“เชิญครับ รกหน่อยนะ”
เขาผายมือเชื้อเชิญแขกอย่างผมให้เข้าไปในห้องเมื่อเรามาหยุดอยู่หน้าประตูที่มีป้ายหมายเลขห้องแปะไว้ชัดเจนว่า ‘410’ ผมพยักหน้ายิ้มให้ พลางเดินตามเข้าไป
“อยู่คนเดียวหรือครับ”
“ใช่ครับ”
เขาหันมายิ้มตอบ ผมเลยถือวิสาสะเดินไปนั่งบนโซฟ้าตัวหนึ่งที่จัดไว้บริเวณที่คาดว่าเป็นห้องรับแขก มองดูอีกคนที่กำลังจัดหนังสือนิตยสาร รวมทั้งหนังสือพิมพ์ต่างๆ ไว้ให้เรียบร้อยมากขึ้น
“ดื่มอะไรดีครับคุณวินท์”
“น้ำเปล่าก็ได้ครับ...แล้วก็เรียกผมว่าวินท์ก็ได้ อย่ามาคงมาคุณกันเลย”
“ครับ สักครู่นะครับ”
ศิรภัทรว่าไว้แค่นั้น ก่อนเจ้าตัวจะเดินไปเปิดตู้เย็นเล็กๆ ที่วางอยู่ไม่ไกลนัก ผมหันมองไปยังรอบๆ ห้องอย่างสำรวจ จะว่าผมถือวิสาสะก็ใช่ล่ะ
ห้องนี้ตกแต่งสไตล์เรียบๆ หากดูสบายตา ผนังทุกด้านเป็นสีฟ้าอ่อน รับกับโซฟาตัวสีฟ้าที่ผมกำลังนั่งอยู่ มีโต๊ะรับแขกตัวเล็กระหว่างโซฟาทั้งสามด้าน ผ้าม่านลายดอกไม้เล็กๆ สีฟ้าอ่อนเช่นกัน
“ได้แล้วครับ”
“ขอบคุณครับ”
ผมรับแก้วน้ำทรงสูงมาจากมืออีกคน ศิรภัทรเดินมานั่งยังโซฟาตรงข้ามกับผม ผมก้มลงดื่มน้ำที่อีกคนอุตส่าห์นำมาให้ ก่อนจะวางแก้วลง หันไปมองนาฬิกาบนผนังก็เลยได้เวลาลากลับ
“งั้นผมกลับก่อนนะครับ”
“อ้าว...เพิ่งขึ้นมาทำไมรีบกลับล่ะครับ”
“อ๋อ พอดีผมนึกได้ว่ามีธุระน่ะครับ เอ...หรือผมจะอยู่กับคุณต่อดี คุณต้องเหงาแน่ๆ ใช่หรือเปล่าครับ”
ผมว่าพลางทำสายตาเจ้าเล่ห์ใส่ ก็เลยได้ค้อนวงโตตอบกลับมาเสียนั่น ผมหัวเราะขำ ก่อนจะพาตัวเองไปยังประตู
“ขอบคุณมากนะครับ สำหรับเสื้อผ้า ไว้ผมจะซักมาคืนให้”
“ครับ ไม่ต้องรีบก็ได้”
“งั้นผมกลับล่ะครับ ไม่ต้องไปส่งหรอก”
“ครับผม”
ศิรภัทรยิ้มให้ ผมจึงยิ้มตอบพร้อมทั้งกล่าวลา
ถึงแม้ไม่ได้คุยกันมากมาย...หรือคบกันมาเป็นปีๆ แต่แปลกที่ผมกลับรู้สึกดีกับคนตรงหน้าเป็นพิเศษ
หรือสายฝนจะส่งคนบนฟ้า
...คนที่เฝ้าใฝ่หามาตลอดมาให้กันนะ
---
“สวัสดีครับ”
เสียงที่ถูกส่งมาจากหลังเคาน์เตอร์ทำให้ผมยิ้มออก เสียง ‘คนบนฟ้า’ ที่สายฝนส่งมาให้ผม
“สวัสดีครับ”
“ครับ...วันนี้ไม่มีงานหรือครับ”
“อ๋อ...พอดีไปพบลูกค้ามา คงไม่เข้าบริษัทแล้วล่ะ”
ผมว่าพลางเดินนั่งยังโต๊ะประจำ ทุกวันนี้ผมมักจะแวะเข้ามาทานกาแฟ หรือของว่างเล็กๆ น้อยๆ หลังเลิกงาน จะเพราะด้วยกาแฟรสนุ่มกับขนมอร่อยๆ หรือเพราะคนตรงหน้าคอยบริการผมก็ไม่ค่อยแน่ใจในตัวเองเท่าไหร่นัก
“นั่งด้วยกันก่อนสิ”
“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวพัทต้องทำงานก่อน”
สรรพนามที่ใช้ในการเรียกเปลี่ยนไป เมื่อผมกับเขาสนิทกันมากขึ้น จากที่คอยแทนตัวเองว่าผม ก็กลายเป็นว่าแทนด้วยชื่อตัว ดูน่ารักไปอีกแบบนะผมว่า...
