วันที่ 3
วันนี้เราตื่นนอนกันแต่เช้าเพราะจะออกนอกโตเกียวไปเที่ยวย้อนอดีตสมัยเอโดะที่เมืองคาวาโกเอะ จังหวัดไซตามะกัน ลำดับการตื่นก็เหมือนเมื่อวาน น้องหมีตื่นก่อน ผมตื่นทีหลังเพราะไม่อาบน้ำตอนเช้า และเป็นเพราะได้ผมเป็นแบบอย่างเช้านี้น้องมันเลยไม่อาบน้ำบ้าง
ช่างเป็นน้องชายที่มีผมเป็นต้นแบบในการดำเนินชีวิตโดยแท้จริง
"พี่อิน"
ผมหันไปมองตามเสียงเรียกก็เห็นน้องหมีนั่งทำหน้าครุ่นคิดอยู่บนเตียง ตอนนี้น้องมันพร้อมแล้วสำหรับการเดินทาง เหลือแต่ผมนี่แหละที่ยังแต่งตัวไม่เสร็จ
"วันนี้ใส่ชุดนี้ได้มั้ย" แล้วถุงกระดาษใบใหญ่ก็ถูกยื่นมาให้
ใส่เสื้อเสร็จผมก็เดินไปหยิบมาดู แต่ขอโทษเถอะ นี่มันเสื้อผ้าผู้หญิงที่น้องมันซื้อเมื่อวานตอนไปชิบูย่าไม่ใช่หรือไง แล้วจะให้ผมใส่ไอ้นี่เนี่ยนะ
"จะเล่นอะไร" ผมยื่นถุงคืน ไม่รู้ว่าเป็นมุกแกล้งอำหรือว่าอะไร แต่ใครมันจะไปใส่
"แบร์อยากถ่ายสติ๊กเกอร์อ่ะ" ไม่ยอมรับถุงกลับแถมทำตาละห้อยใส่ผมอีก นี่ยังไม่ตัดใจกับพุริคุระอีกเหรอ
"แล้วจะให้ใส่ชุดนี้เนี่ยนะ คิดได้เนอะ" คิดได้ไม่พอแถมยังเสียเงินซื้อมาอีก ตอนแรกผมก็คิดว่าน้องหมีมันซื้อให้แฟน ที่ไหนได้ อยากจะตะโกนด่าดังๆ ว่าไอ้บ้า!
"มันก็โอเคนะ ไม่หญิงเท่าไร พี่อินใส่น่าจะเหมาะอยู่" ว่าแล้วก็หยิบชุดออกจากถุงมากางให้ผมดู เป็นเสื้อแขนยาวสีกรมท่าตัวโคล่งกับกระโปรงสั้นจีบรอบสีขาว นี่น่ะเหรอไม่หญิงเท่าไร แค่กระโปรงมันก็ไม่ใช่แล้วมั้ยไอ้น้อง
"ไม่ใส่" ปฏิเสธเสียงแข็งแล้วผมก็เดินกลับไปมุมของตัวเอง แอบหันไปมองเห็นน้องหมีพับเสื้อผ้าเก็บด้วยสีหน้าเซ็งๆ ดูไปแล้วก็ตลกดี แต่ที่ตลกกว่าก็ความคิดน้องมันนี่แหละ
"งั้นขออะไรอย่างนึง" เงียบไปสักพักจนผมแต่งตัวใกล้เสร็จข้อแม้ก็ผุดขึ้นมาอีก ไม่ได้อย่างก็จะเอาอีกอย่างงั้นเหรอ
"อะไร"
"วันนี้ไม่ต้องเช็ตผมหน้าม้าขึ้นนะ"
สถานีอิเคะบุคุโระยามเช้ายังคึกคักเหมือนอย่างเคย เรานั่งรถไฟหวานเย็นออกนอกเมืองโดยใช้เวลาห้าสิบนาที แปดโมงนิดๆ ก็มาถึงสถานีคาวาโกเอะ แต่ลิตเติ้ลเอโดะที่เราจะไปกันนั้นต้องไปต่ออีก ทางเลือกมีอยู่สองทางคือรถบัสกับเดิน แล้วคิดว่าคนอย่างผมจะเลือกอะไร
แน่นอนว่าต้องเลือกเดินอยู่แล้ว
