ้มกว้างจนหุบไม่ลง
“ใครๆ จะได้รู้ไงว่านายมีเจ้าของ แล้วเจ้าตัวก็จะได้รู้ตัวด้วยว่าไม่ควรหนีไปเพ่นพ่านที่ไหนอีก”
เขามองกวาดมองคนตรงหน้าด้วยความรู้สึกท่วมท้น และมันไม่ใช่แค่คำว่าความสุข แต่เขาก็ไม่รู้จะสรรหาถ้อยคำไหนมาอธิบายได้ดีว่านี้อีกแล้ว “จิว รักนะครับ”
“คนเดียวด้วยนะ”
“ครับ”
นัยน์ตาเล็กตี่เหลือบดูคนที่มองเขาตาไม่กะพริบ รู้ดีว่ารติพัทธกำลังรออะไร แต่ในเมื่ออีกฝ่ายพูดคำนั้นออกมาแล้ว ถ้าพูดตามก็เดี๋ยวจะโดนกล่าวหาว่าเลียนแบบสินะ “แล้วตกลงรู้หรือยังว่าต้องทำอะไรถึงจะได้คะแนนเต็ม”
รติพัทธส่ายหน้าเบาๆ ครั้งหนึ่ง
“งั้นจะบอกให้ก็ได้” วิทยาบอกพลางชูสองแขนขึ้นพาดบนบ่ากว้างของคนตรงหน้า “ก็ทำทุกอย่างที่นายว่ามาไงล่ะ”
“แล้วเค้กล่ะครับ” รติพัทธแสร้งทำเป็นลังเล
“โตแล้วก็หัดคิดเองบ้างสิ ว่าจะทำอะไรก่อนหลัง หรือว่า...” แล้วใช้ปลายนิ้วปาดครีมสดบนหน้าเค้กแตะลงบนริมฝีปาก “ถ้านายอยากจะกินพร้อมๆ กันฉันก็ไม่ว่าหรอกนะ”
The End
Talk
ทันวันwhite day แบบฉิวเฉียด! (ปรบมือให้เค้าหน่อยยยย~)
สำหรับแม่ยกคู่ นายน์×จิว โดยเฉพาะหวังว่าจะถูกใจทุกคนนะคะ
ปล.เราเปิดเรื่องใหม่แล้วนะ เป็นภาคต่อของ ER (เน้นว่าภาคต่อไม่ใช่ภาคสอง พระ-นาย คู่ใหม่นะคะ)
ลองแวะเวียนไปเยี่ยมชมกันได้น้าาาาา❤
Text_book