จนเมื่อเหลือลูกค้าคือโต๊ะผมตัวเดียวนั่นแหละ เขาถึงมาทรุดตัวนั่งลงตรงข้ามผม
“เหนื่อยไหมพัท เห็นวิ่งวุ่นอยู่คนเดียว”
“ก็เหนื่อยนะครับ แต่สนุกด้วยแหละ”
“แล้วนี่งานไปถึงแล้วล่ะ มัวแต่ทำงานจะเสร็จไหมล่ะ”
“ก็ใกล้แล้วครับ...กำลังตรวจความเรียบร้อยน่ะครับ”
“คืนนี้ไปดูหนังกันไหม”
อยู่ๆ ผมก็เปลี่ยนเรื่องเสียดื้อๆ จนทำเอาอีกคนชะงักมองใบหน้าผมอย่างงงๆ ผมยิ้มหวานให้ พลางย้ำอีกครั้ง
“คืนนี้ไปดูหนังกับพี่ไหม เดี๋ยวเลี้ยงเอง”
“เอ่อ...”
เขาทำหน้าลังเลนิดหนึ่ง จนผมต้องถามอย่างสงสัย
“มีธุระเหรอ งั้นไม่เป็นไรไว้คราวหน้าก็ได้”
“ปะ เปล่า ไปครับ”
จากนั้นผมก็นั่งจิบกาแฟ ทานเค้กช็อกโกแลตไปพลาง มองเด็กหนุ่มทำงาน ‘คนบนฟ้า’ ที่สายฝนส่งมาให้ผม อดยิ้มน้อยๆ กับความคิดนี้ไม่ได้ ถึงจะเจอกันเพียงแค่ไม่นานนัก แต่ผมกลับรู้สึกดีกับศิรภัทรอย่างบอกไม่ถูก
แม้ศิรภัทรจะไม่ใช่คนน่ารัก หรือดูดีเสียมากมายในสายตาใครๆ แต่ผมกลับรู้สึกว่าเขามีอะไรที่ดึงดูดให้อยากเข้าไปอยู่ใกล้ๆ ให้คอยดูแลคอยเอาใจใส่
ถ้าหากความรู้สึกนี้มันคือ ‘ความรัก’ ผมก็อยากจะลองรักดูอีกสักครั้ง เมื่อมีโอกาสในตอนนี้ผมก็อยากจะฉกฉวยเอาไว้ ไม่ใช่ยืนมองปล่อยให้ทุกอย่างมันผ่านไปโดยไม่ทำอะไรเลยเหมือนคราวก่อนๆ
---
“พัท”
“ครับ?”
คนข้างๆ ผมเงยหน้าขึ้นมาจาการดูเครื่องประดับเงินรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสร้อย แหวน สร้อยข้อมือที่ตู้แสดงสินค้าตรงหน้าซึ่งเจ้าตัวดูจะสนใจเป็นพิเศษ
“ชอบเส้นนั้นเหรอ”
ผมว่าพลางชี้ไปยังสร้อยเงินเส้นหนึ่งที่มีจี้เป็นรูปพระจันทร์เสี้ยวดูน่ารักใช่หยอก
“ก็สวยดีครับ...”
