-22-
ผมตื่นมาด้วยความสดใสระดับสิบ อะไรร้ายๆ หรือทำให้รู้สึกแย่เทมันไปจนหมดตั้งแต่เมื่อคืน ไม่แม้แต่จะเก็บเอามานึกถึง ทั้งหมดเป็นเพราะได้ฟังคำพูดที่ย้ำความตั้งใจของใครอีกคนมาแล้ว และผมยังคงเชื่อมั่นว่าพี่ภูเป็นคนรักษาคำพูด ถ้าเขายอมพูดออกมาแล้วจะต้องเป็นไปตามนั้นแน่นอน…
ไม่ใช่ยังไม่รู้สึก...แต่อยากให้มั่นใจและมั่นคงกว่านี้ ถ้าผ่านสองปีไปได้…ทุกอย่างจะกลายเป็นความชัดเจน
ถึงจะเป็นการเอาคำพูดของเขามาต่อกันเองแต่ผมก็ยังพอใจที่ตัวเองคิดและเข้าใจแบบนั้น จะบอกว่าดื้อหรือดึงดันก็คงใช่ ผมรู้ตัวแต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะเป็นนิสัยของตัวเอง คิดแค่ว่าถ้ายังไปไม่สุดทาง ยังสู้ไม่เต็มที่ ทุกอย่างที่ผ่านมาก็จะไร้ความหมาย…และผมคงยอมไม่ได้
ต้องใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะได้เจอคนที่รู้สึกว่าใช่...บางทีถ้าพลาดไปแล้วอาจจะไม่เจออีกเลยก็ได้
พี่ภูบอกผมว่าเขาไม่เหลืออะไรให้เรียนแล้ว รวมถึงงานที่ไทยก็เคลียร์หมดแล้วด้วย อาทิตย์หนึ่งไปเรียนแค่วันเดียวแล้วก็รอสอบปลายภาคเลย เพราะงั้นช่วงนี้เจ้าตัวเลยนั่งว่างอยู่เฉยๆ ผมมีแพลนจะชวนเขาไปเที่ยวอยู่เหมือนกัน แต่กลายเป็นตัวเองที่ติดเรียนทุกวัน แถมตอนเย็นยังต้องซ้อมดนตรีอีก ต้องรอเสาร์อาทิตย์ถึงจะหาเวลาไปไหนมาไหนได้
ผมใช้เวลาจัดการตัวเองไม่นานแล้วก็เดินชิลไปมหา’ลัย ก่อนออกไม่ลืมทักไปหาใครอีกคน ซึ่งเจ้าตัวก็กดอ่านอย่างรวดเร็วแล้วส่งสติกเกอร์กระต่ายหาวกลับมาให้ ผมได้แต่อมยิ้มกับความเปลี่ยนแปลงแล้วเดินไปเรียนด้วยความสุขใจ
“เย็นนี้มีคัดวง มึงต้องอยู่” ไอ้โซถ่ายทอดคำสั่งจากเฮียเจมส์ให้รู้ก่อนมันจะฟุบหน้าหลับเหมือนเคย
ผมพอจะจำได้อยู่เหมือนกันว่าวันนี้มีคัดวงดนตรีก่อนจะได้ขึ้นเวทีประกวดรอบสุดท้ายในสองอาทิตย์หน้า จริงๆ ก็เป็นเรื่องที่ไม่น่าลืมเท่าไหร่หรอก แต่คงเพราะเอาแต่สนใจอะไรอย่างอื่นถึงไม่ได้ให้ความสนใจกับเรื่องนี้มากนัก
“จะนานหรือเปล่าวะ” ผมบ่นพึมพำกับตัวเองพลางนึกถึงเวลาที่พี่วินเคยบอกไว้ ตอนนั้นมัวแต่เหม่อเลยฟังไม่ละเอียดนัก แต่ถ้าจำไม่ผิดน่าจะหลายชั่วโมงอยู่ กว่าจะเริ่มก็เย็นแล้วด้วย...แบบนี้จะเอาเวลาที่ไหนไปหาพี่ภูล่ะเนี่ย
“นัดกับภูไว้?” มันยกหัวขึ้นมาถาม
“เปล่า กูแค่จะไปหาเขา”
“ค่อยไปวันหลังดิ”
“เวลาน้อยแล้ว กูกลัวไม่คุ้ม” พูดแค่นั้นมันก็เงียบไปไม่ถามอะไรต่อ เพราะน่าจะรู้แล้วว่าผมจะสื่ออะไร โซมันก็เข้าใจดีว่าการที่ต้องห่างกันมันรู้สึกแบบไหน เพราะตัวมันเองกับพี่กีล์ก็เคยห่างกันมาก่อน เรียกว่าผมเข้าใจความรู้สึกมันในเวลานั้นน่าจะถูกกว่า แต่แน่นอนว่าผมเก่งกว่ามัน เพราะงั้นผมย่อมจัดการทุกอย่างได้ดีกว่า
ผมรอเวลาจนเลิกเรียนแล้วถึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอีกครั้ง ในไลน์ที่ใช้คุยกับใครบางคนมีข้อความเข้าใหม่โดยที่ผมไม่ได้เริ่มก่อนเป็นครั้งแรก พอเข้าไปอ่านแล้วก็อมยิ้มแก้มแทบแตกเพราะเขาส่งสติกเกอร์มาให้
PHU: *สติกเกอร์กระต่ายตื่นนอน*
KAO: พี่เพิ่งตื่นเหรอ
PHU: อืม
ตื่นตอนสี่โมงเนี่ยนะ…
