01
ผมแอบชอบรุ่นพี่คนหนึ่ง พี่เขาชื่อ 'เทน' เป็นผู้ชายตัวสูง ผิวสีขาวเหลือง ชอบทำหน้านิ่งๆ เป็นคนที่โลกส่วนตัวสูงมาก สูงขนาดที่ว่าแทบจะไม่สนใจมนุษย์ร่วมโลกคนไหนเลยนอกจากเพื่อนตัวเอง
ผมกับพี่เทนกลับบ้านทางเดียวกัน เรามักจะเจอกันบ่อยๆ บนรถสองแถวแต่ถามพี่เขาเคยเห็นผมไหม ตอบด้วยความมั่นใจเลยว่าไม่ ทุกครั้งที่เราเจอกันพี่เทนจะสนใจแต่ไอพอดทัชของตัวเอง ใส่หูฟังฟังเพลงแล้วนั่งหลับตา บางทีก็ยืนก้มหน้าไม่ค่อยสนใจสิ่งรอบข้างสักเท่าไร เพราะฉะนั้นจะเรียกว่าเราเจอกันบนรถก็อาจจะไม่ถูกนัก เรียกว่าผมเจอพี่เขาฝ่ายเดียวน่าจะเหมาะกว่า
เราสองคนอายุห่างกันสี่ปี ผมอยู่มอสองส่วนพี่เทนอยู่มอหก ผมรู้แทบทุกอย่างเกี่ยวกับพี่เขาแต่พี่เขาคงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมมีตัวตนอยู่ในโรงเรียน
พี่เทนเป็นรุ่นพี่ที่ค่อนข้างฮอตคนหนึ่ง ผมไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงฮอตได้ขนาดนั้น ทั้งที่เป็นคนเงียบๆ หมกตัวอยู่แต่กับกลุ่มเพื่อน ยิ้มก็ไม่ค่อยยิ้ม แต่ยิ้มทีคือดีมากหวานหยดปานน้ำผึ้งเดือนห้า นักกีฬาโรงเรียนก็ไม่ใช่ กิจกรรมก็ไม่ค่อยเข้าร่วม แต่พวกผู้หญิงในห้องก็พูดถึงได้ทุกวี่ทุกวัน
จากที่ว่าถ้าคิดจะจีบคู่แข่งคงมีอยู่เยอะพอสมควร แต่เอาเข้าจริงๆ แล้วไม่เคยมีรุ่นน้องคนไหนเข้าใกล้พี่เทนในเชิงชู้สาวได้เลย นั่นอาจจะเป็นเพราะปัจจัยด้านสภาพแวดล้อมหรืออาจจะบอกได้ว่ามีกำแพงสูงโอบล้อมรอบตัวพี่เขาไว้อยู่ กำแพงที่ไม่มีใครกล้าเข้าไปใกล้
พี่เทนเรียนอยู่มอหกทับสี่ สายอังกฤษ-ฝรั่งเศษ เพื่อนในกลุ่มมีหกคนแต่คนที่สนิทที่สุดมีคนเดียว เป็นเพื่อนที่ตัวติดกันแทบจะตลอดเวลาจนสาวๆ รุ่นน้องมโนกันไปว่าพี่ทั้งสองคนเป็นแฟนกัน แต่ก็ได้รับข้อพิสูจน์แล้วว่ามันไม่จริง ถึงอย่างนั้นก็ไม่เคยมีใครคิดจะเข้าไปแทรกกลางมิตรภาพนั่นเลย ได้แต่มองดูอยู่เงียบๆ ปล่อยให้จินตนาการทำหน้าที่ของมันต่อไป
อย่างที่บอกไปว่าตอนนี้ผมอยู่มอสองส่วนพี่เทนอยู่มอหก อีกไม่กี่เดือนพี่เขาก็จะเรียนจบแล้ว ช่วงเวลาที่เหลืออันน้อยนิดนี้จะมิตรภาพความสัมพันธ์ลูกผู้ชายอะไรก็ช่างมันเถอะ ผมคนนี้แหละจะเข้าไปแทรกกลางให้ดู
ทันทีที่หมดคาบเรียนสุดท้ายผมรีบเก็บของลงใต้โต๊ะ เหวี่ยงกระเป๋าขึ้นสะพายหลังบอกลาเพื่อนแล้วเดินออกจากห้องเรียน ก้าวขาเร็วๆ ลงบันไดจากชั้นสี่ไปนั่งรอที่ม้านั่งหน้าทางขึ้นตึกเด็กมอหกซึ่งถูกแยกออกมาจากนักเรียนชั้นอื่นเพราะเป็นห้องเรียนที่มีแอร์อยู่ตึกเดียว ตึกนี้ยาวขนานไปกับถนนหน้าโรงเรียน ทางขึ้นลงมีสองฝั่งคือฝั่งประตูหน้ากับประตูหลังที่เข้าออกได้เฉพาะรถเท่านั้น
