Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 25 Journey อวสาน [16/10/60] หน้าที่ 6
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 25 Journey อวสาน [16/10/60] หน้าที่ 6  (อ่าน 78077 ครั้ง)

ออฟไลน์ libra82

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 285
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +236/-5
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะ ครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรัก ชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้าม แจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะ ปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของ แต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้าม จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิด เดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม

6.การ พูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอม ให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้าม ลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อ ขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ด นิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยาย ที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง

16.นิยาย เรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วน หรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมด ออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้าม แจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

18.ใคร จะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17

เวปไซต์ แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่าง ประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
........................

Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ


Intro


    กรณ์กวาดสายตาอ่านเอกสารตรงหน้าคราวๆ ก่อนจะตวัดตาขึ้นมองเจ้าของประวัติที่กรอกมาอย่างละเอียดยิบ ลายมือไม่เชิงบรรจงแต่ก็ไม่หวัดมากจนอ่านไม่ได้ ชื่อระบุว่า ‘ดนตร์ เจนกิจโสภณ’ อายุสิบเก้าปี น่าแปลกที่เขาคิดว่าไอ้หมอหน้าเด็กกว่าเด็กรุ่นเดียวกัน ดวงตากลมหลังแว่นกรอบสี่เหลี่ยมมองมาที่เขาคล้ายกับจะมีข้อซักถาม แต่เจ้าตัวกลับไม่พูดอะไร

    “ชื่อดนตร์เหรอ”

   “อ่า...ครับ”

    “ชอบการแสดงกับเล่นบาส...อืม” เขาถามต่อ อดแปลกใจไม่ได้เพราะเด็กตรงหน้าลักษณะไม่เหมาะกับงานอดิเรกที่กรอกลงมาเท่าไรนัก
    “ครับ”

    เขาพยักหน้าทำทีเป็นรับรู้แต่ก็ยังไม่อยากจะเชื่อเสียเท่าไร หลังจากตรวจสอบทุกอย่างเรียบร้อยเขาก็โบกมือไล่ เด็กหนุ่มยังคงทำหน้าเหมือนมีบางอย่างอยากพูดแต่ก็ไม่ยอมพูดสุดท้ายก็ได้แต่เดินจากไปเงียบๆ เขามองตามแผ่นหลังเล็กไปก่อนที่โทรศัพท์ในกระเป๋าจะสั่นเตือน...โยษิตาคนรักของเขานั่นเอง

    “ว่าไง”

   “จะกลับหรือยัง รอนานแล้วนะ ทำไมต้องไปรับคนเข้าชมรมด้วย ชมรมของตัวเองก็ไม่ใช่”

    โยษิตากระเง้ากระงอดต่อว่า ที่จริงมันก็ไม่แปลกนักหรอกที่เธอจะไม่พอใจเพราะที่กำลังทำอยู่มันใช่หน้าที่ของเขาเสียที่ไหน ถ้าไม่ใช่เพราะไอ้เจ้าอ้วนตัวดีนั่นเขาคงได้พาเธอไปดูหนังแล้ว

   “จะเสร็จแล้วครับ ไม่เกินชั่วโมง รอหน่อยนะ เดี๋ยวเราค่อยไปดูหนังกัน”

   “สัญญาแล้วนะ ห้ามเลทด้วยไม่งั้นจะงอนจริงๆ ด้วย”

    “ครับๆ สัญญาเลย” กรณ์ยิ้มกว้าง เมื่อนึกถึงใบหน้าของคนรักที่ทำแก้มป่องปากยกสูงเพราะกำลังงอนเขาอยู่

    โยษิตาวางสายไป ความหงุดหงิดลงลดเมื่อเขาเอาใจ เขากับโยษิตารู้จักกันมาเกือบสองปีแล้ว ตั้งแต่ที่ประกวดตอนที่เธอประกวดดาวคณะ แต่เพิ่งจะคบหาดูใจกันจริงๆ ตอนขึ้นปีสอง เขากับเธอเข้ากันได้อย่างไม่น่าเชื่อ ถึงจะขี้หึงไปนิด งอนบ้าง แต่ก็ตามประสานิสัยผู้หญิง ถ้าไม่รู้สึกอะไรเลยสิแปลก ในเมื่อเขาเองก็เป็นคนดังของมหาวิทยาลัยคนหนึ่งเหมือนกัน

    กรณ์เก็บโทรศัพท์ลงในกระเป๋าก่อนจะกลับมาทำหน้าที่ที่โดนบังคับมาต่อ สาบานว่าถ้าเจอไอ้เจ้าอ้วนอีกเมื่อไรเขาจะให้มันเลี้ยงเหล้าซะให้เข็ด โทษฐานที่เอาญาติตัวเองมาทรมาน...


    ดวงตากลมชำเลืองมองคนที่กำลังคุยโทรศัพท์ด้วยรอยยิ้มผ่านเลนส์แว่น หัวใจดวงน้อยในอกเต้นตุบตับผิดจังหวะ ผู้ชายคนนั้นโดดเด่นเสมอไม่ว่าอยู่ตรงไหน ไม่เพียงแต่ส่วนสูงที่น่าจะเกินหกฟุตแต่ยังความหล่อเหลาชนิดที่เป็นดาราได้สบายๆ นั่นอีก เขาเคยได้ยินมาจากรุ่นพี่บางคนว่าผู้ชายที่ชื่อกรณ์เคยถ่ายแบบลงนิตยสารด้วย ไม่แปลกหรอกเพราะได้มาเห็นใกล้ๆ คำว่าหล่อยังน้อยเกินไปด้วยซ้ำ

    ดนตร์หันหลังกลับแล้วบังคับตาตัวเองให้เดินไปข้างหน้าก่อนที่จะโดนคนอื่นๆ จับได้ว่ากำลังแอบมองรุ่นพี่แถมยังเป็นผู้ชายอีกด้วย เด็กหนุ่มพรูลมหายใจช้าๆ แต่หลายครั้งกว่าที่จังหวะหัวใจจะกลับมาเป็นปกติ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับเขา แค่ได้เจอกับกรณ์ผู้โด่งดังใจก็เต้นแรงเสียแล้ว สาบานได้ว่าดนตร์คนนี้ไม่ได้เป็นเกย์ ไม่เคยมีจิตพิศวาสกับผู้ชายอื่นมาก่อน แต่กลับมาใจเต้นกับรุ่นพี่คนนี้เสียได้ สงสัยเขาจะรับฟังเรื่องของกรณ์มามากเกินไปแน่ๆ...
..................

Chapter 1 การพบกันครั้งที่ 2

    เกือบปีแล้วที่เขาได้มาเป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัยนี้ เขาต้องใช้ความพยายามอย่างหนักเพื่อที่จะเข้าเรียนที่นี่ อ่านหนังสือหามรุ่งหามค่ำ จนในที่สุดเขาก็ได้มาเรียนที่นี่ในคณะนิเทศน์ศาสตร์ จริงๆ แล้วเขาเป็นพวกชอบแสดงออก ชอบเต้น ชอบร้อง แต่เพราะรูปร่างหน้าตาที่ไม่ได้โดดเด่นอะไรมากมายเลยมักจะถูกมองข้ามเสมอๆ แต่เขาก็รักสาขาที่เลือกเรียนและจะทำมันให้ดีที่สุด

    ที่นี่ไม่ค่อยเคร่งเรื่องพี่รหัส มีก็ได้หรือจะไม่มีก็ได้ เขาไม่มีพี่รหัสแต่รุ่นพี่ที่เคารพและหนึ่งในนั้นคือชนวีร์ประธานชมรมภาพยนตร์

    เขาได้อยู่ในชมรมภาพยนตร์ที่มีรุ่นพี่จากคณะเดียวกันอยู่ด้วยหลายคน กิจกรรมหลักของชมรมคือการทำหนังสั้น และสถานที่เหมาะแก่การเผยแพร่ความสามารถก็คือโลกออนไลน์ ถึงแม้ยอดคนดูจะไม่มากนักแต่คำติชมก็สามารถนำไปปรับปรุงและพัฒนาฝีมือได้ รุ่นพี่หลายคนที่จบจากคณะนี้ได้ทำงานในบริษัทผลิตหนังใหญ่ๆ ในไทยหลายคนแล้ว ดนตร์ใช้เวลาไม่นานในการปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อม เขาไม่ใช่คนกรุงเทพฯโดยกำเนิด ดังนั้นอะไรหลายๆ อย่างจึงเป็นเรื่องแปลกใหม่และต้องเรียนรู้ โชคดีที่เขามีมนุษย์สัมพันธ์ดีเลยพอจะมีเพื่อนกับเขาบ้าง

    “นี่ๆ เธอเห็นพี่กรณ์อัพเฟซบุ๊คมั้ย โอ๊ย! ฉันละอิจฉายัยยาหยีจริงๆ คนอะไรโชคดีชะมัดได้เป็นแฟนกับผู้ชายที่ทั้งหล่อทั้งรวย”

    “วาสนาคนเราไม่เท่ากัน นอกจากอิจฉาเราก็ทำอะไรไมได้แล้วล่ะ”

    ประโยคสนทนาจำพวกนี้เขาได้ยินมานับครั้งไม่ถ้วนตั้งแต่เข้ามาเรียนที่นี่ คำว่ากรณ์เยอะพอๆ กับคำว่ารายงานเลยทีเดียว ไม่แปลกอะไรหรอกเพราะในมหาลัยแห่งนี้กรณ์เป็นคนเด่นคนดัง รูปหล่อพ่อรวยตัวสูงใครก็พากันพูดถึงทั้งแง่ดีบ้างไม่ดีบ้าง เขาเองไม่ได้รู้จักรุ่นพี่คนนี้เป็นการส่วนตัวแต่มักจะได้ยินประวัติจากคนนั้นคนนี้อยู่เรื่อย ตอนนี้กรณ์เรียนอยู่ปีสาม คณะสถาปัตย์มีแฟนชื่อโยษิตา เขาเคยเห็นเธออยู่บ้างเหมือนกัน หน้าตาน่ารักเหมาะสมกับกรณ์ ทั้งคู่เป็นคู่รักที่ใครๆ ก็พากันอิจฉา...รวมถึงตัวเขาด้วย

    เขาใช้เวลาที่ว่างจากการเรียนมาเตร็ดเตร่ในชมรมเสมอ ถึงไม่ได้เป็นดาราหน้ากล้องแต่การได้ช่วยเหลืองานเล็กๆน้อยๆ ก็แก้เบื่อได้ดีเหมือนกัน เขาไม่ชอบไปนั่งเหงาอยู่ในห้องกับรูมเมทที่เห็นหน้ากันทุกวัน ดังนั้นในชมรมภาพยนตร์แห่งนี้เลยเป็นที่สิงสถิตหลักของเขา วันนี้ก็เช่นกัน เขาเลือกที่จะนั่งเล่นอยู่ในชมรมฆ่าเวลาไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเย็นแล้วค่อยกลับไปที่หอพัก ดนตร์ก้มหน้าก้มตาอยู่กับโทรศัพท์มือถือของตัวเองสนทนากับเพื่อนสนิทถึงเรื่องเรียน คนรัก หรืออะไรก็ตามแต่ที่อีกฝ่ายจะหยิบยกขึ้นมา

    “เพลงนายมานี่หน่อย”

    “ครับ”

    เด็กหนุ่มตากลมที่ยังคงสวมแว่นกรอบหนาสีดำอยู่รีบเงยหน้าจากโทรศัพท์มือถือ มองหาเจ้าของเสียงที่อยู่ไม่ไกลนักและเห็นได้ชัดเจนด้วยรูปร่างที่ใหญ่โตมากกว่าคนอื่นๆ ดนตร์สอดโทรศัพท์ลงในกระเป๋ากางเกงแล้วรีบวิ่งไปหารุ่นพี่ก่อนจะโดนเขมือบหัว

    ใบหน้าอิ่มเพราะไขมันตั้งนิ่งบนร่างที่ทั้งสูงและใหญ่ ดวงตากลมแต่เป็นประกายมองมาที่เขา ริมฝีปากสีสดระบายยิ้มน้อยๆ วันนี้หัวหน้าชมรมของเขาคงอารมณ์ดีไม่น้อย ถึงไม่ได้ทำท่าเหมือนจะเชือดคอเขาเหมือนทุกวัน

    “พี่วินมีอะไรหรือครับ”

    “นายเล่นบาสเป็นใช่ปะ”

   ดนตร์พยักหน้า ไม่ใช่แค่เป็นแต่ยังเก่งมากอีกด้วย น่าเสียดายที่ความสูงของเขามันน้อยไปหน่อยไม่อย่างนั้นคงได้ติดทีมของคณะไปแล้ว

    ชนวีร์พินิจพิจารณาเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าอยู่สองรอบราวกับไม่แน่ใจนัก

    “ตกลงมีเรื่องอะไรหรือครับ” ดนตร์ถามซ้ำ

    “วันนี้มีเล่นบาส ทีมเราขาดคน นายสนใจหรือเปล่า”

   “สนสิครับ” ดนตร์ตอบรับทันที เขาคันไม้คันมืออยากจะเล่นใจจะขาด ถึงจะเคยเล่นบ้างแต่ก็ไม่บ่อยเพราะส่วนใหญ่สนามบาสจะตกเป็นของนักกีฬาของแต่ละคณะ ส่วนเขาที่เป็นแค่ตัวแถมได้แจมแค่เกมสองเกมเท่านั้น

   “แต่ห้ามแพ้นะ เงินเดิมพันมันสูง”

   “เดิมพัน? เล่นพนันกันหรือครับ”

   “ก็เออน่ะสิ” ชนวีร์จิ๊ปาก “ไอ้พวกนั้นมันท้ามา แถมวันนี้ไฟดันติดธุระเสียอีก”

    “พี่ไฟน่ะเหรอครับ” เขานึกถึงรุ่นพี่ปีสามตัวสูงใหญ่หน้าตาดีที่ชอบถ่ายรูปเป็นชีวิตจิตใจ มีโอกาสได้คุยกันหลายครั้งเขาเลยได้รู้ว่าพี่ไฟหรืออัคคีใจดี แถมยังสอนอะไรหลายๆ อย่างเกี่ยวกับการถ่ายภาพอีกด้วย

    “เออๆ คนก็เลยขาด อย่าถามมากรีบไปหาเสื้อผ้ามาเปลี่ยนแล้วเจอกันที่สนามบาสตอนห้าโมงเย็น”

    “ครับ”

    ดนตร์รับปากพลางมองตามหลังรุ่นพี่ตัวอ้วนไป ถึงจะอ้วนเหมือนหมีขาวอย่างนี้ก็เถอะ พี่วินของเขาก็น่ารักไม่หยอก ชอบทำหน้าดุใส่แต่ที่จริงใจดีอย่าบอกใคร...



    ดนตร์ไปถึงสนามก่อนห้าโมง ในสนามมีคนอื่นๆ อยู่ด้วยที่เขาไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ถึงจะเรียนมาเกือบปีแล้วแต่สังคมยังแคบไม่ค่อยรู้จักใครนัก แต่ที่เห็นแต่ละคนสูงเกินหกฟุตแทบทั้งนั้น มีแต่เขาเท่านั้นที่ระดับความสูงเทียบเท่ากับมาตรฐานผู้ชายธรรมดา ดนตร์อาศัยเงาของเสาแป้นบาสหลบแดดและไม่อยากเป็นจุดเด่นนักเพราะเขาไม่รู้จักใครในสนามเลย พี่วินก็ยังไม่มา

    “อ้าว! กรณ์มาแล้วเหรอ โชคดีจริงๆ วันนี้ได้นายมาช่วย อีกทีมไม่มีตัวเก่งด้วย สงสัยวันนี้ได้เงินไปกินเหล้าแหง”

    ชื่อของกรณ์เรียกความสนใจไปได้มากทีเดียว ทุกคนในสนามวิ่งเข้าไปรุมผู้ชายตัวสูงผิวขาว คิ้วหนาคม จู่ๆ หัวใจของดนตร์ก็เต้นแรง เขาต้องยกมือจับหน้าอกข้างซ้ายของตัวเองเอาไว้ เงาของเสาแป้นบาสกลายเป็นปราการสำคัญในการกำบังตัว แข้งขาพาลสั่นจนต้องนั่งยองๆ ภาวนาให้คนตัวสูงไม่มองมาทางเขา แต่ถึงจะสั่นประหม่าแค่ไหนแต่ตาเจ้ากรรมก็ไม่อาจละไปจากร่างสูงได้ ความหล่อเหลาเทียบเท่ากับดาราแถวหน้าเปล่งประกาย เรือนผมสีดำสนิทยิ่งทำให้ใบหน้าขาวจัด คิ้วหนาเข้มกันดีกับดวงตาเจ้าเล่ห์พราวเสน่ห์ จมูกโด่งสวย ริมฝีปากหนาสีสด น่าแปลกใจที่คนสูบบุหรี่หนักจะยังมีริมฝีปากแดงระเรื่อได้อยู่อีก

   ตุบ ตุบ ตุบ

   เสียงหัวใจของเขาเต้นดังเหลือเกิน ดังจนปวดแก้วหู ดนตร์พร่ำด่าตัวเอง ใช้ทุกความพยายามในการควบคุมความรู้สึกของตัวเอง แต่มันยากเกินไปเพราะกรณ์เข้ามาในความคิดของเขามากและนานเกินไป เวลาร่วมปีน่าจะพอสำหรับการบ่มเพาะความรู้สึกประหลาด...ความรู้สึกที่แม้แต่ตัวเขาเองยังไม่อาจนิยามได้ เหงื่อไหลซึมจากขมับลงข้างแก้ม เขาใช้หลังมือปาดมันทิ้งลวกๆ พยายามหายใจเข้าออกให้ลึกที่สุด และสั่งให้ตัวเองเลิกมองคนที่อยู่ห่างออกไปเกือบสิบเมตรได้แล้ว

    “เพลง!”

    เจ้าของชื่อที่อาศัยร่มเงาของเสาแป้นบาสสะดุ้งโหยงจนเสียการทรงตัว ร่างเล็กล้มหงายหลังไม่เป็นท่า ข้อศอกกระแทกกับพื้นคอนกรีตเต็มแรงจนเจ็บแปลบ

    “อ้าวเฮ้ย! ซวยแล้ว”

    เสียงฝีเท้าที่มากกว่าหนึ่งคู่วิ่งตรงมาที่คนเจ็บ ดนตร์ยังคงตกใจและเจ็บจนเกินกว่าจะใส่ใจกับสิ่งอื่น แขนเรียวถูกมือของใครสักคนดึง ร่างที่เล็กกว่าคนอื่นๆ ถูกรั้งขึ้นตามแรงดึง ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็ว ดนตร์รับรู้แค่ม่านอากาศที่กรีดผ่านหน้าไป ไออุ่นจากบางอย่างโอบรอบลำตัว ดวงตากลมเปิดขึ้นขณะที่สติยังไม่กลับเข้าที่

    “เป็นอะไรหรือเปล่า”

   น้ำเสียงทุ้มต่ำของใครสักคนเอ่ยถาม แม้จะยังงุนงงอยู่แต่เขาก็สัมผัสได้ถึงความห่วงใยที่อีกฝ่ายมีให้ คนเจ็บกะพริบตาปริบๆ เพื่อปรับภาพพร่าเลือนให้ชัดเจนขึ้น

   “....กร...ณ์”

   “เฮ้ย! ไอ้เด็กนั่นเป็นอะไรหรือเปล่า”

     กรณ์มองเด็กหนุ่มในอ้อมแขน เจ้าตัวทำหน้าเหมือนคนไม่มีวิญญาณ ผิวหน้าขาวซีดไร้เลือด ร่างกายอ่อนปวกเปียกจนเขาต้องโอบรอบเอวไว้เพราะกลัวว่าจะร่วงลงไปกระแทกซ้ำ เขาหันมาเห็นพอดีตอนที่เจ้าตัวเล็กนี่ล้มหงายลงไป ดูเหมือนว่าจะได้รับบาดเจ็บไม่น้อย เขากับเพื่อนๆ เลยรีบมาดู

    “ไม่แน่ใจว่ะ หัวกระแทกพื้นหรือเปล่าวะเนี่ย”

    เจ้าเด็กแว่นกระพริบตาเร็วสักพักก็ขืนตัวส่งสัญญาณบอกว่าสามารถยืนได้ด้วยตัวเองแล้ว เขาปล่อยมือแต่ก็ยังอดห่วงไม่ได้ เพราะหน้าของมันซีดจนน่าเป็นห่วง

    “นาย...เป็นอะไรหรือเปล่า”

    ดูเหมือนว่าดนตร์จะลืมวิธีพูดไปแล้ว อย่าว่าแต่เปล่งคำพูดเลยแม้แต่การได้ยินก็ถูกทำลายไปด้วย หัวใจคล้ายจะหยุดเต้นไปชั่วขณะ แต่เพียงไม่กี่วินาทีมันก็กลับมาเต้นรัวกระหน่ำ ทุกความรู้สึกถูกทำลาย ตัวเย็นไปหมดแม้แต่สมองก็หยุดทำงานไปด้วย มีเพียงแต่สายตาเท่านั้นที่จับจ้องคนตรงหน้า...ตัวสูงจนต้องเงยหน้า ดวงตาที่ทอดมองมาเจือด้วยความห่วงใย

    ดนตร์สั่นหน้าทั้งที่ไม่ได้เข้าใจในคำถามสักนิด แล้วทั้งร่างก็ถูกแรงมหาศาลโถมเข้าใส่จนเกือบจะล้มไปอีกรอบ คนที่อยู่ด้านหน้าทำท่าจะยื่นมือไปรับ แต่เขาตั้งหลักได้ก่อนแล้วรีบหันมองเจ้าของแรงช้าง แล้วก็เป็นคนที่ตัวเกือบจะเท่าช้างจริงๆ

    “พี่วินผมเจ็บนะ”

    “เฮ้ยโทษทีๆ ฉันเห็นนายล้มเลยเป็นห่วง แล้วนี่เจ็บตรงไหนบ้างหรือเปล่า แย่เลยสงสัยวันนี้ต้องยกเลิกแข่งบาสไปก่อน ทีมฉันไม่พร้อม” ประโยคหลังชนวีร์คงหมายถึงคนที่มาจากอีกทีม

   “อะไรวะ คณะเอ็งมีคนแค่นี้หรือไง แล้วนี่อย่าบอกนะว่าไอ้เปี๊ยกนี่จะเอามาแทนไอ้ไฟ” ใครบางคนที่ดนตร์ไม่รู้จักพูดขึ้น ตากลมเล็กมองคนพูดที่ส่วนสูงไม่ได้ต่างจากกรณ์มากนัก ใบหน้ายียวนกวนโมโหอยู่นิดหน่อย ดีที่เขายังเจ็บอยู่ไม่อย่างนั้นคงมีวัดฝีมือกันบ้างล่ะ

    “ผม...ไม่เป็นไรครับพอแข่งได้”

   “ไม่เป็นไร? แขนนายเลือดออกนะรู้หรือเปล่า”

    ดนตร์ก้มลงมองแขนตัวเอง แล้วก็เห็นรอยหยดน้ำสีแดงข้นไหลผ่านตามความยาวของท่อนแขน สาบานด้วยความสัตย์จริงเขาแทบไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตัวเองมีบาดแผลหลังจากที่ตะลึงงันไปพักใหญ่เพราะใครบางคน

    “เอ่อ...ไม่เป็นไรครับ แผลคงไม่ลึกเท่าไร”

    “ไม่ลึกอะไร!” ชนวีร์ตวาด “เลือดออกขนาดนั้น”

   “ไม่เป็นไรจริงๆ ครับ ผมแข่งได้ พี่มีผ้าหรืออะไรที่พอจะพันแผลได้ไหมล่ะครับ”

   เมื่อเจ้าตัวยืนกรานว่าไม่เป็นอะไรก็ไม่มีใครคัดค้าน ชนวีร์ค้นหาอุปกรณ์ทำแผลแบบทันด่วนในกระเป๋าเป้ แผลของดนตร์ถูกทำความสะอาดด้วยน้ำเปล่าและพันด้วยผ้าพันคอลายหัวกะโหลกสีดำ แม้จะยังเจ็บอยู่แต่ดนตร์ก็เล่นเต็มที่เป็นผู้เล่นที่ตัวเล็กที่สุด แต่กลับเคลื่อนไหวได้รวดเร็วและรับส่งลูกได้อย่างแม่นยำ ที่สำคัญยังกระโดดได้สูงจนน่าทึ่งอีกด้วย ทว่าสุดท้ายแล้วทีมของกรณ์ก็ชนะไปอยู่ดี ด้วยสกอร์ที่ห่างกันแค่ 2 แต้มเท่านั้น

    “โอ๊ย! เสียดาย อีกนิดเดียวแท้ๆ เลย”

   ชนวีร์บ่นเสียงดัง ทั้งที่ตัวเองเป็นแค่ผู้เชียร์ข้างสนามเท่านั้น เงินเดิมพันตกเป็นของอีกทีมตามข้อตกลง หนุ่มตัวอ้วนแต่หน้าตาน่ารักเดินไปคว้าคอรุ่นน้องตัวเล็ก ที่เดินทิ้งท้ายแถว ดนตร์ตัวเล็กก็จริงแต่ฝีมือไม่ธรรมดา

    “เดี๋ยววันนี้ฉันพาไปเลี้ยงข้าว”

    ดนตร์ขมวดคิ้วมุ่น “พี่เพิ่งเสียเงินเดิมพันไม่ใช่หรือครับ”

    “เงินแค่นั้นขนหน้าแข้งฉันไม่ร่วงหรอกน่า นายรีบไปเปลี่ยนชุดฉันจะรอที่หน้าคณะ”
    

        เด็กหนุ่มรุ่นน้องพยักหน้า ดนตร์เกือบจะเดินกลับไปที่คณะแล้วถ้าหากว่าสายตาไม่เหลือบไปเห็นทีมคู่แข่งเสียก่อน ใจดวงน้อยเต้นไม่เป็นส่ำ ไม่ใช่เพราะตื่นเต้นปรีดาที่ได้เห็นผู้ชายตัวสูงที่ชื่อกรณ์ แต่เพราะเขาได้เห็นกรณ์กำลังหัวเราะอยู่กับผู้หญิงอีกคน...แม้จะอยู่ห่างกันร่วมสิบเมตร เขาก็ยังเห็นว่าผู้หญิงคนนั้นทั้งสวย ทั้งน่ารัก อ่อนหวาน เธอสวมเสื้อผ้าตามสมัยและมีสไตล์ ผมยาว ผิวขาวเหมือนหิมะ ดวงตากลมโตเป็นประกาย เธอสูงอยู่ราวหัวไหล่ของกรณ์ ทั้งคู่ดูเหมาะสมกัน...ชนิดที่เขาไม่มีสิทธิ์เทียบเคียงได้เลย   
   
         ดนตร์หลับตาลงเมื่อเห็นว่ากรณ์สอดมือประคองเอวบางของคนรัก เขาปิดตาได้ทันก่อนที่จะเห็นว่าจมูกของกรณ์ประทับไปบนแก้มของเธอ หัวใจเจ็บจี๊ดยิ่งกว่าแผลที่ข้อศอกเสียอีก

    “ตกลงแกจะไปกับฉันหรือเปล่า กรณ์”

    เสียงของชนวีร์ดังขึ้น ฉุดให้เขาหลุดจากภวังค์ แล้วพอลืมตาขึ้นก็เห็นกรณ์เดินตรงมาพร้อมกับคนรักแล้ว เขาขยับตัวถอยห่างโดยอัตโนมัติ นึกอยากจะปฏิเสธคำชวนของชนวีร์

    “เรียกใครว่าแก ฉันมีศักดิ์เป็นพี่แกนะไอ้อ้วน” กรณ์สวนกลับ “ยาหยีอยากไปด้วย แกสปอร์ตพอที่จะเลี้ยงแฟนฉันอีกคนหรือเปล่าล่ะ”

    “สบายอยู่แล้ว” ชนวีร์ยักไหล่ “อ้าว เพลงยังไม่ไปเปลี่ยนเสื้ออีก รีบไปสิจะได้ไปกินเหล้ากัน”

    “เอ่อ...ครับ”

    เด็กหนุ่มตัวเล็กที่สุดพยักหน้ารัวเร็ว หันหลังแล้ววิ่งหายไปกับความมืด...

(มีต่อ)
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-10-2017 18:35:07 โดย libra82 »

ออฟไลน์ libra82

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 285
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +236/-5
    ร้านที่ชนวีร์เลือกอยู่ไม่ห่างจากมหาวิทยาลัยมากนัก ลูกค้าส่วนใหญ่ก็เป็นเด็กในมหาวิทยาลัย ที่นี่ให้อิสรเสรีในการดื่มกินขอแค่ไม่ก่อเรื่อง ไม่สร้างความเดือดร้อนให้ใครก็พอ ดนตร์นั่งอยู่โต๊ะตัวในสุด โดยมีอัคคีขนาบข้าง จากนั้นก็เป็นชนวีร์ ส่วนฝั่งตรงข้ามคือกรณ์ โยษิตา และธาวินเพื่อนสนิทของกรณ์ ซึ่งรายหลังเป็นหนึ่งในทีมบาสด้วยฝีมือดีพอๆ กับกรณ์เลยทีเดียว

    อัคคีที่ติดธุระกลับมาทันมื้อเย็นพอดีราวกับตั้งใจ ชนวีร์บ่นเป็นหมีกินผึ้งเรื่องที่แพ้บาสเก็ตบอลแล้วโยนความผิดให้อัคคีโทษฐานที่ไปทำธุระส่วนตัว แต่ไม่ลืมชมเรื่องฝีมือการเล่นของเขา

    ดนตร์นั่งดื่มเงียบๆ พอได้เหล้าเข้าไปอาการอักเสบของแผลก็ทุเลาขึ้นมาบ้าง เขารู้ว่าเลือดยังคงไหลอยู่เพราะฝืนใช้งานมันทั้งที่ควรจะได้รับการปฐมพยาบาล แต่ก็ปากหนักเกินกว่าจะบอกใครได้ ช่วยไม่ได้ก็เขามันซุ่มซ่ามเองนี่นา เขานั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับกรณ์พอดี ถ้าเป็นช่วงเวลาปกติคงจะรู้สึกดีไม่น้อย ทว่าในตอนนี้เขาอยากจะลุกหนีไปที่อื่นมากกว่า กรณ์กับคนรักไม่ได้สนใจเลยว่ายังมีคนอื่นอยู่ร่วมโต๊ะด้วย ทั้งคู่คุยกันกระหนุงกระหนิง ป้อนอาหารให้กัน แถมโยษิตายังดูแลกรณ์อย่างดีอีกด้วย ทั้งเทเหล้า คีบอาหารให้ หยอกล้อกันด้วยคำหวานจนแม้แต่อัคคียังทนไม่ไหว

    “ให้มันน้อยๆ หน่อยเถอะ นี่มากัน 6 คนนะ ไม่ได้มาแค่สองคน ฉันก็อิจฉาเป็นเหมือนกันนะโว้ย”

    “หึ อิจฉาอะไร แกก็มีของแกไม่ใช่รึไง” กรณ์ตอกกลับ พลางรับแก้วที่โยษิตาส่งให้

    “คนนี้น่ะเหรอ” อัคคีเหลือบตามองไปทางซ้ายมือของตัวเอง “ช่วงนี้อ้วนไปหน่อยว่ะ กอดไม่มิด...แต่ถ้า...” รุ่นพี่หนุ่มหยุดพูดแล้วเบนสายตามาอีกฝั่ง “ตัวเท่าน้องลูกเจี๊ยบก็น่าจะดี”

    “ไอ้ไฟ!”
   
    ทุกคนในโต๊ะหัวเราะครืน ยกเว้นแค่ดนตร์เท่านั้น จริงๆ แล้วชื่อลูกเจี๊ยบมันมาจากวันรับร้อง เขาโดนบังคับให้ทำท่าพร้อมกับทำเสียงเจี๊ยบๆ ตามฉลากที่จับได้ จากนั้นคนในคณะบางคนหรือเพื่อนสนิทก็เรียกเขาว่าลูกเจี๊ยบแทนชื่อ เด็กหนุ่มยกแก้วเหล้าขึ้นดื่มไม่ค่อยเข้าใจอะไรเท่าไรนัก จะว่าไปไม่ใช่แค่แผลเท่านั้นที่ไม่ค่อยรู้สึกเจ็บ สมองของเขาก็ทำงานช้าลงด้วยเช่นกัน ดนตร์ไม่ได้สนใจอะไรอีก หัวใจทำงานหนักเช่นเดียวกับมือที่คอยแต่จะยกแก้วเข้าปาก

    “เฮ้ย! ฉันว่านายดื่มหนักไปแล้วนะ”

     ใครสักคนยื่นมือมาผลักแก้วเหล้าที่กำลังจะเข้าปากออก ดนตร์เงยหน้าขึ้นมอง ทว่าดวงตาหลังแว่นกรอบหนามันพร่าเลือนเหลือเกิน

    ธาวินถอยหายใจด้วยอดหงุดหงิดไม่ได้ ตั้งแต่มาถึงเขาเห็นได้หมอนี่กินเหล้าไม่หยุด เขาจำได้ว่าไอ้เจ้าตัวเล็กนี่มีแผลที่ข้อศอกแถมยังไม่ได้รับการปฐมพยาบาลแค่เอาผ้าพันไว้ลวกๆ แถมยังอึดเล่นจนจบเกม เขาอดเป็นห่วงไม่ได้เหมือนกัน เพราะหมอนี่ตัวเล็กกว่าคนอื่นๆ ถึงจะฝีมือดีก็เถอะ แต่แรงปะทะหลายๆ ครั้ง คงจะกระเทือนไปถึงแผล มิหนำซ้ำเจ้าตัวยังกินเหล้าเป็นว่าเล่นยิ่งกระตุ้นให้เลือดไหลง่ายขึ้น

    ดวงตากลมหลังแว่นกรอบสี่เหลี่ยมเชยหยุดโลกช้อนมองเขา มันอ่อนเชื่อมด้วยฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ ริมฝีปากแดงฉ่ำ ผิวแก้มระเรื่อ ธาวินรับรู้ถึงแรงบีบของหัวใจที่มีมากกว่าปกติ

    ...น่ารัก...

    “เออ ฉันว่านายดื่มเยอะไปแล้ว จริงสิ! ทำแผลหรือยัง ลืมไปแล้วนะว่านายมีแผล” ชนวีร์ยื่นมือผ่านหน้าอัคคี คว้าแขนรุ่นน้องข้างที่มีผ้าพันคอของตัวเองพันไว้ “ตายห่า! เลือดออกเต็มเลยว่ะ ฉันว่าเราพาเพลงไปหาหมอดีกว่าเดี๋ยวแผลจะติดเชื้อ”

    “เป็นแผลแล้วมาทำไม” กรณ์ถาม ไม่ยี่หระกับอาการบาดเจ็บของดนตร์หนัก

   “ก็เพราะฉันชวนมันมาน่ะสิ!” ชนวีร์ตวาด “ถ้านายจะอยู่ต่อก็ตามใจ เอาบัตรฉันจ่ายไปก่อน” มืออูมดึงกระเป๋าเงินออกมาแล้วส่งบัตรเครดิตให้ “ฉันจะพาเพลงไปหาหมอก่อน....นายจะไปด้วยหรือเปล่า” ประโยคหลังถามผู้ชายตัวโตอีกคน

   อัคคีพยักหน้า ท่าทางดนตร์ไม่ดีอย่างที่ชนวีร์ว่าจริงๆ “พวกนายอยู่กันต่อก็แล้วกัน เดี๋ยวฉันกับชนวีร์จะพาเพลงไปเอง”

    “ผม...ไม่เป็นไร...พวกพี่ๆ อยู่ต่อกันเถอะครับ...ผมกลับเองได้”

    ดนตร์ยังไม่ได้เมาถึงกับไม่รู้เรื่องอะไร แต่ความคิดช้าลงไปเท่านั้นเอง ทว่าความรู้สึกมันกลับชัดเจนยิ่งกว่าเดิม คำพูดของกรณ์เมื่อครู่เหมือนมีดคมกรีดลงบนบาดแผลให้ลึกกว่าเดิม เขาไม่ได้เรียกร้องความเห็นใจจากใครแต่ปฏิเสธใครไม่เป็นเท่านั้น ร่างเล็กผุดลุกขึ้นแต่ก็ต้องเสียหลักเพราะประเมินฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ต่ำเกินไป ตัวเขาโอนเอนไปด้านหลัง ดีที่ได้อัคคีคว้าแขนเอาไว้

    “เมาขนาดนั้นแล้วยังจะทำเป็นอวดดี”

    คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเหน็บแนมอีกครั้ง ดนตร์กัดฟันกรอด เขาสะบัดแขนจนหลุดจากมือของอัคคีแล้ววิ่งออกไปจากตรงนั้น ไม่สนใจว่าจะชนใครหรืออะไรบ้าง

    เกลียด...เขาเกลียดกรณ์ที่สุด!

    ดนตร์หยุดวิ่งเมื่อรู้สึกว่าอากาศในปอดมันแทบไม่เหลือ เขาหยุดพักหายใจ ลมหายใจอุ่นร้อนผ่อนออกทางปากและจมูก หัวใจเต้นรัวแต่อาการเจ็บแปลบก็ไม่ได้น้อยลง เจ็บมากกว่าแผลที่ข้อศอกด้วยซ้ำ คำพูดของกรณ์ดังสะท้อนอยู่ในสมอง ไม่ว่าจะทำอย่างไรเขาก็สลัดมันทิ้งไม่ได้ ร่างเล็กทรุดตัวลงนั่งบนพื้นคอนกรีตเย็นๆ ตรงนั้น เขาเกลียดกรณ์ที่ทำให้เขาสูญเสียความเป็นตัวของตัวเอง แต่เขาเกลียดตัวเองยิ่งกว่าที่หยุดคิดถึงกรณ์ไม่ได้

    “มานั่งทำอะไรตรงนี้” เสียงทุ้มต่ำของใครสักคนดังขึ้นเหนือศีรษะ

    ร่างเล็กสะดุ้งเฮือกรีบเงยหน้าขึ้น ดวงตาที่พอจะหายพร่าเลือนบ้างมองผู้ชายที่ยืนค้ำศีรษะตัวเองอยู่ ใบหน้าขาวสะอาด ดวงตากลมแต่คมกริบ ริมปากสีสดกำลังระบายยิ้มคล้ายขบขัน ดนตร์ใช้มือยันตัวเองขึ้นจากพื้นแต่ก็ต้องล้มลงไปอีกรอบเพราะแผลที่อยู่ในผ้าพันคอของชนวีร์มันเจ็บจี๊ดจนต้องสูดปาก

    “เจ็บอยู่ไม่ใช่หรือไง!” ใครคนนั้นตวาดเสียงดัง พลางใช้มือรั้งต้นแขนข้างที่ไม่ได้เจ็บช่วยพยุงเขาขึ้นมา

    นัยน์ตาสีดำมีแววตำหนิแต่ก็แฝงไปด้วยความห่วงใย ร่างสูงช่วยประคองให้เขายืนบนพื้นได้ปลอดภัย มีโงนเงนนิดหน่อยเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ยังเหลืออยู่ มือใหญ่จับแขนของเขาขึ้น คิ้วหนาขมวดเข้าหากัน

    “เลือดออกเยอะเลยนี่ ท่าทางจะอักเสบด้วย”

    “ผม...ไม่เป็นไร” ดนตร์ปฏิเสธ อยากจะดึงแขนออกแต่เพราะอีกฝ่ายเป็นรุ่นพี่ต่างคณะ เขาไม่อยากจะเสียมารยาท

    “อย่าดื้อ เห็นอยู่ว่าเลือดออกเยอะ ดูซิจะชุ่มผ้าแล้ว” อีกฝ่ายเอ็ด “เดี๋ยวฉันพาไปหาหมอ”

   “ไม่เป็นไรครับ...เอ่อ...ป่านนี้คลินิกคงปิดหมดแล้ว โรงพยาบาลก็ไกลเกินไป”

    คนตัวสูงกว่ายกยิ้ม “ที่มหา’ลัย เรามีหมอนะ อย่าลืมสิ”

     ‘หมอ’ ที่รุ่นพี่ต่างคณะบอก ไม่ใช่หมอประจำโรงพยาบาล คลินิก หรือแม้แต่อาจารย์หมอ แต่เป็นว่าที่คุณหมอ ธาวินพาเขามาที่คณะแพทยศาสตร์ และตอนนี้เขากำลังนั่งอยู่ตรงหน้าว่าที่คุณหมอที่แนะนำตัวคร่าวๆ ว่าชื่อ จันทร์ทิวาหรือพี่ทิว ว่าที่คุณหมอจันทร์ทิวาบ่นเสียงขรมตอนที่ธาวินพาเขาไปบุกถึงห้องพัก จากนั้นก็พากันมาที่ห้องพยาบาลประจำคณะ เพราะที่ห้องของจันทร์ทิวาไม่มีอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่จะรักษาแผลของเขาได้

    บาดแผลที่คิดว่าไม่ลึกที่จริงแล้วมันหนักหนากว่านั้น รอยถลอกเป็นทางยางร่วมสิบเซน จันทร์ทิวาบ่นไม่ขาดปากขณะคีบสำลีชิ้นแล้วชิ้นเล่าทิ้งหลังจากที่ใช้มันชุบแอลกอฮอล์เช็ดแผลเขา ดนตร์กัดฟันแน่นด้วยความแสบแสนสาหัส ความเจ็บปวดพุ่งพรวดเป็นเท่าตัว เขาทั้งเจ็บทั้งแสบจนน้ำตาไหล
    “หึ...ร้องไห้เลยเหรอ เด็กชะมัด” ธาวินพูดลอยๆ ดนตร์สูดน้ำมูกเสียงดัง ก่อนจะตวัดตามองรุ่นพี่ตัวสูง

    “ลองมาโดนมั่งไหมล่ะ”

    “ฉันไม่ซุ่มซ่ามเหมือนนายนี่” ธาวินยักไหล่ “แต่ก็หายเมาเลยใช่ไหมล่ะ”

    “อือ” ดนตร์พยักหน้ายอมรับ ฤทธิ์เดชแอลกอฮอล์ล้างแผลรุนแรงกว่าแอลกอฮอล์ที่กินเข้าไปหลายเท่านัก

    ว่าที่คุณหมอจันทร์ทิวาทำแผลไปเรื่อยๆ อาการเจ็บแสบทุเลาลง แต่ก็ต้องเผลอสูดปากอยู่หลายครั้ง กระทั่งมือขาวแปะเทปผ้าลงบนแผลการรักษาถึงได้สิ้นสุดลง

    “ระหว่างนี้ก็อย่าให้แผลโดนน้ำ ล้างแผลเองได้ไหม ถ้าไม่ได้ก็มาที่นี่เดี๋ยวฉันทำให้ อ้อ! กินนี่ด้วย” จันทร์ทิวายัดซองยาสองสามอย่างใส่ในมือ “ยาแก้อักเสบ แก้ปวด กินหลังอาหารนะ”

    “ครับ” ดนตร์รับคำ “ขอบคุณนะครับ”

    “ไม่เป็นไรๆ แต่คราวหลังอย่าปล่อยให้แผลอักเสบขนาดนี้แล้วค่อยมาหาฉัน ที่สำคัญห้ามดื่มเหล้าไปสักพักนะมันจะทำให้แผลหายช้า”

    ดนตร์พยักหน้าอย่างว่าง่าย ตอนนี้เขาทั้งเพลียทั้งง่วงจนตาแทบจะปิดอยู่รอมร่อ เด็กหนุ่มเปิดปากหาวอย่างลืมตัว เรียกรอยยิ้มจากว่าที่คุณหมอขี้บ่นได้

   “ธาม ฉันว่านายพาน้องไปนอนเถอะ ง่วงจนตาปิดแล้ว”

    ธาวินเห็นด้วย “ขอบใจมาก ไว้ฉันจะเลี้ยงเหล้านะ”

   “เออๆ เพื่อนกันเรื่องแค่นี้สบายมาก พาไอ้เจ้าตัวเล็กนี่ไปเถอะ ที่เหลือฉันจัดการเอง”

   ธาวินขอบคุณเพื่อนรักอีกครั้งก่อนจะช่วยพยุงปีกรุ่นน้องต่างคณะขึ้นจากโต๊ะ ไอ้เด็กดื้อทำท่าจะปฏิเสธ ทั้งที่ตาแทบจะลืมไม่ขึ้นแล้วแต่ยังบอกว่าไม่เป็นไร ธาวินไม่ได้สนใจความดื้อของดนตร์ มือหนาสอดรัดเอวคนตัวเล็กกว่า

    “นายพักที่หอไหน”

   “หอชายห้อง 502 ครับ”

    ดนตร์ตื่นมาพร้อมกับความปวดแปลบที่ข้อศอกซ้าย หัวปวดตุบคงเป็นผลพวงจากแผลที่อักเสบ มิ่งขวัญเพื่อนร่วมห้องคงไปเรียนแล้ว ดวงตาปวดร้าวพยายามเพ่งมองนาฬิกาข้อมือที่ถอดไว้ เข็มสั้นยาวบอกเวลาว่าจวนจะสิบโมงแล้ว วันนี้เขามีเรียนตอนเก้าโมง แต่ดูจากสภาพร่างกายแล้ววันนี้เขาคงต้องเกเรสักวัน ศีรษะหนักอึ้งทิ้งตัวกลับลงไปบนหมอนใบเดิมอีกครั้ง กลิ่นยาทำแผลคลุ้งในอากาศ เขาทั้งปวดแผล ปวดหัวแถมยังหิวอีกด้วย ทว่าเรี่ยวแรงที่เหลืออยู่ในตอนนี้แค่หายใจกับกะพริบตายังทำได้ยากเลย

    ดนตร์หลับไปอีกครั้งทั้งอย่างนั้น เขาตื่นอีกทีตอนที่ประตูห้องโดนระดมทุบอย่างเสียมารยาท เด็กหนุ่มขมวดคิ้วมุ่น ใจจริงอยากจะดื้อดึงนอนต่อแต่เพราะความไร้มารยาทของคนด้านนอกยังคงมีอยู่เลยจำใจต้องฝืนสังขารลุกจากเตียงไปเปิดประตูรับอาคันตุกะ

    ร่างเล็กยืนโงนเงนหน้าประตูห้องพัก ดวงตาที่เปิดครึ่งปิดครึ่ง ร่างกายยังไม่ตื่นดีบวกกับอาการไข้ที่รุมเร้าทำให้การมองเห็นรวมทั้งสติเลือนรางเต็มที

   “ยังไม่ตายนี่ ไอ้อ้วนมันจะห่วงอะไรนักหนา”

    ร่างกายที่ย่ำแย่ตื่นตัวขึ้นมาเล็กน้อย ถึงสติจะเหลือน้อยเต็มทีแต่เขาก็จำได้ว่าเสียงต่ำๆ ติดแหบนั่นเป็นของใคร เวลาร่วมปีมันมากพอที่จะทำให้จดจำอะไรได้ แม้จะไม่เคยคุยกันเลยก็ตาม เจ้าของห้องพยายามจะเงยหน้ามองผู้มาเยือนเพราะอยากจะแน่ใจว่าพิษไข้ไม่ได้ทำให้เขาสร้างภาพในจินตนาการขึ้นมาเอง ไออุ่นที่แผ่มาถึงผิวหนังช่วยยืนยันได้อีกหน่อยว่าเขาไม่ได้สร้างภาพของกรณ์เอง

    “ไหวหรือเปล่าวะ หน้าซีดเชียว ทำแผลแล้วใช่ไหม กินข้าวกินยาหรือยัง ไอ้อ้วนก็เหลือเกินเป็นห่วงแล้วทำไมไม่มาดูเองก็ไม่รู้ วานมันได้ทุกเรื่องจริงๆ”

    อีกคนหนึ่งบ่นเป็นหมีกินผึ้ง หากเป็นช่วงเวลาปกติเขาคงยินดีไม่น้อยที่ได้ยินกรณ์พูดยาวขนาดนี้ แต่ตอนนี้เขาไม่เหลือเรี่ยวแรงที่แม้แต่จะดีใจ ดนตร์ขยับเท้า เขาอยากกลับไปนอนต่อ ทว่าเพียงแค่ก้าวขาโลกใต้เท้าก็โคลงเคลงไปหมด ร่างกายเสียศูนย์ทิ้งตัวไปตามแรงโน้มถ่วงของโลก

   “อ้าวเฮ้ย!”

