-0-
นี่คือเพลงรัก...ที่เขียนอยู่แสนนาน
อยู่ในใจฉัน...ใจความสำคัญยังขาดหาย
ทุกสิ่งที่คิด...เริ่มพังทลาย
กระจัดกระจาย...ควบคุมเท่าไรก็ไม่ทัน
ตั้งแต่พบเจอความเป็นจริง...ว่าเธอไม่เคยต้องการ
แม้ฉันเติมมันด้วยคำๆ ไหน
ยังไม่รู้จริงๆ ต้องทำอย่างไร
เมื่อได้รู้...ปลายทางไม่มีเส้นชัย
ได้แต่ขอ...ดูแล รักเธอ แค่เพียงไกลๆ
และยังเก็บอยู่ในใจตลอดมา...
[เพลงรัก - ซิน Singular]
หากพูดร้านดอกไม้ที่มีชื่อเสียง ร้านของ ‘คุณภีม’ คงไม่พ้นถูกพูดถึง แม้จะเพิ่งย้ายมาไม่กี่เดือน ดูภายนอกเหมือนจะเป็นเพียงร้านดอกไม้ธรรมดา หรืออาจต้องบอกว่ามีดอกไม้น้อยกว่าคนอื่นเสียด้วยซ้ำ แต่ร้านดอกไม้ร้านนี้ก็ยังมีคนรู้จักมากหน้าหลายตา ด้วยราคาที่ไม่แพง ดอกไม้ที่สดใหม่อยู่เสมอ กิริยามารยาทของพนักงาน และที่สำคัญที่สุดก็คือเจ้าของร้านหนุ่มหน้าตาดีที่ทำให้ใครต่อใครหลงใหลมานักต่อนัก
“คุณภีม ดอกไม้ที่อ้อสั่งได้หรือยังคะ” หญิงสาวพนักงานออฟฟิศหน้าตาสะสวยคนหนึ่งยื่นหน้าเข้าไปถามคนที่กำลังจัดวางดอกกุหลาบอยู่ด้านในร้านด้วยน้ำเสียงสดใส
“คุณอ้อ…” เจ้าของร้านเงยหน้าขึ้นจากถังกุหลาบก่อนจะยกยิ้มให้ลูกค้าคนแรกของวัน ภีมภัทรจัดวางกุหลาบดอกสุดท้ายลงในถัง เสร็จแล้วจึงหันไปหยิบช่อดอกไม้สีขาวสะอาดตาที่จัดเรียงไว้แล้วออกมา “ผมจัดไว้ให้เรียบร้อยแล้วครับ ถ้าคุณอ้อไม่ชอบตรงไหนบอกผมได้เลยนะ”
“คุณภีมเคยจัดไม่ถูกใจอ้อที่ไหนล่ะคะ...งั้นอ้อขอตัวก่อนนะ ใกล้เข้างานแล้ว เอาไว้จะมาอุดหนุนใหม่นะคะ” ลูกค้าสาวรับดอกไม้ช่อโตมาจากมือเจ้าของร้าน เธอยิ้มกว้างเมื่อเห็นภีมภัทรพยักหน้ารับ เมื่อจ่ายเงินเรียบร้อยแล้วก็รีบหมุนกายไปทำงาน เพราะเกรงว่าถ้าอยู่นานกว่านี้จะโดนเจ้านายต่อว่า และกลัวจะเป็นการทำผิดต่อสามีที่ตัวเองเอาแต่มองผู้ชายอื่น
ภีมภัทรเป็นชายหนุ่มเสน่ห์แรงที่ดูโดดเด่นกว่าคนอื่นในวัยเดียวกันพอสมควร ด้วยอายุยี่สิบกลางๆ เมื่อบวกเข้ากับหน้าตาคมคายตามสมัยและท่าทางสุภาพมีมารยาททำให้เขากลายเป็นที่รักของใครหลายๆ คนในละแวกนี้ได้ไม่ยาก เห็นได้จากบรรดาหญิงสาวทั้งวัยมหา’ลัยและวัยทำงานที่เที่ยวมาขายขนมจีบให้แทบทุกวัน แต่แม้เวลาจะผ่านไปนานเพียงใดก็ยังไม่มีใครได้หัวใจเขาไปเสียที จนเกิดข่าวลือว่าเจ้าของร้านมาดคุณชายอาจเป็นพวกชอบไม้ป่าเดียวกันโด่งดังไปทั่ว ถึงอย่างนั้นภีมภัทรก็ไม่เคยปฏิเสธ เขาทำเพียงแค่ส่ายหน้าให้กับถ้อยคำเหล่านั้น
