คืนครั้งที่10 ไม่ได้คืน ☻✿
ผมปาไอ้ลูกบอลนิ่มๆอัดกับผนังห้องแต่มันก็เด้งกลับมากลิ้งบนเตียงผมจนด้านที่มันยิ้มกลิ้งมาให้ผมเห็นเหมือนจงใจ ผมกัดปากตัวเองแน่นอย่างหงุดหงิดแล้วทิ้งตัวลงนอนหลับตานิ่งอยู่บนเตียง หงุดหงิดกับความรู้สึกมากมายที่มันก่อขึ้นมาในตัวแล้วหาทางระบายมันออกมาไม่ได้
วุ่นวายน่ารำคาญชิบหาย…
“ไม่อยากไปโรงเรียนแล้วเนี่ย…” ผมพึมพำขึ้นมากับตัวเองครับ ผมบ่นไม่อยากไปโรงเรียนแทบจะทุกวันก็จริง แต่วันนี้สาเหตุมันไม่ได้มาจากการบ้าน ไม่ได้มาจากวิชาที่ผมไม่อยากเรียน พูดตรงๆคือมาจากพี่ทิตย์ล้วนๆเลยครับ
ก็ทำได้แค่บ่นครับเพราะยังไงก็ต้องไปอยู่ดีนั่นแหละ เลิกคิดสิวะน้ำอุ่น ลืมๆมันไปก็จบแล้ว พี่ทิตย์อาจจะล้อเล่นก็ได้ใครจะไปรู้ แต่… ล้อเล่นมันต้องพยายามขนาดนี้เลยเหรอวะ ต้องไปหาของห้าบาทบ้าๆมันเซ่นผมทุกวัน ต้องมายุ่งวุ่นวายกับผมทุกวัน ต้องมาซื้อข้าวซื้อน้ำเอายาให้ผมกินตอนที่ผมไม่สบายแบบนี้ด้วยเหรอ
พรุ่งนี้ก็คืนวันสุดท้ายแล้ว ถ้าผมไม่รับมันจะเป็นยังไงวะ
อรุณเบิกฟ้านกกาโบยบิน…. เฮ้อ…
ผมได้แต่ถอนหายใจทันทีที่เหยียบพื้นที่ผมเรียกมันว่าโรงเรียน ถึงตอนนี้มันจะเช้าอยู่ก็เถอะครับแต่แค่คิดถึงตอนเย็นผมก็รู้สึกไม่ค่อยดีซะแล้วสิครับ เมื่อคืน… ผมพูดจริงๆเลยคือผมแทบจะไม่ได้นอน ผมสับสนวุ่นวายกับความรู้สึกที่ตีกันอยู่ในหัว
คิดจนหลับไปก็ยังไม่ได้คำตอบที่ผมต้องการจริงๆเลยครับ
ผมเลยเดินคอตกยกมือไหว้ครูคุมประตูแล้วเดินเอื่อยไปเรื่อยๆก่อนที่จะโดนกอดคอจากด้านหลังครับ ผมสะดุ้งอย่างตกใจจริงๆครับเพราะกำลังเหม่อคิดอะไรไปเรื่อยอยู่
“เป็นอะไรหรือเปล่า? หน้าเครียดชิบหาย” ผมได้แต่ตวัดตามองค้อนไอ้พี่รหัสตัวดีของผมครับ แขนหนักๆของมันลงแรงบนไหล่ผมเต็มที่ทำให้ผมแอบเบ้ปากแล้วดึงแขนออกจากตัวทันทีครับ
“ขึ้นห้องไหม?” ผมส่ายหน้าไปมาครับ วันนี้คาบแรกผมมีเรียนตึกอื่นเลยไม่จำเป็นต้องขึ้นห้องให้เมื่อยเปล่าๆ รอเข้าแถวแล้วก็ไปเรียนต่อได้เลย
“ไปนั่งโรงอาหารกัน” ไป… ไปก็เหี้ยแล้วครับ โรงอาหารนั่นมันที่สิงสถิตของพี่ทิตย์กับเพื่อนเลยนะครับ ผมยังไม่อยากจะเจอหน้าพี่ทิตย์เลยด้วยซ้ำ ผมดันแขนไอ้พี่รหัสออกจากไหล่ผมอีกครั้งแต่มันก็กระชับเข้ามาแน่นกว่าเดิมอย่างกับจะล็อคคอผมเลยครับ ผมดิ้นขลุกขลักอย่างไม่สบอารมณ์