นิสัยอย่างหนึ่งของพี่เทนคือเลิกเรียนแล้วจะกลับบ้านทันที เพราะฉะนั้นรอไม่นานพี่เขาก็เดินลงมาพร้อมกลุ่มเพื่อน ผมเลยลุกจากม้านั่งเดินเนียนๆ ตามหลังไป
ทางกลับบ้านผมต้องข้ามถนนไปอีกฝั่ง กลุ่มพี่เทนถูกแบ่งเป็นสองกลุ่ม มีสี่คนข้ามถนนส่วนอีกสองคนรอที่ป้ายรถเมล์หน้าโรงเรียน แต่สี่คนที่ข้ามมาด้วยกันมีสองคนที่เดินต่อไปทางตลาดจึงเหลือแค่พี่เขากับเพื่อนสนิทสองคน
รถประจำทางไปบ้านผมมีให้เลือกสองแบบคือรถตู้กับรถสองแถว ปกติพี่เขาจะขึ้นรถสองแถวเพราะช่วงเวลาเลิกเรียนแบบนี้รถตู้จะเต็มตั้งแต่ที่อู่แถมราคาแพงกว่า พี่เทนไม่ได้บอกหรอกครับแต่ผมคิดเอาเอง เหตุผลของคนที่อยู่บ้านทางเดียวกันก็น่าจะคิดเหมือนกันอยู่แล้ว
ยืนรอไม่นานรถสองแถวสีฟ้าก็มาจอดหน้าป้าย พี่เทนบอกลาเพื่อนสนิทคู่จิ้นของสาวๆ แล้วเดินขึ้นรถ ดูไปแล้วก็เหมือนเพื่อนกันธรรมดาไม่เห็นว่าจะเหมือนแฟนกันตรงไหน ไม่รู้ใครที่ปล่อยข่าวโคมลอยจนลือกันไปทั้งโรงเรียน
ผมแอบแผ่รังสีไม่ประสงค์ดีใส่เพื่อนพี่เทนแล้วรีบตามพี่เขาขึ้นรถโดยไม่เว้นจังหวะให้ใครได้ตัดหน้าแซงขึ้นไปก่อน วันนี้โชคดีที่รถไม่แน่นมากแต่ก็ไม่มีที่นั่งว่างผมเลยเลือกยืนข้างพี่เขาเลย นี่แหละโอกาสเหมาะ
กิจวัตรตอนอยู่บนรถของพี่เทนยังคงเหมือนเดิม ยืนก้มหน้าไม่ก็มองถนน ต้นไม้ ท้องฟ้า ไม่ได้สนใจสิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆ ที่ยืนอยู่ข้างๆ อย่างผมเลยสักนิด เพราะงั้นไม่ต้องแปลกใจเลยว่าเจอกันออกจะบ่อยแต่ทำไมถึงจำกันไม่ได้
มีวิธีเดียวที่จะทำให้คนอื่นจดจำคือต้องสร้างสถานการณ์อะไรก็ได้ที่ทำให้เกิดความประทับใจหรือผลกระทบให้คนคนนั้น แต่สถานการณ์ที่ว่านั่นกับรถสองแถวผมคิดไม่ออกจริงๆ ถ้ารถเบรกแรงๆ สักครั้งผมจะรีบถลาไปชนพี่เทนเลย แต่เมื่อไรกันล่ะที่รถจะเบรกแรงขนาดนั้น ผมไม่มีเงินพอจะไปจ้างพี่คนขับรถให้ทำตามแผนการซะด้วยสิ เพราะงั้นเลยต้องรอโอกาสเหมาะอย่างเดียว
ผมกับพี่เทนส่วนสูงไม่ได้ต่างกันมาก ผมสูงร้อยหกสิบห้าและยังโตได้อีกเยอะ ส่วนพี่เทนคงสูงกว่าผมซักสิบเซนฯ ได้มั้ง เพราะฉะนั้นถ้าเราได้เป็นแฟนกันเมื่อไรผมจะเป็นผู้ชายที่ดีพร้อมสำหรับพี่เขาแน่นอน แต่ตอนนี้ขอแค่หันมามองทางผมซักนิดก็พอ
รถวิ่งมาเรื่อยๆ ตามเส้นทางไม่นานเสียงกริ่งก็ดังขึ้น พี่สาวที่นั่งตรงหน้าเราสองคนลุกขึ้นเดินลงจากรถไปจ่ายเงินกับพี่คนขับ จังหวะนั้นเองที่เราสองหันมาสบตากันเป็นครั้งแรก
ตึกตัก...ตึกตัก...ตึกตัก...
อยู่ๆ หัวใจผมก็เต้นระรัว ได้สบตากันในระยะที่ใกล้ขนาดนี้หัวใจผมอาจจะวายตายได้เลยนะ
คนบ้าอะไร ทำไมหน้าตาดีได้ขนาดนี้!!