   “แม่งเอ๊ย!”

    กรณ์เผลอสบถหยาบคาย ตอนที่ต้องแบกร่างของเด็กแว่นจอมอวดดีกลับมาที่เตียงเล็กคับแคบ หอพักนักศึกษาเป็นสิ่งที่เกลียดที่สุดเพราะแคบและอึดอัด โชคดีที่เขามีเงินพอที่จะเช่าคอนโดใกล้ๆ อยู่ ไม่อย่างนั้นเขาคงได้หายใจไม่ออกตายเข้าสักวัน ร่างสูงใหญ่ดูเทอะทะไปหน่อยสำหรับห้องพักเล็กๆ เขาวางร่างเล็กลงบนเตียงที่เดาเอาเองว่าเป็นเตียงของเจ้าตัว

   “เฮ้อ! เวรกรรมอะไรของกูวะเนี่ย” กรณ์ยังคงบ่นอย่างต่อเนื่อง

    ตากลมคมเหลือบมองคนบนเตียง ใบหน้าขาวซีดเผือดไม่ต่างจากหน้ากระดาษ เหงื่อเม็ดเล็กผุดพรายบนหน้าผาก ริมฝีปากอิ่มแดงสด แผ่นอกสะท้อนขึ้นลงเร็วกว่าปกติ เมื่อครู่ตอนที่อุ้มมาตัวของดนตร์ร้อนผ่าว ไม่ต้องเดาให้เสียเวลาไอ้เจ้าเด็กจอมอวดดีนี่ป่วยแล้วอย่างแน่นอน

    เขาอยากจะด่าไอ้เจ้าอ้วนชนวีร์นัก มันอ้อนวอน ขอร้องแกมขู่ให้เขามาดูดนตร์รุ่นน้องที่รักยิ่งกว่าเขาที่มีศักดิ์เป็นพี่ของมันเสียอีก เขากับชนวีร์เป็นลูกพี่ลูกน้องกัน ถึงจะหุ่นจะต่างกันแต่หน้าตาละม้ายคล้ายกันพอสมควร และแน่นอนว่าเขาต้องหล่อกว่ามัน รวมไปถึงอัคคีด้วย มันมักไม่ค่อยเกรงใจตำแหน่งศักดิ์ที่สูงกว่าของเขาเท่าไรนัก ชอบใช้ไหว้วานให้เขาทำโน่นทำนี่ให้อยู่เรื่อยจนเป็นนิสัย ไอ้เขาเองก็เผลอตกปากรับคำเสียหลายครั้ง รวมถึงครั้งนี้ด้วย

    กรณ์ถอยหายใจด้วยความเหนื่อยหน่ายแกมหนักใจ ถ้าหากไอ้เจ้าเด็กดนตร์นี่มันแค่เจ็บแผลแล้วทำเป็นสำออยหยุดเรียนเขาจะสบายใจกว่านี้ แต่สภาพมันย่ำแย่กว่านั้นมาก ไอ้ท่าทางอวดดีเมื่อคืนไม่มีให้เห็น มือเรียวยกขึ้นเกาหัวจนผมที่เซ็ทมาอย่างดีแทบจะเสียทรง เกิดมาไม่เคยดูแลคนป่วยเสียด้วยสิ หนักไปทางให้คนดูแลเสียมากกว่า

   “อือ...หนาว”

    คนป่วยครางขึ้น น้ำเสียงแหบพร่า เหงื่อผุดซึมเสื้อยืดตัวเก่า เขายืนหันรีหันขวางอยู่อย่างนั้นเพราะไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี แล้วก็เหมือนมีระฆังมาช่วย โทรศัพท์ของเขาดังขึ้นแล้วคนที่โทรมาคือคนที่อยากจะด่ามากที่สุดเสียด้วย

   “ไอ้อ้วน! แกรีบมาดูไอ้แว่นเลย มันป่วยเนี่ย”

    “อ้าว! แล้วมีใครพาไปหาหมอหรือยัง” เจ้าอ้วนหรือชนวีร์ถามกลับทันทีน้ำเสียงเต็มไปด้วยความเป็นห่วง

   “ยัง! มันหลับไปแล้ว แต่ตัว...” กรณ์ยื่นมือไปอังหน้าผากชุ่มเหงื่อ มันร้อนจัดจนเขาต้องชักมือกลับทันที “ตัวร้อนมาก ทำไงดีวะ”

    “ร้อนก็เช็ดตัวสิ”

    “ก็เช็ดไม่เป็นไง!” กรณ์ตะโกนกลับ คิ้วหนาเข้มขมวดจนแทบจะชนกัน

   “ทำไมโง่จังวะ โตมาได้ยังไงตั้งยี่สิบกว่าปี” อีกฝ่ายเหน็บแนมอย่างไม่ยอมความ

    “ไอ้อ้วน!”

    “เออๆ ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาทะเลาะกัน นายไปหาผ้าเช็ดตัวมาสักผืน ชุบน้ำบิดพอหมาดแล้วก็เอาไปเช็ดตัวให้ดนตร์ เช็ดจนกว่าตัวจะเย็นลงนะ เดี๋ยวฉันจะรีบไป แต่ถ้าอาการไม่ดีขึ้นให้รีบพาไปคณะแพทย์ฯ นะ”

    กรณ์ยกมือทึ้งเส้นผม แค่คิดก็ยุ่งยากแล้ว ชนวีร์วางสายไปแล้ว วันนี้มันมีเทสต์ย่อยเลยขอให้เขามาช่วยดูรุ่นน้องเพราะเป็นห่วง

    เขาคิดว่าชนวีร์เป็นห่วงไอ้เจ้าสี่ตานี่มากเกินไป ตั้งแต่เมื่อคืนแล้วที่มันทำท่าจะวิ่งตามไปหลังจากที่รุ่นน้องวิ่งหนีไปอย่างไร้มารยาท แต่ธาวินเพื่อนสนิทของเขาไวกว่า ไอ้หมอนั่นลุกพรึ่บแล้ววิ่งพรวดพราดไปแบบไม่ล่ำลากันด้วยซ้ำ ทำเอาคนที่เหลืองงเป็นไก่ตาแตก จากนั้นทั้งชนวีร์และอัคคีก็กล่าวโทษว่าเป็นความผิดของเขาที่ทำให้ดนตร์หนีไป บรรยากาศในโต๊ะกร่อยไปโดยปริยาย อัคคีพาชนวีร์กลับเหลือแค่เขากับโยษิตาที่ยังดื่มกินอีกสักพัก

    และด้วยเหตุนี้วันรุ่งขึ้นไอ้เจ้าอ้วนเลยกระหน่ำโทรหาเขานับสิบสายโยนความผิดทั้งหมดใส่เขา แล้วก็สั่งให้เขามาดูอาการของดนตร์ เขาเองก็จนแต้มเพราะโดนมันขู่ด้วยเรื่องที่เขาเอารถแลมโบกีนี่สุดที่รักของบิดาไปเฉี่ยวเสาไฟฟ้ามาเมื่อต้นปี แล้วเอาไปจอดไว้ที่เดิมทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่เพราะวันนั้นมันอยู่ในเหตุการณ์ด้วยพอดี แลมโบกีนี่เลยกลายเป็นประเด็นขู่ขึ้นมาทุกครั้งที่เขาทำท่าจะปฏิเสธ

    กรณ์มองหาผ้า หรืออะไรที่ใกล้เคียงกับผ้าขนหนู หอพักนักศึกษาที่ทั้งเล็กทั้งแคบทำให้ข้าวของเครื่องใช้ถูกวางไม่เป็นระเบียบนัก แล้วเขาก็พบผ้าขนหนูสีเขียวพาดอยู่บนเก้าอี้ตัวเล็กๆ ข้างเตียง ชายหนุ่มคว้ามันไว้แล้วเดินเข้าไปในห้องน้ำ ดีหน่อยที่มีห้องน้ำในแต่ก็เล็กเสียจนคนที่สูงเกินหกฟุตอย่างเขาต้องก้มหัวเข้าประตู หนุ่มคณะสถาปัตย์กลับออกมาอีกครั้งพร้อมกับผ้าเปียกที่คิดว่าใกล้เคียงกับคำว่าหมาด เขายืนมองคนป่วยอย่างลังเลว่าควรจะเช็ดส่วนไหนก่อนดี ดนตร์หายใจแรงกว่าเดิม ริมฝีปากแดงสดเผยอเพื่อช่วยหายใจ เหงื่อพรายทั่วหน้าผาก เขาตัดสินใจวางผ้าไปบนหน้าผากก่อนแล้วค่อยๆ ไล้ไปส่วนอื่นๆ ของใบหน้า มือขยับไปตามเท่าที่สมองจะย้อนระลึกหวนไปถึงฉากในละครที่เคยดู ถึงจะไม่ใช่แต่ก็พอจะใกล้เคียง

    พอเช็ดทั่วใบหน้าเขาก็ใช้หลังมืออังหน้าผากคนป่วยอีกรอบ ไอร้อนยังไม่ได้ทุเลาลงเท่าไรนัก ผ้าในมือแห้งไปพอสมควร เขากลับไปในห้องน้ำอีกครั้งคราวนี้มีกระป๋องพลาสติกเล็กใส่น้ำติดมือมาด้วยเพราะคิดแล้วว่าเขาคงต้องเช็ดตัวให้หมอนี่อีกหลายรอบเลยทีเดียวกว่าตัวจะเย็นลง

    เสื้อยืดตัวบางของดนตร์เริ่มชื้นเหงื่อ แค่เช็ดหน้าอย่างเดียวคงไม่พอ มือเรียวยกขึ้นเกาผมตัวเองจนยุ่ง ท้องครางประท้วงเพราะได้เวลามื้อเที่ยง ชายหนุ่มสบถด้วยความหงุดหงิดคอยดูเถอะถ้าไอ้อ้วนมาถึงเมื่อไรเขาจะให้มันชดใช้อย่างสาสมเลยทีเดียว โทษฐานที่บังอาจทำให้ท่านกรณ์วุ่นวายได้ขนาดนี้ เขาวางหัวเข่าบนเตียงเล็กก่อนจะสอดมือเข้าไปใต้ร่างของคนป่วย ออกแรงยกร่างที่เล็กกว่าตัวเองขึ้น แต่คนป่วยที่ยังหลับไม่ได้สติไม่อาจทรงตัวได้ด้วยตัวเอง ดนตร์ล้มลงไปนอน กรณ์จิ๊ปากแล้วรั้งร่างเล็กขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เขาจับศีรษะทุยวางบนหัวไหล่ของตัวเองพลางใช้แขนข้างขวารัดรอบเอวอีกฝ่ายเอาไว้

    การถอดเสื้อให้ดนตร์เป็นไปด้วยความทุลักทุเลแต่สุดท้ายเขาก็ดึงมันออกหลุดจากศีรษะได้ กรณ์วางร่างคนป่วยลงไปนอนตามเดิม ดวงตากลมคมกวาดมองท่อนบนของเด็กหนุ่มจอมอวดดี ดนตร์เป็นคนผิวขาว ผ่องใส เนียนละเอียดเหมือนกับผู้หญิง เม็ดทับทิมเล็กๆ ทั้งสองสีสดตัดกับผิวกายขาวจัด กรณ์นิ่งงันไปชั่วนาทีไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ากำลังจดจ้องอยู่ที่เรือนร่างของเพศเดียวกัน

    “อือ...หนาว”

    เสียงครางของคนป่วยดึงให้เขาหลุดจากความภาพตรงหน้า กรณ์สะบัดหัวแรงๆ ไล่ความรู้สึกประหลาดออกไป แล้วกลับไปทำหน้าที่คุณหมอจำเป็นต่อ

    เขาใช้ผ้าผืนเดิมเช็ดไปบนผิวกายเนียนใส ไอร้อนดูดซับน้ำไปอย่างรวดเร็ว เขาต้องวนเวียนเช็ดอยู่หลายรอบกระทั่งความร้อนทุเลาลง กรณ์ยกมือขึ้นปาดเหงื่อบนหน้าผากตัวเอง เหลือบมองนาฬิกามันเกือบจะบ่ายสองโมงแล้ว เขาเฝ้าเช็ดตัวให้หมอนี่ร่วมสองชั่งโมงเลยทีเดียว ความหิวหายไปตอนไหนก็ไม่รู้ แต่ใบหน้าที่ไม่ได้ซีดเผือดแล้วของดนตร์มันทำให้เขาลืมหิวได้จริงๆ

    กรณ์ทิ้งตัวลงกับเก้าอี้ตัวเล็ก เหยียดขาไปตามความยาว เกิดมาไม่เคยต้องมาทำอะไรให้ใครเท่านี้มาก่อน ขนาดโยษิตาป่วยเขายังแค่ซื้อของบำรุงไปให้เท่านั้น ไม่เคยต้องมาเช็ดตัวให้ กรณ์เหลือบมองคนป่วยอีกรอบ ดนตร์ไม่เพ้อมาพักใหญ่แล้ว แผ่นอกสะท้อนขึ้นลงเป็นปกติ ริมฝีปากหนาแต่หยักสวยเผลอกระตุกยิ้มโดยไม่รู้ตัว เขาเผลอมองอยู่อย่างนั้นจนเปลือกตาหนักขึ้นเรื่อยๆ แล้วทุกอย่างก็กลายเป็นสีดำ...

............................

กลับมาที่นี่อีกครั้งหลังจากที่หายไปนาน

เรื่องนี้เป็นฟิคแปลงนะคะ ส่วนเรื่องของโยธินนั้น........รอก่อนน๊าาาาาาาาาา

ป.ล. ขออัพอาทิตย์ละตอนเด้อจ้า
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-07-2017 20:05:30 โดย libra82 »

ออฟไลน์ maekkun

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 223
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0

ออฟไลน์ libra82

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 285
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +236/-5
Chapter 2 พระเอก?

    เสียงพูดคุยดังอยู่ใกล้ๆ หู รบกวนการพักผ่อนที่ยาวนานให้ยุติลง เปลือกตาบางกะพริบเบาๆ ไม่กี่ครั้งก็เปิดขึ้น สิ่งที่เห็นพร่าเลือนด้วยสายตาที่สั้นเกินกว่าระดับปกติ บวกกับสติสัมปชัญญะที่ยังขาดๆ หายๆ เลยยิ่งทำให้ทั้งการมองเห็นและการได้ยินมีปัญหา มือเรียวควานหาเครื่องช่วยในการมองเห็นที่มักจะวางไว้ข้างหมอน แต่มันกลับว่างเปล่า ดนตร์พยายามยันตัวขึ้น แต่ศีรษะหนักอึ้งจนต้องทิ้งตัวหลับตาลงกลับไปนอนอีกรอบ ร่างกายปวดร้าวราวกับออกกำลังกายหนัก ลำคอแห้งผาก เขากระหายน้ำขึ้นมาทันที

    “....น้ำ”

   สิ้นเสียงร้องขอ สัมผัสเย็นก็แตะที่ริมฝีปากแล้วความชุ่มชื้นจากน้ำก็ไหลผ่านลิ้นลงสู่ลำคอ เขากินน้ำจนหมดทั้งที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันจากที่ใด บางทีเขาอาจจะป่วยหนักจนคิดว่ามีเทวดาหรือนางฟ้าเอาน้ำมาให้กิน

   “เป็นไงบ้าง...ลูกเจี๊ยบ”

    น้ำเสียงคุ้นเคยดังขึ้นไม่ไกลนัก เจ้าของชื่อเปิดตาขึ้นอีกครั้ง ภาพที่เลือนรางเมื่อครู่ดีขึ้นนิดหน่อยแต่เพราะไม่มีแว่นตาเลยยังไม่ชัดเจนเท่าไรนัก เขาขมวดคิ้วพยายามมองหาคนพูด จับจากน้ำเสียงอาจจะเป็นพี่วิน

   “พี่...วินเหรอครับ” เสียงของเขาแหบหนักยิ่งกว่าเป็ดเทศเสียอีก ดนตร์นิ่วหน้า คอของเขาเจ็บเหมือนมีหนามนับร้อยอยู่ในนั้น

    “ใช่ ฉันเอง นายเป็นยังไงบ้าง เฮ้ยๆ ยังไม่ต้องลุก”

    ชนวีร์รีบปรามรุ่นน้องที่ทำท่าจะยันตัวขึ้นมานั่งสนทนา แต่อีกฝ่ายก็แสนดื้อพาตัวขึ้นมานั่งกึ่งนอนจนได้ หนุ่มตัวอ้วนถอยหายใจเบาๆ ก่อนจะช่วยจัดท่าให้นั่งสะดวกขึ้น พลางส่งแว่นตาให้ ดนตร์กล่าวขอบคุณด้วยเสียงที่ฟังแล้วน่าสงสาร

   เมื่อได้เครื่องมือในการมองเห็น อะไรๆ ก็ชัดเจนมากขึ้น เขาเพิ่งรู้ว่าในห้องพักนักศึกษาที่เล็กเท่ารูหนูอัดแน่นไปด้วยผู้ชาย...ตัวใหญ่ ทั้งชนวีร์ อัคคี และผู้ชายอีกสองคนที่เขาเห็นไม่ชัดเพราะยืนอยู่มุมห้องและเป็นที่แสงส่องไปไม่ถึง ทว่าลักษณะคุ้นตาเหลือเกิน

    “พี่...มาทำอะไรกัน...เหรอครับ” คนป่วยเอ่ยถาม เขารู้ว่าตัวเองป่วยแต่ไม่รู้ว่าทำไมคนพวกนี้ถึงมาชุมนุมอยู่ในห้องนี้

    “มาดูนายน่ะสิ รู้ไหมนายหลับไปตั้ง 3 ชั่วโมงแหนะ ดีนะที่ไข้ลดลงแล้ว ไอ้ทิวบอกว่าถ้าไข้นายยังไม่ลดจะต้องพานายไปหาหมอแล้ว” ชนวีร์บอก

    “...ทิว”

   “เออ จำได้หรือเปล่า ธามบอกว่าเมื่อคืนนายก็ไปให้เขาทำแผลให้”

   “ธาม...”

     ดนตร์นึกถึงเจ้าของชื่อทั้งจันทร์ทิวาและธาวิน เขารู้สึกคับคล้ายคับคลาว่าได้ยินที่ไหนมาก่อน แต่ยิ่งคิดเส้นประสาทรอบขมับก็ยิ่งทำงานหนัก จำได้แค่ว่าเขาล้มข้อศอกเป็นแผล แข่งบาส ไปกินเหล้าแล้วก็วิ่งออกมาอย่างเสียมารยาท ความทรงจำหยุดตรงแค่ใครบางคนพาเขากลับมาที่มหาวิทยาลัย แล้วทุกอย่างก็เหมือนถูกแช่เข็งไว้ เขาจำอะไรไม่ได้แล้ว

    “ใช่ หมอนั่นเป็นคนพานายไปหาทิวแล้วก็ทำแผลให้ แถมยังพานายกลับมาห้องด้วย” ชนวีร์ช่วยเติมเต็มความทรงจำที่ขาดหายให้ แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังนึกใบหน้าของธาวินและจันทร์ทิวาไม่ออกอยู่ดี คงเป็นเพราะพิษไข้ที่บั่นทอนความคิดให้ลดน้อยลง

    “...ฝากขอบคุณเขาด้วยนะครับ”

   “จะฝากทำไมล่ะ...ไอ้ธาม เพลงฟื้นแล้ว” คนพูดยกยิ้ม พลางกวักมือเรียกเจ้าของชื่อ ซึ่งก็เป็นหนึ่งในสองคนที่ดนตร์สงสัยว่าเป็นใคร

    เงาร่างสูงใหญ่ทาบทับมาบนตัวเขาจนแทบมิด แสงสว่างจากด้านนอกและดวงไฟกลางห้องส่องกระทบใบหน้าหล่อเหลาขาวสะอาด ดวงตากลมแต่ไม่ลึกเป็นประกาย จมูกโด่งสวย รับกับริมฝีปากสีสด ดวงหน้าเรียว เรือนผมดำถูกเซ็ทเป็นทรงตามสมัยนิยม รูปร่างสูงใหญ่ คะเนด้วยสายตาน่าจะเกินหกฟุต สวมเสื้อยืดสีดำแขนยาวเนื้อดีกับกางเกงสีเดียวกัน ตัดด้วยรองเท้าผ้าใบยี่ห้อดังสีขาว พอได้เห็นชัดๆ ความทรงจำที่เกี่ยวกับธาวินก็เริ่มกลับมาบ้าง เขาจำได้ว่ารุ่นพี่ต่างคณะคนนี้อยู่ในทีมบาสเก็ตบอลฝ่ายตรงข้าม และเป็นเพื่อนสนิทของกรณ์

    “ไงไอ้ตัวเล็ก ดีขึ้นแล้วนี่ ยังปวดแผลอยู่ไหม”

    ดนตร์สั่นหัว แผลที่ข้อศอกไม่เจ็บเท่าไร เขาเหลือบมองผ้าพันแผลสีขาวสะอาดลักษณะเหมือนเพิ่งถูกเปลี่ยนใหม่

   “ทิวมาทำให้เมื่อชั่วโมงก่อน ไอ้เจ้าอ้วนมันโวยวายใหญ่กลัวแผลนายจะสกปรก” ธาวินพูดยิ้มๆ ก่อนจะเดินเบียดเจ้าอ้วนเข้าไปที่เตียงคนป่วย แล้วค่อยหย่อนสะโพกลงนั่ง มือหนายื่นไปที่หน้าผากใช้มันวัดอุณหภูมิร่างกายแทนปรอท “ตัวเย็นแล้ว เดี๋ยวกินข้าวแล้วก็กินยาด้วยนะ”

    “...ครับ” ดนตร์พยักหน้า ธาวินยิ้มให้เขา แล้วก็นั่งอยู่ตรงนั้นโดยที่สายตายังไม่ละไปที่ไหน

    “หิวหรือเปล่า” อัคคีถาม

   คนป่วยไม่แน่ใจนักเพราะยังคงมึนงงไม่หาย เขาไม่หิวแต่อ่อนล้ามากกว่า

    “ไม่ค่อย...”

    “หิว! ถ้าเยี่ยมเสร็จแล้วก็ไปๆ กันซะทีฉันหิวจะแย่แล้ว”

    เสียงคนพูดดังมาจากมุมห้องที่ค่อนข้างมืด ดนตร์เพ่งมองเงาร่างสูงใหญ่ของใครคนนั้น หัวใจเขาเต้นแรงขึ้นๆ ถึงจะไม่เห็นหน้าแต่เขาก็จำเสียงได้ วิธีการพูดที่ไม่รักษาน้ำใจคนฟัง โดยเฉพาะกับเขายิ่งทำให้แน่ใจว่าเจ้าของร่างนั้นเป็นใคร

    “ฉันเพิ่งรู้ว่าพ่อเทพบุตรกรณ์ที่จริงแล้วโคตรจะงี่เง่า”

    “ก็มันเบื่อ ฉันอยู่ในห้องเล็กเท่ารูหนูนี่มาครึ่งวันแล้วนะไอ้ไฟ ฉันอยากจะไปกินข้าวกับแฟน”

    คนในมุมมืดเดินออกมาสู่แสงสว่าง ใบหน้าหล่อจัดมีรอยไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด ดวงตาคมดุมองไปยังต้นเหตุที่ทำให้ต้องหัวเสีย ดนตร์หน้าร้อนผ่าวรีบหลบตาวูบ เขากลัวดวงตาคู่นั้นจริงๆ

     “ถ้ายังบ่นอีก ฉันจะเอาเรื่องที่นายขับแลมโบกีนี่ไปเฉี่ยวเสาไฟฟ้าไปบอกคุณลุง”

   “ไอ้อ้วน! นี่มันจะเกินไปแล้วนะ” กรณ์ขึ้นเสียง “ใครจะเป็นยังไงฉันไม่สนใจแล้ว หมดหน้าที่ฉันซะที!”

    ดวงตาดุกร้าวมองเขม็งไปยังร่างเล็กที่นั่งกึ่งนอนบนเตียงแคบเท่าแมวดิ้นตาย กรณ์กระแทกลมหายใจแรงๆ ก่อนจะออกจากห้อง 502 ไปโดยไม่อยู่ฟังคำต่อว่าจากใครอีก

    ดนตร์มองบานประตูที่ปิดลงหลังจากกรณ์ออกไปแล้ว กลิ่นไอความไม่พอใจของกรณ์ยังลอยคลุ้งในอากาศ เขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนผิดที่ทำให้อีกฝ่ายหัวเสียได้ขนาดนั้น แต่เขาก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทำไมกรณ์ถึงต้องโกรธเขาด้วย

    ชนวีร์ถอยหายใจเสียงดัง บางทีเขาก็เอือมระอานิสัยผีเข้าผีออกของกรณ์เหมือนกัน แต่ไม่เคยถือสาหาความเพราะเข้าใจว่าอารมณ์ศิลปินก็เป็นแบบนี้ เอาแน่เอานอนไม่ได้

   “อย่าไปถือสาเลยนะลูกเจี๊ยบ หมอนั่นมันคงโมโหหิว ไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เที่ยง แถมยัยหยาหยีก็โทรตามอีก”

   “แล้วทำไมเขาไม่กินละครับ” ดนตร์ถามต่อ

   “ก็เพราะว่าหมอนั่นมันเฝ้าไข้นายไง” อัคคีตอบแทน กดยิ้มที่มุมปากระหว่างที่ยกมือพาดหัวไหล่เจ้าอ้วน “มันเช็ดตัวให้นายจนไข้ลดเลยนะ นี่ถ้าข่าวนี้หลุดไปนะ รับรองนายได้โดนแฟนคลับกรณ์เล่นงานแน่”

    “เช็ด...ตัว” ดนตร์พึมพำเหมือนคนละเมอ ซึ่งก็ไม่ต่างจากการได้ยินสิ่งที่อัคคีพูดเมื่อครู่นัก เขาไม่คิดว่าเป็นเรื่องจริง อัคคีต้องล้อเขาเล่นแน่ๆ คนอย่างกรณ์ไม่มีทางจะทำแบบนั้นกับเขาหรอก

    “จริงๆ ฉันเป็นคนขอให้มันมาเอง ตอนที่เข้ามาฉันก็เห็นหมอนั่นหลับอยู่บนเก้าอี้ข้างเตียงนาย ผ้าขนหนูตกอยู่ในกระป๋องน้ำ” ชนวีร์ช่วยสำทับอีกแรง

    คนป่วยไม่ได้ถามอะไรอีก ในหัวชาวาบไปหมดขณะที่หัวใจเต้นแรงยิ่งกว่ากลองชุด กรณ์คนนั้นน่ะหรือ คนที่พูดจาไม่ดีกับเขา จะคอยดูแลเขาในตอนที่ป่วย ดนตร์ก้มหน้าลง เขาไม่อาจบังคับริมฝีปากของตัวเองไม่ให้ยกยิ้มได้...



    หลังจากที่ป่วยจนต้องนอนพักรักษาตัวอยู่สองวัน ดนตร์ก็กลับมาเรียนได้ตามปกติ โชคดีที่เพื่อนรักเมธัสช่วยจดเล็คเชอร์ให้ในระหว่างที่เขาป่วย เมธัสเป็นหนึ่งในเพื่อนสนิทของเขาถึงจะไม่ได้เป็นรูมเมทกันแต่ก็สนิทกันมากพอตัว เมธัสเป็นผู้ชายตัวผอมบาง ผอมกว่าเขาด้วยซ้ำ ดวงตากลมโต จมูกโด่ง หน้าตาน่ารักไม่น้อย ทว่านิสัยและฝีปากต่างจากรูปลักษณ์ภายนอกลิบลับ

    ส่วนเพื่อนสนิทอีกคนเป็นผู้หญิง เธอชื่อลลิตา หน้าตาน่ารักน่าชังเหมือนตุ๊กตา ดีกรีความน่ารักทำให้เธอถูกคัดเลือกให้เป็นดาวคณะ เขามักจะไปไหนมาไหนกับสองคนนี้ มีบางครั้งที่ต้องแยกออกมาเพราะทั้งลลิตาและเมธัสเป็นคนดังคณะเลยถูกรุ่นพี่หรืออาจารย์เรียกใช้งานอยู่บ่อยๆ ส่วนเขา...ยังคงเป็นดนตร์ที่น่าเบื่อคนเดิมต่อไป

    “ไม่อยากเข้าเรียนวิชาอาจารย์เกลือเลยอ่ะ บรรยายทีฉันจะหลับ” เมธัสบ่นอุบ ก่อนจะตักข้าวใส่ปากคำใหญ่

    “เหมือนกันเลย เสียงอาจารย์เกลือเหมือนยานอนหลับ” ลลิตาพยักหน้าเห็นด้วย ตักหมูในจานตัวเองให้คนเพิ่งหายป่วย “กินเนื้อเยอะๆ จะได้หาย กลับมาแข็งแรงเหมือนเดิม”

   ลลิตาที่แสนดี ไม่ใช่เพียงแต่ใบหน้าที่น่ารักเท่านั้นแต่ยังรวมไปถึงนิสัยใจคออีกด้วย เธอมีน้ำใจกับเพื่อนๆ ไม่เคยยกตัวสูงกว่าใครแม้ว่าจะเป็นถึงดาวคณะก็ตาม

   “ขอบใจนะ”

    ดนตร์กล่าวขอบคุณเพื่อนรัก เขาตักข้าวขึ้นกินบ้างระหว่างนั้นก็มองบรรยากาศวุ่นวายของโรงอาหารไปด้วย แต่แล้วสายตาก็สะดุดกับกลุ่มบุคคลที่ดูโดดเด่น ดึงดูดสายตา แม้จะอยู่ในระยะห่างที่ห่างออกไปหลายสิบเมตรก็ตาม จังหวะการเคี้ยวอาหารของเขาลดน้อยลง ตายังคงจับจ้องไปยังผู้ชายตัวสูงหลายคนที่เดินมาเป็นกลุ่ม ไม่ใช่แค่เขาหรอก บรรดาสาวๆ ก็ด้วย มีบางคนหลุดชื่อของคนในกลุ่มนั้น บางคนก็เผลอส่งเสียงดีใจ ราวกับได้เห็นดาราชื่อดังในโรงอาหารของมหาวิทยาลัย

    แต่ในกลุ่มนั้นไม่ได้มีแค่ผู้ชายเท่านั้น ทว่ายังมีผู้หญิงอยู่ด้วย เขาจำได้ว่าทันทีว่าเธอเป็นใคร ความสวยของเธอโดดเด่นพอๆ กับคนพวกนั้น ดวงตาหลังเลนส์แว่นมองเห็นมือใหญ่ของผู้ชายเกาะเกี่ยวเอวเล็กคอดกิ่วของเธอด้วย เขารีบก้มหน้าลงตักข้าวเข้าปากแต่รสชาติที่สัมผัสลิ้นมันกร่อยไปหมด

    “กรี๊ดอะไรกันวะ” เมธัสหันไปมองตามเสียงร้องที่ได้ยิน และทันทีที่รู้สาเหตุก็บิดปากคล้ายรังเกียจ “ฉันละไม่เข้าใจแม่พวกนี้จริงๆ ทำไมต้องไปกรี๊ดไอ้พวกนี้ด้วยวะ ไม่เห็นจะน่าปลื้มตรงไหน ฉันยังเท่ห์กว่าตั้งเยอะ”

    “อย่าพูดเสียงดังสิ เดี๋ยวแฟนคลับเขาได้ยินนายได้โดนรุมสกรัมแน่” ลลิตาปราม แต่ไม่ได้ผลสักเท่าไรนัก

    “ฉันไม่สน มีคนรักก็ต้องมีคนเกลียดสิ แล้วฉันก็อยู่ในประเภทที่สอง” เมธัสยักไหล่ไม่สนใจก่อนจะตักข้าวคำใหญ่เข้าปาก
    ดนตร์เองก็ควรจะทำเช่นเดียวกันกับเมธัส เขาบังคับตัวเองไม่ได้เงยหน้าไปมองใคร เพ่งความสนใจอยู่แค่ที่จานข้าวของตัวเองเท่านั้น ทว่าเสียงฮือฮารอบตัวดังขึ้น สัญชาตญาณบอกถึงความผิดปกติบางอย่าง เด็กหนุ่มเงยหน้าจากจานข้าว สิ่งแรกที่เขาเห็นคือใบหน้าหล่อเหลาของผู้ชาย 4 คน....และโยษิตา

    ดวงตาคมเรียวดุของคนที่อยู่ตรงหน้าพอดีมองมาที่เขา มันเย็นชาและห่างเหิน ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจเพราะเขาไม่ใช่คนที่น่าสนใจนัก ใบหน้าขาวเรียบเฉย มือใหญ่เกี่ยวเอวเล็กของหญิงคนรักเอาไว้อย่างแสดงความเป็นเจ้าของขณะที่ฝ่ายผู้หญิงกำลังจดจ่ออยู่กับโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ล่าสุด

    “ไงไอ้ตัวเล็ก หายแล้วเหรอ” คนที่ดูเหมือนจะเป็นมิตรเป็นฝ่ายทักก่อน พี่ธามยิ้มให้เขา มือวางเท้าบนโต๊ะอาหารชะโงกหน้าเข้ามาใกล้ “หน้าตาดีขึ้นเยอะเลยนี่”

    “คนนี้เหรอวะที่แกพูดถึง” คนตัวสูง ดวงตาค่อนข้างใหญ่กว่าคนอื่นเอ่ยถาม 

    “เออ นี่น้องเพลงคณะนิเทศน์ รุ่นน้องไอ้อ้วนวิน” ธาวินแนะนำตัวให้เขาเสร็จสรรพ ริมฝีปากหยักสวยยิ้มยก นัยน์ตาเป็นประกายอย่างคนอารมณ์ดี “ไง น่ารักหรือเปล่า”

   คนถูกถามไม่ได้พูดอะไรได้แต่ยักหัวไหล่เท่านั้น ธาวินถือวิสาสะสอดกายนั่งลงที่โต๊ะอาหาร “ฉันว่าเรานั่งกินตรงนี้ดีกว่า โต๊ะอื่นเต็มหมดแล้ว”

    “แต่พวกผมนั่งอยู่” เมธัสแทรกขึ้น สีหน้าไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด “หรือถ้าพวกพี่อยากจะนั่งก็ได้ แต่ต้องรอให้ผมกินอิ่มก่อน”

    “ยีนส์!” ลลิตาขมวดคิ้วเตือนเพื่อน แล้วรีบหันไปยิ้มหวานไกล่เกลี่ยแทนเพื่อน “เรากำลังจะอิ่มพอดีเลย ใช่ไหมลูกเจี๊ยบ”

    “....อ่า...ครั...”

   “ยังไม่อิ่ม! ฉันอยากกินจะขนมต่อ ลูกเจี๊ยบนายอยากจะกินอะไรอีกไหมเดี๋ยวฉันไปซื้อให้ แต่นายต้องนั่งเฝ้าโต๊ะไว้นะเพราะเดี๋ยวจะมีพวกนิสัยไม่ดีมาแย่งไป” เมธัสไม่ยอมง่ายๆ ดวงตากลมโตตวัดมองรุ่นพี่อย่างไม่หวาดหวั่น

    นักรบยกมือขึ้นกอดอก ดวงตาคมใหญ่เหลือบมองคนพูดที่เป็นแค่รุ่นน้องปีหนึ่งตัวเล็กเท่าลูกหมา แต่กลับอวดเก่งกล้าต่อปากต่อคำทั้งที่เขาเป็นถึงรุ่นพี่ปีสาม ถึงจะต่างคณะแต่ด้วยมารยาทแล้วคนเป็นรุ่นน้องเคารพรุ่นพี่ทุกคน

    “ฉันเห็นด้วยกับไอ้ธาม เรานั่งกันที่นี่ก็ได้ ที่ตั้งกว้างพอนั่งอยู่แล้ว...พวกนายว่าไง”

    กรณ์ยักไหล่ไม่แสดงความคิด อันที่จริงแล้วเขาไม่ค่อยจะสนใจอะไรเท่าไรเพราะมัวแต่ดูหน้าจอโทรศัพท์ของคนรักในอ้อมแขน ส่วนผู้ชายตัวสูงอีกคนที่ดูยียวนกวนบาทาที่สุดพยักหน้าเออออ ดนตร์จำได้ว่าเป็นคนที่อยู่ในทีมบาสของกรณ์ด้วย เขาหลบตาวูบเพราะถูกผู้ชายตัวใหญ่สองคนมองมาพอดี...แน่นอนว่าไม่มีชื่อของกรณ์อยู่ในนั้น

    เมธัสกระแทกลมหายใจแสดงออกชัดเจนว่าหงุดหงิด ดวงตาค่อนข้างโตเพ่งมองรุ่นพี่ต่างคณะสามคนที่ถือวิสาสะแทรกกายนั่งลงยังฝั่งตรงข้าม ข้างๆ กับดนตร์เพราะมีที่ว่างเหลือมากที่สุด ส่วนคู่รักคู่ฮอตของมหาวิทยาลัยนั่งอยู่ฝั่งเดียวกับเขา

    เขารู้จักคนพวกนี้เพราะแก๊งนี้ขึ้นชื่อได้ว่าเป็นสี่จตุรเทพของมหาวิทยาลัย กรณ์ ธาวิน อริญชย์ และนักรบ คนสุดท้ายนี่เป็นคนที่เขาไม่ชอบหน้ามากที่สุดแต่อาจจะน้อยกว่ากรณ์นิดหน่อย

    “เพลง นายอยากกินขนมอะไรเดี๋ยวฉันไปซื้อให้” เขาเอ่ยถามเพื่อนรักที่นั่งนิ่งเหมือนโดนสาป

   “ไม่เป็นไรเดี๋ยวฉันไปเอง”

    “ไม่ได้! ถ้านายไปก็เสียที่นั่งสิ บอกมาจะกินอะไร ฉันกับลินจะไปซื้อให้”

   “ฉัน...เหรอ” ลลิตาใช้นิ้วชี้ที่ตัวเอง สีหน้าลำบากใจ

   “ใช่สิ เธอไปกับฉัน ส่วนนายเดี๋ยวฉันซื้อให้เอง นั่งอยู่นี่แหละ” เมธัสคิดและตัดสินใจให้เสร็จสรรพ ก่อนจะดึงเอามือลลิตาให้ลุกตามกันไป

    “นายพาฉันมาทำไม ทิ้งเพลงไว้คนเดียวแบบนั้นมันจะดีเหรอ” ลลิตาติงเพื่อนรัก หันไปมองเพื่อนอีกคนที่นั่งอยู่ท่ามกลางวงล้อมของรุ่นพี่ปีสามต่างคณะ

    “โง่หรือไง ขืนทิ้งเธอไว้กับไอ้พวกฮายีน่าก็แทะไม่เหลือซากสิ” เมธัสบอก ชั่วจังหวะหนึ่งที่เขาเอี้ยวตัวกลับไปมองที่โต๊ะกินข้าว เขาเห็นดวงตาใหญ่มองตรงมา เมธัสถลึงตาใส่อย่างไม่เกรงกลัวว่าอีกฝ่ายเป็นรุ่นพี่ปีสาม ใครจะกลัวจะเกรงก็ตามใจเถอะ แต่เมธัสคนนี้ไม่กลัวใครทั้งนั้น

     เมื่อลับร่างเพื่อนรักทั้งสองแล้ว ดนตร์เลยกลายเป็นไข่แดงท่ามกลางวงล้อมของรุ่นพี่ต่างคณะ แถมยังเป็นกลุ่มบุคคลที่คนในมหาวิทยาลัยให้ความสนใจมากที่สุด ดนตร์กลืนน้ำลายลงคอ รู้สึกถึงเม็ดเหงื่อที่ซึมแถวไรผม ถึงเขาจะนั่งริมสุดไม่ได้โดนเบียดอะไรมากนักแต่ก็ยังอึดอัดอยู่ดี

   คนที่นั่งติดกับเขาคือพี่ธาม ถัดไปคือนักรบ และอริญชย์ ส่วนฝั่งตรงข้ามที่เมธัสกับลลิตาเพิ่งลุกไป กรณ์กับคนรักนั่งอยู่ ทั้งคู่ดูเหมือนหลุดจากวงโคจรจากคนรอบข้าง โยษิตายื่นโทรศัพท์ให้กรณ์ดูแล้วหัวเราะคิกคัก

    “พวกพี่ๆ จะกินอะไรกันครับเดี๋ยวผมไปซื้อให้” เขาเสนอตัว บางทีการขันอาสาน่าจะดีกว่านั่งอยู่ตรงนี้ ทว่าธาวินกลับปฏิเสธ

    “ไม่เป็นไร เดี๋ยวพวกพี่ไปซื้อกันเอง แล้วลูกเจี๊ยบอิ่มแล้วเหรอ”

    “ครับ” เขารับคำง่ายๆ แม้ว่าข้าวในจานจะยังคงเหลืออยู่ก็ตาม

    “ไม่รีบไปไหนใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นนั่งเป็นเพื่อนกันหน่อยนะ” ธาวินชวน

    ดนตร์ทำหน้าลำบากใจ มันค่อนข้างจะพิลึกไปเสียหน่อยที่จะต้องนั่งอยู่ด้วย เขากับคนพวกนี้ไม่ได้สนิทกันเท่าไร เจอกันจริงจังแค่ครั้งเดียวเท่านั้น ถึงแม้ว่าทั้งธาวินและกรณ์จะเคยมีบุญคุณกับเขาก็ตาม เด็กหนุ่มแอบถอยหายใจเบาๆ ไม่รู้ว่าควรจะตอบรับหรือปฏิเสธดี

    “น้องมันจะกลับไปทำงานหรือเปล่า” อริญชย์ออกความเห็น พลางยื่นมือผ่านหน้าเพื่อนทั้งสองคนแล้วคว้าแก้วน้ำมะนาวปั่นของเขาไปดูดหน้าตาเฉย

    เจ้าของแก้วน้ำกะพริบตาปริบๆ เขาไม่ได้เป็นคนขี้เหนียวของกิน แต่มันเป็นแก้วที่เขากินแล้วถึงจะเหลือเกินครึ่งแก้วก็ตามแถมยังใช้หลอดเดียวกันอีก ถึงเขาจะไม่ใช่สาวน้อยช่างฝันที่คิดว่าการดูดหลอดเดียวกันจะเป็นการจูบทางอ้อม แต่ก็อดหน้าร้อนไม่ได้ ดูเหมือนว่าคนพวกนี้จะแสดงความสนิทสนมกับเขาเกินไปหน่อยแล้ว

    “ไอ้รันทำอะไรวะ หิวน้ำก็ไปซื้อเองสิ นั่นมันของน้องแถมยังไม่ขออีก เสียมารยาทว่ะ” ธาวินบ่นเพื่อนเสียงดัง ก่อนจะหันมาขอโทษเขาแทนเพื่อนของตัวเอง “พี่ขอโทษด้วยนะ เอาอย่างนี้เดี๋ยวพี่ไปซื้อให้ใหม่ น้ำนั่นน้ำอะไร ใช่มะนาวหรือเปล่า”

    “ไม่เป็นไรครับ ผมอิ่มแล้ว” ดนตร์ปฏิเสธ สาบานด้วยความสัตย์จริงเขาไม่ได้คิดเสียดายน้ำแก้วนั้นเลยจริงๆ แต่อีกฝ่ายก็ไม่ยอมดึงดันจะไปซื้อให้

    “แกไปกับฉันเลยไอ้รัน”

   “ไม่ไปได้ไหมวะ ขี้เกียจ” อริญชย์อิดออด แต่เมื่อเห็นสายตาอาฆาตของธาวินก็จำใจลุกขึ้นจากที่นั่ง

    “ฉันไปด้วย” นักรบพูดขึ้นแล้วลุกตามเพื่อนทั้งสองคนไป กลายเป็นว่าตอนนี้เหลือแค่ดนตร์กับหนุ่มสาวคู่รักที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเท่านั้น

    ความอึดอัดเบาบางลง เหลือแค่อาการแปลบๆ ในอกเท่านั้น ดวงตากลมเหลือบมองผู้ชายกับผู้หญิงที่นั่งเคียงข้างกัน ศีรษะของทั้งคู่แทบจะชนกัน หลายครั้งที่โยษิตาเงยหน้าขึ้นจากหน้าจอโทรศัพท์มือถือแล้วปลายจมูกของเธอเกือบจะชนกับแก้มของกรณ์ แล้วถ้าตาไม่ฝาดไปเขาเห็นรอยแดงช้ำที่ต้นคอของกรณ์ ดนตร์หลุบตาลงเพราะรู้สึกว่าตัวเองกำลังไร้มารยาทมากเกินไปแล้ว

    เขาชะเง้อชะแง้มองหาร่างของเพื่อนรักทั้งสองที่หายไปพักใหญ่แล้ว แต่ก็ไม่เห็น ดนตร์ดึงเอาโทรศัพท์มือถือออกมาเล่นบ้าง อาการอยากอาหารหมดไปตั้งแต่เห็นกลุ่มรุ่นพี่ปีสามพวกนี้แล้ว นิ้วมือกดแป้นบนหน้าจอโทรศัพท์ส่งความคิดถึงไปให้พี่สาวที่อยู่จังหวัดบ้านเกิด ร่วมปีแล้วที่เขาไม่ได้กลับไปบ้านเลย ตั้งใจว่าปิดเทอมใหญ่เขาจะต้องกลับไปกอดพ่อแม่กับพี่สาวให้ได้

    “กรณ์คะ ยาหยีปวดท้องฉี่ เดี๋ยวมานะคะ”

    “ให้ไปเป็นเพื่อนไหม”
 
   “จะบ้าเหรอ ไม่ต้องเฝ้าขนาดนั้นก็ได้ ไม่หนีไปไหนหรอกน่า”

    บทสนทนาดังลอดเข้าในความคิด ฉุดรั้งความสนใจของเขาโดยอัตโนมัติ ดนตร์เงยหน้าขึ้นจากโทรศัพท์ ชั่ววินาทีสั้นๆ เขาเห็นดวงตาคมเฉี่ยวมองมาพอดี ผิวแก้มร้อนวูบ เขารีบหลุบตากลับลงที่เดิมทันที

    ราวกับรอบกายจะตกอยู่ในความเงียบไปชั่วขณะ เสียงพูดคุย เสียงช้อนกระทบจาน หายไปอย่างไร้ที่มา แก้วหูของเขาจับได้แต่คลื่นเสียงจากคนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเท่านั้น ทั้งการขยับขา เปลี่ยนท่า นั่นล้วนแล้วแต่ตกอยู่ในการได้ยินของเขาทั้งสิ้น

    ...เขาต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ...

    โยษิตาไม่อยู่ตรงนั้นแล้วนั่นหมายความว่าทั้งโต๊ะเหลือแค่เขากับกรณ์เท่านั้น ดนตร์ใช้มือที่สั่นน้อยๆ ของตัวเองดึงเอาหูฟังออกมาเสียบแล้วยัดเข้าไปในหูตัวเอง เร่งเสียงจนแน่ใจว่าจะได้ยินเสียงจากที่ใดอีก นานร่วมนาทีเขาก็สงบลง เขาใช้บทเพลงกล่อมให้ตัวเองจดจ่อกับจังหวะและเสียงร้องเท่านั้น แต่แล้วหูฟังข้างหนึ่งก็โดนกระชากเต็มแรง 

   “หูหนวกหรือไง! ฉันคุยกับนายอยู่นะ!”

