Chapter 7ห้าวันแล้ว... เสาร์อาทิตย์นี้ก็ไม่กลับอีก
นภเกตน์นั่งมองปฏิทินในจอแล็ปท็อปด้วยสีหน้าเคร่งขรึม นับจากวันที่เขาเอาเสื้อผ้าของคนรักมาใส่ อีกฝ่ายก็ไปประจำอยู่ที่พัทยา ไม่ยอมกลับมาบ้านอีกเลย นี่เขาทำอะไรผิดกัน!
“คุณนภ ผมขอโทษนะครับ แต่ผมคงจะต้องค้างที่นี่สักพัก มีปัญหานิดหน่อย”
“มีปัญหาอะไร ให้ผมไปช่วย...”
“อย่าเลยครับ คุณนภงานยุ่งจะแย่ ผมจัดการเองได้ครับ”
ถึงตฤณจะว่าแบบนั้น แต่เขาก็คิดว่ามันแปลก เพราะเมื่อก่อนน่ะ มีแต่จะอ้อนขอให้เขาไปหา ตื๊อเช้าตื๊อเย็น แล้วนี่อะไรกัน!
ร่างโปร่งขมวดคิ้ว เขายังพอมีเวลาก่อนจะต้องออกไปไซต์ลูกค้ากับพนักงานจากฝ่ายเซลล์ จึงกดเปิดเว็บไซต์พันดริฟต์ที่แอบได้ยินเลขาสาวกับพวกวิศวกรในแผนกพูดถึงอยู่บ่อยๆ ขึ้นมาอ่านเพื่อฆ่าเวลา
หากบังเอิญเหลือเกินว่ามีหลายคนตั้งกระทู้เกี่ยวกับเรื่องในมุ้ง ในครัว ในห้องนั่งเล่น ในห้องน้ำ ในตู้เสื้อผ้า บนระเบียงและบนหลังคาซึ่งล้วนมีเนื้อหา 18+ แต่ละคนแชร์ประสบการณ์กันอย่างถึงพริกถึงขิง
นภเกตน์ไล่อ่านกระทู้เล่ห์เหลี่ยมของทั้งชายหญิงกับการมีกิ๊กแล้วก็ยิ่งเป็นกังวล เพราะหลายกระทู้มีท่าทีคล้ายคลึงกับชีวิตรักของตน
“หลอกให้ตายใจ ทำเป็นงานหนัก ตอนซั่มกับเรางี้เหมือนตายอดตายอยากมานาน แต่ที่ไหนได้ แอบไปมีกิ๊กเป็นสาวนักศึกษา”
มือขาวกดปิดกระทู้ทันควัน “ไม่จริงน่ะ! คุณตฤณไม่มีวันทำแบบนั้นหรอก!”
ร่างโปร่งเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ใจนึกย้อนไปถึงคืนนั้น... ที่เขาพยายามเอาอกเอาใจตฤณเต็มที่ ทั้งพูดจาแบบที่ทั้งชีวิตไม่เคยคิดจะพูด นภตฤณอะไรนั่น คิดแล้วจั๊กจี้ชะมัด เขาพูดออกไปได้ยังไงกัน แค่นึกถึงก็แทบจะลงไปทรุดตัวลงนอนขดเป็นกิ้งกืออยู่บนพื้นห้อง
ลงทุนทำไปถึงขนาดนั้นแล้ว แทนที่ตฤณจะติดใจ กลับไม่ยอมกลับบ้านเลยทีนี้ แต่ดันไปติดแหง็กอยู่ที่ไซต์งานแทน ที่นั่นมันมีอะไรดีกว่าเขากันนะ!
มหาวิทยาลัย... มีนักศึกษาเอ๊าะๆ หน้าตาละอ่อนวัยสดใสมากมาย ส่วนแฟนเขาก็ทั้งหล่อทั้งเท่ไม่ใช่เล่น ถ้าเกิดมีคนอื่นมาตามตื๊อล่ะ ตฤณจะนอกใจเขาไหมนะ!
นภเกตน์กดเปิดเว็บเพจที่เลขาสาวเคยแนะนำไว้ทันควัน เพื่อค้นหาวิธีที่จะจัดการกับคนรักในร่างของราชสีห์เจ้าเล่ห์หรือปลาไหลทาวาสลีนให้หมอบราบคาบและไม่กล้ามีความลับอะไร
นัยน์ตากลมใสไล่อ่านข้อความในเพจนั้นไปเรื่อยๆ จนกระทั่งสรุปได้ใจความว่า...
