คืนครั้งที่11 น้ำอุ่นเป็นเด็กขี้หวงนะ ☻✿
“ก..ก็แล้วผมต้องทำยังไงล่ะ”
พี่ทิตย์พูดบอกชอบผมอีกครั้งจากเมื่อวาน ผมก็สมองรวนพูดตะกุกตะกักมือไม้ก็ดูเกะกะไม่รู้จะเอาไปวางส่วนไหนดีเลยครับ อากาศรอบข้างร้อนขึ้นพิลึกเลยครับ เหงื่อผมไหลตามกรอบหน้าสร้างความน่ารำคาญขึ้นอีกนิดหน่อย ทั้งกระวนกระวายทั้งตื่นเต้น ความรู้สึกมากมายที่ไม่จำเป็นมันวนอยู่ในหัวผมตลอดเวลาเลยครับ
“มาใกล้ๆหน่อย” ผมเดินเข้าไปใกล้แล้วก็โดนผลักหัวเบาๆพร้อมกับที่พี่ทิตย์หัวเราะออกมาเสียงแผ่วครับ ผมยกมือขึ้นลูบหัวตัวเองอย่างนึกหมั่นไส้บอกให้ผมเข้าไปใกล้แล้วก็มาผลักหัวผมแบบนี้เนี่ยนะครับ
“ทำไมน่ารักแบบนี้วะ” ผมเอ๋อไปนิดหน่อยทันทีที่พี่ทิตย์พึมพำมันออกมาครับ
“อะไร” ไอ้ผมก็บ่นออกไปด้วยความหงุดหงิดเพราะพี่ทิตย์ยืนกอดอกมองหน้าผมนิ่งอย่างกับมีอะไรติดหน้าผม หรือมีจริงๆวะเนี่ย ผมเอามือลูบหน้าตัวเองแบบงงๆก็เห็นว่ามันไม่น่าจะมีอะไรติดอยู่แม้แต่นิดเดียว ผมถอนหายใจออกมาแผ่วเบาอย่างไม่รู้จะทำอะไรที่ดีไปกว่านี้แล้ว
“ถ้าพี่นะ… พี่ชอบอุ่น พี่ก็เลยอยากใกล้อุ่นมากขึ้น” ครั้งที่สามแล้ว… ผมไม่รู้จะทำหน้ายังไงออกไปให้พี่ทิตย์เห็นเลยครับ ผมไม่ได้รู้สึกเขินเลยสักนิด แต่กลับหวั่นไหวและรู้สึกวูบๆในอกหลังจากที่พี่ทิตย์บอกมันซ้ำๆ พูดออกมาได้หน้าตาเฉยเกินไปแล้วโว้ยยย
“แล้วไง” ผมก็ตีมึนตอบไปแค่นั้นพี่ทิตย์ก็ระบายยิ้มออกมาเล็กน้อย
“ถ้ามันเป็นกรณีของอุ่น อุ่นก็ต้องเลือกว่าจะทำยังไงกับพี่ดี หืม?” ผมขมวดคิ้วพันกันแน่น ทำยังไงกับพี่ทิตย์ดี? หัวสมองเล็กๆของผมครุ่นคิดว่าจะเอายังไงต่อไป เอ๊ะ แล้วผมต้องเอายังไงวะ ผมต้องคิดถึงอะไรล่ะครับ
“เอาเหมือนเดิม เอาเหมือนเมื่อวานไม่ได้เหรอ” ผมพูดเหมือนจะเสนอความคิดโง่ๆออกไปสีหน้าของพี่ทิตย์เปลี่ยนไปแว๊บหนึ่งก่อนจะกลับมายิ้มแห้งๆแบบเดิม ผมเรียกร้องมากเกินไปเหรอครับ มันคงเป็นอะไรที่เห็นแก่ตัวแล้วก็เอาแต่ได้มากจริงๆนั่นล่ะครับ
“พี่ทุ่มเทให้อุ่นแล้วถ้าเกิดอุ่นไม่เห็นค่ามันเลย ไม่สงสารพี่หน่อยเหรอ” ผมจิ๊ปากออกมาแล้วก็เงียบครับ เงียบไปหมด ทุกอย่างเงียบลงอย่างโคตรจะอึดอัด
“งั้นขอเวลาเพิ่มหน่อยได้ไหมล่ะ!” ผมพูดออกไปเสียงดังโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ พี่ทิตย์เบิกตากว้างเหมือนตกใจที่อยู่ๆผมก็ตะโกนออกไปแบบนั้น อย่าว่าแต่พี่ทิตย์เลยครับ ผมเองยังตกใจเลย พูดบ้าอะไรออกไปก็ไม่รู้ แต่ผิดที่พี่ทิตย์เลยครับ ไม่รู้แหละ พี่ทิตย์กดดันผมชัดๆ