    ดวงตากลมถ่างกว้างสุดเท่าที่มันจะทำได้ ใบหน้าของกรณ์อยู่ห่างไม่ถึงคืบดี ตาคมเฉี่ยวฉายแววไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด อยู่ใกล้เสียจนเขาได้กลิ่นน้ำหอมราคาแพง ดนตร์เอียงตัวหลบรู้สึกถึงอันตรายที่กำลังมาเยือน

    “พี่...มีอะไรกับผม...เหรอครับ”

    “หึ” กรณ์หัวเราะขึ้นจมูก ยังคงเท้ามือบนโต๊ะแล้วชะโงกเข้ามาใกล้เช่นเดิม “ช่างมันเถอะ...คนอย่างนายไม่สมควรได้ยินมันซ้ำสองหรอก”

   ความตกใจเมื่อครู่ถูกแทนด้วยความโกรธ เขาไม่เข้าใจว่าทำไมกรณ์ต้องทำเหมือนไม่พอใจเขาตลอดเวลา ไม่ว่าจะครั้งไหนก็มักจะพูดจาไม่ดีใส่เขา แม้แต่ครั้งนี้ก็ด้วย

    “ผมไปทำอะไรให้พี่เหรอครับ พี่ถึงได้ทำเหมือนเกลียดผมนักหนา”

    กรณ์เงียบไป ใบหน้าหล่อจัดยังคงอยู่ที่เดิมมีแค่ดวงตาที่แข็งกร้าวขึ้น ไม่มีคำตอบให้กับคำถาม เขาก็ไม่จำเป็นต้องทวงถามอีก ก็ดีเหมือนกัน กรณ์เกลียดเขาอย่างนี้ เขาจะได้มีเหตุผลให้ตัวเองเลิกหวั่นไหวเสียที

    ดนตร์เก็บหูฟังลงกระเป๋าสะพายพร้อมกับโทรศัพท์มือถือ เขาไม่สนใจแล้วว่าใครจะไปซื้ออะไรที่ไหน เขาต้องการไปตรงนี้ให้เร็วที่สุด ร่างเล็กผุดลุกขึ้นแต่ก่อนที่จะได้ก้าวไปไหนแขนก็ถูกคว้าเสียก่อน

    “จะไปไหน!”

    “เรื่องของผม” ดนตร์สะบัดแขน แล้วก็ต้องเบ้หน้าเพราะมันเป็นข้างที่ได้รับบาดเจ็บเมื่อหลายวันก่อน ถึงจะอาการจะดีขึ้นเพราะฝีมือของว่าที่คุณหมอจันทร์ทิวาแล้ว แต่เพราะการเคลื่อนไหวที่เร็วเกินทำให้มันเจ็บจี๊ดขึ้นมา ผู้คนรอบข้างต่างหันมองด้วยความสนใจ

(มีต่อค่ะ)

ออฟไลน์ libra82

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 285
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +236/-5
       “อวดเก่งดีนัก”

    “ผมไม่ได้อวดเก่ง ผมแค่อยากกลับไปเรียน ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมขอตัวก่อนนะครับ”

    “ตามใจ ฉันเองก็ไม่อยากอยู่กับนายนักหรอก อยู่ด้วยทีไรเดือดร้อนทุกที”

    ดนตร์ระงับความโกรธไว้เต็มกำลัง เขาเดินออกไปจากตรงนั้น ใบหน้าร้อนผ่าว ได้ยินเสียงหวีดหวิวของลมในหู แต่เดินไปได้ไม่กี่ก้าวปลายจมูกก็กระแทกกับบางอย่างเข้าเสียก่อน

   “อ้าว! จะไปไหนล่ะ ฉันซื้อน้ำมะนาวปั่นมาให้นายแล้วนะ”

    “ไม่เป็นไรครับ ผมไม่อยากกินแล้ว พี่กินเองไปเลย” ดนตร์ตัดบท ก้าวขาจะขยับหนีแต่อีกฝ่ายไม่ยอม ใช้รูปร่างที่สูงใหญ่กว่าบังทางเอาไว้ “พี่ครับ ผมรีบ”

    “รีบถึงขนาดจะรับน้ำจากฉันไม่ได้เลยหรือไง”

   “ผมไม่อยากกินแล้ว” ดนตร์ปฏิเสธ ทั้งโกรธทั้งหงุดหงิดไปหมด ตากลมมีแววขุ่นเคืองมองผู้ชายตรงหน้าอย่างไม่พอใจ

    “เอาไป ฉันซื้อให้นายแล้ว” แก้วน้ำถูกยัดใส่มาในมือ ก่อนที่เจ้าของจะเดินผ่านร่างไป

    ดนตร์หายใจแรง หันหลังกลับไปมองแผ่นหลังกว้างของอริญชย์ แต่สายตาเจ้ากรรมดันไปปะทะกับร่างของอีกคนที่ทำให้เขาโกรธจนลมออกหู เด็กหนุ่มสะบัดหน้ากลับ ในเมื่อเกลียดกันเขาก็จะไม่เอาหน้ามาให้เห็นอีก ดนตร์สาบานต่อหน้าน้ำมะนาวปั่นในมือเลย!



    เพราะหนีกลับมาก่อนดนตร์เลยถูกเพื่อนทั้งสองเทศน์ชุดใหญ่ จับใจความได้คร่าวๆ ว่า นักรบตามไปกวนโทสะเมธัสถึงร้านขายขนม ท่าทางเพื่อนของเขากับรุ่นพี่คนนี้คงจะไม่ลงรอยกันเท่าไรทั้งที่เพิ่งเจอกัน ดนตร์ถอยหายใจยาว ดวงตากลมเหม่อมองไปบนท้องฟ้ายามเย็นจัด แสงสุดท้ายของวันกำลังจะหมดไปในอีกไม่กี่นาที ใครก็ว่ามันเป็นเวลาที่หดหู่ที่สุด รอยต่อระหว่างกลางวันและกลางคืน เป็นช่วงที่คนมักจะทำเรื่องเลวร้ายโดยไม่รู้ตัว แต่สำหรับเขาแล้วกลับมองว่ามันสวยงาม เมฆเป็นสีน้ำเงินเข้ม ที่ปลายฟ้ามีแสงสีส้ม เขาชอบมองตอนที่ทุกอย่างกำลังจะถูกความมืดกลืนกิน

    ดนตร์ลุกขึ้นจากสนามหญ้าริมบึงหน้าคณะ เขามานั่งปลดปล่อยอารมณ์ตรงนี้ตั้งแต่บ่ายสี่โมงเย็น เพื่อนรักทั้งสองคนต้องไปพบกับรุ่นพี่เพื่อคุยเรื่องกิจกรรมของคณะ คนไม่สำคัญอย่างเขาเลยถูกลอยแพ ถ้าเป็นเวลาปกติเขาคงไปสิงอยู่ที่ชมรม แต่วันนี้เขาไม่มีกะจิตกะใจจะไปที่ไหนทั้งนั้นเลยมานั่งมองแม่น้ำ ท้องฟ้าเล่น

    ไฟจากตึกเรียนเปิดให้ความสว่างลดความน่ากลัวลงไป เขาไม่ได้กลัวความมืด แต่เขากลัวสิ่งที่อยู่ในความมืดมากกว่า อะไรที่มองไม่เห็นมันน่ากลัวเสมอ โดยเฉพาะความรู้สึก

    เขารู้สึกผิดที่ทำกิริยาไม่ดีกับอริญชย์ทั้งที่อีกฝ่ายไม่ได้ทำอะไรผิด แต่เพราะโกรธกรณ์เขาเลยเผลอแสดงด้านไม่ดีออกไป ดนตร์ถอยหายใจอีกครั้งเอาไว้มีโอกาสเขาจะไปขอโทษอริญชย์ น้ำมะนาวปั่นแก้วนั้นถูกเมธัสจัดการเรียบหลังจากที่เทศน์เขาเสียจนคอแห้ง

    สองเท้าก้าวเดินเอื่อยๆ ไปบนผืนหญ้านุ่ม อีกไม่กี่วันก็เข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว อากาศเย็นเร็วกว่าปกติ มือเรียวกระชับเสื้อฮู้ดสีเทาให้แน่นกว่าเดิมแต่มันก็ไม่ได้ช่วยให้คลายหนาวเท่าไรนัก ดนตร์เดินไปตามทางเท้าที่ทอดตัวไปสู่หอพักนักศึกษา เพื่อนร่วมคณะหลายคนยังจับกลุ่มทำการบ้านบ้าง รายงานบ้าง บางคนเงยหน้าขึ้นมาทักทาย บางคนก็ทำเหมือนเขาไม่มีตัวตน ซึ่งก็ไม่แปลกนักเพราะเขามันเป็นคนน่าเบื่อ ไม่น่าสนใจ ลมหายใจเย็นๆ ปะปนไปในอากาศเย็นชื้น เขาเริ่มจะคัดจมูกนิดๆ ที่จริงแล้วเขากับฤดูหนาวไม่ค่อยถูกกันเท่าไร ลมหนาวมาทีไรมีอันต้องนอนซมทุกที เพราะอย่างนี้เขาถึงได้ชอบเล่นกีฬาเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง แต่มันก็ช่วยได้ไม่เท่าไรนัก เขากำลังจะเดินผ่านคณะของตัวเองในอีกไม่กี่ก้าว แต่ชื่อของเขาก็ดังขึ้น

   “ลูกเจี๊ยบอ่า~”

    แค่ชั่วอึดใจเดียวเจ้าของเสียงก็ปรากฏตัว ชนวีร์ยิ้มร่าอารมณ์ดี ร่างอวบใหญ่เหมือนหมีในชุดพร้อมสู้กับลมหนาว คิ้วดำของดนตร์ขมวดฉับเขาไม่ค่อยชอบให้ใครเรียกชื่อนี้เท่าไรนัก มันฟังดูเหมือนเด็กน้อย

    “พี่วิน อย่าเรียกผมแบบนี้ได้ไหม”

   “ทำไมล่ะ น่ารักจะตาย” บุรุษตัวอ้วนใหญ่ไม่ได้ยี่หระกับคำปรามเท่าไรนัก

    “มันฟังแล้วปัญญาอ่อนพิกล” ดนตร์บอก คิ้วยังขมวดเหมือนเดิม

   “นายเป็นเด็ก เรียกอย่างนี้น่ะดีแล้ว ไอ้ไฟยังเรียกฉันว่าลูกหมูเลย” ดนตร์เกือบจะกลอกตาบน เขาไม่แน่ใจหรอกว่าความสัมพันธ์ระหว่างรุ่นพี่ตัวอ้วนกับพี่ไฟมันคืออะไร แต่จากความรู้สึกทั้งสองไม่ใช่แค่เพื่อนกันธรรมดาแน่นอน แล้วก็ไม่ใช่เรื่องที่สมควรถามด้วย

   “พอๆ เลิกคุยเรื่องไร้สาระก่อน” ชนวีร์โบกมือในอากาศ “นายว่างหรือเปล่า ฉันจะให้นายไปช่วยงานหน่อย”

   “งาน? อะไรเหรอครับ”

    “ถ่ายหนังสั้น ตอนนี้มีโครงการประกวดหนังสั้นของนักศึกษา ฉันตั้งใจว่าจะส่งเข้าประกวด นายไปช่วยฉันหน่อยได้ไหม”

    “เอาสิครับ แล้วจะให้ผมช่วยทำอะไร” ดนตร์รับคำ การช่วยงานชนวีร์นับว่าเป็นการฝึกฝีมือตามสายงานที่เรียนไปด้วยในตัว

    “เริ่มจากคืนนี้เลย ฉันอยากให้นายช่วยพิมพ์บทให้”

    ครั้งนี้ชนวีร์ไม่รอให้เขาตอบตกลง มืออูมคว้าข้อมือแล้วลากเขาไปชมรมขณะที่ท้องของเขากำลังร้องขออาหารอย่างหนัก...



    บรรยากาศในชมรมคึกคักผิดปกติ ทุกคนดูกระตือรือร้นเพราะผลงานชิ้นนี้จะได้ส่งประกวดในระดับประเทศ แต่ละคนมีหน้าที่ของตัวเอง ส่วนเขาเป็นเบ้คอยรับใช้ชนวีร์ ทำทุกอย่างที่อีกฝ่ายต้องการและเรียกใช้ แค่บอกว่าพิมพ์บทมันโกหกชัดๆ เพราะตอนนี้รุ่นพี่ตัวอ้วนกำลังให้เขาเสิร์ชหาสถานที่จากอินเทอร์เน็ต หลังจากที่เหล่ารุ่นพี่ประชุมกันแล้วได้ข้อสรุปว่าจะทำหนังสั้นเกี่ยวกับความรักของหนุ่มสาวที่อยู่ในวัยทำงาน สื่อสารผ่านตัวหนังสือที่เขียนลงกระดาษ แทนการใช้สมาร์ทโฟน แต่แน่นอนว่ายังหาตัวแสดงไม่ได้ เพราะถึงจะเรียนอยู่คณะนิเทศน์ศาสตร์ แถมยังอยู่ชมรมการแสดง ทว่าไม่มีใครที่ชนวีร์จะถูกใจ ไม่ใช่แค่ฝีมือการแสดงเท่านั้นแต่ยังรวมไปถึงรูปร่างหน้าตาที่เหมาะสมกับบทด้วย

   “นายว่าหมอนี่เหมาะกับบทไหม” ชนวีร์ยื่นรูปของสมาชิกในชมรมให้ดู ดนตร์ใช้ตาทั้งสี่มอง เขาจำชื่อคนในรูปไม่ได้แต่ก็หน้าตาหล่อใช้ได้ พอจะพยักหน้าให้ความเห็นอีกฝ่ายก็เปลี่ยนใจ “ไม่เอาดีกว่า หน้าเด็กไปใครจะเชื่อว่าทำงานแล้ว”

    ดนตร์ถอยหายใจ เขาเหลือบมองนาฬิกาที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ อีกไม่กี่นาทีก็จะสามทุ่มแล้ว เขาหิวจนแสบไส้ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยตั้งแต่มื้อเที่ยง

   “พี่วิน ผมออกไปหาอะไรกินหน่อยนะ หิวมากเลย”

    “หิวเหรอ งั้นเอานี่ไป” ชนวีร์ดึงเงินออกมาจากกระเป๋า ยื่นแบงค์ที่มีมูลค่ามากที่สุดให้เขา ดนตร์มองด้วยความงุนงง “เอาไปซื้ออะไรกิน แล้วซื้อเผื่อฉันกับคนอื่นๆ ด้วย”

    “แล้วพี่ๆ จะกินอะไรกันล่ะครับ”

    “อะไรก็ได้ กินง่ายๆ รีบไปสิ ท้องนายร้องตั้งแต่ตอนมาด้วยกันแล้วไม่ใช่เหรอ”

    ดนตร์ยิ้มแหย รับเงินจากชนวีร์แล้วออกไปยังร้านสะดวกซื้อที่อยู่ใกล้ที่สุด

    ว่าที่ผู้กำกับหน้าใหม่ไฟแรงครุ่นคิดอยู่นานสองนาน เขาไม่อาจเลือกคนที่ถูกใจได้แม้ว่าหลายคนจะมีฝีมือจนน่าทึ่ง แต่รูปร่างหน้าตากลับไม่ดึงดูดพอ ชนวีร์ถอยหายใจหนักหน่วง บทเสร็จเรียบร้อยแล้ว ด้วยความเป็นหนังสั้นเลยไม่มีอะไรซับซ้อนนักแต่ที่ทำให้ต้องหน้านิ่วคิ้วขมวดเพราะหาคนที่มาเล่นไม่ได้...ใครกันที่จะมีเสน่ห์มากพอที่จะทำให้หนังของเขาน่าสนใจได้ ใครกันที่จะมาสวมบทหนุ่มออฟฟิศได้อย่างแนบเนียน ใครกันที่มีชื่อเสียงพอที่จะทำให้หนังของเขาถูกกล่าวขาน...ใครกัน?

    กรณ์!

    จู่ๆ ชื่อของลูกพี่ลูกน้องก็ผุดเข้ามาในความคิด จริงสิ! เขาลืมกรณ์ไปได้อย่างไร ทั้งที่เป็นคนใกล้ตัวแท้ๆ ลักษณะภายนอกของกรณ์แทบจะตรงกับบทที่เขียนไว้ เหลือแค่ฝีมือการแสดงเท่านั้น แต่เขาเชื่อว่าคนอย่างกรณ์ถ้าลองตั้งใจไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ ชนวีร์ยิ้มกริ่มขณะที่นิ้วอวบกลมจิ้มลงไปที่หน้าจอโทรศัพท์มือถือ ต่อสายถึงคนที่นึกถึงทันที

    “กรณ์ นายว่างไหม มาคุยกันหน่อยสิตอนนี้เลย เดี๋ยวฉันเลี้ยงเหล้า ไม่ใช่ๆ ร้านเหล้า มาที่ชมรมฉันเลย โอเคนะ”



 
    ดนตร์กลับมาพร้อมกับขนมถุงใหญ่ เขาไม่รู้ว่าใครอยากจะกินอะไรเลยขนซื้อมาเท่าที่จะคิดออก ส่วนของตัวเองก็มีขนมปังก้อนใหญ่ นม 1 ลิตร และมันฝรั่งอีกถุง โดยไม่ลืมซื้อเหล้ามาด้วยเพราะชนวีร์โทรมาสั่งเพิ่มเติมภายหลัง ชมรมยิ่งคึกคักกว่าเดิมเสียอีก โดยเฉพาะพวกสาวๆ เกาะกันเป็นกลุ่ม ส่งเสียงซุบซิบ ตาแพรวระยับ แต่เขาหิวเกินกว่าจะถามว่ามีเรื่องน่ายินดีอะไรหรือเปล่า

    “ทุกคนผมเอาขนมมาให้ครับ” เขาร้องบอกพอเป็นพิธี ดึงส่วนของตัวเองพร้อมกับของกินอีก 3-4 อย่างและเหล้าอีก 2 ขวดออกมา แล้ววางที่เหลือไว้บนโต๊ะให้กับสมาชิกของชมรม ก่อนจะเดินไปหาชนวีร์ที่อยู่ในห้องที่กั้นเอาไว้ “พี่วินผมซื้อขนม...”

    คำพูดหยุดแค่ในลำคอ ดวงตากลมเบิกกว้างด้วยความตกใจ จนเกือบทำขนมในมือร่วง ในห้องไม่มีได้มีแค่ร่างอวบอ้วนของชนวีร์แต่ยังมีใครอีกคนอยู่ด้วย...กรณ์

    “ว่าไงมาแล้วเหรอ มาๆ ฉันกำลังหิวพอดี นายซื้อเหล้ามาหรือเปล่า” ชนวีร์กวักมือรัว พลางพยักพเยิดให้เขานั่งลงบนโซฟาที่ยังมีพื้นที่เหลือโดยมีกรณ์นั่งอยู่ก่อนแล้ว

    ดนตร์ยังยืนนิ่ง จนกระทั่งชนวีร์เรียกอีกครั้งถึงจะก้าวขาได้ เขาวางขวดเหล้ากับขนมลงบนโต๊ะหน้าโซฟาก่อนจะย่อกายนั่งลงกับโซฟาหนังสีดำ พยายามไม่ให้มันยวบตัวลงไปมากนักเพราะถึงตอนนี้คนที่เขาปะทะฝีปากไปเมื่อตอนกลางวันยังไม่ได้หันมามองหน้ากันแม้แต่นาทีเดียว เขาหยิบขนมปังขึ้นมากินเงียบๆ ถึงจะตกใจแต่ยังไม่ลืมหิว พอรู้สึกว่ามันฝืดคอก็เปิดนมขึ้นดื่ม ขณะที่หูคอยฟังรุ่นพี่สองคนคุยกัน

   “ฉันไม่เคยเล่นหนัง ถ้าหนังนายล่มอย่ามาโทษกันนะ”

    “ไม่หรอกน่า นายเก่งจะตาย ฉันจำได้นะว่านายเคยแสดงละครเวทีตอนเรียน ม.6 ตีบทโรมิโอซะแตกกระจุย บทนี้ง่ายกว่าโรมิโอซะอีก”

    “อย่ามายอ แล้วฉันต้องเล่นกับใคร”

   “ยังไม่รู้ แต่ฉันว่าลินพอใช้ได้”

   “ลิน? ยัยนมแบนนั่นน่ะนะ”

   แค่ก แค่ก แค่ก

   เสียงไอโขลกหยุดการสนทนา ทั้งชนวีร์และกรณ์ต่างหันมามองคนที่กำลังไอหน้าดำหน้าแดง ดนตร์ยกมือทุบอกตัวเอง ทั้งขนมปังและนมเข้าไปติดในหลอดลมหลังจากได้ยินประโยคร้ายกาจจากกรณ์ สาบานเลยว่าถ้าลลิตารู้ต้องร้องกรี๊ดแน่นอน จะมีผู้หญิงคนไหนในโลกนี้ที่โดนปรามาสเรื่องสัดส่วนของตัวเอง

    “เป็นอะไรหรือเปล่า”

   “ไม่เป็นไร...ครับพี่” ดนตร์ตอบ จมูกแดงจัด น้ำตาคลอเบ้าจนต้องถอดแว่นแล้วใช้ปลายนิ้วเช็ดหยดน้ำ เด็กหนุ่มสูดจมูกเสียงดัง แล้วยกนมขึ้นดื่มอึกใหญ่เพื่อช่วยบรรเทาอาการสำลัก

   ชนวีร์ผ่อนลมหายใจคลายความเป็นห่วง ก่อนจะหันกลับมาสนทนากับลูกพี่ลูกน้องต่อ “ตกลงนายรับเล่นนะ เดี๋ยวฉันส่งบทให้”

    กรณ์พยักหน้าส่งๆ ยังไม่มั่นใจนักหรอกว่าตัวเองจะทำได้ดีพอกับที่ชนวีร์ไว้วางใจหรือเปล่า แต่เขาก็เป็นเสียอย่างนี้ ปฏิเสธใครไม่ค่อยเป็น

    “ขอบใจมากพี่ชาย~ มาๆ กินเหล้าฉลองกันหน่อย” ชนวีร์ยิ้มกว้าง ทำท่าจะค้าขวดเหล้ามาเปิดเพื่อดื่มฉลองความสำเร็จเบื้องต้น แต่กรณ์กดมืออวบเอาไว้

    “ให้รุ่นน้องสุดที่รักของนายเปิดให้สิ”

    “ทำไมต้องให้ลูกเจี๊ยบทำ เรื่องแค่นี้ฉันทำเองได้น่า”

   “แต่ฉันอยากให้ลูกเจี๊ยบของนายเป็นคนเปิด” กรณ์กดเสียงต่ำ ดวงตาคมเรียวเหลือบมองเด็กสี่ตาที่นั่งอยู่ฝั่งขวามือของตัวเอง

    “แต่ฉันว่า...”

   “นายอยากได้พระเอกใหม่ไม่ใช่เหรอ...วินนี่”

    “ผมเปิดเองครับ”

    คนที่ถูกกล่าวถึงเอ่ยแทรกขึ้น มือเรียวคว้าเหล้าทั้งสองขวดมาถือไว้ แล้วใช้รอยจีบของฝาปิดเกี่ยวกันออกแรงดึงจนมันเปิดออก ดนตร์กระแทกเหล้าลงบนโต๊ะ ไม่สนใจหรอกว่าแรงดันจะทำให้เหล้าหกหรือเปื้อนอะไรบ้าง ตากลมหลังเลนส์มองคนที่ออกคำสั่ง คนที่ทำตัวอยู่เหนือคนทั้งโลก เขาโกรธกรณ์ แต่ที่โกรธมากกว่าคือตัวเองที่ไม่อาจตอบโต้อะไรกลับไปได้ กรณ์ไม่เพียงแต่ไม่ชอบหน้าเขายังจงใจแกล้งกันอีกด้วย!

    กรณ์ลอบยิ้มจนข้างแก้มกดลึกเป็นรอยบุ๋ม มือเรียวยาวจับขวดเหล้าขึ้นดื่มทั้งอย่างนั้น ของเหลวรสฝาดแกมหวานบาดลึกไหลผ่านลิ้นและลำคอ เขารู้สึกว่าเหล้าขวดนี้รสชาติดีกว่าที่เคยดื่มมา ยิ่งได้เห็นหน้าขาวๆ ของเจ้าสี่ตาระเรื่อขึ้นด้วยความโกรธมันยิ่งทำให้การดื่มเหล้าคล่องคอกว่าเดิม

   ไอ้เจ้าเด็กจอมอวดดีนี่ไม่รู้หรอกว่าหลังจากที่หักหน้าเขาด้วยการเดินหนีไปดื้อๆ มันสร้างความขุ่นเคืองให้เขาแค่ไหน ทั้งที่เขาเป็นห่วงแท้ๆ ยอมรับว่าหัวเสียไม่น้อยตอนที่เอ่ยปากถามไปว่าหายป่วยแล้วหรือยัง แต่เจ้าตัวกลับไม่ได้ยินเพราะมัวแต่ฟังเพลงบ้าบออยู่ พอเขากระชากหูฟังออกก็ทำหน้าเหลอหลา แล้วจะให้คนอย่างกรณ์พูดซ้ำมันไม่มีทางเป็นไปได้ จากนั้นดนตร์ก็ระเบิดอารมณ์ใส่ คิดว่าเขาตั้งแง่รังเกียจตัวเอง

    ถึงเขาจะไม่ได้พิศวาสเจ้าแว่นสี่ตาเท่าไรนัก แต่จะใช้คำว่าเกลียดหรือรังเกียจมันออกจะเกินไปหน่อย เขาแค่หงุดหงิดใจเล็กๆ ที่เห็นไอ้ธามทำท่าดีใจเกินเหตุตอนที่เจอกัน แถมมันยังพูดถึงรุ่นน้องต่างคณะไม่หยุด จนทั้งอริญชย์กับนักรบอยากจะเจอไอ้เด็กสี่ตาคนนี้ เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าธาวินไปสะดุดตาสะดุดใจดนตร์เข้าตอนไหน ทั้งที่อีกฝ่ายไม่ได้มีอะไรน่าสนใจสักนิด ก็แค่เด็กผู้ชายธรรมดา ใส่แว่นทรงเชยบรม และดูน่าเบื่อ

    สรุปว่าเพราะความ ‘เยอะ’ เกินไปของธาวินบวกกับท่าทางอวดดีของดนตร์ทำให้เขาไม่ค่อยพอใจเท่าไรนัก เหตุผลเท่านี้ก็น่าจะเพียงพอแล้วสำหรับคนอย่างกรณ์แล้ว

     ชายหนุ่มอมยิ้มอีกครั้งแล้วกระดกเหล้าเข้าปาก ตาคมมองไปยังถุงขนมห่วยๆ ที่อยู่ตรงหน้า เขาหยิบมันขึ้นแล้วโยนใส่ตักคนที่นั่งอยู่ข้างๆ

    “ฉันอยากกิน แกะให้ด้วย”

    “ทำไมผมต้องทำ!” ดนตร์กัดฟันถาม

    “ถ้าไม่ทำฉันก็จะไม่เล่นหนังให้พี่วินของนาย” กรณ์เล่นแง่ ดูเหมือนว่าเขาจะได้กลิ่นนมอ่อนๆ จากตัวของอีกฝ่ายด้วย

    “ไอ้...!”

    ฟันขาวขบกลีบปากล่างจนน่ากลัวจะช้ำ ตากลมขุ่นจัด ระงับความโกรธไว้เต็มที่ แต่คนที่กำลังอารมณ์ดีไม่ได้ยี่หระสักนิด…

   
                                                              *********************************

อัพก่อนเวลา ไม่ว่ากันเน้อออออออ

ออฟไลน์ แม้วธวัลหทัย

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
มาแล้ววววว พี่กวางรีบมาต่ออออออ ค้างงง กรณ์ปากร้ายจริมๆ ลูกเจี๊ยบอย่าไปยอม สู้เค้าาาาา!!!!!!!

ออฟไลน์ ป่ามป๊ามป่ามปาม

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 483
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
อิพี่กรณ์ก็แกล้งน้อง

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
นิสัยไม่ดีจริง ๆ เลย

ออฟไลน์ libra82

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 285
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +236/-5
Chapter 3 หน้าที่ของดนตร์   


    ดนตร์ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าการตกปากรับคำจะนำพาซึ่งความเหนื่อยยากมาให้ ตั้งแต่ทำทุกอย่างที่ชนวีร์สั่ง กระทั่งวิ่งซื้อบุหรี่ รวมไปถึงติดต่อนักแสดงนำฝ่ายหญิง ลลิตาได้รับการเสนอชื่อและมีมติเป็นเอกฉันท์ว่าเหมาะกับบทนางเอกที่สุด แม้ว่าเจ้าตัวจะเพิ่งเรียนปีหนึ่งแต่ทักษะการแสดงไม่น้อยเลย ส่วนเรื่องอายุไม่ใช่ปัญหา แค่แต่งหน้าทำผมสักหน่อยก็ใช้ได้

    ลลิตาไม่ได้ตอบตกลงในทันที เธอลังเลเพราะยังไม่เชื่อในฝีมือของตัวเองนัก เกรงว่าจะทำได้ไม่ดี หน้าที่อีกอย่างของเขาคือการให้กำลังใจ โดยมีกองกำลังเสริมเป็นเมธัส หลังจากใช้เวลาไตร่ตรองอยู่สองวันลลิตาก็ตอบตกตกลง แต่เมื่อรู้ว่าต้องเล่นกับกรณ์ก็ทำท่าจะปฏิเสธอีก เขาเลยต้องเกลี้ยกล่อมอีกรอบ ทว่าสุดท้ายก็ยอมรับบทนางเอกคู่กับกรณ์

   สถานที่เขาเลือกไว้จากในอินเทอร์เน็ตเพื่อใช้ในการถ่ายทำ เป็นออฟฟิศอยู่ไม่ห่างจากมหาวิทยาลัยมากนัก ชนวีร์ระบุมาว่าต้องเป็นออฟฟิศที่อยู่ใกล้กัน สามารถมองเห็นอีกฝั่งได้โดยผ่านกระจกหรือบานหน้าต่าง เพราะหนังจะเล่าเรื่องโดยมีแค่ตัวหนังสือที่พระเอกและนางเอกเขียนใส่กระดาษเพื่อใช้สื่อสารกัน ข้อความสั้นๆ ง่ายๆ แต่เต็มไปด้วยความรู้สึก เขาเคยมาดูสถานที่จริงกับชนวีร์และอัคคีอยู่สองครั้ง โชคดีที่ผู้กำกับตัวอ้วนพอใจ แต่การติดต่อขอใช้สถานที่ไม่ใช่เรื่องง่ายโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเด็กที่ยังเป็นแค่นักศึกษา ความน่าเชื่อถือเลยถูกลดลงไปโดยปริยาย จึงจำเป็นต้องให้พ่อของชนวีร์มาช่วยเจรจา เขาถึงได้รู้ว่าที่จริงแล้วครอบครัวของชนวีร์มีบารมีพอตัว เช่นเดียวกับตระกูลวรเกียรติ์สกุลของกรณ์

    เรื่องราวของกรณ์ถูกถ่ายทอดมาให้รู้เป็นระยะจากปากคนใกล้ชิด ชนวีร์เคยเล่าให้เขาฟังว่า บิดาของกรณ์เป็นนักธุรกิจอยู่ที่เมืองใต้ กิจการใหญ่โตและร่ำรวยถึงขนาดที่มีกินมีใช้ไปหลายชาติ ด้วยสายเลือดของพ่อค้า บิดาของกรณ์ต้องการให้บุตรชายเพียงคนเดียวสืบทอดกิจการ ทว่ากรณ์ไม่ได้ชอบตัวเลขแต่ชอบวาดรูปมากกว่า ถึงกับมีปัญหากับบิดาเพื่อให้ได้เรียนในคณะที่รัก สองพ่อลูกมีปากเสียงกันรุนแรง กรณ์หยุดเรียนไปหนึ่งปี ทำตัวเกเรสารพัด จนในที่สุดคนเป็นพ่อก็ต้องยกธงขาว ยอมให้กรณ์ได้เรียนในสิ่งที่รัก

    แม้จะไม่อยากยอมรับ แต่ก็อดชื่นชมในความพยายามของกรณ์ไม่ได้ ถึงวิธีการต่อสู้จะไม่ดีนักแต่ก็ไม่ยอมทิ้งความฝัน แถมยังทำได้ดีอีกด้วย ผลงานหลายชิ้นของกรณ์ถูกพูดถึงในทางที่ดีและมีเอกลักษณ์ เขาเองก็เคยเห็นมาบ้างเหมือนกัน

    ดนตร์หอบหายใจแรงพลางใช้หลังมือปาดเหงื่อบนหน้าผาก แล้วใช้อีกมือจับคอเสื้อขยับเร็วๆ เพื่อหวังให้ลมเพียงน้อยนิดหน่อยช่วยบรรเทาความร้อน อีกไม่กี่วันก็เข้าสู่ฤดูหนาวแล้วก็จริง แต่เขากลับร้อนจนเหงื่อออก สาเหตุก็เพราะพระเอกกิตติมาศักดิ์ของชนวีร์อยากจะกินน้ำอัดลมขึ้นมา และก็ต้องเป็นเขาที่วิ่งจากชมรมไปร้านสะดวกซื้อ แต่พอมาถึงเจ้าตัวกลับบอกว่าไม่อยากกินยี่ห้อนี้ เขาเลยต้องวิ่งกลับไปซื้อใหม่ แล้วประวัติศาสตร์ก็ซ้ำรอย กรณ์ปฏิเสธอีกครั้งโดยรอบนี้ให้เหตุผลว่า

    ‘ฉันไม่กินน้ำส้ม’

    เขากลับไปที่ร้านสะดวกซื้ออีกครั้งแล้วกว้านซื้อทุกยี่ห้อ ทุกรสชาติ ยกเว้นน้ำส้ม ใช้เรี่ยวแรงที่ยังหลงเหลืออยู่อีกนิดหน่อยหิ้วถุงขนาดน้องๆ กระสอบมา แต่มาได้ไม่ถึงครึ่งทางพลังงานก็หมดลง เลยต้องหยุดพักมันตรงนั้น ร่างเล็กค่อยๆ ทรุดตัวไปบนพื้นหญ้านุ่ม ทั้งนิ้ว แขนและขาปวดล้าไปหมด ถึงจะชอบเต้น ชอบเล่นกีฬา แต่การที่ต้องวิ่งกลับไปกลับมาหลายรอบพ่วงด้วยการหิ้วขวดน้ำอัดลมร่วม 20 ขวด มันก็พรากเอาความแข็งแรงหลุดไปได้ง่ายๆ

   “มานั่งทำอะไรตรงนี้”

   ดนตร์เงยหน้ามองหาเจ้าของเสียง ใบหน้าหล่อเหลาไม่แพ้นายแบบในแมกกาซีน อยู่เหนือศีรษะพอดี เงาจากร่างที่สูงเกินหกฟุตช่วยบังแสงแดดอีกชั้นต่อจากเงาของต้นไม้ เขายิ้มให้ ขยับตัวเล็กน้อยเมื่ออีกฝ่ายย่อตัวนั่งลงข้างกัน

    “พักเหนื่อยครับ”

   “แล้วไปทำอะไรมา เหงื่อออกเต็มตัวเลย” ธาวินถามยิ้มๆ มองดวงหน้าผ่องใสของหนุ่มรุ่นน้อง ไรผมสีเข้มชื้นเหงื่อ ที่ปลายจมูกก็ด้วย

    “ซื้อของน่ะครับ ผมมันพวกสมองกลวงเลยต้องวิ่งกลับไปกลับมาหลายรอบ” ดนตร์เหน็บแนมตัวเอง ไม่อยากให้ธาวินรู้ว่าที่เขาต้องมานั่งหมาหอบแดดอยู่เป็นเพราะใคร

    “แล้วทำไมถึงต้องวิ่งกลับไปกลับมาล่ะ ซื้อผิดเหรอ”

   “ครับ” ดนตร์พยักหน้ารับ “แล้วพี่ธามจะไปไหนเหรอครับ”

   “มาตามกรณ์น่ะ งานล่าสุดมีปัญหานิดหน่อย อาจารย์อยากให้แก้” เขาเพิ่งสังเกตเห็นว่าธาวินถือกระดาษที่ม้วนเป็นทรงกลมยาวอยู่ด้วย “เห็นบอกว่าอยู่ชมรมภาพยนตร์ นายเจอมันบ้างไหม”

    “ครับ เขาอยู่ที่ชมรมผม”

    “มันไปทำอะไรที่นั่น”

    “ผมว่าให้เขาเป็นคนบอก...!”

    คำพูดหยุดค้างไว้แค่นั้น เมื่อธาวินเอื้อมมือมาเช็ดเหงื่อบนปลายจมูกให้ ดนตร์กระพริบตารัวด้วยความตกใจ เขาไม่ทันได้ตั้งตัวหรือแม้จะหันหน้าหนีด้วยซ้ำ

    “ไอ้ธาม!”

    นิ้วเรียวชะงักค้างกลางอากาศ เจ้าของมือปรารถนาดีเอี้ยวตัวมองหาคนเรียกชื่อตัวเอง กรณ์ยืนจังก้า ใบหน้านิ่งเฉย แต่ดวงตาดุดัน ร่างสูงสาวเท้าเข้ามาใกล้จนกระทั่งเกิดเงาทาบทับ ธาวินเงยหน้าจนคอตั้งตรงมองหน้าเพื่อนสนิท

    “ฉันกำลังจะไปหาแกที่ชมรมภาพยนตร์พอดี” ธาวินบอก ขณะที่ลดมือจากปลายจมูกชื้นของดนตร์

    “หาฉัน? ทำไม”

    “อาจารย์เบิร์ดฝากงานมาให้แก้น่ะ นายเปิดดูเองก็แล้วกัน” เขายื่นม้วนกระดาษให้อีกฝ่าย กรณ์รับไปด้วยใบหน้านิ่งเฉย เพราะคบกันมานานหลายปี ทำให้พอจะเดาได้ว่าตอนนี้กรณ์อารมณ์ไม่ค่อยดีเท่าไรนัก ชายหนุ่มลุกขึ้นจากสนาม ปัดเศษดินเศษหญ้าออกเล็กน้อย แล้วก้มมองอีกคนที่ยังนั่งจุ้มปุ๊กอยู่ที่เดิม “พี่ไปก่อนนะลูกเจี๊ยบ ไว้เจอกัน” ธาวินโบกมือลารุ่นน้องต่างคณะ ก่อนจะเดินผ่านร่างของเพื่อนสนิทไป

    ดนตร์ถอยหายใจยาว ไอร้อนคลายตัวลงอย่างรวดเร็ว ความเหนื่อยล้าถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกบางอย่างที่แทรกซึมเข้ามา เขาตอบตัวเองไม่ได้ว่าอาการเย็นวูบแถวต้นคอมันเรียกว่าอะไร เขาชันกายขึ้นจากพื้นโดยที่ยังไม่ได้มองผู้ชายอีกคนที่ยืนอยู่ไม่ห่างไปนัก คว้าถุงที่บรรจุขวดน้ำอัดลมขึ้นมาถือไว้

    “คุยอะไรกัน”

   “ครับ?” เด็กหนุ่มยกคิ้วสูงด้วยความสงสัย

    “คุยอะไรกับไอ้ธาม”

    “เปล่านี่ครับ” ดนตร์ปฏิเสธ เขาไม่อยากตอบโต้อะไรอีกเพราะไม่อยากถูกเกลียดไปมากกว่านี้ เด็กหนุ่มกระชับถุงน้ำอัดลมให้แน่นกว่าเดิม แต่ก็ต้องแปลกใจเมื่อคนตัวใหญ่กว่าฉวยมันไปจากมือของเขา “?!”

    “รีบไปซะที เสียเวลานานแล้ว”

    ปากเล็กแดงจัดอ้าค้างอยากจะปฏิเสธน้ำใจ แต่กรณ์ก็เดินนำไปไกลแล้ว ดนตร์ถอยหายใจยาวก่อนจะก้าวขาตามไปเงียบๆ...



    น้ำอัดลมที่โหมซื้อมาเพื่อประชดใครบางคนถูกแจกจ่ายให้กับสมาชิกในชมรม โดยที่คนร่ำร้องจะกินเอาไปแค่น้ำดำขวดเดียวเท่านั้น แถมยังเป็นรสชาติเดียวกับที่เขาซื้อมาในรอบแรกอีกด้วย ดนตร์แทบจะพ่นไฟออกจากปาก คำด่ามีเป็นร้อยในหัวแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากเก็บมันในอก เพราะอีกฝ่ายมีดีกรีเป็นถึงพระเอก ส่วนเขาก็แค่เบ๊ของชนวีร์

    ดนตร์วิ่งวุ่นระหว่างที่ลลิตากับกรณ์กำลังจะเริ่มต่อบทกันก่อนจะไปถ่ายทำในสถานที่จริง ตั้งแต่เช้าเขาเพิ่งกินโจ๊กไปแค่ถุงเดียว ท้องเริ่มร้องขออาหารแต่เขาก็เหนื่อยเกินกว่าจะเดินกลับไปที่ร้านสะดวกซื้อได้อีก จะกินน้ำอัดลมเลยก็เกรงว่ากระเพาะจะมีแผลมากกว่าเดิม เขาเลยต่อสายหาเมธัสให้เพื่อนสนิทช่วยซื้ออะไรมายาไส้ อีกฝ่ายรับปากแต่ต้องรออีกพักใหญ่เพราะกำลังประชุมอยู่กับรุ่นพี่

    ชนวีร์ทำหน้าที่ผู้กำกับยืนอยู่กลางห้อง ข้าวของที่เคยวางไม่เป็นระเบียบถูกขยับออกไปวางรอบห้องเหลือพื้นที่ตรงกลางไว้ ดนตร์หามุมนั่งเช่นเดียวกับคนอื่นๆ เพื่อรอคอยชมฝีมือการแสดงของพระเอกและนางเอกหน้าใหม่ ลลิตายืนไม่ห่างจากชนวีร์นัก ในมือมีบทที่เขาเป็นคนพิมพ์อยู่ด้วย กลีบปากบางพึมพำตั้งใจท่องบทเต็มที่ ส่วนพระเอกของเรื่องยืนอยู่อีกฟากของห้อง ถือบทไว้เช่นกัน

    “มาๆ ลองมาต่อบทดูก่อน ลูกเจี๊ยบเอากระดาษนี่ไปให้พระเอกกับนางเอกหน่อย”

    คนถูกเรียกทำหน้ามุ่ยเพราะเพิ่งจะนั่งพักไม่ถึงนาทีด้วยซ้ำ ร่างเล็กลุกขึ้นเต็มความสูงร้อยเจ็ดสิบกว่าๆ ของตัวเองแล้วเดินไปหาท่านผู้กำกับใหญ่เพื่อนำกระดาษที่ว่าให้ไปกรณ์และลลิตา

   “นี่ครับ” เขาพูดเบาๆ กับพระเอกของเรื่อง ตาคมดุเหลือบมองเขานิดหน่อยแล้วรับไป ขนอ่อนที่ท้ายทอยของดนตร์ลุกชันอย่างไร้สาเหตุ อาการหนาวสะท้านก่อตัวเดี๋ยวนั้น เขารีบก้าวห่างก่อนที่จะเกิดความผิดปกติมากไปกว่านี้

    ดนตร์ได้กลับมานั่งอีกครั้ง และเฝ้ามองการซ้อมของทั้งคู่โดยมีชนวีร์ทำหน้าที่ผู้กำกับ เขาเองก็เพิ่งเคยเห็นรุ่นพี่ตัวอ้วนกำกับงานเป็นครั้งแรก ชนวีร์ดูจริงจังราวกับเปลี่ยนไปเป็นอีกคน สีหน้าแววตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจ ชนวีร์สอนให้นักแสดงทั้งสองแสดงอารมณ์และสีหน้าตามบท เพราะฉากที่กำลังซ้อมเป็นแค่การให้พระเอกและนางเอกตอบโต้กันด้วยตัวหนังสือสั้นๆ ไม่กี่คำแต่แฝงไปด้วยความรู้สึก ลลิตาทำได้ดีตามคาดแม้ว่าจะเป็นการแสดงครั้งแรก ดวงตากลมโตแสดงความรู้สึกโดยที่ไม่เปล่งเสียงใดๆ ขณะที่กรณ์...ค่อนข้างมีปัญหา

    “กรณ์ฉันว่านายเครียดไปหน่อย นายต้องแสดงความตื่นเต้นให้มากกว่านี้”

   “ก็ยัยนี่ไม่มีอะไรให้น่าตื่นเต้น” กรณ์ตอบกลับ ทั้งห้องเลยได้เห็นตาของลลิตาโตเท่าไข่ห่าน

    “ฉันไม่ได้ให้นายตื่นเต้นเพราะลิน แต่นายต้องตื่นเต้นเพราะได้เห็นข้อความจากผู้หญิงที่แอบมองมานาน” ชนวีร์ถอยหายใจเสียงดัง แล้วให้ทั้งคู่เริ่มแสดงบทเดิมใหม่อีกรอบ แต่ก็ยังไม่ดีขึ้น เพราะกรณ์ยังสื่อสารอารมณ์ไม่ได้ตามที่ผู้กำกับต้องการ

    กรณ์ดูหงุดหงิดยิ่งกว่าชนวีร์เสียอีก ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า ดนตร์เห็นดวงตาคมดุคู่นั้นมันมองมาทางที่เขานั่งอยู่เป็นระยะๆ เด็กหนุ่มหันซ้ายหันขวา เพื่อมองหาสิ่งผิดปกติแต่นอกจากเขากับผนังห้องแล้วก็ไม่มีอะไรอีก บางทีกรณ์อาจจะเห็นหน้าเขาแล้วไม่สบอารมณ์ ถ้าหากเขาไปที่อื่นการแสดงอาจจะดีกว่านี้

    ดนตร์ค่อยๆ ยันกายขึ้นจากพื้น พยายามไม่ลงน้ำหนักที่เท้ามากเกินไป เพราะเกรงว่าการเดินของเขาจะไปรบกวนสมาธิของนักแสดง มือเรียวงับบานประตูให้เงียบเชียบที่สุด ก่อนจะสูดเอาอากาศเย็นๆ จากนอกห้องชมรมไว้จนเต็มปอด ถึงจะเสียดายที่ไม่ได้เห็นฝีมือของลลิตาอีก แต่ก็ยังดีกว่ายังดึงดันอยู่ตรงนั้น เขารู้หน้าที่ของตัวเองดี ตอนนี้ไม่มีใครต้องการเขาแล้ว

    จ๊อก~

    เสียงท้องร้องที่ฟังแล้วน่าสมเพชดังขึ้น ดีที่มันไม่ร้องตอนที่ยังอยู่ในห้อง ไม่อย่างนั้นพี่วินได้อาละวาดใส่แน่ เด็กหนุ่มเขย่งปลายเท้าชะเง้อคอมองหาร่างของเพื่อนรักที่อาจจะโผล่มาในตอนนี้ก็ได้ แต่หลังจากที่ทรงตัวด้วยปลายเท้าอยู่พักใหญ่ ก็ต้องยอมรับว่าเมธัสคงยังไม่มาในเร็วๆ นี้แน่

    ดนตร์ชั่งใจว่าควรจะเดินไปโรงอาหารหรือจะรอเมธัสต่อดี ที่จริงเขาอยากจะเลือกอย่างแรกมากกว่า แต่ถ้าหากว่าเมธัสมาไม่เจอเขามีหวังได้หูชาแน่ ระหว่างที่กำลังยืนรอเพื่อนสนิทโดยมีเสียงท้องร้องเป็นเพื่อน เขาก็ได้ยินชื่อตัวเองจากทางด้านหลัง

     “อยู่นี่นี่เอง”

   “อ้าว! ลิน ออกมาทำไมล่ะ ไม่ซ้อมต่อบทกันแล้วเหรอ” เขาเอียงคอมองเพื่อนสนิทอีกคน สีหน้าของลลิตาไม่ค่อยสู้ดีนัก “เป็นอะไรหรือเปล่าหน้าซีดๆ นะ”

   “ฉันปวดท้อง!” ลลิตาบอก “วันนั้นของผู้หญิงน่ะ มากะทันหันด้วย”

   ดนตร์หน้าชาไปชั่วขณะ รู้สึกว่าพวงแก้มจะเห่อร้อนขึ้นมานิดหน่อย “ละ...แล้วจะให้เราช่วยอะไรไหม”

    “ฉันจะกลับบ้าน กลัวจะเปื้อนยิ่งกว่านี้ นี่โทรให้แม่มารับแล้ว” ลลิตาบอก ใบหน้าขาวซีดเผือดลงเรื่อยๆ “นายช่วยไปต่อบทกับพี่กรณ์ให้หน่อยสิ พี่วินอยากให้พี่กรณ์เล่นให้ดีกว่านี้”

    “ฉันเนี่ยนะ!” ดนตร์ใช้นิ้วชี้ตัวเอว แล้วส่ายหน้าดิก “ไม่มีทางหรอก ฉันเป็นผู้ชายนะ”

    “ทำไมจะไม่ได้ล่ะ ฉันว่านายจำบทได้ เป็นคนพิมพ์เองไม่ใช่เหรอ” ลลิตาขมวดคิ้วแน่น มือกุมหน้าท้อง คู้ตัวลงต่ำเรื่อยๆ “เอาไปๆ แล้วรีบๆ เข้าไปข้างในซะ แม่ฉันมาแล้ว”

    บทถูกยัดใส่มือก่อนที่เจ้าตัวจะวิ่งไปหารถยนต์สีดำคันใหญ่ที่จอดเทียบฟุตบาทพอดี ลลิตาไปแล้วโดยทิ้งบทกับความสับสนไว้ให้

    “ลูกเจี๊ยบ! เออ เจอตัวพอดี ลินบอกนายแล้วใช่ไหม” ชนวีร์วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาหา ใบหน้าอิ่มดูหงุดหงิดไม่น้อย “ไอ้กรณ์มันเล่นห่วยบรม ไม่รู้ไปกินรังแตนมาจากไหน จากที่แอบรักจะเป็นฆ่านางเอกแทน”

    “แล้วทำไมถึงให้ผม...”