“ปล่อย! ไม่ไป อื้อ… แค่กๆๆ” มันปล่อยผมเป็นอิสระแล้วดีดตัวออกห่างจากผมทันทีที่ผมไอออกมาครับ เกลียดท่าทีขยักแขยงที่แสดงออกมาของมันมากเลยครับ แต่ก็ดีจะได้ออกห่างไปหน่อยผมรำคาญอยู่นิดหน่อยครับ
“ยังไม่หายอีกเหรอวะ” ผมยักไหล่ไม่สนใจแต่ไม่รู้ว่าเดินอีท่าไหนเลยมาหยุดที่ลานตรงข้ามกับโรงอาหารฝั่งด้านนอกซึ่งเป็นโรงอาหารแบบเปิดและเป็นที่อยู่ของพี่ทิตย์กับกลุ่มเพื่อนในตอนเช้าๆแบบนี้ครับ
“นานๆทีจะมาเช้าแบบนี้โคตรน่าเบื่อเลยว่ะ” ผมพยักหน้างึกงักตอบรับไปครับ สายตาก็สอดส่องระแวงว่าพี่ทิตย์จะมาอยู่แถวนี้ ไม่อยากเจอเลยจริงๆนะครับ เป็นไปได้อยากเดินไปให้ไกลจากตรงนี้แต่ที่เข้าแถวผมก็อยู่ใกล้แค่นี้เลยไม่รู้ว่าจะเดินไปที่ไหนเลยครับ
“เบื่อเหมือนกัน มานี่มา” ผมถอนหายใจออกมาแผ่วเบาแล้วเดินขึ้นไปนั่งห้อยขาบนที่กว้างๆใต้ตึกเรียนของผมที่อยู่ตรงข้ามโรงอาหารนอกพอดีครับ พี่รหัสผมเดินมานั่งเงียบอยู่ข้างๆผมไอ้ผมก็ไม่รู้จะพูดอะไรเลยปล่อยให้มันเงียบไปเรื่อยๆเลยครับ
“อุ่นรู้จักพี่เนยด้วยเหรอ” นี่ก็อีกคน ไม่รู้ว่าจะมาถามผมทำไม แต่เอาจริงๆผมก็รู้จุดประสงค์มันดีครับถ้ามาถามแบบนี้แสดงว่ามันต้องสนใจพี่เนยอยู่แน่ๆครับ ผมเลิกคิ้วแล้วมองหน้ามันยิ้มๆมันก็ผลักหัวผมจนผมแทบจะหงายหลังเลยครับ
“จะรู้จักดีไหมเนี่ย…” ผมพูดกวนตีนไปครับ ผมว่ามันกับพี่ทิตย์ปกติก็จะตีกันตายอยู่แล้ว แล้วตอนนี้มันก็กำลังสนใจแฟนเก่าของพี่ทิตย์อีก เป็นผมผมจะคิดว่าไอ้เหี้ยพี่รหัสมันกำลังตั้งใจกวนตีนพี่ทิตย์อยู่ชัดๆครับ
“เออๆๆ ช่างแม่งไปเหอะ” ไอ้เหี้ยพี่รหัสพูดตัดบทผมพร้อมกับเสียงเพลงมาร์ชโรงเรียนเป็นสัญญาณให้เข้าแถว มันเข้าแถวที่เดียวกับพี่ทิตย์ครับเลยลุกขึ้นยืนอยู่ตรงหน้าผม ผมยิ้มกวนตีนไปให้ก่อนที่จะโบกมือไล่ให้ไอ้พี่รหัสเดินไปเข้าแถวครับ
“พี่เนยหวัดดีครับ” ผมยกมือขึ้นไหว้พี่เนยที่เดินมารอเข้าแถวครับ ไอ้เหี้ยพี่รหัสผมมันยืนนิ่งหันหน้าเข้าหาผมแล้วพึมพำด่าผมเสียงแผ่วก่อนจะหันไปมองพี่เนยที่ยืนงงแล้วยกมือรับไหว้ผมครับ