“พี่ตั้งความหวังได้ใช่ไหม” ผมพยักหน้าขึ้นลงส่งๆไปพี่ทิตย์ก็เขยิบเข้ามาใกล้ ผมชี้นิ้วแล้วรีบอ้าปากร้องห้ามทันทีครับ
“ทำอะไร”
“ขอกอดหน่อยสิ” พี่ทิตย์พูดออกมาหน้าตายมากเลยครับ ผมกลอกตาไปมาแล้วชี้นิ้วอยู่อย่างนั้นเพื่อไม่ให้พี่ทิตย์เขยิบเข้ามาใกล้มากกว่านี้ พี่ทิตย์ยกมือขึ้นเหมือนยอมแพ้แล้วยิ้มออกมาผมเลยหัวเราะขำท่าทางของพี่ทิตย์ครับ ท่าทางว่ามันคงไปได้สวยแล้วล่ะครับแบบนี้
“ออกไปไกลๆเลย” ผมบุ้ยปากให้พี่ทิตย์เดินออกไปพี่ทิตย์ก็ว่าง่ายเดินถอยหลังขึ้นไปยืนอยู่ในพื้นที่หน้าบันไดขึ้นตึกครับ
“น้องคะ” ผมหนซ้านหันขวาทันทีก็เห็นพี่ม.6เดินมาทางผมกับพี่ทิตย์ครับ แล้วไอ้น้องที่ว่านั่นน่ะน้องไหนครับ แต่ผมไม่ได้ไปรู้จักใครอยู่แล้วก็คงจะเรียกพี่ทิตย์มั้งครับ
“น้องที่จัดฟันอ่ะน้องง เดินขบวนให้พี่ได้ไหม” หือ? ไอ้เหล็กที่อยู่ที่ปากทำให้ผมรู้ว่าพี่เขาหมายถึงผมครับ ผมยืนโง่ๆอยู่แบบนั้นจนพี่เขาเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าผม
“เอ่อ…” ผมพูดอะไรไม่ออกครับ อยู่ๆมีคนจะมาจับเดินขบวนกีฬาสีเนี่ยนะครับ ปกติผมจืดจางจะตายครับ แทบจะไม่มีบทบาทอะไรกับกีฬาสีเลยด้วย ผมอยากปฏิเสธไปแต่ไม่รู้จะพูดยังไงดีครับพี่เขาแทบจะยกมือไหว้ผมอยู่แล้วด้วยซ้ำ ตัวช่วยผมยืนทำหน้าเรียบเฉยมองผมสลับกับพี่เขา
ผมเงยหน้าขึ้นสบตากับพี่ทิตย์เพื่อขอความช่วยเหลือครับ พี่ทิตย์เลิกคิ้วมองผมแล้วก็ร้องอ๋อออกมาเบาๆ
“น้องเขาไม่อยากเดินอ่ะพี่ จะมาบังคับกันทำไมครับ” โอ๊ยยย ไอ้พี่ทิตย์นี่ก็พูดตรงเหลือเกินครับ ผมได้แต่ยิ้มแห้งๆออกไปอย่างไม่รู้จะแก้ตัวให้พี่ทิตย์ยังไงดีเลยครับ พี่เขาเงิบไปเล็กน้อยก่อนจะหันหน้ามองกันเองแล้วพึมพำบ่นอะไรไม่รู้ก่อนจะเดินหายไปครับ
“พี่รู้จักเขาเหรอ” พี่ทิตย์ส่ายหน้าไปมา ผมควรชินหรือเปล่าครับ ครั้งที่แล้วมีคนขี่มอเตอร์ไซค์จะชนผมพี่ทิตย์ตะโกนด่าไป แต่พอถามว่ารู้จักเขาด้วยเหรอคำตอบก็คือไม่ครับ จนถึงตอนนี้ผมก็คิดว่าพี่ทิตย์เป็นคนเข้าใจยากเหมือนเดิมเลยครับ
“ทีหลังไม่ต้องเดินไปไหนมาไหนบ่อยนะ” ผมขมวดคิ้วแน่นครับ ผมเดินไปไหนมาไหนบ่อยเสียเมื่อไหร่ครับ แทบไม่ได้ไปไหนด้วยซ้ำ วันๆนั่งเรียนโง่ๆอยู่ในห้องก็ขี้เกียจมากพอแล้วครับ
“ทำไม” ปากผมก็ถามกันเงียบไปงั้นละครับ ผมไม่ได้ต้องการคำตอบอะไรแล้วใจผมก็นึกไปหากระเป๋าที่วางไว้บนห้องแล้วครับ แต่ถึงผมจะไม่ได้ต้องการคำตอบแต่พี่ทิตย์กลับตอบมา