ออกจากสถานีเราก็เดินไปตามเส้นทางที่หาข้อมูลมา ปกติผมเป็นพวกชอบเดินอยู่แล้ว ยิ่งเจออากาศเย็นสบายในฤดูใบไม้ผลิกับบ้านเมืองแปลกหูแปลกตายิ่งชวนให้อยากเดินซึมซับบรรยากาศมากกว่านั่งรถบัส แม้คนข้างๆ จะบ่นหิวแล้วหิวอีกก็เถอะ
"เดี๋ยวถึง CREA MALL ค่อยหาอะไรกิน"
CREA MALL เป็นซอยสำหรับช็อปปิ้งคล้ายกับทาเคชิตะที่ฮาราจุกุ ซอยนี้ใช้เดินทะลุไปยังย่านโกดังเก่าสมัยเอโดะ มีของขายตลอดทั้งซอยและแน่นอนว่าต้องมีของกิน ผมเลยวางแผนไว้ว่ามาถึงคาวาโกเอะเราค่อยมาหาอะไรกินที่นี่แล้วค่อยไปเดินเที่ยวกัน
เดินเรื่อยเปื่อยถึงมาถึงหน้าทางเข้า CREA MALL ทว่าสิ่งแรกที่เราพบกลับเป็นความเงียบสงบไม่ต่างจากซอยร้าง ร้านค้าตลอดสองฝั่งทางเดินปิดประตูเงียบกริบยังไม่มีร้านไหนเปิดให้บริการสักร้าน มีเพียงคนเดินถนนไม่กี่คนเดินสวนกันเข้าออกซอย
หรือว่าจะมากันเช้าเกินไป
เราหันมามองหน้ากันโดยมิได้นัดหมาย รู้ถึงชะตากรรมท้องไส้รางๆ ว่าอาจจะไม่มีอะไรตกถึงท้องเร็วๆ นี้ก็เป็นได้ แต่ยังไงซะมันก็ต้องมีเปิดสักร้านล่ะน่า อย่างน้อยก็ร้านสะดวกซื้อ
ผมกับน้องหมีเดินไปเรื่อยๆ ตามทางที่เงียบสงบเหมือนไม่มีคนอยู่เพราะร้านค้าส่วนใหญ่เขาเปิดช่วงสิบหรือสิบเอ็ดโมงกันหมด ความหวังเลยตกไปอยู่ที่โซนเมืองเก่าคุราซุคุริที่เรากำลังมุ่งหน้าไป แหล่งท่องเที่ยวแบบนั้นต้องมีร้านอาหารอร่อยๆ อย่างแน่นอน
เริ่มเดินเข้าใกล้โซนคุราซุคุริบ้านเรือนก็เริ่มเปลี่ยนเป็นแบบสมัยเก่า ตัวอาคารสองชั้นสร้างด้วยไม้เรียงเป็นแนวยาวตลอดทั้งซอย บวกกับความเงียบสงบยามเช้าเลยสามารถเก็บภาพวิวสวยๆ ได้โดยไม่ต้องกลัวจะติดใครเข้ามาในภาพ
"พี่อิน"
ผมไม่ได้หันไปตามเสียงเรียกเพราะรู้ว่าน้องหมีมันคิดจะทำอะไร เลยทำทีเป็นเดินเก๊กท่ามองดูอาคารบ้านเรือนไปเรื่อยเปื่อย
จะแอบถ่ายก็ถ่ายเลย เอามุมนี้แหละหล่อสุดแล้ว
"ทำเป็นเมิน"
เสียงทุ้มๆ ดังขึ้นใกล้หูก่อนวงแขนของคนตัวสูงกว่าจะอ้อมมาจากด้านหลังพร้อมกล้องในมือที่หันเลนส์เข้าหา คางแหลมๆ วางลงบนไหล่ผมเบาๆ ก่อนเสียงนับให้สัญญาณจะดังตามมา
"นึง ส่อง ซั่ม"
