-7-
“ทำไร”
ผมทำเป็นไม่ได้ยินเสียงน่ารำคาญของหมาบางตัวที่เพิ่งเดินเข้ามาในห้องเรียน มันก็รู้ตัวว่าคงไม่ได้คำตอบอยู่แล้วเลยนั่งลงข้างๆ แล้วยื่นหน้ามาดูจอโทรศัพท์ที่ผมกดอยู่ด้วยตัวเอง
“ตารางอะไร”
“เสือก”
“พ่อมึงจ่ายค่าโทรศัพท์ให้แล้วเหรอ”
“เออ”
“ยังงอนไม่เลิกอีก” ไอ้โซหัวเราะเบาๆ แล้วยื่นมือมาขยี้หัวผม พอเห็นว่าไม่ได้รับการตอบโต้มันก็ยักไหล่ก่อนจะเอนตัวลงนอนหมดสภาพบนโต๊ะเหมือนทุกวัน
พูดแล้วยังเคืองไม่หาย มันรู้ทั้งรู้ว่าผมไม่ชอบกระต่าย แล้วก็รู้ด้วยว่าพอเป็นเรื่องพี่ภูผมจะตามไม่ค่อยทัน ลืมใช้สมองคิดตามตลอด แต่มันก็ยังเอามาหลอกผม กลายเป็นว่าพี่ภูไม่ได้พูดสักคำว่าชอบ เขาแค่เห็นว่าผมเหมือนเฉยๆ แต่ผมเองนี่ล่ะที่เสนอตัวเป็นกระต่ายให้เขา ทุกอย่างเป็นเพราะไอ้หมาบ้านี่ตัวเดียว
ผัวะ!
ว่าแล้วก็ขอตบสักทีเหอะวะ
“ตบหัวกูทำไม” ไอ้โซปรือตามอง ลุกขึ้นมานั่งลูบหัวตัวเอง หน้าง่วงๆ ของมันไม่ได้ดูอารมณ์เสีย แต่กลับยิ้มแย้มแจ่มใสเมื่อเห็นว่าหน้าผมหงิกขนาดไหน
“เอาอีกทีไหม”
“เก็บไว้เหอะ”
“นอนไปเลย” ผมโบกมือไล่มันก่อนจะหันกลับมาใช้สมาธิไปกับโทรศัพท์ของตัวเองอีกครั้ง
“ไม่นอนแล้ว สรุปทำไร”
ผมเหล่ตามองคนเซ้าซี้ด้านข้าง ตอนแรกกะจะทำเมินเหมือนเดิม แต่พอโดนเอาไหล่แซะมากเข้าก็เริ่มทนไม่ไหว ต้องหันไปตอบตัดรำคาญจนได้
“ทำตารางแผนการดำเนินชีวิต” ถามอีกทีกูจะตีหัวแล้วนะ
“ต้องทำด้วยเหรอวะตารางแบบนั้น” ไอ้โซทำหน้างง ยื่นหัวมาดูโทรศัพท์ผมด้วยความขี้เสือก ผมเลยยื่นให้มันไปเลยจะได้จบๆ
ถือว่าอย่างน้อยก็ช่วยให้เข้าใกล้พี่ภูได้มากขึ้นหรอก ไม่งั้นอย่าหวังเลยว่าผมจะแค่เงียบใส่แบบนี้ ถ้าแกล้งแล้วยังเสือกไม่ช่วยอะไรนะ วันนี้แม่งต้องนอนอยู่ในโรง’บาลแทนที่จะมานั่งหน้าสลอนอยู่ข้างผมแน่
“เรียน ซ้อมดนตรี ออกกำลัง...ออกกำลัง?” โซมันเงยหน้าจากโทรศัพท์แล้วหันมาขมวดคิ้วใส่ผม “หน้าอย่างมึงเนี่ยนะออกกำลัง ขนาดแข่งกีฬายังต้องให้รุ่นพี่ไปลากมาเลยไม่ใช่หรือไง”
“ยุ่งน่า” ผมบ่นแล้วดึงโทรศัพท์คืนมา
“แล้วการจะไปหาภูวันไหนเวลาไหนบ้างมึงต้องเอาลงตารางด้วยเหรอ”
“ก็กูบอกว่าตารางแผนการดำเนินชีวิตไง จะทำอะไรก็ใส่ไว้หมดดิ” ผมก้มหน้ามองแผนในมือด้วยรอยยิ้ม หลังจากแอบถามตารางเรียนพี่ภูมาจากเพื่อนแล้วอะไรๆ ก็ง่ายขึ้น เท่านี้ผมก็สามารถใช้ชีวิตปกติโดยมีเวลาแวบไปหาเขาได้ถูกจังหวะแล้ว
ที่น่าเซ็งคือต้องเพิ่มเวลาออกกำลังกายลงไปด้วย ผมลดน้ำหนักโดยการหยุดกินไม่ได้ จ๋าบอกว่าอะไรมีความสุขก็ให้ทำไป เพราะงั้นผมจะไม่ยอมลดความสุขของตัวเองโดยการหยุดกินเด็ดขาด แต่จะยอมเพิ่มความทุกข์โดยการออกกำลังกายเข้าไปแทน แบบนี้น่าจะแฟร์กับตัวเองที่สุดละ
“แผนชีวิตมึงมีไปหาภูทุกวันเลยเนอะ” ไอ้โซทำเสียงล้อเลียนทั้งที่หน้ายังนิ่ง
“ก็เขาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตกู”
ส่วนที่สำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ เสียด้วย...