“พี่หวง” มันใช่ที่มาพูดอะไรแบบนี้ไหมวะ ผมแสร้งทำหน้าบึ้งใส่ไปแล้วพ่นลมหายใจออกมาให้รู้ว่าผมไม่ชอบครับ ผมพาลด้วย พี่ทิตย์จะพูดอะไรเยอะแยะก็ไม่รู้ครับ ผมพาลไปหมดไม่รู้จะทำหน้ายังไง ไม่รู้จะวางตัวยังไง แล้วก็แสดงออกมาด้วยการโวยวายและงี่เง่าแทนที่จะเงียบครับ
“พี่ทิตย์จะกลับบ้านยัง” ผมเลิกคิ้วถามทำเมินที่พี่ทิตย์พูด พี่ทิตย์ยกนาฬิกาขึ้นดูผมเลยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเวลาบ้างครับ ใกล้ถึงเวลารถผมออกแล้วสิ
“พี่กลับตอนไหนก็ได้ แล้วอุ่นล่ะ กระเป๋า?” พี่ทิตย์ขี่มอเตอร์ไซค์มาเองนี่นา ผมนึกขึ้นได้ก็โบกมือลาแล้ววิ่งขึ้นตึกเพื่อไปเอากระเป๋าตัวเองบนห้องครับ
เอาจริงๆคือผมไม่คิดว่าพี่ทิตย์จะรอผมอยู่ด้านล่างแล้วไปส่งผมที่รถตู้ พี่ทิตย์จริงจังใช่ไหมครับ ที่พี่ทิตย์ทำแบบนี้ผมแน่ใจได้แล้วใช่ไหมครับว่าพี่ทิตย์ไม่ได้แค่ล้อเล่นกับผม ผมคิดว่าวันนี้ผมจะไม่ได้อะไรคืนจากพี่ทิตย์เพราะว่ามันเป็นห้าบาทสุดท้ายแล้ว แต่ตอนที่พี่ทิตย์มาส่งผมพี่ทิตย์ก็ให้ผมมาครับ
มันเป็นอะไรรู้ไหมครับ?
มาม่าซองนึงครับ
แม่งเอ๊ยยย ผมทั้งขำทั้งเงิบตอนที่พี่ทิตย์ยื่นห่อมาม่ารสต้มยำกุ้งน้ำใสแสนคลาสสิคมาให้ผม พี่ทิตย์บออกว่าเห็นผมหงุดหงิดบ่อยขึ้น โมโหหิวหรือเปล่า เอาไปกินให้อิ่มนะ แล้วก็หัวเราะอัดหน้าผมครับ
ถึงจะแสร้งไม่พอใจใส่พี่ทิตย์ยังไงมาม่าห่อนั้นก็กลายมาเป็นมาม่าที่อยู่บนชามของผมไปเสียแล้วครับ
ข่าวในโทรทัศน์ยังพูดไปเรื่อยโดยที่ไม่สนใจว่าผมฟังมันหรือเปล่า และแน่นอนว่าถ้าสนใจก็บ้าแล้วครับ ผมใช้ส้อมในมือเขี่ยเส้นมาม่าขึ้นเข้าปากแล้วก็หันไปสบตากับแม่ที่นั่งดูโทรทัศน์อยู่ข้างผมพอดีครับ แม่เหมือนมีอะไรจะพูดแต่กลับยิ้มออกมาแทน ไอ้ผมก็งงสิครับ ขมวดคิ้วแน่นจ้องหน้าแม่กดดันให้พูดออกมา
“ว่าไงล่ะเรา ไอ้พี่นั่นน่ะ” แม่เลิกคิ้วถามผม ผมวางชามมาม่าลงกับโต๊ะแล้วยกขาขึ้นนั่งขัดสมาธิหันหน้าเข้าหาแม่พร้อมเอียงคอไปมา กลอกตานึกหาคำพูดที่จะเล่าให้แม่ฟังแต่กลับไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี ทุกอย่างมันดูคลุมเครืออยู่ยังไงก็ไม่รู้สิครับ แต่ถามว่ามันดีไหม ผมก็ว่ามันไม่ได้แย่อะไร
“แม่อยากได้คำตอบแบบไหนอ่ะ” ผมพูดย้อนกวนแม่ไปงั้นนั่นล่ะครับ แม่ยกมือขึ้นเขกหัวผมเบาๆ ไอ้ผมก็แกล้งร้องโอดโอยออกมาพร้อมยิ้มขำไปด้วย แม่ชี้หน้าคาดโทษผมผมเลยหยุดเล่นครับ
“ผมไม่รู้ว่าต้องทำยังไง… อือ ก็เลยขอเวลาไป” แม่ฟังผมไปพยักหน้ารับคำผมไป สักพักผมหยุดพูดแม่ก็เงียบไปครับ ผมไม่รู้ว่าแม่คิดอะไรอยู่ ไม่รู้ว่าทำให้แม่ผิดหวังในตัวผมไปแล้วหรือเปล่า หรือว่าผมไม่ควรเอาเรื่องพวกนี้มาปรึกษาแม่เหรอครับ