ตื่นเต้นจนเหงื่อเริ่มออกมือ ไม่รู้จะปั้นสีหน้ายังไงผมเลยพยายามเก๊กหน้านิ่งเอาไว้ก่อน
ในตัวรถมีแค่เราสองคนที่ยืนอยู่กับผู้ชายวัยกลางคนสองคนที่ยืนโหนอยู่ท้ายรถ แน่นอนว่านี่คือสถานการณ์ตกลงเรื่องที่นั่งบนรถว่าใครจะได้ที่นั่งนี้ไป
พี่เทนเบี่ยงตัวหลบนิดหน่อยเป็นการบอกให้ผมนั่ง แต่ถ้าพี่เขาไม่นั่งผมก็ไม่อยากนั่งเหมือนกัน
ผมพยักหน้ากลับไปให้พี่เทนนั่งแทน สุภาพบุรุษอย่างผมที่กำลังจะได้เป็นแฟนพี่เขาในเวลาอันใกล้นี้ต้องเป็นผู้เสียสละสิถึงจะถูก
สุดท้ายเราเลยได้แต่ยืนมองหน้ากันแล้วใช้สายตาเกี่ยงกันไปมา
เมื่อได้อยู่ใกล้ได้มองหน้ากันนานๆ ความตื่นเต้นของผมก็เริ่มลดลง พี่เทนมองผมด้วยสายตาเชิงบังคับ เอาจริงๆ มันน่ากลัวนะครับ แต่ผมไม่กลัวกลับชอบด้วยซ้ำที่เห็นพี่เขาใช้สีหน้าแบบอื่นมองผมนอกจากหน้านิ่งๆ
ผมใช้ความทะเล้นที่มีเข้าสู้ เขาว่ารอยยิ้มคืออาวุธที่ดีที่สุดก็ยิ้มสู้ไปสิครับ
ระหว่างที่เราสองคนกำลังสื่อสารและบังคับอีกฝ่ายให้นั่งกันทางสายตา ตาลุงที่โหนอยู่ท้ายรถก็แทรกตัวเข้ามานั่งแทนเสียอย่างนั้น
เอิ่ม...แย่งที่ได้เนียนมากครับลุง
ผมกับพี่เทนมองตาลุงผู้ฉวยโอกาสอย่างงงๆ ที่เข้ามาแย่งที่นั่งไปหน้าตาเสีย แต่ก็ช่างเถอะ พวกผมยังแข็งแรง สละที่นั่งให้คนแก่ก็ถือเป็นหน้าที่ของสุภาพบุรุษเหมือนกัน
หลังจากโดนแย่งที่นั่งไปต่อหน้าต่อตาเราสองคนก็หันมามองหน้ากัน ผมยิ้มให้พี่เทนแก้เก้อแล้วไม่อยากจะเชื่อสายตาว่าเสือยิ้มอยากอย่างพี่เขาจะยิ้มตอบ
ตึกตัก...ตึกตัก...ตึกตัก...
หัวใจผมกลับมาเต้นระรัวอีกครั้ง
คนบ้าอะไร ทำไมยิ้มทีโลกสว่างไสวขึ้นได้ขนาดนี้!!
รอยยิ้มที่น้อยคนนักจะได้เห็นตอนนี้มันเป็นของผมเพียงผู้เดียว
เรายิ้มให้กันแก้เก้อที่โดนตาลุงแย่งที่นั่งที่อุตส่าห์เกี่ยงกันเพื่อให้อีกฝ่ายได้นั่ง แต่ก็ช่างมันเถอะ แค่ผมได้เข้าไปอยู่ในสายตาพี่เทนก็คุ้มแล้ว ได้เห็นรอยยิ้มนี้ต่อให้โดนแย่งที่นั่งอีกกี่ทีก็ยอม
รถแล่นมาได้อีกสักระยะคุณป้าที่นั่งข้างตาลุงจอมแย่งที่ก็กดกริ่งลง เหลือที่นั่งเพิ่มอีกหนึ่งที่ เราหันมามองหน้ากันคล้ายจะเกี่ยงกันอีกรอบ ผมยิ้มแล้วพยักหน้าให้พี่เขาแต่สุดท้ายก็ไม่มีใครยอมนั่ง
รอบนี้พี่เทนไม่ได้ยิ้มแต่แค่ได้มองหน้าผมก็รู้สึกดีเหมือนตัวจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
เรายืนโหนรถข้างกันพอรถเบรกทีแขนผมก็ไปโดนกับแขนพี่เทนจนอยากจะให้รถเบรกแรงๆ ซักที แต่คนขับรถก็ขับมีมารยาทเสียเหลือเกิน เลยทำได้แค่เอาแขนไปชนแขนพี่เขาตามแต่สถานการณ์จะอำนวย
เราหันมามองกันยิ้มให้กันบ้างแทบจะตลอดทางจนผมรู้สึกว่าโลกนี้มันจะสดใสเกินไปแล้ว ทำไมรู้สึกมีความสุขได้ถึงเพียงนี้ พี่เทนแค่ยิ้มบางๆ แต่ผมนี่ยิ้มจนแก้มจะแตกแจกความสดใสคืนให้พี่เขาบ้าง