ผมยิ้ม กดคางต่ำจนรู้สึกได้ว่าเนื้อที่คางมากองรวมกันเป็นชั้นๆ แล้วเหลือกตามองบน ได้ยินเสียงชัตเตอร์ดังแชะเจ้าของกล้องก็หัวเราะร่วนก่อนหันกล้องมาเปิดรูปดู
ทำหน้าอะไรกันวะเนี่ย โคตรตลก
หน้าผมว่าตลกแล้วหน้าน้องหมีเองก็ไม่ต่าง ทำปากเบี้ยวตาเหล่ หมดกันกับความคูลและความหล่อที่สั่งสมมา นี่เราไม่ได้นัดกันนะว่าจะทำหน้าตาทุเรศทุรังแบบนี้ หรือน้องมันเห็นผมทำเลยทำตาม
รูปแบบนี้อย่าให้หลุดสู่สาธารณะเลยนะ อายเขา
"ลบๆ" ผมตั้งท่าจะคว้ากล้องมาลบรูปทิ้ง แต่ด้วยตำแหน่งที่เสียเปรียบแค่ยกมือขึ้นน้องหมีก็ยกกล้องหนีแล้วถอยออกห่าง
"ตลกดีไม่ต้องลบหรอก" ว่าแล้วก็ยิ้มอารมณ์ดีเดินลัลล้าไปถ่ายรูปมุมอื่น
ผมได้แต่ส่ายหน้าหน่ายๆ แล้วเดินตามน้องมันไป เรื่องรูปพวกนี้ผมไม่คิดมากหรอก เบ้าหน้าดีซะอย่างถ่ายรูปตลกโปกฮายังไงมันก็ยังมีความดูดี แต่ถ้าไม่มีคนอื่นเห็นเลยนอกจากเราสองคนมันจะดีที่สุด
เดินทอดน่องกันมาเรื่อยๆ ในที่สุดเราก็มาถึงโซนเมืองเก่าคุราซุคุริ ในรีวิวที่ผมอ่านกับรายการที่ผมเคยดูมามันช่างคึกคักเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวหลากหลายชาติ แต่ภาพที่อยู่ตรงหน้าตอนนี้มันให้บรรยากาศต่างกันลิบลับจนชักไม่แน่ใจแล้วว่ามาถูกที่จริงหรือเปล่า
"เราคงมาเช้าเกินไป" ผมยกนาฬิกาขึ้นดูแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ
เก้าโมงสิบห้านาที นี่ขนาดเดินเอื่อยเฉื่อยมาตั้งไกลเพิ่งจะเก้าโมง บ้านเมืองตอนนี้เลยสงบสุขอย่างกับไม่มีคนอยู่ ถ้าไม่เห็นว่ามีรถวิ่งผมคงคิดว่าที่นี่เป็นหมู่บ้านร้างไปแล้ว แต่โทษใครได้ที่ไหน โทษตัวเองนี่แหละที่เป็นคนจัดตารางเวลาเอง
จ๊อกกกกก~
เหมือนผมได้ยินเสียงท้องใครบางคนร้องนะ
"ขอโทษ ไม่รู้ว่าร้านมันจะเปิดช้าขนาดนี้" ผมยอมรับผิดก็ได้ คิดว่าสถานที่ท่องเที่ยวร้านค้าจะเปิดเร็วไง ศึกษามาไม่ดีเอง
โป้ก! มโนว่าเคาะกะโหลกตัวเองหนึ่งทีเป็นการลงโทษ
"ไม่เป็นไร หิวนิดเดียว" พูดเสียงเล็กเสียงน้อยแล้วยิ้มจนตาปิด
พูดมาได้หิวนิดเดียว ท้องร้องดังซะขนาดนั้นคงจะเชื่อหรอก น้องมันยิ่งเป็นคนกินเยอะอยู่ เก้าโมงแล้วยังไม่ได้กินข้าวเช้ามันต้องหิวอยู่แล้ว ดูท่าจะหิวมากด้วยแต่ยังเก็บอาการ
