At First sight สบตาครั้งแรก ก็จำได้แล้วผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีดำสนิทยาวกว่าเพื่อนรุ่นเดียวกัน หน้าไทย คมเข้ม รายล้อมไปด้วยเพื่อนกลุ่มใหญ่แต่กลับโดดเด่นขึ้นมาคนเดียว นั่งถัดจากผมไปอีกแถว คุยกันเสียงดังแต่เมื่อวีดีโอสอนพิเศษของโรงเรียนกวดวิชาที่แขวนอยู่บนหัวเริ่มบรรยายก็เงียบลง แม้จะดูไม่ตั้งใจเรียนเท่าไร แต่ก็ไม่รบกวนคนอื่นในคลาสเดียวกัน
เราบังเอิญสบตากัน เมื่อผมมองไปทางนั้น และเขาก็มองกลับมาพอดี
ขึ้นชั้นมอหกแล้ว เด็กวัยรุ่นส่วนมากถูกจับเข้าเรียนพิเศษเหมือนโรงงานผลิตเครื่องยนต์โง่ ๆ เตรียมประกอบทอดตลาดต่อไป มองหน้าเซื่องซึมของแต่ละคน ต่างปรากฏซึ่งความอ่อนล้าในแววตาไม่ต่างกัน
ผมหมุนปากกาในมือ ไม่ได้อยากเรียนเท่าไรแต่ถูกกดดันไว้เยอะ พ่อเปิดร้านขายของ แม่ก็เช่นกัน พี่ชายเรียนคณะวิศวกรรมศาสตร์ สิ่งที่เขาคาดหวังไว้กับผมคือแพทย์เท่านั้น ไม่มีตัวเลือกอื่น
ใครเป็นคนกำหนดให้ชีวิตคนเราเป็นแบบนั้นแบบนี้กันนะ
บางทีพ่อแม่อาจเป็นพระเจ้า...“มาก่อนคนอื่นอีกแล้ว”
เสียงนั้นทัก เมื่อใครบางคนปิดประตูห้องสี่เหลี่ยมที่เปิดแอร์เย็นฉ่ำ ผมลงเรียนกวดวิชารอบเช้าสุดของวันเสาร์อาทิตย์ ยาวไปจนถึงสองทุ่ม มีเพื่อนเรียนด้วยบ้างบางวิชา แต่สำหรับวิชาหนัก ๆ แบบเคมีเป็นคนเดียวที่ลงไว้เสียเช้าตรู่ขนาดนี้
“แว่น นั่งด้วยดิ”
ผมเหลือบมองเขา แน่ชัดว่าประโยคเมื่อครู่จงใจพูดกับผม ในห้องนี้ไม่มีใคร รู้ตัวดังนั้นก็เผลอดันแว่นสายตาที่ถูกเรียกแทนชื่อตัวเองขึ้นชิดจมูก โกยหนังสือกับกระเป๋าสัมภาระข้างตัวไว้บนตัก ทั้ง ๆ ที่ห้องเรียนออกจะกว้างแบบนี้กลับเลือกที่จะมานั่งด้วยกัน ผมเหลือบมองเขา แน่ใจว่าปกติไม่ได้เรียนคลาสนี้
“กูจำมึงได้ ที่เรียนฟิสิกส์คลาสเดียวกันตอนสิบโมง”
“อ่าฮะ”
ก็เป็นครั้งแรกที่ผมเจอหมอนี่นั่นแหละ แปลกใจนิดหน่อยที่เขาจำผมได้เหมือนกัน เขาอยู่ในกลุ่มคนที่เสียงดังเสมอ ๆ ในนั้นกอรปด้วยหญิง-ชายหน้าตาดี ถึงแบบนั้นคู่สนทนาก็เป็นคนที่ดึงดูดสายตาที่สุด ไม่ใช่หล่อเหลาเสียจนควรมีแมวมองมาทาบทาม แต่บรรยากาศรอบ ๆ ตัวดูคล้ายจะสะกดทุกสายตาให้จับจ้องไปที่ตัวเอง อัธยาศัยดี ยิ้มง่าย ถึงหน้าตาคมคายแค่ไหนก็ไม่รู้สึกว่าเป็นคนดุแต่อย่างใด ดูจะทะเล้นเสียด้วยซ้ำ
“ปกติกูเรียนเย็นวันธรรมดา อาทิตย์ที่แล้วติดซ้อมกีฬาเลยไม่ได้เข้า มาชดเชยเอา ได้ยินมาว่าคลาสนี้คนน้อย”
“ก็น้อยแหละ”
“กูชื่ออรุณ” เขาแนะนำตัวเอง ยื่นกล่องหมากฝรั่งสอดไส้กลิ่นหอมมาให้ ถ้าจะเดาก็คงเป็นกลิ่นเดียวกับที่ลอยมาเมื่อเจ้าตัวชวนคุยเรื่องสรรพเพเหระ “แก้ง่วง”
“ขอบใจ แต่ไม่เอาดีกว่า”
ยิงฟันโชว์เหล็กดัดสีฟ้าอ่อนให้อีกฝ่ายดู แล้วเขาก็หัวเราะ เป็นรอยยิ้มเดียวกับเวลาที่อยู่กับเพื่อน ๆ พวกนั้น หัวเราะทั้งตาทั้งปาก ยิ้มจนตาโต ๆ ถูกแก้มดันขึ้นไปจนหยี มีความสุขเสียจนน่าอิจฉา
“เออ เพิ่งเห็นคนดัดฟันแล้วน่ารักก็วันนี้ ไม่คิดจะบอกชื่อหน่อยหรือไง”
“เปา”
“ซาลาเปา?”