“เคยได้ยินคนบอกว่าความรักทำให้คนเป็นบ้า แต่ถ้าบ้าอยู่แล้วอย่างมึงนี่จะกลายเป็นอะไรวะ”
“เป็นอะไรก็ได้ ขอแค่ไม่เหมือนมึงก็พอ” ผมหันไปกัด แต่คนฟังแค่หัวเราะเหอะเบาๆ แล้วเปลี่ยนเรื่อง
“แล้วทำไมวันหนึ่งมึงมีออกกำลังตั้งสองสามช่อง”
“กูขี้เบื่อ...ให้เล่นอะไรเดิมๆ คงไม่ไหว เลยว่าจะสับเล่นไปเรื่อยๆ ถ้าเบื่อก็เปลี่ยนไปเล่นอย่างอื่น”
“ถ้าว่างจะไปด้วย”
“เออ”
“แล้ววันนี้จะทำไร” มันถามพร้อมกับเอื้อมมือมาหยิบลูกอมไปจากกระเป๋าผม
“เลิกเรียนแล้วจะไปหาพี่ภูก่อน แล้วก็ไปเตะบอลกับพวกพี่วิน ถ้าเบื่ออาจจะไปเล่นบาสกับพวกพละ...อย่าแย่งชาเขียวกู” ผมแย่งลูกอมคืนมา หยิบเอาอีกรสให้แทน มันก็ยอมรับไปแต่โดยดีเพราะรู้ว่าผมไม่ให้ใครแย่งกินชาเขียว
ในกระเป๋าของผมมีของกินเยอะเป็นปกติ ผมเองก็ไม่ได้หวงอะไร ยอมให้คนนั้นคนนี้มาหยิบตลอด มีแค่ชาเขียวที่ห้ามใครแตะเพราะเป็นของโปรด ส่วนไอ้โซนี่มันนึกจะหยิบก็หยิบ ไม่ค่อยดูหรอกว่าจะหยิบโดนอะไร...โคตรน่าเตะ
“กูอยากว่ายน้ำว่ะ” โซบ่นแล้วยื่นหน้ามาดูตารางผมอีกที “พรุ่งนี้ไปว่ายกัน”
“ก็ดี กูไม่ได้ว่ายมานานละ พรุ่งนี้ไปว่ายยาวๆ เลยแล้วกัน”
“ตารางยังไม่มาสินะ”
“ยัง”
พี่วินยังไม่ได้ส่งตารางงานผมกับโซมาให้ เพราะงั้นช่วงนี้น่าจะเป็นช่วงที่พวกเรามีเวลาทำนั่นทำนี่มากที่สุดแล้ว เมื่อไหร่ได้ตารางมาคงต้องเพิ่มชั่วโมงซ้อมเข้าไปอีก เวลาว่างคงน้อยลงเยอะ
“ช่วงนี้ฝนทำท่าจะตกคนเลยไม่ค่อยลงสระกัน”
“อืม” ผมพยักหน้าเห็นด้วย อาทิตย์ที่ผ่านมาฟ้าครึ้มๆ แทบทุกวันทั้งที่เดือนนี้ไม่น่าจะมีฝนแล้ว ถึงจะไม่ได้ตกบ่อยนักแต่คนส่วนใหญ่ก็เลือกที่จะกลับบ้านไวกันหมด ยกเว้นก็แต่พวกที่ต้องอยู่ทำงานคณะ
“เฮ้ย! พวกมึง!”
เสียงตะโกนโหวกเหวกจากหน้าห้องทำให้พวกที่กระจัดกระจายกันอยู่หันไปมอง แล้วก็เห็นพี่วินกับกลุ่มเพื่อนยืนอยู่ตรงนั้นโดยที่หน้าตาแต่ละคนดูอารมณ์ดีจนน่าแปลกใจ
“จารย์ฝากบอกว่าวันนี้งด กลับมาไม่ทัน…”
“เฮ!”