"พี่อินๆ ร้านนั้นเปิดแล้ว" ระหว่างที่เรากำลังเดินไปตามทางอันแสนเงียบสงบน้องหมีมันก็กระตุกแขนผมซะแรงพลางชี้ไปยังถนนฝั่งตรงข้ามที่มีร้านขนมเปิดอยู่
ไหนเมื่อกี้ว่าไม่หิวไง
"ไปดูกัน" แล้วผมก็โดนลากไปรอที่ทางข้ามทันที
พอไฟเขียวน้องหมีก็เดินนำหน้าไปยังร้านที่มีควันฉุยลอยออกมาจากหมอนึ่ง ของที่ขายหน้าตาคล้ายกับซาลาเปาบ้านเราแต่เป็นสีเหลืองเข้ม ผมไม่รู้เหมือนกันว่ามันเรียกว่าอะไร รู้แค่ว่าน้องหมีมันสั่งไปเรียบร้อยแล้วสี่ลูก
ซาลาเปาสีเหลืองสองลูกถูกยื่นมาให้ ผมจะควักเงินจ่ายก็เจอน้องหมีทำท่าปางห้ามญาติใส่ ครั้งนี้เลยได้กินแบบฟรีๆ งั้นเอาไว้เลี้ยงคืนทีหลังก็แล้วกัน
เราเดินไปกินไปตามทางที่เงียบสงบไร้สิ่งน่าสนใจใดๆ นอกจากอาคารบ้านเรือน ร้านค้าที่ยังไม่เปิด สวนสาธารณะกับศาลเจ้าเล็กๆ เลยชวนกันแวะเข้าไปถ่ายรูป ใช้เวลาราวๆ ยี่สิบนาทีก็เดินจนทั่วโซนคุราซุคุริ ขนาดตอนเดินวนกลับมาร้านค้าส่วนใหญ่ก็ยังไม่เปิดเราเลยตกลงว่าจะไปสถานที่ต่อไปกันเลย
ขามาเดินฝั่งหนึ่งขากลับก็เดินอีกฝั่งหนึ่ง เจอร้านขายซอฟต์ครีมกับพวกน้ำหอมสมุนไพรเปิดแล้วน้องหมีเลยสะกิดผมยิกๆ
"กินไอติมกัน"
"หนาวแบบนี้อ่ะนะ"
"หนาวตรงไหน กำลังเย็นสบายเลย"
ครับ ไอ้พ่อคนหนังหนา ไอ้หมีขั้วโลก ผมเป็นพวกขี้หนาวไง อากาศยี่สิบต้นๆ ก็ว่าหนาวแล้ว ที่เดินเล่นเมื่อกี้เจอลมพัดแรงๆ ก็สั่น ส่วนเรื่องจะกินซอฟต์ครีมตอนนี้นั้น
"งั้นเอาวนิลา"
ถึงหนาวก็อยากกินอยู่ดี
มือถือซอฟต์ครีม ปากและลิ้นเล็มเนื้อไอศกรีม ตัวก็สั่นถี่ๆ บางจังหวะฟันก็กระทบกันดังกึกๆ
ผมเหลือบมองน้องหมีที่เดินกินซอฟต์รสชาเขียวแบบชิลๆ แล้วรู้สึกอนาถใจกับตัวเอง เหมือนพวกไม่เจียมสังขาร ทนไม่ไหวก็อยากจะทน สุดท้ายก็ทรมานตัวเอง แต่เป็นการทรมานด้วยความอร่อย
"ไหวมั้ยเนี่ย" น้องหมีถามกลั้วหัวเราะ นี่คือเป็นห่วงกันใช่มั้ย
"ไม่อ่ะ" ผมก็ยืดอกรับความจริง สั่นจนเหมือนเป็นโรคพาร์กินสันขนาดนี้จะบอกว่าไม่หนาวมันก็ยังไงอยู่
"งั้นเอาเสื้อแบร์ไปใส่" พูดจบน้องหมีก็ถอดเสื้อกันหนาวของตัวเองออกมาคลุมให้ผม เหลือเสื้อไหมพรมไว้กันหนาวตัวเดียว
แล้วถามว่าผมปฏิเสธมั้ย
"ขอบใจ" ยิ้มรับน้ำใจด้วยความยินดี เอาไว้ร่างกายอุ่นเมื่อไรจะคืนให้แล้วกัน