“คล้าย ๆ”
“เออ คล้ายจริง” พูดพลางด้วยแววตาวิบวับ เสียงประตูเลื่อนดังอีกครั้งถึงได้ละสายตา “เรียนที่ไหน”
“โรงเรียนแถวนนท์นู่น”
“เหรอ มาไกลเลยสิ”
“ไม่ไกลเท่าไร บ้านอยู่แถวนี้”
“คนละเรื่องกับกูเลย”
อรุณไหวไหล่ เคี้ยวหมากฝรั่งหยุบหยับ เพิ่งสังเกตเห็นตอนนี้ว่าหูซ้ายอีกฝ่ายมีรอยเจาะ กับช่องระหว่างนิ้วชี้กับกลางข้างขวามีรอยสักรูปดาวหกแฉกเล็ก ๆ ซ่อนไว้ ท่าทางเฮี้ยวไม่เบา
“เรียนแถวนี้ แต่บ้านอยู่สุดสายแอร์พอร์ตลิงค์เลย”
“ถ้าอย่างนั้นก็น่ามาเรียนกวดวิชาเย็นวันธรรมดา”
“ไม่ได้หรอก ตอนเย็นมีซ้อมกีฬา มีแต่เคมีนี่แหละที่ไม่อยากตื่นเช้ามาเรียนจริง ๆ เลยลงไว้วันอังคาร-พฤหัส”
“จะแอดฯ อยู่อีกไม่กี่เดือนแล้วยังเล่นกีฬาอยู่อีกเหรอ”
สายตาผมจับจ้องไปที่นาฬิกาหนังสีดำของอีกฝ่าย ค่อนข้างมีราคา ที่จริงแล้วกลุ่มเพื่อน ๆ เขาก็เป็นลูกคุณหนูทุกคน “ที่จริงมีที่เรียนแล้ว”
“เหรอ” โชคดีชะมัด “แล้วยังต้องเรียนพิเศษอีกทำไม”
“ไม่ใช่คนหัวดี แต่ดันได้ทุนนักกีฬาน่ะ เลยต้องพยายามหน่อย ไม่ชอบสายวิทย์เสียด้วย แต่วิทย์กีฬาก็ไม่แย่อะไร มึงล่ะ อยากเป็นหมอล่ะสิ”
“เปล่า” ผมปฏิเสธ ความจริงคือสิ่งที่ไม่เคยพูดออกไป ไม่แน่ใจว่าใครอยากรับฟัง แต่ผลการเรียนที่ผ่านมาตั้งแต่ประถม จนถึงมัธยมเทอมล่าสุดก็ทำให้ทุกคนเห็นพ้องไปในทิศทางนั้นอย่างช่วยไม่ได้ “อยากเรียนดุริยางคศิลป์”
“เอาเหล็กดัดฟัน กับถอดแว่นสายตาออกก็น่าจะเป็นบอยแบนด์ได้สบาย ๆ เดี๋ยวนี้เขาฮิตเกาหลี ๆ”
“เกาหลีห่ะอะไรล่ะ เจ๊กก็บอกเจ๊ก”
“มึงนี่กวนตีนเหมือนกันนะ” ก็เฉพาะกับบางคนเท่านั้นแหละ ที่โรงเรียนกับที่บ้านเรียบร้อยอย่าบอกใคร “ทำไมถึงอยากเรียนดุริยางค์ เล่นดนตรีเป็นหรือไง”
“พอเล่นกีตาร์ได้”
“อย่างนี้ต้องวัดมือหน่อยแล้ว เลิกเรียนแล้วไปดูกูซ้อมดนตรีสิ จะลองขอเพื่อนให้ลองเล่นดู”
“มีเรียนต่อ” ยาวจนถึงเที่ยงครึ่งนั่นแหละ ได้พักหายใจสามสิบนาทีแล้วก็เรียนอีกตัวจนมืดแล้วพี่ชายก็มารับ “เรียนตัวเดียวกันไม่ใช่หรือไง”
คู่สนทนาหัวเราะอย่างไม่รู้สึกผิด
“โดดตัวเดียว พ่อมึงไม่รู้หรอกน่า”