“ฟังให้จบก่อน!” เฮียเจมส์ตวาดเสียงดัง เท่านั้นล่ะไอ้พวกที่ชูไม้ชูมือเงียบกริบทันที
“จารย์บอกว่าจะไปไหนก็ไป แต่คาบหน้ามีเก็บคะแนนปฏิบัติ”
“เฮ้ย! เพิ่งเปิดเทอมไม่เท่าไหร่เองนะพี่!” เพื่อนคนหนึ่งโวยวาย
“มึงก็รู้ว่าคณะเราเหมือนใครที่ไหน...เอาเป็นว่าโชคดีนะน้องๆ พวกกูไปเรียนละ”
“เห็นหน้าพวกแม่งเหวอแล้วสะใจว่ะ”
ผมเอนตัวพิงเก้าอี้ มองตามหลังพวกรุ่นพี่ที่เดินออกไปแล้วหน่ายๆ ไม่รู้เมื่อไหร่จะเลิกนิสัยเห็นความทุกข์ของคนอื่นเป็นความสุขของตัวเองกันเสียที
“เก็บคะแนนเปียโน...สบายมึงเลยดิ” โซหันมาถามก่อนจะหาวหวอด
“ก็นะ”
นอกจากพวกผมแล้วคนอื่นก็ดูกังวลกันหมดเพราะพวกมันยังเล่นกันไม่ค่อยได้ จารย์แกสอนดีแต่ให้คะแนนโหด แถมยังเพิ่งเจอไม่กี่คาบ ไม่แปลกที่คนไม่มีพื้นฐานแน่นๆ จะโอดครวญ
“กูไปละ” ผมเก็บของใส่กระเป๋าแล้วลุกขึ้นยืน มีสายตาเพื่อนมองตามนิ่งๆ
“ไปหาภู?”
“เออ”
“ภูไม่เรียนหรือไง”
“ว่าจะไปนอนเล่นหน้าคณะรอเขาพัก” ผมตอบแล้วบิดขี้เกียจ
“แล้วจะไปเตะบอลอยู่ไหม”
“ไปเวลาเดิม”
“อืม...เจอที่สนาม” ว่าจบมันก็ฟุบหน้านอนต่อทันที ผมได้แต่ยักไหล่แล้วเดินออกมาจากห้องเรียนคนเดียว
จุดหมายคือ...คณะบริหาร
เมื่อมาถึงคณะบริหารแล้วผมก็เลือกนอนลงที่โต๊ะหินซึ่งหลบมุมอยู่หน้าคณะและเป็นโต๊ะที่ไม่ค่อยมีใครสังเกตเห็น จริงๆ แค่อยากชวนพี่ภูไปกินข้าวด้วยกันไม่ต้องมาถึงที่นี่ก็ได้ แต่ผมเพิ่งนึกได้ว่าตัวเองไม่ได้ขอช่องทางการติดต่อเขาไว้ สุดท้ายก็เลยต้องมานั่งโง่อยู่หน้าคณะแบบนี้ รู้ตัวอีกทีก็เผลอหลับคาโต๊ะไปแล้วเรียบร้อย ดีที่ผมมีนาฬิกาปลุกในตัวเอง พอรู้ตัวว่าถึงเวลาพักแล้วก็ตื่นโดยอัตโนมัติ
ผมลุกขึ้นยืนบิดขี้เกียจ วิ่งเหยาะๆ ไปอยู่หน้าทางลง มองคนนั้นคนนี้เดินผ่านหน้าไปเงียบๆ มีหลายคนที่มองผมแล้วหันไปซุบซิบกัน คงสงสัยว่านักร้องดุริยางค์มาทำอะไรที่นี่
ทำไงได้...คนมันดัง
“พี่ภู” ผมยิ้มกว้างแล้ววิ่งไปหาคนที่เดินลงมาทางบันไดซึ่งแตกต่างจากคนอื่นที่ออกมาจากลิฟต์ ผมกะแล้วว่าเขาต้องเดินลงมา ดูก็รู้ว่าเขาไม่ชอบที่ๆ มีคนเยอะๆ
“มาได้ไง” พี่ภูเลิกคิ้ว หน้าตาดุเย็นชาเป็นปกติ แต่ก็ไม่ได้ไล่ผมไปไกลๆ เหมือนเมื่อก่อน
ดีใจว่ะ...พัฒนาจริงๆ ด้วย
“วิ่งมาจากคณะ พอดีอาจารย์ยกคลาสแล้วเพิ่งบอก ผมเลยวิ่งมารอพี่ตั้งแต่เช้าแล้ว”
“รอตั้งแต่เช้า?”