น้องหมียิ้มตาปิดตามสไตล์เจ้าตัว กินซอฟต์ครีมหมดก็หยิบกล้องขึ้นมาถ่ายรูปต่อ ถ่ายวิวบ้างถ่ายผมตอนเผลอบ้าง โดนถ่ายบ่อยๆ จนชักเริ่มชิน ผมเลยปล่อยให้น้องหมีมันถ่ายไป รูปที่ออกมามันก็ดูเป็นธรรมชาติและสวยดีด้วย จบทริปนี้ผมคงมีรูปไว้เปลี่ยนโปรไฟล์สารพัดแอปในโซเชียลตลอดทั้งชาติแน่ๆ
จบทริปคาวาโกเอะเราก็นั่งรถไฟกลับโตเกียวเพื่อไปยังสถานีอุเอโนะ เป้าหมายคือการชมซากุระในสวนซึ่งไม่รู้ว่ามันจะบานหรือยัง และอีกหนึ่งภารกิจคือไปกินซูชิหน้าล้นที่ร้ายมิอุระมิซากิ โคว ใกล้ๆ กับตลาดอะเมะโยโกะ
ตามแพลนที่จัดไว้เราต้องไปเดินสวนอุเอะโนะกันก่อนแต่เพราะแบกท้องอันหิวโหยมาจากคาวาโกเอะเลยเปลี่ยนไปกินซูชิก่อนแทน เป็นการรวบมื้อเช้ากับเที่ยงเอาไว้ด้วยกัน ผมว่าน้องหมีต้องซัดเรียบจานกองท่วมหัวแน่ๆ เล่นบ่นหิวตั้งแต่ขึ้นรถไฟที่คาวาโกเอะจนถึงตอนนี้
เข้ามาในร้านได้ไม่ถึงห้าวินาทีน้องหมีก็หยิบซูชิจานแรกจากสายพาน ผมเลยต้องเป็นคนบริการให้ทั้งชงชาเขียวทั้งเทโชยุใส่ถ้วยไถ่โทษที่ปล่อยให้น้องหิว
ซูชิแซลมอนชิ้นใหญ่ถูกยัดใส่ปากแล้วเคี้ยวตุ้ยๆ น้องหมีทำหน้าฟินหลับตาพริ้มส่งเสียงครางเบาๆ ในลำคอเหมือนพวกรายการเวลาชิมอาหารไม่มีผิด ไม่รู้อร่อยจริงหรือเพราะหิวมากกันแน่
"อร่อยมั้ย" ผมหันไปถามระหว่างชงชาให้ตัวเอง
คนที่กำลังเคี้ยวซูชิอยู่เต็มปากพยักหน้ารับรัวๆ ผมยิ้มรับแล้วเล็งหาจานที่พอจะกินได้บ้าง
ปกติแล้วผมไม่ชอบกินของดิบ เวลาเพื่อนยกโขยงกันไปกินบุฟเฟต์แซลมอนก็ไม่เคยไปกับเขา ตอนไปเที่ยวใต้เคยกินหอยนางรมสดๆ แล้วแทบจะขย้อนออกมา มันหยึ๋ยๆ รู้สึกไม่ค่อยดี พวกปลาดิบก็เหมือนกัน และไม่ว่าซูชิหน้าไหนที่เลื่อนผ่านหน้าไปผมก็เลือกไม่ถูกสักจาน ก็มันของดิบเกือบทั้งนั้นเลยนี่หว่า
"เลือกไม่ได้เหรอ" น้องหมีที่เพิ่งจัดการจานแรกหมดหันมาถาม น้องมันก็รู้ว่าผมไม่ชอบปลาดิบเลยทำหน้าลำบากใจใหญ่
"ไม่รู้จะกินอะไรดี"
"ลองปลาไหลก่อนก็ได้"
ซูชิหน้าปลาไหลย่างถูกหยิบมาวางตรงหน้าโดยไม่ต้องเอ่ยปากขอ ผมยิ้มขอบคุณ อย่างน้อยมันก็เป็นของสุก รสชาติก็คงไม่ต่างจากข้าวหน้าปลาไหลที่เคยกิน แต่เอาจริงๆ ปลาไหลผมก็ไม่ค่อยชอบนะ
"แบ่งคนละชิ้นมั้ย"