เคยมีคนบอกว่าผมยิ้มแล้วน่ารักถึงผมจะไม่ค่อยชอบคำพูดนั้นก็เถอะ แต่ตอนนี้ขอยิ้มเยอะๆ แล้วกัน เผื่อพี่เทนจะรู้สึกรักรอยยิ้มของผมขึ้นมาบ้าง
ระยะทางที่ห่างไกลออกมาเรื่อยๆ คนบนรถก็น้อยลงตามจนตอนนี้เหลือที่ว่างด้านหน้าพวกเราที่พอจะนั่งได้สองคน และหลังจากที่เกี่ยงกันมาหลายครั้งสุดท้ายพี่เทนก็ยอมนั่งแล้วก็ไม่วายยิ้มให้ผมอีก
วันนี้ผมเห็นพี่ยิ้มบ่อยเกินไปแล้วนะ ถึงจะเป็นยิ้มบางๆ ก็เถอะ มีความสุขจนอยากระเบิดตัวเองหลายๆ รอบ
ผมทำเป็นมองถนน ต้นไม้ ท้องฟ้าอย่างที่พี่เทนชอบทำแก้เขินไปพลางๆ แม้ตั้งใจจะมาทำให้พี่เขาจำหน้าได้แต่พอเอาเข้าจริงมันไม่ง่ายเลย ไม่ง่ายที่จะทำให้ใจเต้นเป็นจังหวะปกติและไม่ลนลานหากมีโอกาสได้พูดคุยกันจริงๆ
จะว่าไปตั้งแต่ขึ้นรถมาผมยังไม่ได้ยินเสียงพี่เทนเลย ขนาดตอนเกี่ยงที่นั่งกันทั้งผมทั้งพี่เขากลับเงียบกันทั้งคู่ ใช้เฉพาะสายตาสื่อสารกัน
โรแมนติกไปอีก
พอได้นั่งพี่เทนก็เปิดเพลงฟังเหมือนทุกที ผมใช้ความสามารถพิเศษในการแอบมองเป็นระยะ มือกับนิ้วเรียวยาวจิ้มบนไอพอดไปมาเพื่อเลือกเพลง เพราะอยู่ในมุมสูงกว่าผมเลยไม่เห็นว่าพี่เขากำลังทำหน้ายังไง เห็นแต่ผมหน้าที่พัดพริ้วไปมาตามแรงลม แต่คิดว่าพี่เขาก็คงทำหน้านิ่งๆ เหมือนทุกที ใบหน้าเรียบเฉยที่ดูมีเสน่ห์น่าค้นหาต่างกับตอนยิ้มที่ทำให้ดูน่าทะนุถนอมขึ้นมาเป็นกอง
รถแล่นมาได้ครึ่งทางน้องนักเรียนที่นั่งเบาะฝั่งตรงข้ามก็ลุกขึ้นกดกริ่งลงจากรถ ทำให้เหลือที่ว่างพอให้ผมนั่งได้สบายๆ
ทันใดนั้นเองคนที่เอาแต่นั่งก้มหน้ามาตลอดทางก็เงยหน้าขึ้น พี่เทนอมยิ้มน้อยๆ พยักพเยิดหน้าไปยังเบาะฝั่งตรงข้ามเพื่อบอกให้ผมไปนั่ง
โหยดีใจ พี่เทนเป็นห่วงผมด้วย
ครั้งนี้ผมยอมเชื่อฟังแต่โดยดี ยิ้มตอบแล้วเดินไปนั่งตรงข้ามกับพี่เทนเป๊ะๆ เราสบตากันชั่วครู่ก่อนพี่เขาจะก้มหน้าลงเหมือนเดิม
ถึงจะแค่แปบเดียวแต่เป็นวินาทีที่หัวใจผมเบิกบานตีลังกาไปหลายตลบ ได้อาหารดีขนาดนี้หัวใจผมต้องแข็งแรงขึ้นแน่ๆ
ทว่าช่วงเวลาแห่งความสุขมักผ่านไปเร็วเสมอ น่าเสียดายที่อีกไม่นานก็จะถึงบ้านผมแล้ว ภารกิจทำให้พี่เทนจดจำต้องจบลงเพียงเท่านี้ แต่สำหรับวันนี้ก็ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างงดงามแล้วครับ เราสบตากัน โดนตัวกัน แถมยิ้มให้กันหลายต่อหลายครั้ง หวังว่าพี่เขาจะจำผมได้นะ
มีครั้งหนึ่งผมเคยคิดจะนั่งตามไปจนถึงบ้านพี่เทน มันออกจะเหมือนโรคจิตไปหน่อยเลยเลิกล้มความคิดนี้ไป แต่ถึงจะตามไปพี่เขาก็คงไม่รู้ตัวหรอก เล่นนั่งก้มหน้าก้มตาตลอดทางแบบนี้ สมมติว่ารถโดนโจรปล้นจะรู้ตัวหรือเปล่าก็ไม่รู้
กริ๊ง!