   “ก็นายจำบทได้ แล้วคนอื่นก็กลัวหมอนั่นกันหมด รีบๆ ไปเถอะก่อนที่มันจะกระโดดกัดหูใครเข้า”

    “พี่...แต่ผม!”

    ชนวีร์ไม่ให้โอกาสเขาได้โต้แย้งอะไรอีก มืออูมดึงเขากลับเข้าไปในห้องชมรม ที่มีใครบางคนทำหน้าเหมือนไปกินรังแตนจริงๆ ยืนอยู่กลางห้อง

         ภายในห้องเงียบกริบจนได้ยินเสียงเข็มนาฬิกา ดนตร์ขยับขาหนักอึ้งของตัวเองไปตามแรงดึงของชนวีร์ อัตราการเต้นของหัวใจรัวเร็วยิ่งกว่ากลองชุด มือทั้งสองข้างชุ่มเหงื่อจนน่ากลัวจะเปียกไปถึงกระดาษที่ถือมาด้วย ชนวีร์ทิ้งเขาไว้กลางห้อง ปล่อยให้ประจันหน้ากับพระเอกของเรื่อง ภาพที่เห็นเริ่มไม่ชัดเจน ดนตร์พยายามคิดว่าเขาคงหิวมากเกินไป ไม่ใช่เพราะกลัวผู้ชายตรงหน้า

    “ลองซ้อมกับเจ้าเปี๊ยกนี่ดู เผื่อนายจะเล่นดีขึ้น...ส่วนลูกเจี๊ยบ ให้นายคิดซะว่ากรณ์คือคนที่นายแอบรัก”

    คนที่แอบรัก...อย่างนั้นเหรอ

     ดนตร์หลับตาลง ภาพในหัวของเขาคือใบหน้าของคนที่ ‘แอบรัก’ เขาสามารถจดจำทุกรายละเอียด ไม่ว่าจะเป็นดวงตากลมคมและดุ จมูกโด่งสวย ริมฝีปากหนาได้รูป เส้นผมสีดำ เรือนกายสูงใหญ่มีมัดกล้ามพอประมาณอย่างคนที่ออกกำลังกายเป็นประจำ

    ...ทุกองค์ประกอบบอกได้ชัดเจนว่าคนนั้นๆ คือ กรณ์ คนที่เขาได้แค่ ‘แอบรัก’ จริงๆ...

    “ฉันจะให้พวกนายเล่นฉากพบกันที่ถนนเลยนะ กรณ์จะได้ถ่ายทอดอารมณ์ง่ายขึ้น”

    ดนตร์ลืมตาขึ้น หวนคิดถึงบทที่ชนวีร์บอก เขาจำมันได้เพราะเป็นแค่เป็นฉากสั้นๆ แต่เต็มไปด้วยความหมาย สองหนุ่มสาวได้พบกันจริงจังเป็นครั้งแรก หลังจากที่สื่อสารผ่านแผ่นกระดาษมานานหลายสัปดาห์ ทั้งคู่พบกันบนถนนท่ามกลางสายฝน บทพูดมีเพียงไม่กี่คำ สายตาและอารมณ์สำคัญกว่า

    กรณ์สอดมือลงในกระเป๋ากางเกง สีหน้าและแววตาเปลี่ยนไปแทบจะทันที ท่อนขายาวในกางเกงแสล็คสีดำขยับตามจังหวะการก้าวเดิน ชายหนุ่มกำลังสวมบทบาทของผู้ชายที่เดินทางมาพบกับผู้หญิงที่แอบมองมานาน และเธอก็อยู่ตรงหน้า

    ดนตร์กลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอ เหลือบมองคนที่เขาต้องรัก...ตามบท ให้ตาย! เขาไม่เคยได้จับงานแสดงมาก่อน ถึงจะเคยเรียนแอ็คติ้งมาบ้าง แต่เวลานี้ทุกอย่างในสมองว่างเปล่า ลืมกระทั่งบทที่เมื่อครู่ยังจำได้อยู่แท้ๆ เขามองกรณ์ที่ก้าวเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ขณะที่ตัวเองยังยืนนิ่งเป็นก้อนหิน เขาหลับตาลงพยายามตั้งสติ นึกถึงบทที่พิมพ์เองกับมือ แต่โชคร้ายเหลือเกินเพราะแค่เป็นคนพิมพ์ไม่ได้เป็นคนเขียนบท มันเลยหยุดตันแค่การพบกันบนถนนท่ามกลางสายฝนเท่านั้น

    กึก!

   เสียงฝีเท้าดังอยู่ไม่ไกลนัก ไม่ใช่สิมันใกล้มากทีเดียว ดนตร์ลืมตาขึ้น ร่างกายเอนห่างโดยอัตโนมัติ กรณ์อยู่ห่างจากเขาแค่หนึ่งฝ่ามือเท่านั้น นัยน์ตาสีดำเป็นประกายด้วยความยินดี ริมฝีปากหยักสวยระบายรอยยิ้มน้อยๆ

   ตึก ตึก ตึก

   หัวใจเขาเต้นรัวเร็วจนไม่อาจจับจังหวะได้ ใกล้เกินไป สมจริงเกินไป!

    “ดีใจนะครับที่ได้พบคุณ”

    เสียงทุ้มต่ำดังขึ้น เขาไม่แน่ใจนักหรอกว่ามันมีอยู่ในบทด้วยหรือเปล่า ทว่าทั้งน้ำเสียงและดวงตาของกรณ์มันกำลังทำให้เขาเสียการควบคุม หัวใจเต้นแรงจนกลัวว่ามันจะหลุดออกมาด้านนอก ดนตร์จำเป็นต้องหลับตาอีกรอบ เพื่อตั้งสติให้ได้ เขานับหนึ่งถึงสิบพร้อมกับพร่ำบอกกับตัวเองว่า เขาคือนางเอกของเรื่องไม่ใช่ดนตร์

    ไม่ใช่...ไม่ใช่...และไม่ใช่

    เปลือกตาบางเปิดขึ้น แม้ว่าจังหวะหัวใจยังไม่กลับมาเต้นเป็นปกติแต่สามารถควบคุมตัวเองได้มากกว่าเดิม เขาจำบทไม่ได้ หากแต่ริมฝีปากกลับคลี่แย้มจนเห็นไรฟันขาวสะอาด ดวงตากลมหลุบต่ำลงเล็กน้อย ก่อนจะช้อนขึ้นมองคนตรงหน้า

    “ผมก็ดีใจที่ได้พบคุณ”

    กรณ์ที่กำลังสวมบทพระเอกทำทีเป็นมองท้องฟ้าที่ตามบทกำลังก่อตัวเป็นเมฆฝน ชายหนุ่มฉวยมือเล็กกว่ามากุมไว้ พยักพเยิดเชิญชวนให้หาที่กำบังสายฝน ทั้งคู่เดินจูงมือกันห่างจากจุดเดิมไปเล็กน้อย มือยังคงสอดประสาน พวกเขาหยุดเดินและหันมองหน้ากัน กรณ์ใช้มืออีกข้างปัดแถวไรผม คล้ายกับจะปัดหยดน้ำที่หล่นจากเส้นผมให้ พลางกดใบหน้าต่ำลงจนปลายจมูกห่างกันแค่ลมหายใจกั้นเท่านั้น พวงแก้มของคนตัวเล็กกว่าแดงระเรื่อ ตากลมปิดลงขณะที่ริมฝีปากหยักเคลื่อนต่ำลงมา กระทั่งรับรู้ได้ถึงสัมผัสแผ่วเบาคล้ายกับปีกผีเสื้อบนกลีบปากของตัวเอง

   “คัท!”

    ไออุ่นลอยห่างออกไปพร้อมๆ กับเสียงตะโกนดังก้องห้อง ดนตร์ลืมตาโพลงเหมือนหลุดออกจากห้วงของความฝัน แล้วกลับสู่โลกของความจริง กรณ์ถอยห่างไปราวห้าเมตร แล้วทั้งตัวของเขาก็ถูกเขย่าจากผู้กำกับที่ยิ้มจนแก้มปริ

   “พวกนายเล่นดีมาก! ทั้งคู่เลย เสียดายที่เพลงไม่ใช่ผู้หญิงไม่อย่างนั้นฉันจะให้นายเล่นบทนี้”

    ผิวแก้มของเขาร้อนจัด สาบานได้ว่าเมื่อครู่เขาคิดว่าตัวเองคือผู้หญิงคนนั้นจริงๆ กรณ์ถ่ายทอดความรู้สึกและอารมณ์ได้ดีเหลือเกิน ตากลมเหลือบมองคนตัวสูงที่อยู่ห่างออกไปไม่มากนัก อีกฝ่ายไม่ได้มีทีท่าเขินอายหรือยินดีที่ถูกชม แต่กลับทำเหมือนเบื่อหน่ายเสียมากกว่า

    “พอใจหรือยัง ฉันหิว ต้องกลับไปแก้งานอีก”

    “เออๆ พอใจมากกกกก” ชนวีร์ลากเสียงยาว ปล่อยมือจากไหล่ของดนตร์ “พวกนายเล่นโคตรดีเลยว่ะ เหมือนเป็นแฟนกันจริงๆ”

    “พอๆ ไอ้อ้วน ฉันไม่เหมือนแกนะเว้ย ฉันชอบ...” กรณ์หยุดพูดแล้วปรายตามองข้ามหัวไหล่ของลูกพี่ลูกน้องตัวอ้วนไป “...ผู้หญิงว่ะ”

     จังหวะหัวใจลดลงอย่างรวดเร็ว ไหล่เล็กลู่ลง แขนทั้งสองข้างแนบกับลำตัว ตากลมหลุบต่ำ ภาพปลายเท้าของตัวเองพร่าเลือน เลนส์แว่นตาขุ่นมัว ในหัวมีแค่ประโยคที่กรณ์ทิ้งไว้เท่านั้น มันเป็นคำพูดธรรมดาแต่สำหรับเขามันเหมือนหอกแหลมคมทิ่มลงบนหัวใจ น้ำตาเอ่อท้นขอบตา ดนตร์ก่นด่าตัวเอง เป็นผู้ชายจะร้องไห้ได้อย่างไร เปลือกตาบางปิดลงนานพอที่จะหยุดหยดน้ำเอาไว้ได้...ตอนนี้เขากลับเป็นฮวงหลี่คนเดิมแล้ว

    แรงบีบเบาๆ ที่หัวไหล่ช่วยเตือนให้รู้ว่าตอนนี้เขาไม่ได้อยู่คนเดียว เด็กหนุ่มกลืนบางอย่างที่จุกอยู่ลำคอลงไป ก่อนจะเงยหน้ายิ้มให้เจ้าของมือ

    “ผมหิวข้าวแล้ว พี่วินเลี้ยงข้าวผมหน่อยได้ไหม”

    ชนวีร์พยักหน้ารับโดยไม่โต้แย้งอะไร ดนตร์ยิ้มจนตากลมยิบหยี เพื่อกลบรอยช้ำในดวงตา...

ต่อด้านล่าง
    
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31-05-2017 21:12:58 โดย libra82 »

ออฟไลน์ ป่ามป๊ามป่ามปาม

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 483
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
อย่ากลับคำนะอิพี่กรณ์ จะทำร้ายจิตใจน้องไปถึงไหน  :z6: เพลงหนีไปซบอกธามเลย
รอตอนต่อไปค่า

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ แม้วธวัลหทัย

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
สงสัยพระเอกของเราจะต้องการตัวกระตุ้น หึหึหึหึหึหึ ปากดีให้ได้ตลอดนะพี่กรณ์ ลูกเจี๊ยบหลุดมือเมื่อไหร่ จะซ้ำเติมให้หนักเลยคอยดู  :katai1: :fire: :katai4:

ออฟไลน์ a_tapha

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4981
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +397/-1
รอๆ :katai5:

ออฟไลน์ libra82

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 285
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +236/-5
(ต่อ)

         ดนตร์ไม่ได้เข้าชมรมมาหลายวันแล้ว คนที่ถามถึงคงมีแต่ชนวีร์เท่านั้นเพราะขาดลูกมือคนสำคัญไป แต่ขนาดชนวีร์ยังติดต่อไม่ได้ คนอื่นๆ ก็จนปัญญาเช่นกัน กรณ์กับลลิตาแสดงได้เข้าขากันมากขึ้น ฝีมือการแสดงของทั้งคู่ก็ดีขึ้นด้วยเช่นกัน ทำให้ผู้กำกับหนุ่มตัวอ้วนคลายความกังวลไปได้บ้าง ถึงบางครั้งกรณ์จะแสดงความหงุดหงิดออกมา แต่ก็ไม่หนักหนาถึงกับรับมือไม่ได้

    “ลูกเจี๊ยบมันไปไหนของมันวะ ไม่เจอหน้ามาเกือบอาทิตย์แล้ว เธอเจอมันบ้างไหม” ชนวีร์ถามลลิตาระหว่างที่หยุดพักชั่วคราว เด็กสาวพยักหน้าหงึก
 
    “เจอค่ะ ลูกเจี๊ยบเข้าเรียนครบทุกคาบ แต่พอเรียนเสร็จก็หายไปเลย”

   “หายไป? หายไปไหน”

    “ไม่รู้ค่ะ หนูถามอะไรเขาก็ไม่ยอมพูด เอาแต่ก้มหน้าก้มตาแล้วก็เดินหนีไป”

   ชนวีร์ทำหน้ายุ่งยาก มืออูมยกขึ้นเกาหัวแกรกตั้งแต่รู้จักกันมาร่วมปีเพิ่งเห็นดนตร์มีอาการแบบนี้ หนุ่มตัวอ้วนถอยหายใจเฮือกใหญ่

    ...พี่ชายเขาพูดแรงเกินไปจริงๆ…

     “ถ้าเธอเจอมัน ฝากบอกด้วยว่า ฉันให้มันแข่งบาส ถ้าไม่มาตัดพี่ตัดน้องเด็ดขาด”

    “เอ่อ...ค่ะ”

    ข้อความจากชนวีร์ถูกถ่ายทอดไปสู่ดนตร์ในเช้าวันต่อมา ลลิตาทำท่ายกนิ้วปาดคอเป็นการขู่อาฆาตซ้ำเพราะเขาทำท่าปฏิเสธ ลมหายใจเย็นๆ ถูกพรูออกมาชุดใหญ่ อุตส่าห์หนีมาได้ตั้งหลายครั้ง แต่สุดท้ายก็ไปไหนไม่รอด เขาต้องกลับไปเผชิญหน้ากับความจริงอยู่ดี คิ้วหนาขมวดน้อยๆ สองขาหนักอึ้งจนแทบไม่อยากจะยกก้าว ตอนนี้ทั้งร่างกายและสมองมันขัดแย้งกันอย่างน่าหงุดหงิด ทั้งที่อยากจะหนีต่อแต่ก็กลัวว่ามิตรภาพดีๆ จะถูกทำลายเพราะความงี่เง่าของตัวเขาเอง ได้แต่ภาวนาให้พี่วินด่าเขาน้อยที่สุด จะได้เหลือความสุขไว้ตอนที่ไปกินเหล้ากับเมธัสบ้าง

    วันนี้เพื่อนรักนัดเขาออกไปหาอะไรกินหลังเลิกเรียน คงเห็นช่วงนี้เขาพูดน้อยกว่าปกติ เมธัสเลยใจดีอยากจะเลี้ยงเหล้าขึ้นมา

    ถึงเขาจะไม่ได้เป็นคนสำคัญของใคร แต่เพื่อนรักทั้งสองก็ไม่เคยมองข้ามเขา ทั้งลลิตาและเมธัสรู้ว่าเขามีเรื่องรบกวนจิตใจอยู่ แม้จะไม่ได้ถามไถ่หรือซักไซ้แต่ทั้งสองก็ส่งผ่านความห่วงใยมาทางสายตา รวมไปถึงพี่วินด้วยที่โทรหาเขาเป็นสิบสาย นั่นไม่รวมถึงข้อความที่เยอะจนอ่านไม่ไหว เขารู้ว่าทุกคนเป็นห่วง เขาก็แค่อยากสร้างความเข้มแข็งให้ตัวเองอีกหน่อยเท่านั้นเอง

    ผมสีดำถูกเกาจนยุ่งเหยิง ยังไม่พร้อมจะตอบคำถามใคร ถึงแม้ว่าบางทีเขาจะไม่ได้อยู่ในความสนใจของใครเลยก็ตาม

    ดนตร์ฝืนบังคับร่างกายจนมาถึงโรงยิม เพราะไม่ได้แข่งกันที่สนามบาสเหมือนครั้งก่อน ไหล่เล็กหดเข้าหากัน มองคนที่กำลังเดินมาด้วยความรู้สึกผิดที่อาบรดร่าง

    “มาแล้วเหรอ มาๆ ได้เวลาแข่งพอดี ใส่เสื้อซะสิ”

    พี่วินไม่ได้อาละวาดใส่เขาอย่างที่คาดการณ์ไว้ แต่กลับโยนเสื้อที่ติดเบอร์ 23 ให้ แถมด้านล่างตัวเลขยังมีอักษรภาษาอังกฤษตัวเล็กๆ พิมพ์ว่า ‘DONE’ อีกด้วย ริมฝีปากคลี่ยิ้มเป็นครั้งแรกในรอบสัปดาห์ เขากอดเสื้อที่มีชื่อตัวเองแนบอก แล้วรีบสวมมันทันที

    รุ่นพี่ตัวอ้วนไม่ได้บอกว่าวันนี้เขาต้องแข่งกับทีมของคณะอะไร แต่เมื่อเห็นผู้ชายตัวสูงที่พยายามหลบหน้ามาร่วมอาทิตย์ก็รู้ทันทีว่านี่คือนัดล้างตา ดนตร์ใช้ร่างสูงใหญ่ของอัคคีเป็นปราการ ไม่เสนอหน้าออกไปให้ใครเห็น แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีคนตาดีเห็นเขาเข้าจนได้

   “อ้าว! ไงเจ้าเปี๊ยก นึกว่าจะไม่มาซะแล้ว” อริญชย์ร้องทัก เอียงตัวมองเขาที่ยังใช้หลังอัคคีเป็นที่กำบังกาย

    ดนตร์ยิ้มแห้งๆ กลับไป โชคดีที่ได้เวลาแข่งพอดีเลยไม่จำเป็นต้องทักทายใครอีก อัคคีเตือนให้เขาถอดแว่นออกด้วย เพราะเกมวันนี้น่าจะดุเดือดกว่าครั้งก่อน

   แล้วก็เป็นอย่างที่คนมาประสบการณ์บอกไว้ เกมการแข่งขันดุเดือดตั้งแต่ลูกบาสกระทบกับพื้น ดนตร์ถูกผู้เล่นอีกทีมกระแทกใส่จนหน้าแทบคะมำ ดีที่ได้เพื่อนร่วมทีมดึงตัวไว้ เด็กหนุ่มกัดฟันกรอด รีบตั้งหลักแล้วตอบโต้กลับทันที ถึงจะตัวเล็กกว่าแต่ดนตร์มีความเร็วเป็นอาวุธ เขาแย่งชิงลูกบาสตัดหน้าอีกทีมได้หลายครั้ง และทำแต้มได้จากการชูทกลางสนาม แต่อีกทีมก็ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน

    ทีมจากคณะสถาปัตย์ขอเวลานอกเมื่อถูกนำไป 2 แต้ม จากนั้นก็กลับมาแข่งอีกครั้งโดยที่คราวนี้ส่งผู้เล่นเบอร์ 9 ชื่อกรณ์ตามประกบหมายเลย 23 จากคณะนิเทศน์ ทั้งสองปะทะฝีมือกันอย่างไม่มีใครยอมใคร ดนตร์พยายามจะใช้ความเร็วของเองเข้าไปแย่งลูกบาส แต่กลับถูกร่างที่ทั้งสูงทั้งใหญ่คอยบังไว้ ทำให้พลาดจังหวะไปหลายครั้ง หรือเมื่อแย่งลูกได้อีกฝ่ายก็เข้ามาพัวพันจนเผลอทำลูกหลุดจากมือ ดนตร์เผลอสบถคำหยาบด้วยความโมโห ขณะที่อีกคนทำแค่ยิ้มเย้ยหยันเท่านั้น

    แต่เขาก็ไม่ยอมแพ้ เขาวิ่งหลบกรณ์ไปที่ใต้แป้นเพื่อรอจังหวะที่เพื่อนร่วมทีมจะส่งลูกมาให้ แล้วโอกาสนั้นก็มาถึง อัคคีโยนลูกมาทางเขา ดนตร์รับลูกไว้ได้ เขาเกือบจะสปริงเท้าขึ้นชูทลูกทว่าก็ต้องปะทะกับกำแพงมนุษย์ที่ชื่อกรณ์อีกครั้ง เขาโยกตัวไปทางซ้ายอีกฝ่ายก็โยกตาม ไมว่าจะไปทางไหนก็ถูกดักไปหมด ดนตร์ตัดสินใจดีดตัวให้สูงที่สุดเท่าที่จะทำได้ ในจังหวะที่เขาลอยตัวอยู่ในอากาศ ช่วงเอวก็เย็นวาบจากสัมผัสของบางอย่าง เขาเสียการทรงตัวทันทีทำให้ลูกบาสพลาดห่วงไปอย่างน่าเสียดาย

    กรณ์จับเอวเขา!

    ปี๊ด!

    กรรมการเป่านกหวีดหมดเวลาการแข่งขัน ทีมจากคณะนิเทศน์ศาสตร์ชนะคณะสถาปัตย์ไปเพียง 2 แต้ม แม้ว่าดนตร์จะทำพลาดในแต้มสุดท้าย แต่ผลการแข่งขันคณะของเขาก็ชนะอยู่ดี เป็นการเอาคืนที่สมน้ำสมเนื้อเลยทีเดียว ดนตร์ถูกชมยกใหญ่อีกครั้ง ถึงแม้ว่าจะถูกกรณ์ตามประกบก็ยังทำได้ดี แต่ก็ต้องยอมรับว่าฝีมือของกรณ์ก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน รายนั้นทำแต้มให้ทีมได้เกินครึ่งเลยทีเดียว

    เขาถูกปล่อยตัวหลังจากนั้นไม่นาน ที่จริงอยากจะไปทั้งสภาพที่ชุ่มเหงื่อไปทั้งตัว แต่เขาทนเหนียวตัวไม่ไหวเลยหลบไปขอใช้บริการห้องน้ำของโรงยิม ดีหน่อยที่ไม่ใช่ช่วงซ้อมกีฬาเลยไม่ค่อยมีคนอยู่มากนัก เรียกว่าแทบจะไม่มีใครเลยก็ว่าได้

    ดนตร์เลือกห้องที่อยู่ด้านในสุด เด็กหนุ่มปลดเสื้อผ้าออกแล้ววางไว้บนม้านั่งตัวยาวหน้าห้องน้ำ ใช้ผ้าขนหนูสีขาวที่หาได้จากแถวนั้นพาดไว้บนบ่าแล้วค่อยเดินเข้าไปด้านใน เพราะบริเวณนี้ไม่มีใครเขาเลยใจกล้าที่เดินโทงๆ อย่างนั้น แต่ถ้าหากใครสักคนอยู่ด้วยถึงจะเป็นผู้ชายเหมือนกันเขาก็ไม่กล้าแก้ผ้าให้ใครเห็นหรอก

    มือเรียวขาวจัดหมุนปรับอุณหภูมิน้ำให้อยู่ในระดับที่พอใจแล้วค่อยเปิดให้ฝักบัวปล่อยสายน้ำรดรินผ่านกาย ใช้สบู่ก้อนเล็กๆ ที่อยู่ในนั้นฟอกกายลวกๆ เพราะเมื่อกลับไปถึงห้องพักก็ต้องอาบใหม่อีกรอบอยู่ดี ดนตร์ลากมือผ่านผิวกายของตัวเอง เขาปิดฝักบัวเมื่อคิดว่าสะอาดพอแล้ว เขาใช้ผ้าขนหนูผืนเดิมพันสะโพกไว้หมิ่นเหม่ก่อนจะออกจากห้องน้ำ

    “เฮ้ย!”

    เด็กหนุ่มอุทานด้วยความตกใจ เมื่อทั้งร่างชนกับบางอย่างที่อยู่ตรงหน้า มันไม่ใช่ประตูหรือกำแพง หากแต่ว่าเป็นร่างของคน คนที่ตัวสูงกว่าเขาร่วมสิบเซน....กรณ์

    กรณ์ยังอยู่ในชุดเดิม เสื้อกล้ามสีแดงขลิบขอบด้วยสีดำ มีชื่อคณะที่หน้าอกซ้าย หมายเลข 9 พิมพ์ด้วยสีขาวเด่นกลางหน้าอก สัญชาตญาณบางอย่างบอกถึงความไม่น่าไว้วางใจ เขายกมือลูบใบหน้าที่มีหยดน้ำเกาะพราวอยู่ ตากลมช้อนมองอีกฝ่าย ใจเขาหล่นวูบไปอยู่ตาตุ่ม เพิ่งประจักษ์เดี๋ยวนี้ว่า กรณ์อยู่ห่างออกไปไม่ถึงคืบ ใบหน้าหล่อเหลาที่ยังเหลือร่องรอยความเหน็ดเหนื่อยให้เห็นก้มต่ำลงกว่าเดิม ลมหายใจอุ่นร้อนเป่าผ่านหน้าผาก น่าแปลกเหลือเกินที่มันสามารถละลายความเย็นจากสายน้ำได้

    ดนตร์เบี่ยงตัวหนี แต่อีกฝ่ายไม่มีทีท่าว่าจะขยับ เขาเงยหน้ามองอีกครั้งทว่ากลับได้รับสายตาดุดันกลับมาแทน

    “เก่งนี่..ทั้งการแสดง ทั้งเล่นบาส”

    “...ขอบคุณ...ครับ”

   “หึ” กรณ์ทำเสียงขึ้นจมูก “คิดว่าฉันชมนายจริงๆ หรือไง”

    “เปล่าครับ”

    คิ้วหนายกสูงคล้ายแปลกใจในคำปฏิเสธ เด็กหนุ่มขยับตัวพยายามหาทางหนี แต่มือแกร่งยกขึ้นวางบนกำแพงกั้นคนตัวเล็กกว่าไว้ในวงแขน ดวงตาคมดุจ้องมองมาไม่วางตา ดนตร์ร้อนวูบไปทั้งตัว เขาเพิ่งสำเหนียกได้ว่าตัวเองอยู่ในสภาพล่อแหลมแค่ไหน ทั้งร่างมีแค่ผ้าขนหนูพันสะโพกไว้เท่านั้นเอง ถึงจะเป็นผู้ชายด้วยกันแต่กรณ์คือคนที่ทำหัวใจสั่นไหวได้ตลอดเวลา ดังนั้นสถานการณ์ในตอนนี้มันไม่ปลอดภัยสำหรับเขาเลยแม้แต่น้อย

    “นายกำลังท้าทายฉันอยู่ใช่ไหม...เพลง”

    “...เปล่าครับ”

   เขาไม่รู้หรอกว่าอะไรที่ทำให้กรณ์คิดอย่างนั้น แต่ก็ป่วยการที่ต่อความยาวสาวความยืดเลยเลือกที่จะสงบปากสงบคำเอาไว้

    “เปล่า? แล้วไอ้ท่าทางแบบนี้มันหมายความว่ายังไง”

    ดนตร์ถอยหายใจเฮือกใหญ่ นึกอยากจะหนีกลับไปอยู่ในห้องน้ำแทนการเผชิญหน้า แต่เพราะเขาอายุ 19 ปี ไม่ใช่เด็กอนุบาล 3 ขวบเลยไม่อาจทำเช่นนั้นได้

    “ถ้าผมทำอะไรให้พี่ไม่พอใจก็ขอโทษด้วยแล้วกัน พี่ช่วยลดแขนลงหน่อยได้ไหม ผมมีธุระ”

    อีกฝ่ายขมวดคิ้วฉับไม่พอใจ และไม่ลดแขนลงตามที่เขาร้องขอ ห้องอาบน้ำเงียบกริบจนน่าแปลกใจ เขาจำได้ว่าก่อนหน้านี้ยังได้ยินเสียงน้ำกระทบพื้นจากห้องอื่นบ้าง ทว่าตอนนี้มันเงียบราวกับว่าเหลือแค่เขากับกรณ์เพียงแค่สองคนเท่านั้น

    “พี่กรณ์...”

    “มีธุระ หรือจะรีบไปหาใคร ไอ้ธาม หรืออไอ้รันล่ะ”

    “เกี่ยวอะไรกับพวกนั้นด้วย?” ตากลมไร้เลนส์แว่นบดบังตวัดมอง “ผมนัดเพื่อนไว้ ไม่เกี่ยวกับเพื่อนของพี่หรอกครับ”

    กรณ์ยังคงยืนอยู่ที่เดิม ไม่ได้มีทีท่าว่าจะขยับเปิดทางให้อีกฝ่ายได้ไปทำธุระตามที่กล่าวอ้าง ใบหน้าหล่อจัดก้มต่ำลงปลายจมูกแทบจรดกับหน้าผากเปียกชื้น ร่างกายขาวผ่องมีหยดน้ำเกาะพราว เขาหลุบตาไล่มองตั้งแต่โครงหน้าได้รูป ลำคอยาวระหง ลาดไหล่ขนาดพอดีกับส่วนสูง แผ่นอกที่ไม่ได้หนาหรือแห้งเป็นแผ่นบาง ช่วงเอวคอดและสะโพกเพรียวที่มีผ้าขนหนูกันเอาไว้ลวกๆ ปมเริ่มคลายตัวแล้วนิดหน่อย ท่อนขาค่อนข้างเรียวและเล็ก ทั่วทั้งเรือนร่างของเด็กหนุ่มตรงหน้าไม่เส้นขนให้เกะกะสายตาเลย เว้นเสียแต่เรือนผมสีดำที่ตัดกับผิวขาวผ่องเท่านั้น

    เขาเคลื่อนปลายเท้าเข้าใกล้กว่าเดิมจนระยะห่างแทบไม่มีเหลือ ไอเย็นจากร่างเล็กแผ่มาถึงเขา คงไม่ต่างจากความร้อนในกายของเขาที่จู่ๆ ก็มีมากขึ้น มันคงลามไปถึงอีกฝ่ายเช่นกัน เขาเห็นพวงแก้มใสระเรื่อขึ้นเล็กน้อย เพิ่งสังเกตว่าไอ้เจ้าสี่ตาตอนนี้เหลือแค่สองตาแล้ว ดวงตากลมเฉี่ยวยามไร้แว่นทรงเห่ยๆ ก็น่ามองไม่หยอก มันเข้ากันได้ดีกับจมูกโด่งเป็นสันและริมฝีปากเล็กแดงจัด เขาเริ่มจะเข้าใจแล้วว่าทำไมไาวินและอริญชย์ถึงได้พูดถึงหมอนี่บ่อยนัก โดยเฉพาะรายหลังรู้สึกว่าจะเอาแต่คอยมองหาเจ้าของน้ำมะนาวปั่นทุกครั้งที่ผ่านโรงอาหาร

    ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาเขาแทบไม่เห็นหน้าตาจืดชืดของไอ้เด็กนี่เลย นับตั้งแต่ได้ปะทะการแสดงกันไปเล็กน้อย ตอนนั้นเขาแค่จะแกล้งเล่นโทษฐานที่ทำให้หงุดหงิด แต่พอได้เห็นดวงตาใสซื่อ กับใบหน้าขาวใส เขาก็พาตัวเองหลุดเข้าไปในบทของพระเอก และดนตร์คือผู้หญิงที่เขาเฝ้ามองผ่านบานหน้าต่าง แม้จิตใต้สำนึกจะบอกว่าคนตรงหน้าคือผู้ชายแต่เขากลับไม่ได้รู้สึกรังเกียจเลยแม้แต่น้อย ถ้าหากชนวีร์ไม่ได้สั่งคัทเขาอาจจะเผลอจูบดนตร์ไปจริงๆ ก็ได้

    คนในพันธนาการของวงแขนเริ่มไม่อยู่สุข ตากลมมองหาลู่ทางการหลีกหนี หลังจากที่เขาเผลอหลุดปากพูดแย่ๆ ไป ดูเหมือนเจ้าเด็กนี่พยายามจะหลบหน้าเขา ไม่สิ หลบจากทุกคน ไม่มีใครติดต่อดนตร์ได้เลยแม้แต่ชนวีร์รุ่นพี่คนสนิท ไอ้เจ้าอ้วนเอาแต่โยนความผิดใส่เขา แค่เขาพูดว่า ‘เขาชอบผู้หญิง’ มันก็บ่นเขายาวยิ่งกว่าหางว่าว เขาไม่รู้ว่ามันผิดตรงไหน เพราะในเมื่อเขาชอบผู้หญิงจริงๆ

    ...มันก็ควรจะเป็นอย่างนั้น แต่ทำไมเขาถึงละสายตาจากร่างกายนี้ไม่ได้สักที...

    “แน่ใจเหรอว่าเพื่อน”

   ตากลมมองมาที่เขา ใบหน้ายามไร้แว่นบ้าๆ นั่น น่ามองกว่าเดิมเป็นเท่าตัว เขารู้สึกว่าดนตร์ในตอนนี้เหมือนลูกเจี๊ยบจริงๆ น่ารักและน่าแกล้ง

    “แน่ใจ! พี่ช่วยถอยออกไปด้วย เลยเวลานัดแล้ว”

    กรณ์กระตุกยิ้ม เอียงคอมองคนในวงแขน จมูกอยู่ห่างจากผิวแก้มระเรื่อไม่ถึงเซนดีด้วยซ้ำ “เพื่อนผู้ชายสินะถึงได้รีบร้อนถึงขนาดยอมเสียมารยาทกับรุ่นพี่”

    “พี่ต้องการอะไรกันแน่! ถ้าจะว่าผมก็ว่ามาตรงๆ เลย ถ้าผมมันน่ารังเกียจนักล่ะก็จะมายุ่งกับผมทำไม หรือว่าพี่เองก็สนใจผมเหมือนกัน! อื้อ!”

    เปรี๊ยะ!

    เสียงอะไรบางอย่างในหูขาดออกจากกัน มือหนาคว้าคางเรียวแล้วประกบริมฝีปากลงไป ปิดกั้นคำพูดทั้งหมดของคนตัวเล็กกว่าเอาไว้ กรณ์บดขยี้กลีบปากนุ่มอย่างไม่ใส่ใจว่าอีกฝ่ายจะเจ็บแค่ไหน ปลายนิ้วบีบแก้มนุ่ม บังคับเรียวปากให้เผยอออกจากกัน ดนตร์ดิ้นรนเท่าที่จะทำได้ เขาเลยก้าวประชิดร่างใช้ร่างกายหยุดการเคลื่อนไหว นาทีนั้นเขาไม่สนใจแล้วว่าเสื้อผ้าจะเปียกเพราะหยดน้ำจากอีกคนหรือเปล่า เขาแค่ต้องการให้ไอ้เจ้าเด็กนี่รู้ว่าเขากำลังโกรธ...โกรธที่มันบังอาจพูดจาอวดดีใส่เขา

    กรณ์สอดลิ้นเข้าสู่โพรงปากอุ่น ลิ้นหนากวาดไล้ทั่วกระทุ้งแก้ม พร้อมกับดูดดึงกลีบปากนุ่มไปด้วย บางจังหวะเผลอใช้ฟันขบกัดเนื้อนุ่ม เขาได้ยินเสียงร้องประท้วง มือสองข้างของดนตร์พยายามผลักไส ชายหนุ่มเบียดร่างแนบชิดยิ่งกว่าเดิมจนแม้แต่อากาศก็ลอดผ่านไม่ได้ กรณ์เอนศีรษะปรับองศาเพื่อให้จูบได้ถนัดขึ้น เรียวลิ้นยังคงโรมรัน อย่างจงใจทำให้อีกฝ่ายยอมจำนน เสียงชื้นแฉะจากของเหลวดังประสานกับเสียงลมหายใจ กรณ์เริ่มเสียการควบคุม จากจูบที่แค่อยากจะระบายความโกรธมันกลับเร่าร้อนขึ้นเรื่อยๆ ชายหนุ่มดูดกลืนกลีบปากอิ่ม ขณะที่ปลายลิ้นรับรู้ถึงรสเค็มปร่าจากบางอย่าง กลิ่นคล้ายสนิมปะปนมากับลมหายใจ

    ...เลือด...

    น่าแปลกที่เขากลับไม่ได้รู้สึกขยะแขยงรสจูบที่ไม่ได้หวานกำซ่าน แต่รสเลือดยิ่งเพิ่มแรงอารมณ์ให้โหมสูง ไม่ต่างจากการโยนน้ำมันใส่กองไฟ เลือดในกายเขาร้อนรุ่ม หน้าขาปวดหนึบ กรณ์กดหน้าขากับหน้าท้องของอีกฝ่าย เปิดเผยความปรารถนาอย่างหลงลืมตัว...

********************************

คนมันกลืนน้ำลายตัวเองเนาะ


ออฟไลน์ แม้วธวัลหทัย

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
อีพี่กรรรรรรรรรรรรรณ์ โว้ยยยยยยยยยยยยยย :fire: :m31: :m16: :angry2: :serius2: :katai1:
ไปไกลๆ ไปอยู่กับเมียแกโน่นนนนนนนน
ลูกเจี๊ยบเขามีคนรอให้เลือกอีกตั้งเยอะ ฮึ่ย พิมพ์แล้วขึ้นๆๆๆ

ขอบคุณที่มาต่อค่ะ จุ้บๆ ตอนต่อไปมาไวๆ นะคะ

ออฟไลน์ ป่ามป๊ามป่ามปาม

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 483
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
มาแนวSM ได้ไง สงสารลูกเจี๊ยบ  :jul1:
อิพี่กรณ์แกล้งน้องตลอดเวลา แล้วก็พูดจาร้ายกาจ สรุปคือหวงเพื่อน หรือหวงน้อง
รอตอนต่อไปค่า

ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1938
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -

ออฟไลน์ onlyplease

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
บอกสิ ว่าพี่กรณ์ไม่ใช่พระเอก :hao5: :hao5: :hao5:

ออฟไลน์ libra82

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 285
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +236/-5
Chapter 4 Your lips

    ดนตร์พยายามผลักแผ่นอกหนา ทว่าอีกฝ่ายมีพละกำลังมากกว่าเขาหลายเท่านัก ริมฝีปากถูกรุกรานจนเจ็บระบมไปหมด ที่มุมปากดูเหมือนจะได้รับบาดเจ็บ เขาได้กลิ่นเลือดคลุ้งทั่วโพรงปาก กรณ์ไม่ให้โอกาสเขาได้ตั้งรับ ลิ้นใหญ่กวาดต้อนอย่างคนชำนาญการ ลมหายใจถูกลิดรอนจนอากาศในปอดใกล้จะหมดลงทุกที แผ่นหลังเบียดไปกับผนังเย็นเยียบของกำแพง เขาไม่สามารถขยับตัวไปทางไหนได้เลยเพราะกรณ์ใช้ร่างกายพันธนาการเอาไว้ทั้งหมด หน้าอกของเขาสะท้อนหนักและถี่มากขึ้นเรื่อยๆ เขายกมือทุบไปบนแผ่นหลังกว้างของรุ่นพี่ แต่มันไม่ต่างจากเอาปุยนุ่นไปตีขอนไม้ กรณ์ไม่สะท้านสะเทือนเลยสักนิด ทั้งที่เขามั่นใจว่าแรงที่ออกไปนั้นไม่ได้น้อยเลย

     มือกร้านเกาะกุมที่ช่วงเอว บีบขย้ำอย่างไม่เกรงใจ ดนตร์สะดุ้งเฮือกทั้งตกใจและหวาดหวั่น เพราะปมผ้ามันคลายตัวมากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าหากดิ้นรนผลักไสมากกว่านี้ อาภรณ์เพียงชิ้นเดียวก็จะหลุดได้ แต่เขาก็ไม่อาจอยู่เฉย ปล่อยให้คนเห็นแก่ได้ปล้นจูบไปอย่างหน้าด้านๆ ที่สำคัญมันคือจูบแรกของเขากับผู้ชาย...ส่วนกับผู้หญิงเขาไม่นับ ฝ่ามืออุ่นจัดเลื่อนจากเอวมาที่หน้าท้อง เด็กหนุ่มเกร็งตัวบิดหนี หากแต่ว่ามันไม่ได้ไปไกลกว่าเดิม มือของกรณ์ยังคงกระทำได้ตามใจ ปมผ้าคลายตัวจนหลุดจากกัน พร้อมกับมือที่เลื่อนลงต่ำ

    “กรณ์คะ! คุณอยู่ที่ไหนน่ะ กรณ์!”

    ปึก!

    ดนตร์ใช้โอกาสสั้นๆ นั้น ผลักอกกว้างเต็มกำลัง ร่างสูงเสียหลักเซไปหลายก้าว เขาตะปบชายผ้าขนหนูที่เกือบจะหลุดไหลเลื่อนจากสะโพกได้ทันแล้ววิ่งหายกลับเข้าไปในห้องน้ำ เบียดตัวแทรกอยู่กับผนังเปียกชื้น ดวงตาเบิกโพลงด้วยความตื่นตระหนก แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังมีสติพอที่ได้ยินเสียงฝีเท้าของบุคคลที่สาม

    “มาอยู่นี่นี่เอง ฉันตามหาคุณตั้งนาน ไปค่ะ ฉันไม่อยากไปสาย เดี๋ยวยัยพวกนั้นมันจะให้เลี้ยงเหล้า”

    เขาจำได้ว่ามันเป็นเสียงของโยษิตา เปลือกตาบางปิดลง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดเกิดเป็นภาพทับซ้อนกับภาพของคู่หนุ่มสาวที่จับจูงกันออกไป ดนตร์ยกมือขึ้นจับหน้าอกข้างซ้าย กำนิ้วขยำมันลงไปให้แน่นที่สุด เพื่อหวังว่ามันจะช่วยให้อาการปวดแปลบทุเลาลง แล้วสั่งน้ำตาให้ไหลกลับไปด้านใน...



    ดวงตาสีดำสนิทจ้องมองแก้วน้ำสีอำพันที่มีไอน้ำเกาะอยู่รอบๆ น้ำแข็งก้อนสี่เหลี่ยมละลายลดความเจือจางของแอลกอฮอล์ดีกรีแรงได้นิดหน่อย เขาหยิบออนเดอะร็อคขึ้นมาจิบแล้ววางลง ก่อนจะเปลี่ยนใจคว้ามันเทเข้าปากรวดเดียวหมดเหลือแค่น้ำแข็งที่กระทบกันดังกุ๊งกิ๊งอยู่ในแก้ว แต่เหล้าก็ไม่อาจช่วยให้เขาหยุดคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงเย็นได้เลย ในหัวของเขายังมีภาพของเด็กหนุ่มผิวขาวจัด ริมฝีปากอิ่มสดปลั่ง กลิ่นของเลือดในโพรงปากเล็กๆ นั่น ไหนจะผิวกายที่เนียนนุ่มมือไม่ต่างจากผ้าแพรชั้นดี บ้าชะมัด! เขากำลังคิดถึงผู้ชาย...ที่ชื่อดนตร์

    “เป็นอะไรไปคะ เครียดที่แข่งบาสแพ้เหรอ” โยษิตากระซิบถาม เธอรู้ใจเขาดีที่สุด ตะโกนสั่งบรั่นดีให้อีกแก้ว

    กรณ์ส่ายหน้าเบาๆ เป็นการปฏิเสธ ถึงจะรักการแข่งขันแค่ไหน แต่การพ่ายแพ้ในเกมวันนี้ไม่ได้ทำให้หัวเสียสักเท่าไร หากแต่เป็นเพราะไอ้เจ้าเด็กจอมอวดดีนั่นต่างหาก

    ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ดนตร์หายหน้าไปจากชมรม ไม่โผล่มาให้เห็นแม้แต่เงา กระทั่งชนวีร์ก็ติดต่อไม่ได้ เจ้าลูกพี่ลูกน้องตัวอ้วนของเขามันหงุดหงิดน่าดู เพราะหาคนทำงานรู้ใจมันไม่ได้ ส่วนเขาก็แค่...ไม่รู้สิ...เหมือนทำผิด ทั้งที่เขาไม่ได้ทำอะไร แต่ชนวีร์ก็โทษว่าเป็นความผิดของเขา เขาหงุดหงิดที่ถูกกล่าวหา และหงุดหงิดยิ่งกว่าที่รู้สึกราวกับว่ามีบางอย่างขาดหายไป...บางอย่างที่ชื่อว่าดนตร์

    “ออกไปเต้นหน่อยไหม” โยษิตาใช้มือนุ่มนิ่มเกาะต้นแขนเขา ออกแรงรั้งเบาๆ เป็นการชวนแกมบังคับ เขาส่ายหน้าเบาๆ ปฏิเสธอีกรอบ คิ้วเรียวยกสูงก่อนจะขมวดน้อยๆ “เป็นอะไรคะ หรือว่าเครียดเรื่องงาน”

   “ไม่มีอะไรหรอก ผมแค่เหนื่อยนิดหน่อย คุณออกไปเต้นกับเพื่อนเถอะ”

    โยษิตาชั่งใจอยู่ชั่วครู่ก่อนจะกดจูบบนแก้มของเขาเบาๆ แล้วผละออกไปหากลุ่มเพื่อนๆ ที่กำลังสนุกสุดเหวี่ยงกับเสียงเพลงเร้าใจ

    กรณ์กลับมาจมจ่ออยู่กับความคิดของตัวเองอีกครั้ง ไม่ว่าจะอย่างไรเขาก็ไม่อาจปัดเรื่องของดนตร์ออกไปจากสมองได้ ทุกสัมผัส ทุกจังหวะหายใจ ทุกการเคลื่อนไหว หรือแต่เสียงครวญเบาๆ นั่นติดประทับในความทรงจำ น่าแปลกที่ไม่ได้รู้สึกรังเกียจทั้งที่เป็นเพศเดียวกัน สาบานได้ว่าเขาไม่เคยมีรสนิยมนึกอยากจะลองรสรักกับผู้ชาย เขาชอบผู้หญิง ธรรมชาติสรรค์สร้างให้ผู้ชายเกิดมาอยู่คู่กับผู้หญิง เพื่อมีลูกและสร้างครอบครัว แต่ด้วยยุคสมัยที่เปลี่ยนไป การคบหาดูใจกับเพศเดียวกันไม่ใช่เรื่องแปลก ถึงในประเทศนี้เมืองนี้จะยังไม่เป็นที่ยอมรับเท่าไรนัก แต่ก็ไม่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ เหมือนสมัยก่อนอีกแล้ว...ทว่าเขาไม่ได้จัดอยู่ในกลุ่มคนประเภทนั้น เขาคือผู้ชายปกติ ที่มีคนรักเป็นผู้หญิง แค่ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงได้มีอารมณ์กับดนตร์

    แค่ลองคิดว่าถ้าหากไม่ใช่ดนตร์ แต่เป็น ธาวิน อริญชย์ หรือนักรบ ขนในกายก็พากันลุกขันแล้ว ปลายมือปลายเท้าจิกเกร็ง ขยะแขยงจนต้องรีบกรอกเหล้าเข้าปาก แล้วทำไมต้องเป็นไอ้เด็กนั่น ไอ้เด็กหน้าตาจืดชืด ไม่มีอะไรน่าสนใจสักอย่าง แต่ถ้าไม่ใส่แว่นก็พอดูได้ กรณ์ยกแก้วเหล้าเข้าปากอีกครั้งแล้วพิจารณาสิ่งที่เกิดขึ้นกับความรู้สึกที่ผิดเพี้ยนไปของตัวเอง บางทีเขาคงแค่อยากจะเอาชนะท่าทางอวดดีของดนตร์ หรือคงเป็นความหมั่นไส้ที่ใครๆ ก็เอาแต่พูดถึงเด็กนั่น กรณ์พร่ำบอกตัวเองเป็นร้อยๆ ครั้ง เขาไม่ได้คิดอะไรกับดนตร์..ไม่ได้คิดอะไร

    ...พยายามจะไม่คิดจริงๆ...



