Chapter 4หลังจากชายหนุ่มผิวขาวเดินกลับไปยังห้องทำงานของตน และนั่งทำงานต่อไปอีกสักพัก เลขาส่วนตัวก็เปิดประตูห้องเข้ามาหา “คุณนภเกตน์คะ ท่านประธานโทรมาบอกว่ากำลังรอให้คุณนภเกตน์ไปทานข้าวด้วยกันน่ะค่ะ”
“อืม” ดวงตากลมโตชำเลืองมองนาฬิกาตั้งโต๊ะ ซึ่งบอกว่าเลยเวลาเลิกงานมากว่าชั่วโมงแล้ว... เพราะไม่อยากให้อาพีรพัฒน์ต้องรอนาน เขาจึงลุกขึ้นเก็บข้าวของให้เรียบร้อย มือขาวรวบแฟ้มเอกสารสองสามแฟ้มไว้ในมือ ก่อนจะเดินออกจากห้องไป
ทว่าก่อนที่จะเดินไปถึงลิฟต์โดยสาร เสียงดังโหวกเหวกจากกลุ่มวิศวกรนับสิบก็หยุดร่างโปร่งไว้เสียก่อน เขาจึงเดินตามต้นเสียงนั้นไปด้วยความสงสัย... ก็นี่เลยเวลาเลิกงานไปแล้วไม่ใช่หรือ
ที่ตรงต้นตอของเสียงดังนั้น ร่างสูงนั่งอยู่บนโต๊ะรูปวงรีขนาดใหญ่ โดยมีพวกลูกน้องที่ลากเก้าอี้เข้ามานั่งรายล้อม บนโต๊ะตรงหน้าของแต่ละคนมีเอกสารกองโตกับแล็ปท็อป และอุปกรณ์เชื่อมต่อเครือข่ายการสื่อสารอีกสองสามเครื่อง มีสายไฟและสายเคเบิลระโยงระยางเต็มไปหมด
“ไอ้เวรนี่ หิวก็ทนหน่อยสิวะ ถ่างตาดูที่มึงตั้งค่าไว้นี่ ป้อนคำสั่งก็ไม่ครบ พรุ่งนี้จะต้องรวบรวมเอกสารส่งผู้จัดการแล้วนะเว้ย เดี๋ยวก็โดนจับตอนหรอก” ตฤณดุเพื่อนร่วมงานเสียงเข้ม พร้อมกับใช้แขนล็อกคอ อีกมือชี้ไปบนหน้าจอมอนิเตอร์ “แก้ใหม่เลย ให้ไวๆ”
“เออ จริง! ดีนะมึงเห็นก่อน ไม่งั้นกูซวยแน่ๆ”
“ผู้จัดการใหม่ก็ท่าทางดูดีอยู่นะพี่ตฤณ แต่ทั้งดุทั้งหยิ่งเลยว่ะ น่าสงสารพี่ที่ต้องทำงานในห้องเดียวกันจริงๆ...”
เพื่อนร่วมงานอีกคนพูดแทรกขึ้นมาทันควัน “เฮ้ยๆ มันก็เป็นเรื่องธรรมดานะมึง ถ้ากูเป็นหลานท่านประธาน กูจะหยิ่งให้ได้มากกว่านี้อีกเว้ย ฮิ้วว! ไอ้คุณตฤณแม่งรันทด รากหญ้าเจอชั้นดินเหนียวซะงั้น อดเป็นผู้จัดการเลย!”
โป๊ก! มือหยาบม้วนกระดาษจนแข็งแล้วฟาดลงไปบนหัวเพื่อนร่วมงานช่างนินทาทั้งสอง
“พูดมากน่ะ ไม่ต้องมาสงสารกู สงสารตัวพวกมึงเองก่อนเลย ทำงานของพวกมึงไปเร็วๆ เลย... เอ้า ไอ้เปี๊ยก” ชายหนุ่มผิวสีแทนหันไปหาลูกน้องที่นั่งหน้าดำคร่ำเครียดอยู่อีกโต๊ะ “เป็นไรวะเอ็ง!”