ซูชิจานหนึ่งจะมีสองชิ้น ผมไม่ค่อยชอบมันอยู่แล้วคงกินได้ไม่เยอะ อีกอย่างถ้าแบ่งกันแบบนี้น่าจะได้กินหน้าที่หลากหลายกว่า
"โอเค" ทันทีที่ผมตอบรับซูชิหนึ่งชิ้นก็โดนน้องหมีคีบไป จิ้มโชยุนิดหน่อยแล้วยัดเข้าปาก เคี้ยวตุ้ยๆ พยักหน้าให้ผมเป็นเชิงบอกว่ามันอร่อยมากจริงๆ นะ
โอเค อร่อยก็อร่อย
ผมคีบซูชิหน้าปลาไหลย่างเข้าปากในคำเดียว มันใหญ่จนเต็มปากไปหมด รู้สึกได้ถึงแก้มอูมๆ เวลาเคี้ยวกับรสชาติของปลาไหลที่คุ้นเคย
โอเค มันก็อร่อยดี
ผมนั่งเคี้ยวซูชิคำใหญ่ปากด้วยความเร็วต่ำแสนต่ำ กลืนลงคอได้ก็จิบน้ำชาตาม หันหน้าไปมองคนข้างๆ ก็เห็นเอาแต่ยิ้ม
ทำไม แค่กินซูชิได้ไม่ต้องทำหน้าภูมิอกภูมิใจเหมือนแม่คนขนาดนั้นก็ได้
ผ่านหน้าปลาไหลไปได้ผมก็โดนเชียร์ให้กินทุกอย่างจากคนที่ทำตัวเป็นพริตตี้ร้านซูชิ ทั้งแซลมอน มากุโระ เอนกาวะ กุ้งสด ไข่หวาน ไข่กุ้ง ไข่หอยเม่น กินไปจิบน้ำไปบวกกับขนาดชิ้นของมันผมเลยอิ่มในเวลาไม่นาน ส่วนน้องหมีก็กินเหมือนไปอดอยากมาจากไหน เผลอแป๊บเดียวจานกองเป็นตั้ง
"ขอบคุณนะที่พามากิน"
กินอิ่มแล้วก็มาทำซึ้ง ผมพยักหน้ารับ ไม่ได้คิดมากอะไรที่ต้องกินของที่ไม่ค่อยชอบ แต่เหมือนน้องมันจะไม่ใช่
"งั้นมือนี้แบร์เลี้ยงเอง"
"ไม่ต้อง"
"ถือว่าขอบคุณไง พี่อินไม่ชอบยังพาแบร์มากิน แล้วนี่อิ่มใช่มั้ย"
"อิ่มดิ" ไม่อิ่มได้ไงไหวชิ้นใหญ่ขนาดนี้ กินไปห้าชิ้นก็อิ่มแล้ว ส่วนที่จะเลี้ยงเอาเป็นว่ายอมให้ก็แล้วกัน
สรุปค่าเสียหายซูชิมื้อนี้สองคนหมดไปเกือบห้าพันเยน ที่ผมกินไปแค่พันนิดๆ ส่วนที่เหลือของน้องหมีล้วนๆ แค่มื้อแรกของวันก็ทำเอากระเป๋าเบาไปเลย ผมหมายถึงน้องหมีนะ
อิ่มท้องจากร้านซูชิเราก็มาเดินเล่นที่ตลาดอะเมโยโกะกันต่อ ที่นี่เป็นแหล่งช็อปปิ้งที่มีตั้งแต่ของสดยันสิ้นค้าแบรนด์ ผ่านร้านผลไม้เลยได้เมล่อนที่เขาหั่นแบ่งเป็นชิ้นขายเดินกินกันคนละไม้
"อร่อยนะ"
"อืม อร่อยดี"
พวกเมล่อนหรือสตรอเบอร์รี่เวลาผมมาก็มักจะซื้อกินครั้งละไม้สองไม้เดินดูของแบบไม่เร่งรีบ ที่นี่ของลดราคาเยอะ แต่ละร้านก็แข่งกันตะโกนเรียกลูกค้า บางร้านจะมีคนผิวสีคอยแจกโบว์ชัวร์คอยรั้งคอยดึงซึ่งอันนี้ผมว่าน่ากลัว ครั้งเพื่อนผู้หญิงผมเคยโดนดึงเอาไว้เล่นเอาเจ้าหล่อนร้องใหญ่ แต่เขาไม่ได้ทำอะไรหรอกก็แค่จับเฉยๆ