“ขี้แกล้งนะอุ่น” มันพูดกับผมก่อนที่จะเดินหายไปครับ ผมลุกขึ้นยืนบ้างแล้วเดินไปรอที่เข้าแถวห้องผม
คนยังไม่ค่อยมาเท่าไหร่เลยครับ ผมก็ได้แต่ยืนรออย่างเบื่อหน่าย คิดอะไรเรื่อยเปื่อยไปเรื่อยแว็บเดียวก็เห็นว่าแถวเริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาแล้วครับ กระต่ายก็มายืนข้างผมแล้ว ผมเหลือบมองกระต่ายนิดหน่อยเพราะไม่กล้าสบตามากครับกลัวว่ากระต่ายจะหันมาต่อว่าผม
“มีอะไรหรือเปล่า หน้าเรามีอะไรติดเหรอ” แต่ผมคงจะเผลอมองนานไปจนกระต่ายหันมาสบตาผมพอดีครับ ผมผงะไปเล็กน้อยแต่ก็เลือกที่จะส่ายหน้าไปมา
“เรามีอะไรจะถาม แต่…ไว้หลังเข้าแถวดีกว่า” หัวใจผมเต้นระรัวไม่หยุดหลังจากที่กระต่ายพูดออกมา กระต่ายจะถามอะไรผมวะเนี่ย ถึงจะทิ้งให้ผมร้อนรนแบบนี้แต่กระต่ายก็ไม่ได้สนใจอะไรผมอีกเลยครับ
ผมร้องเพลงชาติ สวดมนต์ ทำทุกอย่างตามปกติโดยที่ข้างในผมไม่ปกติเลยสักนิดครับ กระต่ายอาจจะไม่ได้ถามเรื่องที่ผมกำลังคิดอยู่ก็ได้ครับ ผมขอให้ผมร้อนรนไปเองเถอะครับ เสียงพูดจากไมค์ที่อื้ออึงไปหมดทำให้ผมถอนหายใจออกมาแผ่วเบารอเวลาขึ้นห้อง
“อุ่น” ผมชะงักเท้าที่กำลังเดินขึ้นตึกดนตรีแล้วหันมองตามเสียงเรียก กระต่ายเรียกผมไว้ครับ ผมมองซ้ายทีขวาที เพื่อนที่เดินตามมาก็พากันเดินแซงผมขึ้นไปครับ กระต่ายกวักมือเรียกผมให้เดินไปหาผมก็เดินงงๆตามไปครับ
เพราะตึกดนตรีเป็นตึกเล็กๆที่มีแค่สองชั้นแล้วก็ไม่มีห้องประจำแถมยังอยู่ใกล้จากตึกหลักๆด้านหน้า เลยทำแทบจะไม่มีใครเดินผ่านมาแถวนี้เลยครับ กระต่ายยกมือขึ้นกอดอกแล้วมองผมไล่ตั้งแต่หัวจรดเท้าทำให้ผมรู้สึกอึดอัดขึ้นมาพอสมควรอยู่เหมือนกันครับ
“เราไม่อ้อมแล้วกัน อุ่นเป็นอะไรกับพี่อาทิตย์เหรอ” ผมนิ่งและรู้ตัวว่ากำลังมองกระต่ายอย่างเลิ่กลั่กเพราะยังตั้งตัวไม่ทัน ถึงจะรู้อยู่แล้วว่ากระต่ายจะถามผมแบบนี้แต่ใครมันจะไปตั้งตัวทันวะ
“หมายถึงอะไรอ่ะ?” ผมถามกลับทำให้กระต่ายถอนหายใจออกมาแผ่วเบาครับ
“เป็นเกย์ก็บอกว่าเป็นดิวะ เราไม่รู้จะพูดอะไรแล้วเนี่ย เราชอบพี่อาทิตย์ แล้วเราก็ไม่คิดว่าพี่เขาเป็นแบบอุ่นหรอกนะ”
ไม่ได้เป็นแบบผม?