    หลังจากวันแข่งบาส ดนตร์กลับมาที่ชมรมอีกครั้ง ชนวีร์ไม่ได้ซักไซ้ถามหาเหตุผลของการหายหน้าไปเป็นอาทิตย์ เขาทำทุกอย่างที่รุ่นพี่ตัวอ้วนสั่งด้วยความตั้งใจ ไม่เพียงแต่ต้องมาช่วยงานชนวีร์เท่านั้น แต่เขายังมานะทำรายงานตั้งแต่ต้นเทอม ไม่ใช่แค่ของตัวเองแต่ยังช่วยลลิตากับเมธัสรวมไปถึงมิ่งขวัญที่เป็นรูมเมทอีกด้วย ลึกๆ แล้วดนตร์รู้ตัวดีว่าทำไมต้องทำตัวให้ยุ่งเหยิงวุ่นวายขนาดนี้ เพราะเขาต้องการใช้มันเป็นเกราะกำบังตัวเอง และอยากให้ความรู้สึกบางอย่างถูกกลบเกลื่อนไปด้วย ทว่า...มันไม่ได้ง่ายอย่างนั้น

    ยิ่งนานวันความรู้สึกและรอยสัมผัสจากใครบางคนยิ่งเด่นชัด เขาไม่เคยลืมรสจูบและกลิ่นเลือดได้เลย ผิวเนื้อที่ถูกฝ่ามือกร้านแตะต้องมักจะร้อนระอุขึ้นมาเสมอถ้าหากเผลอไปนึกถึง เช่นเดียวกับหัวใจ มันเจ็บปวดทุกครั้งที่คิดถึงใครคนนั้น

    ดนตร์ช่วยคนอื่นๆ ลำเลียงวัสดุ อุปกรณ์ที่ต้องใช้ในการถ่ายทำ วันนี้จะเริ่มถ่ายจริงจังแล้ว ลลิตาดูตื่นเต้นไม่น้อยขณะที่พระเอกของเรื่องยังคงสงบนิ่ง...และนิ่งมากจริงๆ กรณ์ไม่คิดจะช่วยหยิบจับอะไรเลยสักชิ้น แม้แต่ลลิตาที่ผอมบางราวกับจะปลิวลมได้ยังช่วยเขายกลังที่หนักร่วมๆ 20 กิโลฯ ทีมงานคนอื่นๆ ช่วยกันคนละไม้คนละมือ ขนของขึ้นรถบรรทุกคันใหญ่ที่ชนวีร์ยืมของมหาวิทยาลัยมาใช้ชั่วคราว มีแค่กรณ์เท่านั้นที่ไม่ได้ขยับเขยื้อนเคลื่อนกายไปไหน แต่เขารู้สึกว่าแผ่นหลังจะร้อนขึ้นเมื่อต้องหันหลัง มันร้อนเหมือนถูกจับจ้องด้วยสายตา…จากใครบางคน

     “นายขึ้นไปก่อนเพลง เดี๋ยวฉันไปดูไฟก่อนไม่รู้ว่าเตรียมกล้องพร้อมหรือยัง”

   เด็กหนุ่มพยักหน้า ก่อนจะกระโดดเข้าไปนั่งรถแวนสีดำของชนวีร์ ผู้กำกับตัวอ้วนใช้รถยนต์ของตัวเองเป็นพาหนะสำหรับนักแสดงรวมไปถึงลูกมือคนสนิทด้วย ดนตร์เลือกนั่งที่เบาะด้านในสุด เขาไม่รู้ว่าจะมีใครโดยสารไปกับรถคนนี้บ้าง จับจากจำนวนเบาะอย่างน้อยก็ 6-7 คน หรือมากสุดก็ไม่น่าจะเกิน 9 คน มือขาวจัดหยิบหูฟังที่ต่อจากโทรศัพท์มือถือเสียบใส่หู ปล่อยความรู้สึกไปกับเสียงเพลงที่ขับกล่อม

    เขาเกือบหลับไปแล้วจริงๆ ถ้าหากไม่มีแรงกระทบของบางอย่างที่ต้นแขน เปลือกตาบางเปิดขึ้น ดนตร์หันมองไปที่ด้านซ้ายของตัวเอง อาการง่วงงุนหายเป็นปลิดทิ้งเมื่อรู้ตัวว่าคนที่นั่งหัวไหล่เกยกันคือกรณ์ เขาขยับตัว แผ่นหลังตั้งตรงและผินหน้าไปอีกฝั่ง รถเคลื่อนตัวไปเรื่อยๆ แต่หัวใจและความรู้สึกกลับไปติดอยู่ที่หัวไหล่เท่านั้น

   ดนตร์บังคับตัวเองไม่ไห้ใส่ใจกับไออุ่นจากอีกคนมากนัก แต่เขามันพวกหัวทึบ แถมยิ่งว่าก็เหมือนยิ่งยุ ความสนใจทั้งหมดของเขาพุ่งไปที่หัวไหล่แข็งแรงที่เบียดชิดกัน กรณ์นั่งในท่าที่สบายที่สุด พื้นที่คับแคบไม่ใช่ปัญหาสำหรับคนตัวสูงเกินหกฟุตเลยสักนิด ท่อนขายาวกางออกเต็มที่จนหัวเข่าชนกับต้นขาของเขา มือกดโทรศัพท์ด้วยความชำนาญ เขาไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายกำลังโต้ตอบการสนทนาหรือว่าเล่นเกมกันแน่ ได้ข่าวว่าช่วงนี้กรณ์ติดเกมมากถึงขนาดแชร์เกมที่ตัวเองเล่นในเฟซบุ๊ค

   หลายครั้งที่ทั้งหัวเข่าและไหล่กว้างเบียดมาแน่นกว่าปกติ คงเป็นเพราะจังหวะการโยกของตัวรถและถนนที่คดเคี้ยว แต่บางครั้งก็อดคิดไม่ได้ว่ามันเป็นความตั้งใจของคนข้างๆ อย่างตอนนี้ รถจอดสนิทที่แยกไฟแดง ทว่าหัวไหล่ของกรณ์ก็เกยซ้อนกับไหล่ของเขา ดนตร์พยายามกระถดตัวเข้าเบียดกับตัวรถ แต่อีกฝ่ายกลับแทรกไหล่เข้ามามากกว่าเดิมจนตัวเขาแทบจะไปอยู่บนแผ่นอกของกรณ์อยู่แล้ว ที่ร้ายที่สุดคือตอนที่เจ้าตัวกางแขนคล้ายกับจะบิดขี้เกียจ ช่วงแขนยาวยื่นผ่านตัวของเขา มองเผินๆ คล้ายกับเขากำลังถูกกรณ์โอบกอดอยู่

    ดนตร์เผลอหลับไปหลายครั้ง ศีรษะโขกกับกระจกรถอยู่ก็หลายครา พอเจ็บตัวก็ตื่นที แต่เมื่ออารมณ์ดำดิ่งเมื่อไรก็จะคอพับลงไปอีกรอบ ส่วนคนที่นั่งอยู่ติดกันก็ยังคงนั่งอยู่ท่าเดิม...ตลอดเส้นทาง

    ขบวนหนังสั้นของชนวีร์มาถึงสถานที่ตอนเกือบ 10 โมง อากาศดีพอสมควร ทุกคนที่อยู่ด้านในรู้ว่าจะมีการใช้สถานที่ถ่ายทำเลยให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี บางฉากต้องใช้พนักงานจริงเข้ามาร่วมถ่ายทำด้วย ลลิตาถูกปรับโฉมให้กลายเป็นสาวทำงานเต็มตัว ส่วนกรณ์ต้องรอจนกว่าคิวของลลิตาจะหมดถึงจะย้ายไปถ่ายอีกตึกที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกัน

    พอชนวีร์สั่งเดินกล้อง ทำหน้าที่ผู้กำกับเต็มตัว แต่ละคนต่างมีหน้าที่ของตัวเอง ยกเว้นแต่ดนตร์ เขาไม่ได้มีงานตายตัว เป็นแค่เบ๊ของชนวีร์เท่านั้น เขาหามุมยืนมองการแสดงของลลิตา เพื่อนสนิทคนสวยของเขาทำออกมาได้ดีเยี่ยม ลลิตามีฝีมือมากทีเดียว เขาเชื่อว่าในอนาคตลลิตาจะต้องเป็นนักแสดงที่น่าจับตาแน่นอน

    ใช้เวลาร่วมสองชั่วโมงชนวีร์ก็ได้ฉากที่ต้องการสมใจ ทีมงานบางส่วนย้ายไปที่อีกอาคารอยู่ด้านหลัง กรณ์ต้องไปถ่ายที่นั่น แต่ทีมงานที่ยังอยู่ต้องเก็บภาพจากมุมเดิมที่ลลิตาเคยอยู่ด้วย เป็นการถ่ายสลับกันไปมา เพื่อจะได้แสดงให้เห็นถึงอารมณ์ของหนุ่มสาวที่สื่อสารกันผ่านแผ่นกระดาษ บอกความในใจ แต่มันลึกซึ้งและจริงใจมากกว่าการใช้โซเชี่ยวเน็ตเวิร์ก ดนตร์ต้องตามชนวีร์ไปด้วย เขาแอบมองพระเอกของเรื่องเป็นระยะ วันนี้กรณ์ดูหล่อเหลากว่าที่เคยเห็น ด้วยเสื้อผ้า การแต่งหน้าและทรงผม ทำให้กรณ์กลายเป็นหนุ่มเต็มตัว และเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ เขาได้ยินสาวๆ หลายคนในกองพร่ำพรรณนาชื่นชมในความดูดีเกินไปของกรณ์ ไม่ใช่แค่ทีมงานแต่รวมไปถึงผู้หญิงที่ทำงานอยู่ยังแอบชื่นชมพระเอกของเรื่องไม่ได้

     กรณ์จริงจังมากขึ้น ใบหน้าหล่อเหลามีแววกังวลเล็กน้อย ไม่นานชนวีร์ก็สั่งเดินกล้องแล้วเริ่มถ่ายทำ กรณ์ดูจะเกร็งและประหม่าอยู่ไม่น้อย เขาทำได้ดีแต่ชนวีร์ยังไม่พอใจ คงเป็นเพราะกรณ์ไม่ได้เรียนการแสดงมาโดยตรง บางอิริยาบถเลยยังดูไม่เป็นธรรมชาติ

   “คัท! กรณ์ใจเย็นๆ ฉันว่านายเกร็งไปหน่อย ผ่อนคลายๆ หายใจเข้าลึกๆ”

    คิ้วหนาขมวดมุ่น แม้จะอยู่ห่างเป็นสิบเมตรแต่เขาก็ยังเห็นความตึงเครียดที่รายล้อมอยู่รอบตัวของกรณ์ เขาเข้าใจเพราะอีกฝ่ายจับแต่ดินสอวาดรูป ไม่เคยเข้าคอร์สเรียนการแสดง แม้จะเคยซ้อมมาบ้างแต่เวลาถ่ายทำจริงๆ มันยากกว่านั้น เขาเห็นกรณ์เดินเข้าไปหาชนวีร์ ทั้งคู่พูดคุยอะไรบางอย่างกันสักพัก เขาเกือบจะเดินไปหาลลิตาที่กำลังนั่งกินขนมอย่างไม่แคร์ตัวเลขบนตาชั่งแล้ว หากชนวีร์ไม่เรียกเขาไว้เสียก่อน

    “ลูกเจี๊ยบ นายมานี่ซิ”

    เจ้าของชื่อวิ่งเข้าไปหา ชนวีร์มีสีหน้าลำบากใจ มืออูมยื่นมาจับที่หัวไหล่ของเขาไว้ “นายช่วยมายืนตรงหน้าต่างหน่อยได้ไหม”

   “ครับ?” คิ้วหนาแต่เรียงสวยเลิกสูงด้วยความสงสัย

   “เอาน่า แค่ยืนตรงนั้น แล้วก็มอง...มองมาที่กรณ์ แค่นี้ทำได้ไหม”

   “ทำไมต้องมองล่ะครับ”

   “เออ! ฉันให้ทำอะไรก็ทำไปเถอะน่า!”

    พอชนวีร์เริ่มเสียงดังเขาเลยยอมสงบปากสงบคำ ดนตร์พาร่างสมส่วนของตัวเองไปมุมที่ผู้กำกับตัวอ้วนบอก แม้จะยังไม่เข้าใจจุดประสงค์แต่ก็ไม่กล้าจะถามอะไรอีก หน้าที่ของเขาคือแค่ยืนนิ่งอยู่ข้างบานหน้าต่างหลังตากล้อง กรณ์แสดงบทเดิมอีกครั้ง เริ่มจากยืนถ่ายเอกสารด้วยความเบื่อหน่าย จากนั้นก็ดูนาฬิกาบนข้อมือตัวเอง แล้วก็เริ่มเขียนข้อความบางอย่างลงในกระดาษ ร่างสูงหมุนตัวมาทางเขา กรณ์ยกกระดาษในมือขึ้นสูงระดับหน้าอก ต้องสื่อสารทางสายตาโดยไร้บทพูด ดนตร์รู้สึกร้อนวูบวาบไปหมด เพราะดวงตาคมคู่นั้นมันมองมาที่เขา

    เด็กหนุ่มหลุบตาต่ำ เขาไม่อาจทนประสานสายตากับคนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามได้ ดนตร์สูดหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่บอกกับตัวเองว่าบางทีมันอาจเป็นแค่การคิดไปเองเท่านั้น เขาเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง แต่ก็ยังเห็นกรณ์มองมาที่ตัวเองอยู่ดี ผิวหน้าของเขาร้อนผ่าวราวกับจับไข้ หัวใจเต้นรัวเร็ว ต้องแกล้งทำเป็นไม่รู้สึกอะไร ทั้งที่ภายในมันสั่นไหวอย่างรุนแรง

    “คัท!” ชนวีร์ตะโกนเสียงดัง ใบหน้าอิ่มเต็มไปด้วยความยินดี “ดีมาก! เอาๆ เก็บของวันนี้พอแค่นี้ก่อน”

    ดนตร์ถอยหายใจเหยียดยาวเช่นเดียวกับคนอื่นๆ กรณ์ไม่ได้มองมาที่เขาแล้ว ร่างสูงในชุดพนักงานออฟฟิศหายไปในวงล้อมของทีมงานและสาวๆ ที่เข้ามาให้กำลังใจและหนึ่งในนั้นคือโยษิตา เขาไม่รู้ว่าเธอมาตอนไหน แต่ตอนนี้ร่างน้อยอรชรเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของกรณ์แล้ว ไอร้อนบนหน้าจางลงไปเรื่อยๆ อัตราการเต้นของหัวใจก็เช่นกัน เขาเพิ่งกระจ่างใจ ดวงตาคู่นั้นไม่ได้มองมาที่เขาหรอก มันเป็นแค่การแสดง กรณ์คงจินตนาการว่าอีกฟากนึงของอาคารมีร่างของโยษิตาอยู่ ส่วนเขาก็แค่คนไร้ค่าที่ควรจะอยู่ในมุมมืดเท่านั้น...


    ดนตร์ยังคงไปช่วยชนวีร์ทำงานอย่างต่อเนื่อง แต่พยายามไม่เอาหน้าไปเสนอให้กรณ์เห็นมากนัก เขามักจะหลบอยู่ตามมุมต่างๆ ใช้ความมืดอำพรางตัว โยษิตาตามมาที่กองถ่ายแทบทุกวัน สองหนุ่มสาวไม่เคยอายที่จะแสดงความรักต่อหน้าคนอื่นหรือในที่สาธารณะ ลลิตากระซิบบอกกับเขาว่า โยษิตาอยากจะประกาศให้ทุกคนรู้ว่าตนเป็นคนรักของกรณ์ ซึ่งอันที่จริงโยษิตาไม่ต้องทำอย่างนั้นทั้งโลกก็รู้ว่าเธอเป็นอะไรกับกรณ์ เพราะเธอมักจะโพสต์รูปคู่กับกรณ์ ทั้งกอด หอมแก้มหรือแม้แต่จูบ

   เขาไม่ได้กดติดตามเฟซบุ๊คของกรณ์แต่เขาติดตามโยษิตา ดังนั้นรูปถ่ายพวกนั้นมันมักจะโผล่มาให้เห็นเป็นระยะๆ อันที่จริงโยษิตาก็ไม่แปลกหรือแตกต่างไปจากผู้หญิงคนอื่นๆ อัพรูปน่ารักๆ ของตัวเอง และรูปคู่กับคนรัก

    การถ่ายทำดำเนินไปได้ด้วยดี ทั้งลลิตาและกรณ์แสดงได้ดีตามที่ชนวีร์ต้องการ จนถึงฉากสุดท้าย ที่ต้องถ่ายทำท่ามกลางสายฝนจำลองและนั่นทำให้เขาลุกจากเตียงไม่ไหว

    หน้าที่สุดท้ายของเขาก่อนจะมานอนซมบนเตียงคือติดต่อหารถทำฝนเทียม มันไม่ใช่งานยาก ทว่าเขาต้องคอยควบคุมปริมาณของน้ำด้วยทำให้ไม่อาจห่างจากตัวรถได้ ละอองน้ำกระเซ็นใส่ตัวจนเสื้อชื้น แถมเวลาที่ใช้ในการถ่ายทำก็นานเกือบชั่วโมง บวกกับอากาศที่หนาวเย็นทำให้ไข้หวัดเล่นงานเขาตั้งแต่กลับถึงหอพัก แม้จะกินยาก่อนนอนไปแล้วแต่มันก็ช่วยอะไรไม่ได้ ทันทีที่ลืมตาตื่นเขาก็ปวดเมื่อยไปทั้งตัว หัวหนักอึ้งจนต้องร้องคราง ดีที่มิ่งขวัญเห็นความผิดปกติเลยอาสาจะไปบอกเมธัสให้ พร้อมกับซื้อโจ๊กมาทิ้งไว้ แต่เขาก็ไม่เหลือเรี่ยวแรงพอที่ลุกขึ้นมากิน ปล่อยให้พิษไข้เล่นงานจนหลับไปอีกรอบ

    ดนตร์ตื่นมาอีกครั้งเพราะไอเย็นบางอย่างสัมผัสผิวกาย กระบอกตาแสบร้อนไปหมดแต่ก็พยายามเปิดเปลือกตาขึ้นจนได้ ภาพที่เห็นพร่าเลือนไม่ชัดเจน ริมฝีปากและลำคอแห้งผากจนต้องร้องขอน้ำ แล้วก็มีคนใจดีจ่อหลอดชิดกับริมฝีปาก เขาดูดน้ำจากหลอดด้วยความกระหาย

   “ใจเย็นๆ เดี๋ยวก็สำลักหรอก” เสียงอบอุ่นปลอบประโลม เขารู้สึกถึงแรงรั้งที่หัวไหล่และผ่อนลงเมื่อเขาเบือนหน้าหนีจากหลอดน้ำ

    คนป่วยเอนตัวกลับลงไปนอนอีกครั้ง น้ำที่ซึมซับเข้าสู่ร่างกายพลอยทำให้ความทรมานลดลงไปได้บ้าง ดนตร์ลืมตาขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ภาพที่เห็นดีขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อยแต่ก็ยังไม่ชัดเจนเท่าไรนักเพราะสายตาที่สั้นและไอร้อนของพิษไข้ที่ยังมีอยู่

   “มิ่ง..เหรอ”

    “อะไรกัน น่าน้อยใจชะมัด จำพี่ชายคนนี้ไม่ได้หรือไง”

   ‘พี่ชาย’ คิ้วเข้มเรียงสวยขมวดน้อยๆ มือควานหาแว่นเพื่อช่วยในการมองเห็น พอได้เครื่องมือเขาถึงได้รู้ว่าคนใจดีที่มาเยี่ยมเขาเป็นใคร

   “พี่ธาม”

    เจ้าของชื่อระบายยิ้มอ่อนโยน มือหนาลูบที่กลุ่มผมของเขาแผ่วเบา “ทำไมขี้โรคจัง เพิ่งรู้จักกันแป๊บเดียวนายป่วยไปสองรอบแล้วรู้ไหม”

    คนป่วยยกยิ้มเพราะอาการปวดหัวยังไม่ดีนักเลยทำให้คิดหาคำแก้ตัวไม่ได้ แต่ก็จริงอย่างที่ธาวินพูด เขาขี้โรคแค่แผลอักเสบกับโดนน้ำนานไปหน่อยก็ป่วยเสียแล้ว สงสัยพอหายไข้คงต้องไปเข้าฟิตเนสเพิ่มความแข็งแรงเสียหน่อยแล้ว

   “ดีนะที่คราวนี้ไม่หนักเท่าครั้งที่แล้ว นี่นายกินอะไรหรือยัง”

    ดนตร์ส่ายหน้าทั้งที่ยังนอนบนหมอน “พี่ซื้อเกี๊ยวน้ำมาด้วย นายลุกขึ้นมากินหน่อยนะ”

   “มีโจ๊ก...”

   “มันเย็นหมดแล้ว กินที่พี่ซื้อมาดีกว่า กำลังร้อนๆ”

    คนอายุน้อยกว่ายันกายขึ้น แต่เพราะอาการยังไม่ดีนักเลยต้องทิ้งตัวลงไปอีกรอบ เดือดร้อนถึงอีกคนต้องช่วยประคองขึ้นมา ดนตร์พิงศีรษะกับกำแพงห้องเพราะเตียงของเขาไม่มีหัวเตียงสวยๆ ดีหน่อยที่งวดนี้อาการป่วยของเขาไม่หนักเท่าครั้งก่อน แต่ก็เล่นงานจนลุกไปไหนไม่ได้

    ธาวินเป่าจนไอร้อนคลายลง เกี๊ยวสีเหลืองน่ากินถูกจ่อตรงหน้า ทว่าดนตร์กลับไม่กล้ากินมันทั้งที่ท้องประท้วงร้องขอ เขากระดากใจ เพราะถึงจะป่วยแต่เขาก็เป็นผู้ชาย

    “ผมว่า...ผมกินเองดีกว่า”

   “นายป่วยอยู่ รีบๆ กินเข้าจะได้กินยา ไม่อยากหายป่วยหรือไง”

    ดนตร์ชั่งใจอยู่ร่วมครึ่งนาทีก่อนจะตัดสินใจกินเกี๊ยวในมือของธาวิน รสหวานกำลังดีและน้ำซุปที่เข้มข้นช่วยละลายความเก้อเขินได้ เขากินเกี๊ยวที่ธาวินป้อนให้จนหมด แถมคนใจดียังตบท้ายด้วยน้ำชาอุ่นๆ อีกแก้ว อาการปวดมึนศีรษะทุเลาลงไปบ้าง หลังจากได้รับอาหาร แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังต้องพึ่งยาอยู่ดี ดนตร์ทำหน้าเบ้ตอนที่รสขมของยาสัมผัสกับปลายลิ้น เขาต้องรีบกินน้ำตามไป เพื่อลบล้างความขม

   “เหนียวตัวไหม อยากให้พี่ช่วยเช็ดตัวให้หรือเปล่า”

   “ไม่เป็นไรครับ” ดนตร์สั่นหน้า “นอนต่ออีกนิดก็น่าจะดีขึ้น ขอบคุณพี่ธามมากนะครับ ผมเลยติดหนี้บุญคุณพี่สองครั้งแล้ว”

    “ไม่ต้องรีบๆ พี่มีเวลาให้นายตอบแทนอีกนานเลยล่ะ” ธาวินยิ้มบางๆ ที่มุมปาก “นายนอนเถอะ เดี๋ยวพี่จะไปเรียนแล้ว แต่ถ้าตื่นมาแล้วยังรู้สึกไม่ดีรีบโทรหาพี่นะ”

    ดนตร์พยักหน้าอือออ ไม่นานยาแก้หวัดก็ออกฤทธิ์ เปลือกตาหนักขึ้นทุกที ความคิดช้าลงเรื่อยๆ กระทั่งทุกอย่างหยุดนิ่งและภาพที่เห็นกลายเป็นสีดำ

   ริมฝีปากบางยกยิ้มมองดูคนป่วยที่หลับไปทั้งที่ยังสวมแว่นตา ก้านนิ้วแข็งแรงดึงเอาแว่นทรงเชยๆ ออกจากกรอบหน้าได้รูป ดนตร์ไม่รู้ตัวหรอกว่าใบหน้ายามไร้แว่นน่ามองแค่ไหน พวงแก้มใสเนียนละเอียด ดนตร์เป็นผู้ชายที่มีผิวพรรณดียิ่งกว่าผู้หญิง ไม่เพียงแค่ขาวจัดแต่ยังผ่องใสนวลเนียนอีกด้วย ดวงตากลมตวัดเฉี่ยวขึ้นน้อยๆ รับกันดีกับคิ้วยาวทอดจรดหางตา จมูกโด่ง ริมฝีปากแดงจัดโดยไม่ต้องพึ่งลิปสติก เรือนร่างโปร่งแต่ไม่ได้ผอมบางอย่างคนขาดสารอาหาร เขาเชื่อว่าถ้าหากจับเปลี่ยนทรงผม กับปรับการแต่งตัวอีกนิดหน่อย เจ้าเด็กเนิร์ดคนนี้จะกลายเป็นหนุ่มฮอตได้อย่างแน่นอน

    แต่เป็นเจ้าดนตร์สี่ตานี่ก็ดีเหมือนกัน เขาชอบความใสซื่อที่มองแล้วเหมือนจะไร้เสน่ห์แบบนี้มากกว่า มันดูน่าค้นหา ชายหนุ่มอมยิ้มกับตัวเอง ใบหน้าในตอนหลับน่ารักไม่แพ้กับตอนตื่น ธาวินงอข้อนิ้ว เกลี่ยไปบนพวงแก้มนุ่ม ไล่เรื่อยลงไปจนถึงริมฝีปากสีสวย นิ้วแตะแผ่วเบาแต่อ้อยอิ่ง มืออีกข้างล้วงโทรศัพท์ออกจากกระเป๋ากางเกงแล้วกดถ่ายภาพนิ้วมือของเขาที่กำลังไล้บนกลีบปากสดปลั่ง ก่อนจะอัพเดทรูปในเฟซบุ๊คพร้อมกับแค็บชั่นสั้นๆ ว่า

    ‘ฝันดีนะ เจ้าหญิงของพี่’

(มีต่อ)

ออฟไลน์ libra82

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 285
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +236/-5
       ในอกร้อนเหมือนมีใครมาจุดไฟสุม หูอื้ออึงได้ยินแค่เสียงลมดังหวีดหวิวอยู่ด้านใน ตาคมแข็งกร้าว เขาแทบจะปาโทรศัพท์ทิ้งทันทีที่ผู้เป็นเพื่อนรักโพสต์รูปริมฝีปากของใครสักคนที่มีนิ้วมือของเจ้าตัวแตะอยู่บนนั้น คนอื่นๆ ต่างฮือฮาที่จู่ๆ คนโสดอย่างธาวินจะโพสต์รูปแนวนี้ แถมยังมีข้อความชวนให้คิดว่าเจ้าตัวอาจจะมีคนพิเศษแล้ว แต่ที่ทำให้เขาเหมือนเป็นกาต้มน้ำที่กำลังเดือดได้ที่ เพราะเขารู้ว่าผู้ที่เป็นเจ้าของกลีบปากสีสวยนั่นคือ...ดนตร์!

    บ้าเอ๊ย! ต้องสนิทกันมากขนาดไหนถึงถ่ายรูปนี้มาได้!

    ความคิดไหลลื่นหยุดลงทันที ดินสอที่กำลังจดจ่ออยู่บนแผ่นกระดาษเกือบจะหักคานิ้วมือ ความโกรธถูกระบายใส่ทุกสิ่ง ยกเว้นแต่คนต้นเหตุ แต่ที่น่าโมโหมากไปกว่านั้นคือเขายังหาเหตุผลไม่ได้ว่า ทำไมเขาต้องโกรธธาวิน ไม่สิ! ทำไมเขาต้องใส่ใจไอ้เด็กนั่นด้วย มันจะไปอยู่กับใครที่ไหน หรือทำอะไร ก็ไม่เกี่ยวกับเขา ทว่ายิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ เขาไม่เคยห้ามความคิดของตัวเองได้เลย ทุกครั้งที่เผลอดวงตาของเขาก็จะคอยมองหา และพอรู้สึกตัวก็จะก่นด่าในความสับสนของตัวเอง

    เขาเป็นผู้ชาย...ผู้ชายก็ต้องคู่กับผู้หญิง ที่สำคัญดนตร์ไม่มีอะไรเหมาะสมกับเขาสักอย่าง ตั้งแต่เพศจนไปถึงรูปร่างหน้าตา...กรณ์บอกกับตัวเองอย่างนั้น

   แต่กลับมีข้อความจาก กรณ์korn คอมเมนท์ที่ใต้ภาพของธาวินว่า

    ‘เป็นปาก...ที่นุ่มเหมือนมาร์ชเมลโล่เลยล่ะ’

    ดนตร์กลับไปเรียนได้ในวันรุ่งขึ้น เลยได้รู้ว่าที่ธาวินไปเยี่ยมเขาได้ถูกจังหวะเป็นเพราะเมธัสนั่นเอง หมอนั่นบอกว่ารุ่นพี่ต่างคณะมาถามหาเขา เจ้าเพื่อนตัวดีเลยรายงานเสร็จสรรพ เขาไม่ได้โกรธเมธัส เพราะธาวินเขาถึงได้กินเกี๊ยวอร่อยๆ และหายป่วยไวขึ้น

    ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยดำเนินไปอย่างปกติ ทำรายงาน ทำการบ้าน อ่านหนังสือ และโผล่ไปที่ชมรมบ้างเมื่อมีเวลา หมู่นี้พี่วินไม่ได้เรียกตัวเขาเท่าไร คงอยู่ในระหว่างตัดต่อหนัง ซึ่งอีกไม่เกินอาทิตย์หนังเรื่องนี้ก็ถูกส่งให้คณะกรรมการ เขาเองก็อดตื่นเต้นไม่ได้เพราะเชื่อเหลือเกินว่าผลงานชิ้นนี้ของชนวีร์ต้องดีเยี่ยมกว่าที่ผ่านมา เขาได้เจอกับอัคคีบ้าง รายนั้นคงทั้งเรียนทั้งทำงานหนักเพราะปีนี้ก็จะจบแล้ว ขอบตาเลยดำคล้ำคล้ายหมีแพนด้าเข้าไปทุกที

    เมธัสชวนเขาเข้าไปทำรายงานที่ห้องสมุด เขาเพิ่งค้นพบว่าการที่ได้ขลุกอยู่ในที่เงียบๆ มีเพียงแค่เสียงพลิกหน้ากระดาษ มันทำให้ผ่อนคลายไม่น้อย ดังนั้นนอกจากชมรมแล้ว คนเพื่อนน้อยอย่างเขาก็เหมาะกับห้องสมุดเหมือนกัน ทั้งสองเลือกมุมที่อยู่ใกล้กับชั้นหนังสือที่เหมาะกับการเขียนรายงาน อาจารย์เกลือไม่อนุญาตให้นักศึกษาทำรายงานด้วยการพิมพ์ แต่บังคับให้ใช้ลายมือตัวเองเท่านั้น

    เมธัสพลิกหน้ากระดาษอย่างใจเย็น พลางจดข้อมูลที่ต้องการลงไปในหน้ากระดาษ ถ้าเทียบกันแล้วเมธัสลายมือดีกว่าเขาเล็กน้อย แต่คนที่แย่ที่สุดคือลลิตา รายนั้นน่าจะไปเรียนหมอมากกว่า ทั้งคู่นั่งทำรายงานเงียบๆ ลลิตาส่งข้อความว่าจะตามมาสมทบ หลังจากเสร็จจากงานกิจกรรมของคณะ ช่วงนี้ลลิตาถูกรุ่นพี่เรียกตัวทุกวันเพราะใกล้วันแข่งขันกีฬาภายในของมหาวิทยาลัยแล้ว แน่นอนว่าคนสวยอย่างลลิตาไม่ได้ลงแข่งในกีฬาประเภทใด แต่เป็นหนึ่งในเชียร์ลีดเดอร์ของคณะต่างหาก ส่วนเขากับเมธัสรับตำแหน่งผู้นั่งสแตนคอยปรบมือให้จังหวะ ซึ่งอีกไม่กี่วันคณะคงเรียกซ้อมพร้อมกัน     

   “นี่แก ฉันเพิ่งเห็นพี่ธามอัพรูป แกว่าคนในรูปใช่แฟนพี่เค้าหรือเปล่า”

   “ฉันจะไปรู้ได้ยังไง แต่ก็น่าคิดนะ อัพรูปปากคนแถมยังเอานิ้วเกลี่ยอีก สงสัยฉันคงได้อกหักอีกรอบแหงๆ พี่กรณ์ก็มีแฟนแล้ว พี่ธามก็ทำท่าเหมือนจะมีแฟนอีก”

   “นั่นยังน้อยไป มีเด็ดกว่านั้นอีกนะ แกเห็นที่พี่กรณ์คอมเมนท์หรือเปล่า”

   “ไม่เห็นๆ คอมเมนท์มีเป็นร้อยใครจะไปไล่อ่านทัน”

   “นี่ๆ มีคนแค็บหน้าจอแล้วส่งมาให้ฉันดู พี่กรณ์เมนท์ว่า ‘เป็นปาก...ที่นุ่มเหมือนมาร์ชเมลโล่เลยล่ะ’ ถ้าไม่ได้ล้อเล่น เจ้าของปากในรูปนั่นอาจจะเป็นคนที่พวกพี่เขารู้จัก หรือไม่อย่างนั้นก็อาจจะเป็นยาหยี โอ๊ย! ฉันละอยากให้เป็นยัยยาหยีซะจริง ศึกชิงนาง ใครชนะได้ยัยบ้านั่นไป ส่วนคนแพ้ฉันจะรับรักษาแผลใจเอง”

    “เพ้อเจ้อ หล่อๆ อย่างนั้นจะมาแย่งผู้หญิงคนเดียวกันทำไม แถมยัยนั่นก็ไม่เห็นมีอะไรน่าแย่งสักนิด พูดแล้วก็หมั่นไส้ อัพรูปกับพี่กรณ์ทุกวัน”

    มือที่กำลังเปิดหน้ากระดาษหยุดค้าง เขาเผลอกลั้นลมหายใจเมื่อบังเอิญไปได้ยินบทสนทนาจากผู้หญิงสองคนที่นั่งอยู่ในโต๊ะตัวถัดไป เขารู้ว่ามันการเสียมารยาทที่แอบฟังผู้อื่นแต่เพราะมีชื่อของคนที่เขารู้จักอยู่ด้วยเลยเผลอหยุดฟังไปโดยไม่ตั้งใจ เขาสามารถจับใจความจากการได้ยินทั้งหมด แต่ไม่รู้ว่าบุคคลไร้นามที่พวกเธอพูดถึงเป็นใคร อาจจะเป็นคนรักของธาวินจริงๆ หรืออาจจะเป็นโยษิตา มันมีความเป็นไปได้ทั้งสองกรณี

    ความคิดสะดุดลงอีกครั้งเพราะโทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋ามันสั่นครืดคราดเตือนว่ามีข้อความมา คิ้วเรียวขมวดน้อยๆ มองดูการแจ้งเตือนที่มาจากเฟซบุ๊ค ปลายนิ้วกดเลื่อนดูก็ต้องพบว่ามันเป็นภาพที่พี่ธามแท็กมาให้ ภาพริมฝีปากแดงสดของใครสักคนที่มีปลายนิ้วเกลี่ยรอบขอบปาก หัวใจของเขาเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ ทั้งรูปทรง และปลายจมูกที่ติดมาด้วยในรูป มันคุ้นเคย...ราวกับเคยเห็นมาตลอดชีวิต

   มันเป็นปากของเขา!

    หลังจากนั้นไม่ถึงนาทีก็มีข้อความเข้ามาหาเขาจนนับไม่ถ้วน ดนตร์รีบกดปิดการแจ้งเตือนด้วยความตกใจ ดนตร์ทั้งมึนงงและสับสน คำถามเกิดขึ้นมากมาย ทำไมพี่ธามถึงได้ถ่ายรูปริมฝีปากของเขา แล้วทำไมต้องจงใจแท็กมาหาเขาด้วย สมองเริ่มทำงาน คิดหาความเป็นไปได้ ถ้ารูปนั่นเป็นเขาจริงๆ ธาวินคงใช้ช่วงเวลาที่เขาหลับอยู่เก็บภาพเอาไว้...แต่ทำไมต้องทำอย่างนั้น

    “เฮ้ย! เพลง มีคนส่งข้อความมาถามฉันว่าแกกำลังคบอยู่กับพี่ธามจริงเปล่าด้วย นี่มันอะไรกันวะ”

    เมธัสยื่นโทรศัพท์มาให้ดู มันเป็นข้อความจากใครสักคนที่เขาไม่รู้จัก เพื่อนสนิททำหน้างงเป็นไก่ตาแตก แล้วจมดิ่งไปกับโลกโซเชี่ยวเพื่อค้นหาที่มาที่ไปแทนการถามจากคนโง่อย่างเขา ที่ถึงแม้จะเกี่ยวข้องกับตัวเองโดยตรงแต่กลับไม่รู้อะไรเลย

    นานร่วมห้านาทีเมธัสก็เงยหน้าขึ้น ดวงตากลมโตเต็มไปด้วยคำถาม แต่ก็แฝงไปด้วยความไม่พอใจ เพื่อนสนิทของเขาถอยหายใจเสียงดังก่อนจะเล่าเรื่องที่รับรู้มาให้ฟัง

    “เมื่อสามวันก่อนพี่ธามอัพรูปนี้ แล้วก็แค็บชั่นว่า ฝันดีนะเจ้าหญิงของพี่ ทุกคนก็คิดว่าพี่ธามคงมีแฟนแล้ว แต่พี่กรณ์มาคอมเมนท์ต่อว่า เป็นปากที่นุ่มเหมือนมาร์ชเมลโล่เลยล่ะ ทุกคนพยายามสืบว่าคนในรูปคือใคร แล้วก็มีข่าวว่าพี่ธามกับพี่กรณ์มีปากเสียงกัน ล่าสุดพี่ธามก็แท็กภาพนี้มาหานาย...นี่มันเรื่องอะไรกันวะดนตร์ นายไปเกี่ยวอะไรกับสองคนนั่น”

    ดนตร์ส่ายหน้าไปมา เขาไม่รู้จริงๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น เขาไม่ได้ติดตามทั้งกรณ์และธาวินในเฟซบุ๊ค เลยไม่ได้เห็นความเคลื่อนไหวของทั้งคู่ แถมยังต้องทำรายงานเยอะจนแทบไม่มีเวลาไปเช็คข่าวคราวของใคร เมธัสทำท่าเหมือนจะลากคอเขาไปเค้นความจริงให้ได้ แต่เขายังคงส่ายหน้าเหมือนเดิม ไม่รู้เรื่องอะไรทั้งสิ้นแม้ว่าเขาจะเป็นคนในรูปจริงๆ

   เมธัสหรี่ตากลมจนเป็นเส้นเล็ก จากนั้นก็ถอนหายเสียงดัง ยื่นมือข้ามโต๊ะมาตบที่หัวไหล่ของเขาสองสามที

    “สงสัยงานนี้แกโดนแฟนคลับพี่ธามแหกอกแน่ เตรียมใจไว้ได้เลย”



    เขาไม่เชื่อในคำเตือนของเมธัสเท่าไรนัก เพราะเดาไม่ออกว่าธาวินจะพิศวาสเขาได้อย่างไร เขาเป็นคนธรรมดาที่ออกจะจืดชืดน่าเบื่อด้วยซ้ำ ที่สำคัญเขาเป็นผู้ชาย จะมองจากมุมไหนก็ไร้ความเหมาะสมสิ้นดี ดนตร์ออกจากห้องสมุดตอนเกือบบ่ายสาม ท้องร้องขออาหารก่อนมื้อเย็น เขาตั้งใจจะไปที่โรงอาหารก่อนแล้วค่อยกลับไปหอพัก วันนี้พี่วินไม่ได้เรียกใช้งาน ร่างกายและสมองกำลังเหนื่อยล้าได้ที่ วันนี้เขาจะกลับหอรีบเข้านอน ปิดท้ายวันที่แสนสับสนให้เร็วที่สุด

    ทว่าอะไรๆ มันไม่ง่ายดายอย่างที่วางแผนไว้ แค่เส้นทางที่ทอดไปโรงอาหาร เขาก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นที่จับจ้อง สำหรับคนธรรมดาไร้ความน่าสนใจอย่างเขาแล้ว มันเป็นเรื่องแปลกประหลาด บางทีคำเตือนของเมธัสอาจจะเป็นจริงก็ได้ เด็กหนุ่มพรูลมหายใจเบาบาง ทำเป็นไม่ใส่ใจ อย่างไรเสียท้องเขาก็สำคัญที่สุด

    บรรยากาศภายในโรงอาหารผิดปกติจนรู้สึกได้ เสียงพูดคุยเงียบลงเมื่อเขาไปถึง จากนั้นทุกสายตาก็มองตรงมา มีเสียงกระซิบกระซาบเป็นระยะๆ แต่เขาก็ยังแกล้งไม่สนใจ แม้ว่าสองขาเริ่มจะสั่นบ้างแล้วก็ตาม ดนตร์ไปสั่งข้าวร้านประจำ มือประคองถาดข้าวลำบากกว่าปกติเล็กน้อยเพราะมันสั่นด้วยความประหม่า เขาเลือกที่จะนั่งในส่วนท้ายสุดของโรงอาหาร มันค่อนข้างเงียบและมืด เขารีบกินและตั้งใจจะไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด....แต่ก็อีกนั่นแหล่ะไม่เคยมีอะไรง่ายสำหรับดนตร์

   “ทำไมกินข้าวเร็วจัง หรือว่ามื้อเที่ยง”

    ตากลมช้อนขึ้น รสชาติของอาหารเฝื่อนลงทันที ดนตร์ฝืนยิ้มให้คนตรงหน้า “ผมหิวครับ”

   “หิวก็โทรบอกพี่สิ เดี๋ยวพี่ซื้อขนมไปให้” อีกฝ่ายตอบ ก่อนจะนั่งในเก้าอี้ที่ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้าม คราวนี้ความสงบเงียบถูกทำลายอย่างแท้จริง แทบจะทั้งโรงอาหารหันมามองที่พวกเขา

    ดนตร์อยากจะลุกหนีไปเสียเดี๋ยวนั้น แต่เขาไม่เคยทำได้ดั่งใจที่ใจคิดเลย มือเรียวตักข้าวเข้าปากทั้งที่อิ่มแล้ว

   “เห็นรูปแล้วใช่ไหม พี่ขอโทษนะที่ถ่ายรูปนายโดยไม่ได้ขอก่อน”

    “เอ่อ...ไม่เป็นไรครับ ผมไม่ได้คิดอะไร”

    “แต่พี่คิดนะ...” ธาวินยกยิ้ม ดวงตาเป็นประกายวาววับ ดนตร์รีบก้มหน้ามองจานข้าว “เราไม่คิดอะไรกับพี่จริงๆ น่ะเหรอ”

    คนถูกถามไร้คำตอบ หัวคิ้วขมวดน้อยๆ ตั้งแต่เกิดมาจนอายุ 19 ปีไม่เคยมีใคร ไม่ใช่สิ ไม่เคยมีผู้ชายคนไหนพูดจาทำนองนี้กับเขามาก่อน แม้ว่าจะเคยมีความรักมาบ้างแต่ก็เป็นกับผู้หญิงแค่คนเดียว แถมเลิกรากันไปตั้งแต่เขาเรียนไฮสคูลปีสอง เขาแทบจำความรู้สึกของคนมีความรักไม่ได้แล้ว

    ดนตร์ยังคงก้มหน้าอยู่อย่างเดิม และยังไม่มีคำตอบให้อยู่ดี

    “โกรธพี่เหรอ” น้ำเสียงที่ใช้ถามอ่อนลง ดนตร์เงยหน้ามอง เพิ่งสังเกตเห็นว่าที่มุมปากของธาวินมีรอยช้ำอยู่ด้วย

   “ปากพี่ไปโดนอะไรมาเหรอครับ”

    ธาวินยกมือแตะมุมปากข้างที่ได้รับบาดเจ็บ ชายหนุ่มส่ายหน้าเล็กน้อย “ไม่มีอะไรหรอก แค่หมามันหาเรื่องน่ะ”

    “หมา?”

    “อืมหมา...” รุ่นพี่หนุ่มพยักหน้ารับ “ว่าแต่เราเถอะ หายดีแล้วเหรอ ทำไมไม่เอาผ้าพันคอมาด้วย เดี๋ยวก็ป่วยอีก”

    ดนตร์เผลอยกมือจับที่คอ เพราะวันนี้เขาเลือกที่จะสวมเสื้อยืดแขนยาวโดยไร้อาภรณ์ให้ความอบอุ่นอีก อากาศก็หนาวเย็นลงทุกวัน ไม่ใช่ว่าไม่ห่วงสุขภาพแต่เขามันขี้หลงขี้ลืม

    แล้วไออุ่นจากบางอย่างก็พันรอบลำคอ ดนตร์กระพริบตารัวเร็ว เพราะสมองสั่งการล่าช้าเลยไม่อาจสั่งการให้ร่างกายตอบรับหรือปฏิเสธได้ในนาทีนั้น

    “อ่ะ พี่ให้ยืม แต่ถ้านายไม่อยากคืนพี่ก็ยินดีให้ไปตลอดชีวิต”

   “ห๊ะ!”