“กำลังสร้าง List บน Firewall อะพี่ เยอะชิบหาย งงไปหมดแล้วเนี่ย”
“ไหน เอามาให้ข้าช่วยดูมา!” ร่างสูงโน้มตัวเข้าไปหาพลางโอบไหล่รุ่นน้องไว้ ขณะเดียวกันบวรวิทย์ก็เดินผ่าน เจ้าลูกน้องสะโพกดินระเบิดแกล้งใช้บั้นท้ายกระแทกรุ่นพี่ที่ยืนอยู่เบาๆ ให้พอหมั่นไส้ ตฤณจึงหันไปตีก้นของบวรวิทย์ดังเพี้ยะ แล้วหยิกซ้ำ เรียกเสียงหัวเราะให้กับทุกคนในบริเวณนั้น
ฮื้ยยยย! ไอ้ท่าทีที่ถึงเนื้อถึงตัวทุกคน โดยที่ไม่มีใครว่าหรือสนใจแบบนั้นมันคืออะไร!... ยังไม่มีใครรู้รึไงว่าตฤณมีรสนิยมแบบไหน หรือทุกคนรู้อยู่แก่ใจแล้วแต่ยอมให้ตอดเล็กตอดน้อยได้แต่โดยดีกันนะ
นภเกตน์พยายามมองข้ามรังสีเหนือม่วงรอบๆ ตัวของตฤณไป แล้วจ้องมองบรรยากาศในการทำงานแบบที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน
...ที่อเมริกา บริษัทเก่าที่เขาเคยทำงานน่ะ ตัวใครตัวมัน แล้วก็ชิงดีชิงเด่นกันน่าดู ชนิดที่ว่าถ้าใครพลาดล้มลงละก็ จะถูกคนอื่นใช้เป็นฐานเหยียบทันที... แต่บรรยากาศแบบนี้ ดูอบอุ่น เหมือนพี่น้องหรือเพื่อนธรรมดา และดูเหมือนว่าตฤณจะเป็นศูนย์กลางความสนใจของทุกคน
...คงเพราะความเป็นกันเองและการเอาใจใส่คนรอบตัว จนทุกคนมองข้ามเรื่องรสนิยมส่วนตัวของตฤณไป ซึ่งร่างโปร่งเห็นแล้วก็อดรู้สึกว่าอยากจะสัมผัสกับบรรยากาศการทำงานในแบบใหม่บ้างไม่ได้ แต่สำหรับคนที่ไร้มนุษย์สัมพันธ์เช่นเขาคงจะเป็นเรื่องยาก แค่จะเริ่มต้นยังไงก็ยังไม่รู้เลย
“อ๊ะ” พอชายหนุ่มในชุดสูทสีดำหมุนตัวกลับ เพื่อจะเดินออกไปยังลิฟต์โดยสาร เขาก็ชนเข้ากับลูกน้องร่างหมีหน้าตาง่วงๆ ที่ถือถุงอาหารอยู่เต็มมือเข้าอย่างจัง
“อ๋า! ผู้จัดการ ขอโทษครับ” ภูริณัฐกระเด้งออกไปสามก้าว
“อืม” ผู้เป็นนายตอบพลางก้มลงมองถุงอาหารมากมายในมืออีกฝ่าย
“นี่ไม่ใช่ผมกินคนเดียวนะครับ พอดีพี่ตฤณ เอ๊ย! ผู้ช่วยผู้จัดการยังไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่เช้า ปกติเวลาเขาทำงานเครียดๆ ชอบลืมกินอาหารประจำ ผมเลย...”
ร่างโปร่งยกมือขึ้นเป็นเชิงบอกให้หยุดอธิบาย “กินแล้วก็เก็บกวาดให้เรียบร้อย อย่าให้เลอะเทอะก็แล้วกัน แล้วอย่าอยู่ดึกกันนักล่ะ” ก่อนจะเดินจากไป
...ทำไมเขาไม่พูดคุยกับลูกน้องให้เป็นกันเองกว่านี้นะ? นภเกตน์หยุดมองเงาของตนเองในกระจกระหว่างทางเดิน... เขาดูดุ แล้วก็หยิ่งมากเลยหรือ?