“อื้อ ตั้งแต่เช้า นอนอยู่ตรงนั้น” ผมชี้นิ้วไปที่โต๊ะหินหน้าคณะ จุดที่ผมใช้หลับรอเขา
“มารอทำไม”
“ผมจะชวนพี่ไปกินข้าว”
“แล้วจะมานั่งรอทำไม ไม่ร้อนหรือไง” พี่ภูขมวดคิ้วแล้วก้าวเท้านำออกไปด้านนอก
“ร้อนนิดหน่อยแต่ทนได้ ผมง่วงด้วยมั้งเลยหลับง่าย...” ผมชะงักไปเมื่อคนที่เดินนำหยุดเท้าก่อนจะหันมาทำหน้าตาบึ้งตึงใส่ ดูดุกว่าเดิมประมาณสิบเท่า
“ทีหลังอย่าทำอีก”
“แต่ผมอยากมาหา อย่างน้อยก็ตอนว่าง…” ผมพูดเสียงอ่อย เอาเท้าเขี่ยพื้นไปมาให้ดูน่าสงสารจะได้ไม่โดนดุ พี่ภูมองหน้าผมเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายเขาก็ถอนหายใจเบาๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงกว่าเดิม
“ถ้าจะมาก็ไปหาที่นั่งรอดีๆ”
“แล้วผมจะเจอพี่ได้ไงถ้าไปนั่งที่อื่น”
คราวนี้คนฟังหรี่ตาลงจับผิด สายตาคมดุบ่งบอกชัดเจนว่าเขารู้ทันความคิดผม...แต่ก็ยังยื่นโทรศัพท์มาให้
“ถ้าไม่ตอบก็ขึ้นไปหาบนห้อง มึงมีตารางกูอยู่แล้วนี่”
เวร...รู้ได้ไงวะ
“ขึ้นได้เหรอ อาจารย์ไม่ว่าเหรอ” ผมเงยหน้าถามด้วยสายตาเป็นประกาย ถึงคณะตัวเองจะไม่ได้เคร่งครัดอะไรเรื่องพวกนี้แต่ผมไม่แน่ใจนักว่าคณะอื่นเป็นเหมือนกันหรือเปล่า
“ได้”
“ทีหลังผมจะขึ้นไปหานะ” ผมตอบรับอย่างอารมณ์ดี มือทำการแอดไลน์ เฟส เมมเบอร์เอาไว้ทุกอย่าง ส่วนเท้าก็ก้าวตามหลังเขาไปเรื่อยๆ “พี่เดินช้าหน่อย ผมก้าวตามไม่ทัน”
“ขาสั้น” พี่ภูว่าเสียงเรียบแต่ก็ยอมเดินช้าลงกว่าเดิม
“ขาพี่ยาวเกินต่างหาก” ผมบ่นอุบอิบ อยากจะบอกเหลือเกินว่าส่วนสูงอย่างผมนี่ก็เรียกว่าสูงเกินมาตรฐานคนไทยแล้ว ร้อยเจ็ดสิบเก้าเกือบร้อยแปดสิบคงเรียกว่าเตี้ยไม่ได้หรอก แต่เขาต่างหากที่สูงเกินมนุษย์ “ผมหิวข้าวแล้ว”
“แล้วยังไง”
“ไปกินข้าวกัน ผมอยากกินแกงกะหรี่...แล้วก็ไอติมชาเขียว”
“ก้อนจริงๆ…”
“ผมยังไม่อ้วนนะ ตอนเย็นก็จะออกกำลังแล้วด้วย” ผมรีบเถียงเมื่อได้ยินเสียงพึมพำของคนที่เดินอยู่ข้างๆ
“กูยังไม่ได้ว่าอะไรเลย”
“พี่ว่าผมก้อน”
“นั่นชื่อมึง”
เออ...ก้อนก็ก้อน ต้องทำใจให้ชินอย่างเดียวถูกไหม
ผมเดินตามพี่ภูมาขึ้นรถโดยไม่ได้เรียกร้องอะไรอีก เขาบอกว่ามีเรียนอีกทีตอนบ่ายโมงครึ่ง ซึ่งมันก็มีเวลาอีกถึงสองชั่วโมงกว่าจะถึงเวลานั้น ตอนแรกผมไม่แน่ใจว่าพี่ภูจะไปไหน แต่พอเห็นปลายทางแล้วก็ดีใจจนแทบเนื้อเต้น
ห้าง...และที่สำคัญคือหน้าร้านแกงกะหรี่ชื่อดัง
ผมมองแผ่นหลังของคนใจดีด้วยรอยยิ้มกว้าง ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมใครๆ ถึงได้หวาดกลัวพี่ภู ในเมื่อเขาใจดีขนาดนี้ และตอนนี้ผมก็รู้สึกดีมากๆ เลยด้วย
“เอาแกงกะหรี่ไก่กรอบเพิ่มข้าวเผ็ดระดับห้าแล้วก็ชาเขียว” ผมสั่งอาหารที่ชอบอย่างคล่องแคล่ว แอบเห็นพี่ภูเลิกคิ้วเล็กน้อยตอนได้ยินผมบอกความเผ็ด
“เอาเหมือนกันแต่ไม่เผ็ด”
“ขออนุญาตทวนรายการ…”