ผมไม่ตอบ แต่ในใจครุ่นคิด อาจารย์ในโทรทัศน์เริ่มสอนแล้ว แม้คนเข้าเรียนจะยังไม่ถึงครึ่งห้อง แต่ทีวีดิจิตอลคงไม่รู้สึกอะไรเมื่อพูดไปแล้วไม่มีใครฟัง
“คนนี้ชื่อธีร์ มือเบส โป้ มือกลอง ภัทร นักร้องนำ”
ผมไล่ชื่อทีละคนทวนอีกครั้ง เพิ่งรู้ตอนนี้ว่าอรุณเป็นมือกีตาร์ ฟอร์มวงกันมาตั้งแต่ ม.2 เริ่มต้นจากเล่นในงานโรงเรียน จนพักหลัง ๆ ที่ขึ้นประกวดตามงานเทศกาลดนตรีต่าง ๆ ด้วย
“เล่นจริงจังกันเลยปะ” ผมถาม ลองจับกีตาร์คู่ในอรุณที่ฝากโป้แบกมาด้วยช้า ๆ ห้องซ้อมดนตรีที่เช่าไว้ไม่ห่างจากโรงเรียนกวดวิชามากนัก แต่โป้เป็นคนเดียวที่มีรถส่วนตัวมาส่ง คนอื่น ๆ เลยพากันฝากของไว้ที่รถมันด้วยความเต็มใจ
“หลัง ๆ ก็ไม่ ไอ้รุณมันติดซ้อมกีฬา” นักร้องนำเป็นคนตอบ ยิ้มกรุ้มกริ่มมาในที “แล้วนี่ชื่ออะไร เป็นอะไรกับไอ้รุณอะ”
“ชื่อเปา” อรุณตอบแทน ส่วนประโยคหลังผมเป็นคนพูด “เป็นเพื่อน”
“ไอ้รุณมันป๊อบนะแว่น” ฟังแล้วก็ไม่รู้สึกแปลกใจ หน้าตาก็ไม่ได้ขี้ริ้ว หุ่นดี เป็นนักกีฬา แถมพ่วงด้วยเป็นนักดนตรีอีกต่างหาก “ที่โรงเรียนแฟนคลับมันให้รึ่ม”
“โรงเรียนชายล้วนไม่ใช่รึ” ผมเลิกคิ้วถาม เหลือบตามองคนพูดสลับกับผู้ถูกกล่าวถึง ทุกคนล้วนซ่อนรอยยิ้มไว้ที่มุมปากก่อนระเบิดหัวเราะออกมาในเวลาติด ๆ กัน
“ปกติอรุณไม่เคยพาใครมาห้องซ้อมนอกจากคนที่มันเล็งไว้”
ผมเกากีตาร์ในมือ เข้าใจความหมายที่โป้พยายามบอก แต่ก็สนใจและไม่สนใจไปพร้อม ๆ กัน
ไม่สนใจในที่นี้หมายถึงผมไม่สนใจคำพูดของโป้
ขณะเดียวกัน ผมสนใจในตัว
อรุณลมหนาวพัดโชยมา หลายสัปดาห์แล้วที่ผมหาเวลาโดดเรียนไปขลุกอยู่ในห้องซ้อม ไม่ใช่แค่ดนตรี แต่ผู้ชายคนนั้นด้วยต่างหากที่ชักจูงผมออกนอกกรอบที่ถูกขีดไว้แต่แรกได้อย่างง่ายดาย
“ลองเพลงนี้ดิ เพิ่งแกะคอร์ดมาเมื่อคืน”
สมุดไม่มีเส้นสภาพยับเยินถูกโยนมาก่อน ต่อจากนั้นคือเจ้าของเสียงปีนข้ามเก้าอี้เล็ก ๆ มาพร้อมกีตาร์โปร่ง ผมไม่มีของแบบนี้ อาศัยเล่นของเพื่อนที่โรงเรียนแล้วลักจำเป็นครั้งคราวแต่อรุณมีหมด ไม่ว่าจะรุ่นที่หายากขนาดไหน หรือราคาแพงเท่าไรก็ตาม
“พื้นฐานมึงดี ซ้อมสักวันสองวันก็เป็นแล้ว อ้อ อาทิตย์หน้ามีเปิดหมวกที่อนุสาวรีย์ หาเงินไปสร้างห้องสมุด ไปด้วยกันดิ”