KAO: ตื่นสายมาก
PHU: หิวข้าว
KAO: มากินกับผมไหม
PHU: ขี้เกียจออก
KAO: อ่า…
PHU: มึงเลิกแล้วมากินที่ห้องแล้วกัน เดี๋ยวทำเผื่อ
KAO: ผมเลิกดึกนะ
PHU: ก็มากินมื้อดึก กูจะกินข้าวเช้าก่อน จะมาไม่มา
KAO: ไปครับ! *สติกเกอร์กระต่ายเขิน*
ถ้าเผื่อไม่รู้นะ...คนที่ไม่ค่อยแสดงออก เวลาเขาพูดหรือแสดงออกตรงๆ ทีนี่ตายสุดๆ ผมพิสูจน์มาแล้ว
“อารมณ์ดีอะไรนักวะ เปิดประตูเข้ามาแล้วหน้าบานอย่างกับจานดาวเทียม” พี่วินเดินมาคล้องคอในทันทีที่ก้าวเท้าเข้ามาในห้องซ้อม ใกล้ๆ กันมีไอ้เต๊ะที่เล่นกลองแทนเด็กเหี้ยนั่นนั่งยิ้มแซวอยู่อีกคน
“อารมณ์ดีเพราะมีความสุขไง”
“เออ วันนี้ซ้อมชั่วโมงเดียว เดี๋ยวห้าโมงไปคัดวงต่อ เสร็จเมื่อไหร่กลับได้เมื่อนั้น”
เยี่ยม...ขอให้มาสมัครกันน้อยๆ ทีเถอะ
“พี่วิน ผมเอารายชื่อมาให้ละพี่ น่าจะมีสามสิบหกวงนะ”
ไอ้เปรม...ไอ้ตัวทำลายความหวัง
“ทำไมพี่เก้ามองผมเหมือนจะฆ่าให้ตายเลยอ่ะ ฮือ”
อย่าว่าแต่ทุ่มเลย...สองทุ่มกูจะได้กลับหรือเปล่าก็ไม่รู้
สุดท้ายด้วยความหัวร้อนส่วนตัว...ผมสามารถคัดวงดนตรีให้เหลือสิบสองวงได้ในเวลาสามชั่วโมง ทันทีที่นาฬิกาบอกเวลาสองทุ่มทุกสิ่งทุกอย่างเป็นอันจบสิ้น ไอ้โซไม่ได้เป็นกรรมการเลยกลับไปก่อนแล้ว ส่วนผมก็คว้าข้าวของด้วยความไวแสงแล้วรีบวิ่งออกมาจากห้องคัดโดยไม่สนใจเสียงเรียกของใครทั้งนั้น
ผมแวะเข้าหอตัวเองเพื่อเอาของใช้จำเป็นยัดใส่กระเป๋า จากนั้นก็เรียกมอเตอร์ไซค์ไปส่งที่คอนโดพี่ภูโดยกินเวลาในการทำทุกอย่างไปเพียงครึ่งชั่วโมง ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเช็คอีกครั้งเพราะรู้สึกเหมือนมันจะสั่นอยู่ในกระเป๋าตอนกำลังเดินทางแล้วก็พบว่าเป็นพี่ภูที่ทักมา
PHU: กูออกไปข้างนอก กลับดึกๆ
ข้อความตั้งแต่หกโมง...ผมส่งสติกเกอร์กลับไปแล้วนั่งรออยู่ตรงล็อบบี้ คิดว่าถ้ารอตรงนี้เขากลับมาจะได้ขึ้นไปพร้อมกัน ระหว่างนั้นก็กดโทรศัพท์เล่นเกมไปเรื่อยเปื่อย รวมถึงคอยชะเง้อคอมองประตูเป็นระยะ แต่ก็ยังไม่เห็นเงาของคนตัวสูงเดินเข้ามาเสียที
สามทุ่มแล้ว...ผมไม่มีสมาธิกับการเล่นเกม นึกห่วงคนที่ยังไม่กลับมาเสียที ข้อความที่ผมตอบกลับไปแต่แรกก็ยังไม่ได้อ่าน แถมยังกลัวว่าเขาจะขับรถอยู่เลยไม่อยากกวนอีก ผมลองทักไปหาไอ้โซ ถามมันว่ารู้หรือเปล่าว่าพี่ภูไปไหน แต่ก็ยังได้รับคำตอบกลับมาว่าไม่รู้ เพราะตั้งแต่กลับมามันยังไม่ได้ออกจากห้องเลย
สี่ทุ่ม...ผมเริ่มเอนตัวไหลไปตามโซฟา ถ้าไม่ใช่เพราะพนักงานคุ้นหน้าคุ้นตากันดีอยู่แล้วคงโดนเดินเข้ามาถามหรือเชิญให้ออกไปข้างนอกแน่ แต่เพราะผมมาหาเจ้าของคอนโดอยู่บ่อยๆ เลยได้รับการต้อนรับดีถึงขนาดมีขนมกับน้ำผลไม้วางเซ่นอยู่บนโต๊ะ
ผมหมดความอดทนเลยคว้าโทรศัพท์ขึ้นมา กะว่าจะโทรไปหาใครอีกคนที่ยังไม่กลับมาเสียที แต่ก่อนจะได้ทำแบบนั้นสายตาก็เหลือบไปเห็นร่างคุ้นตาของใครบางคนเดินเข้ามาเสียก่อน
“พี่ภู…” เสียงที่กำลังจะตะโกนเรียกเบาลงกะทันหันเมื่อพบว่าคนที่รอมากว่าสองชั่วโมงไม่ได้เดินเข้ามาคนเดียว
