ตอนที่ 2
ใครมันโทรมาแต่เช้าวะ
ผมพลิกตัวไปมาหยิบหมอนมาปิดหูด้วยความรำคาญพลางใช้มือควานหาเมื่อโทรศัพท์ที่มันดังก่อนเวลาอันควร คว้ามือถือราคาไม่กี่พันมาได้ก็กดตัดสายแบบไม่ต้องคิด กำลังจะนอนต่อแต่ไม่ถึงนาทีมันก็ดังขึ้นมาอีกรอบจนเผลอถอนใจออกมาแรงๆ หนึ่งที
แล้วหยิบมันขึ้นมาดูอีกครั้ง ชื่อที่ผมเมมไว้ว่า 'นายมืดมน' โชว์หราอยู่หน้าจอ สุดท้ายเลยต้องกดรับสายทั้งที่ยังตื่นไม่เต็มตา
(ฮัลโหล)
"อืม" ผมตอบกลับอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก นายมืดมนเองก็คงจะรู้ตัวเลยรีบพูดเข้าเรื่องธุระที่โทรมา
(วันนี้เจอกันแปดโมง อย่าลืมนะ)
ได้ฟังเรื่องสำคัญที่อุตส่าห์โทรมาปลุกผมตั้งแต่เช้าเลยเผลอพ่นลมหายใจออกมาอย่างลืมตัว นายมืดมนเองก็เงียบไป อาจจะรู้แล้วก็ได้ว่าผมอารมณ์ไม่สุนทรีเท่าไร
(หลับอยู่เหรอ ขอโทษนะ)
ถ้าเป็นเพื่อนหรือคนสนิทโทรมาในเวลาแบบนี้บ่อยๆ ผมคงด่าไปแล้ว แต่เพราะเป็นเขา คนที่ไม่ได้สนิท คนที่ผมไม่รู้ว่ากำลังมีเรื่องรบกวนจิตใจให้รู้สึกแย่อยู่หรือเปล่า สุดท้ายเลยพยายามชวนคุยให้เป็นปกติ
อีกอย่างคือผมต้องรู้ให้ได้ว่านายมืดมนนั่นกำลังคิดหรือวางแผนอะไรไม่ดีในใจอยู่
"อืม ไม่เป็นไร เรื่องนัดไม่ลืมหรอก แล้วนี่นายตื่นเช้าแบบนี้ทุกวันเลยเหรอ"
(อ๋อ อื้ม ใช่ ตื่นมาวิ่งน่ะ ออกกำลังกาย)
ออกกำลังกาย? เสียงแหลมสูงของผมดังทวนขึ้นในใจ คนที่เขียนจดหมายสั่งเสียเหมือนไม่อยากอยู่บนโลกนี้แล้วแบบนั้นจะออกกำลังกายไปทำไม หรือว่า...
ความคิดในแง่ลบผุดขึ้นมาในหัวผมไม่หยุดจนต้องส่ายหน้าแรงๆ เพื่อสลัดมันออกไป ฆ่าตัวตายโดยทำให้เหมือนอุบัติเหตุนั่นแหละคือสิ่งที่ผมคิด นายมืดมนอาจป่วยเป็นโรคหัวใจโตเลยคิดที่จะออกกำลังกายหนักๆ อย่างการวิ่งตอนเช้า แล้วถ้าตายไปด้วยสาเหตุแบบนั้นคงไม่มีใครสงสัยว่าแท้จริงแล้วเป็นการฆ่าตัวตาย
เป็นไงล่ะความคิดผม เฮ้อ
"นายออกกำลังกายแบบนี้ทุกเช้าเลยเหรอ"
(ก็ไม่ทุกวันหรอก วันไหนตื่นไม่ไหวก็ไม่ได้วิ่ง)
"ขยันเนอะ"
เป็นเสียงหัวเราะเบาๆ ดังตอบกลับมากับคำที่ผมตั้งใจประชด น่าแปลกที่มันฟังดูสดใสต่างกับสีหน้าหม่นหมองนั่น ตอนที่นายมืดมนหัวเราะ จะแสดงสีหน้าแบบไหนออกมากัน อยากเห็นชะมัด
(งั้นวางแล้วนะ โทรมาเตือนแค่นี้แหละ อย่าลืมล่ะ)