“ทั้งวันเลยเหรอ”
“ตั้งแต่ 10 โมงจนถึง 6 โมงเย็น มึงกลับมานี่ก่อนสองทุ่มยังไงก็ทัน พี่ชายมารับตอนนั้นไม่ใช่เหรอ เดี๋ยวมาส่ง”
ผมพยักหน้า ความรู้สึกตอนโดดเรียนครั้งแรกทั้งหวาดกลัวและตื่นเต้น พอผ่านมาหลายครั้งทุกอย่างก็ดีขึ้น ปกติ ชินชา เปลี่ยนสถานที่จากห้องสี่เหลี่ยมที่เต็มไปด้วยผู้คนวัยคะนองแต่ถูกจับมานั่งสงบเสงี่ยม ไร้ปฏิสัมพันธ์เป็นอยู่กองรวมกันกับกลุ่มเพื่อนใหม่ที่ระเบิดธรรมชาติของวัยรุ่นออกมาได้เต็มที่ เงยหน้ามองเพื่อนตัวดีที่พาใจแตกแล้วก็รู้สึกว่าเขาเปลี่ยนไปกว่าเมื่อก่อนเล็กน้อย รอยเจาะหูนั่นก็สวมตุ้มหูสีดำที่เจ้าตัวอ้างว่าวันนั้นตื่นเช้าเลยลืมสนิททั้ง ๆ ที่ปกติถอดแค่ในโรงเรียนแต่นั่นไม่ใช่ประเด็น การที่อีกฝ่ายมาคลุกคลีด้วยบ่อย ๆ ต่างหากทำให้เห็นอะไรมากกว่าคนอารมณ์ดีทั่วไป อรุณอบอุ่น ใส่ใจคนรอบข้าง ใส่ใจมากเสียยิ่งกว่าคนในครอบครัวเดียวกันบางครอบครัวเสียด้วยซ้ำ
“หิวแล้วเหรอ”
คนถูกมองถาม พอเงยเป็นฝ่ายหน้าสบตาตรง ๆ บ้างจุกทรงน้ำพุที่มัดไว้ตรงกลางกระหม่อมเปลี่ยนทิศโงนเงนไปด้านหลัง เพราะเป็นนักเรียนโรงเรียนเอกชนเลยถือวิสาสะไว้ผมยาวกว่าคนอื่น คนในวงก็เหมือนกัน แต่ไม่มีใครยาวเฟื้อยดูศิลปินสมใจอยากเต็มตัว
“มองไม่เลิก ถามก็ไม่ตอบ จะเอาอะไร”
“ก็แค่อยากมอง”
“แค่อยากมองไม่ได้ ต้องมีอะไรมากกว่านี้”
“มหาวิทยาลัยที่นายได้โควตา มีคณะแพทย์ด้วยใช่ไหม”
“มี” เขาเงียบไปชั่วอึดใจ แก้มสีเข้มขึ้นสีเลือดฝาด ถ้าสังเกตดี ๆ จะสามารถเห็นความเปลี่ยนแปลงได้ชัด
“ถามทำไม อย่าถามให้ได้ใจนะเฟ่ย” พูดสลับกับหัวเราะแก้เก้อ “ถูกจีบอยู่รู้ตัวไหมเนี่ย”
“รู้...ก็แล้วให้ทำไง”
“คิดยังไงเล่า”
“อยู่ด้วยทุกวันยังต้องให้บอกอีกเหรอ”
“บอกดิ” ว่าพลางเกากีตาร์เป็นคอร์ดเพลงแค่บอกให้เธอรู้ แต่สายตาจับจ้องมาที่ผม สีดำสนิท รับกับขนตายาว สบตาตรง ๆ แล้วรู้สึกยุกยิกในใจบอกไม่ถูก ผมไม่ตอบ ซ่อนรอยยิ้มไว้ที่มุมปาก เรื่องแบบนี้ไม่เคยคิดมาก่อน แต่ก็ไม่ใช่ไม่คิด เข้าใจว่าไม่ถึงกับรัก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ารู้สึกดี ดีมาก ๆ เสียด้วย
.
