ตั้งแต่ฮิมกลับมาจากอังกฤษคราวนี้มีอยู่สิ่งหนึ่งที่พวกเราไม่ได้ทำในตอนเช้าเหมือนทุก ๆ วัน แถมสิ่งที่ไม่ได้ทำนั้นมีโน้มน้าวว่าจะกลับมาทำอีกครั้งโดยเริ่มจากเช้าวันเสาร์ที่แสนสุขสบายเพราะไม่ต้องตื่นไปเรียน… ผับผ่าสิ! วันนี้ผมตื่นเร็วกว่าทุก ๆ วันอีก
พ่อปลุกผมตั้งแต่ตีห้าเกือบหกโมงเช้า เป็นเวลาที่ท้องฟ้าเริ่มสว่างพอดี ปลุกเสร็จก็ให้ผมไปล้างหน้าล้างตา เปลี่ยนเสื้อผ้าแต่ไม่ต้องอาบน้ำ แค่เปลี่ยนจากชุดนอนเป็นชุดอื่นที่มันกระชับกว่าเดิม แล้วบังคับให้ลงไปใส่รองเท้าผ้าใบด้านล่าง พอทุกอย่างเสร็จเขาก็พาผมเดินออกจากบ้านในขณะที่คนอื่น ๆ ยังนอนไม่ตื่นกันเลยด้วยซ้ำ
“เลง่วง”
“อย่างอแง”
“แต่…”
“ไม่แต่ ผ่อนให้เรามาสี่วันแล้ว” ผมเบ้ปากในขณะที่พ่อหันหน้ามามอง “รู้นะว่าไม่อยากออกกำลังกาย”
นี่ไงประเด็น จำได้ไหมที่ผมเคยบอกว่าไม่ดื่มนมแต่สูงได้หนึ่งร้อยเจ็ดสิบกว่าเพราะออกกำลังกาย ไอ้สิ่งที่ยังไม่ได้ทำตั้งแต่ที่พ่อกลับมาจากอังกฤษก็คือการออกกำลังกายนี่แหละ ปกติเขาจะพาผมออกกำลังกายทุกเช้าที่สวนสาธารณะใกล้บ้าน วันไหนฝนตกก็ถึงไม่ได้ออก ยกเว้นว่าจะไปฟิตเนสแทน
“ก็เลขี้เกียจ”
“พี่ก็ขี้เกียจซื้อรองเท้าให้เราเหมือนกัน”
ผมกอดหมับเข้าที่เอวหนาทันที “เลไม่ขี้เกียจแล้วก็ได้”
“วิ่งให้เหงื่อออก”
“พ่ออย่าโหดกับเลนักสิ” ผมบ่นทันที เพราะผมเป็นคนที่เหงื่อออกย๊ากยาก ฮิมไม่ตอบ ร่างสูงเริ่มวิ่งทันทีที่เดินมาถึง ผมแอบเบะปากก่อนจะหยิบหูฟังเชื่อมไอพอดที่หยิบออกมาจากบ้านด้วยเอาใส่หูแล้วค่อย ๆ วิ่งไป วิ่งตามคนอื่นบ้าง แซงคนอื่นบ้าง เพราะสวนสาธารณะที่ผมมามีคนมาออกกำลังกายตอนเช้าเยอะพอสมควร ส่วนใหญ่เป็นวัยผู้ใหญ่ มีวัยรุ่นให้เห็นประปรายในแต่ละพื้นที่
หนึ่งชั่วโมงผ่านไป เหงื่อผมออกแค่ซึม ๆ แต่คนหอบจะตายอยู่แล้ว ผมเลยวิ่งวนกลับไปที่เดิม เห็นฮิมกำลังนั่งกินน้ำรออยู่ นัยน์ตาคมมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า ในขณะที่เหงื่อผมซึม ๆ เหงื่อฮิมไหลอย่างกับสายน้ำ นี่ก็เว่อร์ไป เอาเป็นว่ามันเยอะในระดับหนึ่ง
“เหงื่อไม่ออก” ผมคิดว่ามันเป็นประโยคคำถาม
“เลวิ่งแล้วนะ แต่เหงื่อไม่ออก”
“ไปวิ่งอีกรอบ”