ให้ใช้ไม้แขวนเสื้อขู่?
จะไม่ SM ไปหน่อยหรือเนี่ย? ร่างโปร่งขมวดคิ้วอย่างงุนงง เขาไม่เห็นด้วยกับการใช้ความรุนแรงหรอกนะ ถ้าไม่จำเป็น อีกอย่างเขาทำร้ายตฤณไม่ลงหรอก
แต่ถ้าตฤณคิดนอกใจเขาล่ะ?
ชายหนุ่มเริ่มคิดที่จะสั่งไม้แขวนเสื้อมาตุนไว้สักลัง “อือ...”
“คุณนภเกตน์คะ”
“อืม... ไม้แขวนเสื้อ...” นภเกตน์ไม่ทันได้สนใจว่าเลขาสาวเรียกเขาหลายต่อหลายครั้งแล้ว จนเธอมายืนจ้องเขาอยู่ที่หน้าโต๊ะทำงาน
“คุณนภเกตน์ขา... คุณนภเกตน์ค้า!”
“อะ! คุณหลิน”
“คุณนภเกตน์อยากได้ไม้แขวนเสื้อเหรอค้า เดี๋ยวหลินจะจัดการให้ค่ะ อยากได้แบบโครงไม้ แบบบุหนานุ่ม หรือแบบโครงลวดดีค้า”
ใบหน้าน่ารักซับสีเลือดทันควัน เขาหลุดพูดอะไรไปบ้าง แล้วเธอได้ยินอะไรไปบ้างแล้วนี่! ผู้เป็นนายรีบปฏิเสธอย่างลนลาน “เปล่า เปล่าครับ ว่าแต่คุณหลินมีอะไร...”
“คือว่าพนักงานฝ่ายเซลล์กับรถที่จะไปไซต์งานลูกค้ามารอแล้วน่ะค่ะ”
ร่างโปร่งลุกขึ้นพรวด รีบปิดแล็ปท็อปแล้วโกยเอกสารตรงหน้ากองรวมไว้ด้วยกัน “โอเค ผมจะไปเดี๋ยวนี้ล่ะ”
“ถ้านึกออกแล้วว่าจะเอาไม้แขวนเสื้อแบบไหนก็ค่อยโทรมาบอกหลินก็ได้ค่า” เลขาสาวตะโกนไล่หลังเจ้านายซึ่งกำลังกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกจากห้องไป
..
....
..
ชายหนุ่มผิวสีน้ำผึ้งยืนอยู่ใต้กันสาดของตึกใหม่ พลางเงยหน้ามองขึ้นไปยังเมฆหมอกสีเทาหม่นตาละห้อย สายฝนพรั่งพรูลงมาอย่างไม่ขาดสาย เสียงท้องร้องดังลั่นแข่งกับเสียงครืนๆ จากบนท้องฟ้า เขาตั้งใจจะรีบออกไปหามื้อเย็นรับประทาน แล้วจะได้กลับมาทำงานต่อ แต่ฟ้าฝนดันไม่เป็นใจเสียเลยนี่
ตฤณไม่ได้กลับกรุงเทพฯ มาหลายวันแล้ว เพราะติดที่ต้องคอยติดต่อกับบริษัทซอฟต์แวร์จากประเทศสหรัฐอเมริกาในตอนเย็น ธนากรซึ่งเป็นเซลล์ผู้ดูแลโพรเจคต์ได้จัดการเช่าเซอร์วิสอะพาร์ตเมนต์ไว้สำหรับให้ตัวเขาและเหล่าวิศวกรได้สลับกันมาใช้เป็นที่นอนพักผ่อน ถ้าคืนไหนต้องนอนรวมกันก็เอาที่นอนปิกนิกออกมากาง ที่เลือกทำแบบนี้ก็เพราะมีราคาถูกกว่าเมื่อต้องการพักระยะยาว แล้วภายในห้องเช่าก็มีห้องซักล้างซึ่งมีพวกเครื่องซักผ้ากับเตารีด และห้องครัวพร้อมกับเครื่องครัวไว้ให้ใช้งานอย่างสะดวกสบายด้วย
ร่างสูงขอให้ลูกน้องที่ไม่ได้ไปออกไซต์งานไกลๆ สลับกันซื้ออาหารเย็นไปให้คนรักของเขาเป็นประจำทุกวัน แม้อีกฝ่ายจะบอกว่าไม่ต้อง แต่เขาก็เป็นห่วง ไม่อยากให้คนรักต้องไปยืนแกร่วอยู่ในครัวหลังจากทำงานมาเหนื่อยๆ