พอพนักงานเดินจากไปแล้วพี่ภูก็นั่งนิ่งเป็นรูปปั้นน้ำแข็ง เขาไม่ได้หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดหรืออะไร แค่นั่งนิ่งๆ เท่านั้น แต่พอเห็นว่าผมมองตาไม่กะพริบดวงตาคมดุไม่ปรากฏอารมณ์ก็เบนมาสบ
“พี่กินเผ็ดไม่ได้เหรอ”
“กินได้แต่ไม่ชอบ”
ผมพยักหน้าเข้าใจ จดบันทึกเรื่องราวเล็กๆ น้อยๆ ที่ได้รู้ไว้ในหัว
“เออใช่ ต่อจากนี้ผมจะออกกำลังทุกเย็น พี่มาด้วยกันไหม”
พี่ภูทำหน้าตาแปลกใจอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็กวาดสายตามองผมขึ้นๆ ลงๆ เป็นเชิงสำรวจแล้วทำหน้าตาเข้าอกเข้าใจ ผมหน้าหงิกโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าอีกฝ่ายเข้าใจเรื่องอะไร
กูอ้วนจริงๆ ด้วย
“ถ้าว่าง”
“จริงนะ” ผมถามด้วยความดีใจ ลืมการโดนด่าทางสายตาไปจนหมด
“อืม”
“งั้นวันนี้…”
“วันนี้ไม่ได้”
“พี่มีธุระเหรอ”
“อืม”
ผมพยักหน้าเข้าใจ ถึงจะอยากรู้ว่าธุระอะไรแต่ก็ไม่ได้ถามเพราะรู้ดีว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัว ถ้าเขาอยากบอกก็คงบอกเอง
อาหารถูกยกมาเสิร์ฟพอดีเป็นการตัดบทสนทนาทุกอย่าง ผมไม่ได้พูดอะไรระหว่างกินเพราะจ๋าเคยบอกว่าห้ามทำ แต่ในหัวก็ยังคิดเรื่องของพี่ภูไม่หยุด
ผมรู้ดีว่าตัวเองเป็นพวกที่จะใส่ใจกับสิ่งที่สนใจมากเกินปกติ ไม่ว่าจะคำพูดเล็กน้อยแค่ไหนก็เก็บมาคิดสงสัยได้หมด โชคดีที่ไม่ได้เจอสิ่งที่สนใจมากนักเลยไม่ค่อยเป็นปัญหา แต่พอมาเกิดกรณีสิ่งที่สนใจเป็น ‘คน’ แบบนี้เลยไม่รู้ว่าควรทำยังไง
“กูต้องโทรคุยกับน้อง” พี่ภูพูดขึ้นมาลอยๆ จนผมต้องหยุดช้อนแล้วเงยหน้ามองด้วยความไม่เข้าใจ “เลิกทำหน้าเป็นกระต่ายหงอยสักที”
ผมฉีกยิ้มกว้าง อยากจะบอกว่าดีใจแค่ไหนที่เขาบอกเหตุผล แต่ก็ต้องชะงักไปเพราะเห็นแววตาแปลกๆ ของพี่ภู ผมอธิบายไม่ได้ว่ามันคืออะไร แต่คิดว่าคงเกี่ยวกับการโทรหาน้องของเขา
“ผม...ถามต่อได้ไหม” ผมถามด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจนักและมองเขาเป็นเชิงบอกว่าพร้อมจะหยุดพูดเรื่องนี้ได้ตลอดเวลาถ้าเขาต้องการ
พี่ภูมองกลับมาด้วยสายตาอ่อนลงก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ
“ถ้าถึงเวลากูจะพูดเอง”
“ครับ”
เพิ่งรู้ว่าการได้รับโอกาส...มันทำให้มีความสุขได้มากขนาดนี้
วินาทีแรกที่ก้าวเท้าเข้ามาในห้องเรียนผมโดนมองเหมือนเป็นตัวประหลาด…
ตอนแรกผมคิดว่าพวกนั้นคงสงสัยว่าเด็กคณะอื่นเข้ามาทำอะไรที่นี่ แต่พอได้ฟังเสียงพูดคุยที่ดังเข้าหูก็ต้องเปลี่ยนความคิด บางทีที่โดนมองอาจไม่ใช่เพราะมานั่งอยู่ในห้องเรียนของเด็กบริหาร...แต่อาจเป็นเพราะผมเดินเข้ามากับคนที่ใครๆ ต่างก็กลัวและพยายามหลีกเลี่ยง
บริเวณที่พี่ภูนั่งคือด้านหลังสุดของห้อง จุดที่ไม่มีใครนั่งอยู่รอบๆ แม้แต่คนเดียว
น่าแปลก...ทั้งที่ไม่ชอบ ทั้งที่หวาดกลัว ทั้งที่กำลังนินทาไม่หยุด แต่ก็ยังเลือกที่จะมองมาอย่างโจ่งแจ้งแล้วหันกลับไปซุบซิบกัน
ผมกรอกตาด้วยความเหนื่อยหน่าย รีบฟุบลงกับโต๊ะแล้วหันหน้าไปทางพี่ภูก่อนจะหัวเสียยิ่งกว่านี้