.
.
.
“ไว้หลังงานเปิดหมวกบอกอีกทีแล้วกัน”
ผมมีพี่ชายหนึ่งคน ชื่อเฮียปิง อายุมากกว่าผมสี่ปี ดังนั้นผมที่อายุ 18 ปีบริบูรณ์ในตอนนี้จึงมีพี่ชายที่สามารถพึ่งพาได้พอสมควร เป็นผู้ชายขาว ตี๋ รูปร่างผอมบางไม่ต่างกัน ผมเส้นเล็กสีดำสนิทถูกตัดเป็นทรงตามสมัยนิยม บ้านเราไม่ใช่คนฐานะดี แต่เพราะเฮียปิงสอบเข้ามหาวิทยาลัยตามที่ป๊ากับแม่ต้องการได้เลยได้นิสสันมาร์ชสีเขียวอ่อนเป็นรางวัลหนึ่งคัน โดยพ่วงภาระหนึ่งอย่างคือต้องคอยรับส่งผมเท่าที่จะสามารถทำได้ ความจริงก็ไม่ได้ลำบากอะไร ผมอึดอัดบ้าง แต่ก็ไม่เกินที่จะทน
....ถ้าเพียงแต่ วันนี้ที่นั่งข้างคนขับไม่มีอาแปะผมสีดอกเลานั่งหน้าถมึงทึงอยู่ด้วย
“ป๊าหวัดดี เฮียปิงหวัดดี ไปไหนกันมา”
“พาป๊ามาซื้อรองเท้าที่พารากอน วันก่อนที่เป็นรองช้ำไปหาหมอเขาแนะนำว่าให้เปลี่ยนรองเท้า”
“อ้อ” ผมครางรับในลำคอก่อนจะปล่อยให้บทสนทนาสิ้นสุดลง ผมเป็นคนพูดไม่เก่ง เฮียปิงกับป๊าก็เช่นกัน แม่ดูเป็นคนเดียวที่ทำให้บรรยากาศในบ้านดีขึ้น ผมเป็นคนดื้อเงียบตั้งแต่เล็ก พูดให้ถูกคงคล้ายเด็กที่เก็บกดมากกว่า เฮียปิงเป็นคนเก่ง เป็นลูกชายคนโตที่เชิดหน้าชูตาบ้าน และแม้ว่าผมจะดีกว่าเฮียสักเท่าไรก็ไม่เคยพอในสายตาป๊า ‘ดูอย่างอาปิงซิ’ ผมฟังประโยคนี้ตั้งแต่เล็กจนโตทั้ง ๆ ที่เฮียไม่เห็นจะดีกว่าผมตรงไหน ไม่ว่าจะเป็นการเรียนหรือความคิดความอ่าน เป็นอาปิงของป๊าที่ตามใจป๊าได้ทุกเรื่องก็เท่านั้น
รถเคลื่อนตัวผ่านความกดดันทั้งหมดทั้งมวลมาจนถึงรั้วบ้าน ผมเป็นคนลงไปเปิดและปิดประตู แล้วค่อยกลับเข้ามาหยิบกระเป๋าพาดบ่า เมื่อผมขึ้นมอปลาย ความห่างเหินเกิดขึ้นชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ หลายคนบอกว่าเป็นไปตามช่วงวัย ผมกับป๊าคนละเจ็นฯ และเป็นรุ่นอายุที่เป็นปฏิปักษ์กันรุนแรงที่สุด และดูเป็นแบบนั้นชัดเจนขึ้นเมื่อผมเติบโตและเขาแก่ตัวลง
“อาเปา อั๊วมีเรื่องจะพูด”
ผมทำหน้าเหนื่อยหน่าย หยุดเท้าที่ก้าวเตรียมขึ้นห้องส่วนตัวแต่ไม่หันหลัง แม่ได้ยินเสียง เดินออกมาจากห้องครัวเตรียมห้ามทัพเหมือนทุกที
“โดดเรียนมานานแค่ไหนแล้ว”
“ป๊าพูดอะไร”
“อั๊วเห็นลื้ออยู่กับไอ้จับกังนั่น ตัวสูง ๆ เจาะหู สูบบุหรี่ด้วย ทำตัวเละเทะแบบนี้จะเอ็นฯ ติดไหม หมอน่ะ”