“อุ่นฟังแม่นะ อุ่นรักใครแม่ก็รัก แต่แม่อยากให้อุ่นคิดดีๆแล้วกัน แม่รู้แม่พูดอะไรไปแม่ก็ไปห้ามความคิดอุ่นไม่ได้หรอก” ผมเงียบ แม่ก็ลูบหัวผมแผ่วเบา ผมก็รู้สึกผิดสิครับ ทำไงได้ล่ะ ผมรู้ว่าแม่กำลังฝืนพูดอยู่แน่ๆคนเป็นแม่ลูกกันทำไมจะดูไม่ออกล่ะครับ
“ผมก็ไม่ได้อยากให้เป็นแบบนี้หรอกแม่” แม่เงียบไปเลยครับ ผมแม่งโคตรนิสัยเสียเลย นี่แม่นะเว้ยจะมาพูดประชดประชันอะไรวะน้ำอุ๊นน
“อะไร อย่ามาเหวี่ยงแม่นะอุ่น เอาเถ๊อะ ทำอะไรก็ทำ ว่าแต่พี่เขาเป็นไง ชื่ออะไร” ผมเงียบไปพักนึงแล้วก็โคลงหัวไปมาอย่างใช้ความคิดก่อนจะยิ้มเผล้ออกมา
“ชื่ออาทิตย์… อยู่ม.4 เป็นคนยังไง? ไม่รู้จะพูดยังไงเลยแม่ พี่เขาก็… ไม่ค่อยปกติเท่าไหร่ ชอบโดดเรียนมานั่งกินข้าวพร้อมผมแทบทุกวันจนผมงงว่ามันว่างขนาดนั้นเลยเหรอ ชอบพูดอะไรแปลกๆที่ผมฟังแล้วไม่เข้าใจ แต่มันก็ดีอ่ะแม่ อย่างน้อยก็มีคนสนใจบ้าง”
“ชอบเขาแล้วล่ะสิเรา” หือ? ผมกะพริบตาปริบๆมองแม่อย่างสงสัย แล้วเบ้ปากออกมา
“อะไรของแม่เนี่ย” ผมบ่นพึมพำใส่แม่แม่ก็ไม่ได้ว่าอะไรต่อครับ แม่เงียบแล้วก็ถอนหายใจออกมาแผ่วเบา ไอ้ผมก็ได้แต่มองแม่ตาปริบๆครับ แม่เหมือนพยายามจะทำความเข้าใจตัวผมให้มากขึ้น ผมจะทำไงต่อดีล่ะครับ รู้สึกแปลกๆขึ้นมาอีกแล้วด้วย
“อย่าให้เสียเรื่องเรียนแล้วกันนะอุ่น พี่เขาด้วย” พูดอย่างกับผมคบกับพี่ทิตย์แล้วยังไงยังงั้นเลยครับ ทั้งๆตอนนี้สถานะมันไม่ได้ชัดเจนอะไรขนาดนั้นสักหน่อยนี่ครับ อย่างน้อยๆผมก็ไม่เคยบอกความในใจที่ไม่รู้ว่าเป็นยังไงเหมือนกันให้พี่ทิตย์รู้เลยนะครับ
“แม่ว่าอุ่นหล่อขึ้นไหม มีคนจะเอาลูกชายแม่ไปเดินขบวนด้วย” ผมชูนิ้วโป้งกับนิ้วชี้อยู่ตรงคางแล้วยิ้มยิงฟันให้คุณนายเขาเห็น แม่ถอนหายใจอย่างเอือมระอาผมเลยหุบยิ้มแล้วหัวเราะออกมาแทนครับ
“ภูมิใจมากไหมล่ะ แม่ว่าดูติ้งต๊องขึ้นเยอะเลย” ดีกว่าโดนด่าว่าหน้าตุ๊ดแล้วกันครับ แต่ผมก็ว่าผมหล่อขึ้นเหมือนกันนา ก็พอตัวครับ หลงตัวเองอยู่พอตัว โธ่ ใครจะไปหล่อเหมือนพี่ทิตย์ล่ะครับ
“ลูกชายแม่ออกจะหน้าตาดี” ผมก็พล่ามๆไปครับ มือก็เขี่ยเส้นมาม่าที่เริ่มอืดเพราะคุยกับแม่นานไปหน่อย แม่หัวเราะเหมือนหมั่นไส้ผมออกมาครับ ไอ้ผมก็หัวเราะตามแล้วเอามาม่าเข้าปาก
“แล้วนี่ขั้นไหนกันแล้วล่ะ” ผมเผลอปล่อยชามกระแทกโต๊ะเสียงดังจนผมสะดุ้งเอง มือหนักๆของแม่ก็ฟาดลงที่แขนผมทันทีพร้อมทำหน้าดุใส่ผมครับ
“โอ๊ย เจ็บนะแม่”
“ทำไมไม่วางดีๆเล่าแม่แค่ถามเฉยๆจะตกใจทำไม” ผมทำปากขมุบขมิบบ่นตามแม่พูดก็กลัวว่าจะโดนอีกครั้งเลยหยุดแล้วเด้งตัวเอาหัววางแนบไปกับโซฟาครับ