“งั้นพี่ซื้อให้เอาไหม”
“เฮ้ย! พี่จะมาซื้อให้พัททำไม ไม่ต้องหรอก”
“ครับผม”
“หนังจะเข้าแล้ว พัทว่าเราไปดูหนังกันเถอะ”
ว่าแล้วศิรภัทรก็เดินนำผมไปยังบันไดเลื่อนเพื่อขึ้นไปยังโรงภาพยนตร์ที่ตั้งอยู่บนชั้นสูงสุดของห้าง
หนังที่เราเลือกดูเป็นหนังคอมมาดี้ตลกๆ ที่ผมกับเขาชอบดูเหมือนๆ กัน เราคิดตรงกันว่า หากในชีวิตประจำวันของเรามีเรื่องให้คิดเสียมากมายแล้ว เราจะมาดูหนังเครียดๆ กันอีกทำไม
เราเข้าไปในโรงเมื่อเหลือประมาณห้านาทีก่อนหนังจะฉาย ดูตัวอย่างหนังไปพลาง กินข้าวโพดถังใหญ่สำหรับสองคนและดูดแป๊บซี่ที่ซื้อเข้าไปคนละแก้วที่ศิรภัทรดื้อที่จะจ่ายให้ เพราะจะได้ ‘แฟร์ๆ’ กัน
ภาพเคลื่อนไหวตรงหน้าดำเนินไปเป็นเวลาสองชั่วโมงเต็ม หากผมคิดว่ารวมๆ แล้วผมดูไปได้แค่ครึ่งชั่วโมงได้กระมัง เพระมัวแต่นั่งมองใบหน้าของอีกคนหัวเราะร่วนกับภาพตรงหน้าอยู่แทน ดูน่ารัก สดใส แล้วก็เป็นตัวของตัวเองดีจริงๆ
มีบ้างที่คนถูกมองจะหันมาพร้อมกับเลิกคิ้วถาม แต่ผมก็ส่ายหน้าเสหันไปกลับมองหน้าจอภาพยนตร์เสียทุกครั้ง เจ้าตัวคงรู้แล้วหล่ะว่าโดนแอบมองอยู่ ไม่งั้นผมคงจะไม่สังเกตเห็นใบหน้าระเรื่อของอีกฝ่ายเมื่อโรงหนังสว่างจากแสงในจอภาพยนตร์เป็นแน่
“เดี๋ยวพัทรอพี่ตรงนี้แป๊บนึงนะ เดี๋ยวพี่มา”
“ครับ”
ศิรภัทรตอบรับพร้อมกับใบหน้างงๆ ผมเห็นเขานั่งลงตรงเก้าอี้เพื่อรอดูหน้าโรงภาพยนตร์ ก่อนผมจะวิ่งรีบกลับมาภายในสิบนาที ดีที่เขายังนั่งอยู่ที่เดิมไม่ไปไหนเสียก่อน
“ไปไหนต่อไหม”
ผมถามพร้อมรอยยิ้ม
วันนี้ผมมีความสุขจริงๆ ศิรภัทรก้มมองนาฬิกาข้อมือ
“จะห้าทุ่มครึ่งแล้วพี่ กลับกันดีกว่า”
“ครับ”
ผมพยักหน้าตกลง มันก็จริงอยู่นี่ก็ดึกแล้ว ไอ้ครั้นจะไปไหนก็คงจะไม่ได้ อีกอย่างพรุ่งนี้อีกคนต้องเปิดร้านด้วย กว่าจะตื่น กว่าจะไปที่ร้าน สายกันพอดี
ผมจัดการขับรถพาอีกคนมาส่งถึงที่ ศิรภัทรที่กำลังจะเปิดประตูลงจากรถ หันมาถามผมอย่างไม่แน่ใจ
“ว่าไงครับพัท”
“ขับรถดึกๆ อันตรายนะครับ พัทว่าพี่นอนห้องพัทก่อนไหม พรุ่งนี้ค่อยกลับ”
“อ๊ะ...”
ผมครุ่นคิดนิดนึงและก็ตกลงในที่สุด ขับรถไปจอดไว้ใต้ตึกคอนโดมิเนียม ก่อนจะขึ้นลิฟท์ไปยังชั้นสี่ซึ่งเป็นห้องพักของอีกคน
จัดการตัวเองจนเรียบร้อยเราก็มานั่งกันอยู่บนโซฟาตัวสีฟ้าหน้าโทรทัศน์ตัวเดิม หากกดรีโมตไปมาก็ไม่เห็นจะมีรายการอะไรน่าดูนัก จนแยกย้ายกันจะไปนอนแล้วนั่นแหละ
สมองผมก็ครุ่นคิดวุ่นวายไปหมด
วันนี้ดีไหม...หรือไว้ก่อนดี
วันนี้ล่ะวะ!