ขณะที่ยืนรอให้ฝนซาลงไปอยู่นั้น เด็กหนุ่มที่มีใบหน้าคุ้นตาก็กางร่มขนาดใหญ่เดินผ่านมาพอดี
“อ้าว พี่ตฤณ ยืนทำไรอ่ะครับ”
“รอฝนซา จะไปหาอะไรกินน่ะ”
“อ้อ ผมก็กำลังจะไปกินมื้อเย็นพอดี พี่ไปกินด้วยกันมั้ย” เมฆถือร่มเข้าไปรับ
“เออ ก็ดี ขอบใจว่ะ”
ทว่าเมฆไม่ได้พารุ่นพี่ไปยังโรงอาหาร แต่พาขึ้นไปยังหอเก้าชั้นสอง ห้องที่ใช้ทำครัวพอๆ กับใช้ซุกหัวนอนของเพื่อนเขา
“วันนี้ทำสุกี้พอดีเลยพี่ มีกันอยู่แค่สามคนเอง ไอ้พวกที่เหลือมันติดงาน”
“โอ้โห สมัยพี่ทำมากสุดก็มาม่า” ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ด้านหน้าหม้อเบิกตากว้าง มองน้ำเดือดปุดๆ ท่ามกลางผัก ลูกชิ้นและเนื้อสัตว์มากมายจนแทบจะล้นหม้อ
แหนมกับตำลึงอยู่ที่นั่นด้วย วันนี้เป็นคิวที่พวกเขาจะต้องกลับมาเตรียมอาหาร แต่เพราะทำอาหารได้ไม่หลากหลายนัก แล้วสุกี้ก็แสนจะง่าย พวกเขาจึงเลือกทำเมนูนี้
มื้ออาหารเริ่มขึ้นอย่างเร่งรีบด้วยความหิวโหยของแต่ละคน จนกระทั่งเกลี้ยงหม้อแล้ว พวกเขาจึงเริ่มต้นพูดคุยกัน
ตำลึงหยิบแปลนบ้านผีสิงกับกำหนดการที่วางไว้มาวางลงบนพื้น พวกเขาปรึกษากันในส่วนที่ร่วมกันรับผิดชอบ “ไอ้โครงกระดูกพลาสติกตรงนี้ ตั้งไว้เฉยๆ จะน่ากลัวเหรอวะ”
“ใช้เปิดพัดลมส่องเข้าไปตรงนั้นสิ ตรงนี้ตั้งโครงผีไว้ใช่มั้ยล่ะ ก็เอาโมบายล์ไม้วางไว้หน้าพัดลม ให้มีเสียงก๊อกแก๊ก เดินผ่านก็มีลมวูบๆ หลอนดี”
“เออ! ดีๆ พี่ตฤณ สุดยอด”
ภายในบ้านผีสิงมีผ้าขึงแบ่งเป็นห้องๆ แต่ละภาคก็รับผิดชอบไปคนละห้อง แล้วก็มีสลับเวรกันมาเล่นเป็นผีด้วย
“เดี๋ยวนี้อุปกรณ์เยอะดีนะ วิดวะทำบ้านผีมันทุกปี จนผูกขาดแล้วล่ะมั้งเนี่ย”
“ปีนี้ทำร้านอาหารหลายร้านด้วยนะพี่ แล้วยังขายกระทงอีก คณะเราคนเยอะอะ”
“อือ จริง เยอะกว่าตอนที่พี่เรียนเกือบเท่าตัว”
“ไอ้คะน้า รูมเมตผมมันก็เปิดบูธร้านอาหารของคณะมันด้วยนะพี่ ในกลุ่มพวกเราเนี่ย ไอ้คะน้ามันทำอาหารเก่งสุด รองลงมาก็ไอ้เมฆเลย เสน่ห์ปลายจวักของพวกมัน อนาคตเมียรักเมียหลง” แหนมบรรยายสรรพคุณของรูมเมตกับเพื่อนรักของตนด้วยความภาคภูมิใจ
เมฆหันไปตบไหล่เพื่อนแรงๆ แบบไม่ยั้ง พูดถึงเมียรักเมียหลงทีไรเขาก็จินตนาการไปไกล อดเขินไม่ได้สักที “ไม่จริงหรอก ไอ้แหนมทำอาหารได้หลายอย่างกว่าผมอีกพี่”
“โอ๊ยๆ ไอ้ห่า เขินเบาๆ หน่อย ถ้าจะเขินขนาดนี้มึงไม่กดหัวกูจุ่มหม้อสุกี้เลยล่ะ” แหนมต่อว่าเสียงดัง
เมียรักเมียหลงงั้นหรือ?