คนเป็นผู้จัดการนั้น มีหน้าที่แจกจ่ายงานและดูแลลูกน้อง หากเขาเป็นคนที่ลูกน้องไม่คิดจะเข้าใกล้... และเพราะแบบนั้น พอเทียบกับตฤณแล้ว เขา... ชักเริ่มจะสงสัยว่าตนเองทำตัวเหมาะกับการเป็นหัวหน้าคนกลุ่มใหญ่แล้วหรือยัง
นภเกตน์ขมวดคิ้วอย่างข้องใจ... ทำไมกันนะ ทั้งๆ ที่ตฤณก็ไม่ได้เก่งกาจเหมือนกับเขา แต่ทำไมจึงกลายเป็นที่รักและที่นิยมของหลายๆ คนไปได้
“พี่ตฤณ เอ้า! กินอะไรก่อน เดี๋ยวจะเป็นลมเป็นแล้งไป อดมาได้ยังไงทั้งวัน” ภูริณัฐยื่นถุงอาหารในมือให้กับรุ่นพี่คนสนิท “เมื่อกี้สวนกับผู้จัดการด้วย”
“เออ ขอบใจ” ร่างสูงรับถุงอาหารมาแล้วควานหาอาหารเสียงดังกรอบแกรบ เขาหยิบใส่ปากพร้อมกับถามว่า “แล้วเขาว่ายังไงบ้างอะ”
“ผู้จัดการบอกว่ากินแล้วเก็บดีๆ แล้วก็อย่าอยู่กันดึกนัก”
...อืม... ก็ไม่แปลกใจที่ไอ้หน้าจืดจะพูดแบบนี้ คนอะไรก็ไม่รู้ อัธยาศัยติดลบ อยู่ใกล้ๆ แล้วรู้สึกเหนื่อยๆ เพลียๆ ยังกับเพิ่งแบกกระสอบข้าวสารมาเป็นสิบกระสอบ บางทีไอ้หมอนี่อาจจะเป็นหุ่นยนต์ตั้งโปรแกรมมาเพื่อสูบชีวิตเขาก็เป็นได้
“ว่าแต่พี่เหอะ เป็นไงมั่งอะ”
“ข้า?” ตฤณชี้ไปที่ตัวเอง “ทำไมวะ?”
“เอ๊า!!! ก็เห็นเมื่อเช้าร้องงี้ดๆ เป็นแมวถูกหนังกะติ๊กรัดไข่ หายเฮิร์ตแล้วเหรอ”
“เออ...” ร่างสูงขมวดคิ้ว เพราะมัวแต่ยุ่งทั้งวันจนตัวเขาลืมไปเลยว่าอกหัก ก็เขาโดนทั้งงานทั้งเจ้านายคนใหม่ปั่นหัวให้วุ่นจนหมุนติ้วๆ ทั้งมึนทั้งเบลอไปตลอดวัน จะเอาเวลาที่ไหนมาเฮิร์ตกัน
“สมควรแล้วที่แฟนจะทิ้ง” ภูริณัฐพึมพำ “พี่ตฤณดูมีความสุขที่จะแต่งกับงาน มากกว่าจะแต่งงานซะอีก”
“.....” ตฤณนิ่งเงียบ ใจหนึ่งเขาก็คิดว่าเวลาอยู่ที่ที่ทำงานกับพวกลูกน้องนี่ เขามีความสุขและเพลินจนลืมเวลา ต่างกับเวลาที่เขาอยู่กับปิ่นหยกตามลำพัง แต่อีกใจ... การที่รู้ว่ามีใครสักคนรอการกลับมาของตนอยู่ที่บ้าน มันก็ดีเหมือนกันนะ
“ไอ้หมี มึงทักพี่ตฤณทำไมวะ ดูสิ ดราม่าเลยเห็นมั้ย” บวรวิทย์หันไปดุ
“นึกถึงผู้จัดการไว้สิครับ จะได้เครียดเรื่องอื่น” วิศวกรสองนายที่ถูกเรียกไปแก้ไขเอกสารในตอนเช้าเดินเข้ามาหารุ่นพี่ผิวสีแทนพร้อมกับเอกสารใหม่ในมือ “เสร็จแล้วครับพี่ พี่ตรวจดูอีกทีก่อนส่งมอบให้ผู้จัดการได้มั้ยครับ พวกผมกลัวง่ะ”