“ฮืออ เลเหนื่อยไม่ไหวแล้ว” ผมแสร้งล้มตัวนั่งลงบนตักแกร่ง แต่ผิดคาดเขาผลักผม ผมเบิกตากว้างมองอีกฝ่ายอย่างอึ้ง ๆ “พ่อใจร้าย”
“วันนี้งดรองเท้า”
“ไม่นะ”
“งั้นไปวิ่งอีกรอบให้เหงื่อออก”
“เลเหนื่อย”
“รองเท้า”
“ฮือออ” เพราะอยากได้ ผมเลยต้องจำใจวิ่งไปตามเส้นทางอีกครั้ง แต่วิ่งอยู่คนเดียวได้ไม่นานก็สัมผัสได้ถึงคนที่วิ่งมาขนาบข้าง หันไปมองถึงได้เข้าใจว่าฮิมวิ่งตามผมมาตั้งแต่ต้น
ก็ไม่รู้ทำไมจากฝืนใจวิ่งมันกลายเป็นเต็มใจไปซะงั้น
เราออกจากบ้านตอนหกโมงและกลับเข้าบ้านตอนแปดโมง พี่ ๆ ทุกคนตื่นพอดี (ยกเว้นพี่เกียร์) ในเช้าวันเสาร์แบบนี้การที่ทุกคนตื่นตอนแปดโมงเช้าถือเป็นอะไรที่เร็วมาก หลังกลับมาถึงบ้านเขาก็ไล่ให้ผมไปอาบน้ำ อาบเสร็จผมก็เดินลงมาด้านล่าง เห็นพี่ ๆ ยังนั่งอยู่กับที่ก็เกิดประหลาดใจ น่าแปลกที่วันนี้พวกเขาไม่ได้ออกไปไหน ทุกคนยกเว้นพี่เกียร์นั่งสุมหัวกันที่ห้องนั่งเล่น เปิดแอร์เย็น ๆ ดูไททานิครอบที่สี่สิบแปดพร้อมกับจิบเบียร์เพลิน ๆ ไปด้วยเป็นการคลายเครียด ส่วนผมนั้นออกไปเพิ่มความเครียดให้ตัวเองโดยการ…
“เซียร์หยุด! บอกให้หยุดวิ่งไง!”
วิ่งไล่จับแมว
ลืมบอกไปเลย ในบ้านหลังนี้นอกจากจะมีมนุษย์แล้วก็ยังมีอมนุษย์อยู่อีกหนึ่งตัว ผมไม่ได้แนะนำเพราะไม่นับมันเป็นสมาชิกของบ้าน แม้มันจะอยู่ที่บ้านนี้เป็นเวลานานเท่า ๆ กับผมเลยก็เถอะ อมนุษย์ตัวแรกและตัวสุดท้าย แมวผีที่ฮิมรักนักรักหนาเพราะเขาเป็นคนซื้อมันมาเลี้ยงด้วยตัวเอง
ฮิมรัก แต่ผมเกลียดมันเข้าไส้
และมันก็เหมือนจะเกลียดผมเข้าไส้เหมือนกัน เพราะในบ้านหลังนี้มันเชื่องกับทุกคนยกเว้นผมคนเดียว
“เลบอกให้หยุดวิ่งไง!” ผมตะโกนลั่น ส่งสายตามองเจ้าแมวก้นกลมๆ ตัวอ้วนๆ อย่างนึกแค้นใจหลังจากวิ่งไล่มันมาเกือบยี่สิบนาที วันนี้ผมกับฮิมจะไปดูหนังแต่เป็นหนังรอบบ่ายสอง เวลามีเหลืออยู่เยอะผมเลยหวังจะจับมันมาอาบน้ำเพราะไม่ได้อาบมานานมาก ในบ้านหลังนี้ทุกคนมีหน้าที่ (แต่ไม่ทำ) ซึ่งหน้าที่ที่ผมต้องรับผิดชอบจริงๆ นั่นก็คือการดูแลสัตว์ในบ้าน แถมยังเป็นสัตว์ที่เชื่องกับทุกคนยกเว้นผมอีกต่างหาก!
ถ้าพ่อไม่ขอ ผมไม่มีทางทำแน่ ๆ
“ย๊าส์!! โกรธแล้วนะ”
“เซียร์ หยุดวิ่งเดี๋ยวนี้!”
“เซียร์! ไปอาบน้ำ”
“เซียร์!!”