ตฤณเริ่มเข้าสู่โลกมโนของตนเองบ้าง เขาเองก็อยากทำให้คุณนภหลงเขาจนโงหัวไม่ขึ้นเหมือนกันนะ
“เออ ดีนะ พี่ก็อยากทำอาหารเก่งๆ เหมือนกันว่ะ ที่เคยทำกินเองก็มีแค่ไข่ต้มแบบบ้านๆ”
“ปกติพี่ซื้อกินเอาล่ะสิ คนโสดก็งี้” ตำลึงพูดแทรก
“ไม่โสดว้อย” ตฤณส่งสายตาดุๆ ใส่ “หล่อขนาดนี้โสดก็บ้าแล้ว ปกติแฟนพี่เป็นคนทำอาหารให้น่ะ แต่ให้เขาทำเกือบทุกมื้อก็สงสารว่ะ ตัวพี่น่ะไม่มีปัญญาทำอะไรให้เขากินเลย”
เมฆดูจะเข้าอกเข้าใจรุ่นพี่เป็นพิเศษ “พี่อยากทำอาหารให้แฟนกินบ้างใช่ปะ”
“อือ อยากสิวะ อยากมากๆ เลยด้วย อยากเอาใจเขาบ้างว่ะ”
“งั้นผมสอนให้เอามั้ยล่ะ เอาแบบง่ายๆ ไว้เซอร์ไพรส์แฟนพี่ไง”
ตฤณเลิกคิ้วขึ้น “เฮ้ย จริงเหรอ!”
“ยังไงช่วงนี้ไอ้คะน้ามันก็ไม่ค่อยว่าง ผมกับไอ้สองคนนี่ก็สลับกันทำกับข้าวแทบทุกเย็นอยู่แล้ว”
รุ่นพี่ยิ้มกว้าง “เออ ดีๆ เลย ขอบใจนะ”
..
....
..
ภายในห้องทำงานของผู้จัดการและผู้ช่วย ชั้นสิบสาม บริษัท NSเสียงโทรศัพท์บนโต๊ะของตฤณดังขึ้นหลายต่อหลายครั้ง จนคนที่นั่งทำงานอยู่รู้สึกรำคาญ เขาจึงกดรับโทรศัพท์แทน
“สวัสดีค่ะคุณตฤณ ขอโทษที่ต้องโทรมาที่ทำงานนะคะ เพราะติดต่อทางโทรศัพท์มือถือไม่ได้เลยค่ะ”
“คุณตฤณติดงานอยู่ครับ ไม่ทราบว่าใครโทรมา มีอะไรด่วนรึเปล่า ฝากข้อความไว้ที่ผมก็ได้ ผมทำงานอยู่ห้องเดียวกันกับเขาครับ” พอได้ยินเสียงผู้หญิงดังมาจากปลายสาย น้ำเสียงของนภเกตน์ก็ขรึมขึ้นไปโดยอัตโนมัติ
“ค่ะ ถ้างั้นรบกวนหน่อยนะคะ ดิฉันชื่ออรดาจากโชว์รูมฮอนด้าค่ะ คือดิฉันจะแจ้งว่ารถของคุณตฤณพร้อมแล้ว จะเข้ามารับเมื่อไหร่ก็ขอให้โทรมาบอกนะคะ ดิฉันส่งข้อความไปที่โทรศัพท์มือถือของคุณตฤณแล้ว แต่ฝากย้ำกับคุณตฤณอีกทีค่ะ ขอบคุณค่ะ”
นภเกตน์อ้าปากค้าง คนรักของเขาซื้อรถยนต์คันใหม่ ทำไมเขาไม่เคยรู้ ไม่เคยได้ยินอะไรจากปากของตฤณเลยล่ะ
หรือว่าอีกฝ่ายไม่ได้ต้องการให้เขารู้กัน
ร่างโปร่งก้าวไปที่บานหน้าต่าง มองลงไปยังลานจอดรถเบื้องล่าง ตรงที่จอดรถประจำของตฤณว่างเปล่า แต่เขาก็ไม่เคยนึกเอะใจอะไร เพราะอีกฝ่ายไปไซต์งานที่ต่างจังหวัด
ในขณะเดียวกันเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น หลินเปิดประตูออกช้าๆ พร้อมกับชะโงกหน้าเข้ามาในห้อง “คุณนภเกตน์คะ ถึงเวลาประชุมแล้วค่ะ”
“คุณหลิน” เจ้าของชื่อเรียกพูดเสียงแผ่ว
“ขา คุณนภเกตน์ มีอะไรเหรอคะ” เลขาสาวก้าวเข้าไปหาเจ้านาย ในมือของเธอถือแฟ้มเอกสารที่ตระเตรียมไว้ให้กับเขา
“ถ้า... ถ้าสมมติว่า คนใกล้ตัวของคุณหลินตัดสินใจทำอะไรโดยไม่บอกกัน คุณหลินจะคิดยังไง”
“อืม...” หลินขมวดคิ้ว “ก็คงคิดว่าหลินไม่สำคัญพอน่ะสิคะ แบบว่าหลินคงน้อยใจอะค่ะ แต่ก็ช่วยไม่ได้ ในเมื่อเขาไม่อยากบอกคงต้องทำใจอย่างเดียว”
“งั้นเหรอ” นภเกตน์ตอบเสียงอ่อย ถ้าอย่างนั้นตัวเขาก็คงไม่แปลกสินะ ที่มีความรู้สึกเช่นเดียวกันกับที่เลขาสาวบอกเลย
มือขาวเย็นเฉียบ ใบหน้าหวานซีดลงเล็กน้อย ชายหนุ่มพยายามประสานมือเข้าหากันอย่างระวัง ไม่ให้เธอสังเกตเห็นปลายนิ้วที่สั่นเทา “คุณหลิน เข้าประชุมแทนผมทีได้มั้ย ผมรู้สึกไม่ค่อยดีเลย ขอกลับก่อนนะ”
“อ๋า ได้สิคะ คุณนภเกตน์เป็นอะไรคะ จะให้หลินเรียกรถพยาบาลมั้ย”
“ไม่ต้องถึงขนาดนั้นหรอก ผมแค่รู้สึกเหนื่อยๆ นิดหน่อย ประชุมวันนี้แค่รายงานความคืบหน้าของโพรเจคต์เท่านั้น ไม่เข้าก็คงไม่เป็นไร ฝากคุณหลินจดรายงานให้ด้วยแล้วกัน” เขาพูดพลางเดินไปเปิดลิ้นชักโต๊ะออก หยิบพวงกุญแจขึ้นมาไว้ในมือ
“ได้ค่ะคุณนภเกตน์” เลขาสาวมองตามหลังเจ้านายไปด้วยความเป็นห่วง
“สงสัยเพราะคุณตฤณไม่อยู่แน่ๆ คุณนภเกตน์ถึงได้ห่อเหี่ยวแบบนี้” เธอทอดถอนใจยาว “ไม่มีโมเมนต์ให้จิ้นเลย หลินเองก็เหี่ยวเหมือนกันนะคะ เฮ้อ... เมื่อไหร่โพรเจคต์คุณตฤณจะเสร็จซะทีเนี่ย”
รถยนต์คันหรูพร้อมคนขับวิ่งออกไปบนถนนใหญ่ ผ่านคอนโดมิเนียมของชายหนุ่มที่นั่งอยู่ทางด้านหลังไป มุ่งหน้าไปยังบ้านหลังเล็กๆ ที่แถบชานเมือง
ลุงคนขับไม่กล้าถามอะไรมาก เพราะเห็นเจ้านายนั่งทำหน้าเครียด เขาจึงขับรถไปอย่างเงียบๆ ตามที่อีกฝ่ายสั่ง
เมื่อรถเคลื่อนเข้าไปจอดเทียบที่ประตูรั้วหน้าบ้าน นภเกตน์ชะโงกหน้า เพ่งมองตัวบ้านจากด้านในรถ พร้อมกับกำพวงกุญแจในมือไว้แน่น
พวงกุญแจเหล่านี้ตฤณก๊อบปี้ไว้ให้กับเขา พร้อมกับบอกว่าให้มาใช้งานหรือมาเยี่ยมเยียนได้ทุกเมื่อ แต่หลังจากได้กุญแจมา เขาไม่ก็เคยมาที่นี่เลยสักครั้ง