ข้างกายพี่ภูคือผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังเดินหันข้างให้ผม เธอเป็นชาวต่างชาติที่แต่งตัวทันสมัยและดูดีเหมือนเพิ่งมาจากต่างประเทศ ถึงแม้จะเห็นแค่ด้านข้างแต่ก็ยังรู้ได้ว่าเป็นผู้หญิงที่สวยขนาดไหน น่าเสียดายที่เธอใส่แว่นกันแดดอยู่ผมเลยไม่สามารถคาดเดาอายุได้
ใจที่เคยเต้นเป็นจังหวะสงบมาตลอดอยู่ๆ ก็เต้นแรงจนแทบบ้า ทั้งปวดทั้งร้อนไปหมดจนเหมือนจะตายให้ได้ ผมก้าวเท้าตามไปช้าๆ ก่อนจะมองภาพสองคนนั้นขึ้นลิฟต์ไปชั้นบนด้วยความรู้สึกหลากหลาย
ใคร...แล้วทำไมพี่ภูถึงยอมให้เข้าใกล้
ทำไมทำกับผมแบบนี้อ่ะ…
ผมก้มหน้าลงด้วยทำอะไรไม่ถูกอยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็เงยหน้าขึ้นด้วยความรู้สึกเหมือนมีไฟสุมอยู่ในใจ จ๋าเคยบอกว่าห้ามแย่งของคนอื่นเพราะมันจะไม่แมน ถ้าเขาเป็นอะไรกันแบบที่คิดผมก็จะยอม แต่ก่อนจะยอม...กูต้องได้สามหมัดเป็นอย่างต่ำ!
เดี๋ยวๆ...ผมสะบัดหัวไล่ความคิดชั่วร้ายทิ้ง ก่อนหน้านั้นต้องไปดูความจริงก่อน มโนไปไม่ได้ประโยชน์ บางทีอาจจะเป็นน้องหรือพี่หรืออะไรก็ได้
ด้วยการมองโลกในแง่ดีระดับสิบทำให้ผมสามารถขึ้นลิฟต์มาได้โดยไม่เผลออาละวาดไปเสียก่อน หลังจากยืนกระดิกเท้าอยู่หน้าห้องของคนคุ้นเคยอยู่สักพักผมก็ตัดสินใจเคาะประตู
“สวัสดีค่ะ” เสียงทักทายภาษาไทยแบบแปล่งๆ ดังออกมาจากปากของผู้หญิงที่ผมเห็นด้านล่าง เธอยังคงอยู่ในชุดเดิม ทั้งยังใส่แว่นตาเหมือนเดิมทำให้ผมไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่
“สวัสดีครับ ผมมาหาพี่ภู”
“ภูมีคนมาหาด้วย…” เธอทำท่าตกใจโอเวอร์ มือยกป้องปากแบบไม่รู้จะทำยังไง แต่พอเห็นผมเริ่มหน้าหงิกก็หัวเราะคิกคักแล้วหันไปเรียกคนด้านในด้วยภาษาอังกฤษชัดถ้อยชัดคำ “ภู มีคนมาหาจ้า!”
ผมมองพี่ภูเดินออกมาจากห้องนอนด้วยหน้าตาบูดๆ และต้องการคำอธิบาย เขาเลิกคิ้วเล็กน้อยแต่ก็เดินมาหาก่อนจะดึงแขนผมให้เดินเข้าไปด้านในแล้วปิดประตูห้อง
“ทำไมไม่ตอบไลน์” เขาถาม
“พี่ทักมาตอนไหน ผมดูล่าสุดก็ยังไม่เห็น…”
“ทักตอนกลับมาถึง”
อ้อ...ก็เพิ่งเมื่อกี้เองไม่ใช่หรือไง ลองได้มาเห็นเขาเดินมากับผู้หญิงผมคงมีอารมณ์ก้มดูไลน์หรอก
“ผู้หญิงคนนั้น…” ผมหันไปมองผู้หญิงคนเดิมที่กำลังมองสำรวจไปรอบๆ ห้อง เธอเดินไปมุมนู้นมุมนี้โดยลากกระเป๋าใบโตของตัวเองเดินไปด้วย แต่ก็ยังดีที่ไม่ได้เข้าไปในห้องส่วนตัวของพี่ภู
“เฮเลน”
“อ้อ…” ผมลากเสียงยาว รอให้เขาอธิบายต่อว่าเธอเป็นใคร แต่จนแล้วจนรอดพี่ภูก็ยังไม่พูดอะไรออกมาจนผมเริ่มใจเสีย “พี่…”
“ภู นั่นเพื่อนเหรอจ๊ะ” ผู้หญิงที่พี่ภูเรียกว่าเฮเลนเดินมานั่งลงข้างๆ ผมก่อนจะฉีกยิ้มส่งมาให้
“กระต่าย”
“กระต่าย?” เฮเลนมองผมที่ตอบแทนพี่ภูด้วยสายตางงๆ ผมเลยสนองด้วยการตอบให้ชัดเจนขึ้นแล้วหันไปจ้องคนข้างๆ เพื่อสังเกตท่าที
“ผมเป็นกระต่ายของพี่ภู”
“ว้าย!” เธอส่งเสียงตกใจ แต่ผมไม่ได้สนใจหันไปมองเพราะเอาแต่จ้องหน้าพี่ภูอยู่ ถึงจะใจชื้นหน่อยๆ ที่เขาไม่ได้ขัดอะไรแต่ก็ยังไว้ใจไม่ได้ ผมต้องการความชัดเจนมากกว่านี้
“ผม…”
“อืม...นี่เก้า เป็นกระต่ายของผมเอง”
อย่ามาพยายามทำให้ยิ้มนะ!