“ทำอะไรอยู่น่ะเล” ผมหันไปมองเจ้าของเสียง ฮิมกำลังเดินลงบันได แขนแกร่งเอื้อมมือโอบเอวผมเอาไว้เมื่อลงมาถึง กลิ่นหอมและเย็นบ่งบอกว่าพ่อพึ่งอาบน้ำเสร็จ
ผมไม่ได้ตอบคำถามเพราะสายตากำลังจับจ้องที่แมวผีตัวเดิมไม่เปลี่ยน
และตอนนี้มันกำลังจะหนีไปอีกแล้ว…
“อย่าหนีนะ!!” ผมร้องลั่น หวังแยกตัวออกจากร่างสูง ทว่าไปไหนไม่ได้เพราะมือหนาเกาะเอวผมเอาไว้ไม่ปล่อย ผมเงยหน้ามองฮิมซึ่งเจ้าตัวดูเหมือนจะรู้แล้วว่าผมกำลังทำอะไร นัยน์ตาคมสีดำสนิทก้มลงมองผมครู่หนึ่ง มือหนายังรวบเอวเอาไว้เหมือนเดิม หลังจากนั้นใบหน้าหล่อเหลาก็หันไปมองเจ้าแมวก้นกลมที่กำลังสะบัดตูดเดินออกไป ฮิมยกมือขึ้นบีบจมูกผมเบาๆ พร้อมๆ กับเรียกชื่อมัน
“เปอร์เซียร์”
ทันใดนั้นแมวตัวหนาที่ตั้งชื่อตามสายพันธุ์ก็หยุดเดิน ใบหน้าอวบๆ หันมามองอย่างหยิ่งทะนงแต่พอเห็นว่าใครเรียกความหยิ่งทะนงนั้นก็หายไป มันเดินต้วมเตี้ยมมาเกาะแข็งเกาะขาฮิมทันที
น่าหมั่นไส้! ทีกับพ่อทำไมเชื่องจังเลย ผมเบ้ปากมองเจ้าแมวที่หาความเป็นมิตรไม่เจอจนกระทั่งเสียงทุ้มเรียกสติ
“หิวข้าวหรือยัง” พอฮิมถามผมถึงนึกขึ้นมาได้ว่าตัวเองยังไม่ได้กินข้าวเช้า และในขณะที่เขากำลังเอามือเกลี่ยปรอยผมออกจากใบหน้า ฉับพลัน ผมนึกวิธีแก้เผ็ดอิแมวผีตัวนี้ขึ้นมาได้
ผมเกลียดมันแต่ต้องยอมรับอยู่อย่างว่าแมวผีตัวนี้มันนิสัยเหมือนผมมาก โดยเฉพาะเรื่องหวงเจ้านาย
ผมโปรยยิ้มหวานใส่ ก่อนจะยกมือขึ้นรอบคอขาวพร้อมกับเอนตัวพิงบ่าแกร่งโดยมีมือหนามาจับเอวผมหลวมๆ อย่างที่เขาทำประจำ แต่เป้าหมายที่แท้จริงคือการใช้เท้าเขี่ยอิแมวบ้านี่ให้ออกห่างจากฮิมต่างหาก
ผมเป็นคนหวงพ่อ โดยเฉพาะกับแมวตัวนี้ ยิ่งเวลามันไปคลอเคลียฮิมแล้วผมรู้สึกยิ่งหวงเขาจนจะบ้าตาย ผมอาจจะเป็นโรคประสาทก็ได้แต่รู้สึกสะใจตอนเปอร์เซียร์มันแยกเขี้ยวใส่เหมือนโกรธ อารมณ์แบบกูชนะ ว่ะฮ่าๆๆ มึงเห็นข้อดีของการเป็นมนุษย์หรือยังอิแมวผี! อะไรประมาณนั้น
“เลหิวข้าวหรือยัง” เขาถามทวนอีกครั้ง
“ยังไม่หิว เลอยากอาบน้ำให้มันแต่มันไม่ยอมให้จับ” ผมบุ้ยหน้าไปทางแมวก้นเด้ง ในขณะที่ฮิมละตัวออกจากผมแล้วไปอุ้มมันขึ้นมาอย่างง่ายดาย
“เมี้ยว~”
เมี้ยวพ่องแกสิ! นี่มันพ่อเล
“งั้นพรุ่งนี้ค่อยอาบ” ฮิมว่าขณะเกาคางเปอร์เซียร์ที่กำลังทำหน้าทำตามีความสุข แต่สักพักก็วางมันลงกับพื้นแล้วเจ้าแมวก้นกลมก็สะบัดตูดเดินเตาะแตะไปทางอื่น
“ทำไมล่ะ เหลือเวลาอีกตั้งเยอะ” ตอนนี้เก้าโมงเหลือเวลาอีกเกือบห้าชั่วโมงกว่าจะได้ไปดูหนัง
ฮิมไม่ได้อธิบายเขาหยิบกุญแจรถขึ้นมาโชว์ให้ผมดู “มีรถเข้ามาใหม่ อยากไปดูไหมล่ะ”
เท่านั้นแหละ ใจก็เต้นแรงราวกับว่าจะหลุดออกมา ผมเบิกตากว้างรีบพยักหน้าด้วยความยินดี