อืม… เหรอ? คนอื่นเขามองผมแบบนี้จริงๆใช่ไหม
“กระต่ายต้องการอะไร” ผมถามย้อนกลับไปเพราะไม่รู้จุดประสงค์ที่กระต่ายมาพูดแบบนี้ใส่ผมจริงๆครับ แปลกที่ผมไม่ได้โกรธหรือหงุดหงิดอะไรกับคำพูดกระต่ายเท่าไหร่
“เปล๊า พี่อาทิตย์เล่นอะไรไม่รู้ ตลกดี” เสียงหัวเราะแผ่วเบาก่อนที่กระต่ายจะเดินขึ้นตึกไป
เสียงฝีเท้าที่ย้ำลงกับขั้นบรรไดไม่ได้ดังอะไรมากมายแต่มันก้องอยู่ในหัวผม เสียงอื้อๆของอะไรหลายๆอย่างรอบตัวมันดูน่ารำคาญไปหมด ผมกำลังจะบ้ากับคำพูดกระต่ายทั้งที่ผมไม่จำเป็นต้องใส่ใจกับมันก็ได้ น่ารำคาญ รำคาญตัวเองนี่ล่ะครับที่ชอบทำเรื่องง่ายๆให้มันวุ่นวายขึ้นมา
พี่ทิตย์แค่ล้อเล่นจริงๆใช่ไหม ขนาดกระต่ายยังรู้เลยว่ะ แล้วเมื่อคืนผมจะนอนคิดอะไรเยอะแยะไปเพื่ออะไรวะครับ ในเมื่อมันก็คงเป็นเรื่องล้อเล่นอยู่ดี
แต่พี่ทิตย์พูดย้ำอย่างกับมันเป็นเรื่องจริง อย่างกับชอบผมจริงๆยังไงยังงั้น ผมไม่ได้สนิทหรืออะไรกับพี่ทิตย์ขนาดที่ว่าจะรู้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องล้อเล่น ถ้าพี่ทิตย์แค่ล้อเล่นแล้วผมไปรอผมก็ต้องรอเก้อ แต่ถ้ามันไม่ใช่เรื่องล้อเล่นแล้วผมไม่ไปก็เท่ากับว่าปฏิเสธพี่ทิตย์ไป แล้วถ้ามันไม่ใช่เรื่องล้อเล่นแล้วผมไป… โอย… ทางไหนก็ไม่ไหวเสียเลยครับ
ผมยกมือขึ้นแตะหน้าผากของผมเบาๆ ไอร้อนยังพอรู้สึกอยู่บ้างแต่คิดว่าคงไม่มีอะไรแล้วมั้งครับ ผมสะบัดหน้าไปมาแล้วสาวเท้าเร็วๆขึ้นไปห้องเรียนเพราะบังเอิญเหลือบไปเห็นอาจารย์ที่กำลังเดินไล่หลังผมขึ้นมาพอดี ยังไงก็ไม่รู้ล่ะครับ ตอนนี้ขอเรียนก่อนเรื่องอื่นเดี๋ยวค่อยมาคิดก็ได้
……………………………………………………………………………………………………………………………….
ทำไม๊ ทำไมเวลามันผ่านไปรวดเร็วขนาดนี้ครับ ผมเผลอแป๊บเดียวก็เรียนคาบสุดท้ายแล้วครับ วันนี้ตอนเที่ยงผมไม่เจอพี่ทิตย์เหมือนหลายๆวันที่ผ่านมา แน่นอนว่ามันก็เรื่องปกติที่ควรเป็นครับเพราะคาบพักของม.ต้นกับม.ปลายมันไม่ตรงกันอยู่แล้ว ถ้าผมจะไม่เจอพี่ทิตย์มันก็ไม่แปลกเลยสักนิดครับ
แต่ก็นะ มันก็รู้สึกแปลกๆอยู่ดีครับ ปกติหลายวันที่ผ่านมาผมมีคนนั่งกินข้าวด้วยแต่วันนี้ผมนั่งกินข้าวคนเดียวเหมือนเมื่อก่อน ก็แค่กลับไปทำอะไรแบบเดิมๆทำไมมันรู้สึกเหงาอย่างบอกไม่ถูกก็ไม่รู้สิครับ
ผมได้แต่เท้าคางมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างเบื่อหน่าย เสียงซุบซิบนินทาชาวบ้านจากด้านหลังของผมเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาผมออกไป สอนไปเรื่อยๆเลยครับวันนี้ผมอยากฟังเหลือเกิน
“เดี๋ยวครูปล่อยก่อน10นาที” ไอ้… แม่งเอ๊ย ผมยกมือขึ้นขยี้หัวอย่างช่วยไม่ได้ ปกติปล่อยดคตรจะเลทแท้ๆแต่วันนี้ปล่อยเร็วเนี่ยนะ มันใช่เวลาไหมครับ สอนต่อสิสอนต่อ แล้วจะทำความเคารพทำไม ตาย ผมตายแน่ๆ ผมยังไม่พร้อมจะตัดสินใจห่าอะไรทั้งนั้นล่ะครับ
ปิ๊ง!