“ขั้นไหนก็ไม่รู้ พี่เขาบอกให้ผมตัดสินใจ แล้วผมก็ขอเวลามานี่ไง” แม่พยักหน้ารับผมก็ยกมือขึ้นลูบหน้าตัวเองเบาๆครับ คิดแล้วก็เครียด ไม่รู้ว่าจะยืดเวลาได้ถึงเมื่อไหร่ แล้วก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ผมจะเข้าใจความรู้สึกตัวเองสักทีว่าตกลงผมคิดยังไงกับพี่ทิตย์กันแน่
ว่าแต่พี่ทิตย์ก็คืนผมครบแล้วนี่นา แล้วพี่ทิตย์จะทำยังไงต่อล่ะ ผมต้องให้ยืมเพิ่มไหม
ผมกลัว กลัวว่าพี่ทิตย์จะไม่เหมือนเดิม เพราะนอกจากหัวเราะแล้วพี่ทิตย์ก็ไม่ได้พูดอะไรอีกเลยหลังจากที่คืนครบห้าสิบแล้ว
……………………………………………………………………………………………..
“เอาอีกแล้วหรอแก๊!!” ผมสะดุ้งหลุดจากภวังค์เพราะเสียงแหลมปรี๊ดของเพื่อนร่วมห้องผมที่อยู่ๆก็ตะโกนโวยวายขึ้นมาหลังจากซุบซิบและดูจอโทรศัพท์กันครับ
“ก็ขอเล่นตัวหน่อยไม่ได้เหรอ” เพื่อนเธออีกคนบ่นพึมพำแล้วเก็บโทรศัพท์ลงในกระเป๋ากระโปรงตามปกติครับ ผมละสายตาจากใบงานกลุ่มตรงหน้าขึ้นมองสองคนนั้นที่นั่งตรงข้ามผมไปมาอย่างไม่รู้จะทำอะไรครับ
“อะไรกันวะ” เพื่อนแกงค์หลังห้องอีกคนเงยหน้าจากการตอบคำถามใบงานกลุ่มครับ แล้วพวกเธอก็หันไปสนใจโทรศัพท์ของเพื่อนคนนั้นกันหมดเลยครับ ผมกับเพื่อนโต๊ะข้างๆหันมายิ้มให้กับแบบงงๆแล้วก็เลยเอาใบงานมาอ่านทวนดูแล้วหยิบปากกาขึ้นมาเขียนต่อให้ครับ
“มันไม่ตอบไลน์พี่เขาอีกแล้วอะดิ เล่นตัวชิบหาย” แล้วเสียงก็ดังเข้าหูผมเรื่อยๆจนถึงผมไม่อยากรู้ก็ต้องรู้จนได้น่ะสิครับ ตอนนี้สรุปใจความได้ว่าเจ้าของเครื่องไม่ได้ตอบไลน์พี่ที่มาจีบหลายครั้งแล้วครับ คนอื่นก็รุมแซวนู่นนี่กันตามปกติของพวกเธอล่ะครับ
“เล่นตัวมากๆระวังเขาจะไปทุ่มให้คนอื่นแทนนะยะ”
ผมนิ่ง… ประโยคที่เธอพูดหยอกล้อกันเล่นแต่มันกลับมากระแทกหน้าผมยังไงก็ไม่รู้ครับ ที่ผมยืดเวลาอยู่เนี่ยมันเรียกว่าเล่นตัวหรือเปล่าครับ แล้วอย่างนี้พี่ทิตย์จะรำคาญผมแล้วเลิกสนใจไปเองหรือเปล่าครับ ผมจะโดนทิ้งให้เหงาเหมือนเดิมหรือเปล่าครับ
“ให้เขาทักมาอีกรอบฉันจะตอบตลอดแล้วแก”
“แต่ถ้าเขาไม่ทักมาจะทำไงวะแก”
“ทำใจสิแก เหอะ ไม่ตอบมาหลายครั้งแล้วนี่ เป็นฉันนะเลิกชอบแกไปแล้วย่ะ”
และอีกหลายประโยคที่แทงใจผมพิลึกครับ เจ็บจนอยากวิ่งไปโดดตึกแม่งเดี๋ยวนี้เลย แต่ผมก็ไม่ได้แสดงออกอะไรไปทำแค่ก้มหน้าก้มตาตวัดปลายปากกาเขียนคำตอบต่อจากที่พวกเธอเขียนค้างไว้เท่านั้นเองครับ ผมไม่รู้หรอกว่าเขาคุยกับใครอยู่แล้วเขาคนนั้นทุ่มเทให้เพื่อนผมขนาดไหน แต่ขนาดผมไม่รู้ผมยังเอามาเปรียบเทียบกับตัวเองกับพี่ทิตย์ได้ ตลกจริงๆเลยครับ