“พัท”
ไม่ทันเสียแล้ว สมองกำลังกลั่นกรองไหงปากมันพาเรียกอีกคนที่กำลังก้าวผ่านหน้าไปเสียแล้วนี่ หนำซ้ำยังไปจับข้อมือเขาไว้อีกต่างหาก จนคนถูกเรียกไว้หันมามองผมอย่างไม่สงสัย
แต่เมื่อตัดสินใจจะทำอะไรไปแล้ว...เราก็ต้องเดินหน้าต่อ ไม่ว่าผลมันจะเป็นอย่างไร เสี่ยงแค่ไหน แต่ถ้าสำเร็จมันก็น่าลองไม่ใช่หรือ
“พัท”
ผมเรียกชื่อคนตรงหน้าซ้ำอีกครั้ง พลางมองลึกเข้าไปในดวงตาสีสนิมของอีกฝ่าย ยกมือของเด็กหนุ่มทั้งสองข้างขึ้นมาเกาะกุมไว้อย่างมั่นคง
“รู้ใช่ไหมว่าพี่คิดยังไงกับพัท”
จนเด็กหนุ่มพยักหน้าน้อยๆ ผมจึงพูดต่อ พยายามบังคับเสียงให้หนักแน่นสื่อให้คนตรงหน้าเห็นความตั้งใจจริงของผม
“วันนี้พี่จะขอบอกพัทตรงๆ
...ผลลัพท์จะเป็นยังไงพี่ก็จะยอมรับ ขอให้พัทบอก
พี่อยากบอกว่า พี่ชอบพัทนะ”
“เอ่อ...” เกิดความเงียบขึ้นระหว่างเรา
“ขอบคุณครับที่รับฟังพี่” ผมว่าต่อเมื่อเห็นอีกคนยังนิ่งเฉยอยู่จนน่าใจหาย “งั้นพี่ไปนอนละนะ”
ผมก้มหน้าเดินผ่านไปอีกทางเพื่อจะไปยังห้องนอนอีกห้องที่เขาจัดไว้ให้ แต่เดินไม่ทันจะเกินห้าก้าว เสียงเรียกของอีกคนก็หยุดขาผมไว้เสียก่อน จนต้องหันกลับมามอง
“พี่วินท์”
“ครับ...”
“พัทก็ชอบพี่วินท์”
“ว่าไงนะ พี่ไม่ได้ยิน”
ผมว่าพลางทำหน้าสงสัย เดินไปยืนข้างหน้าอีกคน ก่อนจะมองใบหน้าใสที่ค่อยๆ เรื่อขึ้น
“พัทว่าไงนะ”
“เอ่อ...ไม่มีอะไรครับ”
“อ้าว ตะกี๊ยังบอกว่าชอบพี่อยู่เลย”
ศิรภัทรเงยใบหน้าแดงๆ ขึ้นมาถลึงตาโกรธๆ ใส่ผมอย่างรวดเร็วจนผมตกใจว่าทำอะไรผิดไป
“งั้นตะกี๊พี่วินท์ก็ได้ยินอ่ะดิ่ว่าพัทพูดอะไร แล้วยังจะมาถามอีก”
ว่าแล้วศิรภัทรก็เบี่ยงตัวจะเดินกลับห้องนอนไปด้วยใบหน้างอง้ำหากแดงก่ำในคราวเดียวกัน แต่ผมก็มือไวพอจะคว้าอีกฝ่ายมาไว้ในอ้อมกอดได้ทัน
“พี่ขอโทษนะ พี่ก็แค่อยากได้ยินพัทบอกชอบพี่หลายๆ ครั้งนี่”
“แล้วมาแกล้งพัทนี่นะ”
“พี่เปล่านะ”
ผมค่อยๆ ดันตัวเด็กหนุ่มออกจากอ้อมกอด หยิบเอาอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง ก่อนจะจัดการใส่ให้ร่างตรงหน้าอย่างรวดเร็ว
“สร้อยที่ดูเมื่อตอนค่ำ?”
“ครับ พี่เห็นพัทอยากได้ แล้วชอบไหมครับ”
“เอ่อ...ชอบครับ...”
แต่ก่อนจะอีกฝ่ายจะได้พูดอะไรต่อ ผมก็ชิงพูดตัดหน้าออกมาเสียก่อน
“พัทเป็นแฟนพี่นะครับ”
“เอ่อ...”
“นะครับ”
“ก็...ครับ”
...อึ๊บ...
“เฮ้ย! พี่วินท์ปล่อยพัทลงนะ จะมาอุ้มพัททำไมเนี่ย”
“ก็เข้าหอไง”
“เข้าหออะไรเล่าพี่วินท์ ปล่อยพัทลงเดี๋ยวนี้น้า”
“ไม่ปล่อย...”
ไม่ทันที่คนในอ้อมกอดจะได้พูดอะไรต่อ ผมก็รีบพาอีกคนสาวเท้าไปยังห้องนอนแรกซึ่งติดกับห้องรับแขกทันที
...ปัง...
(เสียงประตู)
---
เอาเรื่องสั้นมาฝากไว้หนึ่งเรื่องครับ
พอดีไปค้นเจอใน "กรุเก่าๆ" ลืมไปแล้วนะเนี่ยว่าเคยแต่งไว้ -O-
ชอบไม่ชอบยังไงก็บอกไว้ได้นะฮะ ^^
เป็นเรื่องที่แต่งไว้นานพอสมควรแล้ว หุหุ อาจจะมีคนอ่านบ้างแล้ว (มั๊ง?)
เด๋วว่างๆ จะเอาลงให้อ่านกันอีกนะฮะ
รวมทั้งเรื่องยาวด้วย รอให้มีเวลา (+อารมณ์...แต่งนะครับ ไม่ใช่อย่างอื่น) ก่อน แล้วจะมาลงนะครับ