“คุณภีม...โทรศัพท์ครับ” เด็กหนุ่มวัยรุ่นท่าทางกระฉับกระเฉงรีบวิ่งมาหาเจ้านายตัวเองก่อนจะยื่นโทรศัพท์ส่งให้ หลังจากนั้นก็เข้าไปรับช่วงต่อเอาดอกไม้ใส่กระถางอย่างรู้งาน เรียกสายตาพึงพอใจจากคนมองได้ไม่น้อย
เจ้าของร่างสูงโปร่งเหลือบมองจอเพื่อดูชื่อคนโทรเข้าเพียงครู่เดียว ก่อนเขาจะเดินเลี่ยงไปคุยโทรศัพท์บริเวณหลังร้าน เพราะรู้ดีว่าวิบูลย์ พ่อของตนเองเป็นคนแบบไหน ลองถ้าได้รู้ว่าเขาออกมาทำงานหน้าร้านด้วยตัวเอง ไม่ได้คุมอยู่เบื้องหลังแบบที่คิด ฝั่งนั้นคงหาเรื่องบ่นเป็นชุดแน่
[ภีม]
“ครับพ่อ”
[เรื่องที่พ่อขอไปว่ายังไง]
ภีมภัทรถอนหายใจยาวเมื่อเข้าใจว่าบิดาของตนต้องการอะไร เรื่องนี้เป็นเรื่องที่วิบูลย์พูดซ้ำๆ อยู่หลายครั้งตั้งแต่เขาได้กลับบ้านครั้งล่าสุด ซึ่งก็ไม่เคยมีสักครั้งที่เขาตอบรับคำขอ แต่น่าแปลกที่คนไม่ชอบเซ้าซี้อย่างวิบูลย์ไม่ยอมแพ้เสียที
“พ่อก็รู้ไม่ใช่เหรอครับว่าภีมต้องทำงานที่ร้าน จะให้ไปขลุกอยู่ในไร่ได้ยังไงกัน”
[แค่ร้านดอกไม้ไม่ได้ใหญ่โต เราก็จ้างคนอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง ถ้าจะทำเองทุกอย่างจะจ้างทำไมกัน] ปลายสายส่งเสียงแสดงความไม่พอใจเล็กน้อย ซึ่งคนฟังเองก็รู้ดีว่าเพราะอะไรพ่อของตนถึงได้เป็นแบบนั้น
“แต่…”
[ลดลงหน่อยเถอะ นิสัยไม่ไว้ใจใครน่ะ ลูกจ้างก็ทำงานกับเรามานาน จะต้องคอยกำกับทุกอย่างเลยหรือไง]
หากสามารถเถียงได้ภีมภัทรคงไม่นิ่งให้บิดาตำหนิ แต่เพราะรู้ว่าสิ่งที่ได้ยินคือความจริงทุกอย่าง เขาจึงทำได้เพียงนิ่งเงียบเพื่อรับฟังถ้อยคำเหล่านั้น…
“แต่พ่อจะให้ภีมไปดูแลใครที่ไหนก็ไม่รู้…”
[ใครว่าไม่รู้จักล่ะ เมื่อก่อนยังเดินตามเขาต้อยๆ อยู่เลยไม่ใช่หรือไง]
“พ่อหมายถึงใครครับ”
[สามพี่น้องนั่นไง ที่ชื่อประมุข ฮ่องเต้ จักรพรรดิ ตอนเด็กๆ เรายังเคยพามาแนะนำให้พ่อรู้จักอยู่เลย แถมยังบอกว่าชื่อพวกนั้นเท่กว่าของตัวเองอีก]
คราวนี้ใบหน้าที่ราบเรียบมาตลอดพลันแปรเปลี่ยนเป็นตกใจสุดขีด แม้แต่หัวใจที่เคยเต้นอย่างสงบก็กระหน่ำเต้นรัวแรงจนแทบทะลุออกมาจากอก...เพียงเพราะได้ยินชื่อของใครคนหนึ่งซึ่งไม่ได้ยินมานาน
“พ่อเคยบอกภีมว่าเขาเดินไม่ได้...ใครครับที่เดินไม่ได้”
[อืม...รู้สึกจะเป็นพี่คนโตที่ชื่อจักรพรรดิ]
“...”