ตัวผมชาวาบ เหลือบตามองเฮียปิงที่ทำท่ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกไม่ต่างกัน
“เลิกคบกับมันซะ แล้วเสาร์อาทิตย์ก็ให้อาปิงไปเฝ้าที่เรียนทุกวัน”
“ป๊าพูดอะไร”
“พูดเรื่องที่ลื้อต้องทำ เอาโทรศัพท์มานี่”
“อั๊วไม่ให้”
“อาเปา ลื้ออย่าดื้อ”
“มันจะมากเกินไปแล้ว ป๊าจะมาห้ามอั๊วไม่ให้คบเพื่อนไม่ได้นะ อั๊วไม่ใช่ตุ๊กตาที่ป๊าเลี้ยงนะ”
“ก็หัดคบเพื่อนดี ๆ บ้างสิวะ ไอ้กุ๊ยแบบนั้น คบไปก็มีแต่พากันฉิบหาย”
“รุณไม่ใช่กุ๊ย เขาแอดฯ ติดแล้วด้วยซ้ำ ป๊าไม่รู้หรอกว่าเขาเจ๋งแค่ไหน ป๊าอย่าตัดสินคนที่ภายนอกสิวะ อรุณเจ๋งกว่าอั๊ว เจ๋งกว่าเฮียปิงด้วยซ้ำ เจ๋งกว่าป๊าที่เอาแต่หัวโบราณไปวัน ๆ อีก”
ผัวะ!“มันจะมากเกินไปแล้วนะไอ้เด็กนี่ เพราะคบเพื่อนแบบนี้ไงล่ะถึงติดนิสัยกุ๊ยแบบนี้มา”
ประโยคนั้นไม่เจ็บเท่าความรู้สึกเมื่อหมัดหนัก ๆ กระแทกเข้าที่สันกราม หน้าผมเอียงเล็กน้อย แน่นิ่ง รู้สึกหูอื้อไปหมด เจ็บเป็นพิเศษบริเวณที่แหวนทองของป๊ากระทบแก้ม เสียงกรีดร้องของแม่ดังขึ้น เมื่อเบือนหน้ากลับมาก็พบว่าเฮียปิงล็อกแขนป๊าเอาไว้ แม่ดึงไหล่ผมให้ห่างออกมา ไม่กี่นาทีจากนั้นป๊าก็กระโดดถีบทั้ง ๆ ที่ยังถูกมัดตัวเอาไว้แน่นหนา ได้กลิ่นคาวคลุ้งในโพรงปาก รสเค็มปร่าของเลือดติดอยู่ที่ปลายลิ้น
“เปา อย่าโกรธป๊านะลูก ป๊าแค่โมโห”
“อย่าไปปลอบมัน อาแก้ว เอามือถือมันมา อย่าให้ติดต่อกับไอ้เด็กนั่นได้อีก”
“ป๊าห้ามอั๊วไปก็เท่านั้น อั๊วเลิกคบกับรุณได้ ป๊าห้ามอั๊วได้แน่นอน จะผูกอั๊วไว้กับเตียง ขังไว้ในห้องไม่ให้เห็นเดือนเห็นตะวัน ป๊าอยากทำอะไรกับร่างกายอั๊วก็ได้ แต่อั๊วบอกไว้ก่อน เรื่องหนึ่งที่ป๊าไม่มีวันห้ามอั๊วได้ อั๊วเป็นเกย์ อั๊วชอบรุณ และอรุณดูแลอั๊วได้ดีกว่าป๊าทำตั้งหลายเท่า”
ผมปากระเป๋าเป้ลงพื้น หนังสือจากโรงเรียนกวดวิชากระจายเรี่ยราด เสียงของป๊าและแม่เงียบไป ทุกคนไม่ขยับ จับจ้องสายตามาที่ผมราวกับขอคำอธิบายเพิ่มเติม
“วันหนึ่ง อั๊วก็กลับไปคบกับรุณอยู่ดี”
พูดแค่นั้นแล้วสาวเท้าก้าวไป ความรู้สึกที่อัดอั้นแน่นอยู่ในอกคล้ายปริแตก ระเบิดออกมาทุกอณู หัวผมโล่งไปหมด ขณะเดียวกันก็ทุกข์ใจ ก่อนที่เสียงเฮียปิงจะเรียกไว้ไม่ให้สองขาก้าวไปไหน
“เปา! เรียกรถพยาบาล ป๊าช็อก”.
.
.