เออ แล้วใครมาจับแขนผมไว้ล่ะเนี่ย
ขาผมยังก้าวต่อพลางหันไปมองหนุ่มผิวสีร่างใหญ่ที่ยิ้มโชว์ฟันขาวมาให้พร้อมกับพูดเชิญชวนให้เข้าไปดูของในร้าน ไอ้ผมก็ยิ้มตอบส่ายหน้าเขาก็ยังไม่ยอมปล่อย ขนาดเดินไปด้วยก็ยังไม่ยอมปล่อย กลายเป็นว่าแขนผมถูกยึดเอาไว้
"แบร์ช่วยด้วย" ร้องหาใครไม่ได้ก็ร้องหาคนข้างๆ นี่แหละ
น้องหมีหันมามองงงๆ แต่พอเห็นว่าผมถูกดึงเอาไว้ก็ทำหน้าตาถมึงทึงขึ้นมาทันที เจอจ้องด้วยใบหน้าโกรธเกี้ยวแขนผมถึงได้เป็นอิสระแล้วน้องหมีก็จัดการกอดเอวผมเดินหนีแถมยังมาโอ๋กันอีก
"ไม่ต้องกลัว"
"ไม่ได้กลัว แค่ตกใจ" ก็นั่นแหละ ไม่ใช่เด็กแล้วจะได้กลัว
น้องมันไม่พูดอะไรต่อเอาแต่ยิ้มตาหยี ปิดโหมดคุณหมีตกมันกลับสู่โหมดเท็ดดี้แบร์ผู้น่ารัก
เดินเล่นวนรอบตลาดได้ของติดมากันคนละอย่างสองอย่างจนเกือบถึงทางออกผมก็โดนน้องหมีดึงกระเป๋าให้หยุดเดิน
"แวะไปเล่นกัน" น้องหมีพยักพเยิดหน้าไปยังร้านเกมคีบตุ๊กตาทางซ้ายมือ
ความจริงวันนี้เรามีแพลนจะไปอากิบะกันด้วย ซึ่งที่นั่นมีร้านเกมให้เลือกเล่นเยอะกว่า แต่วันนี้มีเวลาเหลือเฟือ จะแวะให้คนที่ยืนทำตาละห้อยอยู่คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง
"ไปดิ"
เข้ามาในร้านได้ก็พากันเดินวนอยู่รอบสองรอบ ผมว่ามันไม่ค่อยมีตัวน่ารักๆ เท่าไร มีแต่ตัวแปลกๆ หน้าตาประหลาดๆ เลยปล่อยให้น้องหมีเล่นไปคนเดียวส่วนผมคอยให้กำลังใจ เล่นไปสามรอบเสียหายไปสามร้อยเยนได้พวงกุญแจเล็กๆ มาหนึ่งอัน มันคุ้มมั้ยเนี่ย
"ไปกัน"
"แป๊บนึงพี่อิน ไอ้นั่นใช่ตู้สติ๊กเกอร์ป่ะ"
ว่าจะชวนออกจากร้านน้องหมีก็ดันตาดีเห็นตู้สติ๊กเกอร์ที่อยู่ด้านในสุดอีก เห็นน้องมันยิ้มแหยๆ ส่งสายตาอ้อนวอนก็รับรู้ได้ถึงลางไม่ดีขึ้นมาทันที
วอแวตั้งแต่เช้าแล้วนะไอ้เรื่องถ่ายสติ๊กเกอร์เนี่ย ถึงที่นี่เขาจะไม่กั้นเขตจนดูเป็นที่ต้องห้ามแต่ยังไงก็ห้ามผู้ชายเข้าอยู่ดีนะเว้ย อย่าแม้แต่จะคิดเชียว
"ไปถ่ายกัน" นั่นไง เดาผิดที่ไหน
"ก็บอกว่าเขาห้ามผู้ชายเข้า"
"ผู้ชายที่ไหน ผู้หญิง" พูดแล้งน้องมันก็ชี้มาที่ผม