ใจที่ว่าสั่นแล้วยิ่งสั่นอีก ยามรถสปอร์ตคันหรูเคลื่อนเข้ามาในเขตพื้นที่ของบริษัทใหญ่ยักษ์ที่กวาดพื้นที่ไปกว่าหนึ่งร้อยห้าสิบไร่แถวชานเมือง ตึกขนาดใหญ่สไตล์โมเดิร์นสมัยใหม่ สูงตระง่าน สวยสะดุดตา แสดงความโอ่อ่าและหรูหราอย่างมีระดับ
ผมแทบจะวิ่งลงจากรถทันทีที่ฮิมจอด ผมไม่ได้มาที่นี่เกือบเดือน ถือว่านานมากทั้ง ๆ ที่มันเป็นสถานที่ที่ผมโปรดปรานมากที่สุด แต่ฮิมดันไม่ให้ผมมานอกจากว่าเขาจะอนุญาตนี่สิ สงสัยกลัวว่าถ้าผมมาแล้วธุรกิจหมื่นล้านของตัวเองจะล้มจม เพราะถ้าผมมาที่นี่เมื่อไหร่ ผมเล่นไม่เคยเหลือ
ผมกระโดดลงจากรถเมื่อมันจอด แล้ววิ่งเข้าสู่ตึกสูงระฟ้ากว่า 70 ชั้นด้วยความเร็วแรงชนิดที่ว่า รปภ เปิดประตูให้ไม่ทัน แอร์เย็นกระแทกหน้าถัดมาคือเสียงทักทายจากพี่พนักงานที่จำหน้าผมได้หลายต่อหลายคน
‘สวัสดีค่ะน้องเล’
‘น้องเลมาตั้งแต่เมื่อไหร่’
‘ไม่เจอกันนานนะคะ’
‘น้องเล…’
ผมอยากตอบแต่เหมือนขามันไม่คิดอย่างนั้น เพราะมันยังคงวิ่งต่อไป แถมไม่สนใจสายตาของใครหลาย ๆ คนที่มองมาด้วยแววตาตำหนิ ประหนึ่งมีเด็กกะโปโลมาวิ่งเล่นในบริษัทยักษ์ใหญ่ขนาดนี้ สนซะที่ไหน ที่นี่ผมใหญ่น้อยไปเสียเมื่อไหร่ล่ะ
“เลอย่าวิ่ง” เสียงฮิมดังมาตามหลัง ในขณะที่ผมวิ่งนำหน้า พ่อก็วิ่งมาตามหลังเหมือนกัน
เขาจับตัวผมได้ตอนที่ผมวิ่งมาถึงจุดหมาย มันอยู่หลังตึกหรู เป็นอู่ซ่อมรถขนาดใหญ่ที่ไฮโซ ดูดี มีระดับที่สุดในประเทศไทย ทีนี้เริ่มเดาได้แล้วใช่ไหมว่าฮิมพาผมมาที่ไหน
และใช่… บริษัทของเขาเอง
ฮิมเป็นประธานบริษัทนำเข้าและส่งออกรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย อีกหนึ่งสาขาจากทั้งหมดแปดสิบห้าสาขาในเครือแฮมินตัน บริษัทนำเข้า ส่งออกและผลิตรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก สาขาที่ไทยซึ่งฮิมเป็นประธานอยู่นั้นยังเรียกได้ว่าเป็นสาขาย่อย ส่วนสาขาใหญ่ตั้งอยู่ที่ประเทศอังกฤษ (เพราะแบบนี้เขาถึงต้องบินไปประชุมที่อังกฤษบ่อย ๆ) มีคนคุมบังเหียนของเครือแฮมินตันทั้งแปดสิบสี่สาขาจริง ๆ คือคุณพ่อของฮิม คุณลุงผู้ไม่ประสบอารมณ์ทุกครั้งที่เจอหน้าผม แต่แค่ที่ไทยแฮมินตันก็สามารถกวาดรายได้กว่าหมื่นล้านบาทและอีกหลายพันล้านต่อปี ผมไม่อยากจะนึกเลยว่าถ้ารวมเงินทั้งหมดจากแปดสิบสี่สาขาเข้ากันเมื่อไหร่ยอดมันจะพุ่งไปถึงเท่าไหร่ ยิ่งไปกว่านั้นธุรกิจในเครือของแฮมินตันที่ว่านี่ก็ไม่ได้มีแค่นำเข้า ส่งออกและผลิตรถยนต์ ธุรกิจหลักอีกสามอย่างคือค้าน้ำมัน ผลิตเครื่องบิน เรือ และอย่างสุดท้าย เป็นบริษัทใหญ่ในการผลิตและขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยิบย่อยอีกเยอะแยะ
รวม ๆ แล้ว ธุรกิจหลักของแฮมันตันมีสี่อย่าง แต่อันดับหนึ่งก็ยังเป็นนำเข้า ส่งออกและผลิตรถยนต์อยู่ดี ฮิมเรียนวิศวกรรมยานยนต์ก็เพราะแบบนี้ แน่นอนว่าทั้งหมดมันจะถูกส่งต่อให้ฮิมซึ่งเป็นลูกชายเพียงคนเดียวของประธานใหญ่แฮมินตัน