“เอ่อ คุณนภเกตน์ครับ จะให้ผมดับเครื่องมั้ยครับ”
“ไม่ต้องหรอก” ขาเรียวพาเจ้าของก้าวออกจากตัวรถไปช้าๆ แล้วตรงไปไขประตูรั้วบานเล็กออก จากนั้นจึงก้าวเข้าไปภายใน
สนามหญ้าขนาดเล็กมีหญ้ารกไปหมด ต้นไม้เตี้ยๆ แห้งกรอบ บ่งบอกชัดเจนว่าเจ้าของไม่ได้มาดูแลใส่ใจ ส่วนตรงที่จอดรถ มีรถคันเก่าของเจ้าของบ้านจอดอยู่ที่นั่น
บ้านหลังนี้ คือสถานที่ที่เขากับตฤณตกลงคบหากันแบบเบลอๆ เป็นครั้งแรก ร่างโปร่งไขกุญแจเข้าไปข้างในตัวบ้านด้วยหัวใจตุ้มต่อม นึกกังวลใจอยู่เหมือนกันว่าเขาจะทำอย่างไร ถ้าหากที่นี่มีร่องรอยของ... ตฤณกับคนอื่น
ทว่าภายในตัวบ้านดูไม่เป็นอย่างที่กลัวนัก เฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นมีพลาสติกคลุมไว้ ข้าวของในบ้านถูกแพ็กลงในกล่องซึ่งยังมีฝากล่องเปิดค้างอยู่ บนพื้นมีฝุ่นเคลือบเพียงบางๆ หากก็ไม่ได้มีรอยเท้าของใคร
นภเกตน์ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เขาเดินออกมาจากตัวบ้าน ล็อกประตูไว้เช่นเดิม หากก่อนจะเดินกลับไปยังรถที่จอดรออยู่ เขาหันไปมองรถโกโรโกโสที่จอดทิ้งไว้ แล้วเดินเข้าไปสำรวจดูรอบๆ
กองแผ่นพับโฆษณาบ้านที่กองอยู่บนเบาะหลังรถส่งผลให้หัวใจดวงน้อยร่วงวูบ เขาไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง จึงใช้กุญแจรถที่อยู่ในพวงกุญแจเดียวกันกับกุญแจบ้านไขเปิดออก มือขาวที่เย็นราวกับน้ำแข็งเอื้อมออกไปหยิบแผ่นพับมาดู
บนแผ่นพับมีลายมือของตฤณจดรายละเอียดของบ้านคร่าวๆ กับชื่อและเบอร์โทรศัพท์ของใครบางคนไว้ หากนั่นไม่ใช่ชื่อของนภเกตน์อย่างแน่นอน
ร่างโปร่งทำอะไรไม่ถูก เขายืนนิ่งงันราวกับปลาช่อนที่เพิ่งถูกทุบศีรษะมาหมาดๆ แววตาที่เคยใสแจ๋วขุ่นมัว ภาพเบื้องหน้าพร่าเลือนไปหมด หากภาพของไม้แขวนเสื้อกลับค่อยๆ ชัดเจนขึ้นมาในความคิดทีละน้อย
“ไอ้คุณตฤณ...”
TBC~*คุณนภเบลอไปใหญ่แล้ว 55555 งานนี้พี่ตฤณจะรอดไม้แขวนเสื้อมั้ยเนี่ย
ฮัสกี้ก็เบลอ ป่วยค่ะ ฮือๆๆๆ หัวตื้อไปหมดเลย โงยยยย~
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามค่า