ผมสะดุ้งหลุดจากความวุ่นวายเล็กๆที่เริ่มก่อขึ้นในหัวผม เป็นเสียงแจ้งเตือนจากหน้าแชทเฟสครับ ผมคว้ามาดูก็ต้องวุ่นวายกับตัวเองหนักกว่าเดิม
อยู่สนามข้างตึกแล้วนะ
ผมกรอกตาไปมาแล้วโยนโทรศัพท์ลงกับโต๊ะก่อนจะฟุบตัวลงหลับตาเหมือนที่ชอบทำ ผมจะลงไปดีหรือเปล่าครับ พี่ทิตย์จะมาทำให้ผมคิดเยอะแล้วหัวเราะเยาะทีหลังหรือเปล่าก็ไม่รู้
….
แล้วอะไรคือผมทิ้งกระเป๋าไว้บนห้อง เดินตัวเปล่าลงมาใต้ตึก ผมก็แค่หงุดหงิดกับตัวองที่ตัดสินใจไม่ได้สักทีเลยเดินลงมาวนเวียนแถวตึกนี้เองล่ะน่า แต่เดินวนไปวนมาก็มาถึงทางเดินลงไปสนามหญ้าข้างตึกได้ไงก็ไม่รู้ครับ พี่ทิตย์ช่างสรรหาที่คุยจริงๆนะครับ ตรงนี้มันไม่ค่อยมีคนเท่าไหร่อยู่แล้วเพราะมันเป็นแค่สนามหญ้าเล็กๆประดับตึกไว้แค่นั้น ทางเดินไปสนามมันก็มีแค่ทางจากใต้ตึกที่ผมอยู่กับช่องด้านหน้าสนามที่ไม่ค่อยมีคนผ่าน คนเขาไปฝั้งคอปเปอร์เวย์กันหมดนั่นล่ะ
ผมก้าวเท้าอย่างระวังไปที่มุมตึกโดยที่ไม่ให้คนในสนามมองเห็น ใจผมเต้นระรัวจนกลัวว่าแม่งจะหลุดออกมาจากอก หน้าผมมีเหงื่อซึมออกมาเล็กน้อย เสียงอะไรก็ตามมันเข้ามาในหูผมทำให้ผมรู้ว่ามีคนกำลังเดินวนอยู่แล้วก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ผมขมวดคิ้วแน่นยืนพิงผนังมันอยู่อย่างนั้นก่อนจะหลับตาลง
ใกล้แค่นี้เอง…
เอาไงดีวะ…
เสียงเท้าเดินเข้ามาใกล้ที่ๆผมยืนอยู่แต่ผมกลับยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น ขาแม่งก้าวไม่ออกเลยครับ กลัวพี่ทิตย์เดินมาเห็นแล้วจะหน้าแตกเอาได้ครับ ถามว่าผมรู้ได้ไงว่าเป็นพี่ทิตย์ เอาเป็นว่าผมรู้แล้วกันครับ เพราะผมก็ไม่รู้ว่าผมรู้ได้ไงเหมือนกัน อาจจะเป็นความรู้สึกอะไรสักอย่างมันบอกว่าเป็นอย่างนั้น
เวลาผ่านไปเกือบชั่วโมงก็ไม่มีท่าทางว่าพี่ทิตย์จะโผล่หน้ามาจ๊ะเอ๋กับผมที่ยืนพิงกำแพงอยู่ เริ่มเมื่อยครับ พี่ทิตย์ไม่เหนื่อยบ้างเหรอวะกับการเดินวนไปมาแบบนี้ เป็นผมคงขึ้นไปตามยันห้องแล้วครับ แต่พี่ทิตย์ไม่… พี่ทิตย์ยืนรออยู่อย่างงั้น มีเดินวนไปวนมาแล้วก็ถอนหายใจให้ผมได้ยินอยู่บ้าง
เดินออกมาดิวะ อยู่ใกล้กันขนาดนี้ยังไม่รู้อีกเหรอว่าผมอยู่