“กูบอกแล้วว่าอย่ามา” พี่ภูพูดเสียงเรียบโดยที่สายตายังคงจับจ้องไปยังเอกสารอะไรสักอย่างบนโต๊ะ
“พี่โดนแบบนี้ทุกวันเลยเหรอ”
“ปกติก็ไม่ขนาดนี้”
“แสดงว่าตลอดสินะ” ผมถอนหายใจ ท่าทางที่โดนมองขนาดนี้คงเป็นเพราะผมแน่ๆ
“กูชินแล้ว”
“ทำไมถึงชิน” ผมขมวดคิ้วไม่เข้าใจ “พวกนั้นไม่ได้มองเพราะชื่นชมพี่นะ”
“รู้แล้วก็ไม่ต้องเข้าใกล้กูมาก เดี๋ยวมึงจะโดนไปด้วย” พี่ภูพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาสวนทางกับคำพูด ผมอยากยิ้มแต่ก็ยิ้มไม่ออก ได้แต่ถือวิสาสะขยับมือไปใกล้ๆ แล้วเอานิ้วชี้เขี่ยหลังมือที่วางไว้บนโต๊ะเบาๆ
“ใครจะโง่ก็ให้มันโง่ไป ผมรู้ความจริงคนเดียวก็พอ”
“มึงรู้เรื่องแล้วหรือไง” เขาเลิกคิ้วมองฝ่ามือตัวเองที่ถูกผมเขี่ยอยู่ ทำท่าเหมือนจะถามว่าอะไรของมึงแต่ก็ไม่ได้ชักมือออก
“ไม่รู้ แต่ผมรู้แล้วว่าพี่เป็นคนแบบไหน”
“ทำเป็นรู้ดี”
“รู้ดีแต่ยังรู้ไม่หมด นี่ก็อยากรู้อยู่ ถ้าพี่กรุณาบอกจะดีมากเลย” ผมยิ้มแป้นเมื่อโดนหันมามองหน้า มือข้างที่ถือปากกาของเขาถูกยกขึ้นมาใช้ผลักหัวผมเบาๆ
“ขี้เสือก” พี่ภูด่าตรงๆ ด้วยหน้าตาเย็นชาไร้อารมณ์แล้วไม่หันมาสนใจผมอีก
แต่แค่นั้นก็พอแล้ว…
เพราะเขายังยอมให้ผมใช้นิ้วชี้เกี่ยวนิ้วก้อยของเขาเอาไว้อยู่เลย
พอไร้บทสนทนาความง่วงก็เข้ามาครอบงำช้าๆ ผมฝืนปรือตามองหน้าพี่ภูอยู่เป็นนาทีแต่ก็สู้ความง่วงไม่ไหว ยิ่งได้ยินเสียงอาจารย์ที่เพิ่งมาถึงเริ่มสอนก็ยิ่งขับกล่อมให้ง่วงหนักกว่าเดิม
“คุณภูริ ช่วยปลุกเพื่อนข้างๆ คุณด้วย”
“เขาแค่เข้ามานั่งรอผมเลิกเรียน”
ผมออกแรงเกี่ยวนิ้วก้อยของอีกคนให้แน่นกว่าเดิมเพราะอยากมั่นใจว่าเขาจะอยู่ข้างๆ แม้ในตอนที่หลับ
“นั่นนักร้องดุริยางค์คนดังไม่ใช่เหรอ…”
“ทำไมมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ”
“มานั่งรอในห้องเรียนแบบนี้เลยเนี่ยนะ”
เสียงซุบซิบที่ดังแทรกการกล่อมของอาจารย์ทำให้ผมขยับตัวไปมาด้วยความรำคาญใจ นึกอยากลุกขึ้นมาโวยวายอยู่เหมือนกัน แต่ติดอยู่ตรงที่มีคนรู้ทันหยิบเรดที่ผมพาดคอไว้มายัดใส่หูให้เสียก่อน
“ขอบคุณครับ”
“อืม”
ใจดีจัง…
ถึงจะทำเหมือนหลับ แต่จริงๆ แล้วผมก็ไม่ได้หลับจริงจัง แค่พักสายตาแล้วคอยเงี่ยหูฟังคำนินทาที่ลอยเข้าหูโดยตั้งใจเท่านั้น หลายครั้งที่ต้องปรือตามองใบหน้าคนที่กำลังตั้งใจเรียน เพราะกลัวว่าเขาจะรู้สึกแย่กับคำพูดที่ได้ยิน แต่นอกจากใบหน้านิ่งสนิทแล้วพี่ภูก็ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ออกมาอีกเลย
ที่บอกว่าชินแล้วคงจะจริง...แต่ต่อให้นิ่งแค่ไหนก็ไม่มีทางไม่รู้สึกอะไรได้หรอก
ทั้งที่พี่ภูโตกว่าคนในห้องนี้เพราะดรอปไปหนึ่งปีแต่ก็ยังพูดแบบไม่เกรงใจกันเลยสักนิด ถึงผมจะไม่เคยอยู่ในสังคมแบบนี้มาก่อนแต่บอกตรงๆ ว่าโคตรรังเกียจ
แม้แต่ตอนที่เลิกคลาสและอาจารย์เดินออกจากห้องไปแล้วพวกนั้นก็ยังคุยกันไม่เลิก ผมผงกหัวขึ้นมานั่งตัวตรง ก่อนจะกวาดสายตามองรอบด้านด้วยความหงุดหงิด
“พวกเดียวกันแน่ๆ”
“อย่าเสียงดังสิ เดี๋ยวก็โดนหาเรื่องหรอก คิกๆ”
คิกๆ เหี้ยไรล่ะ
“ไม่เคยเห็นคนเหรอ” ผมพูดเสียงเรียบก่อนจะยกมือปิดปากหาวไม่สนใจใคร ถึงจะรู้สึกได้ว่าพี่ภูชะงักไปแล้วหันมามองแต่ผมยังไม่มีอารมณ์หันไปสนใจ “ทีหลังถ้าจะป้องปากนินทาก็เอาให้มันเบาๆ หน่อย ไม่งั้นเดินเข้ามาหาตรงๆ เลยก็ได้ ไม่ว่ากัน”
พวกรุ่นพี่ที่มองมาทำหน้าตาเหรอหราเหมือนคาดไม่ถึงว่าผมจะเอ่ยปากก่อน
“มึงเป็นรุ่นน้องต้องเคารพรุ่นพี่ พูดแบบนี้สมควรแล้วเหรอวะ” ผู้ชายคนหนึ่งที่นั่งอยู่ไม่ไกลเอ่ยปาก พอมีจ่าฝูงพวกที่เหลือก็เห่าตามกันเป็นแถว
“แล้วที่พูดมันแย่ตรงไหน” ผมเลิกคิ้ว งงจริงจังว่าคำพูดตัวเองมันไม่สมควรยังไง ถ้ามาได้ยินสิ่งที่ผมพูดในใจก็ว่าไปอย่าง “อีกอย่าง...จะรุ่นพี่รุ่นน้องไม่เห็นเกี่ยว ผมจะเคารพแค่คนที่ควรเคารพ คนที่ไม่ได้พูดก็แล้วไป แต่ไอ้ที่ปากดีพูดหมาๆ นั่นก็น่าจะพิจารณาตัวเองนะ”
“ไอ้เด็กเหี้ย!”
“อย่า…” พี่ภูพูดเสียงต่ำแล้วดึงนิ้วผมไว้เป็นเชิงเตือน ผมเลยยอมเอนกายพิงพนักด้วยท่าทางผ่อนคลาย ทำเหมือนไม่รู้สึกอะไรทั้งที่ในใจเริ่มเดือด เพียงแต่ผมไม่ได้แสดงออกทางการกระทำเป็นพวกหัวร้อนไร้ปัญญาแบบพวกตรงหน้าก็เท่านั้น
“มึงจะเอาใช่ไหม!”
ผมกวาดตามองจำนวนคนของฝั่งนั้นคร่าวๆ พวกที่ไม่เกี่ยวทยอยออกไปยืนหน้าประตูกันหมดแล้ว ส่วนที่เหลืออยู่มีเจ็ดแปดคน สองในนั้นดูเหมือนกำลังห้ามเพื่อน แต่คนที่เหลือทำท่าทางเหมือนพร้อมมีเรื่องตลอดเวลา
“อย่าทำตัวเป็นพวกไม่มีสติปัญญามากนักดิ” ผมใช้มือข้างที่ว่างหยิบโทรศัพท์ออกมาแบบเนียนๆ แล้วกดโทรออกอย่างคล่องแคล่ว จากนั้นก็ทิ้งมันไว้ใต้โต๊ะโดยไม่คิดสนใจว่าปลายสายจะรับหรือเปล่า
“แน่จริงมึงลุกมาเลยดิวะ”
“นี่...ผมถามจริง” ผมกรอกตาด้วยความเหนื่อยหน่าย จ้องมองคนพูดขึ้นลงตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสายตาพิจารณา “อยู่ปีสี่จริงเหรอ ทำไมอาจารย์มัธยมปล่อยให้ข้ามชั้นมาล่ะ...เอ...หรือต้องบอกว่าประถมนะ”
ตอนเด็กๆ ผมก็เป็นคนหนึ่งที่ท้าตีท้าต่อยไปทั่ว เป็นหัวโจกของห้อง แต่นั่นมันสมัยอนุบาลนะ...มาตอนนี้เริ่มคิดแล้วว่าสมองของเด็กปีสี่พวกนี้ไปไหนหมด ถ้าไม่เอาแต่ปากดีแล้วเข้ามาซัดเลยยังพอเข้าใจได้ แต่นี่คือดีแต่ปากที่เห่าไม่ยอมหยุด ดูท่าทางก็รู้ว่ากลัวพี่ภูที่นั่งอยู่ข้างผมแต่ก็ยังไม่เลิกพูดจาน่าถีบ...โคตรเด็กน้อย
“ไอ้เหี้ย!”
“คำก็เหี้ย สองคำก็เหี้ย...ผมเป็นกระต่ายไม่ใช่เหี้ย อยากเป็นก็เป็นเองดิวะไอ้พี่เหี้ย” ผมชักหน้าสีหน้าแล้วด่าไปตรงๆ รู้สึกเหมือนจะได้ยินเสียงหึเบาๆ ดังมาจากคนข้างกายแต่ไม่มีเวลาหันไปสนใจ
“มึง!”
นั่นไง...กล้าพุ่งเข้ามาหาแล้วว่ะ ยั่วง่ายจัง
ผมนั่งเบะปากอยู่เฉยๆ แล้วหรี่ตาลง ตามแผนที่วางไว้น่าจะโดนสักหมัดแล้วทุกอย่างก็จะเข้าทาง เพราะพวกนั้นเป็นฝ่ายเริ่มทำร้ายร่างกายก่อนต้องผิดเต็มๆ อยู่แล้ว ส่วนผมก็เป็นผู้เคราะห์ร้ายน่าสงสารไปตามระเบียบ แถมยัง…
หมับ!