“ถ้าเขาไม่สนใจแล้วอย่ามาเสียใจทีหลังแล้วกันแก” ผมเหลือบมองเพื่อนร่วมห้องเจ้าของเรื่องที่นั่งหน้ายุ่งกำโทรศัพท์แน่นครับ สงสัยว่ากำลังตัดสินใจว่าจะรอหรือจะทักไปแน่เลยครับ
“เป็นอะไรหรือเปล่า” เพื่อนผู้ชายที่นั่งข้างผมทักขึ้นครับ ผมยิ้มแล้วส่ายหน้าไปมาให้รู้ว่าผมไม่ได้เป็นอะไร แต่ดูท่าว่ามันจะยังสงสัยครับ ผมเลยยื่นปากกาให้มันเขียนคำตอบต่อแทน มันจะได้เลิกสนใจผมสักทีครับ มันไม่ยอมรับปากกาจากผมผมเลยเงียบนั่งทำโดยไม่ได้สนใจมันอีก
“เป็นฉันจะไม่เลือกรักข้างเดียวแบบนี้หร๊อก พี่เขามีคนอยากคุยด้วยเยอะจะตายไปแก” ผมเงยหน้ามองคนที่พูดทันทีโดยอัตโนมัติเลยครับ
“เอ้าเสร็จหรือยังคะนักเรียน มาส่งได้แล้วค่ะจะปล่อยทานข้าวแล้ว” ผมวางปากกาแล้วยื่นกระดาษส่งให้เธออ่านตรวจคำตอบกันอีกครั้งแต่พวกเธอก็บอกให้ผมไปส่งเลย ผมก็พยักหน้ารับเดินไปคืนให้อาจาย์เขาตรวจไปก่อนที่ทุกคนจะขยับเข้าที่ของตัวเองเพื่อรออาจารย์เขาปล่อยครับ
ไม่มีวี่แววว่าพี่ทิตย์จะมากินข้าวกับผมเลยครับ
ผมถอนหายใจออกมาแผ่วเบาแล้วเดินเอื่อยๆลงจากตึกเพื่อมุ่งหน้าไปโรงอาหารตามปกติของทุกๆวันครับ ใช่สิครับ พี่ทิตย์คืนให้ผมครบหมดแล้ว ถึงจะบอกว่าชอบผมแต่ผมเล่นตัวแบบนี้ก็ไม่มีสิทธิบ่นอะไรเลยใช่ไหมครับ ก็แค่กลับมากินข้าวคนเดียวมันจะไปยากอะร๊ายยย ผมเดินเตะฝุ่นไปเรื่อยๆก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูครับ
เงยหน้าขึ้นไปมองก็เห็นว่าใช่เลยครับ ผมรีบทิ้งระยะห่างโดยการหยุดเดินทันที ก็ท่ผมเห็นน่ะพี่ทิตย์ครับ เด่นจะตายแถวนี้มีแค่เด็กม.ต้นกันทั้งนั้นเลยเหอะครับ ผมได้แต่มองพี่ทิตย์ที่เดินอยู่ตรงหน้าผมกับผู้หญิงอีกคนที่ผมเดาว่าเป็นเพื่อนพี่ทิตย์ล่ะมั้งครับ
ใกล้กันไปแล้ว…
พี่ผู้หญิงคนนั้นดึงชายเสื้อพี่ทิตย์ที่มันหลุดออกมานอกกางเกงเพื่อให้พี่ทิตย์ยัดมันเข้าไปตามเดิมครับ พี่ทิตย์คุยอะไรกับพี่เขาก็ไม่รู้ รู้แค่ว่าเดินไปหัวเราะไปแค่นั้นเองครับ กระเป๋าที่พี่ทิตย์ถือนั่นก็ไม่ใช่กระเป๋าของพี่ทิตย์ครับ พวงกุญแจลายคิดตี้ซะขนาดนั้น
ไหนบอกชอบผมไง แล้วทำไมมาเดินข้างคนอื่นแบบนี้
ผมได้แต่เบ้ปากออกมาครับ จริงๆมันอาจจะไม่มีอะไรก็ได้ แต่ยอมรับครับว่าผมหงุดหงิด ไม่อยากให้พี่ทิตย์อยู่กับคนอื่นเลยครับ ผมยังไม่ได้คุยกับพี่ทิตย์เลยด้วยซ้ำครับวันนี้น่ะ แต่ทำไมกับคนอื่นมันเป็นแบบนี้