ตฤณพยักหน้า รับเอกสารใหม่เหล่านั้นมาแล้วเดินนำออกไป “เออๆ งั้นกลับไปที่ห้องแล็บอีกรอบก็แล้วกัน”
ฝ่ายนภเกตน์ จากที่ดูขรึมอยู่แล้วเป็นปกติ เวลานี้ยิ่งดูเคร่งเครียดมากขึ้นไปอีก เขานั่งเงียบตลอดการรับประทานอาหารมื้อค่ำร่วมกับพีรพัฒน์ จนกลับมานั่งในรถก็ยังคงเงียบอยู่
“เป็นอะไร ทำงานวันแรกไม่สนุกเหรอหลานรัก”
“เปล่าครับ ทุกอย่างก็โอเคดีครับ”
“ก็ดีแล้ว พวกวิศวกรเครือข่ายของบริษัทเราค่อนข้างจะดูเนิร์ดๆ ไปสักหน่อย แต่พวกเขาก็รักกันดี ช่วยเหลือกันเสมอๆ บรรยากาศในการทำงานดีที่สุดเมื่อเทียบกับทุกแผนกเลยเชียวนะ อาดีใจที่นภเริ่มต้นทำงานที่แผนกนี้”
“ครับ” ...บรรยากาศในการทำงานก็ดีอยู่หรอกนะ แต่เขาเองก็บอกไม่ได้หรอกว่า บรรยากาศแบบสบายๆ กับจริงจัง แบบไหนจะมีประสิทธิภาพในการทำงานมากกว่า
“ผู้ช่วยของนภเป็นยังไงบ้าง”
นภเกตน์นิ่งไปชั่วครู่เพื่อประเมินผู้ช่วยจากการพบกันในวันแรก “...ก็โอเคครับ” ...ยกเว้นรสนิยมของเขานะครับ...
พีรพัฒน์ลูบศีรษะเล็กอย่างอ่อนโยน “ดีแล้วที่เข้ากันได้ อาเห็นว่าทั้งนภกับตฤณต่างก็มีสิ่งที่แต่ละคนไม่มี ถ้าทำงานคนเดียวคงจะลำบาก อาถึงเลือกเขาให้มาทำงานคู่กับนภ”
“หมายความว่ายังไงครับ” นภเกตน์ขมวดคิ้ว
“เดี๋ยวทำงานไปสักพักก็จะรู้เอง อาอยากให้นภคอยสังเกตดูตฤณให้ดี เรียนรู้สิ่งที่ดีๆ จากเขา แล้วก็หวังว่านภจะช่วยสอนหลายๆ อย่างให้กับตฤณบ้าง” พีรพัฒน์หัวเราะ
“.....” ร่างโปร่งเบือนหน้าออกไปทางหน้าต่าง พร้อมกับนึกทบทวนคำพูดของพีรพัฒน์ เขากับไอ้หมอนั่น มีสิ่งที่แต่ละคนไม่มี... งั้นเหรอ แต่คนระดับเขานี่ ยังมีอะไรต้องเรียนรู้อีกหรือไงกัน
“ถึงแล้ว อาบน้ำแล้วก็รีบเข้านอนซะนะ”
ขาเรียวก้าวลงจากรถเมื่อรถยนต์จอดสนิทที่ตรงทางเข้าคอนโดมิเนียม จากนั้นก็หันกลับไปหาคนที่ยังคงนั่งอยู่ภายใน “วันนี้ขอบคุณนะครับอาพี อาหารอร่อยมาก”