“ไปไกลๆ ตีน”
บางทีผมอาจจะลืมไปว่าตอนนี้มีสถานะเป็นอะไร...
“อย่ามาแตะกระต่ายกู”
สิ้นประโยคคำสั่งเย็นเยียบ พี่ภูปล่อยมือที่จับแขนไอ้คนปากดีไว้โดยการผลักมันออกอย่างแรงไปกระแทกผนัง ส่วนพวกที่เหลือก็รีบเข้าไปช่วยเพื่อนแล้วทำท่าจะเข้ามาหาเรื่องต่อ
“ไอ้เก้า!”
ผมหันไปโบกมือหยอยๆ ให้ไอ้โซที่ยืนอยู่หน้าประตูพร้อมพวกพี่วินอีกแปดเก้าคน ท่าทางของพวกนั้นเหนื่อยหอบเหมือนเพิ่งผ่านการวิ่งมาราธอนมาทำให้ผมรู้สึกสงสารอยู่นิดหน่อย
“มึงจะทำอะไรน้องกู!” พี่วินตวาดแล้วเดินเข้ามาด้านใน สายตามองพวกปากดีด้วยความกดดัน แล้วพวกนั้นจะทำอะไรได้นอกจากรีบเดินหนีออกไปจากห้อง...ก็บอกแล้วว่าดีแต่ปาก
ลองนึกภาพเด็กดุริยางค์ท่าทางเถื่อนๆ ที่ชอบอยู่กันเป็นหมู่คณะ เทียบกับเด็กบริหารท่าทางนุ่มนิ่มเหมือนพวกลูกคุณหนู ไม่ต้องเดาก็คงรู้ว่าใครจะชนะ
น่าเสียดายอยู่เหมือนกันที่พวกนั้นไม่โดนอาจารย์ซิวไปตามแผนที่ผมวางไว้ แต่พอได้มองไปยังคนที่เข้ามาปกป้องก็รู้สึกอุ่นใจอย่างประหลาด แล้วไหนจะประโยคนั้นอีก...
“พี่…”
“กูกลับละ” พี่ภูหันมาบอกสั้นๆ แล้วเดินออกไปทันทีโดยไม่สนใจใคร ทิ้งให้ผมนั่งเหวออยู่ที่เดิมด้วยความไม่เข้าใจ
ท่าทางเหมือนจะโกรธเลย…
ผมอยากวิ่งตามไปแต่ก็ต้องห้ามตัวเองไว้ ทำได้เพียงกัดริมฝีปากด้วยความอดกลั้น ใจเต้นแรงจนเจ็บเหมือนจะตำหนิที่ไม่ยอมวิ่งตามไป แต่สมองกำลังบอกว่าอย่าเพิ่งเข้าไปคุยตอนนี้เพราะเขาต้องไปทำธุระ แถมผมยังต้องจัดการเรื่อง...
“บอกกูทีว่าทำไมพวกกูต้องวิ่งจากตึกดุริยางค์มาหามึงถึงที่นี่” พี่วินยิ้มเย็นแล้วหักนิ้วเสียงดัง ท่าทางเหมือนพร้อมจะเข้ามาเตะผมได้ทุกเมื่อ
“ก็…”
“หาเหตุผลดีๆ นะไอ้เก้า ก่อนที่พวกกูจะจับมึงฆ่าหมกส้วม”
จริงๆ ก็คิดไว้แล้วว่าถ้าโซมันได้ยินเสียงผมมีเรื่องคงต้องเรียกคนมาด้วย แต่ผมไม่ได้คิดว่าจะวิ่งมากันเป็นสิบแบบนี้นี่หว่า…
“พี่ไม่เห็นเหรอ ผมเกือบโดนต่อยแล้วนะถ้าพี่ภูไม่ช่วย” ผมพยายามทำหน้าตาให้ดูน่าสงสาร เท้าเดินเข้าไปหากลุ่มรุ่นพี่ที่ยืนออกันอยู่ช้าๆ “ถ้าพวกพี่ไม่มาพวกนั้นคงไม่ถอยไปง่ายๆ หรอก”
“ตอแหล”
“หมาโซ” ผมกัดฟันแล้วชูนิ้วกลางให้เจ้าของชื่อ
“เก้า มึง…”
“โอ๊ย! ปวดท้อง ไปก่อนนะพี่!”
“ไอ้เก้า!”
เอาเป็นว่าผมจะยอมไม่ทำตามแผนสักครั้ง ยกยอดการออกกำลังไปไว้พรุ่งนี้แล้วกัน...
“บายยยย”
...ตอนนี้วิ่งหนีฝูงผีให้รอดเป็นพอ
------------------------------
ติดตามข่าวสาร
Fan Page : Chesshire.
Twitter : @Chesshire04
ติดแท็ก : #คุณภูชายเก้า