แล้วผมเนี่ยเป็นบ้าอะไรไม่ยอมเดินเข้าไป
ผมบอกแล้วว่าผมไม่ได้รังเกียจถ้าพี่ทิตย์จะชอบผม มีคนชอบดีกว่ามีคนเกลียดนะครับ แต่ก็นะ ผมไม่เคยมีแฟนเลยสักคนก็จริง ผมก็ยังรู้สึกว่าผมชอบผู้หญิงไม่ได้ชอบผู้ชายอยู่ดี ที่ผมไม่ได้รังเกียจพี่ทิตย์ไม่ได้หมายความว่าผมพิศวาสพี่ทิตย์อะไรขนาดนั้นนี่ครับ
ยอมรับว่ามีบ้างที่รู้สึกว่ามันดีกว่าการอยู่คนเดียว มันไม่เงียบ ไม่เหงา แล้วก็โคตรจะรู้สึกดี พี่ทิตย์ให้อะไรผมหลายอย่างแล้วที่ผมให้พี่ทิตย์ก่อนมันเทียบไม่ติดเลยสักนิดครับ
ถ้าผมอยากปฏิเสธมีสองทางคือไปจากตรงนี้กับเดินไปบอกว่าผมไม่อยากเป็นอะไรกับพี่ทิตย์มากกว่าตอนนี้ แต่เพราะผมสับสนผมเลยไปทางไหนไม่ได้ ผมทำได้แค่ยืนอยู่ตรงนี้ ถ้าพี่ทิตย์มาเห็นผมอาจจะเป็นเรื่องไปเรื่องอื่น หรืออาจจะยิ้มให้?
ที่ทำอยู่ตอนนี้พี่ทิตย์อาจจะคิดว่าผมปฏิเสธไปแล้วก็ได้ หึ
ปิ๊ง!
ผมสะดุ้งเฮือกอย่างตกใจทันทีที่เสียงแจ้งเตือนจากโทรศัพท์ผมดังขึ้น ทั้งที่ปกติผมปิดเสียงไว้แท้ๆแต่วันนี้ผมเปิดตั้งแต่อยู่บนห้องเลยลืมปิดมันครับ ผมคว้ามันมาดูก็เห็นว่าเป็นพี่ทิตย์ที่ทักมาอีกครั้งครับ
ขอโทษที่วุ่นวาย
ไม่ใช่แล้วครับ วุ่นวายบ้าอะไรวะ ถ้าผมไม่คิดว่ามันน่ารำคาญมันก็ไม่ใช่พี่ทิตย์วุ่นวายไม่ใช่เหรอ ทำไมพี่ทิตย์ต้องคิดเองเออเองแบบนี้ด้วยวะ หัวใจผมเต้นรัวเพราะคนในสนามเหมือนจะกำลังเดินกลับเข้ามาในตึก ถึงผมวิ่งออกไปตอนนี้แม่งก็คงหนีไม่ทันอยู่แล้ว
“อุ่น ทำไรตรงนั้นวะ” ไอ้พี่รหัส!! มาได้ไม่ถูกที่ไม่ถูกทางมากเลยครับ เรียกชื่อผมเสียงดังขนาดนี้พี่ทิตย์รู้หมดแล้วมั้งครับว่าผมอยู่ตรงนี้
“ทำไมอ่ะ ไปส่งหน่อยเร็ว” พอผมยกมือขึ้นจุ๊ปากมันก็ขมวดคิ้วอย่างสงสัยแล้วก็ถามผมขึ้นมาทันทีครับ มันเงียบไม่เป็นหรือไงไม่รู้ ผมส่งสายตาเหมือนดุแล้วก็หันหลังไปมองก็เห็นพี่ทิตย์
ครับ พี่ทิตย์นั่นแหละอยู่ด้านหลังผมเลยครับ
“ไปดิ”
“ไปไหน”
“จะกลับบ้านไม่ใช่เหรอ จะไปส่งอยู่นี่ไง” ผมคว้ามือมันมาจับไว้แล้วออกแรงดึงไอ้พี่รหัสที่ไม่ยอมขยับตัวไปไหนเลยครับ แล้วไหนบอกให้ไปส่งไงวะ