[ภีม?]
“เข้าใจแล้วครับ…” เจ้าของเสียงหยุดชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะหลับตาลงแน่นเพื่อสะกดกลั้นอารมณ์บางอย่างซึ่งกำลังปะทุ
อารมณ์บางอย่าง...ซึ่งเขาเคยคิดว่าหลงลืมไปนานแล้ว
[ลูกหมายถึง…]
“ภีมจะดูแลเขาเอง”
แม้จะวางสายที่คุยกับวิบูลย์ไปแล้ว หากคนที่ยังตกอยู่ในภวังค์ก็ยังไม่มีทีท่าจะขยับไปไหน มือเรียวยกขึ้นทาบทับบริเวณแผ่นอกตรงตำแหน่งที่มีก้อนเนื้อขนาดเท่ากำปั้นของตนเองเต้นอยู่ ก่อนเจ้าของมือจะค่อยๆ ขยำเสื้อบริเวณนั้นแน่นขึ้นเรื่อยๆ ตามการสั่นไหวของความรู้สึกในยามนี้
“พี่จักร…”
หากใครสักคนได้ยิน...คงไม่พ้นคิดว่าผู้พูดกำลังเศร้าเสียใจอย่างหนัก เพราะน้ำเสียงนั้นไม่เพียงแค่เจ็บปวด...แต่มันกลับรวดร้าวราวกับจะขาดใจ ต่อให้บอกว่าฟังแล้วเจ็บตามก็คงไม่เกินจริงนัก
ก๊อก ก๊อก
เจ้าของห้องหันขวับไปมองประตูด้วยความตกใจก่อนจะรีบเก็บท่าทีและสีหน้าทั้งหมดอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นเวลาเดียวกันกับที่คนจากด้านนอกเปิดประตูเข้ามาด้านในพอดี
“คุณภีมครับ...”
“ว่าไง ปกรณ์” ภีมภัทรเอนกายพิงเก้าอี้ส่วนตัว ใบหน้าราบเรียบไร้รอยยิ้มการค้าเฉกเช่นเวลาเจอลูกค้าทำให้คนมองรู้สึกเกร็งขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ เพียงแค่มองปกรณ์ก็รับรู้ได้ในทันทีว่าเจ้านายตนเองไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่อยากจะพูดคุยกับใครนัก
“คือ...ปอนด์บอกผมว่าคุณภีมจะเข้าสวน”
“ใช่ ผมจะเข้าไปดูกุหลาบหน่อย” คนพูดขยับกายลุกขึ้นจากเก้าอี้ก่อนจะคว้าข้าวของใส่กระเป๋า
“อ๋อ กุหลาบสีน้ำเงิน...คุณภีมดูรักกุหลาบต้นนั้นมากเลยนะครับ” ปกรณ์สูดเข้าใจเข้าจนสุดเมื่อเห็นเจ้านายหยุดชะงักทุกอย่างกะทันหัน ทั้งยังหันมามองเขาด้วยใบหน้าที่ดูมืดมนกว่าปกติ
“ทำไมคิดแบบนั้นล่ะ”
คราวนี้ผู้เป็นลูกจ้างถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอกเมื่อเห็นเจ้านายของตนกลับไปทำหน้าตาราบเรียบเช่นเดิม เขาครุ่นคิดเรียบเรียงคำพูดอยู่ในใจชั่วครู่เพราะไม่อยากโดนดุ แม้ปกติภีมภัทรจะไม่ใช่คนน่ากลัวอะไร แต่ก็ไม่ใช่คนที่เรียกได้ว่าใจดีนัก รอยยิ้มบนใบหน้าจะเกิดขึ้นก็ตอนที่ได้พบเจอกับลูกค้าเท่านั้น ซึ่งเขาที่ทำงานด้วยมานานย่อมรู้ดีว่านั่นเป็นเพียงรอยยิ้มการค้าที่ไร้ซึ่งความจริงใจใดๆ