     ธาวินยิ้มกว้าง  ใช้มือโยกหัวรุ่นน้องเบาๆ ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความมึนงงสับสนของดนตร์น่ารักน่าชังนัก ผ้าพันคอสีขาวสลับกับสีฟ้าเข้ากับดนตร์ได้ดีกว่าเขาที่เป็นเจ้าของเสียอีก ใครจะว่าเขาบ้าหรือเพี้ยนที่ดันมาชอบผู้ชายเหมือนกันก็ไม่สนใจ ในเมื่อดนตร์น่ารักถูกใจเขาถึงขนาดนี้ ทำไมเขาต้องแคร์คนอื่นในเมื่อมันคือความพึงพอใจของเขาเอง

    “มันก็จริงอย่างที่เขาพูดกันน่ะซิ ธามนายชอบเด็กนี่จริงๆ เหรอ”

    ทั้งธาวินและดนตร์หันมองหาผู้พูด ซึ่งก็อยู่ไม่ไกลหนัก ดนตร์เห็นโยษิตา และข้างๆ กันนั้นคือคนรักของเธอ...กรณ์

    ธาวินยังไม่ตอบในทันที ร่างสูงลุกจากที่นั่ง ก้าวยาวๆ ไม่กี่ทีก็ถึงตัวคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ชายหนุ่มวาดมือโอบรอบหัวไหล่เล็ก บีบมือกระชับอีกทีเพื่อตอกย้ำความสัมพันธ์

    “นายชอบผู้ชายเหรอธาม ฉันไม่เคยรู้มาก่อนเลย” โยษิตาถามต่อทั้งที่ยังไม่ได้คำตอบแรกที่ถามไป ใบหน้าน่ารักเต็มไปด้วยความสงสัย ร่างบางในชุดนักศึกษารัดรูปอย่างไม่สนใจอากาศเย็นของฤดูหนาวเบียดชิดกับคนรัก มือเรียวคล้องแขนอย่างสนิทสนม

   “ก็ไม่เคยรู้ตัวมาก่อนเหมือนกัน จนได้พบกับเพลงนี่แหล่ะ” ธาวินบอก สายตาไม่ได้จับจ้องไปที่คู่สนทนา แต่กลับเบนไปทางคนที่ข้างๆ แทน
    “นี่อย่าบอกนะว่าเด็กนี่คือต้นเหตุที่ทำให้พวกนายทะเลาะกัน โอ๊ย! ฉันอยากจะบ้าตาย” โยษิตาชักสีหน้า ดวงตากลมโตสีน้ำตาลอ่อนด้วยคอนแท็คเลนส์จ้องเขม็งมายังบุคคลต้นเรื่อง “นายรู้หรือเปล่าว่าธามกับกรณ์ต้องทะเลาะกันเพราะนายน่ะ”

    “ยาหยี! เรื่องมันจบไปแล้ว ผมก็บอกคุณแล้วไงว่ามันเป็นแค่การเข้าใจผิด”

   “แต่คุณเจ็บตัว” โยษิตาแย้ง และนั่นทำให้คนที่เอานั่งเงียบต้องเหลือบตาขึ้นมอง

    ที่ปลายคิ้วของกรณ์มีบาดแผลที่น่าจะใหญ่กว่าที่มุมปากของธาวิน เขาเห็นรอยเย็บอยู่ราว 1-2 เข็ม ใจกระตุกวูบ ทั้งสองคนทะเลาะกันจริงๆ มิหนำซ้ำยังร้ายแรงกว่าข่าวที่แพร่กระจายในเฟซบุ๊คเสียอีก 

   แรงบีบที่หัวไหล่มีมากขึ้น ราวกับจะบังคับให้เขาอยู่กับที่ ดนตร์มองแผลที่หางคิ้วของกรณ์ด้วยความเป็นห่วง ถึงมันจะไม่ได้อักเสบหรือปริแตก แต่ความกังวลก็ไม่ได้จางลงสักนิด อย่างน้อยให้เขาได้ถามไถ่อาการ...ก็ยังดี

   “แผลพี่....”

    “ไปกันเถอะยาหยี นัดเพื่อนไว้ไม่ใช่เหรอ เดี๋ยวก็เลทหรอก”

    แค่ขยับปากคนเจ็บก็ชิงพูดตัดบท ดนตร์ลอบถอยหายใจ เขาสำคัญตัวผิดไปอีกแล้ว ใครจะอยากให้คนอย่างเขาเป็นห่วง

    หนุ่มสาวคู่รักเดินจากไปแล้ว เหลือแค่เขากับธาวินตามลำพังเช่นเดิม คนในโรงอาหารดูเหมือนจะให้ความสนใจระหว่างคู่ของกรณ์และคู่ของเขาพอๆ กัน เขาไม่แคร์สายตาของคนพวกนั้น แต่เขากลับรู้สึกแย่กับท่าทางของคนที่เพิ่งเดินจากไปมากกว่า เพราะไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ ไม่รู้อะไรเลย ถึงได้มึนงงและสับสนไปหมด ทำไมทั้งสองต้องทะเลาะกัน

    “พี่กับพี่กรณ์ทะเลาะกันเพราะผมจริงๆ เหรอครับ”

    ธาวินไม่ได้เดินกลับไปนั่งที่เดิม แต่หย่อนสะโพกบนที่ว่างข้างๆ เขาแทน มือหนายังคงโอบรอบหัวไหล่เอาไว้ ใบหน้าหล่อเหลาไม่แพ้ดาราอยู่ห่างออกไปแค่คืบเดียว มันใกล้เสียจนรับรู้ได้ถึงไออุ่นจากลมหายใจและภาพสะท้อนที่อยู่ในดวงตาคมเฉี่ยวคู่นั้น    

    “ก็แค่แลกกันคนละหมัด”

    “ทำไมล่ะครับ”

   “พี่ไม่ชอบที่มันคอมเมนท์รูปของเราอย่างนั้น” สันกรามแข็งแรงขบเข้ากัน “เหมือนกับว่ากรณ์เคยจูบกับนาย”

    “ห๊ะ!...ปะ..เปล่านะครับ” ดนตร์ปฏิเสธเสียงดัง “ผม...ไม่เคย..”

    “แต่มันบอกว่าเคย”

   “!?!”

    ธาวินกระตุกยิ้ม “มันบอกว่ามันเคยจูบนายแล้ว แถมยังบรรยายซะละเอียดว่าปากนายทั้งนุ่มทั้งหวาน พี่เถียงว่ามันโกหก แต่มันยืนยันว่าเป็นเรื่องจริง แต่ที่ทำให้พี่ฟิวส์ขาดก็เพราะมันบอกว่า มันคือจูบแรกของนาย”

    ทันทีที่ได้ยินเรื่องราวจากธาวิน เส้นประสาทรอบศีรษะก็บีบแน่น เขาปวดหัวเหมือนมีใครเอาเชือกมามัดรอบขมับไว้ ใจหายหล่นไปที่ตาตุ่ม ตัวชาวาบเหมือนคนทำผิดแล้วถูกจับได้ ดนตร์บีบมือแน่น อยากให้สิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่เป็นแค่ฝันร้ายเท่านั้น

    ธาวินกดปลายนิ้วลงผิวเนื้อบริเวณหัวไหล่ราวกับจะย้ำเตือนว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นความจริง ดวงตาที่มักมองเขาอย่างอ่อนโยนเปลี่ยนไป ไม่เชิงจริงจังแต่ก็น่ากลัว

    “นายเคยบอกว่า นายยังไม่ได้ตอบแทนบุญคุณพี่เลย ตอนนี้มันถึงเวลาที่นายต้องตอบแทนบุญคุณพี่แล้ว”

    “อะ..อะไรเหรอครับ”

   “เป็นแฟนกับพี่ แล้วก็อย่าไปยุ่งกับไอ้กรณ์อีก พี่ขอแค่นี้ นายจะทำให้พี่ได้หรือเปล่า”

    “พี่...ธาม ผม...ไม่”

    “ยังไม่ต้องให้คำตอบพี่ก็ได้ แต่ตอนนี้ทั่วทั้งมหา’ลัย รู้แล้วว่านายคือคนรักของพี่ รวมไปถึงไอ้กรณ์ด้วย เตรียมตัวเตรียมใจมีแฟนเป็นหนุ่มฮอตไว้ด้วยล่ะเพลง”

**************************



ออฟไลน์ แม้วธวัลหทัย

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
พี่กรณ์ หมาหวงก้าง นิสัยไม่ดี

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ijuney

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-1
ทีมพี่ธามได้ปะ กรณ์นิสัยไม่ดีเลยยย
รีบมาต่อนะกำลังสนุกเลย

ออฟไลน์ ป่ามป๊ามป่ามปาม

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 483
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
ธามจะทำอะไร ขอน้องเป็นแฟนเร็วไปปะ ศึกชิงนายก็มา แต่อิพี่กรณ์รับตัวเองไม่ได้ซะงั้น
รอตอนต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ libra82

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 285
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +236/-5
Chapter 5 One night stand


     ข่าวเรื่องที่ธาวินรุดหน้าจีบรุ่นน้องต่างคณะ มิหนำซ้ำยังเป็นผู้ชายแพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว เพราะเจ้าตัวไม่คิดจะปิดบัง และไม่สนใจว่าใครจะมองว่าเป็นพวกผิดเพศ ครอบครัวธาวินเป็นคนสมัยใหม่ เรื่องรสนิยมไม่มีผลต่อสิ่งใด ขอให้ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนเรียนจบกลับมาพร้อมกับเดินหน้าสานต่อธุรกิจก็พอแล้ว ขณะที่ก๊วนเพื่อนก็ไม่ได้รังเกียจที่ธาวินอยากจะลองมีแฟนเป็นเด็กผู้ชาย ยกเว้นแค่กรณ์เท่านั้น

    ตั้งแต่วันที่มีเรื่องกันจนได้มากันคนละแผล กรณ์กับธาวินยังไม่คุยกันเลย แม้จะบอกว่าไม่มีอะไรติดค้าง แต่ลึกๆ ทั้งสองรู้ดีว่ายังมีเส้นบางๆ ขวางอยู่...เส้นแห่งความรู้สึกที่มีชี่อว่า ‘ดนตร์’

   เพราะรูปและแคปชั่นสั้นๆ นั่นทำกรณ์ทั้งหมั่นไส้ทั้งหงุดหงิด เลยพิมพ์ข้อความกลับไปในเชิงชวนให้คิด ซึ่งนั่นก็เป็นความตั้งใจของเขา เขาอยากให้ธาวินรู้ว่า ริมฝีปากนั่นเขาเคยได้ลิ้มลองชิมรสชาติมาแล้ว...มันนุ่ม หวาน เหมือนมาร์ชเมลโล่จริงๆ แต่เพราะความตั้งใจโดยไม่ไตร่ตรองให้ดี เขากับเพื่อนสนิทเลยมีปากเสียงจนถึงขั้นลงไม้ลงมือกัน

   ธาวินโกรธจัดบุกมาถึงคอนโดของเขาเลยทีเดียว สีหน้าเคร่งเครียด มันแทบจะกระชากคอเสื้อของเขาเพื่อเค้นหาความจริง แน่นอนว่ายิ่งกว่าเต็มใจที่จะบอกเล่าถึงรสชาติจากริมฝีปากสดปลั่งนั่นให้มันได้ฟัง ธาวินตะคอกใส่หาว่าเขาโกหก คนที่รู้จักเขาดีจะรู้ว่าคนอย่างกรณ์ไม่เคยโกหก เรื่องจูบก็ด้วยเช่นกัน เขายังบอกอีกว่าจูบที่ได้จากดนตร์คือจูบแรก...จากผู้ชายด้วยกัน

    นาทีนั้นธาวินฟิวส์ขาด มันพุ่งหมัดตรงมาที่หางคิ้ว เขาเองก็ตอบกลับไปที่มุมปากของมัน แลกกันคนละหมัด เจ็บกันคนละที ธาวินมองเขาด้วยแววตาที่โกรธแค้นแล้วความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนก็เปลี่ยนไป คนอื่นๆ ที่เหลือรวมถึงโยษิตา สังเกตเห็นถึงความมึนตึงระหว่างเขากับมัน ธาวินบอกเพียงแค่ว่าเป็นแค่การเข้าใจผิด ส่วนเขาเลือกที่จะปิดปากเงียบ เพราะไม่อยากให้ทุกอย่างมันแย่ลง และเขาไม่เอาเรื่องพรรค์นี้มาทำให้มิตรภาพแตกหักแน่นอน...ดังนั้นเรื่องที่ธาวินประกาศชัดเจนว่าสนใจดนตร์ เขาจะแกล้งทำเป็นไม่รู้เห็น...แต่มันก็ยากเต็มที

    กรณ์เรียกสมาธิให้มาจดจ่อกับงานตรงหน้าอีกครั้ง เหลืออีกไม่กี่เดือนเขาก็จะจบชั้นปีที่ 3 และขึ้นเป็นอาใหญ่สุดในปีหน้า ถึงเขาจะไม่ใช่เด็กดี เหล้า ยา นารี ปาร์ตี้ ริลองมาแล้วทั้งนั้น แต่เรื่องเรียนเขาไม่เคยทิ้ง แม้จะกบฏใส่บิดาไป 1 ปี แต่ก็กลับมาเรียน แถมเกรดเฉลี่ยยังทำให้พ่อไปเล่าอวดอากง อาแปะ ในวงน้ำชาได้อย่างไม่น่าอาย นิ้วที่จับดินสอวาดรูปมาร่วม 3 ปี มันเริ่มจะด้านแล้ว แต่ผลงานที่ออกมาก็น่าภูมิใจ

    ดินสอเริ่มกลับมาร่างโครงสร้างของภาพอีกครั้ง งานที่ส่งไปถูกตีกลับมาแก้ไขเพราะอาจารย์อยากให้เขาวาดรายละเอียดให้ชัดเจนกว่านี้ กรณ์พาตัวเองดำดิ่งลงไปในความคิด มือลากเส้นไปตามสิ่งที่อยู่ในหัว ผ่านไปนานจนหลงลืมเวลา กระทั่งโทรศัพท์ร้องขึ้น กรณ์ถึงได้เงยหน้าขึ้นจากแผ่นกระดาษ สายจากชนวีร์

   “ไงไอ้อ้วน”

   “วะ ไอ้นี่ ทำไมทักกันแบบนี้ คืนนี้ว่างไหม จะชวนออกไปดริงค์แอนด์แดนซ์”

   “ไม่ว่าง”

   “เฮ้ย ทำไมปฏิเสธแบบนี้ล่ะ ฉันจะชวนไปเลี้ยงฉลองหนังตัดต่อเสร็จแล้ว ส่งให้คณะกรรมการแล้วด้วย อีกสองวันจะได้ฉายให้สายตาชาวโลกดู”

    “ขี้เกียจว่ะ งานยังไม่เสร็จเลย” กรณ์ปฏิเสธ ใจจริงเขาก็อยากจะไปเลี้ยงฉลองกับชนวีร์แต่งานยังไม่เสร็จ เหลือเวลาอีกไม่กี่วันต้องส่งแล้วด้วย

   “ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันให้เพลงไปชวนไอ้ธามก็ได้”

   “เกี่ยวอะไรกับไอ้ธาม” กรณ์เสียงเขียวโดยไม่รู้ตัว

   “ก็อยากให้คนเยอะๆ กินเหล้าต้องหลายๆ คนสิวะถึงจะสนุก” ชนวีร์บอก ทำท่าจะวางสายแต่คนที่ปฏิเสธในตอนแรกรั้งเอาไว้ก่อน

    “ร้านไหน กี่โมง”

   “ร้านเดิม ทุ่มตรง ถ้าเลทเสียที่นั่งดีๆ ไม่รู้ด้วยนะ อ้อ! งานนี้ห้ามเอาผู้หญิงไป เบื่อพวกหวงผัว”



    ตาคมดุกวาดมองหาคนที่นัดเขาไว้ ภายในร้านค่อนข้างมืดแม้จะเป็นช่วงหัวค่ำ ด้วยรูปร่างที่ใหญ่โตทำให้ไม่ต้องใช้ความพยายามมากนัก เขาเห็นไอ้เจ้าอ้วนชนวีร์กำลังชนแก้วอยู่กับอัคคี ใบหน้าอวบอิ่มขึ้นด้วยฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ เสียงหัวเราะของมันดังไปถึงหน้าร้าน กระทั่งพนักงานในร้านที่พอจะคุ้นเคยกันบ้างยังอดขำไม่ได้ ชายหนุ่มสอดนิ้วมือที่เย็นจากอากาศด้านนอกลงในกระเป๋ากางเกง ก่อนจะก้าวยาวๆ ตามไปสมทบ เพราะกลัวว่าจะชวดที่นั่งดีๆ ตามที่ไอ้เจ้าอ้วนมันเตือนไว้

    “อ้าว! ว่าไงคุณพระเอกของเรื่อง มาๆ นั่งก่อน มาเร็วกว่าที่คิดนะเนี่ย”

   คนที่คาดว่าน่าจะเป็นเจ้าภาพกวักมือเรียก พลางชี้นิ้วที่เบาะนั่ง ร้านนี้ไม่มีเก้าอี้นั่งเดี่ยว มันเป็นเบาะนั่งยาว ตั้งล้อมรอบโต๊ะทั้งสี่ด้าน คนที่ไอ้เจ้าอ้วนชวนมาเฉพาะโต๊ะมันนับได้คร่าวๆ ร่วม 10 คน ไม่รวมโต๊ะอื่น ซึ่งเขาคาดว่าทุกคนในชมรมภาพยนตร์คงมาอยู่ที่นี่กันหมด รวมถึงดนตร์ด้วย

    หนุ่มที่กำลังเป็นที่สนใจมากที่สุดในขณะนี้เลือกนั่งด้านในสุด โดยมีลลิตา และเมธัสประกบข้าง และที่นั่งที่เจ้าอ้วนบอกเขาก็อยู่ติดกับลลิตา

    ...นี่เหรอวะที่นั่งดีๆ...

    “เอาออนเดอะร็อคเหมือนเดิมใช่ไหม” ชนวีร์เป็นเพียงคนเดียวที่ชวนเขาคุย ส่วนคนอื่นๆ ถ้าหากไม่เล่นโทรศัพท์ก็คุยกันเฉพาะแค่กับคนที่สนิทด้วย สำหรับเขาแล้ว ถึงจะเป็นหนุ่มฮอตคนหนึ่งของมหาวิทยาลัย ทว่าต่างคณะ ต่างสาขาที่เรียน ความสนิทสนมเลยค่อนข้างน้อย แถมเขายังเป็นพวกอัธยาศัยย่ำแย่ ไม่เก่งเรื่องการผูกมิตรใหม่ แต่ถ้าเรื่องจีบผู้หญิงเขาไม่เป็นสองรองใคร

   กรณ์พยักหน้ารับ เขาเป็นพวกคอแข็งกินได้หมด ยิ่งพวกเหล้าแรงๆ ยิ่งชอบ เขาสังเกตเห็นว่า เมธัสคอยชำเลืองมองเขาเป็นระยะๆ แถมยังนั่งเบียดกระแซะจนทั้งร่างแทบจะซ้อนกับดนตร์ ส่วนลลิตาที่นั่งอยู่ข้างกัน ก็ผูกขาดกับการสนทนากับเพื่อนของตัวเอง เขาคือบุคคลที่โดดเดี่ยวอย่างแท้จริง

    เหล้าถูกส่งมาให้อย่างรวดเร็ว รอบโต๊ะมีแต่เสียงพูดคุยเกี่ยวกับความสำเร็จอีกขั้นของหนัง เขายอมรับว่าชนวีร์มีฝีมือ ทั้งที่อายุยังน้อย แต่กล้าทำในสิ่งที่ตัวเองรัก แม้ไม่มีเงินทุนหรือบริษัทใหญ่ๆ รองรับ แต่ไอ้เจ้าอ้วนก็ไม่เคยท้อ เขาเห็นความพยายามของลูกพี่ลูกน้องคนนี้ตั้งแต่ยังเรียนอยู่ชั้นมัธยมด้วยซ้ำ ด้วยความที่เป็นญาติกัน ความสนิท ความผูกพัน เลยมีมาตั้งแต่เด็ก เรื่องดีเลวของเขาชนวีร์รับรู้แทบทุกเรื่อง เช่นเดียวกับเขาที่เห็นในความสามารถของไอ้เจ้าอ้วน แล้วเขาก็ดีใจที่ได้เห็นมันทำในสิ่งตัวเองรัก

   กรณ์จิบเหล้าไปเงียบๆ รับรู้ได้ถึงสายตาไม่เป็นมิตรของเมธัส แต่เขาไม่สนใจไอ้เจ้าเด็กตาโตเท่าไข่ห่านนั่น ที่เขาสนใจคือเด็กอีกคนที่นั่งเงียบไม่ต่างกับเขา

   เขาไม่เห็นเงาของธาวิน แต่ก็ไม่อาจคาดเดาได้ว่ามันจะมาด้วยหรือเปล่า อาจจะมาเพราะมันเป็นแฟนกับดนตร์ และอาจจะไม่มาเพราะงานนี้ไม่เกี่ยวกับมันสักเท่าไรนัก ซึ่งเขาภาวนาขอให้เป็นอย่างหลัง

   “พี่ธามไม่มาเหรอ นี่นายโทรไปชวนพี่เขาแล้วหรือยังเพลง” เมธัสถามแข่งกับเสียงเพลงที่ดังจนปวดแก้วหู ขณะที่คนถูกถามกำลังง่วนอยู่กับการจิ้มนิ้วใส่หน้าจอโทรศัพท์

   “โทรไปแล้ว แต่พี่เขาบอกว่าติดงาน ต้องเร่งทำให้เสร็จน่ะ”

   “อะไรกัน แฟนโทรชวนทั้งทีกล้าปฏิเสธได้ยังไง”

   “ก็บอกว่าไม่ใช่แฟนไง เลิกพูดเรื่องนี้ซะทีเถอะ”

    เมธัสยิ้มเจ้าเล่ห์ แย่งโทรศัพท์มือถือของดนตร์ไป “ไหนบอกไม่ใช่แฟน แล้วนี่อะไร ‘ตั้งใจทำงานนะครับ อย่านอนดึกเดี๋ยวไม่หล่อ’”

    “เอาคืนมา!” เจ้าของรีบแย่งคืน แต่ดูเหมือนจะสายเกินไปแล้ว ทั้งโต๊ะได้ยินสิ่งที่เมธัสพูดทั้งหมด ใบหน้าขาวจัดระเรื่อขึ้นทันที ชนวีร์กับอัคคีหัวเราะชอบใจ ลลิตาอมยิ้มเหมือนกับคนอื่นๆ มีแต่หนุ่มคณะสถาปัตย์เท่านั้นที่ไม่รู้สึกสนุกไปกับเรื่องนี้

    “เออ กรณ์ ที่คณะนายเขาว่ายังไงกันบ้างเรื่องที่ธามกับเพลงคบกัน” ชนวีร์ถาม ดวงตากลมหรี่ลง มีความนัยน์แอบแฝง

    “ก็ไม่ยังไง”

    เขาตอบแบบขอไปที ซึ่งก็เป็นเรื่องจริง เขาไม่ได้ไปถามไถ่ความรู้สึกจากใคร แต่ในกลุ่มของเขาไม่มีใครคัดค้านหรือรังเกียจอะไร ต่างก็เคารพในความชอบหรือพึงพอใจในสิทธิส่วนตัว...คงมีแค่เขากระมังที่ต่อต้านอยู่กลายๆ ไม่ใช่เรื่องรสนิยมแต่เป็นเพราะตัวบุคคลมากกว่า

    อันที่จริงไม่ได้มีเพียงแค่เขาหรอกที่ไม่พอใจกับเรื่องนี้ ยังมีอริญชย์อีกคน หมอนั่นไม่ได้แสดงความคิดเห็นอะไร แต่ระยะหลังมานี่ปลีกตัวออกจากกลุ่มไป คนอื่นอาจจะไม่รู้สาเหตุ ทว่าเขาพอจะเดาได้ ไอ้เจ้าสี่ตามันหว่านเสน่ห์ใส่เพื่อนเขาอีกคน แต่อริญชย์มันเป็นพวกชอบทำอะไรอ้อมโลก ไม่พุ่งชนเหมือนธาวิน ยกนี้ธาวินเลยได้แต้มนำไปก่อน

    กรณ์เหลือบมองไปยังตัวต้นเหตุ ใครจะไปคิดว่าผู้ชายหน้าตาธรรมดา ออกจะจืดชืด จะมีของดีชนิดที่ทำเอาสองหนุ่มฮอตติดกับได้ บางทีอาจจะมีอีกหลายคนที่ตกหลุมพรางความใสซื่อของดนตร์ เพียงแต่ยังไม่แสดงตัวออกมาเท่านั้น

    ...อันตรายจริงๆ..

     ไอ้เจ้าสี่ตากำลังทำหน้าง้ำหลังจากโดนเมธัสแกล้ง ตรงหน้ามีแก้วเหล้าที่พร่องไปแค่นิดเดียวตั้งอยู่ จากนั้นไม่นานเขาก็เห็นรอยยิ้มผุดที่กลีบปากสีสวย ยิ้มหวานขนาดนี้คงจะได้รับข้อความจากธาวินกระมัง
   
    กรณ์กระแทกแก้วเปล่าลงกับพื้นโต๊ะ เขากวักมือเรียกบริกรและสั่งเหล้าเพิ่ม ก่นด่าตัวเองที่เผลอไปสนใจไอ้เด็กแว่นนั่นอีกจนได้..ไม่สิ เขาไม่เคยหยุดคิดเรื่องของดนตร์ได้เลย..ตั้งแต่เมื่อไรกันที่เขาเผลอเก็บเอาเรื่องราวของเด็กคนนี้ไปคิด อาจจะเป็นตอนที่บาดเจ็บ..หรืออาจจะนานกว่านั้น 

    โยษิตาส่งข้อความมาหา เธอตัดพ้อเรื่องที่เขาออกมาฉลองแล้วไม่ได้ชวนเธอ โยษิตาส่งรูปใบหน้าที่คิดว่ากำลังงอนอยู่มาให้ แค่เขามองว่ามันน่ารักมากกว่า ตาโตกลมมีแววขุ่นเคืองเล็กน้อย พวงแก้มพองขึ้น ริมฝีปากสีสดยู่น้อยๆ กรณ์หัวเราะเบาๆ อย่างไรเสีย ผู้หญิงก็น่ารักกว่าผู้ชาย เขาพิมพ์ขอโทษเธอไป พร้อมกับสัญญาว่าหลังเสร็จงานจะพาเธอไปช้อปปิ้ง โยษิตาอารมณ์ดีขึ้นทันที เธอยิ้มน้อยยิ้มใหญ่และปรามไม่ให้เขาดื่มมากเกินไปนัก..มันช้าไปนิดหน่อย เพราะตอนนี้เขาจัดการ ออน เดอะ ร็อค ไป 4 แก้วแล้ว

    แม้จะขึ้นชื่อว่าเป็นหนุ่มคอทองแดงแต่การกินเหล้าแรง สี่แก้วติด แถมยังไม่มีรองท้องมาก่อน ทำให้แอลกอฮอล์ดีกรีร้อนแรงทำงานได้รวดเร็วกว่าปกติ เลือดในกายร้อนระอุ แต่กรณ์เป็นพวกยิ่งเมาก็ยิ่งเงียบ

   “ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อะไรนักวะ ฉันชักจะหมั่นไส้แล้วนะ”

   ชนวีร์เสียงดังกลางวง ตากลมตวัดมองเด็กหนุ่มที่กำลังเพลินอยู่กับโทรศัพท์มือถือจนแทบจะลืมแก้วเหล้าตรงหน้า ดนตร์เพิ่งกินเหล้าไปแค่ครึ่งแก้วเท่านั้น

    ทุกสายตาจับจ้องมายังคนที่ชนวีร์พูดถึง เจ้าตัวรู้สึกตัวก็รีบเก็บโทรศัพท์ลงในกระเป๋ากางเกงแล้วรีบยกแก้วสูง ใช้ข้อศอกสะกิดเพื่อนรักทั้งสองให้ร่วมวงด้วย

    ยิ่งดึกภายในคลับก็ยิ่งคึก หลายคนออกไปวาดลวดลายตามจังหวะเพลงเร้าใจ ดนตร์นั่งมองเพื่อนๆ ที่ออกสเต็ปกันเต็มที่ ส่วนตัวเองทำได้แค่โยกหัวไปมา ถึงเขาจะชอบเต้นแต่ไม่ชอบเต้นในที่แคบๆ และต้องเบียดเสียดกับใคร ลลิตาถูกรุ่นพี่ปี 3 เพื่อนของชนวีร์ชวนออกไปกลางฟลอร์พักใหญ่แล้ว เพื่อนคนสวยของเขาเต้นไม่ค่อยเก่งนักแต่ท่าทางก็น่ารักน่าชัง ส่วนเมธัสนั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่กับโทรศัพท์มือถือ การแจ้งเตือนว่ามีข้อความมานับสิบครั้ง และถ้าไม่ได้เมาหนักจนตาฝาด ดูเหมือนว่าเขาเห็นชื่อของนักรบด้วย

    “เป็นอะไร ทำหน้าเหมือนท้องผูก” เขากระซิบถามเพื่อนสนิท เมธัสหันมาทำหน้ายุ่งใส่ คิ้วขมวดจนเกือบจะผูกเป็นโบ

   “เปล่า”

   “มีธุระก็กลับก่อนได้นะ ฉันกับลินหาทางกลับเองได้”

   “จริงเหรอ” คิ้วสวยคลายตัวลง แต่ยังมีแววกังวลให้เห็น “ฉันเป็นห่วง...”

   “ไม่ต้องห่วงหรอก” ดนตร์โบกมือในอากาศ “ฉันโตแล้วนะ แถมยังไม่เมาด้วย ส่วนลินเดี๋ยวฉันดูแลเอง นายกลับไปเถอะ โทรศัพท์แบตใกล้จะหมดแล้วไม่ใช่เหรอ”

    แก้มของเมธัสแดงขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าหงึกหงัก เจ้าตัวเอ่ยปากขอตัวกลับกับชนวีร์โดยอ้างว่ามีธุระ ผู้กำกับตัวอ้วนที่กำลังอารมณ์ดีเต็มที่หัวเราะร่วนแล้วยกมือไล่ ก่อนจะหันกลับไปสนทนาอย่างออกรสกับอัคคีต่อพร้อมกับยกแก้วเหล้าเข้าปากไม่หยุด

    จนเกือบจะเที่ยงคืนสภาพแต่ละคนเริ่มย่ำแย่ ดนตร์เห็นรุ่นพี่หลายคนนั่งคอพับคออ่อน อีกหลายคนเริ่มพูดจาไม่รู้เรื่อง แม้แต่พี่วินเองก็แทบจะนอนเกยไปกับโต๊ะ อัคคีน่าจะมีสติมากกว่าแต่ก็คงเหลือน้อยเต็มที ทว่ายังมีอีกคนที่เขาเดาไม่ออกว่าเมาหรือปกติ...กรณ์

   ตั้งแต่มาถึงเขาแทบจะไม่ได้ยินเสียงของกรณ์เลย แต่ก็สังเกตว่าปริมาณแก้วที่วางเรียงรายตรงหน้ามันไม่น้อยเลย คะเนคร่าวๆ มันเกิน 10 แก้วแน่นอน เขารู้ว่า ออน เดอะ ร็อค มันแรงมากระดับหนึ่ง กินเข้าไปมากขนาดนั้นถ้าเป็นเขาคงได้เมาหัวทิ่มไปแล้ว แต่กรณ์ยังดูปกติ...ไม่สิ เกือบปกติมากกว่า เพราะดวงตาคมดุคู่นั้นมันแข็งกร้าวขึ้นเรื่อยๆ

    ดนตร์เลือกที่จะไม่มองไปฝั่งขวามือมากนัก แถมตอนนี้ไม่มีลลิตากั้นกลางแล้วด้วย เขายิ่งต้องคอยระวังตัว ถึงหมู่นี้ กรณ์จะไม่ได้คอยมาหาเรื่อง แต่ก็ไว้ใจไม่ได้ เพราะอีกฝ่ายไม่ชอบหน้าเขาเท่าไรนัก เด็กหนุ่มถอยหายใจเบาๆ ใจจริงอยากจะหนีกลับตามเมธัสไปอีกคน แต่ต้องรอลลิตา เขาเลยจำใจต้องทนอยู่และพยายามไม่ดื่มมากนักเพราะเขาต้องพาลลิตาไปส่ง พอเริ่มจะเบื่อก็ดึงโทรศัพท์ออกมาเล่น เมื่อครู่นี้พี่สาวที่อยู่เชียงใหม่ส่งรูปหลานชายมาให้ดู หลานชายของเขาน่ารักจ้ำม่ำ แก้มใสเป็นพวง ผิวขาวจั๊วะ เขาเผลอหลุดยิ้มด้วยความเอ็นดู ตั้งใจว่าปิดเทอมใหญ่จะรีบไปหา เขาอยากจะกอดหลานใจจะขาดอยู่แล้ว

   ตึง!

    เสียงกระแทกและแรงสั่นของโต๊ะหยุดรอยยิ้มของดนตร์เอาไว้ ตากลมหลังแว่นกรอบพลาสติกสีดำช้อนขึ้นมองหาที่มาของเสียง แล้วเขาก็ต้องรีบหลบตาวูบเมื่อเห็นสายตาดุดันของคนที่นั่งอยู่ฝั่งขวามือ แม้จะห่างกันเป็นช่วงแขนแต่เขาก็รับรู้ได้ถึงกระแสของความไม่พอใจ ดนตร์ขยับตัวไปทางซ้ายมากกว่าเดิม แทบจะนั่งหันหลังให้ด้วยซ้ำ นึกอยากจะเดินไปตามลลิตาแล้วขอตัวกลับเลย

    ถึงแม้จะไม่ได้หันไปมองเต็มตา แต่หางตาก็เห็นว่ากรณ์ดื่มหนักขึ้นเรื่อยๆ เช่นเดียวกับรุ่นพี่ตัวอ้วน คงมีแค่เขาที่ยังมีสติอยู่ครบ

    “ลูกเจี๊ยบ” เขาได้ยินเสียงเพื่อนรักดังแทรกมากับเสียงเพลง พอหันไปมองก็เห็นมือเล็กโบกหยอยๆ กลางอากาศ

    ดนตร์เดินแหวกฝูงชนที่กำลังสนุกสุดเหวี่ยงเข้าไปหาเธอ ลลิตายกมือทำท่าขอโทษ “ฉันต้องกลับแล้วล่ะ พ่อมารับ ขอโทษทีนะลูกเจี๊ยบ”

    “อ้าวเหรอ” มือเรียวยกขึ้นเกาหัว “ไม่เป็นไรๆ เดี๋ยวฉันจะไปลาพี่วิน อยากลับเหมือนกัน”

   “โอเค แล้วเจอกันนะ”

    เขามองตามร่างบางที่เดินเบี่ยงซ้ายหลบขวา ไปหาบิดาที่รอรับอยู่ใกล้กับประตูทางเข้า พอเห็นว่าปลอดภัยดีแล้วเขาถึงค่อยกลับไปที่โต๊ะ แต่คนที่เขาจะบอกลากลับนอนฟุบคว่ำหน้าไปกับพื้นโต๊ะ ไม่เหลือสติรับรู้อะไรทั้งนั้น อัคคีทำหน้ายุ่งยาก แก้มสองข้างแดงระเรื่อแต่สภาพดีกว่าชนวีร์มาก

   “อ้าวลูกเจี๊ยบมาพอดี ช่วยพี่พาไอ้สองพี่น้องนี่กลับบ้านหน่อยซิ พี่เอาไปคนเดียวไม่ไหว แค่ไอ้อ้วนนี่ก็แย่แล้ว”

   ญาติผู้พี่ของชนวีร์ก็หลับไปกับโต๊ะด้วยเช่นกัน อัคคีพยักพเยิดให้เขาช่วยพาชนวีร์ออกไปก่อน เพราะน้ำหนักตัวที่มากทำให้อัคคีไม่สามารถประคองชนวีร์ไปคนเดียวได้

    กว่าจะพารุ่นพี่ตัวอ้วนไปที่รถได้เกือบจะหมดแรง แต่ยังมีรุ่นพี่อีกคนที่เขากับอัคคีต้องช่วยกันจัดการ กรณ์ยังนอนในท่าเดิม มองเผินๆ คล้ายกับคนกำลังหลับ แต่กลิ่นเหล้ารุนแรงนั่นฟ้องว่าเจ้าตัวหมดสติเพราะเมาไม่ใช่เพราะง่วงนอน

   “เอาแค่กรณ์อีกคนเดียวพอ คนอื่นทิ้งมันไว้ที่นี่แหล่ะ” อัคคีบอก ก่อนจะยกแขนของคนเมาพาดที่หัวไหล่ตัวเอง ส่วนเขาก็ทำเหมือนกัน น้ำหนักแขนที่ทิ้งลงมาบนหัวไหล่มันไม่น้อยเลยเล่นเอาเสียการทรงตัวไปเล็กน้อย แต่ถ้าเทียบกับชนวีร์ก็ดีกว่ากันเยอะ

    อัคคีใช้บัตรเครดิตจ่ายค่าเหล้าและอาหารทั้งหมด ก่อนจะกลับมาทำหน้าที่สารถีทั้งที่ตาใกล้จะปิดอยู่รอมร่อ โชคดีที่กรณ์ไม่ได้เอารถมาไม่อย่างนั้นจะยิ่งวุ่นวายกว่าเดิม

    “ถ้ายังไงผมขอตัวกลับก่อนนะครับ” ดนตร์เอ่ยขอตัว เขาเองก็ง่วงมากเหมือนกัน ทว่าอีกคนไม่ยอม

   “ไม่ได้ นายต้องไปส่งพวกนี้เป็นเพื่อนฉันก่อน อย่างน้อยก็นั่งเป็นเพื่อนฉัน ฉันกลัวจะหลับ” อัคคีบอก พลางสะบัดหัวไล่อาการมึนเมาแกมง่วงนอน

   ดนตร์ชั่งใจ เขาง่วงนอนจนแทบจะลืมตาไม่ขึ้น แต่ก็เป็นห่วงอัคคี กลัวว่าจะเกิดอุบัติเหตุ เพราะเจ้าตัวก็ไม่มั่นใจในประสิทธิภาพของตัวเองเช่นกัน ตากลมเหลือบมองผู้ชายสองคนที่นอนกองรวมกันที่เบาะหลัง กรณ์หลับสนิท ริมฝีปากเผยอขึ้นเล็กน้อย แก้มระเรื่อ เส้นผมยุ่งเหยิงเพราะนอนผิดที่ผิดทาง ส่วนพี่วินก็มีสภาพไม่ต่างกัน

    “ก็ได้ครับ”

   เด็กหนุ่มเปิดประตูด้านหน้าคู่กับคนขับ อัคคียิ้มรับ ตั้งสติให้มั่นเพราะมีอีกสามชีวิตอยู่ในมือ

     ดนตร์เพิ่งรู้ว่าพี่วินกับกรณ์พักที่คอนโดเดียวกัน แต่คนละชั้น สถานที่ตั้งอยู่กลางใจเมืองกรุงเทพฯพอดี เป็นที่รู้กันว่าคอนโดนี้ต้องระดับผู้มีอันจะกินเท่านั้นที่จะจับจองได้ ดนตร์ถอยหายใจ เขาแทบจะไม่หลงเหลือพลังงานในการเคลื่อนย้ายผู้ชายตัวใหญ่สองคนนี้แล้ว

(มีต่อ)

ออฟไลน์ libra82

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 285
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +236/-5
        “เดี๋ยวพี่ให้คนมาช่วยแบกไอ้กรณ์กลับห้อง” อัคคีบอก ระหว่างที่พยายามจะยกแขนหนักๆ ของชนวีร์พาดบ่าตัวเอง “ห้องมันอยู่ชั้น 19 ห้อง 1909 คีย์การ์ดน่าจะอยู่ในกระเป๋ากางเกง นายลองหาดูเอาก็แล้วกัน แล้วก็เอานี่” รุ่นพี่หนุ่มส่งธนบัตรให้ “ให้พนักงานที่เคาน์เตอร์หารถไปส่งที่หอพัก บอกว่าไฟสั่งมา”

    “ไม่เป็นไรครับพี่ ผมกลับเองได้ ใกล้ๆ แค่นี้เอง” เขารีบปฏิเสธ

“ไม่ได้ๆ ถ้าเจ้าอ้วนมันรู้ว่าฉันให้นายกลับเอง ฉันโดนมันเล่นงานตายแน่ รีบๆ เถอะ ฉันง่วงจะตายอยู่แล้ว”

    อัคคีลากหนุ่มตัวอ้วนออกจากรถได้สำเร็จ จากนั้นก็ออกแรงดึงจนร่างอ่อนปวกเปียกของชนวีร์มาไว้ในอ้อมแขนก่อนจะตะโกนเรียกชื่อใครสักคนที่น่าจะอยู่แถวนั้น แล้วก็มีจริงๆ เขาเห็นผู้ชายรูปร่างสันทัดวิ่งตรงเข้ามา ดูจากชุดน่าจะเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยของที่นี่

    “พี่ต๋อยครับ รบกวนช่วยพาไอ้กรณ์ไปที่ห้องทีครับ”

    “ได้ครับคุณไฟ แล้วคุณวิน...”    

     “ไม่เป็นไรครับ ผมจัดการเองได้” อัคคีปฏิเสธ กระชับมือที่ร่างอิ่มเอิบของชนวีร์แน่นกว่าเดิม

    พี่ต๋อย ที่อัคคีเรียก เข้ามาช่วยประคองร่างของกรณ์ที่ยังหลับไม่ได้สติ ด้วยเรี่ยวแรงที่มีมากกว่าทำให้ดนตร์ประหยัดพลังงานได้นิดหน่อย

     พอเข้าลิฟต์ ศีรษะหนักๆ เอนหน้าลงมาซบที่ซอกคอ เขาผลักไปทางอื่นหลายครั้งแต่มันก็กลับมาที่เดิม ลมหายใจร้อนๆ ที่มาพร้อมกับกลิ่นแอลกอฮอล์มันให้ความรู้สึกประหลาดมากกว่าจะรังเกียจ พี่ต๋อยอมยิ้ม แต่ไม่ได้พูดอะไร ดนตร์กัดฟันอดทน จนกระทั่งถึงชั้น 19 พี่ต๋อยช่วยเขาแตะคีย์การ์ดแล้วผลักประตูเข้าไป เครื่องใช้ไฟฟ้าทำงานอัตโนมัติ แสงไฟสีส้มนวลตาให้ความสว่าง เครื่องปรับอากาศทำงานเอง ดนตร์ขมวดคิ้ว ทั้งที่เข้าฤดูหนาวแล้วแท้ๆ แต่กรณ์ยังตั้งเครื่องปรับอากาศไว้อีก

    ทั้งคู่ช่วยกันพาคนเมามาที่ห้องนอน กว่าจะจับนอนบนเตียงได้ก็เล่นเอาเหงื่อซึม

   “ตัวหนักเหมือนกันนะเนี่ย เห็นผ่านๆ ผมนึกว่าจะผอมกว่านี้” พี่ต๋อยบอก “ผมไปก่อนนะครับ ทิ้งหน้าที่นานเดี๋ยวโดนบ่น”

    “ขอบคุณมากนะครับ” ดนตร์ยิ้มจนตาหยี พี่ต๋อยค้อมศีรษะลงเล็กน้อยแล้วเดินออกจากห้องไป

    เมื่อไม่มีพี่ต๋อย ก็เหลือแค่เขากับกรณ์สองคนเท่านั้น ดนตร์พ่นลมหายใจแรงๆ เขาทั้งเหนื่อยทั้งง่วง อยากกลับไปนอนใจจะขาด ทว่าเสี้ยวหนึ่งของความคิดกลับฉุดรั้งให้อยู่ต่อ...อีกนิด

    ร่างโปร่งทรุดลงที่พื้นใกล้เตียง ตากลมไล่มองโครงหน้าหล่อเหลาได้รูป ทั้งบิดาและมารดาของกรณ์ต้องหน้าตาดีมากแน่ๆ กรณ์ถึงได้มีส่วนผสมที่ลงตัวเช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็น คิ้ว ดวงตา จมูก หรือริมฝีปาก เส้นผมสีดำปีกกาดกหนายิ่งเสริมให้ใบหน้าคมสันกว่าเดิม ไหนจะเรือนกายสูงใหญ่ ถึงจะไม่ได้มีมัดกล้ามแบบพวกที่บ้าออกกำลังกาย แต่ก็มีกล้ามเนื้อพอให้เห็นบ้าง เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าตัวเองจะมาสนใจเพศเดียวกัน คงเพราะกรณ์สะดุดตา ทั้งสูง ทั้งหล่อ เป็นผู้ชายที่แม้แต่ผู้ชายด้วยกันยังอิจฉา เขาเองก็อยากจะตัวสูง มีใบหน้าหล่อเหลาแบบนั้นบ้าง แต่สวรรค์ก็เหมือนแกล้งกัน นอกจากจะหยุดความสูงของเขาไว้แค่ร้อยเจ็ดสิบกว่าๆ ยังไม่ประทานเครื่องหน้าที่ดูดีมาให้อีกด้วย

    เขาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ากำลังยื่นมือไปแตะกรอบหน้าของคนหลับ ปลายนิ้วเกลี่ยไล่ตั้งแต่แนวขากรรไกรสวย ลากสูงไปที่ผิวแก้ม สันจมูกโด่ง เปลือกตาและคิ้วดำเข้ม

    “บ้าเอ๊ย!” ดนตร์อุทานแล้วก่นด่าในความเผลอไผลของตัวเอง เขารีบชักมือกลับ ทว่ามันช้าไปเสียแล้ว... “อ๊ะ! อ้าวเฮ้ย!”

    ข้อมือของผู้บุกรุกถูกคว้าไว้ ดนตร์เบิกตาโพลงด้วยความตกใจ แล้วก็ต้องตกใจยิ่งกว่าเดิมเมื่อเห็นว่าคนหลับลืมตาอยู่ ดวงตาสีดำสนิทจ้องมาที่เขานิ่ง มันไม่ได้หรี่ปรือแต่เปิดขึ้นเต็มที่เลยต่างหาก

    “พี่กรณ์! พี่ไม่ได้หลับอยู่หรอกเหรอครับ” เจ้าของมือแข็งแรงไม่ตอบ แต่กลับยันกายขึ้นจากเตียง ยิ่งสร้างความตื่นตระหนกให้ดนตร์มากขึ้นไปอีก “พี่ครับ! พี่ละเมออยู่ใช่ไหม”

   กรณ์ยังคงเงียบ ตาที่มองมามันแข็งกร้าวดุดัน ถ้าหากละเมอจริงๆ มันคงไม่น่ากลัวเท่านี้

    “พี่ครับ! พี่กรณ์...อ๊ะ!”

    ข้อมือถูกดึงด้วยเรี่ยวแรงที่มีมากจนน่าใจหาย ดนตร์พยายามบิดข้อมือหนี แต่ดูเหมือนว่าเรี่ยวแรงของอีกฝ่ายจะมีมากเกินกว่าคนเมา มันแทบจะเท่ากับตอนปกติด้วยซ้ำ

   “พี่! ผมเจ็บ ปล่อยผมนะ ปล่อยซิ!”

    ชั่ววินาทีที่กรณ์คล้ายกับจะรู้สึกตัว มือหนาคลายออก แม้จะเพียงเล็กน้อยแต่ก็เปิดโอกาสให้ดนตร์หาทางรอดได้ ร่างโปร่งผุดลุกขึ้นด้วยความเร็ว เขาถอยห่างจากเตียง หัวใจเต้นรัวเร็ว ทั้งสับสนทั้งมึนงงกับท่าทางของกรณ์ เขาไม่อาจบอกได้เลยว่าคนที่ลืมตาโพลงอยู่บนเตียงมีสติหรือกำลังละเมออยู่กันแน่

    “ผมไปก่อนนะ!” ดนตร์บอก เขาไม่สนใจแล้วว่าอีกฝ่ายจะเป็นอย่างไร รู้แค่ว่าถ้าขืนอยู่ต่อมีหวังโดนทำร้ายแน่

    มือบางกำลูกบิดประตูและก่อนจะดึงมันเปิดออก หัวไหล่ก็ถูกเรี่ยวแรงมหาศาลกระชากจนทั้งร่างหมุนคว้าง เขาเสียหลักล้มลงตรงนั้น โดยมีร่างของอีกคนล้มตามลงมา

    ดนตร์นิ่วหน้าด้วยความเจ็บ หัวของเขาฟาดลงกับพื้น ถึงจะไม่แรงนักแต่ก็มากพอที่จะมึนงงได้ วินาทีต่อมาเขาก็ตระหนักได้ว่าเหนือร่างของตัวเองมีอีกร่างที่หนักหนาทาบทับอยู่ เขาออกแรงผลักคนที่อยู่ด้านบนออก แต่ไม่เขยื้อนเลยสักนิด

    “พี่ครับ พี่ทับผมอยู่ พี่กรณ์ อุ๊บ!”