ผู้หญิงบ้านป้าคุณน้องสิครับ อะไรมันไปกระตุ้นต่อมให้น้องมันอยากถ่ายสติ๊กเกอร์แบ๊วๆ ขนาดนี้เนี่ย
"ผู้หญิงอะไรหล่อขนาดนี้ ลูกกระเดือกชี้หน้าอยู่เนี่ยเห็นมั้ย" ผมหมดคำจะเถียง ส่ายหน้าใส่ลูกเดียว แต่น้องหมีกลับไม่ยอมง่ายๆ
"พูดเบาๆ ดิ อ่ะ ใส่ไว้" ว่าผมให้เบาเสียงแล้วยังเอาผ้าพันคอมาใส่ให้กันอีก
ผมล่ะปวดหัว เข้ามากันตั้งนานแล้วพนักงานไม่รู้เลยมั้งว่าไอ้สองคนที่เดินวนอยู่ในนี้เนี่ยมันเป็นผู้ชาย ถึงผมจะเห็นพนักงานเดินผลุบๆ โผล่แค่คนเดียวก็เถอะ
"นะๆ"
ตกลงจะถ่ายให้ได้เลยใช่ไหม
"ลองดูน่า ถ้าเขาไล่ก็แค่เดินออกมา"
ตื้อและดื้อดึงเท่านั้นที่ชนะ ในเมื่อผมไม่ยอมน้องหมีเลยจัดการกุมมือฉุดๆ ลากๆ เดินเข้าไปหาตู้สติ๊กเกอร์ เนียนมากเลยครับ ไม่มีใครรู้เลยครับ มีพิรุธซะขนาดนี้
มายืนอยู่หน้าตู้แล้วก็ไม่เห็นมีพนักงานคนไหนมาห้าม อ่านวิธีการใช้คร่าวๆ เสร็จน้องหมีเลยรีบหยอดเงิน กดเลือกแบบแล้วลากผมเข้าตู้ถ่ายทันที
ผมล่ะไม่อยากจะเชื่อ นี่พนักงานไม่เห็นหรือคิดว่าเราเป็นคู่ชายหญิงจริงๆ กันแน่ ถึงการแต่งตัวของผมวันนี้มันจะดูเรียบร้อยใสๆ ก็เถอะ ใส่เสื้อคอกลมสีเทาทับด้วยโค้ทยาวสีกรม กางเกงยีนส์พับขาประมาณหนึ่งคืบกับรองเท้าผ้าใบสีขาว แถมมีผ้าพันคอสีเลือดหมูที่น้องหมียัดเยียดให้ใส่อีกหนึ่งผืน รวมถึงความจริงอีกอย่างที่ผมยอมให้น้องหมีมาตั้งแต่เช้าคือการเอาผมหน้าม้าลงทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าน้องมันคิดอะไรอยู่ แต่แค่นี้มันไม่ทำให้คนอื่นเขาคิดว่าผมเป็นผู้หญิงไปได้หรอก
การถ่ายพุริคุระเสร็จสิ้นภายในไม่กี่นาที ได้รูปแล้วผมเลยรีบชวนน้องหมีออกจากร้านก่อนพนักงานจะมาเห็นเดี๋ยวใครมาเห็นจะเป็นเรื่องเอา
ว่าแต่ทำไมผมต้องมาทำอะไรเสี่ยงโดนจับแบบนี้ด้วยก็ไม่รู้
"น่ารักอ่ะดิดู" ดูรูปแล้วก็หัวเราะคิกคักอยู่คนเดียว
"ตลก" ตาก็โตเหมือนไม่ใช่คน แก้มก็แดง ปากก็แดง ผู้หญิงเขาถ่ายมันก็น่ารักนะ แต่ผมว่ารูปที่เราถ่ายมามันดูตลกมากกว่า อย่าริอาจเอาไปให้ใครดูเชียว
คนอยากถ่ายดูท่าจะถูกใจรูปน่าดู น้องหมีมองมันแล้วก็ยิ้มแล้วยิ้มอีก เพิ่งรู้นะว่าชอบอะไรแบบนี้ด้วย ซึมซับความเป็นญี่ปุ่นได้เร็วดีจริงๆ
ต่อด้านล่าง
v
v
v