เห็นได้ชัดว่าถึงผมจะเกาะเขากินไปจนตายยังไงเขาก็ไม่มีทางอดตาย แต่ก็ไม่รู้ว่าฮิมจะยอมให้ผมเกาะหรือเปล่านี่สิ ในตอนนี้ที่แน่ ๆ คือเขายอมรับความยุ่งยากโดยการเป็นประธานบริษัทในเครือแฮมินตันสาขาที่ไทยตั้งแต่อายุสิบเจ็ดเพื่อที่จะเอาเงินมาเลี้ยงดูผม ดูเป็นเด็กเสี่ยยังไงชอบกล ถ้าไม่ติดที่เสี่ยที่ว่าเลี้ยงผมมาตั้งแต่สามขวบอ่ะนะ
ฮิมเป็นเจ้าของบริษัทแฮมินตันสาขาที่ไทย (กับอีกแปดสิบสี่สาขาในวันข้างหน้า) ดังนั้นในฐานะที่ผมเป็นลูก (ไม่แท้) ผมถึงบอกไงว่าที่นี่ผมใหญ่น้อยไปเสียเมื่อไหร่ แต่ในกรณีนี้มันใช้ไม่ได้กับฮิมที่ใหญ่กว่า…
“คนดีอย่าวิ่งสิ” น้ำเสียงออกตำหนิ คิ้วเข้มที่ขมวดเข้าหากันราวกับว่าไม่พอใจบ่งบอกว่าพ่อกำลังจะโกรธจริง ๆ ผมรีบเขย่งปลายเท้าแล้วหอมแก้มสากก่อนที่เขาจะระเบิดอารมณ์ไปมากกว่านี้ ขืนโกรธขึ้นมาแล้วผมถูกลากกลับก็แย่สิอุตส่าห์ได้มาทั้งที
“เลขอโทษ”
“คราวหน้าไม่วิ่งนะ”
“อือ”
“ตอบดีๆ”
“ครับๆ”
“อ้าว น้องเลไม่ได้เจอกันนานเลยนะ” เสียงของผู้ใหม่ทำให้บรรยากาศอันตรายที่อยู่รอบตัวผมสลายลง เราเบนสายตาให้ไปความสนใจกับ ‘พี่ฮอว์ก’ ช่างใหญ่ประจำบริษัทที่มีตายิ้มเป็นจุดเด่น อายุยังไม่ถึงสามสิบแต่ฝีมือดีสุด ๆ ไม่ว่าจะรถเสีย รถพัง แม้กระทั่งรถที่เละจนแทบจะใช้งานไม่ได้พี่แกยังสามารถเนรมิตมันขึ้นมาให้ใหม่ได้เหมือนเดิม “คราวนี้มาทำไมล่ะ”
พี่ฮอว์กส่งตายิ้มมาให้อย่างที่ชอบทำ ผมรู้ว่าเขารู้ว่าผมมาทำไม
“พี่ฮอว์กอย่าแกล้ง” ผมส่งเสียงขู่อยากเห็นรถใหม่ที่พ่อว่าจนใจจะขาดแต่เขากลับไม่เอาออกมาให้ดู ผมชะเง้อคอมองไปทางด้านหลัง มันต้องซ่อนอยู่ภายใต้ประตูเหล็กบานใหญ่นั่นแน่ ๆ
“พี่แกล้งซะที่ไหน ต้องรอให้พ่อเลอนุญาติก่อนถึงจะเอาออกมาได้”
ผมรีบหันไปอ้อนคนข้างกายที่ยังปั้นหน้าขรึมอยู่ทันที “พ่ออนุญาตนะ ๆ”
“…”
“นะครับนะ น้า” ฮิมถอนหายใจ เขาหันมาบีบจมูกผมก่อนจะพยักหน้าให้พี่ฮอว์ก และพอช่างใหญ่ได้รับคำสั่ง มือหนาก็ล้วงมือเข้าไปหยิบกุญแจในกระเป๋า จากนั้นก็กดปุ่มอะไรบางอย่างทำให้ประตูเหล็กบานใหญ่ค่อย ๆ เลื่อนขึ้นไปจนเผยให้เห็นสิ่งที่อยู่ภายใน
เห็นครั้งแรกผมแทบจะกรี๊ก แต่กรี๊ดไม่ได้เป็นผู้ชายงั้นอ้ากแทน
“อ้ากกกกกกกกกกกกก!!!” เหมือนคนบ้า ผมวิ่งตรงดิ่งไปหารถด้านใน มองแล้วมองอีก ตะลึงแล้วตะลึงอีก
ฮิมไปหามาได้ยังไง…
“มะ…มันพึ่งเปิดตัวนี่” พูดติดอ่าง “แล้ว…”
“พ่อเราทุ่มไปเยอะเลยนะ” พี่ฮอว์กเฉลยความสงสัยด้วยตายิ้มดังเดิม ผมรีบหันหลังกลับ มองไปยังร่างสูงที่กำลังยืนกอดอกยกยิ้มที่มุมปากอยู่ “ไม่ไปขอบคุณหน่อยเหรอ”
“เดี๋ยวเลซื้อพวงมาลัยไปกราบเลย” ผมพูดด้วยใจจริง ตอนนี้ถ้ามีพวงมาลัยผมจะวิ่งไปกราบที่เท้าของเขาเลย