พี่ทิตย์แม่งก็ไม่ขยับไปไหนเลยครับ ยืนมองผมอยู่นั่นแหละ อึดอัดนะเว้ย ผมกดอ่านประโยคนั้นไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วด้วย หน้าจอแชทยังค้างอยู่ในมือข้างที่ว่างของผมอยู่เลยครับ ผมปรับสีหน้าตัวเองให้ปกติที่สุดแล้วมองหน้าพี่ทิตย์นิ่งค้างอยู่อย่างนั้น
เรื่องที่ผมถนัดอีกอย่างก็อื่นการทำหน้าที่ดูหยิ่งแบบนี้ล่ะครับ ผมถึงได้ไม่มีใครคบไง
“มึงเรียนเคมีกับใครวะ ทำแพลนแลปยัง ลอกมั่งดิ” ไอ้พี่บ้านี่ก็ไม่รู้เวล่ำเวลาเลยครับ ผมจะหนีพี่ทิตย์โว้ยย เข้าใจสถานการณ์บ้างเห๊อะ
“ยังไม่ได้ทำ” ตอบมันแล้วมองผมด้วยสายตาแบบนี้ทำไมไม่รู้ครับ มันเหมือนผิดหวัง แล้วก็น้อยใจ มันแฝงอะไรหลายๆอย่างแต่ที่แน่ๆคือผมเห็นความผิดหวังชัดเจนที่สุด
ผมผิดด้วยเหรอ? ผมผิดตรงไหนล่ะ ก็ผมไม่รู้นี่ว่าต้องทำยังไง แล้วผมก็ไม่กล้าออกไปหาพี่ทิตย์แค่นั้นเอง
“ทำเสร็จแล้วขอหน่อย”
“เออ”
“พี่ทิตย์…” ผมเรียกไปทั้งที่ตัวเองยังกล้าๆกลัวๆที่จะทัก พี่ทิตย์เลิกคิ้วแทนที่จะขานรับ หน้าที่ปกติจะยิ้มให้ผมมันแปรเปลี่ยนเป็นนิ่งเฉยๆจนผมรู้สึกไม่ดี
“ของวันนี้อ่ะ ยังไม่เห็นคืนเลย” ยังมีหน้าไปทวงเขาอีกไอ้ห่า!!!
“คิดว่าไม่เอาเลยทิ้งไปแล้ว เดี๋ยวพี่ไปเอาให้ใหม่ก็ได้” นิ่งเกินไปแล้วครับ ผมจะพูดยังไงดีวะ ผมไม่ได้รังเกียจพี่เว้ย แต่ผมไม่กล้าพอแค่นั่นเอง แล้วก็ไม่คิดว่าพี่ทิตย์จะจริงจัง คิดว่าอาจจะแค่ล้อเล่น ทำไมผลมันถึงได้ออกมาแบบนี้ได้วะ
ผมได้แต่กะพริบตาปริบๆมองหน้าพี่ทิตย์ พี่ทิตย์ไม่ได้พูดอะไรอีกเลยครับ เดินผ่านผมกับไอ้พี่รหัสไปเงียบๆ ทำไมผมรู้สึกแย่ได้ขนาดนี้วะ ผมจะทำยังไงดีครับใครก็ได้บอกผมทีเถอะ ผมคิดอะไรไม่ออกแล้วจริงๆนะ ผมรู้ว่าผมไม่ควรปล่อยให้มันเป็นแบบนี้ แต่มันไม่รู้จะทำอะไรแล้วจริงๆนะครับ
“พี่กลับไปก่อนไป” ผมดึงมือไอ้พี่รหัสผมให้ออกตัวเดินมันยกมือขึ้นเกาหัวแบบงงๆผมเลยโบกมือไล่ครับ ไอ้พี่รหัสผมมันก็เดินไปอย่างว่าง่ายก่อนที่จะบอกลาผม ผมหันกลับไปอีกทีพี่ทิตย์ก็เดินหายไปไหนก็ไม่รู้แล้วครับ แต่ที่แน่ๆคือพี่ทิตย์ยังอยู่ในโรงเรียนนี่แหละ