ผมลุกกดกริ่งตอนใกล้ถึงบ้าน แอบชำเลืองมองพี่เทนแวบหนึ่งแต่ยังเห็นนั่งก้มหน้าจิ้มไอพอดอยู่เหมือนเดิม
เดินลงรถจ่ายเงินกับพี่คนขับเสร็จก็ยังไม่วายหันไปมองบนรถอย่างอดใจไม่ไหว และภาพที่เห็นตรงหน้าก็ทำให้ผมใจเต้นแรงขึ้นมาอีกครั้ง เพราะพี่เทนเงยหน้าขึ้นมามองผมอยู่
ผมยิ้มกว้างให้เป็นการส่งท้าย ไม่รู้ว่าพี่เขาจะเห็นหรือเปล่าเพราะรถเคลื่อนตัวออกไปไกลพอสมควร แต่แค่นี้ก็สุขใจมากพอแล้ว
หวังว่าครั้งต่อไปที่เจอกันพี่เทนจะจำผมได้นะ
คาบเรียนวิชาการงานเป็นอะไรที่น่าเบื่อมากสำหรับผม จะหลับแหล่ไม่หลับแหล่อยู่หลายรอบจนเพื่อนข้างๆ สะกิดให้ไปห้องน้ำด้วยกัน เข้าทางผมเลยล่ะแบบนี้
ผมกับเพื่อนขออนุญาตครูออกไปเข้าห้องน้ำ เพื่อนน่ะใช่แต่ผมแค่อยากออกมาจากห้องเรียนแสนน่าเบื่อก็เท่านั้น
ห้องเรียนการงานอยู่ชั้นหนึ่งมีทางเข้าออกอยู่ด้านหลังอาคาร เดินออกมาแล้วเลี้ยวซ้ายก็จะเจอห้องน้ำเลย เอาง่ายๆ คืออยู่ติดกับห้องน้ำนั่นแหละ แต่ไหนๆ มาทั้งทีแล้วก็ต้องเข้าหน่อยพอเป็นพิธี เสร็จภารกิจเพื่อนผมมันก็ทำท่าจะเดินกลับทางเก่า แต่เดี๋ยวก่อน ผมยังไม่อยากกลับเข้าห้องเรียนตอนนี้
ผมลากเพื่อนที่มันไม่ค่อยจะเต็มใจนักเดินอ้อมไปด้านหน้าอาคาร จากจุดนี้สามารถมองเห็นตึกของเด็กมอหกได้ชัดเจน แต่มันก็แค่ตัวอาคารประตูห้องเรียนยังมองไม่เห็นเลย คิดจะส่องพี่เทนยิ่งเป็นไปไม่ได้ไปกันใหญ่
เดินอ้อยอิ่งจนมาถึงมุมตึก ทันใดนั้นเองคนที่ผมไม่คิดว่าจะได้เจอก็เดินสวนออกมา ผมยืนชิดผนังตัวแข็งทื่อเป็นก้อนหินตอนพี่เทนเดินมา สายตาผมจับจ้องไปตามร่างสูงโปร่งที่กำลังผ่านหน้าผมไป ริมฝีปากแย้มยิ้มไปตามธรรมชาติทั้งที่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะสังเกตเห็นหรือเปล่า
และเหมือนเทวดาเจ้าที่เจ้าทางในโรงเรียนจะเป็นใจทำให้คนที่เอาแต่เดินคุยกับเพื่อนหันหน้ามามอง ช่วงขายาวๆ ยังคงก้าวเดินต่อ หากแต่สายคู่นั้นกำลังจับจ้องมาที่ผมพร้อมกับรอยยิ้มบางๆ ที่แต่งแต้มบนใบหน้า
ช่วงเวลาไม่กี่วินาทีที่เกิดขึ้นแต่กลับทำให้ผมสุขล้นจนอยากกรี๊ดออกมาดังๆ แต่กลัวพี่เขาจะตกใจซะก่อน
เรายิ้มให้กัน นั่นแสดงว่าพี่เทนจำผมได้แล้วสินะ
หลังเลิกเรียนวันนี้ผมมีสอบย่อยคณิตศาสตร์ เป็นการสอบที่ไม่มีการบอกล่วงหน้า ทำให้แผนการสะกดรอยพี่เทนวันนี้รวนไปหมด จากที่ตั้งใจว่าหลังเลิกเรียนจะไปดักรอพี่เทนเพื่อขึ้นรถพร้อมกันกลับต้องมานั่งทำข้อสอบคณิตศาสตร์ที่ผมไม่ถูกชะตาเอาซะเลย
กว่าจะสอบเสร็จก็ปาเข้าไปห้าโมงครึ่งในโรงเรียนแทบจะไม่มีนักเรียนเหลืออยู่เลยยกเว้นพวกที่ทำกิจกรรม ผมเดินออกมาจากโรงเรียนพร้อมกับเพื่อนด้วยความเซ็งสุดชีวิต ข้อสอบก็ทำไม่ค่อยจะได้ วันนี้ทั้งวันก็ยังไม่ได้เห็นหน้าพี่เทน ไม่มีอะไรให้กระชุ่มกระชวยหัวใจเลย