ร่างโปร่งเดินเข้าไปในตึกที่พักซึ่งอยู่ใกล้ๆ กันกับที่ทำงาน ห้องพักของชายหนุ่มอยู่ไม่สูงนัก ระดับชั้นใกล้เคียงกันกับห้องทำงานของตน และจากห้องพัก เขาสามารถมองเห็นห้องทำงานได้หากมีแสงไฟสว่างไสว นภเกตน์จึงเดินออกไปยังระเบียงเพื่อสำรวจดู
“ไอ้หมอนั่นยังไม่กลับบ้านอีกรึไง” เขาพึมพำกับตนเอง ก่อนจะเดินกลับเข้าห้องไปอาบน้ำ จนเตรียมตัวเข้านอนแล้ว พอมองจากบานกระจกระเบียงออกไป ที่ห้องทำงานนั้นก็ยังคงเปิดไฟไว้สว่าง
ร่างสูงยังคงนั่งอยู่ตรงโต๊ะทำงาน เขาตรวจดูรายงานโพรเจกต์ทั้งหมดที่ลูกน้องเพิ่งส่งมา พลางเปิดคู่มือดูการตั้งค่าอุปกรณ์ควบคู่ไปด้วย เพราะไม่อยากถูกเจ้านายหน้าขาวสบประมาทเอาอีก แล้วอีกอย่างที่บ้านก็ไม่มีใคร เขาเองก็มีเสื้อผ้าอยู่ในล็อกเกอร์สามสี่ชุด เลยกะจะนอนมันที่ที่ทำงานนี่แหละ
“ขยันเว่อร์” จากประสบการณ์ที่เคยทำงานในอเมริกามาก่อน เวลาทุกนาทีเป็นเงินเป็นทองหมด ลูกจ้างเข้าทำงานตรงเวลา ออกงานตรงเวลา ไปพบลูกค้าตรงตามเวลาที่ระบุไว้ เรื่องงานก็งานใครงานมัน ซึ่งเป็นอะไรที่แตกต่างไปจากบริษัทของอาพีรพัฒน์โดยสิ้นเชิง
นัยน์ตาสีอ่อนจ้องมองคนที่นั่งเกาศีรษะอยู่ตรงโต๊ะทำงานอยู่อีกพักใหญ่ เขาเห็นตฤณลุกเดินไปมา ก่อนจะปิดไฟในห้องจนเหลือเพียงแค่ไฟสลัว แล้วเดินไปทิ้งตัวลงนอนบนโซฟาภายในห้องนั่นเอง
ขาเรียวพาเจ้าของเดินเข้าไปในห้องนอนของตน ทว่าพอเขาทิ้งตัวลงนอน คำพูดของอาพีรพัฒน์ก็ผุดขึ้นมาในความคิด
“อาเห็นว่าทั้งนภกับตฤณต่างก็มีสิ่งที่แต่ละคนไม่มี ถ้าทำงานคนเดียวคงจะลำบาก อาถึงเลือกเขาให้มาทำงานคู่กับนภ”...แล้วอะไรที่ตฤณมีแล้วเขาไม่มีกันล่ะ... ตัวเขาขาดอะไรไปงั้นเหรอ?
TBC~*โถ น้องนภผู้น่าสงสาร พี่ตฤณก็ยังไม่ยอมเปิดใจให้สักที 5555 จะไปรอดมั้ยเนี่ย
ขออภัยที่ฮัสกี้ลงตอนใหม่ช้าไปสักนิด พอดีอู้ไปเที่ยวค่ะ แฮ่ เพราะงั้นก็เลยลงตอนใหม่พร้อมกับลงนิสรีนด้วยเลยน้า อย่าลืมคว้าอูฐวิ่งตามน้องคุณกับทาริคมาด้วยนะค้า
สุขสันต์วันตรุษจีนทุกคนเลยนะค้า ขอให้ได้อั่งเปาซองแดงๆ เต็มไม้เต็มมือค่ะ
ปล. ขอบคุณคุณJustWait ที่พูดถึงเรื่องผู้ร่วมงานนะคะ 55555 ฮัสกี้นั่งนึก นอนนึกอยู่ตั้งนานว่าจะใช้คำว่าอะไรแทนเพื่อนร่วมงานดี กร๊ากก