สิ่งที่อยู่ตรงหน้าของผมคือรถ Bugatti Chiron 2017 พึ่งเปิดตัวเมื่อไม่นาน มี 500 ร้อยคันบนโลก ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 2.4 ล้านยูโร มันมีกำลังสูงถึง 1,500 แรงม้าและสำหรับพวกบ้ารถที่เร็ว ๆ อย่างผมมันเป็นอะไรที่โคตรอยากลองขับ
ฮือ เลรักพ่อออ
“เลอยากขับ” ผมพูดด้วยน้ำเสียงสั่นรัวในขณะที่พี่ฮอว์กยื่นกุญแจมาให้ พูดทิ้งท้ายขำ ๆ
“อย่าเผลอเหยียบมิดล่ะ”
เหมือนได้ไปสวรรค์ ความเร็วของมันทำให้ผมรู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก
Bugatti Chiron 2017 คันนี้กำลังแล่นอยู่บนสนามแข่งรถขนาดใหญ่ที่อยู่ด้านหลังของบริษัทนำเข้าและส่งออกรถยนต์ ในขณะที่หัวใจของคนขับเต้นถี่ เหมือนเลือดสูบฉีดดีจนเกินเหตุ อะดรีนาลีนกับเอ็นโดรฟินหลั่งไหลลงมายิ่งกว่าเขื่อนแตก ผมแทบจะสำลักความสุขตายไปเลยด้วยซ้ำ
น้อยคนที่จะรู้… ผมรักความเร็ว
แถมสวรรค์ยังส่งเสริมความชอบของผมโดยการให้ฝีมือด้านการขับรถมันพุ่งพรวดขึ้นแบบไม่ต้องพยายามหรือที่เรียกกันว่าพรสวรรค์ ตั้งแต่เกิดมาไม่ว่ารถมันจะเร็วสักแค่ไหน ผมยังไม่เคยขับพลาดไปชนอะไรเลยสักครั้ง อาจจะเป็นเพราะมันอยู่ในการควบคุมของฮิมด้วย เขาเป็นคนแรกที่พาผมมาสัมผัสกับความเร็วแบบนี้ ฮิมขับรถเก่งมากโดยเฉพาะรถแข่ง เขาเก่งชนิดที่ว่าไปแข่งกับมืออาชีพได้ด้วยซ้ำแค่เลือกที่จะไม่ทำ
ตอนนี้ผมเลือกกำลังคิดว่าจะทำแทน เพราะแบบนี้เลยเลือกเรียนวิศวะแต่ไม่ใช่แค่เหตุผลเดียวนะ หนึ่งผมชอบความเร็วและชอบรถมาก ๆ สองเพราะครอบครัวของผมทำธุรกิจที่มันเกี่ยวข้องกับคณะนี้ก็เลยเรียนวิศวะ แม้วิชาคณิตศาสตร์กับฟิสิกของผมตั้งแต่มัธยมปลายขึ้นมาจะไม่เคยได้เกรดเกินสามจุดห้าก็ตาม
แต่ก็นั่นแหละ…
ผมชอบความเร็วเอามาก ๆ ยิ่งเร็วได้เท่าไหร่ก็ยิ่งดี โดยเฉพาะตอนนี้เข็มหน้าปัดที่บอกถึงความแรงและเร็วของรถกำลังจะสุดแต่ไม่สุด ผมไม่สามารถเหยียบให้มันสุดได้แม้คำที่พี่ฮอว์กพูดจะพูดเล่น ๆ ก็ตาม สนามแข่งที่ผมกำลังแล่นอยู่นี้ถือว่าดีแต่ดีไม่พอสำหรับมัน ความแรงที่ทะลุถึง 1,500 แรงม้า มีเพียงถนนไม่กี่สายบนโลกเท่านั้นที่สามารถรองรับความเร็วสูงสุดของรถระดับนี้ได้ ขืนผมเหยียบมิดแม้แต่พรสวรรค์เองก็ไม่อาจช่วยให้ผมไม่ได้ไปสวรรค์จริง ๆ
เอี๊ยดดด
เสียงล้อรถบดกับพื้นกับเบรกโดยการดริฟต์อย่างสวยงาม พอเปิดประตูลงมาขาก็แทบทรุดลงไปกับพื้น โชคดีฮิมมารับตัวเอาไว้เสียก่อน
“สนุกไหม” เขากระซิบถามที่ข้างหูในขณะที่ผมพยักหน้ารัว ๆ
“น้องเลทำลายสถิติของอันก่อนอีกแล้ว” พี่ฮอว์กเดินมาตามหลัง ในมือหน้าถือนาฬิกาจับเวลาอยู่ เขาบันทึกสถิติของผมเอาไว้ทุกครั้งที่ผมมาเล่นรถของที่นี่ “เก่งมากจริง ๆ นะ”
“ก็เลลูกพ่อ” ผมพูดขำ ๆ พลางกดใบหน้าเข้าอ้อมกอดอุ่น เรื่องที่ฮิมขับรถเก่งขนาดไหนพี่ฮอว์กรู้ดี
“ขับแล้วเป็นยังไงล่ะ”
“มันส์ดี”
“เทียบกับคันก่อน” คันก่อนคือ Bugatti Veyron
“คันนี้แรงกว่า เลชอบ”