“ครั้งนั้นผมตามคุณภีมเข้าไร่...แล้วบังเอิญไปเห็นตอนที่คุณภีมดูแลมันเข้าน่ะครับ” แม้ไม่อยากบอกให้รู้เพราะลูกจ้างไม่ควรยุ่งเรื่องของเจ้านาย แต่ด้วยประสบการณ์ที่ได้ทำงานร่วมกันมาตั้งแต่ร้านยังอยู่ที่กรุงเทพ ปกรณ์จึงรู้ดีว่าภีมภัทรเป็นคนแบบไหน เขาไม่มีทางโกหกได้แน่ๆ ทางเลือกเดียวที่มีคือการบอกความจริงเท่านั้น “ผมเห็นว่าตอนนั้นคุณภีมดู...อ่อนโยนกว่าปกติ”
ภีมภัทรในยามปกติเมื่ออยู่กับลูกค้าก็จะเป็นแบบหนึ่ง พออยู่กับลูกจ้างก็จะเป็นอีกแบบหนึ่ง แต่นั่นเป็นครั้งแรกที่ปกรณ์มีโอกาสได้เห็นอีกฝ่ายแสดงออกแบบนั้น ซึ่งมันเป็นการแสดงออกที่ดูอ่อนโยนแบบที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน ทว่าเมื่อพูดไปแล้วก็ต้องยืนเครียดเหมือนเดิม เมื่อไม่ได้รับคำตอบใดๆ ตอบกลับมา อีกทั้งเจ้านายยังยกกระเป๋าขึ้นสะพายแล้วเดินผ่านเขาไปเลยอีกต่างหาก
“ผมจะให้คุณเลื่อนตำแหน่งมาเป็นผู้จัดการร้านชั่วคราว ช่วยจัดการดูแลทุกอย่างด้วย ผมจะไม่กลับมาที่นี่พักใหญ่” ผู้พูดกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบไร้วี่แววของการล้อเล่น แต่ปกรณ์เหวอสนิทด้วยไม่คาดคิดว่าจะได้เลื่อนตำแหน่งกะทันหัน
“คะ...คุณภีม”
“ส่วนคำถามที่คุณถาม” ภีมภัทรเปิดประตูออกไปด้านนอก ก่อนเขาจะหยุดเท้าและพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “เหตุผลที่ผมใส่ใจมันมากขนาดนั้น...”
“...”
“คงเพราะมันเหมือนผมมากล่ะมั้ง”
.
.
‘จักรพรรดิคือราชา...ลูกต้องยืนอยู่บนจุดสูงสุดเท่านั้น’
ฝ่ามือหนากำแน่นจนสุดแรง ดวงตาคมกริบคู่สวยทอประกายดุดันน่าหวาดหวั่น หากเป็นเมื่อก่อน ‘จักรพรรดิ’ คงลุกขึ้นบันดาลโทสะใส่ข้าวของตามแรงอารมณ์ ทว่ายามนี้เมื่อก้มลงมองขาสองข้างที่ไร้ซึ่งความรู้สึกของตน คนเจ้าอารมณ์ก็ทำได้เพียงเขวี้ยงแก้วน้ำในมือไปจนสุดแรง
เพล้ง!