ข้ามถนนมายังไม่ทันได้ตั้งหลักรถสองแถวก็มาพอดี ผมโบกมือบอกลาเพื่อนแล้วกระโดดขึ้นรถอย่างรวดเร็ว โหนตรงท้ายรถที่พอจะมีที่ว่างให้ยืนเพราะไม่อยากเข้าไปเบียดข้างใน และตอนนั้นเองที่ผมเพิ่งสังเกตเห็นว่ามีผู้ชายในชุดนักเรียนคนที่ชอบปั้นหน้านิ่งยืนอยู่ข้างในด้วย
แบบนี้เขาเรียกว่าโชคชะตาฟ้าลิขิตสินะ
ผมได้แต่กระหยิ่มยิ้มย่องในใจแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นพี่เขา รถแล่นไปได้ซักพักคนก็เริ่มทยอยลง มีที่ว่างนั่งได้ประมาณสองคนใกล้ๆ กับที่ผมยืนโหนอยู่ แล้วโชคชะตาก็เข้าข้างผมอีกครั้งเมื่อพี่เทนเดินมานั่งตรงท้ายรถที่ผมยืนโหนอยู่พอดี
รอยยิ้มที่น้อยคนนักจะได้เห็นแต่งแต้มบนใบหน้าได้รูปให้ผมได้เห็นอีกครั้ง รอยยิ้มบางๆ ที่คงไว้ใช้สำหรับทักทายคนรู้จัก ถึงแม้ว่าสถานะของผมตอนนี้จะเรียกว่าคนรู้จักได้ไม่เต็มปากนักก็เถอะ
ผมรีบยิ้มกว้างตอบกลับไปอย่างรู้งาน แจกความน่ารักสดใสผ่านรอยยิ้มที่ใครๆ ต่างก็ชม ทว่ายิ้มทักทายกันพอเป็นพิธีจากนั้นพี่เทนก็ไม่ได้มายุ่งวุ่นวายอะไรกับผมอีก แต่ได้แค่นี้ก็ฟินแล้ว
เป็นธรรมดาเวลาที่ได้อยู่ใกล้คนที่ชอบมักจะเกิดอาการทำตัวไม่ถูก ผมเลยแก้ปัญหานี้ด้วยการยืนหันหลังให้พี่เทนแล้วพิงที่กั้นตรงที่นั่งเอาไว้ ในใจลึกๆ อยากยืนมองพี่เขาไปตลอดทางแต่ถ้าทำแบบนั้นจากที่จะชอบจะกลายเป็นว่าพี่เขากลัวผมแทน อีกอย่างผมไม่กล้าพอที่จะทำแบบนั้นหรอก
ยืนหันหลังหนีคนที่ทำให้ใจเต้นไม่เป็นจังหวะได้ไม่นานอยู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างมาโดนหลัง ผมเหลือบไปมองดูแล้วต้องรีบหันกลับมาอย่างรวดเร็ว เพราะอะไรที่โดนหลังผมอยู่นั้นคือหลังของพี่เทน
ไม่รู้เป็นเพราะว่าหันหลังให้หรือเปล่าพี่เทนเลยนั่งหันหลังใส่ผมบ้าง ตอนนี้เลยกลายเป็นว่าหลังเราพิงกันอยู่ แม้จะเป็นสัมผัสเบาๆ ไม่ได้ตั้งใจพิงก็เถอะ แค่นี้ก็เหนือความคาดหมายของผมไปแล้ว บางทีพี่เขาอาจจะตั้งใจให้หลังของเราชนกันก็ได้นะ
มโนไปไกลมากครับ ต้องขยันสร้างความหวังเข้าไว้จะได้มีกำลังใจสู้ต่อ แต่ผมว่าผมไม่ได้คิดเข้าข้างตัวเองนะ พี่เขาต้องรู้สึกอะไรกับผมอยู่ลึกๆ แน่ๆ
ผมมีความสุขมากจนมันทะลักออกมาทางสีหน้า พยายามหุบยิ้มแล้วแต่มันทรมานเกินไปเลยปล่อยให้ริมฝีปากมันโค้งขึ้นเป็นครึ่งวงกลมตามใจชอบ ใครเห็นคงต้องว่าผมบ้าไปแล้วแน่ๆ ผมเองก็อยากจะเห็นเหมือนกันว่าตอนนี้พี่เทนกำลังทำหน้ายังไงอยู่ แต่จะให้หันไปมองก็ไม่กล้าเลยได้จินตนาการเอาเอง
บางทีพี่เทนอาจจะอมยิ้มเหมือนผมอยู่ก็ได้
มองวิวก็เพลิน สัมผัสด้านหลังก็อบอุ่น ไม่มีอะไรจะดีไปกว่านี้อีกแล้ว อยากหยุดเวลานี้ไว้ตลอดกาลแต่ก็ทำไม่ได้
กริ๊ง!!