    ถ้อยคำร้องเตือนกลืนหายลงไปในลำคอ เมื่อกลีบปากถูกกระแทกเต็มแรง เด็กหนุ่มหลับตาแน่น เพิ่มแรงดันที่แผงอกแกร่งมากกว่าเดิม ทว่ามันกลายเป็นแรงต้าน ยิ่งเขาออกแรง กรณ์ก็ยิ่งกดทับลงมา ริมฝีปากเขาเจ็บไปหมด เขาพลิกหน้าหนี แต่กรณ์ก็ตามไม่หยุดหย่อน ทั้งจมูกทั้งปากเกลือกอยู่บนใบหน้าของเขา แว่นตาถูกกระชากและเหวี่ยงทิ้ง ดนตร์ควานหา แต่มันอยู่ไกลเกินกว่ามือจะเอื้อมถึง

    แล้วในจังหวะหนึ่งที่เขาพลิกหน้าหนี กลีบปากหลุดจากการครอบครอง เขารีบใช้มือดันใบหน้าหล่อเหลาเอาไว้ กรณ์สบถหยาบคาย ก่อนจะรวบข้อมือทั้งสองข้างไว้ด้วยมือเพียงข้างเดียว

    “พี่กรณ์...!!!”

    แคว่ก!

    แม้ว่าเสื้อที่สวมใส่จะเนื้อหนาและทนต่อลมหนาว ทว่ามันก็ไม่อาจขืนแรงกระชากได้ เนื้อผ้าขาดลุ่ยจากกัน ดนตร์สั่นสะท้าน ทั้งจากไอเย็นของอากาศและความหวาดกลัวที่เพิ่มมากขึ้นทุกนาที ร่างโปร่งดิ้นรนเท่าที่พละกำลังจะอำนวย ข้อมือเล็กถูกจับกดติดกับพื้นเย็นเยียบ ศีรษะสวยหมุนส่ายหนีเพื่อหลบริมฝีปากที่ฉกลงมา พอพลาดเป้า ปลายคางของเขาก็ถูกมือแกร่งคว้าเอาไว้ ฝืนบังคับให้รับจูบที่ไร้ความปราณี กลีบปากเริ่มเจ็บระบมจากการรุกราน เขาพยายามเม้มปากป้องการล่วงล้ำ แต่ก็ไม่อาจทำได้ ก้านนิ้วแข็งแรงบีบที่พวงแก้ม จนเรียวปากเผยอออกจากกัน ดนตร์หลับตาแน่นยามที่ลิ้นร้อนจาบจ้วงเข้ามาอย่างหยาบคาย

    เรียวลิ้นมากประสบการณ์ กวาดไล่ในโพรงปากของเขาตามชอบใจ มันทั้งเกี่ยวพัน ทั้งหยอกเย้า กรณ์ทำทุกอย่างราวกับต้องการให้เขายอมสิโรราบ ไม่ว่าจะด้วยความเต็มใจหรือขืนใจก็ตาม อากาศในปอดลดน้อยลงเรื่อยๆ แผ่นอกบางเรียบสะท้อนขึ้นลงเร็วและถี่ขึ้น เขาพยายามส่งเสียงเพื่อบอกให้อีกฝ่ายรับรู้ว่าเขากำลังจะขาดอากาศหายใจ

    ดูเหมือนว่ากรณ์จะรับรู้อาการของเขา ริมฝีปากถูกปล่อยให้เป็นอิสระ เขารีบโกยเอาอากาศให้ปอดให้ได้มากที่สุดจนร่างกายหอบโยน ดนตร์เปิดตาขึ้น แล้วก็พบว่าดวงตาดุดันมันอยู่ห่างแค่ฝ่ามือกั้นเท่านั้น

   “อย่าดื้อ!” กรณ์พูดติดกลีบปากของเขา ก่อนจะกดริมฝีปากบดเบียดหนักหน่วง

   “อื้อ!

   ดนตร์ส่งเสียงประท้วง แต่มันดังอยู่แค่ในลำคอเท่านั้น นิ้วแกร่งเลื่อนจากที่แก้มลงไปที่ลำคอ ลาดไหล่ และหยุดบนอกบาง ฝ่ามือสากระคายเคล้าคลึง ปลายนิ้วคีบดึงส่วนยอดของเม็ดทับทิมเล็ก จนมันหดเกร็งและขมวดแข็งเป็นไต

    “อ๊ะ..” เสียงครางปนมากับลมหายใจที่ร้อนระอุขึ้น กลิ่นแอลกอฮอล์ที่ระเหยมาไม่ได้เหม็นจนน่าสะอิดสะเอียน และรสจูบก็เปลี่ยนไป

     ร่างกายของเขากำลังตอบรับกับการปลุกเร้าโดยที่สมองไม่ได้เต็มใจ ลิ้นถูกกวาดต้อนเสียจนต้องตั้งรับ เขาดูดดุนปลายลิ้นของอีกฝ่าย กรณ์ดูเหมือนจะแปลกใจ แต่เพียงชั่วพริบตาก็กลับมารุกไล่เหมือนเดิม ความรุนแรงของการบดขยี้ก็ลดน้อยลงไปด้วย เหลือเพียงแค่กลีบปากที่คลุกเคล้ากัน รสขมปนหวานของเหล้ายังติดที่ปลายลิ้น ดนตร์เผลอดูดกลืนมันโดยไม่รู้ตัว

    “อา..”

    กรณ์ครางต่ำๆ ในคอ คล้ายกับจะพอใจกับการตอบรับ นิ้วเรียวยาวยังคงหมุนวนอยู่ที่เม็ดทับทิมสีสด ดนตร์สูญเสียการควบคุมตัวเรื่อยๆ บางทีเขาอาจจะถูกฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่ปลายลิ้นของกรณ์เล่นงานไปแล้วอีกคน...สมองสั่งให้ปฏิเสธเพราะรู้ว่ามันไม่ถูกต้อง ทว่าร่างกายและอีกเสี้ยวของความคิดกลับยุยงให้เขาทำตามหัวใจตัวเอง...แค่สักครั้ง

    ในเมื่อคนที่กำลังจูบเขาอยู่ คือคนที่เฝ้ามองมาร่วมปี เป็นคนที่มีอิทธิพลกับเขามากที่สุด และเป็นคนที่เขาคิดถึงมากที่สุด

    ...เขาชอบกรณ์...

    ดนตร์กำลังถูกล่อลวงด้วยรสจูบหวานกำซ่าน หัวสมองเขาหมุนคว้าง อาการขัดขืนลดน้อยลง กรณ์ปล่อยมือให้เป็นอิสระ ถึงเวลานี้เขาไม่หลงเหลือความคิดที่จะต่อต้านอีกแล้ว แต่กลับเกี่ยวรั้งหัวไหล่แกร่งไว้แทน เลือดในกายร้อนขึ้น หน้าท้องเกร็งแน่นด้วยความต้องการที่พุ่งสูงขึ้น อากาศในปอดทำท่าจะหมดไปอีกครั้ง แต่คราวนี้กรณ์ผละห่างออกไปโดยไม่ต้องรอให้เขาเตือน

    ทว่าร่างสูงใหญ่ไม่ได้หนีหายไปไหน ใบหน้าคมคร้ามเลื่อนต่ำลงไปที่ลำคอ ก่อนจะใช้ริมฝีปากกดเม้มไปบนผิวกาย ขบฟันลงไปเบาๆ เพียงแค่นั้นดนตร์ก็สั่นสะท้าน ลิ้นอุ่นแตะไปบนรอยช้ำ ขณะที่ปลายจมูกซุกไซ้อยู่แถวใบหู เขาหายใจแรงกว่าเดิม มือไม้อ่อนเปลี้ยไปหมด เอียงคอให้อีกฝ่ายรุกรานได้เต็มที่

    “พะ..พี่กรณ์ อื้อ”

    ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไรที่คำห้ามปรามเปลี่ยนเป็นเรียกร้องแทน ปลายลิ้นชื้นเลียไล้ที่ติ่งหู ดนตร์หายใจกระเส่า ร่างกายตื่นตัวเต็มที่ ไอเย็นจากอากาศไม่อาจบรรเทาความร้อนในกายได้เลย

   กรณ์ลากริมฝีปากไปที่ลาดไหล่โดยไม่ลืมสร้างรอยประทับเอาไว้ พรมจูบไปทั่วทุกตารางของผิวกาย ทุกครั้งที่ริมฝีปากเย็นแตะลงมาร่างของเขาจะสั่นไหว ลมหายใจร้อนผ่าวคล้ายกับมีพิษไข้ในกาย แล้วก็ต้องผวาเฮือกเมื่อไอเย็นชื้นครอบครองบนยอดอก ลิ้นสากระคายตวัดหมุนวน เขาได้ยินเสียงจ๊วบจ๊าบดังแทรกกับเสียงลมหายใจกระเส่าของตัวเอง

    “พี่..กรณ์ อื้อ”

    นิ้วเรียวสอดเข้าไปในกลุ่มผมสีดำปีกอีกา ดึงทึ้งมันเบาๆ เพื่อบรรเทาอาการเสียวเสียดในท้องที่มีมากขึ้นทุกนาที หน้าขาปวดเกร็งจนต้องขดขาเข้าหากัน เขาเผลอแอ่นหน้าอกขึ้นเพื่อให้อีกฝ่ายได้ดูดกลืนจะงอยถันได้ง่ายขึ้น

    ยอดอกเปียกชุ่มไปด้วยหยาดน้ำจากปลายลิ้นอุ่น พอดูดกลืนจนพอใจ ก็ละริมฝีปากห่างไป ก่อนจะแต้มจูบเบาๆ ไปบนหน้าท้องแบนราบ และหยุดที่ขอบกางเกงยีนส์ ตาคมสีดำช้อนขึ้นมอง มันด้านและไร้แวว ทว่าแฝงเร้นไปด้วยความรู้สึกบางอย่างที่ทำให้เขาสะท้านยิ่งกว่าเดิม

      “พี่กรณ์...อื้อ”

   “เงียบ!”

    เสียงทุ้มต่ำร้องห้าม ขณะที่มือเรียวสาละวนอยู่กับเข็มขัดและตะขอกางเกง เขาอยากจะบิดตัวหนีแทบขาดใจ ทว่าร่างกายกลับสวนทาง สะโพกมนยกขึ้นจากพื้นเล็กน้อย ตอนที่กางเกงเลื่อนหลุดจากเรียวขา

    กรณ์ที่ยังมีเสื้อผ้าครบทุกชิ้น แทรกตัวเข้ามาในระหว่างขา ผิวกายของเขาเริ่มอุ่นด้วยเลือดที่ร้อนขึ้น ร่างหนาโน้มต่ำลง ลมหายใจร้อนมีกลิ่นของแอลกอฮอล์ปะปนมาปะทะกับผิวแก้ม มือใหญ่วางข้างลำตัว แล้วค่อยโน้มร่างต่ำลงมา เขาเบือนหน้าหนี ไม่ใช่เพราะรังเกียจแต่ไม่อาจทนต่อสายตาร้อนแรงได้ต่างหาก ทว่าแววตาของคนด้านบนก็เปลี่ยนไป กรณ์ขมวดคิ้วคล้ายกับจะสงสัยในอะไรบางอย่าง

    “ยา...หยี..ทำไม?”

      ‘ยาหยี’ อย่างนั้นหรือ...

    “ยาหยี ทำไมคุณ...ยาหยี”

    ชื่อของคนรักหลุดจากปากของกรณ์อย่างต่อเนื่อง หัวใจที่เต้นรัวกระหน่ำลดลงอย่างรวดเร็ว ใบหน้าชาวาบเหมือนถูกราดด้วยน้ำเย็น ร่างกายที่เคยไร้เรี่ยวแรงจากพายุอารมณ์กลับมามีกำลังอีกครั้ง...เขามันโง่ ที่หลงคิดว่ากรณ์เกิดเสน่หาตัวเองขึ้นมาจริงๆ มันจะเป็นไปได้อย่างไรในเมื่อกรณ์เคยพูดเอาไว้ว่าชอบผู้หญิง ที่ทำไปทั้งหมดเพราะเมาจนไม่รู้ตัว หากว่ายังมีสติครบถ้วนคนอย่างกรณ์ไม่มีทางแตะต้องเขาแน่ๆ 

    ดนตร์ข่มความปวดร้าวไว้แค่ในอก เขาออกแรงผลักร่างหนาจนอีกฝ่ายเสียหลักไปเล็กน้อย แล้วใช้จังหวะนั้นพลิกตัวคลานหนี แต่ไม่มีอะไรง่ายดั่งที่ใจคิด ข้อเท้าถูกกระชากเต็มแรงจนทั้งตัวลากไถลไปกับพื้นเย็น กรณ์ใช้ร่างกายใหญ่โตคร่อมทับเขาเอาไว้ เขาพยายามดิ้นรนขัดขืนเท่าที่กำลังจะอำนวย สาบานต่อหน้าดวงตาสีดำด้านคู่นี้ว่าเขาจะไม่ยอมให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย กรณ์จะไม่มีทางได้อะไรจากเขาไปโดยที่คิดว่าเขาเป็นโยษิตา

    “ปล่อยผม! ผมบอกให้ปล่อยไง ผมไม่ใช่พี่ยาหยี พี่ตั้งสติแล้วดูให้ดีๆ ว่าผมเป็นใคร ผมคือเพลงคนที่พี่เกลียดไง ไม่ใช่ยาหยี! ผมคือเพลง ไอ้เพลงไง!” เด็กหนุ่มตะโกนสุดเสียง โพรงจมูกแสบร้อน น้ำตาคลอที่หน่วยตา ในอกปวดร้าวด้วยความจริงที่ไม่อาจทนรับได้

    “เพลง...”

   “ใช่! ผมคือเพลง ไม่ใช่ยาหยีของพี่ รู้แล้วก็ปล่อยผมซะที!”

    “พ..เพลง”

   กรณ์พูดซ้ำเช่นเดียวกับตอนที่พร่ำพูดชื่อของโยษิตา โดยไม่รู้สักนิดว่ามันกำลังตอกย้ำให้คนที่กำลังเจ็บปวดยิ่งร้าวรานกว่าเดิม ดนตร์ยกมือทั้งทุบ ทั้งตี ไม่ใช่แค่เพื่อเตือนสติแต่เขาต้องการทำให้อีกฝ่ายรับรู้ว่าตัวเองเจ็บมากแค่ไหนที่ถูกคิดว่าเป็นตัวแทนของโยษิตา แต่กรณ์แข็งแกร่งและทนทานกว่าที่คิดไว้ นอกจากจะไม่สะดุ้งสะเทือนพละกำลังยังไม่ลดลงอีกด้วย

    “ใช่ ผมคือเพ..!!”

    คำพูดหายลงไปในคอ ริมฝีปากหนาฉกวูบลงมากดเน้นย้ำอยู่หลายรอบจนเขารู้สึกถึงความเห่อบวมที่เพิ่มขึ้น ดนตร์ส่ายหน้าหนี ต่อต้านสุดกำลัง เขาจะไม่ยอมคล้อยตามไปกับการหลอกล่ออีกแล้ว กรณ์ไม่รู้หรอกว่าคนที่กำลังกอดอยู่ไม่ใช่โยษิตา แต่เป็นผู้ชายที่ชื่อดนตร์ ลิ้นหนาล้วงลึกเข้ามาอย่างจวบจ้วง เขาไม่หลงเหลือความวาบหวามอีกแล้ว ทว่ากรณ์ก็ไม่ล่าถอย ไม่ใช่แค่เพียงริมฝีปากเท่านั้นที่กำลังปลุกปั่นเขา ฝ่ามือกร้านก็ด้วยเช่นกัน

   แม้จะไม่ต้องการให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย ทว่ามันก็เกิดขึ้นจนได้ กรณ์ปาดป้ายมือไปบนหน้าอกเปลือยเปล่าของเขา นิ้วบีบเค้นยอดอกจนมันหดเกร็งอีกครั้ง แต่ก็ใช่ว่ากรณ์จะดำเนินตามรอยเดิมทุกอย่าง เพราะคราวนี้มันไม่ได้อ่อนหวาน กลับรุนแรงและดุดันยิ่งกว่าเดิม มือเรียวแต่แข็งแกร่งลากหนักๆ ไปบนผิวกาย บีบเค้นทุกที่ที่ผ่าน อย่างไม่สนใจว่าจะสร้างรอยย้ำไว้หรือไม่ และหยุดลงตรงชั้นในสีขาวสะอาด วินาทีนั้นกรณ์เหลือบตาขึ้น เขาเห็นรอยยิ้มผุดที่มุมปากขวา แล้วก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อส่วนหน้าถูกกอบกุมไว้ด้วยอุ้งมืออุ่น

    “ฮื้อ...พี่ ปะ..ปล่อยนะ”

    ไม่เพียงแต่จะไม่ทำตาม กรณ์ยังเพิ่มน้ำหนักมืออีกด้วย ก้านนิ้วแข็งแรงถูไถไปบนเนื้อผ้า ไอร้อนผ่านเข้าไปถึงด้านใน เขาเป็นผู้ชายโดนแตะต้องนิดหน่อยมันก็มีปฏิกิริยาแล้ว แต่สิ่งที่กรณ์กำลังทำมันเรียกว่าการปลุก...ปลุกให้มันตื่นตัวและขยับขยายขนาดอย่างน่าอับอาย เขารับรู้ถึงความเย็นชื้นที่ซึมผ่านผ้า สมองของเขาสั่งให้ร่างกายต่อต้าน ทว่าไม่มีอวัยวะส่วนใดๆ เชื่อฟังเลย กระทั่งมือที่เคยระดมทุบตียังหยุดลงดื้อๆ

    ร่างกายของเขาตอบสนองอย่างน่าอัปยศ แก่นกายแข็งกร้าวอวดรูปร่างให้อีกฝ่ายได้เคล้าคลึงเล่น กรณ์กดริมฝีปากหนักๆ สองสามครั้งแล้วผละออกไป ก่อนจะลดตัวลงไปที่ส่วนกลางของลำตัวแล้วก็ทำในสิ่งที่เขาคาดไม่ถึง ลิ้นเปียกแตะไปบนเนื้อผ้า ลากเลียไปตามความยาวพร้อมกับนิ้วมือที่สะกิดส่วนปลายยอดให้เปิดออก

    “อา...พี่กรณ์ ปะ..ปล่อย อา”

     ชั้นในรัดรึงจนคับแน่น เขาขดขาเข้าหากันเพื่อบรรเทาความอึดอัด หยาดน้ำที่ผ่านผ้าเข้ามานั้นมันยิ่งกระตุ้นให้มันพองโตกว่าเดิม

    ดนตร์หลุดคราง สะโพกยกสูงขึ้นเรื่อยๆ กรณ์ใช้โอกาสนั้นดึงอาภรณ์ชิ้นน้อย แล้วโยนมันทิ้งไปกองรวมกับชิ้นอื่นๆ กายร้อนแดงจัดขนาดสมกับเจ้าของตั้งเด่นหรา ส่วนปลายบานออกพร้อมกับน้ำที่ปริ่มฉ่ำ ชายหนุ่มอ้าปากรับมันไว้ ใช้กลีบปากห่อฟันเพื่อไม่ให้ครูดไปกับเนื้ออ่อน ขณะที่ลิ้นตวัดลิ้มชิมรสเนื้อแท้ นิ้วร้อนคลึงเคล้าพวงแฝด ดนตร์ร้องลั่น สะโพกหยัดสูง กรณ์เก่งเกินไป ชำนาญเกินไป

    “พี่ครับ ฮื้อ พอ..ไม่เอา อ๊ะ”

    ใบหน้าที่ก้มต่ำติดกับเนื้อร้อนกระตุกยิ้ม ปากร้องห้ามทว่าร่างกายกลับตอบสนองเต็มที่ ดนตร์ตัวสั่นไปหมด หน้าท้องเกร็งแน่น มองเห็นเป็นลอนกล้ามเนื้อ ผิวขาวแดงระเรื่อด้วยเลือดที่สูบฉีด กรณ์เร่งจังหวะการดูดกลืน เสียงน่าอายดังประสานกับเสียงครางของเด็กหนุ่ม จากนั้นไม่กี่อึดใจ ร่างโปร่งก็กระตุกสั่นไหวรุนแรง สายธารอุ่นจัดสีขาวขุ่นพุ่งเข้าสู่โพรงปาก ชายหนุ่มรับมันไว้และกลืนลงไปส่วนหนึ่ง แล้วคายอีกส่วนหนึ่งลงในฝ่ามือก่อนจะป้ายลงไปที่ช่องทางด้านหลัง

   ดวงตาดำสีปีกอีกามองท่อนเนื้อที่ยังกระตุกน้อยๆ หยาดน้ำแห่งอารมณ์ไหลอาบเป็นเงาวาววาบ รสชาติไม่ได้แย่มากนัก คงเพราะอะไรหลายๆ อย่างทำให้กรณ์กล้ากลืนมันลงไป

    ร่างสูงถอยห่างออก พลางปลดเสื้อผ้าออกจากกายด้วยอาการร้อนรน ตาจ้องมองร่างโปร่งสมส่วนนอนอ่อนระโหยไม่วางตา ใบหน้าขาวจัดแต่พวงแก้มกลับแดงเรื่อ ริมฝีปากอิ่มสีสดเผยอขึ้นเล็กน้อย เสียงลมหายใจค่อนข้างชัดเจนในความมืด เขาไล่มองต่ำมาที่แผ่นอกบางใส ช่วงเอวเล็ก จนถึงส่วนกลางลำตัวที่ค่อยๆ สงบลง

   กรณ์กลับมาอีกครั้งด้วยภาพที่เปล่าเปลือยเช่นกัน ลำกายร้อนแข็งและปวดหนึบ มันขยายตัวตั้งแต่ปลายลิ้นได้รสหวานของผิวกายจากอีกฝ่ายแล้ว เลือดในกายร้อนฉ่าราวกับถูกน้ำเดือดเติมลงไป หัวสมองของเขาไม่มีเรื่องใดเข้ามาแทรก มันคิดถึงแต่เรือนร่างที่น่าปรารถนานี้เท่านั้น สามัญสำนึกหรือความผิดชอบชั่วดีถูกความหอมหวานตีแทรกแซงหมดแล้ว ชายหนุ่มแทรกตัวเข้าไประหว่างขาเรียว วางมันพาดกับหน้าขาของตัวเอง สะโพกมนลอยอยู่เหนือพื้นเย็น เขาแหวกขาที่ทำท่าจะขดบดบังความน่ามองออก พลางส่งนิ้วมือไปแตะบนรอยจีบที่เปียกชุ่มจากหยาดน้ำของเจ้าตัว เขากดย้ำๆ จนมันเริ่มคลายตัวลง และโดยไม่มีการบอกกล่าว กรณ์ส่งก้านนิ้วกลางเข้าไปภายในทันที

   “โอ๊ย! เจ็บ! เอาออกไปนะ”

     ดนตร์หวีดร้องเสียงดัง ใช้มือปัดป่าย ทว่ากำลังที่น้อยเพียงนั้นไม่อาจทำอะไรได้เลย ใบหน้าน่ารักเหยเกด้วยความเจ็บปวด แต่กรณ์ไม่ได้ใส่ใจเขายังคงดันนิ้วเข้าไปจนสุด แล้วหมุนควง

   “ฮึก..อื้อ..เจ็บ”

    เด็กหนุ่มยังคงส่งเสียงร้อง แต่นิ้วมือด้านในก็ยังทำหน้าที่ไม่หยุดหย่อน กรณ์สอดนิ้วเข้าไปสมทบ เขาพอใจกับความร้อนจัดที่โอบล้อม และความคับแน่นที่ดูดกลืน ขนาดนิ้วดนตร์ยังตอดรัดขนาดนี้ถ้าเป็นไอ้นั่นของเขาล่ะ มันจะรู้สึกดีแค่ไหน กรณ์ควานนิ้วมือเพื่อขยายช่องทางให้กว้างขึ้น เพราะส่วนนี้ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อศึกรักเหมือนของผู้หญิง เขาจึงจำเป็นต้องทำให้ดนตร์พร้อม...ในระดับหนึ่ง ชายหนุ่มใช้หยาดน้ำรักของเจ้าตัวลดความคับแน่นลง กระทั่งนิ้วที่สามหายเข้าไปจังหวะการเคลื่อนไหวจึงดีขึ้น แต่ดนตร์ก็ยังไม่คลายเจ็บปวด หน้าท้องเนียนเกร็งเป็นระยะๆ

    ชายหนุ่มแตะลิ้นที่ริมฝีปาก เขาไม่อาจทนให้ตัวเองทรมานได้อีกต่อไป เขาดึงนิ้วทั้งสามออกอย่างรวดเร็วส่งผลให้ร่างโปร่งผวาเฮือก กรณ์ยังคงมองใบหน้าน่ารักตลอดเวลา เขาเห็นอารมณ์ที่ปรากฏ อยากจะเห็นในทุกๆ อิริยาบถด้วยซ้ำ มือใหญ่ประคองความแข็งกร้าวร้อนจัดของตัวเองเอาไว้ และจับมันจดจ่อกับช่องทางเล็ก เขาหลุบตามองท่อนเนื้อของตัวเองที่ติดประชิดกับรอยจีบสีสด ชายหนุ่มกัดฟันแน่นก่อนจะดันมันเข้าไปด้านใน

   “โอ๊ย! ผมเจ็บ! เอาออกไป ไม่! ออกไปนะ ไม่เอา พอที”

    ดนตร์ร้องคร่ำครวญ เขาเงยหน้าขึ้น เห็นหยาดน้ำตาไหลจากดวงตากลม วูบหนึ่งความรู้สึกเขาสงสารอีกฝ่ายจับใจ ทว่าความต้องการของร่างกายมันบีบบังคับให้เดินหน้าต่อ ถ้าขืนหยุดตอนนี้จะเป็นเขาเองที่ทรมาน กรณ์จับเอ็นร้อนพลางดันสะโพกเข้าไปเรื่อยๆ ดนตร์ดิ้นพล่าน หวีดร้องอย่างน่าสงสาร ภายในต่อต้านสิ่งแปลกใหม่ที่ใหญ่โต กล้ามเนื้ออ่อนทั้งดูดและผ่อนออกสลับกัน จนในที่สุดเขาก็เข้าไปได้จนสุด ส่วนโคนติดกับเนื้อนุ่มของสะโพก กรณ์หยุดการเคลื่อนไหว ปล่อยให้ความร้อน ความอ่อนนุ่มได้รับเขาไว้อย่างเต็มที่ เขารอให้ความกำหนัดลดลง พยายามควบคุมตัวเองแล้วค่อยถอนกายออกมา จนเหลือแค่ส่วนปลาย ชายหนุ่มสูดปากด้วยความกระสัน

    ...เด็ดจริงๆ...

    กรณ์จับสะโพกมนเอาไว้เพราะดนตร์ยังไม่หยุดดิ้นหนี เขาโน้มตัวไปด้านหน้าเพื่อนำตัวเองกลับเข้าไปอีกครั้ง แม้การเคลื่อนไหวจะลำบากและดนตร์ดูดรัดเขามากเกินไป แต่ความเสียวเสียดที่มีมากกว่ามันก็สั่งให้เขาเดินหน้าต่อ

   “ไม่! ปล่อยนะ อื้อ มันเจ็บ”

   หยาดน้ำตาไหลผ่านแก้มเนียนใส ใบหน้าของดนตร์ไม่ได้บ่งบอกถึงความสุขอย่างเมื่อครู่เลย หัวใจเขาเต้นแรงขึ้น ในขณะที่ความต้องการทางร่างกายทวีสูง สามัญสำนึกก็ผุดแทรกขึ้น

    “ชู่ เดี๋ยวก็หาย อย่าร้องนะครับคนดี”

   กรณ์พูดอ่อนโยน พลางก้มลงจูบซับรอยน้ำตา มือข้างหนึ่งละจากสะโพก แล้วเลื่อนมาด้านหน้า กอบกุมส่วนด้านหน้าที่เพิ่งอ่อนตัวลงไปได้ไม่นาน เขารูดรั้งเบาๆ เพื่อปลุกให้อีกฝ่ายลืมความเจ็บปวด เขาไม่แน่ใจนักหรอกว่ามันจะได้ผลหรือเปล่า แต่อย่างน้อยก็น่าจะเบี่ยงเบนจุดสนใจได้

    ดนตร์ยังคงสั่นเทา แต่อาการสะอื้นลดน้อยลง มือเล็กกำแน่นข้างลำตัว กรณ์ระดมจูบไปทั่วใบหน้าขาว ผิวของดนตร์ไม่เพียงแต่ขาวจัดแต่ยังมีกลิ่นที่หอมเหมือนน้ำนมสดอีกด้วย ริมฝีปากอิ่มเห่อบวมเล็กน้อย มันแดงจัดราวกับลูกเชอรี่สุก รูปร่างสมส่วนกำลังดี ไม่ได้หนาล่ำ หรือผอมบางหนังติดกระดูก แต่ยิ่งกอดยิ่งอุ่น ให้ความรู้สึกเหมือนกอดตุ๊กตาไม่มีผิด ดนตร์กำลังทำให้เขามึนเมา ฤทธิ์ร้ายแรงยิ่งกว่าเหล้าขวดไหนๆ เขาลุ่มหลงจนลืมไปว่าที่กำลังกกกอดอยู่เป็นผู้ชาย

    ชายหนุ่มมอบจูบที่คิดว่าหวานที่สุดเพื่อปลอบประโลม เขาเคลื่อนไหวเชื่องช้าในตอนแรก แม้จะทรมานแทบทนไม่ไหว แต่ก็เสียวกระสันจับใจ กระทั่งความคับฝืดลดน้อยลง การเข้าออกง่ายขึ้น กอปรกับอาการขัดขืนของดนตร์ที่ทุเลาลง เขาเลยลองทำตามใจ กรณ์เร่งจังหวะให้เร็วกว่าเดิมแต่การตอดรัดยังคงรุนแรงไม่ลดลง ทว่ามันก็เสียวสุดใจเช่นกัน

   “อา...สุดยอดไปเลย”

   เขาผละจากริมฝีปากอิ่มแดงฉ่ำ ก่อนจะยกต้นขาขาวขึ้นพาดกับหัวไหล่ โน้มไปด้านหน้าให้มากกว่าเดิม ขนหยาบแนบไปกับเนื้อนวล มือวางข้างลำตัวของคนด้านล่าง ท่านี้ทำให้การเข้าหาล้ำลึกกว่าเดิม เขาสาวตัวออกและกลับเข้าไป ทำซ้ำๆ แต่เร็วและหนักหน่วง

   “อ๊ะ พี่กรณ์ มัน อื้อ พี่ ช้าหน่อย”

    คำปรามไม่เคยได้ผล หูทั้งสองข้างไม่ได้ยินอะไรนอกจากเสียงหัวใจที่เต้นรัวของตัวเอง ความร้อนและอ่อนนุ่มโอบรัดไปทุกทิศทุกทาง สาบานว่าไม่เคยมีใครทำให้เขาเสียการควบคุมตัวเองได้ขนาดนี้มาก่อน กลิ่นกายหอมหวาน ผิวขาวสะอาดตา ใบหน้ายามเจ็บปวดแกมสุขสมมันน่ามองยิ่งกว่าภาพวาดของจิตรกรฝีมือดี เขายังปรนเปรอให้ดนตร์ จนเจ้าลูกเจี๊ยบตัวน้อยมันพองใหญ่ขึ้น ตาคมหลุบต่ำลงมองส่วนยอดที่ค่อยๆ คลายตัวจากเนื้ออ่อน หยาดน้ำใสปริ่มอีกครั้ง กรณ์เร่งมือให้เป็นจังหวะเดียวกับสะโพก เด็กหนุ่มเปลี่ยนจากเสียงร่ำไห้เป็นครวญคราง มือน้อยยกขึ้นดันหน้าท้องของเขาเอาไว้

   “อา เพลง นายแน่นชะมัด อา”

    กรณ์กระซิบบอกด้วยเสียงแหบพร่า เส้นความอดทนขึงตึง ความต้องการทั้งหมดวิ่งไปรวมที่จุดเดียว เขารักการครูดรั้งของผนังเนื้ออ่อนยามที่เคลื่อนไหว ลมหายใจกระเส่าประสานกับเสียงครวญดังก้องห้อง ไอเย็นจากเครื่องปรับอากาศไม่มีผลอะไร เหงื่อกาฬไหลจากร่างกาย จังหวะรักรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่ความอดทนที่ใกล้สิ้นสุดลงทุกที

    มือแกร่งเร่งรูดเร้าเร็วถี่ สะโพกมนลอยเหนือพื้น หน้าท้องบางเกร็งแน่นไม่นาน ดนตร์ก็หวีดร้อง สายธารขุ่นไหลอาบรดมือของเขา คราวนี้มันไม่ได้เยอะเท่ากับครั้งแรก ร่างโปร่งอ่อนระทวย ลมหายใจรัวถี่ แผ่นอกเนียนใสกระชั้นถี่ตามจังหวะหัวใจ กรณ์รีบสาวสะโพก เขากัดฟันแน่นสลับกับสูดปากระบายความเสียวซ่าน ดนตร์ตอดรัดเขารุนแรง ชายหนุ่มคำรามราวกับสัตว์ป่าในนาทีสุดท้าย

   “อา....”

..............................

เชิญด่าอีพี่กรณ์ได้ตามอัธยาศัยค่ะ 55555555

ออฟไลน์ โอ

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-1
 :m31:มีชะนีอยู่แล้วแต่มาทำแบบนี้เลวเกินกว่าจะหาคำบรรยายจริงๆ  :z6:

ออฟไลน์ ป่ามป๊ามป่ามปาม

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 483
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
ไม่ใช่ว่าตื่นมาอีกทีเนียนว่าเมานะอิพี่กรณ์ เมียก็มีอยู่แล้วจะมายุ่งกับเพลงทำม้ายยยย  :fire: :angry2: :z6:
ไหนว่าเกลียดกันไง หน็อย ทำร้ายจิตใจเพลงตลอด สงสารเพลง เหมือนโดนให้ความหวังแล้วผลักตกผาทุกที
รอตอนต่อไปค่ะ  :กอด1:

ออฟไลน์ แม้วธวัลหทัย

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
ลูกเจี๊ยบลูก เดี๋ยวแม่หาผู้ใหม่ให้ หนูอย่าไปรักอิพี่กรณ์ มันเลวนะคะ

อิพี่กรณ์ ไปตายซะ ไอ้ชั่ว ไอ้เลว อยากเอาชนะลูกเจี๊ยบล่ะสิ โว้ยยยยยยยย :fire: :m31: :angry2: :serius2: :ling1 :katai1:

ออฟไลน์ ▶August5th◀

  • it was fate
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2218
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +184/-2
สนุกมากๆ มาต่ออีกสิ อ่านเพลินเลย
อยากรู้ตอนต่อไปอ่ะ

ได้กันแล้วเพราะว่าเมาก็เถอะ แต่ก็รู้ว่าใครเป็นใคร
โอ้ยๆ ตอนเช้ามาจะเป็นไงละเนี่ย

ออฟไลน์ libra82

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 285
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +236/-5
Chapter  6 Just started.


    ดนตร์ลืมตาตื่นก่อนที่พระอาทิตย์จะขึ้นเกือบสองชั่วโมง ร่างกายปวดร้าวจนแทบจะไม่ไหว ดวงตาพร่ามัวที่ต้องใช้ความพยายามมากที่จะมองฝ่าความมืด นานชั่วอึดใจถึงได้รู้ว่าตอนนี้เขากำลังอยู่บนเตียงแล้ว ร่างโปร่งชันกายขึ้น ความร้าวระบมที่สะโพกทำให้ต้องหลุดสูดปากออกมา น้ำตาคลอด้วยความเจ็บแสบ เขารับรู้ได้ถึงความผิดปกติที่อยู่ภายใน มันเหนียวเหนอะหนะและไม่สบายตัว ผ้าห่มที่คลุมร่างร่วงกองบนตัก นอกจากผ้าผืนนี้แล้วเขาก็ไม่ได้สวมอาภรณ์ชิ้นใดอีก เขาปิดปากแน่นตอนที่เหวี่ยงขาลงบนพื้น มันสะเทือนมาถึงช่องทางที่บาดเจ็บ ดนตร์กัดฟันใช้ความอดทนทั้งหมดทรงตัวให้ได้ ใจหายวูบเมื่อรับรู้ถึงบางอย่างที่ไหลรินลงมาตามต้นขา

    เขาใช้มือยันกำแพงเพื่อพยุงร่าง เพราะขามันสั่นไปหมด ปลายเท้าก็สะดุดกับกองเสื้อผ้าที่ปะปนกันอยู่ เขาคว้าเสื้อกับกางเกงที่เป็นของตัวเองขึ้นมากอดไว้แนบอก เขาเอนกายพิงผนังห้องระหว่างที่บิดลูกบิดประตู เขาทำทุกอย่างด้วยความเงียบเชียบเพราะไม่ต้องการให้อีกคนรู้ตัว…เขาจะไปโดยไม่ทิ้งความทรงจำเอาไว้ และเขาเองก็จะไม่ขอจดจำสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยเช่นกัน แต่ก็ต้องแปลกใจเพราะภายนอกมันสว่างจ้าด้วยหลอดไฟ

    “เพลง!”

    ร่างโปร่งสะดุ้งสุดตัว และเพราะเคลื่อนไหวผิดท่า ส่งผลให้ช่องทางที่เจ็บปวดยิ่งเจ็บมากกว่าเดิม แล้วทั้งร่างก็ถูกมืออวบหนารวบเอาไว้

    “นี่มันอะไร เกิดอะไรขึ้น! ทำไมนาย...นี่อย่าบอกนะว่า”

    “พี่ครับ เบาๆ” ดนตร์เตือน “ผมอยากกลับหอ ขอผมใส่เสื้อผ้าก่อนได้ไหม”

    ใบหน้าอิ่มพยักหน้าครั้งเดียว ปล่อยมือจากร่างเล็ก ดวงตากลมมองอากัปกิริยาท่าทางของรุ่นน้องด้วยความเป็นห่วง สภาพของดนตร์แทบไม่ต้องเดาเลยว่าเกิดอะไรขึ้น เขาเห็นรอยช้ำมากมายปรากฏบนผิวขาวจัดของอีกฝ่าย จังหวะที่ดนตร์ยกขาขึ้นสวมกางเกง เขาสาบานว่าเห็นหยาดน้ำสีขาวขุ่นแกมแดงไหลลงมา

    ไอ้กรณ์! ไอ้คนบัดซบ! มันข่มขืนเพลง!

    “นาย...โอเคนะ” ชนวีร์ถาม เขารู้ว่ามันเป็นคำถามที่โง่ที่สุด แต่ ณ ตอนนี้เขาคิดอะไรไม่ออก ความโกรธในตัวญาติผู้พี่กับความสงสารในตัวรุ่นน้องตีกันยุ่ง มือเขาสั่นตอนที่ไปแตะหัวไหล่ของดนตร์ เจ้าเด็กตาใสเงยหน้าขึ้นพลางสั่นศีรษะ

   “พาผมกลับหอที ผมอยากไปจากที่นี่”

    ชนวีร์ระงับความโกรธเต็มกำลัง นาทีนี้ดนตร์สำคัญกว่าไอ้คนในห้อง เขาพยักหน้าก่อนจะโอบร่างโปร่งเอาไว้ ดนตร์ตัวร้อนและหายใจแรง ดนตร์ยังไม่ได้ทำความสะอาดสิ่งที่ตกค้างอยู่แน่นอน เขารู้ดีว่าถ้าทิ้งเอาไว้มันจะทำให้ป่วยไปหลายวัน เผลอๆ จะติดเชื้ออีกด้วย

    นี่ถ้าหากเขาไม่เอะใจ แล้วฝืนสังขารโทรหามิ่งขวัญ รูมเมทของดนตร์เพราะเป็นห่วง เขาจะไม่รู้เลยว่าดนตร์ยังไม่กลับหอ เลยตัดสินใจมาดูที่ห้องกรณ์ โชคดีที่เขามีคีย์การ์ดของมันไว้อีกใบ เจ้าตัวมันเคยฝากไว้เพราะช่วงเรียนปี 2 กรณ์เที่ยวหนักและดื่มจัดมากจนต้องเดือดร้อนเขาบ่อยๆ มันเลยแก้ปัญหาด้วยการให้คีย์การ์ดกับเขาไว้ เผื่อวันไหนเมาหนัก กลับบ้านไม่ได้ เขาจะได้พามันมาส่งให้ที่ห้อง หรือบางวันที่เมาค้างจนลุกไม่ได้ เขาจะได้เข้ามาดูอาการมัน แต่เพิ่งรู้ว่าการมีคีย์การ์ดจะมีประโยชน์สูงสุดก็วันนี้

    ชนวีร์ขับรถมาส่งดนตร์ที่มหาวิทยาลัยตอนที่พระอาทิตย์กำลังจับขอบฟ้าพอดี อากาศหนาวจัดจนลมหายใจเป็นควันขาวในอากาศ เขาหันมามองรุ่นน้อง ดนตร์ไม่ได้หลับแต่นั่งนิ่ง สีหน้าแสดงถึงความเจ็บปวดและอ่อนเพลีย

   “ไปหาไอ้ทิวก่อนไหม ท่าทางนายไม่ดีเท่าไรนะ”

   “ไม่เป็นไรครับ” ดนตร์สั่นหัว ค่อยๆ ยืดกายขึ้น “ขอบคุณพี่วินมาก ผมไปก่อนนะครับ...เอ่อพี่ครับ อย่าเอาเรื่องนี้ไปบอกกับใครนะครับ ผมขอร้อง”

    “แต่นาย...”

   “ผมไม่เป็นไรครับ ยังไงผมก็ผู้ชาย” พูดจบมือขาวซีดก็เปิดประตูออกไป

   “เดี๋ยวลูกเจี๊ยบ...ถ้าไม่ไปหาหมอ นายต้องเอ่อ...ล้างเอาไอ้พวกนั้นออกมาให้หมด แล้วก็หายาแก้อักเสบกินซะ ไม่อย่างนั้นนายจะป่วย”

   ดนตร์อึ้งไปเล็กน้อย หน้าซีดเผือดลงกว่าเดิมแต่พยักหน้ารับรู้ ร่างโปร่งก้าวลงจากรถด้วยสองขาที่ไม่มั่นคงนัก ชนวีร์จะลงไปช่วยแต่ดนตร์ปฏิเสธ เขามองตามร่างของรุ่นน้องไป จนลับสายตา แม้จะห่วงสุดใจแต่ตอนนี้ดนตร์น่าจะอยากอยู่คนเดียวมากกว่า มืออูมบีบพวงมาลัยรถแน่น เขาจะไม่ยอมให้เรื่องเงียบหายไปเฉยๆ แน่

    กรณ์ต้องรับผิดชอบ!



    “อูย..”
    ริมฝีปากสดปลั่งห่อน้อยๆ เผลอครางเอาความเจ็บปวดออกมา การทำความสะอาดส่วนลึกภายในกายไม่ง่ายเลย เขาเปิดอ่านวิธีจากในอินเทอร์เน็ตคร่าวๆ มันค่อนข้างน่าอาย แต่ถ้าไม่ทำเขาจะท้องเสียจนถึงขั้นป่วยอย่างที่พี่วินบอกจริงๆ

   นิ้วเรียวกวาดกวักเอาของเหลวออกด้วยความทรมาน มันเจ็บแสบไปหมด เขารู้ว่าช่องทางมันฉีกขาดด้วย ดนตร์ปล่อยน้ำตาไหลพราก ทั้งเจ็บ ทั้งโกรธ และเสียใจ เขาเป็นผู้ชาย ถึงจะแอบชอบกรณ์แต่เขาไม่เคยคิดว่าเรื่องทุเรศแบบนี้จะเกิดขึ้น ศักดิ์ศรีถูกเหยียบย่ำ ที่เจ็บปวดที่สุดคือกรณ์คิดว่าเขาคือโยษิตา เขาชอบกรณ์ก็จริงแต่ไม่ต้องการเป็นตัวแทนของใคร

   ดนตร์กลั้นเสียงคราง เพราะไม่อยากให้รูมเมทตื่นมาเจอสภาพย่ำแย่ของตัวเอง เขาทำความสะอาดภายในซ้ำๆ อยู่หลายรอบ กระทั่งแน่ใจว่าไม่เหลือสิ่งตกค้างอยู่ ถึงได้ชำระล้างร่างกาย น้ำเย็นสร้างความเจ็บจี๊ดในส่วนต่างๆ ทั้งที่คอ หน้าอก ต้นแขน สะโพกหรือแม้กระทั่งต้นขา มือเรียวปิดฝักบัว มองหาบาดแผลแล้วก็ต้องตกใจ เมื่อพบกับรอยช้ำจำนวนมากมาย ผิวของเขาค่อนข้างขาว รอยพวกนี้เลยยิ่งดูน่ากลัวกว่าปกติ ดนตร์วิ่งไปที่กระจกบานเล็กหน้าอ่างล้างหน้า เขาเห็นรอยฟันที่ต้นคอและหน้าอก เช่นเดียวกับส่วนอื่นๆ

   รอยพวกนี้ไม่ได้สร้างความเจ็บปวดให้กับเขาก็จริง แต่มันคือหลักฐานแห่งความอัปยศ มือเรียวกำแน่น เขากัดฟันห้ามไม่ให้น้ำตาแห่งความอ่อนแอไหลออกมา

   เขาจะต้องลืม! คิดเสียว่าทุกอย่างเป็นแค่ฝันร้ายที่เพียงแค่ลืมตาตื่นมันก็จะหายไป...



    “ว่าไงเจ้าตัวเล็ก หายไปไหนมา ไม่ตอบไลน์พี่เลย”

   เสียงทักทายดังขึ้นเหนือศีรษะ ตากลมเงยหน้าจากหน้าจอโทรศัพท์มือถือ นิ้วขาวที่กำลังกดแป้นอักษรโต้ตอบการสนทนาอยู่กับพี่สาวชะงักลง ดวงตาสดใสมีแววไหววูบ แต่เพียงเสี้ยววินาทีก็กลับมาเป็นปกติ ริมฝีปากจิ้มลิ้มคลี่ยิ้มกว้างอวดไรฟันขาวสะอาด

    “สวัสดีครับพี่ธาม” ดนตร์ทักทายกลับด้วยน้ำเสียงสดใส “พอดีผมยุ่งน่ะครับ จะมีงานกีฬาด้วย พรุ่งนี้ก็ต้องไปซ้อมเชียร์”

   “เด็กปีหนึ่งก็อย่างนี้ โดนจิกใช้” ธาวินบอก พลางนั่งลงบนที่ว่างใกล้ๆ กัน ช่วงแขนยาววาดแล้วโอบรอบหัวไหล่เล็ก “แล้วเราลงแข่งกีฬาอะไรกับเค้าบ้างหรือเปล่า”

    ดนตร์สั่นศีรษะ “เปล่าครับ เป็นได้แค่กองเชียร์”

   “อ้าวทำไมล่ะ นายเล่นบาสเก่งออก ตัวเล็กแต่ไวเหมือนลิง” ธาวินชม

    “มีคนเก่งกว่าผมเยอะเลยครับ ฝีมือผมมันระดับปลายแถว”

   “ใครว่า นายเล่นเก่งนะ แต่ตัวเล็กไปหน่อย โดนกระแทกแรงๆ ก็ปลิวแล้ว”

   “ผมไม่เล็กนะ” ดนตร์เถียง ยกมือถลกแขนเสื้อขึ้นแล้วเบ่งกล้ามเนื้ออวดให้รุ่นพี่ดู “นี่ไง ผมมีกล้ามด้วย”

    ธาวินเหลือบมอง ‘กล้าม’ ที่เจ้าตัวเล็กบอก ที่เห็นมันคือเนื้อที่ดันนูนขึ้นมาเล็กน้อยพอเห็นเป็นรูปของกล้ามเนื้ออยู่บ้าง แต่ก็น้อยเกินกว่าที่อวดใครต่อใครว่าตัวเองแข็งแรง “นั่นเรียกว่ากล้ามเหรอ พี่ว่ามันเหมือนไขมันมากกว่านะ”

   “พี่ธาม!” เสียงใสสั้นห้วน แก้มใสระเรื่อขึ้น “พี่ว่าผมอ้วนเหรอ”

   “เปล๊า” ธาวินปฏิเสธเสียงสูง ก่อนจะขยี้เส้นผมนุ่มจนยุ่ง จังหวะที่เขามองนิ้วมือแทรกอยู่ในเส้นผมสีอ่อน เขาก็เห็นบางอย่างบริเวณหลังกกหูของดนตร์ ตาคมหรี่ลงเพ่งมอง ตอนแรกเขาคิดว่าเป็นรอยแมลงหรือยุงกัด แต่รอยแผลมันค่อนข้างประหลาด ไม่ใช่รอยเขี้ยวของสัตว์แต่เหมือนกับรอยฟันของมนุษย์มากกว่า และไม่ใช่เพียงแค่รอยเดียว ยังมีที่ต้นคออีกด้วย ธาวินใช้ปลายนิ้วแตะไปที่รอยนั่นเบาๆ ดนตร์สะดุ้งหมุนทั้งร่างมาที่เขา มือเรียวยกขึ้นตะปบบริเวณที่ถูกสัมผัส

   “อะ...อะไรครับ!”