แปลกที่ผมเหมือนหวงพี่ทิตย์เลยครับ ผมหัวเราะให้กับความคิดตัวเองแล้วมองพี่ทิตย์กับพี่อีกคนที่เดินไปทางสวัสดิการครับ เอาไงดีล่ะ ตาม ไม่ตาม? เดินไปกินข้าวตามปกติของชีวิตหรือทดลองเป็นหมาหวงก้างดีครับ ไหนๆก็ไม่อยากกินข้าวคนเดียวเหมือนเดิมเท่าไหร่ลองดูก็ไม่เสียหายครับ
มือผมเลื่อนหาเบอร์ที่เจ้าตัวเมมชื่อไว้ หาไม่ยากครับเพราะเบอร์ในเครื่องผมมีไม่เยอะและมีเบอร์เดียวที่มีอิโมติค่อนหัวใจอยู่ด้านหลัง ผมยังไม่ได้เปลี่ยนครับเพราะขี้เกียจ กัดปากครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก็ตัดสินใจโทรออก อย่ารับเลยขอร้อง ผมไม่เข้าใจพฤติกรรมเอาแต่ใจเหมือนเด็กๆของตัวเองตอนนี้มากเลยครับ
‘ฮัลโหลว่าไงอุ่น’ รับเฉยเลยครับ โอ๊ย นี่ผมทำบ้าอะไรลงไปวะเนี่ย ยืนกระวนกระวายจับโทรศัพท์อยู่หน้าโรงอาหารนอกไม่สนใจสายตาคนที่มองมา
“อยู่ไหนอ่ะ ว่างหรือเปล่าพี่ทิตย์” ถามลองเชิงไปงั้นแหละครับ เหอะๆ
‘พี่ไม่..’
“มากินข้าวด้วยกัน…หน่อย”
ปลายสายเงียบยาวเลยครับ ผมได้ยินเสียงคนแทรกเข้ามาแต่จับใจความไม่ได้เลยสักนิดครับ ทำไมผมเป็นคนแบบนี้วะเนี่ย เอาแต่ใจชิบหาย เห็นว่าเขาชอบแล้วจะมาทำแบบนี้เหรอวะ ตัดสายเลยดีไหมครับ ผมยกมือข้างที่ว่างยีหัวตัวเองจนยุ่งเหมือนอารมณ์ตอนนี้
‘เดี๋ยวพี่ไปหานะ ตอนนี้อุ่นอยู่ไหน’
“อยู่หน้าโรงอาหารนอก”
“ไม่ว่างไม่ต้องมาก็ได้พี่ทิตย์” พูดอย่างกับตัดพ้ออยู่เลยครับ นี่ผมเป็นบ้าอะไรเนี่ยยยย อยากจะตบตีตัวเองแรงๆหลายๆครั้งเพื่อเรียกสติมากเลยครับ
สายถูกตัดไปทั้งที่พี่ทิตย์ไม่ได้ตอบกลับอะไรมาอีก ผมก็ได้แต่ยืนรอตาปริบๆ ยืนอยู่สักพักพี่ทิตย์ก็เดินหน้ามึนมาหาผม อยู่ๆก็พาลอายขึ้นมายังไงก็ไม่รู้สิครับ พี่ทิตย์เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าผมแล้วเลิกคิ้วอย่างสงสัยแล้วก็ไม่ได้พูดอะไรอีกผมเลยเดินนำเข้าไปในโรงอาหารโดยพี่ทิตย์ก็เดินตามมาติดๆครับ
“เป็นอะไรอุ่นทำไมต้องทำหน้าบึ้ง” พี่ทิตย์ที่ยืนต่อแถวอยู่ด้านหลังผมถามขึ้นครับ ผมเงียบแล้วก็หันกลับไปมองหน้าพี่ทิตย์
“พี่ทิตย์ว่าผมงี่เง่าปะ” ผมผมพึมพำกับตัวเองครับ แล้วก็คิดว่าพี่ทิตย์คงไม่ได้ยินเลยหันกลับไปสั่งข้าวแทนที่จะสนใจพี่ทิตย์ครับ
สั่งข้าวเสร็จอะไรเสร็จก็มีนั่งจ้องหน้ากันเหมือนกับหลายๆวันที่ผ่านมา ผมรู้สึกดีอยู่เหมือนกันครับที่มันยังเหมือนเดิม ติดตรงพี่ทิตย์มันยิ้มบ้าอะไรก็ไม่รู้อยู่นั่นล่ะครับ
“เมื่อกี้ตอนซื้อข้าวอุ่นพูดว่าอะไรเหรอ” ผมยักไหล่ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้แล้วยัดข้าวเข้าปากไปครับ
“ถ้าวันอื่นพี่โดดเรียนมากินด้วยไม่ได้แบบวันนี้จะหน้าบึ้งอีกหรือเปล่า”
“เหรอ ก็เห็นพี่ทิตย์ว่างเดินกับ…” กริบ กริบเลยครับ ผมชะงักคำพูดตัวเองแทบไม่ทัน ไม่รู้วิญญาณอะไรมาสิงผมผมเลยพูดอะไรไม่ได้คิดออกไปแบบนั้น ผมแสร้งไม่สนใจตักข้าวเข้าปากไปเรื่อยๆครับ พี่ทิตย์แม่งก็ไปอารมณ์ดีมาจากไหนอีกล่ะ ยิ้มไม่หุบเลยครับ ยิ้มจนผมอยากจะบ้า
“ไอ้เด็กขี้หวง”
“อะไร หวงอะไร”
“เปล๊า”
เกลียดความรู้สึกตอนนี้มากเลยครับ มันเหมือนผมโดนพี่ทิตย์ต้อนให้จนมุมยังไงก็ไม่รู้สิครับ เหมือนผมกำลังจะแพ้อีกต่างหาก เกลียด เกลียดความรู้สึกแบบนี้จริงๆนะครับ พี่ทิตย์เริ่มเข้ามามีอิทธิพลกับผมอีกแล้ว
“พรุ่งนี้ดูหนังกันไหม” ผมเลิกคิ้วแล้วเท้าคางกับโต๊ะมองหน้าพี่ทิตย์ที่อยู่ๆก็ชวนขึ้นมาครับ
“เรื่องอะไร” ผมถามกลับพี่ทิตย์ก็ยักใหล่ใส่ครับ พรุ่งนี้วันเสาร์ค่าหนังแม่งแพงครับ ผมล่ะอยากถามว่าเลี้ยงผมไหมล่ะก็เกรงใจครับ ผมได้จากพี่ทิตย์ตั้งหลายอย่างแล้วด้วย ก็เลยได้แต่นั่งกะพริบตาปริบๆมองหน้าพี่ทิตย์นิ่งครับ ก็แกลบอ่ะครับ ร้อยสองร้อยก็มีค่านะเว้ยยย
“อาทิตย์! มานั่งกินข้าวอะไรเนี่ย ไปช่วยเค้าทำงานเลย” แล้วก็ต้องกลอกตาไปมาพร้อมหันมองต้นเสียงก็เห็นว่าเป็นพี่ผู้หญิงคนเดิมครับ เนื้อหอมชิบหาย ผมชักจะหมั่นไส้แล้วนะคับ
“ทำตรงนี้เลยไหม เดี๋ยวก็ต้องส่งอยู่แล้วขึ้นไปก็เสียเวลานะ” ผมเอียงคอมองพี่เขาที่หอบกระดาษร้อยปอนด์พร้อมกับปากกาสีหลายแท่งและหนังสืออีกสองสามเล่ม ก็พอจะเดาออกว่าทำมายแมพครับ ว่าแต่งานคู่เหรอ
พี่ทิตย์ดันจานข้าวออกห่างแล้วหยิบหนังสือมาอ่านให้พี่เขาเขียนลงไปในกระดาษ ผิดไหมครับที่ผมหมั่นไส้ภาพตรงหน้าเอามากๆจนแทบไม่อยากจะนั่งอยู่ตรงนี้ ขนาดเรียกพี่ทิตย์มาแวยังตามมาหลอกหลอนกันอี๊ก แต่มันก็ไม่มีอะไรนี่หว่า เขาไม่ได้จะแย่งพี่ทิตย์ซะหน่อย ก็แค่ทำงานเฉยๆ
แล้วทำไมสภาพผมมันเหมือนหมาขู่แบบนี้วะ
“เป็นอะไรอุ่น หน้าบึ้งอีกแล้ว” เหมือนรู้แต่ก็ยังแหย่ผมครับ ผมแสร้งทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ไปแทน
ถ้าบอกไปว่าผมหวง
บอกไปผมก็แย่สิครับ
____________________________________________________________________
น้ำอุ่นมันร้ายยย
มาช้าอีกแย้ววว ขอโทษจริงๆค่า เป็นมนุษย์เตรียมแอดมีอะไรวุ่นวายให้คิดตลอดเลย แฮะๆ
ขอบคุณทุกๆบวกเป็ด ทุกๆยอดวิว ทุกๆคอมเมนต์ไม่ว่าจะในเล้าหรือในทวิตนะคะ เป็นกำลังใจชั้นดีเลยล่ะค่ะ
ทวงได้เสมอน้า ใครที่ไม่มีแอคเล้าเป็ดเราฝากแท็ค #น้องครับยืมตังหน่อย ด้วยน้า
รักทุกคนเลยยย