เสียงแก้วที่แตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ คงทำให้คนนอกห้องตกใจไม่มากก็น้อย เสียงตึงตังจึงดังขึ้นติดๆ กัน ก่อนใครบางคนจะผลักประตูเข้ามาโดยไม่ขออนุญาต
“พี่จักร!” เจ้าของเสียงรีบสาวเท้าเข้าใกล้คนที่นั่งพิงหัวเตียงอยู่ ใบหน้าที่ละม้ายคล้ายคลึงกันฉายแววตกใจจนปิดไม่มิด หากเมื่อสำรวจร่างกายของพี่ชายตนเองจนแน่ใจว่าไม่มีร่องรอยบาดเจ็บ เขาก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
“เต้…” คนที่เพิ่งตามมาถึงแตะไหล่ ‘ฮ่องเต้’ เบาๆ เป็นเชิงบอกให้ใจเย็นทั้งที่ตัวเองก็ตกใจไม่แพ้กัน
“ไม่เป็นไรมุข”
‘ประมุข’ พยักหน้ารับโดยไม่ได้พูดอะไรอีก เขาเพียงมองไปยังร่างกายซูบผอมของพี่ชายคนโตที่ยังนั่งนิ่ง จากนั้นก็ดึงแขนพี่ชายคนรองให้เดินตามออกไปด้านนอกอย่างรวดเร็ว
สองพี่น้องที่มีหน้าตาคล้ายกันจนเหมือนฝาแฝดพากันเดินออกไปด้านนอกด้วยรู้ดีว่าเรื่องที่กำลังจะพูดถึงคือเรื่องที่ไม่ควรพูดให้คนในห้องได้ยิน และเมื่อออกมาห่างพอสมควรแล้ว ประมุขก็หันกลับไปมองหน้าพี่ชายตัวเองด้วยท่าทางเคร่งเครียดจริงจัง
“เรื่องนั้นเป็นยังไงเต้”
“ไม่มีปัญหา ทางนั้นบอกว่าถ้าพร้อมก็ไปได้เลย” ฮ่องเต้ตบบ่าน้องชายเบาๆ เมื่อเห็นเจ้าตัวถอนหายใจคล้ายโล่งอก ตัวเขาเองก็รู้สึกดีใจไม่แพ้กัน ตอนที่พ่อโทรมาบอกว่าคุณอาวิบูลย์ยินดีช่วยเต็มที่ เขาเกือบจะร้องไห้ออกมาแล้วด้วยซ้ำ
จักรพรรดิ ฮ่องเต้ และประมุขเคยเป็นพี่น้องที่สนิทกันมาก พวกเขาทำกิจกรรมด้วยกัน ไปไหนมาไหนด้วยกันจนเหมือนเป็นแฝดสาม แต่แล้วเมื่อมีเหตุการณ์ที่ไม่น่าจดจำเกิดขึ้น...จักรพรรดิก็ถูกแยกออกไป จากที่เคยมีสามเหลือเพียงแค่สอง จากที่เคยสนิทกลับกลายเป็นเพียงคนแปลกหน้า แม้ฮ่องเต้กับประมุขจะรู้ว่าตัวเองยังเคารพรักพี่ชายอยู่เช่นเดิม แต่ระยะห่างและเวลาที่มากขึ้นก็ทำให้ทั้งคู่หลงลืมเรื่องราวในตอนเด็กๆ ไปอย่างช้าๆ...จนกระทั่งพวกเขาได้จักรพรรดิกลับคืนมาอีกครั้ง
พี่ชายที่เคยใจดีและยิ้มแย้มอยู่เสมอเปลี่ยนไปเป็นคนละคน จักรพรรดิกลายเป็นคนน่ากลัวและโมโหร้าย ทั้งหมดเป็นเพราะเขาเคยได้ขึ้นไปสู่จุดสูงสุดที่ไม่เคยมีใครไปถึง...แต่หลังจากนั้นก็ถูกฉุดกระชากกลับลงมาสู่จุดต่ำสุด อุบัติเหตุทางรถยนต์ทำให้ขาทั้งสองข้างไร้ความรู้สึก ผู้ชายที่เคยยิ่งใหญ่กว่าใครถูกไล่ต้อนให้กลับมาเป็นสามัญชน แม้แต่มารดาที่เป็นคนดึงตัวไปใช้ประโยชน์ก็เฉดหัวทิ้งอย่างไม่ไยดี
นับแต่นั้นมาฮ่องเต้และประมุขก็พยายามทำทุกอย่างเพื่อให้จักรพรรดิกลับมาเป็นพี่ชายที่แสนดีของพวกเขาอีกครั้ง…
“แล้วมึงคุยกับพี่หรือยัง” ผู้เป็นพี่เอ่ยถามน้องชายด้วยใบหน้าแสดงความคาดหวังไม่น้อย และเมื่อเห็นประมุขพยักหน้า เขาก็ต้องยิ้มออกมาอยากอดไม่ได้ “พี่ตกลงเหรอ”
“ใช่...ตอนนั้นพี่จักรกำลังนั่งมองดอกไม้หน้าบ้าน พอเห็นท่าทางดูผ่อนคลายกูเลยรีบเข้าไปคุย” ประมุขยิ้มกว้าง เขาจำได้ดีว่าพี่ชายตนเองพยักหน้าตกลงโดยไม่คิดเลยสักนิด แม้จะรู้ดีว่าจักรพรรดิไม่ได้คาดหวังอะไรอีกแล้ว แต่เขาก็ยังอยากจะลองดูอีกสักครั้ง
จักรพรรดิเคยตั้งใจรักษาตัวเองมาก่อนหน้านี้แล้ว แต่ทำได้เพียงเดือนเดียวก็เลิกไปเพราะไม่เห็นจะมีอะไรดีขึ้น แม้แต่น้องชายทั้งคู่ก็ไม่อาจช่วยอะไรได้ เพราะพูดไปก็มีแต่จะทำให้พี่ชายตัวเองโมโหมากขึ้นเท่านั้น ต้องใช้เวลาเป็นเดือนกว่าจักรพรรดิจะเลิกทำลายข้าวของ แต่นั่นก็แลกมากับการที่เขากลายเป็นคนที่ดูหมดอาลัยตายอยากกับชีวิต...กลายเป็นคนที่ใช้ชีวิตอยู่ไปวันๆ โดยไร้จุดหมาย
“กูไม่เห็นพี่จักรกลับไปเป็นแบบนั้นมานานแล้ว” ฮ่องเต้กลับมาพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดอีกครั้งเมื่อนึกถึงใบหน้าน่ากลัวของพี่ชายที่ได้เห็นเมื่อครู่
“มึงก็รู้ว่าพี่จักรจะเป็นแบบนี้แค่เฉพาะ…”
ยามนึกถึงอดีต…
สองพี่น้องสบตากันนิ่งงันด้วยรู้ว่าไม่ควรพูดออกมา แม้จักรพรรดิจะไม่ได้อยู่ตรงนี้แต่พวกเขาก็รู้สึกแย่ไม่ต่างกันนักเมื่อต้องนึกถึงสิ่งที่พี่ชายตัวเองเคยเจอ ถึงไม่รู้แน่ชัดทั้งหมด...แต่แค่รับรู้ว่าสิ่งเหล่านั้นทำให้จักรพรรดิเปลี่ยนไป เหตุผลแค่นั้นก็เพียงพอที่จะทำให้ทั้งคู่เกลียดชังสิ่งที่ทำให้พี่ชายของพวกเขาเป็นเช่นนี้แล้ว
“อย่าพูดเรื่องเก่าๆ เลย...กูขอแค่พี่จักรยอมทำกายภาพบำบัดต่อก็พอแล้ว” ฮ่องเต้ตบไหล่น้องชายเบาๆ ก่อนจะยกยิ้มบางเมื่อนึกถึงอะไรบางอย่าง “ถ้าได้อยู่กับดอกไม้ที่เคยชอบ...พี่จักรต้องดีขึ้นแน่ๆ”
“กูก็หวังแบบนั้น”
ทุกคน...หวังแบบนั้น
---------------------
TALK: สวัสดีค่ะ ได้เวลาเปิดเรื่องใหม่แล้ว ฝากพี่น้องสามคิงไว้ด้วยนะคะ ตอนแรกแพลนจะเป็นเรื่องสั้น แต่คู่หลักๆ ก็คือพี่จักรกับคุณภีมไม่รู้จะสั้นได้หรือเปล่า เลยตัดสินใจเขียนคู่นี้ก่อนเลย ฝากติดตามด้วยนะคะ หวังว่าจะชอบ...