    “รอยอะไร แพ้อะไรเหรอ”

   ดนตร์หน้าถอดสีอย่างผิดสังเกต ตากลมหลุบต่ำ แต่ก็ตอบคำถามของเขา “อ้อ ผมไปกินยำแมงกะพรุนกับเพื่อนมาน่ะครับ เลยแพ้ เพิ่งรู้เหมือนกันว่าแพ้แมงกะพรุน”

    “อย่างนั้นเหรอ” ธาวินพยักหน้า “กินยาแก้แพ้หรือยังล่ะ”

    “กินแล้วครับ...ขอบคุณครับที่เป็นห่วง”

   ชายหนุ่มระบายยิ้มอ่อนโยน “นายเป็นคนพิเศษของฉันนี่นา จะไม่ให้ห่วงได้ยังไง เย็นนี้ยังไม่ได้ไปซ้อมเชียร์ใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวพี่พาไปหาอะไรกิน ห้ามปฏิเสธ เจอกันที่หน้าคณะนาย พี่ไปก่อนนะ”

    ธาวินกดริมฝีปากกับหน้าผากนูนแล้วผละออกไปอย่างรวดเร็ว เปลือกตาบางกระพริบรัวถี่ตัวเอง พอตั้งสติได้ก็หันร่างของรุ่นพี่ต่างคณะ แต่ธาวินก็หายไปจากระยะสายตาเสียแล้ว เด็กหนุ่มยกนิ้วขึ้นแตะบริเวณที่ธาวินทิ้งไว้ ไล่ลงมาที่สันจมูกและหยุดที่กลีบปาก ในหัวของเขาไม่ได้นึกถึงคนที่เพิ่งจากไปแต่กลับกระหวัดไปถึงอีกคน คนที่ทำให้เขาต้องกลายเป็นเด็กเลี้ยงแกะ

    ตอนที่ธาวินถามถึงรอยพวกนั้น เขาตกใจจนคิดหาคำตอบไม่ได้ ดีที่อีกฝ่ายถามก่อนว่าแพ้อะไร สมองเลยเรียบเรียงเรื่องโกหกขึ้นได้ เพราะมันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวันก่อนนี่เอง รอยเลยยังไม่จางหายไปไหน จากสีแดงตอนนี้กลายเป็นสีม่วงช้ำแล้ว เขาผิดเองที่วันนี้เลือกสวมเสื้อที่คอกว้าง ธาวินเลยมองเห็นสิ่งผิดปกติ ได้แต่ภาวนาว่าอีกฝ่ายจะเชื่อเรื่องโกหกที่เขากุขึ้น ดนตร์พรูลมหายใจ ทั้งที่ตั้งใจจะลืมแล้วแท้ๆ แต่กลับมีชนวนให้ต้องคิดถึงอีกจนได้

    เมื่อวานหลังจากที่ทำความสะอาดเสร็จเขาก็หมกตัวอยู่แค่บนเตียงนอน ปฏิเสธคำชวนไปกินข้าวจากมิ่งขวัญแต่ให้รูมเมทช่วยซื้อยาแก้อักเสบให้ เขาปิดโทรศัพท์ แล้วก็เอาแต่นอน ร่างกายอ่อนเพลียเสียจนไม่เหลือเรี่ยวแรงให้คิดถึงเรื่องใดอีก เขาตื่นอีกทีตอนมิ่งขวัญเอายามาให้ พอกินยาก็หลับไปอีก ไม่มีไข้อย่างที่เป็นกังวล แต่อาการเจ็บเสียดยังไม่หายไปง่ายๆ ที่จริงแล้วมันต้องทายาแต่เขาก็กระดากเกินกว่าจะขอความช่วยเหลือจากมิ่งขวัญ เลยได้แต่พยายามขยับตัวน้อยที่สุด  โชคดีที่เป็นวันอาทิตย์เขาเลยไม่ต้องไปเรียน เขาใช้เวลาหนึ่งวันกับหนึ่งคืนในการนอนรักษาตัว พอรุ่งขึ้นอาการก็ดีขึ้น เพียงแต่ยังเจ็บขัดอยู่บ้าง ถ้าเคลื่อนไหวเร็วๆ แผลคงปริแตก วันนี้เขาเลยตั้งใจว่าจะไปซื้อยามาทาเพราะไม่อยากทิ้งไว้ให้เรื้อรัง

    ชนวีร์โทรมาหลายสาย รวมถึงเมธัสและลลิตาด้วย สองรายหลังพอเห็นหน้าเขาเมื่อเช้าที่คณะก็ยิ้มออก แล้วก็รัวคำถามใส่ว่าเกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าหลังจากที่ทั้งคู่กลับไปแล้ว เขาได้แต่ส่ายหน้าปฏิเสธว่าไม่มีอะไร และหวังว่าพี่วินจะทำตามที่สัญญากับเขาไว้
    ดนตร์เปลี่ยนท่านั่ง ระวังไม่ให้แผลกระทบกระเทือนมากนัก พลางจัดเสื้อให้มิดชิดกว่าเดิม แย่หน่อยที่รอยน่าเกลียดพวกนั้นมันมีเยอะแถมบางจุดยังอยู่ในส่วนที่ผ้าไปไม่ถึงอีกด้วย เด็กหนุ่มทำหน้ายุ่งนึกตำหนิตัวเองที่ลืมหยิบผ้าพันคอออกมาใช้ มือเรียวเลื่อนเปิดหน้าจอโทรศัพท์อีกครั้ง เขาส่งข้อความสั้นๆ ไปหาชนวีร์บอกว่าเขาสบายดีแล้วไม่ต้องเป็นห่วง ชนวีร์อ่านข้อความแต่ไม่ได้ตอบกลับมา ดนตร์เก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋าเป้คู่ใจ ก่อนจะกลับเข้าไปในชั้นเรียน..



    ธาวินรู้ดีว่ารอยแดงจ้ำที่ต้นคอและหลังกกหูของดนตร์มันคือรอยอะไร เขาไม่เชื่อในสิ่งที่ดนตร์บอก ทว่าเขายังไม่อยากทำให้ความสัมพันธ์ที่กำลังจะไปในทางที่ดีต้องมีรอยร้าว แต่มันก็ยากนักที่จะห้ามความคิดไม่ให้อคติ หัวคิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน ใบหน้าเคร่งขรึมขึ้น ในอกร้อนรุ่มไปหมด สมองเต็มไปด้วยความคิดต่างนานาในแง่ไม่ดี เขาอยากรู้ว่ามันใครเป็นคนทำรอยนั่น และอยากรู้ว่าทำไมดนตร์ถึงยอมมัน ยิ่งปล่อยความคิดให้ไหลไปตามอารมณ์ ความรู้สึกก็แย่ลงเรื่อยๆ เขาไม่ได้โกรธดนตร์แต่เขาโกรธไอ้เวรนั่นต่างหาก แล้วเสี้ยวหนึ่งในความคิดก็ไปคิดถึงใครอีกคน...คนที่เขารู้ว่ามันคิดเกินเลยกับดนตร์

   กรณ์!

    ชายหนุ่มกำมือแน่น มันช่วยไม่ได้จริงๆ ที่เขาจะดึงเอากรณ์เข้ามาเกี่ยว ถึงมันจะปฏิเสธกับใครต่อใครว่าเป็นการเข้าใจผิด แต่เขารู้อยู่เต็มอกว่ามันไม่ใช่ ดวงตาที่เขาเห็นมันบอกว่าเรื่องที่กรณ์เคยจูบกับดนตร์เป็นเรื่องจริง เขาไม่รู้ว่ามันต้องการอะไร แค่อยากทำให้เขากลายเป็นหมาบ้า หรือแค่ต้องการเล่นสนุกเท่านั้น เวลาสามปีที่คบหากัน พอจะรู้ว่ากรณ์มักจะทำเพื่อความพึงพอใจของตัวเองโดยไม่คำนึงถึงความสมเหตุสมผล

    เขามั่นใจว่าถึงไปบีบคอดนตร์เค้นหาความจริง อีกฝ่ายก็ไม่มีทางปริปากบอกอะไรแน่ ธาวินกัดฟันกรอด ความโกรธปะทุราวกับภูเขาไฟ ยิ่งคิดยิ่งฟุ้งซ่าน อะไรก็พาลขวางหูขวางตาไปเสียหมด

    “อ้าว! วันนี้ไม่ไปหาน้องลูกเจี๊ยบเหรอวะ”

   ธาวินเงยหน้ามองคนเอ่ยทัก ปากหยักยกยิ้มมุมปาก นี่ก็อีกคนที่น่าจะเป็นศัตรูหมายเลขที่ 2 ของเขา “ไปมาแล้วว่ะ นัดกันแล้วด้วย”

   อริญชย์ขมวดคิ้วฉับ “นี่แกคิดจะจีบดนตร์จริงๆ เหรอวะ”

   “ก็เออน่ะสิ”

   “แกเป็นเกย์หรือไง”

   “เปล่า” ธาวินส่ายหน้า “ฉันไม่รู้หรอกว่าคำว่าเกย์ของแกมันหมายความว่ายังไง แต่ฉันพอใจกับสิ่งที่ทำอยู่ในตอนนี้ แต่ถ้าพวกแกรังเกียจฉัน จะเลิกคบฉันก็ไม่ว่าอะไร”

   หัวคิ้วหนาคลายลงเล็กน้อย อริญชย์ยกมือขึ้นกอดอก ดวงตากลมดุทำให้เขารู้สึกว่าอีกฝ่ายกำลังประเมินเขาอยู่ “แกคิดว่าคนอย่างฉันจะเลิกคบแกเพราะเรื่องแค่นี้เหรอวะ ที่ฉันถามเพราะฉันจะได้เตรียมตัว”

   “เตรียมตัวอะไร”

   “เตรียมตัวสู้กับแกยังไงล่ะ” อริญชย์ยกยิ้ม แววตายียวนกวนโทสะ “ฉันเองก็สนใจเพลงอยู่เหมือนกัน”

   “อะไรนะ!”

   “แกได้ยินไม่ผิดหรอก ฉันชอบเพลงว่ะ”

    ธาวินใช้เวลาเสี้ยวนาทีเข้าไปกระชากคอเสื้อฝ่ายตรงข้าม ตาคมจ้องเขม็ง “ไอ้รัน!”

    “อย่าหวงก้าง เพลงยังไม่ได้ตอบตกลงไม่ใช่หรือไง แสดงว่าฉันยังมีหวัง” อริญชย์ปลดมือเขาออก ด้วยพละกำลังที่ไม่ได้น้อยไปกว่ากัน “ฉันว่าคนที่แกควรกังวลไม่น่าจะใช่ฉัน ไอ้หมอนั่นน่ากลัวว่าฉันเยอะ...ฉันคิดว่านายน่าจะรู้นะว่าฉันหมายถึงใคร” ธาวินปล่อยมือจากคอเสื้อ ความโกรธลดน้อยลง จริงอย่างที่อริญชย์พูด เขาไม่ควรจะห่วงศัตรูที่เปิดเผยตัวตน แต่เขาควร ห่วงศัตรูในเงามืดมากกว่า ชายหนุ่มยกหน้าสูงขึ้นเล็กน้อย เขาไม่กลัวอริญชย์ แล้วก็ไม่กลัวไอ้คนในเงามืดนั่นด้วย  “เชิญเลย ฉันแฟร์อยู่แล้ว เกมน่ะเล่นคนเดียวมันจะไปสนุกอะไร”

    ก้านนิ้วยาวกดลงบนหน้าจอโทรศัพท์พิมพ์ข้อความบางอย่าง แล้วกด...send



    ภาพเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ผุดขึ้นเป็นฉากๆ ทว่าไม่ปะติดปะต่อ บางช่วงขาดหายไปเหมือนหนังที่โดนตัดทิ้ง ความเจ็บปวดที่มุมปากมาเป็นระยะๆ  เขาลองแตะลิ้นไปที่รอยแตก พบว่ามันมีขนาดกว้างพอสมควร ดีที่เลือดหยุดไหลแล้ว เพราะเขาไม่ชอบกลืนน้ำลายปนเลือดสักเท่าไรนัก แต่จะว่าไปหมัดไอ้เจ้าอ้วนนั่นก็หนักไม่ใช่เล่น ไม่คิดว่าคนที่ไม่ชอบออกกำลังกายอย่างมันจะมีแรงได้มากขนาดนั้น

    กรณ์สูดปากเบาๆ เวลาหลายชั่วโมงมากพอจะทำให้แผลเริ่มอักเสบและบวม ที่มุมปากเริ่มจะมีรอยช้ำให้เห็น ชายหนุ่มวางมือบนอ่างล้างหน้า ตาคมจ้องมองตัวเองผ่านกระจก กรณ์หลับตาลงพยายามทบทวนความจำ แต่เขาปวดหัวจนเกินกว่าจะใช้ความคิดได้ ทว่าบางอย่างทางความรู้สึกบอกกับเขาว่าสิ่งที่เจ้าของรอยช้ำที่มุมปากบอกเป็นเรื่องจริง

   “แกมันเลวไอ้กรณ์! ฉันจะเอาเรื่องแกให้ถึงที่สุด และฉันจะไม่ยอมให้เรื่องมันเงียบไปเฉยๆ แน่ แกต้องรับผิดชอบเพลง!”

    ชนวีร์บริภาษเขาอีกชุดใหญ่ แต่คำด่าทอพวกนั้นมันไม่ได้ทำให้เขาสะดุ้งเท่ากับชื่อที่หลุดออกมาให้ได้ยิน ‘ดนตร์’ เด็กนั่นอีกแล้ว ทำไมกัน

    ชายหนุ่มถอยห่างจากหน้ากระจก น้ำเย็นๆ ช่วยให้อาการเมาค้างดีขึ้นมาบ้างเล็กน้อย หยดน้ำจากเส้นผมที่เปียกหมด ผ้าขนหนูสีขาวคอยซับน้ำอีกที และอีกผืนพันรอบสะโพกเอาไว้ กรณ์เดินกลับมาที่เตียงนอนยับย่น ร่องรอยของผู้ที่นอนร่วมเตียงในคืนที่ผ่านมายังมีให้เห็นบ้าง แต่หลักฐานชิ้นสำคัญมันคือรอยสีดำแดงคล้ำบนผ้าปูเตียงนั่นต่างหาก ไม่ใช่แค่บนเตียงเท่านั้น บนพื้นที่เขาเพิ่งเดินผ่านมาด้วย กลิ่นคาวยังมีเหลืออยู่ในอากาศแต่ก็เจือจางไปมากแล้ว

    ...มันเกิดขึ้นจริงๆ เมื่อคืนนี้เขาเผลอทำเรื่องเลวระยำลงไป…

    “เวรเอ๊ย!”

    กรณ์สบถพร้อมกับกระชากลมหายใจแรงๆ ไม่แปลกใจเลยที่ชนวีร์จะโกรธมากขนาดนั้น แต่ที่แย่ที่สุดคือเขาแทบจำอะไรไม่ได้เลย เว้นเสียแต่ กลิ่นน้ำนมที่ยังติดที่ปลายจมูกและความกำซ่านในอารมณ์  ถึงศีรษะจะหนักอึ้งเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่ดื่มเข้าไป ทว่าร่างกายกลับผ่อนคลาย คงเพราะได้ปลดปล่อยไปไม่น้อย เปลือกตาหนาปิดลง ปล่อยความรู้สึกไปกับกลิ่นหอมละมุนที่ราวกับลอยวนอยู่ในสมอง ผิวกายเนียนนุ่มมือ ความคับแน่นที่โอบรัดเขาเอาไว้...เขาจำได้แล้ว!

    เมื่อคืนก่อนเขาเมามาก สาเหตุมาจากความงี่เง่าของตัวเอง เขาเอาแต่เฝ้ามองดนตร์และคิดไปต่างนานา ยิ่งเห็นรอยยิ้มของเด็กหนุ่มขณะมือกำลังเล่นโทรศัพท์เขายิ่งหงุดหงิด แล้วก็ใช้เหล้าดับความคิดบ้าๆ พวกนั้น จากนั้นความทรงจำก็ขาดหายไป

    “อา...พี่กรณ์ ปะ..ปล่อย อา”    

    “พี่ครับ ฮื้อ พอ..ไม่เอา อ๊ะ”
   
   “โอ๊ย! เจ็บ! เอาออกไปนะ”


    ถ้อยคำร้องขอผุดเข้ามาในความทรงจำเรื่อยๆ ใบหน้าที่เจือด้วยความเจ็บปวดเด่นชัดขึ้นทุกที ผิวขาวจัดเป็นรอยช้ำจากการกระทำของเขา ลิ้นแตะที่รอยแผลอีกครั้ง คราวนี้เขาระลึกได้ถึงรสจูบหวานล้ำและเรียวลิ้นที่โต้กลับมา กรณ์เปิดตาขึ้น เขารู้ว่ามันสายเกินไปแล้วที่จะมองหาดนตร์...แต่เขาก็ทำ

(มีต่อ)
   

ออฟไลน์ libra82

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 285
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +236/-5
        ดนตร์หายไปไหน ตั้งแต่เมื่อไร บางทีอาจจะเป็นชนวีร์ที่พาดนตร์ไปส่ง เขาภาวนาให้เป็นเช่นนั้น เพราะดูจากร่องรอยความเสียหายทั้งที่พื้นและเตียงนอน ดนตร์คงมีสภาพไม่ดีเท่าไรนัก รอบขมับกลับมาปวดร้าวอีกครั้ง ในความสุขสมมันมีความละอายแก่ใจแทรกซ้อนอยู่ด้วย ไม่ใช่ว่าตอนนั้นเขาจะไม่รู้ตัวว่ากำลังทำอะไรและกับใคร เขาใช้ข้ออ้างว่าเมาข่มเหงดนตร์ ถึงจะรู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างผู้ชายด้วยกันมันไม่ได้เสียหาย ออกจะสุขล้นปรี่ด้วยซ้ำ ทว่าเซ็กซ์ที่ไม่ได้เกิดจากความเต็มใจ อาจจะสร้างรอยแผลในความรู้สึกได้ และเขาก็ทำมันแล้ว

    ป่านนี้ดนตร์คงเกลียดเขาสุดหัวใจ

    “แกต้องรับผิดชอบเพลง!”

   ประโยคสุดท้ายที่ชนวีร์ทิ้งไว้ให้หลังจากประเคนหมัดเข้าที่มุมปากสองทีซ้อน ย้อนเข้ามาย้ำเตือนถึงสิ่งที่เขาต้องทำ...แต่จะทำอย่างไรในเมื่อดนตร์เป็นผู้ชาย ไม่มีอะไรเสียหาย ไม่ท้อง ไม่มีอะไรผูกมัด คงมีแค่ความรู้สึกเท่านั้น ซึ่งนั่นเป็นส่วนที่ยากที่สุด เขาจะทำอย่างไรเพื่อให้ดนตร์อภัยให้เขา

   “บ้าเอ๊ย! แล้วกูจะทำยังไงวะเนี่ย!”

    ระหว่างที่กำลังสับสน โทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น กรณ์ถอนหายใจหนักหน่วง มือเรียวยกขึ้นเสยผมระบายความฟุ้งซ่าน แล้วรีบลดระดับอารมณ์ลง ก่อนจะรับสายจากคนรัก “ครับ”

   “ทำไมต้องทำเสียงเป็นทางการอย่างนั้นด้วยล่ะคะ ตกลงวันนี้เอายังไง ฉันรอคุณมาจะทั้งวันแล้วนะคะ” น้ำเสียงของโยษิตายังฟังดูเป็นปกติอยู่ กรณ์ด่าตัวเองอีกรอบ เขาลืมไปแล้วว่าสัญญาอะไรกับเธอไว้

    “เมื่อคืนผมเมาน่ะ เลยเพิ่งตื่น คุณรอผมสักชั่วโมงนะ เดี๋ยวผมไปรับ”

    “ก็ได้ค่ะ เดี๋ยวฉันจะแต่งตัวสวยๆ ไว้รอคุณ โอเค แค่นี้นะคะ บาย” โยษิตาเป็นฝ่ายตัดสายไปก่อน

   กรณ์พรูลมหายใจเบาๆ ไม่ใช่แค่ดนตร์ แต่ยังมีโยษิตาอีกคน...เขากำลังผูกปมเชือกให้แน่นกว่าเดิม...



     เขาพาโยษิตามาที่ห้างใหญ่ใจกลางเมือง ฤดูหนาวกำลังจะมาเยือนอย่างเต็มในอีกไม่กี่วัน กรณ์กระชับเสื้อแจ็คเก็ตสีดำยี่ห้อโปรด เพิ่มไออุ่นให้ตัวเอง โยษิตาสอดมือกอดท่อนแขนของเขาเอาไว้ อกอิ่มเบียดชิด ไม่มีความเขินอายหรือหวงเนื้อหวงตัวกันอีกแล้ว เวลาเกือบสองปีมันมากพอที่จะสร้างความคุ้นเคยทางร่างกาย วันนี้โยษิตาน่ารักเหมือนตุ๊กตา เธอสวมกระโปรงสั้นสีดำกับเสื้อแขนยาวสีชมพูหวาน ผมยาวสลวยถูกจัดแต่งเป็นลอนใหญ่ เธอเลยดูเหมือนตุ๊กตาอย่างสมบูรณ์แบบ

   “ฉันหิวแล้ว ตอนกลางวันยังไม่ได้กินอะไรเลย เราไปหาอะไรกินกันก่อนไหมคะ แล้วเดี๋ยวค่อยไปดูรองเท้ากัน”

   กรณ์พยักหน้า สมองของเขาทำงานหนักจนเกินกว่าจะคิดหาคำปฏิเสธได้ แถมร่างกายยังโหยหาสิ่งที่เรียกว่าอาหารเช่นกัน เขาปล่อยให้คนรักพาเข้าไปในร้านอาหารฟาสต์ฟู้ด ที่คร่าคร่ำไปด้วยผู้คน โยษิตาให้เขาหาที่นั่ง ส่วนตัวเองจะเป็นฝ่ายไปยืนต่อแถวซื้ออาหารให้

   “คุณไปนั่งรอเถอะค่ะ หน้าซีดเชียว ท่าทางจะยังเมาค้างอยู่ เอาไก่ทอดด้วยหรือเปล่า”

   “อือ เอาน้ำอัดลมมาด้วยนะ คอผมแห้งยิ่งกว่าทะเลทรายซะอีก”

   โยษิตายิ้มหวาน หยิกที่แก้มเขาเบาๆ “ได้ค่ะ รอแป๊บ เดี๋ยวโยษิตาคนนี้จะจัดการให้”

    ร่างสูงใหญ่ เรือนผมสีดำถูกจัดแต่งทรงตามสมัย เครื่องหน้าที่ครบครันตั้งอยู่บนใบหน้าเรียวได้รูป ทำให้กรณ์กลายเป็นจุดเด่นไปโดยปริยาย สาวน้อยสาวใหญ่หลายคนมองตาเป็นประกาย เขาหาที่นั่งได้ส่วนมุมสุดด้านซ้ายมือ ห่างจากจุดที่โยษิตาไปซื้ออาหารพอสมควร กรณ์นั่งไขว่ห้าง ดึงเอาโทรศัพท์มาเล่นคั่นเวลา ท้องร้องเตือนเป็นระยะแต่ยังพอทนไหว เขาเช็คข่าวคราวความเคลื่อนไหวต่างๆ ในเฟซบุ๊ค นิ้วเรียวเลื่อนหน้าจอโทรศัพท์แบบผ่านๆ ไม่มีอะไรน่าสนใจสักเท่าไร นอกเสียจากการบ่นถึงความยากของงานจากเพื่อนๆ ในคลาสเดียวกัน กระทั่งสะดุดกับข้อความสั้นๆ

    ‘ไม่ว่าจะอยู่ในเงามืดหรือในที่แจ้ง แต่ฉันก็พร้อมจะประกาศสงคราม’

    ธาวิน

    กรณ์ขมวดคิ้ว เขารู้ว่าข้อความของธาวินต้องมีนัยยะแอบแฝงอยู่แน่นอน บางอย่างบอกกับเขาว่ามันอาจจะเกี่ยวข้องกับเขาด้วย อารมณ์ของเขาขมุกขมัวยิ่งกว่าเดิม ชายหนุ่มถอยหายใจด้วยความหงุดหงิด ความอยากอาหารก็พลอยลดลงไปด้วย ตาคมดุทอดมองไปอย่างไร้จุดหมาย และถึงแม้จะอยู่ในช่วงอารมณ์ที่ไม่ปกตินักแต่ก็ไม่ได้ทำให้ความน่ามองลดลงเลย สาวๆ ที่นั่งอยู่ในโต๊ะตรงข้ามมองมาด้วยความสนใจ ทว่ากรณ์ไม่พร้อมจะสานต่อสัมพันธ์กับใคร แค่นี้ชีวิตของเขาก็วุ่นวายยุ่งเหยิงมากพอแล้ว

    “แกต้องรับผิดชอบเพลง!”

    คำสั่งที่กดดันที่สุดผุดขึ้นมาในความคิดอย่างเกินห้ามปราม ตั้งแต่เกิดมาเป็นกรณ์ได้เกือบ 21 ปี เขาไม่เคยทำตามคำสั่งใคร แม้แต่บิดาเขายังกล้าขัดคำสั่ง ทว่าเขากลับไม่มีความคิดที่จะปฏิเสธสิ่งที่ชนวีร์สั่ง แต่มันยังไม่ใช่ตอนนี้ เขายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาคิดอะไรกับดนตร์ สิ่งที่เกิดขึ้นมันเหมือนทำผิดโดยเจตนา...แล้วที่สำคัญเขาจะรับผิดชอบดนตร์ด้วยวิธีอะไร

   “แกๆ ดูคู่นั่นสิ น่ารักชะมัด ผู้ชายตัวเล็กๆ ใส่แว่นนั่น น่ารักนะ พี่คนนั้นก็หล่อ ตัวสูงมากเลย โอ๊ย เดี๋ยวขอถ่ายรูปอัพลงในเฟซบุ๊คหน่อยนะ”

     เสียงฮือฮาดังมาจากโต๊ะฝั่งตรงข้าม สาวๆ ที่ส่งตาหวานให้เขาเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นชะเง้อชะแง้มองอะไรบางอย่าง เขามองตามไปอย่างเสียไม่ได้...แล้วภาพที่เห็นมันก็เปลี่ยนความสับสนให้กลายเป็นโทสะ

    ดนตร์...เด็กนั่นสวมเสื้อแขนยาวสีน้ำตาล กับกางเกงยีนส์ทรงโง่ๆ ผมสั้นสีดำสนิทส่งให้ใบหน้ายิ่งขาวกว่าเดิม ริมฝีปากแดงสดฉ่ำคลี่แย้มน้อยๆ ขณะที่อีกคนทำท่าชี้ชวนให้ดูสารพันรอบตัว และมันคือธาวิน!

    “น่ารักจังเลย”

    สาวๆ โต๊ะนั้นยังชมไม่หยุดปาก แต่ที่เขาเห็นมันก็ไม่ต่างจากที่พวกเธอพูดนัก ดนตร์น่ารักขึ้น ดวงหน้าได้ถึงจะดูซีดเซียวไปบ้างทว่ายังมีความอิ่มเอิบซ่อนอยู่ ผิวขาวจัดราวกับน้ำนมที่เขาจำได้ดีว่ามันหอมแค่ไหน ริมฝีปากสีสวยโดยไร้การแต่งแต้มของเครื่องสำอาง ดวงตากลมหยีลงกว่าเดิมยามที่เจ้าตัวยิ้มหรือหัวเราะ ธาวินดูอารมณ์ดีเป็นพิเศษ ทั้งสองเดินเคียงคู่กันจนเกินจำเป็น

   กรณ์ไม่รู้ตัวว่ากำลังบีบมือเข้าหากันและแน่นขึ้นเรื่อยๆ กรามขบแน่นจนเป็นสันนูน เด็กนั่นเป็นของเขา! เป็นของเขา!

    “มาแล้วค่ะ ของโปรดของคุณทั้งนั้นเลย”

    มือที่บีบเกร็งคลายลง เขาพยายามลดระดับความร้อนในอกลง ปรับสีหน้าให้ดูเป็นปกติที่สุด...แต่มันยากยิ่งนัก เขาไม่ใช่นักแสดงชั้นดี แถมยังแย่มากๆ อีกด้วยโดยเฉพาะช่วงที่อารมณ์กำลังเดือดพล่านเช่นนี้

    โยษิตาวางถาดอาหารลง มีไก่ทอดของโปรดของเขาด้วย น้ำอัดลมสีดำตามที่เขาขอ คิ้วเรียวเลิกขึ้นเล็กน้อย พลางทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกัน

   “เป็นอะไรหรือเปล่าคะ ปวดหัวเหรอ”

   “เปล่าหรอก” ชายหนุ่มโคลงศีรษะเบาๆ “กินกันเถอะ จะได้ไปเลือกรองเท้าไง”

    โยษิตาไม่ถามอะไรอีก เธอมีความสุขอยู่กับอาหารที่ซื้อ ส่วนเขากินแค่น้ำอัดลมแก้วเดียวเท่านั้น ทิ้งของโปรดเอาไว้โดยไม่แตะต้องแม้แต่ชิ้นเดียว

    หลังจากจบมื้อเย็นโยษิตาก็พาเขาไปที่ร้านประจำของเธอ เจ้าของร้านออกมาต้อนรับอย่างเป็นกันเอง เขาปล่อยให้เธอได้เลือกตามใจ บางทีอาจจะไม่ได้จบแค่รองเท้าแต่อาจจะกระเป๋าหรือชุดสวยๆ ตามมาด้วย สำหรับเขาแล้วไม่มีปัญหาเพราะรู้ดีว่าพวกผู้หญิงมักจะมีความสุขกับการจับจ่ายใช้สอย
 
   ร่างสูงหย่อนสะโพกลงนั่งบนโซฟาตัวเล็กๆ ในร้าน มีลูกค้าผู้หญิงหลายคนมองมาที่เขาด้วยความสนใจ แต่เขาเลือกที่จะเมินสายตาทอดสะพานพวกนั้น ร่างกายยังอิ่มเอมจากความสุขสมเมื่อคืนก่อน ไม่รู้ว่าดนตร์ร่ายเวทมนต์อะไรใส่เขาที่ปลายจมูกยังคล้ายกับได้กลิ่นน้ำนมอยู่อย่างนั้น กรณ์ถอยหายใจด้วยความหงุดหงิด เมื่อไรเขาถึงจะหยุดคิดถึงดนตร์สักที ยิ่งคิดว่าตอนนี้เด็กนั่นอยู่กับใคร ก็ยิ่งโมโห ใบหน้าหล่อเหลาบึ้งตึงขึ้นเรื่อยๆ บางทีถ้าได้กาแฟแรงๆ สักแก้วอาการทุรนทุรายในอกอาจจะน้อยลงก็ได้ ตาคมเบนออกไปนอกร้าน มองหาร้านกาแฟ แต่แล้วสายตาก็พลันสะดุดกับผู้ชายคู่หนึ่งในร้านกาแฟชื่อดัง...ดนตร์กับธาวิน กรณ์ยกยิ้มเหยียด ห้างนี้มันแคบจริงๆ
 
    เขามองอยู่สักพักก็เห็นดนตร์ปลีกตัวออกมาคนเดียว กรณ์ผุดลุกจากที่นั่งเดินไปหาคนรัก

   “ยาหยี ผมไปห้องน้ำก่อนนะ เดี๋ยวมา”

    โยษิตาพยักหน้ารับรู้ ที่จริงเธอไม่ได้สนใจเขามากไปกว่ารองเท้าในมือสักเท่าไรนัก
 
    กรณ์รีบเดินตามดนตร์ไป จากทิศทางเขาเดาว่าเด็กนั่นคงจะไปห้องน้ำ น่าแปลกที่เขาสามารถมองเห็นดนตร์ได้อย่างชัดเจนทั้งที่ผู้คนเดินขวักไขว่ ร่างโปร่งเดินตามป้ายที่บอกไปห้องน้ำอย่างที่คิดไว้จริงๆ กรณ์เดินตามไปห่างๆ หงุดหงิดเล็กน้อยกับสายตาของผู้หญิงที่ส่งมาเป็นระยะๆ

    ในห้องน้ำไม่มีคนมากนัก ต่างจากข้างนอกพอสมควร ดนตร์เลือกโถที่อยู่ด้านในสุด กรณ์ก้าวยาวๆ เพียงไม่กี่ครั้งก็ถึงตัวแล้ว

    “โลกมันแคบนะ นายว่าไหม”

    ดวงตากลมหลังแว่นทรงเห่ยๆ เบิกกว้าง ไอ้แว่นบ้านี่แหล่ะที่ทำให้ความน่ารักของดนตร์ลดลง ร่างโปร่งขยับหนีอัตโนมัติ จนแผ่นหลังแทบจะติดกับผนัง ใบหน้าขาวเผือดลงกว่าเดิม คนตัวเล็กหันซ้ายหันขวา เขาใช้กำลังที่มีมากกว่าดันร่างโปร่งเข้าไปในห้องน้ำที่อยู่ใกล้ที่สุด โดยไม่ลืมลงกลอนประตูด้วย

    ดนตร์หนีไปจนสุดมุมห้อง แต่ก็ไม่ได้ไกลไปกว่าช่วงแขนของเขา แววตื่นตระหนกฉายชัดในดวงตากลม ริมฝีปากสวยเม้มจนเป็นเส้นตรง

    เขาไม่ต้องใช้ความพยายามใดๆ ก็เข้าประชิดตัวได้ กรณ์ยกมือกางคร่อมอีกฝ่ายเอาไว้ เด็กหนุ่มหายใจแรงจนเขารับรู้ถึงไอร้อนจากลมหายใจ

    “พี่...สวัสดี...ครับ”

   “หึ หึ หึ สวัสดีอย่างนั้นเหรอ” กรณ์หัวเราะในคอ มองดูลูกแกะตัวน้อยที่กำลังหวาดกลัวบางสิ่ง...บางสิ่งที่ว่ามันคือเขานั่นเอง “เมื่อคืนก่อน...หลับสบายดีไหม”

    ดนตร์เบิกตากว้าง ริมฝีปากอ้าค้าง นานชั่วลมหายใจเจ้าตัวถึงปรับสีหน้าและอารมณ์ลงได้ ทว่าในดวงตายังสะท้อนถึงความหวาดหวั่นออกมาให้เห็น

   “สะ...บายดีครับ”

   “เหรอ...แต่ฉันว่าหน้านายซีดๆ นะ นอนเต็มอิ่ม หรือว่า...เจ็บตรงไหน”

     “ไม่ครับ! ผมสบายดี” ดนตร์ตอบ เสียงสั่นจนรู้สึกได้

    “แต่ก็น่าจะสบายดีจริงๆ นั่นแหล่ะ ไม่อย่างนั้นนายคงออกมาเริงร่ากับไอ้ธามไม่ได้หรอก...จริงไหม” กรณ์พูดด้วยเสียงแผ่วเบาแต่หนักแน่น ใบหน้าคมก้มต่ำลง กลิ่นหอมที่หลอกหลอนนานเกือบข้ามวันชัดเจนขึ้น...หอมเหมือนนม ริมฝีปากหนาอ้อยอิ่งอยู่แถวหน้าผากขาวสะอาด ยิ่งมองใกล้ๆ ยิ่งเห็นว่าดนตร์ผิวดีมากแค่ไหน ไม่มีสิวหรือไฝฝ้าสักเม็ดให้เกะกะลูกตา แก้มใสจนเห็นเส้นเลือดฝาด ริมฝีปากสีสดแดงฉ่ำ เรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อคืนหลั่งไหลในสมอง ร่างกายเริ่มมีปฏิกิริยาอย่างเกินคาดหมาย

    นิ้วเรียวช้อนคางมน บังคับให้ใบหน้าน่ารักยกขึ้น ตาคมดุกวาดมองไปทั่วดวงหน้าน่ามอง ดนตร์อันตรายจริงๆ ต่อให้เป็นเพศเดียวกันก็ยากนักต่อการต้านทาน เสน่ห์เฉพาะตัวที่นับวันยิ่งเพิ่มมากขึ้น และไม่ใช่แค่เขาคนเดียวที่กำลังโดนเสน่ห์นี้เล่นงาน ยังรวมไปถึงธาวินอีกคน

   “ว่าแต่...มันรู้หรือยังล่ะว่าคืนก่อนนายอยู่กับฉัน...ทั้งคืน” เขาพูด ขณะที่กดใบหน้าต่ำลง ลมหายใจร้อนผ่าวรดรินใบหูเล็กจนมันแดงเรื่อ

    ดนตร์ยกมือขึ้นดันหน้าอกหนาให้ออกห่าง แต่มันไม่ง่ายนักเมื่อคนตัวใหญ่กว่าไม่ให้ความร่วมมือ กรณ์คลี่ยิ้มที่มุมปาก ละมือจากผนังห้องน้ำสอดรัดเอวเล็กเอาไว้

    “พี่จะทำอะไรน่ะ! ปล่อยผมนะ”

    “ทำไม รังเกียจนักหรือไง อย่าลืมสิว่าตอนนี้เราเป็นอะไรกัน” กรณ์เตือน พลางไล้จมูกไปตามใบหูบอบบาง “...นายเป็นเมียฉันแล้วนะเพลง”

    “หยุดพูด!” เด็กหนุ่มผลักอกเขาเต็มแรง เขาเสียจังหวะการทรงตัวไปเล็กน้อย แต่ก็มือยังคงประคองอีกร่างไว้อย่างมั่นคง “ผมไม่ได้เป็นอะไรกับพี่ เราไม่ได้มีอะไรกัน ทุกอย่างมันเป็นเรื่องที่พี่คิดไปเอง”

    ใบหน้าที่เคยซีดเผือดเริ่มมีสีสันขึ้นมาบ้างแล้ว...อย่างนี้สิมันถึงจะสนุก

    “ฉันก็ไม่รู้หรอกนะว่ามันเรื่องจริงหรือความฝัน แต่ว่ารอยพวกนี้..” ก้านนิ้วยาวเกี่ยวคอเสื้อให้เปิดกว้าง อย่างที่คิด เขาเห็นรอยแดงช้ำกระจายบนผิวสวย “ไม่น่าจะเกิดจากสิ่งที่นายบอกกับฉันว่า คิดไปเอง”

    “ผมแพ้อาหาร” ดนตร์แย้ง แต่พวงแก้มสุกปลั่ง “เมื่อคืนพี่เมามากเลยไม่รู้ว่าผมแพ้อาหาร”

   “อาหาร” คิ้วหน้าเลิกสูง “นายนี่ไม่น่าเรียนการแสดงเลยนะ...นายโกหกได้ห่วยมาก”

    “ผมไม่ได้โกหก แต่พี่จะไม่เชื่อก็ตามใจ แล้วก็ช่วยกรุณา ปล่อยตัวผมสักที” ตากลมช้อนมอง ความไม่พอใจแทรกซ้อนมากับความหวาดหวั่น “หรือว่าอันที่จริงแล้ว...พี่เองก็สนใจผมเหมือนกัน”

    “หึ” กรณ์หัวเราะ “ถ้าฉันตอบว่าใช่ล่ะ...นายจะทำยังไง” ตากลมเบิกกว้างอีกครั้ง แก้มยิ่งแดงกว่าเดิมจนเขากลัวว่ามันจะเบิด “ว่าไง ไหนล่ะคำตอบ”

    ระหว่างที่รอคำตอบจมูกของเขาก็สูดเก็บเอาความหอมของผิวกายจากเด็กหนุ่มไปด้วย ผิวขาวใสยิ่งกว่าผู้หญิงบางคน มีรอยแดงจ้ำกระจายไปทั่ว แถมยังเยอะจนเขาแปลกใจ ชายหนุ่มกดจมูกหนักๆ ไปบนต้นคอเรียว ดนตร์สะดุ้งสุดตัว มือผลักไสเขาพัลวัน

   “ปล่อยนะ! ไม่อย่างนั้นผมจะร้องให้คนช่วย”

    “ร้องเหรอ...ก็เอาสิ” เขาท้าทาย “คิดหรือว่าตอนนี้ด้านนอกเขาจะไม่ได้ยินเสียงของนาย” คำพูดกึ่งขู่ของเขาคงได้ผล ดนตร์หุบปากฉับ ขมวดคิ้วมุ่น กรณ์ใช้หัวแม่มือดันคางมนขึ้นอีกครั้ง “เราจะจัดการเรื่องนี้ยังไงกันดี อยากให้ฉันไปสู่ขอกับพ่อแม่นายหรือเปล่า”

   “ไม่ต้อง!” ดนตร์กดเสียงต่ำ “สิ่งเดียวที่ผมต้องการคือลืมเรื่องบ้าๆ นี่ซะ”

    “ฮะ ฮะ ฉันเพิ่งรู้นะว่าเด็กเนิร์ดอย่างนายเป็นพวก One night stand น้ำแตกแล้วแยกทาง”

    “ไอ้!” เด็กหนุ่มกัดฟันแน่น ดวงตาน่ารักเต็มไปด้วยความโกรธเคือง

   ทำไมถึงน่ารักนัก...เขารู้สึกว่าตัวเองเหมือนพวกโรคจิตเข้าไปทุกที ที่ชอบยั่วให้อีกฝ่ายโกรธ

    “นายไม่ต้องการให้ฉันรับผิดชอบอะไร ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องดีสำหรับฉัน แต่ฉัน...จะไม่มีทางหยุดมันไว้แค่นี้แน่นอน”

   “พี่ต้องการอะไร!”

    “ต้องการนาย” เขาตอบสั้นๆ แต่เป็นคำตอบที่ชัดเจนที่สุด “นายมันเด็ดจริงๆ เพลง ขนาดฉันเมาๆ ฉันยังจำได้ว่านายเร่าร้อนขนาดไหน”

    “ไอ้เลวเอ๊ย!”

    กำปั้นหลุนๆ ลอยมาทางขวามือ ก่อนจะกระแทกใส่เสี้ยวหน้าเต็มแรง หัวสมองของเขาชาวาบจนรู้สึกเหมือนเห็นดาวที่ใต้เปลือกตา กรณ์สบถในคอก่อนจะผลักร่างเล็กกว่าล้มลงไปนั่งบนชักโครกที่ปิดฝาอยู่พอดี มือหนาฉวยคางมนเอาไว้ ออกแรงบีบจนอีกฝ่ายเบ้หน้า

   “นายกล้าต่อยฉันเหรอ เพลง!” กรณ์ถามรอดไรฟัน ดูเหมือนว่าหมัดเมื่อครู่ของดนตร์จะไปสมทบกับรอยเก่าที่ชนวีร์ทำเอาไว้ แผลที่มุมปากปริปากจนลิ้นได้รสเลือด

   “ผมทำได้มากกว่านั้นอีก ถ้าพี่ไม่เลิกเหยียดหยามผม”

   “เหยียดหยาม? นี่นายคิดว่า...” ชายหนุ่มหยุดคำพูดไว้แค่ในคอ เขาพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมดนตร์ถึงได้อยากให้เขาลืมเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นโดยไม่ต้องการความรับผิดชอบใดๆ “แสดงว่าไอ้ธามยังไม่รู้สินะว่านายกับฉันไปถึงสวรรค์ชั้นเจ็ดกันแล้ว หึ ฉันล่ะอยากรู้จริงๆ ว่ามันจะทำหน้ายังไงตอนที่มันรู้ว่าฉันได้เป็นคนแรกของนาย”

    “หยุดนะ!” ดนตร์เสียงดัง แต่เมื่อรู้ตัวก็รีบเม้มปาก ลดระดับเสียงลง ”อย่าบอกเรื่องนี้กับใคร”

    “แล้วฉันจะได้อะไร”

    “ผมไม่มีอะไรจะให้พี่หรอก แต่ผมเองก็จะไม่บอกเรื่องนี้กับใครเหมือนกัน”

   “คิดเหรอว่าถ้านายเอาเรื่องนี้ไปบอกกับคนอื่น เขาจะเชื่อในสิ่งที่นายพูด...เครดิตฉันกับนายมันต่างกันนะเพลง” เขาขู่ ไม่สิ เขาพูดความจริง ถึงปมเชือกจะแน่นกว่าเดิมยุ่งเหยิงกว่าเดิมแต่เขาก็ยินดีจะทำมัน คนอย่างกรณ์ไม่เคยมีเหตุผลอยู่แล้ว
   
    “แล้วพี่ต้องการอะไร”

   “เรามาแลกเปลี่ยนกัน ฉันจะไม่บอกเรื่องนี้กับใคร แต่นาย....” เขาก้มใบหน้าต่ำลง จนริมฝีปากชิดกับใบหูเล็ก “ต้องเป็นของฉัน และห้ามเข้าใกล้ไอ้ธามเป็นอันขาด”

    “ไม่เอา!” ดนตร์ปฏิเสธ “แค่พี่กับผมไม่ต้องมายุ่งเกี่ยวกันอีกก็พอแล้ว”

   “แต่ฉันไม่พอ” เขาสวนกลับ นิ้วหัวแม่มือไล้ขอบปากล่างอย่างสื่อความหมาย “ทำตามข้อตกลงของฉัน ไม่อย่างนั้นนายจะไม่มีหน้าไปเจอใครได้อีก”

    กรณ์กดริมฝีปากบนกลีบปากแดงฉ่ำหนักๆ สองมือประคองใบหน้าน่ารักเอาไว้แล้วใช้ปลายนิ้วบีบแก้มนวลบังคับให้อีกฝ่ายเปิดริมฝีปากขึ้น สอดลิ้นเข้าไปในโพรงปากอุ่น ดูดกลืนอีกลิ้นอย่างหิวกระหาย ดนตร์ดิ้นอึกอัก ยกมือดันหัวไหล่ของเขาเอาไว้ เขาได้รสหวานปมขมจากลิ้นของเด็กหนุ่ม รสกาแฟที่ยังคงเจือด้วยความนุ่มจากนมสด นานจนพอใจถึงได้ปล่อยให้ริมฝีปากแดงฉ่ำนั่นเป็นอิสระ

    “นายเป็นของฉันแล้วเพลง”
.......................

อนุญาติให้ด่ากรณ์ได้แบบไม่มีลิมิต
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-06-2017 06:38:40 โดย libra82 »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด