-12-
สิ่งที่ทำให้ผมหงอยได้มีอยู่ไม่กี่อย่าง ยกตัวอย่างเช่นตอนนี้ที่ผมกำลังยื่นตัวสั่นเพราะความหนาวอยู่ริมขอบสระ เนื่องจากโดนคนหน้าดุทำโทษให้ยืนสำนึกผิด จริงๆ ก็ไม่เชิงว่าเขาสั่ง แต่แค่เห็นพี่ภูมองด้วยสายตาเหมือนจะบอกว่า ‘มึงรีบทำอะไรสักอย่างเดี๋ยวนี้’ ผมก็เลือกปีนขึ้นมาจากสระแล้วเอามือกุมไว้ด้านหน้าพร้อมก้มหน้าให้ดูน่าสงสารเป็นการทำโทษตัวเองทันที
พี่ภูยังคงยืนมองผมด้วยดวงตาดุๆ อยู่ในสระโดยไม่พูดอะไรสักคำ ทั้งยังมีพื้นหลังเป็นภาพไอ้พวกรุ่นพี่รุ่นน้องรวมถึงไอ้โซขำก๊ากกันอยู่อีกด้าน แต่พอผมคิดจะอ้าปากด่าก็ดันไปสบเข้ากับดวงตาสีเทาของคนๆ เดิมเลยได้แต่หุบปากฉับแล้วก้มหน้าลงหงอยๆ
เพิ่งเคยหงอยทั้งที่ไม่ได้โดนด่าอะไรสักคำก็วันนี้...
“ดูดิ...แม่งตัวสั่นเพราะหนาวหรือเพราะกลัววะน่ะ”
“พี่ภูโคตรเจ๋ง ทำไอ้เด็กเวรกลายเป็นลูกแมวเชื่องๆ ได้ด้วย”
“แมวเหี้ยไร มันก็เคยบอกอยู่ว่ากระต่าย”
“เออ ลูกกระต่ายก็ได้วะ”
ผมได้แต่กัดริมฝีปากที่สั่นเทาของตัวเองไว้ไม่ให้เผลอปากด่าไอ้พวกนั้น ตอนนี้นอกจากจะแซวไม่หยุดแล้วยังบังอาจหยิบเหล้ากินพร้อมกับเล่นไพ่หน้าตาเฉย ไม่คิดจะช่วยเลยสักนิด แค่นั้นยังไม่พอ มันยังมีหน้าเดินไปหยิบเสื้อใส่แล้วชวนกันไปซื้อเหล้าเพิ่มทั้งกลุ่มอีกต่างหาก แม้แต่พี่กีล์กับไอ้โซยังไปด้วย ดูก็รู้ว่าจะชิ่ง!
บัญชีแค้นนี้กูจดไว้ในใจแล้วเรียบร้อย...มีโอกาสจะเอาคืนให้สาสม
แต่ตอนนี้...หนาวโคตร
ผมจำต้องปล่อยมือที่กุมกันอยู่ด้านหน้าแล้วยกขึ้นมากอดตัวเองไว้เพราะเริ่มสั่นมากกว่าเดิม อยากกระโดดลงน้ำให้รู้แล้วรู้รอดจะได้หายหนาว แต่พอเห็นใครอีกคนยังมองมาไม่ยอมขยับเลยจำต้องยืนนิ่งต่อ
“พี่ภู…” ผมเรียกเสียงอ่อยเพราะเริ่มทนไม่ไหว แต่พอเห็นเจ้าของชื่อถอนหายใจแล้วก็ใจเสียจนต้องก้มหน้าลงอีกครั้ง
“ลงมา”
“แต่ว่า…”
เล่นตัวนิดเดียว พี่พูดซ้ำอีกทีผมสัญญาว่าจะโดดลงไปอย่างรวดเร็ว
“ดื้อ” ว่าแล้วคนที่อยู่ในน้ำก็เดินมาชิดขอบสระ มือแกร่งจับข้อมือผมแล้วดึงทีเดียวจนร่างปลิวไปตามแรงเพราะไม่ทันตั้งตัว
ตูม!
“แค่ก แค่ก” ผมรีบตะเกียกตะกายขึ้นให้พ้นน้ำแล้วไออย่างแรงเพราะไม่ได้กลั้นหายใจไว้ เผลอกินน้ำเข้าไปเต็มๆ จนแสบคอแสบจมูกไปหมด พอตั้งตัวได้แล้วก็รีบเงยหน้ามองคนต้นเรื่องด้วยสายตาหาเรื่องอย่างลืมตัว แต่พอเห็นว่าเป็นใคร…
“พี่แกล้งผม” เสียงอ่อยทันที
“ก็มึงดื้อ”
ตอนนี้ใบหน้าผมอยู่ห่างจากพี่ภูไม่ถึงหนึ่งฝ่ามือ แขนข้างหนึ่งยังคงถูกเขาจับไว้ ในขณะที่ความหนาวเย็นเมื่อครู่จางหายไปจนหมดแล้ว ไม่รู้ว่าเป็นเพราะได้ลงมาในน้ำหรือเพราะได้รับความอบอุ่นจากร่างกายของคนที่ยืนอยู่ด้านหน้ากันแน่
“ตอนแรกทำหน้าเหมือนจะหาเรื่องไม่ใช่หรือไง”
ยังกล้าพูดอีก
“พี่ทำหน้าแบบนี้แล้วใครจะกล้า…”
ใบหน้าที่เหมือนกำลังกลั้นขำ แล้วยังมีรอยยิ้มน้อยๆ ที่ริมฝีปากกับดวงตาคมที่เป็นประกายระยิบระยับอีก...เห็นแบบนี้แล้วใครยังจะโมโหต่อได้กัน
“ตาแดง” พี่ภูพูดเบาๆ พร้อมกับขยับใบหน้าเข้าใกล้ผมมากกว่าเดิม และในขณะที่ผมกำลังเคลิ้มไปกับดวงตาคู่สวยที่อยู่ใกล้กว่าครั้งไหนๆ เขาก็ยกมือขึ้นแล้ว…
“โอ๊ย!”
จิ้ม! กูก็คิดว่าจะลูบ แต่นี่คือจิ้ม! หมดกันอารมณ์โรแมนติก หน้าแม่งหายแดงแทบไม่ทัน
“พี่จะเอาเหรอ!” ผมเอามือกุมตาตัวเองแล้วทำหน้าบึ้ง มือข้างหนึ่งชี้หน้าเขาแบบหมดความอดทน
“จะทำไม” คิ้วเข้มเลิกขึ้นเล็กน้อยเหมือนจะถามว่า ‘อย่างมึงจะทำอะไรได้’
ในเมื่อพี่กำลังอารมณ์ดีกว่าปกติ งั้นก็อย่าหวังว่าผมจะปรานีเลย…
“จะทำงี้ไง” ผมยิ้มนิดๆ เป็นคำตอบ อาศัยชั่ววินาทีที่พี่ภูกำลังงงโถมตัวเข้าใส่เขาเต็มแรง
ทั้งแกล้งแล้วก็แต๊ะอั๋งไปในตัว...ได้ประโยชน์ทุกทาง
ตอนแรกผมคิดว่าพี่ภูจะสะบัดออกหรือไม่ก็หันมาด่า กำลังนึกอยู่แล้วเชียวว่าครั้งนี้จะสำนึกผิดยังไงดี แต่ยังไม่ทันได้คิดต่ออยู่ๆ ก็โดนล็อคคอกลับแล้วจับกดน้ำโดยไม่ทันตั้งตัว เล่นเอาหายใจแทบไม่ทัน ถ้าเป็นปกติผมคงหัวร้อนเป็นไฟ แต่ครั้งนี้กลับดีใจเพราะมันทำให้ผมได้รู้อย่างหนึ่ง…
พี่ภูเล่นด้วย! ช่วงกอบโกยของกู!
“ผมหายใจไม่...แค่ก”
“ปล่อยความบ้าให้ลอยไปกับน้ำบ้าง”
เดี๋ยวๆ แบบนี้ก็ได้เหรอ
ดีที่พี่เขาไม่ได้ใจร้ายนัก เพราะพอรู้ว่าผมเริ่มไม่ไหวก็เปลี่ยนมาจับล็อคคอแล้วขยี้หัวแทน ผมจะหันไปบ่นก็บ่นไม่ลงเพราะตัวเองก็มีความสุขเหมือนกัน
แถมยัง...ได้เห็นรอยยิ้มของพี่ภูเป็นครั้งแรกด้วย
มันไม่ใช่รอยยิ้มกว้าง แต่ก็ไม่ใช่รอยยิ้มมุมปากเหมือนปกติ เป็นรอยยิ้มที่ยิ้มจริงๆ แบบที่เจ้าตัวไม่คิดปิดบัง รอยยิ้มที่เหมือนจะบอกว่าเขาเองก็กำลังสนุกและมีความสุข
แปลกที่ครั้งนี้ผมไม่ได้เขินหรือใจเต้นแรงจนจะทะลุออกมาเหมือนที่คิด แต่มันกลับเต้นเป็นจังหวะมั่นคงพร้อมกับความรู้สึกอิ่มๆ ข้างในราวกับกำลังดีใจที่ได้เป็นเจ้าของรอยยิ้มนั้น ดีใจที่เป็นต้นเหตุที่ทำให้เขายิ้มได้
“พี่ยิ้มแล้ว” ผมหยุดทุกการกระทำโดยชะงักค้างไว้ในท่าที่กำลังจับแขนพี่ภูอยู่ก่อนจะยิ้มออกมาเหมือนที่เขายิ้ม
“...” พี่ภูทำหน้าเหมือนไม่เข้าใจว่าผมกำลังพูดเรื่องอะไร แต่พอมองหน้าผมไปอีกสักพักเขาก็เบิกตาน้อยๆ เหมือนจะตกใจก่อนจะแตะปลายนิ้วที่ริมฝีปากของตัวเอง
“อยากยิ้มก็ยิ้ม ไม่เห็นต้องฝืนเลย” ผมบอกแล้วดึงมือเขาลง ถึงรอยยิ้มจะหายไปจากใบหน้าแล้ว แต่สีหน้าที่ไม่ได้เย็นชาเหมือนปกติก็ยังคงอยู่...แค่นั้นก็พอแล้ว
“มึง…”
“ผมเก่งใช่ไหม” ผมยืดอกถาม เตรียมพร้อมรับคำชมเต็มที่ แต่กลับได้คำตอบเป็นนิ้วที่จิ้มลงมาแรงๆ ที่อกจนตัวเซ
“กาก”
“โหพี่...คำนี้ใช้กับผมไม่ได้จริงๆ คือมันไม่ใช่มากๆ”
“จะบอกว่าเก่งทุกเรื่องว่างั้น”
“ประมาณนั้น” ผมยกยิ้มด้วยความมั่นใจ “หรือพี่จะลอง”
“ลองอะไร”
ผมกวาดตามองรอบๆ เพื่อหาว่าจะใช้อะไรพิสูจน์ได้บ้าง สุดท้ายก็จบลงที่การก้มหน้ามองสระน้ำที่ยืนอยู่
“ว่ายน้ำไหม”
“หืม”
“แข่งว่ายน้ำไง...แต่แข่งเฉยๆ ก็ดูไม่น่าสนุกเนอะ” ผมพยายามทำหน้าตาให้ดูใสซื่อ แต่นอกจากจะไม่เชื่อแล้วพี่ภูยังยื่นมือมาผลักหน้าจนผมแทบหงายหลังอีกต่างหาก
“จะเอาอะไรก็พูดมา”
เข้าทางเลย…
“คนชนะขออะไรก็ได้หนึ่งอย่าง!”
“งั้นถ้ากูชนะ แล้วห้ามไม่ให้มึงมายุ่งด้วยอีกล่ะ” คนพูดเลิกคิ้วถาม ส่วนผมได้แต่ขมวดคิ้วมุ่นเพราะไม่ชอบประโยคนั้นเอาเสียเลย
“ไม่นับ”
“...”
“เปลี่ยนใหม่ก็ได้” ผมหน้าตึง รีบเปลี่ยนรางวัลก่อนจะโดนต้อนให้จนมุม ถึงจะเสียดายหน่อยๆ ที่ไม่ได้ขออะไรก็ไม่เป็นไร จะให้เสี่ยงก็คงไม่ดีเพราะผมไม่เคยเห็นฝีมือว่ายน้ำของพี่ภูเสียด้วย “ถ้างั้น...ถามอะไรก็ได้หนึ่งข้อ”
จะทางไหนผมก็ได้ประโยชน์เต็มๆ…
“ทำหน้าตาชั่วร้ายอีก”
“ลืมตัว” ผมเอามือลูบๆ หน้าตัวเองให้หายชั่วร้ายแล้วยิ้มยิงฟันให้พี่ภู เขามองกลับมาด้วยสายตาอ่อนอกอ่อนใจแต่ก็ยังพยักหน้า
“เออ”
“ถ้างั้น...ว่ายไปกลับนะ”
“อืม”
ผมยกยิ้มสมใจ เพราะนอกจากจะมั่นใจในความสามารถของตัวเองอยู่พอควรแล้วยังได้เปรียบพี่เขาอีกต่างหาก ในขณะที่ผมใส่กางเกงว่ายน้ำแค่ตัวเดียว ใครอีกคนกลับใส่กางเกงขายาวโดยไม่คิดถอดเสื้อเชิ้ตที่ชุ่มน้ำออกด้วยซ้ำ
“มึงนับ”
แถมยังให้ผมนับอีก จังหวะของผมก็ต้องดีกว่าสิ
“ได้เลย”
แล้วเรื่องอะไรผมต้องปาโอกาสที่ได้มาทิ้งล่ะ
“3 2 1”
ตูม! ตูม!
ชั่ววินาทีที่กระโดดลงน้ำ ผมรับรู้ได้ว่าใครอีกคนก็กระโดดตามลงมาและว่ายอยู่ข้างๆ คนแบบเขาคงไม่โกงอยู่แล้ว แต่ผมเนี่ย…บอกเลยว่าถ้าคู่แข่งไม่ใช่พี่ภูคงเนียนแปะขอบรออยู่ไม่ว่ายให้เหนื่อยหรอก
การว่ายน้ำแข่งขันเพื่อคำถามแค่หนึ่งข้ออาจดูไร้สาระสำหรับคนอื่น แต่สำหรับผมที่มีคำถามอยู่ในใจมากมายมันเป็นอะไรที่สำคัญมาก เพราะงั้นถึงได้ตั้งใจเป็นพิเศษ แต่ความมั่นใจกลับต้องหายไปเมื่อมือแตะขอบสระ…
“ช้า”
“พี่!”
“ตกใจอะไร”
“พี่ถึงก่อนผม” ผมเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ไม่อยากจะเชื่อว่าตัวเองแพ้ ถึงจะไม่ได้มั่นหน้าว่าจะชนะแน่ๆ แต่พอได้เจอกับความพ่ายแพ้เป็นครั้งแรกก็เงิบไปเหมือนกัน
“อ่อน”
“พะ...พี่…”
เกิดมาไม่เคยโดนด่าว่าอ่อนมาก่อน พี่ภูแม่ง…
“พี่โคตรไอดอลผมเลย! พี่รู้ป่ะ ผมยังไม่เคยแข่งอะไรแพ้คนอื่นเลยนะเนี่ย โคตรเจ๋ง!” ผมเขย่าแขนคนที่กำลังทำหน้างงรัวๆ ด้วยความตื่นเต้น
“มึง…”
“แต่ผมไม่ยอมแพ้นะ ขออีกรอบ ผมต้องถามคำถามพี่ให้ได้ เอาไว้พี่ค่อยถามผมทีเดียวนะ”
ไม่รอให้ได้คำตอบ ผมดึงมือคนข้างๆ ให้เข้าประจำที่อีกรอบ ในใจตอนนี้พวยพุ่งไปด้วยไฟของความอยากชนะ เป็นครั้งแรกที่ผมกระตือรือร้นขนาดนี้ บางทีอาจเป็นเพราะไม่เคยแพ้ใครมาก่อน
“เอานะ” ผมหันไปถามคนด้านข้าง พี่ภูถอนหายใจแต่ก็ยอมพยักหน้า
“3 2 1”
ตูม! ตูม!
“สองข้อ”
“ขออีกรอบ!”
ตูม! ตูม!
“สามข้อ”
“...อีกรอบ!”
ตูม! ตูม!
“สี่…”
“ขอ...ขอ…”
“พอแล้ว”
ผมหันไปมองคนด้านข้างด้วยความขัดใจ ขัดใจทั้งที่ไม่ได้สิ่งที่ต้องการและที่แพ้ติดกันถึงสี่รอบ จากกระตือรือร้นเริ่มกลายเป็นหงุดหงิดแทน ทั้งหงุดหงิดที่แพ้...และหงุดหงิดที่มันไม่เป็นไปตามแผน นั่นเท่ากับผมไม่มีโอกาสได้ถามคำถามเขาแม้แต่คำถามเดียว
“พอก็ได้” ผมถอนหายใจ ไม่ใช่ว่าอยากยอมแพ้ แต่แค่นี้ก็ยืนยันได้แล้วว่ายังไงก็คงไม่มีทางชนะเขา แข่งต่อก็เหนื่อยเปล่า
“เพื่อนมึงไปไหนหมด”
“น่าจะไปกินเหล้าต่อที่ห้องพักแล้วมั้ง” ผมขึ้นจากสระก่อนจะเดินไปหยิบโทรศัพท์ที่วางทิ้งไว้ขึ้นมาดูแล้วก็พบว่ามีไลน์จากพี่วินบอกว่าจะไปกินต่อที่ห้องจริงๆ เห็นคุยกันตั้งแต่ที่มหา’ลัยแล้วว่าจะขอห้องว่างไอ้โซอาศัยนอนสักคืน ดีที่คอนโดชั้นล่างมีห้องว่าง
สัมผัสอุ่นนุ่มของผืนผ้าที่โยนมาโปะหัวทำให้ผมต้องละสายตาจากโทรศัพท์แล้วหันไปผงกหัวให้คนที่โยนผ้ามาให้ด้วยความขอบคุณ มือก็กระชับกอดผ้าเข้าหาตัวให้มากกว่าเดิมเพื่อบรรเทาความหนาว
“พี่ไม่หนาวเหรอ” ผมมองสภาพพี่ภูด้วยความไม่สบายใจเท่าไหร่ ถึงเขาจะไม่ได้สั่นอะไรแต่ก็คงหนาวไม่ต่างกัน
“ไม่...มึงรีบไปล้างตัว”
“ไม่เป็นไร กลับห้องเลยดีกว่า”
ผมปฏิเสธที่จะไปล้างตัวคนเดียวเพราะรู้ว่าพี่ภูไม่ได้เอาเสื้อผ้ามาเปลี่ยน ขึ้นห้องให้ไวที่สุดน่าจะช่วยได้มากกว่า คิดได้แล้วก็รีบสะบัดตัวให้แห้งแล้วเดินเข้าไปหาคนที่ยืนหน้านิ่งอยู่
“ตามใจ”
พอขึ้นมาถึงห้องแล้วเราก็แยกย้ายกันอาบน้ำ ผมอาบห้องพี่ภู ส่วนเขาไปอาบอีกห้องที่มีเสื้อผ้าของน้องตัวเองอยู่ พอผมออกมาจากห้องก็พบว่าคนตัวสูงกำลังนั่งอ่านเอกสารอยู่ที่โซฟาริมกระจก บนตักมีโน้ตบุ๊กเปิดหน้าจอวางไว้พร้อมทำงาน
“ทำงานอีกแล้วเหรอ” ผมหย่อนตัวลงนั่งข้างๆ ก่อนจะยื่นหน้าไปมองเอกสารที่เขาอ่านอยู่ มันยังคงเป็นเอกสารการค้าภาษาอังกฤษเหมือนทุกครั้ง
“อืม”
อีกแล้ว…ทำงานจนหน้าจะเป็นเอกสารแล้วมั้ง
ผมเบะปากแล้วกวาดตามองรอบๆ ด้วยความเบื่อ จำได้ว่าครั้งก่อนที่เข้ามามีภาพวาดวางอยู่หลายภาพ ซึ่งมันก็ช่วยทำให้ผมหายเบื่อได้มากพอควร แต่ตอนนี้มันกลับหายไปหมดแล้ว เหลือแค่ขาตั้งที่วางหลบมุมอยู่
“พวกภาพวาดที่เคยวางอยู่แถวนี้หายไปไหนหมดเหรอ”
“เก็บไปหมดแล้ว ไม่มีเวลา”
มิน่าล่ะ...ดูจากที่ตอนนี้ยังทำงานอยู่ก็พอเดาได้
ผมนอนกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่นานหลายนาที เล่นเกมในโทรศัพท์ก็แล้ว อ่านหนังสือก็แล้วทำยังไงก็ไม่หายเบื่อเสียที หลังผ่านไปเป็นชั่วโมงผมเลยตัดสินใจขยับเข้าหาคนที่นั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดอีกครั้ง
“ตอนนี้ดึกแล้ว…”
ไม่ได้อยากกวนนะ แต่เขาทำงานจนจะเที่ยงคืนอยู่แล้ว ผมเห็นแล้วเหนื่อยแทน ไม่ได้มีเหตุผลแอบแฝงสักนิด ไม่มีเลย ไม่ได้อยากให้สนใจเลย…
“ดึกแล้ว” ผมพูดซ้ำอีกครั้งจนพี่ภูยอมละสายตาออกจากเอกสาร เขาถอนหายใจก่อนจะวางมันลงรวมถึงปิดจอโน้ตบุ๊กบนตักแล้วเอาไปวางไว้ที่โต๊ะข้างๆ หลังจากนั้นก็หันกลับมาสบตาผมอีกครั้ง
“คำถามสี่ข้อ”
“ได้เลย ผมพร้อมตอบ” ผมอมยิ้มตอบ ดีใจที่เขาหันมาสนใจเรื่องนี้แทน อย่างน้อยจะได้หยุดทำงานบ้าง
“พ่อมึงเอาคนจากไหนไปซ้อมพวกนั้น”
ผมเลิกคิ้วเล็กน้อยกับคำถามที่ได้รับ แต่ก็ยังตอบออกไปตามตรง
“คนของป๋านั่นล่ะ เขามีลูกน้องเยอะ คงส่งคนมาดูแลผมในกรุงเทพอยู่แล้ว”
ถึงผมจะไม่รู้ว่าใช่หรือเปล่าแต่ก็คิดว่าไม่น่าพลาด เพราะป๋าเยอะมาแต่ไหนแต่ไร ต่อให้ไม่ได้สั่งคนตามติดผมทุกย่างก้าวแต่ก็ต้องมีลูกน้องอยู่แถวนี้แน่นอน
“ทำไมมีลูกน้องเยอะ” พี่ภูขมวดคิ้ว ท่าทางของเขาดูเหมือนคิดอะไรอยู่ น่าหงุดหงิดอยู่เหมือนกันที่ผมเดาท่าทีเหล่านั้นไม่ออกเลย
“บ้านผมทำหลายอย่าง ป๋ากับจ๋ารู้จักคนเยอะอยู่แล้ว ส่วนลูกน้องพวกนั้นก็เป็นคนที่รับมาทำงานด้วย ส่วนใหญ่จะเป็นพวกคนกลับใจที่เคยติดคุกแล้วไม่มีงานทำ ป๋าบอกผมว่าพวกนั้นควรได้รับโอกาส แล้วก็เหมาะกับการช่วยงานหลายๆ อย่าง”
“ทำอะไรบ้าง”
“ทำตามคำสั่งทุกอย่างเลย ทั้งส่งของ ทวงหนี้ ไม่ก็เป็นบอดี้การ์ด บางทีผมก็ตลกนะที่พวกนั้นบูชาป๋าจนเดินไปไหนมาไหนจะกลายเป็นเจ้าพ่อมาเฟียอยู่แล้ว” ผมหัวเราะเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่ว่า พวกคนที่ป๋าไปคุยธุระด้วยกลัวหัวหดกันแทบทุกคน ขนาดผมเป็นลูกชายยังโดนพวกเฮียกล้ามโตทั้งหลายโอ๋มาตั้งแต่เด็กเลย เจ้านายเป็นยังไงก็ถ่ายทอดให้ลูกน้องหมดจริงๆ “พี่ลองคิดภาพผู้ชายตัวโตๆ สักทั้งตัวหลายๆ คนเดินตามเป็นขบวนดิ...โคตรฮา”
พี่ภูหัวเราะหึออกมาคำเดียวแล้วก็เงียบไป รอจนผมหยุดยิ้มแล้วเขาถึงพูดต่อ
“ข้อสุดท้าย…”
“ครับ”
“ทำไมมึงมาอยู่ห้องกูได้”
“...”
คิดว่าจะไม่รู้ตัว...
“เนียนนะมึง” พี่ภูผลักหัวผมแรงๆ แบบที่ชอบทำ ก่อนมุมปากจะยกขึ้นเป็นรอยยิ้มตามหลัง…
คือกะเอาให้ผมไม่มีอารมณ์แค้นเลยใช่ไหม ถ้าเป็นคนอื่นต้องโดนกลับสักทีสองทีไปแล้ว
“ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ผมนอนด้วยนะ”
“โคตรด้าน…”
“จ๋าบอกว่าคนหน้าด้านคือคนอดทน”
คราวนี้คนฟังทำหน้าพะอืดพะอม ลักษณะเหมือนไม่คาดคิดว่าผมจะตอบแบบนั้น
“กูเริ่มอยากเจอจ๋ากับป๋าของมึงละ”
“พี่ก็รีบชอบผมสิจะได้พาไปเจอ” ผมตอบกลับอย่างรวดเร็ว อยากจะบอกว่าผมเองก็อยากพาไปหาเต็มแก่แล้วเนี่ย
“ตีความไปถึงไหนวะน่ะ” พี่ภูยกมือมาวางบนหัวผมแล้วเขย่าไปมาอย่างแรง จะฟินก็ฟินไม่ลงเพราะเริ่มมึน กว่าจะยอมหยุดก็ตอนที่ผมเอาสองมือของตัวเองจับมือเขาไว้ให้วางแปะอยู่เฉยๆ
“มีแฟนแล้วก็ต้องพาไปเจอพ่อแม่ไง ไม่เห็นผิดเลย...จ๋าบอกว่าถ้าจริงจังกับใครก็ต้องพาไปเจอพ่อแม่”
“แล้วกูใช่แฟนมึงหรือไง”
“สักวันพี่ต้องพลาดท่าเสียทีมาชอบผมอยู่แล้ว” ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ถ้าไม่มาชอบเองผมก็จะทำให้ชอบอยู่ดี ไม่มีทางพลาดแน่
“เหรอ”
“ตอนนี้ก็เอ็นดูอยู่ใช่ไหมล่ะ” ผมขยับเข้าไปใกล้ เอาไหล่แซะๆ จนคนทำหน้านิ่งยิ้มน้อยๆ
“เอ็นดู...เหมือนกระต่าย” ว่าแล้วก็บีบแก้มผมแรงๆ ก่อนจะลากไปที่พุงแล้วบีบซ้ำ “ก้อนๆ”
ก้อน! พูดแล้วบีบพุงมันคือการด่าชัดๆ เลยไม่ใช่หรือไง
“ผมไม่อ้วนนะ” ผมบ่นแล้วเปิดพุงให้ดู ถึงซิกแพคจะไม่ได้ชัดเจนอะไรแต่ก็ไม่ได้มีไขมันส่วนเกินสักหน่อย
“ก้อน”
“ไม่…” ตั้งท่าจะเถียงอยู่แล้วเชียว แต่พอมองหน้าแล้วก็เถียงไม่ออกจนได้
สมควรเปลี่ยนเรื่องอย่างเร่งด่วน
“พี่ภู ผมถามอะไรหน่อยสิ”
“มึงไม่ชนะ”
ผมหน้าหงิก และมันคงดูตลกมากจนสามารถทำให้ตาคนมองดูเป็นประกายขบขันได้
“งั้นเล่นอย่างอื่น คราวนี้ผมชนะพี่แน่”
“เล่น?” พี่ภูเลิกคิ้ว ผมเลยเหยียดยิ้มก่อนจะบอกให้เขารอแล้วเดินออกไปนอกห้อง
ก๊อก ก๊อก
ไม่ต้องรอนานนักพี่กีล์ก็เปิดประตูออกมาหาด้วยสายตาเป็นคำถาม คงงงว่าผมได้โอกาสเข้าห้องพี่ภูแล้วทำไมหาเรื่องออกมา
“ไม่ต้องห่วงพี่ ผมเอารองเท้ายันไว้แล้ว” ผมชี้ให้ดูประตูห้องพี่ภูที่ถูกรองเท้ายันไม่ให้ปิด ไม่ใช่อะไร...กลัวปิดแล้วเจ้าของห้องไม่ยอมเปิดให้อีก
พี่กีล์หัวเราะเสียงดังก่อนจะถอยหลังให้ผมเดินเข้าไปในห้อง ผมไม่สนใจถามว่าโซหายไปไหน แต่มุ่งหน้าไปที่เครื่องเกมของมันแล้วจัดการถอดทุกอย่างรวมถึงคว้าแผ่นเกมมามั่วๆ สี่ห้าแผ่นด้วย
“ผมยืมนะพี่” ผมหันไปบอกพี่กีล์ที่ยืนเปิดประตูรออยู่ เขาไม่ได้ว่าอะไรนอกจากยิ้มแล้วพยักหน้าให้
“โชคดีนะครับ”
“แต้งกิ้ว”
ผมเดินกลับเข้าห้องพร้อมข้าวของเต็มอ้อมแขน หลังจัดการต่อสายเครื่องให้พร้อมหมดแล้วก็เดินไปหาคนที่นั่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับ
ไม่ถึงห้านาทีที่ออกไปก็หยิบเอกสารขึ้นมาอ่านอีกแล้ว
“พักได้แล้ว” ผมสะกิดแขนคนที่นั่งอ่านเอกสารไม่ยอมหยุด ซึ่งเขาก็ยอมเงยหน้ามอง…แต่แค่ครู่เดียวก็หันกลับไปอ่านต่อ
“พี่…”
“อืม”
“อืมก็หยุดเร็ว” ใจจริงอยากจะดึงแขนให้ลุกตามมาเลยด้วยซ้ำ แต่ก็กลัวว่าจะทำให้เจ้าตัวไม่พอใจ ผมเลยรอให้เขาวางเอกสารลงก่อน จากนั้นก็ดึงแขนให้เดินตามไปที่โซฟาหน้าทีวี
“เอาเกมนี้นะ” ผมชูแผ่นเกมมวยปล้ำในมือขึ้น
“รอบเดียว”
“ได้เลย”
เกมนี้ผมชนะไอ้โซเป็นร้อยรอบแล้ว ไม่มีทางที่จะแพ้แน่
ผมขยับตัวนั่งคุกเข่าด้วยความตั้งใจ ไม่ได้สังเกตว่าใครอีกคนมองมาหรือเปล่า และแค่เกมเริ่มขึ้นผมก็รู้ได้ทันทีว่าพี่ภูเล่นไม่เป็น เขายังกดออกท่ามั่วๆ อยู่เลยด้วยซ้ำ
สบายละ
ถึงจะคิดแบบนั้นแต่ผมก็ยังตั้งใจเล่น โดนสวนกลับมาบ้างนิดหน่อยแต่ก็ไม่ได้เจ็บอะไรมากมาย สุดท้ายก็ชนะไปแบบขาดลอย
“ผมชนะ”
“อือ” พี่ภูวางจอยเกมลง ไม่ได้มีท่าทีเดือดเนื้อร้อนใจอะไร “อยากถามอะไร”
โอกาสมาแล้ว…
“เรื่องข่าวลือของพี่…” ผมลากเสียงแล้วรอสังเกตท่าทางของเขา แต่นอกจากใบหน้าราบเรียบไร้อารมณ์แล้วก็ไม่มีสิ่งใดแสดงออกมาเลยแม้แต่น้อย “ที่บอกว่าดรอปเพราะโดนพักการเรียน มีเรื่องต่อยตีไปทั่ว…”
“จะถามว่าทำไมกูเป็นคนแบบนั้นเหรอ”
“เปล่า” ผมส่ายหน้า “ตั้งแต่แรกผมก็ไม่เชื่อข่าวลืออยู่แล้ว นี่ไง จดไว้ด้วย”
ผมหยิบโทรศัพท์มากดแล้วยื่นโน้ตที่จดไว้ให้พี่ภูดู เขามองด้วยสายตาประหลาดๆ อยู่ครู่หนึ่งแล้วก็ยื่นมือมาดีดหน้าผากผม
“กระต่ายบ้า” ได้ยินคำด่าแล้วก็ต้องยกมือลูบหน้าผากป้อยๆ แล้วก้มลงอ่าน
**สนิทแล้วค่อยถาม**
>เคยมีข่าวลือเรื่องชกต่อย มีเรื่องกับคนอื่นจนมีคนตาย ดรอปเพราะโดนพักการเรียน<
**ตอนถามอย่าลืมบอกว่า ‘ไม่เชื่อ’ ด้วย**
แปลกตรงไหนกัน...
“ผมไม่ได้เชื่อข่าวลือแต่แรกแล้ว แต่คิดว่าคงมีมูลอยู่บ้าง เลยอยากให้พี่บอกว่ามันเป็นมายังไง”
“คำถามเดียวกะเอาคุ้มเลยนะมึง”
ผมหัวเราะแทนคำตอบ โล่งใจอยู่พอควรที่พี่เขาไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกมา เพราะถ้ามีความไม่พอใจแฝงมาด้วยผมคงไม่กล้าบอกให้เขาตอบ
“ยกเว้นเรื่องมีคนตายกับดรอปเพราะพักการเรียน ที่เหลือเป็นเรื่องจริง” พี่ภูพูดเข้าเรื่องด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์เป็นปกติ “กูดรอปเพราะต้องกลับอังกฤษ ส่วนที่มีเรื่องก็ตามนั้น ใครหาเรื่องมาก็ไม่เคยอยู่เฉยๆ อยู่แล้ว ยิ่งตอนนั้นเพิ่งเข้าปีหนึ่งยิ่งแล้วใหญ่”
“ตอนปีหนึ่งพี่ไม่ได้เป็นแบบนี้เหรอ”
“ก็แบบนี้...แค่ตอนนี้ไม่มีใครกล้าหาเรื่องแบบตอนนั้น”
“จุดเริ่มต้นมาจากอะไรกันแน่…แค่มองหน้ากันแล้วหมั่นไส้คงไม่ทำให้มีเรื่องต่อยตีจนเกิดข่าวลือขนาดนี้” ผมขมวดคิ้วแล้วครุ่นคิดต่อในใจ แค่มีเรื่องจำเป็นต้องปล่อยข่าวใหญ่ขนาดว่าทำคนตายเลยหรือไง
“คงเพราะคนที่กูมีเรื่องด้วยคนแรกมันมีชื่อเสียงแล้วก็พรรคพวกเยอะ พอเรื่องตัวเดิมจบไปไอ้ตัวต่อๆ ไปมันก็เข้ามาเรื่อยๆ”
“พูดเหมือนพี่ไม่มีชื่อเสียง”
“ไม่มี” พี่ภูส่ายหน้า “กูไม่ได้มีชื่อเสียงในไทย ถ้าไม่ใช่พวกในวงการก็ไม่มีใครรู้จักอยู่แล้ว อีกอย่าง...กูไม่ได้ชอบให้คนอื่นมาเสือกเรื่องตัวเองแบบพวกมัน”
เพราะงั้นถึงไม่แคร์แล้วปล่อยให้ข่าวลือลือกันมาตั้งสามสี่ปีเนี่ยนะ ถ้าผมเจอพี่ภูตอนนั้นพอดีล่ะก็…
“อย่าเครียด” เสียงพูดบอกพร้อมมือที่วางลงมาบนหัวทำให้ผมรู้สึกตัว จำต้องทิ้งอารมณ์โกรธแล้วเงยหน้ามองคนด้านข้าง “กูไม่ได้ยอมคน ตัวต้นเหตุก็จัดการไปนานแล้ว ถึงจะไม่ตายแต่ก็เข้าโรง’บาลไปหลายเดือน”
“แต่ข่าวไม่จริงพวกนั้น…”
“มึงบอกว่าตัวเองไม่เชื่อ แล้วก็ไม่สนใจแก้ แค่อยากรู้เรื่องของกูไม่ใช่หรือไง”
“นั่นก็ใช่” ผมตอบเสียงแผ่ว ถึงจะว่าแบบนั้นแต่คนขี้เอาคืนอย่างผมก็อดหัวเสียไม่ได้
“รู้เรื่องของกูมากขึ้นแล้วไม่ใช่หรือไง”
“ก็ใช่…”
“ไปนอนไป” พี่ภูตัดบทแล้วโบกมือไล่ ทำท่าจะคว้าเอกสารมาอ่านต่อ แต่ผมจับมือเขาไว้ไม่ยอมให้หยิบมันขึ้นมา
“แล้วทำไมพี่กับคนที่มีเรื่องด้วยคนแรกถึงได้มีเรื่องกันใหญ่โตล่ะ มันไม่น่ากล้าเข้ามาหาเรื่อง อย่างน้อยก็ไม่น่ากล้าทำร้าย…”
“ถามเกินคำถาม”
ผมมองคนที่ยกมือมาปิดปากตัวเองทั้งหน้าบูด คิดว่าจะได้รู้เรื่องทั้งหมดแล้วเชียว สงสัยจะรีบไปหน่อย
“ไม่ถามแล้วก็ได้”
“อืม”
“ว่าแต่เรื่องน้องพี่ที่ชื่อภาม…” ยังไม่ทันจบประโยคก็ต้องกัดริมฝีปากตัวเองไว้เพราะคนหน้าดุมองมาเหมือนจะถามว่าเมื่อกี้พูดว่าไง ผมเลยจำใจต้องหันหลังเดินไปที่ห้องนอนแทน
“ก้อน”
“ครับ” ผมหันไปมองคนพูดหน้าหงอยๆ ความอยากรู้อยากเผือกทำให้อดรู้สึกเซ็งไม่ได้ แต่ก็พยายามเตือนตัวเองอยู่ว่าวันนี้คุ้มมากแล้ว
“ภามเป็นน้องชายแท้ๆ ของกู” พี่ภูลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินมาหาผมที่ยืนนิ่งอยู่กับที่ จวบจนมายืนอยู่ตรงหน้ากันแล้วเขาก็เริ่มพูดต่อ “ตอนนี้อยู่ที่อังกฤษ เมื่อสี่ปีก่อนเคยมาอยู่ที่นี่ แต่จำเป็นต้องกลับไปกะทันหัน ข้าวของก็เลยถูกทิ้งไว้ที่คอนโดเก่า กูย้ายมานี่เลยเอามาด้วย”
“...”
“หายสงสัยแล้วก็ไปนอน ที่เหลือถ้าอยากรู้ก็ไปถามเจ้าตัวเอง”
จบคำร่างของผมที่ยืนค้างอยู่หน้าประตูห้องนอนก็โดนดันเข้าไปด้านในพร้อมประตูที่ปิดลง หลังจากยืนเหวออยู่สักพักผมถึงได้รู้ตัวว่าคำถามในใจได้รับคำตอบแล้วตั้งหลายข้อ ถึงจะยังไม่ทั้งหมดเพราะพี่ภูไม่ได้บอกรายละเอียด แต่แค่นั้นก็มากพอที่จะทำให้ดีใจจนเนื้อเต้น
ผมเปิดประตูออกไปด้านนอก จ้องมองแผ่นหลังของคนที่นั่งอ่านเอกสารอยู่ด้วยอารมณ์หลากหลาย สุดท้ายเลยกลั่นออกมาเป็นคำพูดที่เหมาะสมที่สุด
“พี่ภู! ขอบคุณครับ!”
คนที่นั่งทำงานอยู่หันกลับมาหาก่อนจะถอนหายใจยาวด้วยท่าทางเหนื่อยหน่าย
“จะตะโกนให้ได้ยินทั้งคอนโดเลยหรือไง”
“ขอโทษครับ”
“ไปนอนได้แล้ว...กระต่ายโง่”
--------------