ผมสะดุ้งรับเสียงกริ่งที่ใครสักคนกด รถสองแถวค่อยๆ ลดความเร็วแล้วจอดหน้าร้านอาหาร แถมยังเป็นสถานที่ที่ผมไม่คุ้นตาเอาซะเลย
หลังจากรถจอดสนิทคนที่ผมยืนพิงหลังมาตลอดทางก็เดินลงรถไปจ่ายเงินกับคนขับ จากนั้นรถก็ออกตัวอีกครั้งมุ่งตรงไปทางข้างหน้าที่ผมไม่รู้เลยว่าจะไปสิ้นสุดอยู่ที่ไหน
สายตาผมจดจ่ออยู่กับคนที่เพิ่งลงรถไปและยังยืนอยู่ที่เดิม พี่เทนมองกลับมาแล้วอมยิ้มน้อยๆ คงขำผมที่นั่งรถเลยบ้านอยู่สินะ แถมคงเลยมาไกลมากด้วย
เราสองคนต่างฝ่ายต่างมองกันจนรถแล่นมาไกลเกินสายตาของผมจะมองเห็นได้ บนรถตอนนี้เหลือผมแค่คนเดียว ผมเลยกดกริ่งลงกลางทางแล้วข้ามถนนเพื่อไปขึ้นรถอีกฝั่ง
เสียเวลานั่งรถเลยบ้านก็ไม่เป็นไร ถ้ามันจะทำให้ผมมีความสุขขนาดนี้ยอมนั่งรถเลยบ้านทุกวันก็ยังได้
วันนี้ผมมีเรียนวิชาศาสนาเป็นวิชาเดียวที่ห้องเรียนอยู่ในตึกเด็กมอหกแถมเป็นชั้นเดียวกันด้วย แต่ก็ใช่ว่าจะมีโอกาสได้เจอพี่เทนหรอกนะครับ เพราะเรียนที่นี่มาทั้งเทอมยังไม่เคยบังเอิญเจอกันซักครั้ง
ก่อนจะเริ่มวิชานี้เป็นช่วงพักสิบนาทีพอดีผมเลยมานั่งเอ้อระเหยอยู่หน้าห้องกะว่าถึงเวลาเรียนเมื่อไหร่ค่อยเข้าไป แต่ใครจะเชื่อ วันนี้โชคผมดีกว่าตอนเดาข้อสอบอีก ยืนคุยกับเพื่อนอยู่หน้าห้องไม่ถึงสองนาทีประตูห้องเรียนมอหกทับสี่ก็เปิดออกพร้อมกับใครบางคนที่ผมอยากเจอเดินออกมา แต่มันจะดีกว่านี้ถ้าคนคนนั้นไม่หนีบเอาเพื่อนสนิทมาด้วย
ผมทำทีหันไปคุยกับเพื่อนแล้วแอบมองพี่เทนเป็นระยะ ห้องเรียนศาสนาอยู่ริมสุดทางเดินข้างบันไดที่พี่เขากำลังเดินตรงมา เอาจริงๆนะ แอบรู้สึกตื่นเต้นนิดหน่อยทั้งที่พี่เขากำลังคุยกับเพื่อนอยู่ไม่ได้หันมามองผมเลยแม้แต่น้อย
ผมจดจ้องพี่เทนอย่างไม่ละสายตาเมื่อพี่เขากับเพื่อนเดินมาถึงจุดที่ผมยืนอยู่ ไม่รู้พี่เขาจะสังเกตเห็นผมไหมนะก็เล่นไม่มองกันเลย แต่วันนี้รู้สึกโชคจะเข้าข้างผมเป็นพิเศษในจังหวะที่พี่เขากำลังจะเดินลงบันไดไปอยู่ๆ ก็หันกลับมามองกันเฉย มิหนำซ้ำยังเดินมาหากันอีก
เอาแล้วไง ตื่นเต้นชะมัด
"อยู่ห้องไหนอ่ะ"
"สองทับสิบ"
"อืม"
พี่เทนถามผมแค่นี้พร้อมกับยิ้มบางๆ แล้วเดินกลับไปหาเพื่อนที่ยืนรออยู่ก่อนจะเดินลงบันไดไปด้วยกัน
เท่านั้นแหละเพื่อนผมมันกระแซะถามใหญ่เลยว่าไปรู้จักพี่เทนตอนไหนอะไรยังไง เอาจริงๆ ผมเองก็ยังงงอยู่เลย ปกติเจอกันแค่ยิ้มให้ก็สุขใจจะตายอยู่แล้ว นี่เล่นเข้ามาชวนคุยถึงจะแค่ประโยคสั้นๆ แต่มันเป็นอะไรที่เหนือความคาดหมายมาก
รุ่นพี่สุดฮอตผู้เงียบขรึมเป็นคนเข้ามาคุยกับผมก่อน ถ้าพวกนักเรียนหญิงห้องผมรู้ต้องพากันอิจฉาแน่
ผมบ่ายเบี่ยงที่จะตอบคำถามเพื่อนโดยการเดินเข้าห้องเรียน วิชาพระพุทธศาสนาเริ่มขึ้นโดยให้นักเรียนสวดมนต์ ผมขมุบขมิบปากตามบทสวดแต่หาได้รับรู้ถึงรสพระธรรมอะไรเลย
กำลังอิ่มอกอิ่มใจครับ อิ่มมากจนแก้มจะแตกแล้ว
แบบนี้เขาเรียกว่าให้ความหวังกันใช่ไหม ผมมีหวังที่พี่เทาจะหันมาชอบผมบ้างใช่ไหม
ใครว่าพี่เทนชอบผม ผิดเหอะ! เพ้อเจ้อไปเองทั้งนั้น ก็แค่มาถามห้องเรียนแล้วโมเมไปเองว่าเขามีใจ บ้าบาสิ้นดี!