"ครับๆ" ผมกดตัดสายทิ้งแล้วพลิกตัวซุกหน้าลงกับหมอน ในหัวยังคงฟุ้งซ่านกับบทสนทนาและความคิดแง่ร้ายของตัวเองเมื่อครู่
ฆ่าตัวตายโดยที่ทำให้เหมือนเป็นอุบัติเหตุ หวังว่าสิ่งที่ผมคิดมันคงไม่ใช่ความจริงหรอกนะ
ผมมาถึงโรงอาหารคณะบริหารแปดโมงตามเวลานัด แทบไม่ต้องมองหาให้เสียเวลาก็เจอนายมืดมนนั่งอยู่โต๊ะตัวเดิมที่เราได้นั่งกินข้าวด้วยกันเมื่อวันนั้น ผมเดินเข้าไปหาอย่างไม่เร่งรีบ วางกระเป๋าลงบนโต๊ะคนที่กำลังจิ้มโทรศัพท์ราคาแพงเครื่องนั้นอยู่ถึงได้เงยหน้าขึ้นมามอง
"ไง"
"หวัดดี" นายมืดมนวางมือถือลงบนโต๊ะ แย้มรอยยิ้มบางๆ ที่ไม่ได้ทำให้คนมองรู้สึกสดใสขึ้นมาเท่าไร
ผมนั่งลงฝั่งตรงข้ามพลางลอบมองหน้าจอมือถือที่นายมืดมนเปิดหน้าแชทกับใครบางคนค้างไว้ ไม่ได้อยากทำตัวเหมือนคนชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน แต่เพราะเป็นหมอนี่เลยต้องเฝ้าสังเกตทุกการกระทำ ทุกสีหน้า ท่าทาง และน้ำเสียง ผมคิดว่ามันบ่งบอกได้หลายอย่างว่าคนคนนั้นกำลังรู้สึกยังไง อย่างเช่นนายมืดมนนี่ที่มองยังไงก็เหมือนคนป่วยหมดอาลัยตายอยาก
ว่าแต่ผมยังไม่ได้ถามชื่อหมอนี่เลยนี่หว่า เรียกนายมืดมนจนชินปากไปซะแล้ว
"เออ นายชื่ออะไร เรายังไม่รู้ชื่อกันเลย"
"นั่นดิ ลืมไปเลย เราต้นสน"
ต้นสนงั้นเหรอ มิน่าล่ะรูปดิสเพลย์ในเพจของหมอนี่ถึงได้เป็นรูปต้นสน ส่วนชื่อเพจก็ตรงตัวว่า Pinetree
"เราปลื้ม"
"โอเคปลื้ม ไปซื้อข้าวกันก่อนมั้ย เดี๋ยวค่อยกลับมานั่งคุยกัน"
"ได้ ตามใจนายเลย"
นายมืดมนหรือต้นสนแนะนำร้านอร่อยของคณะ เป็นร้านข้าวราดแกงทั่วไป รสชาติไม่แย่เท่าไรแต่ผมว่าร้านป้านกอร่อยกว่าเยอะ เรานั่งกินไปทำความรู้จักกันไป ได้ความว่าเรียนอยู่ปีสอง สาขาธุรกิจระหว่างประเทศ ก็เท่ากับว่าเราอายุเท่ากัน
"แล้วปลื้มเรียนคณะอะไรเหรอ"
"สังคม"
"สังคม" นายมืดมนทวนคำ ทำหน้างงอย่างกับว่าไม่เคยได้ยินชื่อคณะนี้มาก่อน
"สังคมและมานุษ" ผมช่วยขยายความให้ แต่ดูจากสีหน้าแล้วคงไม่ได้ช่วยให้มันกระจ่างขึ้นมาเท่าไรนัก เพราะฉะนั้นก็ชั่งมันเถอะ