“เห็นคันไหนแรงกว่าเราก็ชอบหมดแหละ” พี่ฮอว์กพูดติดตลกเป็นเวลาเดียวกันที่ผมหน้ามุ่ยให้ร่างสูงที่กอดผมอยู่
“แต่ม่ว่าจะชอบคันไหนก็ไม่เห็นฮิมให้สักคัน” รถของเขามีเป็นสิบ ๆ ผมก็ใช่ว่าจะขับรถไม่เก่งก็ไม่รู้ทำไมฮิมถึงไม่ยอมให้สักที “แต่วันนี้เลสัญญาแล้วว่าจะไม่งอแง”
ได้ลอง Chiron แล้วไม่ว่าจะทำอะไรผมก็สุขล่ะครับตอนนี้
ฮิมยิ้ม ๆ เขาก้มลงจุ๊บเหม่งผมทีหนึ่งแล้วละออกไปคุยกับพี่ฮอว์ก ทิ้งให้ผมไปขัด ๆ ถู ๆ Chiron ด้วยความปลาบปลื้มปิติต่อ แต่หลังจากนั้นสามสิบนาทีเราก็บอกล่าพี่ฮอว์กเพื่อที่จะไปดูหนังอย่างที่ตั้งใจ
ฮิมพามาที่ห้างประจำ พอมาถึงผมไปจองบัตร แต่หลังจองบัตรเราก็ยังพอมีเวลาอีกสี่สิบกว่านาทีเพราะตอนนี้มันพึ่งบ่ายโมงสิบนาทีกว่า ๆ เอง ทางออกของผมกับพ่อก็คือไปกินข้าว กินข้าวเสร็จก็เดินเข้าโรง หนังที่จะดูในวันนี้เป็นหนังผีของค่ายดัง ผีหลัก ๆ เป็นผีแม่ชี คนกรี๊ดลั่นโรงตอนมันออก ส่วนผมแทบจะมุดเข้าไปสิงอยู่ในร่างของฮิมอยู่แล้ว เคยเป็นกันไหมครับ กลัวแต่อยากดู
ดูหนังเสร็จความสุขผมหายจนมิด พอได้มีความสุขต่อตอนที่พ่อพาเข้าไปซื้อรองเท้า…
19.37 นาที
“กลับมาแล้ว!” ผมตะโกนบอกพลางถีบประตูบ้านดังปึง!
“เสียงดังหาพ่อมึงเหรอ” เสียงใครสักคนก่นด่าแต่ผมไม่สนใจ รีบวิ่งไปตามทิศทางของเสียงก่อนจะพบกับพี่ๆ ในบ้านทุกคนที่กำลังนั่งรวมกันอย่างพร้อมหน้าจนน่าแปลกใจ ขนาดพี่ผากับพี่เกียร์ยังมาเลยแถมวันนี้ไม่มีเหล้าด้วยนะ มีแต่…
“แค่กกๆๆ”
…บุหรี่…
พี่วินทำหน้าซังกะตายก่อนจะยอมดับบุหรี่ลงเหมือนคนอื่นเมื่อเห็นผมมา “มึงขึ้นห้องไป”
“ไม่เอา! ทำไมวันนี้พร้อมหน้ากันจัง” ผมรีบวิ่งไปนั่งข้างๆ พี่ผาก่อนที่พี่วินจะไล่ผมขึ้นห้องอีกรอบ
“ขึ้นห้องไปผู้ใหญ่เขาจะคุยกัน”
“แก่กว่าแค่สามปีเอง”
“เลพูดดีๆ” พี่รพส่งเสียงข่มจนผมต้องเบ้หน้าแล้วรีบปิดปากตัวเอง ผมกลัวพี่รพจะตาย “แล้ววันนี้ไปไหนมา”
“ไปเที่ยวกับพ่อ…ครับ”
“เหรอ”
“ถามทำไม”
“ถามเฉยๆ” เจ้าของเรือนผมสีแดงหันหน้ามาสบตากับผมแล้วเทศนาอีกรอบ “พูดกับพวกกูน่ะพูดดี ๆ”
“ครับ” ผมตอบรับอย่างว่าง่าย จนทุกคนบอกหันมามองเหมือนประหลาดใจ พี่วินแสยะยิ้มเอ่ยอย่างรู้ทัน
“วันนี้พ่อตามใจสินะ” ก็ไม่แปลกที่พี่วินจะรู้ ผมว่าง่ายนั้นหมายถึงผมอารมณ์ดี ขนาดผมเองยังคิดว่าตัวเองเป็นคนดื้อรั้นอยู่พอสมควร “เล อ๊ะนี่”
กล่องยับ ๆ ใบหนึ่งถูกโยนมาให้และพอพี่วินโยนมา พี่ไทด์ที่กำลังนอนอยู่บนโซฟาก็โยนตาม กลายเป็นกล่องยับ ๆ สองใบ มันถูกโยนมาแต่ผมรับไม่ทันเลยกลิ้งตกลงกับพื้น
“อะไรอ่ะ” ผมถามอย่างแปลกใจพลางก้มตัวลงไปเก็บมันขึ้นมาสำรวจดู
“มึงคิดว่ามันเป็นอะไรล่ะ”
“กล่องยับ ๆ สองใบ” พี่วินหุบยิ้มลงทันที
“งั้นมึงก็เอาแค่กล่องยับ ๆ สองใบไป”
“เอ้าก็เลไม่รู้นี่ งั้นของขวัญเหรอ”
“เออ”
“จริงดิ!”
“เออ”
“เฮ้ย!” ผมร้อง รีบฉีกกระชากกล่องเอาสิ่งของด้านในออกมาดู ของพี่วินมันคือกำไลสีเงิน ไม่ได้แพงแบบล้านอัพเหมือนพ่อแต่แพงกว่าของที่พี่เกียร์ให้สัก 10,000 เท่า แต่ที่สำคัญคือ… “รุ่นนี่มันเลิกผลิตนานแล้วนี่พี่วินไปหามาจากไหน”
ผมรู้เพราะมีช่วงหนึ่งที่ผมอยากได้ แต่หาซื้อไม่ได้ พี่วินยักไหล่ตอบสั้น ๆ ว่า
“ทุ่มเงิน”
“ฮือออ เลรักพี่วิน” ผมโผล่เข้ากอดคนที่นั่งอยู่ด้านล่างแต่ยังไม่ทันถึงตัวก็โดนเขาผลักออกไปทันที ผมล้มเลิกความพยายามไม่ได้กอดก็ไม่เป็นไร หันมามองของในกล่องพี่ไทด์เป็นสร้อยข้อเท้าสีเงิน เข้ากับกำไลที่พี่วินให้ ผมไม่ได้บอกขอบคุณเพราะพี่ไทด์หลับไปแล้ว
“เลไปอาบน้ำได้แล้วนะ” เสียงฮิมตะโกนมาจากหน้าประตู ผมได้ยินแต่ไม่ได้ใส่ใจนักเลยหันไปถามพี่วินต่อ
“ว่าแต่ให้ในโอกาสอะไรอ่ะ”
“ที่มึงสอบเข้ามหา’ลัยได้ไง”
“อ๋อ” ผมลากเสียงยาวขณะสวมกำไลข้อมือกับสร้อยข้อเท้าให้ตัวเอง
“ของกูอยู่โน้น” พี่รพว่าพลางชี้นิ้วไปทางหน้าโทรศัพท์
ผมหันไปตามทิศทางที่พี่รพชี้ แล้วอ้าปากค้างมองลังขนาดใหญ่ที่วางอยู่ไม่ไกลนัก “อะไรเนี่ย”
“เปิดดูเอาเองสิ” ตั้งใจจะวิ่งไปหากล่องใหญ่ถ้าไม่ติดที่ว่ามีมือหนามาคล้องเอวแล้วลากให้ผมไปแนบชิดตัว เจ้าของมือหนาคือพ่อ ฮิมส่งสายตาดุมาให้ “ไปอาบน้ำ”
เขาบอกผมเป็นครั้งที่สอง ปกติถ้าผมไม่ทำตามฮิมจะพูดประโยคเดิมแค่สามครั้ง ถึงครั้งที่สามเมื่อไหร่เตรียมระวังมหาภัยได้เลย ผมมองลังของขวัญของพี่รพตาละห้อย อยากเปิดแต่ก็ไม่อยากขัดใจพ่อ วันนี้เขาตามใจผมเยอะแล้ว ผมควรตามใจเขาบ้าง
ฮิมจูงมือผมเดินขึ้นห้อง ร่างสูงเดินไปหยิบผ้าขนหนูมาให้แล้วดันหลังผมเดินเข้าไปในห้องน้ำ ถึงหน้าประตูฮิมก็หยุดเดินตาม ทิ้งผมให้เดินเข้ามาในห้องน้ำคนเดียว
ประตูปิด…ความเงียบเข้าครอบงำ
หนังผีที่พึ่งดูไปเมื่อตอนบ่ายมันวกกลับเข้ามาเล่นงาน
ผีแม่ชี…
ปัง!
“พ่อ!” ผมเปิดประตูออก มองเจ้าของนัยน์ตาคมที่กำลังถอดเสื้อออกจากตัว งั้นยิ่งดีเลย…
“ทำไมยังไม่อาบ”
“เลกลัวผี” ผมบอกเสียงสั่น ดังนั้น…
“อาบน้ำกับเลหน่อย”
แท็ก #วิศวะแดนแฟนมีเกียร์