“ทำแก้มพองทำไม” พี่ภูถามยิ้มๆ ก่อนจะยื่นมือมาจิ้มแก้มผมเบาๆ อยากจะบอกว่าไม่ได้ตั้งใจทำเลยสักนิด...แต่พยายามกลั้นยิ้มอยู่ต่างหาก
“สวัสดีอีกครั้งนะหนูเก้า...ฉันชื่อเฮเลน” เธอยกมือถอดแว่นกันแดดออกก่อนจะยื่นมือมาตรงหน้าผมเพื่อทักทาย “เป็นแม่ของภูจ้ะ”
ฉิบหาย…
“สวัสดีครับ” ผมตอบแบบเหวอๆ แล้วยืนมือไปจับ ตาหันไปมองพี่ภูที่ยิ้มขำอยู่ข้างๆ โดยไม่รู้ตัว
“เอาไว้ค่อยคุยกันนะจ้ะ ฉันขอไปพักก่อน เดินทางมาทั้งวัน”
“ครับ”
เพราะใส่แว่นตาไว้ผมเลยมองไม่ค่อยเห็นริ้วรอยบนใบหน้า พอได้เห็นชัดๆ ถึงรู้ว่าท่านน่าจะอายุเกินสี่สิบแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นแม่...หมายถึงแม่เลี้ยงของพี่ภูก็ยังเป็นผู้หญิงที่สวยมากคนหนึ่ง
“กูหึงเพื่ออะไรเนี่ย” ผมยกมือขยี้หัวตัวเองเพราะทำอะไรไม่ถูก มองหน้าพี่ภูแล้วก็ไม่รู้จะพูดอะไรดีเพราะรู้สึกหน้าแตกเบาๆ อีกทั้งคนข้างๆ ยังทำเหมือนจะขำด้วย แล้วเขาจะขำทำไมล่ะถ้าไม่ใช่ว่ารู้แต่แรกแล้วว่าผมคิดอะไร!
“กระต่ายโง่” พี่ภูยื่นมือมาผลักหัวผมเบาๆ จนสติที่จางหางไปเริ่มเข้าที่ ผมเงยหน้ามองเขาทั้งที่หน้ายังร้อนก่อนจะโยนขี้แบบหน้าด้านๆ
“พี่ไม่บอกผมแต่แรกอ่ะ”
“ก็อยากดูท่าทีมึง เสียดายเฮเลนบอกก่อน…” เขาหัวเราะหึในลำคอ ท่าทางเหมือนกำลังสนุก “ตอนแรกกะว่าจะเอาให้หัวร้อนจนหน้ามืดแล้วค่อยบอกว่า ‘แม่กู’ ทีหลัง แค่คิดก็สนุกละ”
“แกล้งผมทำให้พี่สนุกขนาดนั้นเลยเหรอ”
“เปล่า” เขาตอบแล้วยกมือมาโยกหัวผม “เห็นมึงเปลี่ยนอารมณ์ไปเรื่อยๆ แล้วสนุก”
ไม่ได้ต่างกันเลย…
“พี่แม่ง…”
“เดี๋ยวกูจะคุยกับภาม วันนี้คุยช้าเพราะไปรับเฮเลน มึงอยากฟังด้วยกันไหม”
ผมเงยหน้ามองคนพูดแล้วยิ้มกว้าง รีบพยักหน้าหงึกหงักเป็นการตกลง แล้วก็คิดไม่ผิดที่ทำแบบนั้น เพราะทันทีที่ตอบตกลง...คนถามก็ส่งรอยยิ้มน้อยๆ กลับมาให้เป็นรางวัล
พี่ภูเดินนำผมเข้าไปในห้องนอนตัวเอง คราวนี้เขาเปิดคอมและเป็นฝ่ายคอลไปก่อนโดยที่ตัวเองไม่ได้เปิดกล้องเช่นเดิม ส่วนผมก็นั่งอยู่ข้างๆ แล้วจับจ้องจอคอมด้วยความตั้งใจ
ถ้าจะช่วยเขา...ในอีกสองปีข้างหน้าที่ผมมีเวลาไปหาอาจได้เจอภาม การศึกษาไว้แต่เนิ่นๆ น่าจะจำเป็นมากที่สุด ถึงตอนนี้ผมจะยังไม่ได้ศึกษาภาษามือจริงจังแต่ก็ดูไว้บ้างแล้ว
ผมคิดไว้แล้วว่าจะไม่หาเวลาเล็กๆ น้อยๆ เพื่อบินไปหาพี่ภู เพราะนอกจากปีใหม่ก็คงไม่มีเวลามากพอจะไปอยู่นานๆ แต่ผมจะอดทนและทุ่มเวลาทั้งหมดเพื่อเตรียมการและวางแผน ทั้งเรื่องอนาคตของตัวเองและเรื่องที่ผมอยากช่วยเขาด้วย
เหมือนที่พี่ภูคิดว่าผมพิเศษกว่าคนอื่น...แต่เขาก็ยังต้องเอาครอบครัวก่อน ผมเองก็เหมือนกัน…