ผ่านมาได้เดือนกว่าแล้วนับตั้งแต่เปิดเทอม พี่เทนเรียนจบไปแล้วและผมเลื่อนชั้นเป็นนักเรียนมอสาม ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม ผมกับพี่เขายังเป็นแค่รุ่นพี่รุ่นน้องที่ไม่เคยรู้จักกันเหมือนเดิม
ผมนั่งมองเพื่อนเล่นบาสอยู่ข้างสนามอย่างเซ็งๆ ยิ่งเห็นบอร์ดประกาศของโรงเรียนแล้วยิ่งเซ็ง รายละเอียดบนบอร์ดบอกว่ารุ่นพี่มอหกคนไหนจบแล้วไปต่อคณะอะไรบ้าง และพี่เทนก็ได้เรียนคณะที่ผมคงไปถึงจุดนั้นไม่ได้
คณะจิตรกรรมฯ เอกทัศนศิลป์ มหาวิทยาลัยชื่อดังของประเทศ
ผมวาดรูปโคตรห่วย เรียนก็ห่วย ดีแต่ด้านกีฬา ผมไปสืบมาแล้วว่าคณะที่พี่เทนเรียนเป็นหลักสูตรห้าปี ตอนนี้ผมอยู่มอสามถ้าสอบเข้าที่นั่นได้พี่เขาก็จะอยู่ปีสี่ แต่ปัญหาคือทำยังไงผมถึงจะสอบเข้าที่นั่นได้ ถ้าอยากเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกับพี่เขาขึ้นมอปลายคงต้องเข้มงวดกับตัวเองกว่านี้ซะแล้วล่ะมั้ง
นั่งเซ็งอยู่คนเดียวได้ไม่นานอยู่ๆ ก็มีรุ่นพี่ผู้หญิงสองคนเดินเข้ามาหาผม สองสาวยิ้มหวานก่อนนั่งลงข้างๆ กัน
เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้ทั่วไปในโรงเรียนมัธยม ไม่อยากจะชมตัวเองหรอกว่าผมเองก็เป็นที่รู้จักในโรงเรียนอยู่พอสมควร การจะมีรุ่นพี่มาขอเฟซบุ๊ก ไอจีหรือทวิตเตอร์เลยกลายเป็นเรื่องธรรมดามากสำหรับผม
ผมเขียนชื่อเฟซบุ๊ก ไอจีกับทวิตเตอร์ลงบนสมุดที่พี่สาวคนหนึ่งยื่นมาให้ เธอขอบคุณแล้วก็ยิ้มร่าเดินกลับออกไป พวกเพื่อนๆ ผมที่อยู่ในสนามเลยพากันตะโกนแซวกันใหญ่ ก็แน่ล่ะ ทั้งกลุ่มมีผมฮอตอยู่คนเดียวพวกมันเลยอิจฉาไง
ผมนั่งดูพวกเพื่อนๆ เล่นบาสอยู่อีกสักพักก่อนจะแยกตัวออกมา อยากกลับบ้านแล้วครับ บาสก็ไม่อยากเล่นไม่อยากจะทำอะไรทั้งนั้น ขึ้นรถสองแถวก็ไม่เจอพี่เทน ชีวิตที่ไม่มีคนให้มองมันช่างน่าเบื่อ
กลับถึงบ้านผมก็เปิดคอมฯ นั่งเล่นเกมถึงหนึ่งทุ่มจนแม่เรียกลงไปกินข้าว ออกจากเกมก็เปิดเฟซบุ๊กเล่นอีกนิดหน่อย ตรงรูปคนมุมขวาบนของจอมีเลขสามสีแดงแจ้งเตือนว่ามีคนแอดเฟรนด์ผมมาพอดี คิดว่าน่าจะเป็นพี่ผู้หญิงสองคนนั้นที่มาขอเฟซบุ๊กเมื่อตอนเย็นนั่นแหละ
ผมกดรับรายชื่อทั้งหมดที่มาขอผมเป็นเพื่อนก่อนปิดหน้าจอคอมฯ หยิบมือถือที่วางอยู่บนหัวเตียงแล้วเดินออกจากห้องมา
ตึ่ง!
เดินมาถึงบันไดกำลังจะก้าวลงไปข้างล่างมือถือที่อยู่ในมือก็สั่นเตือน ผมหยิบมันขึ้นมาดูมีรายชื่อที่ผมไม่คุ้นตานักทักผ่านเมซเซนเจอร์มา แต่เมื่อเห็นรูปโปร์ไฟล์เจ้าของข้อความเท่านั้นหัวใจผมก็เร่งจังหวะเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ
'สวัสดีครับน้องเพชร พี่เทนนะ จำได้มั้ย'
ผมคงไม่ได้คิดไปเองคนเดียวสินะ
END
แต่งเรื่องนี้จบเพิ่งสังเกตว่ามันแทบไม่มีบทพูดเลย ฮ่าๆๆ
คือรู้สึกว่าเขียนไปเยอะมากแต่ทำไมได้แค่ไม่กี่หน้าเอง
ไม่รู้ว่าจะเบื่อกันหรือเปล่า แถมจบแบบค้างๆ คาๆ อีก ฮา