นายมืดมนที่ดูเซื่องซึมเหมือนจะเป็นคนนิ่งๆ เอาเข้าจริงกลับคุยเก่งกว่าที่ผมคิด ทั้งที่เพิ่งรู้จักกันแต่ต้นสนสามารถยกเรื่องนั้นเรื่องนี้มาพูดถึงจนบางทีผมไม่รู้จะตอบอะไรกลับไปเลยได้แต่ยิ้มให้เฉยๆ กลายเป็นคนสดใสร่างเริงต่างจากตอนอยู่นิ่งๆ ก้อนเมฆอึมครึมบนหัวไม่ดำครึ้มเหมือนเคย มันมีแสงอาทิตย์สาดส่องออกมาให้เห็นอยู่นิดๆ ถึงอย่างนั้นสีหน้ากับใต้ตาหมองคล้ำก็ไม่ช่วยให้ดูสดใสขึ้นมาอยู่ดี
ระหว่างคุยกันสายตาผมเผลอเหลือบไปมองรอยที่แขนนายมืดมนอยู่บ่อยๆ บ่อยจนเจ้าตัวสังเกตเห็นแล้วดึงแขนเสื้อนักศึกษาที่พับไว้ลงมาปิด มีพิรุธจนคันปากอยากถาม ไหนจะพาสเตอร์ที่นิ้วมือทั้งสองข้างอีก เป็นใครเห็นก็ต้องสงสัยไม่ใช่แค่ผมแน่ๆ
แล้วถ้าผมจะลองถามถึงสาเหตุในฐานะเพื่อนมนุษย์ที่เป็นห่วงกัน มันคงไม่ดูยุ่งเรื่องของชาวบ้านเกินไปหรอกนะ
ผมมองหน้านายมืดมนอยู่สักพักจนเจ้าตัวเงยหน้าขึ้นมามอง มันคือแผนที่ผมทำเป็นสงสัยติดใจอะไรบางอย่าง ต้องทำให้เหมือนมันไม่ใช่เรื่องปกติแล้วค่อยถามออกไป ที่สำคัญต้องไม่จู้จี้จนน่ารำคาญ
"มี...อะไรเหรอ"
"สีหน้านายดูไม่ค่อยดีเลยนะ ไม่สบายหรือเปล่า"
"อ๋อ เปล่าหรอก แค่โหมทำงานเยอะไปหน่อย" ต้นสนส่ายหน้าน้อยๆ ยิ้มบางๆ อย่างคนหมดแรงเหมือนกลัวว่าผมจะไม่เชื่อว่าที่หน้าดูโทรมขนาดนี้เพราะงานเยอะจริงๆ
ผมพยักหน้ารับรู้โดยไม่คิดจะถามอะไรต่อ คำตอบของคำถามเป็นข้ออ้างหรือความจริงนั้นไม่อาจรู้ได้ และมันคือสิ่งที่ผมต้องค้นหาต่อไป
เรายังนั่งกินข้าวด้วยกันและคุยถึงเรื่องทั่วๆ ไปจนสิ้นสุดมื้อเช้า ผมลุกขึ้นจากโต๊ะแล้วบอกลา หมดธุระแล้วกับคนรู้จักในฐานะผู้มีน้ำใจต่อเพื่อนมนุษย์ร่วมโลก ทำให้เหมือนกับว่าเราคงไม่มีโอกาสได้เจอกันอีก ซึ่งแน่นอนว่าผมไม่มีทางให้มันเป็นแบบนั้น
เพราะจากนี้เราจะต้องได้รู้จักกันในฐานะเพื่อนคนหนึ่ง
ค่าเช่าหอยังคงเป็นปัญหาน่าปวดหัวสำหรับผมในช่วงนี้ และหลังจากคิดทบทวนอยู่หลายตลบผมตัดสินใจแล้วว่าจะหาเงินมาจ่ายให้ได้ อย่างน้อยก็สักหนึ่งเดือน หลังจากไปอ้อนวอนขอความกรุณากับป้าเจ้าของหอได้สำเร็จ และทำสัญญาใจว่าให้ทยอยจ่ายตามที่มี ผมยังไม่อยากเป็นคนไร้ที่อยู่ การทำตัวเป็นกาฝากไปรบกวนเพื่อนก็ไม่ใช่ทางที่ถูกที่ดี ครอบครัวที่ต่างจังหวัดเองยังประสบปัญหาเรื่องค่าใช้จ่ายอยู่ เพราะฉะนั้นต้องพยายามให้ตายกันไปข้าง
"เป็นอะไรวะมึง หน้าเครียดเชียว" ไอ้เจนทักขึ้นหลังจากผมปล่อยพวกมันถกกันเรื่องหนังที่จะดูเย็นนี้อยู่นาน แน่นอนว่าผมปฏิเสธไปเป็นที่เรียบร้อยเนื่องจากเศษเงินที่เหลืออยู่น้อยนิด ซึ่งพวกมันเองก็เข้าใจดี
"วิชาอาจารย์พจนีไงมึง ทฤษฏีห่าเหวอะไรเยอะแยะไม่รู้"
"เออแม่งปวดหัวจริง ได้ข่าวว่าข้อสอบโคตรโหด คนได้เอนี่นับหัวได้เลย"
"กูคงเป็นหนึ่งในนั้น"
"ได้เอเหรอมึง"
"คนที่จะตกนี่แหละ แม่งยังจำไม่ได้ซักข้อ"
ผมนั่งเท้าคางมองสองเพื่อนรักเล่นมุกฝืดแล้วหัวเราะหึ วิชานี้เครียดจริงอะไรจริงพวกมันยังมีอารมณ์มาล้อเล่น แต่อย่างว่า ชีวิตมันต้องคลายเครียดบ้าง และวิธีคลายเครียดที่พวกผมชอบใช้คือการเอาเรื่องที่เครียดอยู่มาล้อให้มันเฮฮา...เฮฮาทั้งน้ำตา
คิดแล้วก็เครียด ทั้งเรื่องเรียน เรื่องหอ แล้วก็เรื่องนายมืดมน
เพราะพยายามจะหาเงินไปจ่ายค่าหอให้ได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปทุกวันหลังเลิกเรียนผมต้องไปช่วยป้านกขายแกงที่ตลาด แลกกับค่าแรงสองร้อยที่ผมว่ามันคุ้มมากกับการทำงานแค่ไม่กี่ชั่วโมง
ช่วงเย็นวันธรรมดานั้นตลาดคึกคักมากเป็นพิเศษ ทั้งคนทำงานนักเรียนนักศึกษา ไหนจะอยู่ใกล้ย่านที่อยู่อาศัย ประชากรผู้หิวโหยต่างออกมาจับจ่ายใช้สอยหาซื้อของกินไปเติมกระเพาะ คนเยอะกว่ามันหยุดเอาเรื่อง ตั้งแต่เริ่มงานช่วงบ่ายแก่ๆ ผมมีเวลาพักนับรวมกันแล้วไม่ถึงครึ่งชั่วโมง
"ปลื้ม ไหวไหมลูก" ป้านกถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใยหลังจากลูกค้าคนล่าสุดเดินออกไป
"แค่นี้สบายมากครับ" งานแค่นี้ทำอะไรผมไม่ได้หรอก อย่างมากก็แค่เมื่อยมือตอนมัดถุงแกงหลายๆ ถุงติดกัน โชคร้ายหน่อยก็ตอนโดนหนังยางดีดให้เจ็บนิ้วเล่นๆ
"วันธรรมดาคนมันเยอะ ได้ปลื้มมาช่วยเบาแรงป้าไปเยอะเลย"
"ผมจะมาให้ทุกวันที่ว่างเลยครับป้า เรียกใช้ได้"
ป้านกยิ้มให้ก่อนหันไปหาลูกค้าที่เพิ่งเดินเข้ามา ผมเลยตักแกงที่ใกล้ขายหมดใส่ถุงเตรียมไว้ ได้ยินป้านกคุยจ๊ะจ๋ากับลูกค้าอย่างสนิทสนม เป็นเสียงที่ผมรู้สึกคุ้นเคยเป็นอย่างดี จนหันกลับไปมองนิ้วมันก็ยกขึ้นชี้หน้าลูกค้าของป้าแบบอัตโนมัติ
"ไอ้ว่าน เพิ่งกลับเหรอมึง"
"เออ ขยันนะมึงเนี่ย"
"มึงก็เอาให้ได้สักครึ่งของกูดิ"
"กูเป็นลูกค้านะ พูดดีๆ หน่อย" มันว่ากลั้วหัวเราะ
ป้านกมองผมกับไอ้ว่านเถียงกันแล้วก็เอาแต่ยิ้ม มันเป็นลูกค้าประจำที่แวะมาซื้อแกงของป้าตลอดถ้าไม่ได้กินข้าวมาจากข้างนอก ซื้อบ่อยจนสนิทกับคนงานร้านป้าแกทุกคน
"เนี่ยป้า ไอ้ปลื้มมันร้าย ระวังมันแอบแต๊ะอั๋งน้องตาลนะ" รับถุงแกงที่สั่งกับป้านกพร้อมจ่ายเงิน ไอ้เจนยังไม่วายมาแซวผมอีก
น้องตาลเป็นลูกสาวป้านกเรียนอยู่ ม.ปลาย ปกติวันไหนน้องไม่มีงานก็จะมาช่วยขาย แต่วันนี้น้องไม่มาไอ้เจนมันเลยปากดีกล้าแซว มันบอกว่าท่าทางน้องตาลเหมือนจะชอบผม มีโอกาสเลยชอบแซวให้ป้านกได้ยิน ไม่ได้ถามเพื่อนอย่างผมเลยว่ายินดีเป็นคู่ให้มันชงเล่นด้วยไหม
"แต๊ะอั๋งพ่อมึงสิ"
"โอ้โหร้าย แต๊ะอั๋งพ่อกูเลยเหรอ"
"ไอ้ว่านกวนตีน รีบเลยไป"
"ห่า ล้อเล่น งั้นกูไปละ เจอกันที่มอ"
"เออ" ผมโบกมือไล่ส่งๆ มันเลยเดินหัวเราะอารมณ์ดีจากไป
ก็เพราะแบบนี้แหละ ป้านกจะไล่ผมก็เพราะไอ้เพื่อนปากเปราะมันแซวไม่รู้จักเวล่ำเวลา ถ้าเกิดป้าแกคิดว่าผมจ้องจะจีบน้องตาลจริงๆ ขึ้นมาทำไง ได้ตกงานก็คราวนี้
เวลาเดินเข้าใกล้สองทุ่มคนก็เริ่มซา กับข้าวขายหมดไปแล้วหลายหม้อ ทุกคนช่วยกันเก็บของเตรียมพร้อมสำหรับเลิกงาน ผมยืดตัวบิดขี้เกียจคลายกล้ามเนื้อ หมุนตัวกลับไปหน้าร้านอีกทีก็เจอลูกค้ายืนมองอยู่
"อ่าว ปลื้ม" น้ำเสียงสดใสหากแต่สีหน้าหม่นหมอง คนที่ยืนมองผมอยู่ดูท่าจะแปลกใจไม่น้อยที่ได้มาเจอกันในที่แบบนี้ ผมเองก็แปลกใจเหมือนกัน
"ต้นสน"
"มาช้านะวันนี้ เหลือแค่ไม่กี่อย่างเองลูก" ยังไม่ทันที่ผมจะได้คุยอะไรกับนายมืดมนป้านกก็โผงขึ้นมาซะก่อน ฟังจากคำพูดแล้วต้นสนน่าจะเป็นลูกค้าประจำของร้าน น่าแปลกทำไมผมถึงไม่เคยเจอ
"ทำงานเพลินไปหน่อยน่ะครับ มองนาฬิกาอีกทีจะสองทุ่มแล้วเลยรีบลงมา หิวมากเลย" พูดแล้วก็ทำท่าลูบท้องประกอบ พอพูดคุยกับผู้ใหญ่แล้วสีหน้าท่าทางดูน่าเอ็นดูขึ้นมาทันที
"งั้นวันนี้เอาดีอะไร ต้มจืดมั้ยลูก"
"ครับ เอาต้มจืด"
ตลอดเวลาที่โยนประโยคคำถามใส่กันริมฝีปากของทั้งคู่โค้งขึ้นตลอด ป้านกยังคงเป็นผู้ใหญ่ใจดี นายมืดมนก็ดูไม่เหมือนคนผิดหวังในชีวิตที่คิดจะฆ่าตัวตาย
ต้นสนหันมาสบตากับผมหลังจากป้านกกำลังวุ่นวายกับการตักต้มจืดที่อยู่ก้นหม้อใส่ถุง หมอนี่แต่งตัวด้วยชุดธรรมดาอย่างเสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นทำให้ดูเด็กลงซักสองสามปี และเพราะใส่ชุดโชว์เนื้อนหนังเลยทำให้ผมเห็นรอยขีดที่แขนชัดๆ มันเป็นรอยขีดยาวๆ สะเปะสะปะไม่มีรูปแบบ ที่ขาเองก็มีอยู่หนึ่งรอยที่เห็นชัดเจน
รอยแบบนั้นไปทำอะไรมากันแน่
"ปลื้มเป็นญาติกับป้านกเหรอ ไม่เคยรู้" นายมืดมนเริ่มชวนผมคุยระหว่างรอต้มจืดที่สั่ง แถมเดาได้แบบไม่เซ้นส์เลย
"เปล่า เป็นลูกจ้าง"
"รู้จักกันด้วยเหรอสองคนนี้" คุยกันได้แป๊บเดียวป้านกก็ถามแทรกขึ้นมาหลังจากมัดแกงใส่ถุงเรียบร้อย พลางยื่นให้คุณลูกค้า
"ครับ เรียนที่เดียวกัน"
"จริงด้วยเนอะ"
"งั้นผมไปก่อนนะครับ" ได้ต้มจืดไปถือไว้ในมือต้นสนก็ขอตัวกลับ บอกลาป้านกก่อนหันมาโบกมือให้ผมสองสามทีแล้วเดินออกไป
ผมมองตามหลังนายมืดมนไปจนลับสายตา ก่อนเบนสายตาไปหาป้านกที่กำลังสั่งลูกน้องคนอื่นให้จัดการกับแกงที่เหลือ ไม่คิดเลยว่าหมอนั่นจะวนเวียนอยู่ใกล้ตัวผมขนาดนี้ และมันน่าแปลกมากที่ผมไม่เคยเจอต้นสนมาก่อนทั้งที่เป็นลูกค้าประจำ
"ป้านกครับ"
"จ๊ะ"
"ต้นสนเขามาซื้อแกงที่ร้านบ่อยเหรอครับ"
"ปกติก็มาทุกวันนะ แต่ปลื้มคงไม่ได้เจอหรอก ต้นสนเขามาแค่วันธรรมดา พักอยู่คอนโดตรงตรงนั้นน่ะ วันเสาร์อาทิตย์กลับไปอยู่บ้าน คงได้กินกับข้าวฝีมือคุณแม่เขาล่ะ" ป้านกอธิบายแล้วชี้ไปที่คอนโดที่อยู่ห่างจากตลาดแค่ร้อยกว่าเมตร และนั่นเป็นคอนโดเดียวกับที่ไอ้ว่านอยู่
ผมว่าโลกมันชักจะกลมเกินไปแล้ว
"อ๋อครับ ก็ว่าล่ะทำไมไม่เคยเจอ"
"แต่ถ้าปลื้มมาช่วยป้าหลังเลิกเรียนทุกวันหลังจากนี้คงได้เจอกันบ่อยๆ ล่ะลูก"
‘แบบนั้นก็ดีเลยครับ’ ผมตอบป้านกในใจ ยิ้มให้แล้วเริ่มตักแกงที่เหลือในหม้อใส่ถุงเพื่อแจกจ่ายแบ่งกันเอากลับไปบ้าน จะได้กลับไปนอนเหยียดยาวๆ ที่ห้องสักที
เรื่องของนายมืดมนนั่นมาคิดๆ ดูแล้วมันก็เหมือนกับโชคชะตาเล่นตลก จากคนไม่เคยรู้จัก สถานการณ์ทางการเงินที่บีบบังคับให้ผมเลือกทำไม่ดีแบบนั้น โน้ตสั่งเสียที่ช่วยเปลี่ยนความคิด แล้วไหนจะความเกี่ยวโยงกับคนรู้จัก
บางทีโชคชะตาอาจจะเลือกแล้วก็ได้ เลือกให้ผมเป็นคนช่วยเหลือชีวิตหมอนั่น และผมต้องทำมันให้สำเร็จ
TBC
กลับมาต่อแล้ววววววว หลังจากหายไปชาติเศษๆ
เราไปเคลียร์งานเก่ามาค่ะ ตอนนี้จัดการเรียบร้อยหมดแล้ว
หลังจากนี้จะมาอัพอย่างต่อเนื่องสัญญา อย่างเพิ่งหนีกันไปไหนน้า
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน เจอกันตอนหน้าจ้า