พี่ภูสำคัญ...แต่ครอบครัวของผมสำคัญกว่า จ๋ากับป๋าคือคนที่ผมจะไม่ยอมทำให้เสียใจเด็ดขาด ตอนเขาอยู่ที่นี่ผมอาจจะพร้อมสู้เพราะมันไม่ได้ส่งผลต่ออนาคตตัวเอง แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกัน…
ผมต้องเรียนทุกวันเพื่อให้จบสามปีครึ่งแบบที่หวัง ปีก่อนไม่ได้เรียนซัมเมอร์ ปีนี้เลยต้องลงเต็มที่แบบไม่มีกั๊ก ผมไม่มีเวลามากพอจะจัดการทุกอย่าง ต่อให้ไปหาได้ก็อยู่ได้ไม่เกินอาทิตย์ แล้วแบบนั้นจะช่วยอะไรเขาได้ สู้พยายามอย่างหนักเพื่อให้ไปหาได้เร็วที่สุดดีกว่า
หลังจากจัดการเรื่องอนาคตของตัวเองเรียบร้อยแล้ว ถึงเวลานั้นผมจะทุ่มเททุกอย่างเพื่อเขา เอาให้คุ้มค่ากับเวลาที่หายไป
อีกอย่าง...ทั้งตัวเขาและตัวผมอาจต้องการเวลาและระยะห่างเพื่อทบทวนตัวเอง
“พี่จะนอนแล้ว”
รู้ตัวอีกทีก็นอนที่เขาบอกลาภามและกดปิดจอคอม ผมนั่งจ้องจนคนถูกมองรู้ตัว เขาหันหน้ามาหาก่อนจะเลิกคิ้วเป็นเชิงถามว่าผมมองอะไร
“ผมจำหน้าพี่อยู่...เผื่อเวลาที่จะไม่ได้เจอกัน” เผื่อว่าอีกสองปีเขาจะเปลี่ยนไปมากกว่านี้
“นั่นสินะ” เขาว่าแบบนั้นแล้วจ้องผมกลับเหมือนจะทำแบบเดียวกัน
“ตอนปีใหม่ผมคงไม่ได้บินไปหาพี่...เพราะทุกปีต้องอยู่ฉลองกับครอบครัว”
“กูคงทำงานหัวปั่นอยู่ ไม่ได้ไปฉลองที่ไหน” เขายกยิ้มเล็กน้อย ท่าทางแสดงออกชัดเจนว่าหมายความตามที่พูดจริงๆ
“ถ้าผมจบสามปีครึ่งแล้วไปหาพี่ ตอนนั้นคงเป็นฤดูหนาวพอดี ถึงตอนนั้นเราไปฉลองปีใหม่ด้วยกันนะ”
“มึงไม่ต้องอยู่กับครอบครัวหรือไง”
“ผมจะขอจ๋าหนึ่งปี...บอกว่าจะไปตามลูกเขยกลับมาให้” ผมว่าติดตลกแต่แอบหมายความตามนั้น ปากก็ยิ้มเมื่อเห็นพี่ภูหัวเราะ ทั้งที่ใจเริ่มหน่วงเมื่อนึกถึงเวลาที่เหลือน้อยลง
“แม่มึงจะตามฆ่ากูหรือเปล่า”
“ไม่หรอก” แต่ถ้าป๋าก็ไม่แน่…
“เอาให้แน่…” เขาหันออกไปมองนอกกระจก สายตาทอดมองวิวเบื้องล่างเหมือนที่เราเคยดูบนดาดฟ้าหอผม ต่างกันแค่ครั้งนี้ไม่มีลมเย็นๆ เหมือนตอนนั้น แล้วท้องฟ้าก็ไม่ได้เปิดจนเห็นดาวชัดนัก
มองไปแล้วก็รู้สึกอึมครึมเหมือนความรู้สึกตัวเองไม่มีผิด
“แล้วแม่พี่มาทำไมเหรอ”
“มาเที่ยวน่ะ...แล้วก็รอกลับพร้อมกูเลยด้วย”
“งั้นเหรอ…”
“อย่าทำหน้าแบบนั้น” คนพูดยื่นมือมาหาก่อนจะแตะเบาๆ ที่แก้มผมแล้ววางทิ้งไว้แบบนั้น
“ผมทำหน้าแบบไหนอยู่”
“เหมือนจะร้องไห้” ปลายนิ้วเรียวเขี่ยข้างแก้มผมเบาๆ เป็นเชิงปลอบ และมันทำให้รู้สึกดีมากจนสามารถยิ้มออกมาได้ในที่สุด
“ผมจะไม่ไปหาพี่จนกว่าตัวเองจะเรียนจบ…” ผมอธิบายความตั้งใจของตัวเองช้าๆ จากนั้นก็พูดทุกอย่างให้เขาฟัง...ทั้งเรื่องที่อยากรักษาอนาคตของตัวเอง เรื่องที่อยากทบทวนหลายๆ อย่าง และเรื่องการรอเวลาที่เหมาะสม ตลอดเวลาที่ผมพูดพี่ภูไม่แสดงท่าทีใดๆ เลยแม้แต่อย่างเดียวนอกจากการพยักหน้า “ผมกลัวว่ายิ่งเจอจะยิ่งอยากอยู่ด้วย และสุดท้ายจะทำให้ทุกอย่างที่ตั้งใจไว้พังหมด”
ตอนเจอกันคงมีความสุขมากกว่าอะไร แต่ตอนที่ต้องจากกันอีกครั้ง ต้องรอจนกว่าจะมีเวลา ต้องทำแบบนี้ตลอดสองปี แบบนั้นมันยากมากเลยไม่ใช่หรือไง...บอกลากันครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว
“กูดีใจที่มึงคิดแบบนั้น” เขาส่งยิ้มน้อยๆ ที่ดูจริงใจมาให้ผมก่อนจะพูดต่อ “ทำหน้าที่ของตัวเอง ทำอนาคตของตัวเองให้เรียบร้อยก่อน ความรักอาจเป็นสิ่งสำคัญก็จริง แต่มันไม่ใช่ทุกอย่างในชีวิต รักตัวเองให้มากที่สุดแล้วค่อยคิดไปรักใคร”
“ครับ”
“เพราะมึงคิดแบบนี้…ถึงทำให้กูรู้ว่าเลือกคนไม่ผิด” พี่ภูพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนโดยไม่ปิดบัง เขาลูบแก้มผม ทั้งยังยอมปล่อยให้ผมยกมือแตะแก้มเขาด้วย ผมไม่แน่ใจว่าเขากำลังคิดแบบเดียวกันหรือเปล่า แต่ผมรู้สึกเหมือนเรากำลังถ่ายทอดความรู้สึกให้กันช้าๆ และมันช่วยบรรเทาความหนาวเหน็บในใจได้มากยิ่งกว่าอะไร
“พี่จะจุ๊บผมไหม” ถามด้วยความจริงใจ แต่กลับได้รับสายตาเหมือนจะด่ากลับมา บางทีถ้าไม่มีกระจกปิดไว้เขาอาจจะโยนผมลงไปข้างล่างก็เป็นได้
“มึงแม่ง….”
“ไม่เหรอ” ผมถามด้วยน้ำเสียงห่อเหี่ยวอยู่หน่อยๆ เมื่อคนที่แตะแก้มตัวเองจนถึงเมื่อครู่เอามือลง สุดท้ายเลยได้แต่เอามือลงตามเพราะกลัวเก้อ ไหงบรรยากาศหวานๆ ปนหน่วงๆ เมื่อกี้ถึงกลายเป็นบรรยากาศเขินๆ ได้วะ…ผมเนี่ยล่ะที่เขิน
“เออใช่...ถึงจะพูดให้ดูเท่มาตั้งนาน แต่พี่ก็รู้ใช่ไหมว่าผมจะต้องคอลให้ได้เห็นหน้าพี่อย่างน้อยอาทิตย์ละสามวันอ่ะ”
“...”
“อ้าว...ไม่รู้เหรอ”
“กระต่ายเหี้ย”
ด่ากันทำไม กระต่ายไม่เข้าใจแรง ผมได้แต่ทำหน้าอึนๆ งงๆ มองเขาด้วยความไม่เข้าใจ แล้วก็ได้รับสายตาเหมือนจะด่าว่าโง่ตอบกลับมา หลังจากนั้นก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีก เพราะผมเอาแต่จ้องหน้าคนข้างๆ เพื่อเก็บบันทึกใบหน้าของเขาไว้ในใจตามที่พูด
“จริงๆ กูไม่ได้คิดจะพูดเรื่องนี้” พี่ภูเริ่มพูดขึ้นมาก่อนหลังจากเราเงียบไปนาน พอเห็นว่าผมจ้องอยู่เขาก็ใช้สองมือหยิกแก้มผมให้เงยขึ้นและขยับเข้าไปใกล้ “แต่ถ้าไม่พูดให้ชัด กระต่ายโง่ที่มั่นใจในตัวเองเกินเหตุแบบมึงคงคิดมาก”
“ผมไม่ได้โง่สักหน่อย” แต่ก็ยอมรับว่าอยากฟัง...ใครบ้างจะไม่ชอบความชัดเจน
พี่ภูทำเมินคำปฏิเสธของผมด้วยการหันออกไปมองนอกกระจก เขาทอดสายตาไปไกลเหมือนกำลังตัดสินใจจะว่าพูดหรือไม่พูดดี ซึ่งผมก็ทำได้เพียงรอคอยอยู่เงียบๆ ว่าเขาจะพูดอะไร เพราะกลัวว่าถ้ายิ่งร้องขอสิ่งที่ได้รับกลับมาจะทำให้ยิ่งผิดหวัง
“กูรู้ดีว่าตัวเองยังมีภาระถึงได้พยายามผลักไสให้ทุกคนออกห่าง...” เขาเริ่มพูดด้วยประโยคที่ทำให้ผมต้องนิ่งงัน ไม่กล้าแม้แต่จะละสายตาออกมา เพราะกลัวว่าแค่พริบตาเดียวจะพลาดโอกาสได้ยินเรื่องสำคัญไป “แต่เพราะมึงไม่เหมือนใคร ทำยังไงก็ไม่ยอมหยุด ยังหาวิธีเข้าหาอยู่ตลอด โคตรน่ารำคาญ”
“อ้าว…”
“แต่สุดท้ายก็กลายเป็นกูที่พลาดท่า...เปิดทางให้มึงเดินเข้ามาทำให้ทุกความตั้งใจเปลี่ยนไป”
“เปลี่ยนไป…” ผมทวนคำพูดของเขาช้าๆ สายตาหลุบลงต่ำเมื่อพยายามตีความคำพูดนั้น แต่ดูเหมือนครั้งนี้พี่ภูจะไม่ปล่อยให้ผมเข้าใจไปเอง เพราะเขาหันมาหาก่อนจะดันคางผมให้เงยขึ้นสบกับดวงตาสีเทาคู่สวยที่กำลังทอประกายอ่อนโยน
“ทำให้กูปล่อยทุกอย่างให้เป็นไปตามความรู้สึก”
หัวใจของผมที่สงบนิ่งมาตลอดเริ่มเต้นระรัวกับคำสารภาพกลายๆ ที่ได้รับ แต่ก่อนจะได้ตอบอะไรกลับไปพี่ภูก็หลุบตาลงต่ำเหมือนกับไม่ต้องการสบตาผม ฝ่ามือที่เชยคางผมอยู่จนถึงเมื่อครู่เองก็ผละออกไปด้วย
“กูไม่เคยมีความรู้สึกแบบนี้ให้ใคร แต่พอมีแล้วก็มั่นใจว่ามันจะอยู่ไปอีกนาน เพราะงั้นถึงอยากให้มั่นใจว่าต่อให้ผ่านไปอีกกี่ปีกูก็จะยังรู้สึกแบบนี้…” เขาพูดโดยไม่สบตา ไม่แสดงความรู้สึกใดๆ ออกมาแม้แต่น้อย แต่ทั้งที่ผมควรดีใจกับความรู้สึกที่ได้รับรู้ หัวใจกลับปวดหนึบเพราะรู้ดีว่าคำพูดของเขาจะไม่ได้จบลงแค่ตรงนั้น และมันก็เป็นไปตามที่ผมคิด… “แต่ถ้ามึงไม่ต้องการ ถ้าคิดว่ามันเหนื่อยก็ลืมกูซะ ไม่ต้องทักมา ไม่ต้องตามหา แค่ลืมไปว่าเคยชอบคนแบบกูแล้วไปเริ่มต้นใหม่ก็พอ”
เริ่มต้นใหม่งั้นเหรอ…
ผมไม่ได้พูดตอบอะไรไปในทันที แต่เลือกที่จะหยุดคิดตามคำพูดของเขา เวลาพูดอะไรออกไปคำพูดจะกลายเป็นนายเรา จ๋าเคยบอกผมแบบนั้น และผมไม่ต้องการพูดในสิ่งที่ตัวเองไม่มั่นใจ เพราะงั้นถึงได้นิ่งเพื่อทบทวนทุกอย่าง
ความชอบมีค่ามากขนาดนั้นเลยเหรอ…
มันมีค่ามากขนาดที่ทำให้ผมยอมหยุดอยู่ที่ใครคนหนึ่ง….รอคอยเพื่อจะได้เจอเขาในอีกสองปีข้างหน้า...ทั้งที่ไม่รู้เลยว่าเขาจะเปลี่ยนไปเป็นแบบไหนน่ะเหรอ ผมจะมีความอดทนและความตั้งใจมากขนาดนั้นจริงๆ หรือเปล่า ทำไมต้องทำขนาดนั้น มันก็แค่ชอบ...ก็แค่ชอบ...ไม่นานความรู้สึกนี้ก็หายไป เราอาจจะได้เจอคนใหม่หรือบางทีอาจจะหมดความรู้สึกไปเอง ถึงเวลานั้นจะทำยังไงกับคำพูดที่พูดออกไปแล้ว
แต่ยิ่งคิดกลับยิ่งชัดเจน...ไม่ว่าจะมองในแง่ร้ายมากแค่ไหน คำตอบของผมกลับยังคงเป็นคำตอบเดิม
“ถ้าสิ่งที่ผมเป็นอยู่มันคือความถูกใจหรือความชอบผิวเผิน คนขี้รำคาญแบบผมคงจะทำตามที่พี่บอก”
ต้องใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะรักใครสักคนได้...
“แต่เพราะมันเกินกว่าคำคำนั้นมาแล้ว...แล้วผมจะทำแบบนั้นได้ยังไง”
สำหรับผมความรู้สึกนี้ไม่ได้เริ่มขึ้นจากสามหรือสี่เดือนก่อน...แต่มันเริ่มมาตั้งแต่ปีที่แล้วที่ผมได้เจอเขา ยิ่งเข้าใกล้กลับยิ่งรู้สึกว่าใช่ทั้งที่เขาไม่ได้เป็นแบบที่เคยคิดถูกใจในตอนแรก จวบจนมาถึงตอนนี้ก็ยิ่งแน่ชัด...
“อีกสองปี…”
ดูเหมือนจะ ‘รัก’ ไปแล้ว
“ตอนที่หิมะตก...ผมจะไปหาพี่ที่นั่น”
“อืม” คนฟังตอบแค่นั้นแล้วเผยรอยยิ้มออกมา มันเป็นรอยยิ้มที่อ่อนโยนที่สุดเท่าที่ผมเคยได้รับจากเขา เป็นรอยยิ้มที่ทำให้ใจพองโตจนไม่รู้ว่าควรอธิบายออกมาเป็นคำพูดยังไง ผมทำได้เพียงยิ้มกลับไปเหมือนคนบ้า กอบกุมมือที่แตะแก้มตัวเองไว้แล้วเอียงใบหน้าเขาหาเพื่อซึมซับความอบอุ่นนั้นไว้
“กูจะไปหาอาซีกับเฮเลน...แล้วก็จะบินกลับอังกฤษเลย เรื่องสอบก็จัดการเรียบร้อยหมดแล้ว”
“อื้ม” ผมตอบรับอย่างง่ายดาย
ทำไมผมจะไม่รู้ว่าพี่ภูกำลังจะไปก่อนกำหนด...ทั้งเสื้อผ้าที่เก็บใส่กระเป๋าเดินทางเรียบร้อยแล้ว ทั้งตั๋วเครื่องบินไปภูเก็ตที่วางอยู่บนโต๊ะ ผมแค่ทำตัวเป็นคนโง่เพราะไม่อยากยอมรับ แต่แค่ได้รับรู้ความรู้สึกของเขาบ้างสักเล็กน้อยก็สามารถทำใจได้อย่างง่ายดาย
“ตอนแรกผมคิดอยู่ว่าจะด่าพี่ยังไงดีที่ทำเหมือนผมเป็นตัวคั่นเวลา ให้ความหวังกันแล้วก็จะทิ้งกันไป” ผมพูดติดตลกแล้วหัวเราะเบาๆ ไม่อยากจะบอกว่าตอนรู้สึกแย่ๆ คิดไปถึงขั้นจะฟ้องป๋าแล้วด้วยซ้ำ “แต่เหมือนพี่จะรู้ทันเลย”
“หึ” พี่ภูยิ้มมุมปากก่อนจะให้มือทั้งสองข้างดันหน้าผมให้เงยขึ้นมอง เขาก้มลงมาจนจมูกของเราแทบจะชนกัน ความใกล้ชิดที่ได้รับทำให้ใจของผมที่เพิ่งเต้นเป็นจังหวะปกติกลับมาเต้นกระหน่ำรัวแรงอีกครั้ง “กระต่ายบ้า”
“กระต่ายอีกแล้ว...เลื่อนขั้นให้หน่อยไม่ได้เหรอ”
“อยากเป็นอะไร”
เออว่ะ...แล้วจะอยากเป็นอะไรดี
“ผมก็ไม่รู้อ่ะ”
“เป็นกระต่ายของกูยังไม่ดีอีกเหรอ”
มันก็ไม่ใช่ว่าไม่ดี...แต่ก็อยากให้ชัดเจนกว่านี้ไง
“ไม่เลื่อนขั้นก็ได้ งั้น...คือผมไม่ได้โลภมากนะ...แต่อยากฟังชัดๆ สักครั้งอ่ะ” อย่างน้อยถ้าไม่ได้เลื่อนขั้น...ได้ฟังชัดๆ ว่าชอบสักคำคงต่อชีวิตไปได้อีกสองปี
พอเห็นผมจ้องตาแป๋วทั้งที่หน้ายังใกล้กันอยู่คนมองก็ยิ้มบาง แล้วอยู่ๆ เขาก็พ่นลมหายใจออกมาเหมือนจะแกล้งกันจนผมต้องหลับตาลงอย่างช่วยไม่ได้ แต่ยังไม่ทันได้ลืมตามองแบบเคืองๆ ตามที่คิดไว้ว่าจะทำ…เขาก็ปิดโอกาสนั้นด้วยการกดริมฝีปากลงมาที่หน้าผากของผม…
มันเป็นเพียงสัมผัสแผ่วเบาเหมือนแค่วางทับไว้เฉยๆ แต่สองมือที่ประคองใบหน้าผมไว้กลับไม่มีทีท่าว่าปล่อยออก ผมลืมตาขึ้นมองเมื่อริมฝีปากบางนั้นผละออก แต่แล้วก็ต้องหลับตารับสัมผัสอบอุ่นอีกครั้งเมื่อเขาวางหน้าผากทับลงมาโดยปล่อยให้จมูกของเราชนกันราวกับจะซึมซับความรู้สึกในตอนนี้ไว้….นี่เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกเหมือนได้เข้าใจความรู้สึกของพี่ภู
เข้าใจว่าเขาเอง...ก็อยากเก็บความทรงจำนี้ไว้เหมือนกัน
“มึงเป็นกระต่ายของกู...เป็นกระต่ายที่มีตัวเดียวในโลก…”
“...”
“กระต่ายตัวเดียวที่กูชอบ”
“ขอบคุณนะครับ”
“ดูแลตัวเองดีๆ”
“พี่ก็เหมือนกัน”
“อืม…”
เรายิ้มให้กันเป็นครั้งสุดท้าย เป็นรอยยิ้มของการจากลาที่มีแต่ความสุข ไม่มีสิ่งใดติดค้างในใจอีก
เขาจากไปเพื่องานและครอบครัว ในขณะที่ผมอยู่เพื่ออนาคตของตัวเอง เราทั้งคู่ต่างมีหน้าที่ที่ต้องทำ พี่ภูทิ้งครอบครัวกับงานไม่ได้ ผมเองก็ทิ้งอนาคตของตัวเองไม่ได้ เพราะงั้นสิ่งที่เราต้องทำก็คือการทำหน้าที่ของตัวเองให้สำเร็จ และเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม...เวลาที่เราคนใดคนหนึ่งทำหน้าที่ของตัวเองได้สำเร็จแล้ว...
ถึงตอนนั้นเราจะได้พบกันใหม่อีกครั้ง...ในสถานะที่แตกต่างไปจากเดิม
--------------------------
ตอนนี้คือตอนสุดท้ายของเล่มหนึ่งค่ะ

พอขึ้นเล่มสองแล้วก็จะได้เห็นอะไรหลายๆ อย่าง ตามไปพร้อมกันนะคะ