ผมทรุดตัวลงนั่งกับบันไดสองสามขั้นที่พาลงไปสนามข้างตึก เอาหัวพิงกับกำแพงให้ช่วยพยุงตัวผมไว้ หงุดหงิดตัวเองชิบหายเลยครับ ผมกัดปากตัวเองอย่างไม่รู้จะจัดการกับความรู้สึกยังไง
ผมคิดถูกหรือเปล่าที่ให้พี่ทิตย์ยืมห้าสิบบาทในวันนั้น
ผมสะบัดหัวไปมาเบาๆแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วเลื่อนหน้าไทม์ไลน์เฟสของผมไปเรื่อยก็เจอโพสของคนที่ทำให้ผมนั่งเป็นคนบ้าอยู่อย่างนี้
Athit Theeramethakul
รักเขาข้างเดียวแม่งเจ็บว่ะ
ถอนหายใจออกมาแผ่วเบาแล้วลุกพรวดขึ้นยืนครับ ไม่รู้จะอยู่ตรงนี้ไปทำไม แหม ลุกเร็วไปหน่อยหน้ามืดเลยครับ ผมหลับตาแน่นให้ความมัวๆมืดๆของภาพหายไปก่อนจะกะพริบตาถี่ๆอีกครั้ง ที่ผมเห็นอยู่ตรงหน้าคือพี่ทิตย์ตัวเป็นๆที่ตอนแรกเดินหายไปไหนไม่รู้แต่ตอนนี้กลับมานอยู่ตรงหน้าผม
“พี่ทิตย์…” ผมพึมพำออกมาแผ่วเบา สายตาที่พี่ทิตย์มองผมยังเหมือนเดิม สายตาของคนที่ผิดหวัง ผมเงียบในขณะที่พี่ทิตย์ก็เงียบเหมือนกัน
ผมจะทำไงดี?
ใครก็ได้บอกผมหน่อย
ผมมีอะไรในหัวมากมายที่พูดออกมาไม่ได้แม้แต่ประโยคเดียว มันอึดอัดไปหมด เพราะพี่ทิตย์คนเดียวที่ทำให้ผมต้องมาเป็นแบบนี้ ผมตวัดตามองค้อนไปอย่างไร้เหตุผลแต่พี่ทิตย์ก็ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกมาให้ผมเห็นนอกจากแววตาแบบเดิมๆที่ทำให้ผมรู้สึกแย่
“ไม่เอาแบบนี้ไม่ได้เหรอ”
“ไม่บอกชอบผมไม่ได้เหรอ”
“แค่ทำเหมือนเดิมไม่ได้เหรอ”
ผมกลั้นใจพูดออกไป แต่แม่งเสือกเป็นประโยคคำถามที่แน่นอนว่าผมไม่ได้ต้องการคำตอบหรอกครับ มันมาจากความรู้สึกของผมจริงๆ ผมไม่อยากได้ความรู้สึกแบบนี้ แต่ผมชอบความรู้สึกของหลายๆวันที่ผ่านมา
“แต่พี่ชอบอุ่นว่ะ”
“ให้โอกาสพี่ได้ไหม”
________________________________________________________________________________________
ช่วงนี้คนแต่งอารมณ์ขึ้นๆลงๆเลยไม่เคยได้แต่งเท่าไหร่ แต่ก็รับปั่นมาลงแล้วค่ะ พรุ่งนี้สอบกลางภาคซะด้วยT_T
อย่าเพิ่งโกรธน้องอุ่นกันนะคะ แฮร่
ขอบคุณทุกๆคอมเมนต์ ทุกๆยอดวิว ทุกๆบวกเป็ด ทุกๆสิ่งเลยนะคะ
ใครไม่มีล็อคอินของเล้าเป็ดเราฝากแท็ต #น้องครับยืมตังหน่อย ไว้ด้วยนะคะ
