ตอนที่ 8
กล้าหาญ
‘กล้า’
‘...’
‘เดินหนีกูทำไม’
‘...’
‘นี่มึงเห็นกูมั้ยเนี่ย’
‘ถอยไป’
‘โกรธอะไรกูวะ’
‘...’
‘แค่กูจูบมึงเนี่ยนะ!’
‘เชี่ย! มึงอย่าเสียงดังดิ’
‘แล้วทำไมอ่ะ ก็มึงเดินหนีกูอ่ะ’
‘...’
‘ไม่ดีเหรอที่กูจูบมึง’
‘...’
‘อยู่ในในโรงหนัง ไม่มีใครเห็นสักหน่อย’
‘แม่ง’
‘นี่มึง...เขิน?’
‘ไม่ใช่!’
‘ฮ่าๆๆ ยังไม่หายเขินอีกเหรอ เมื่อวานก็แทบดูหนังไม่รู้เรื่องแล้วนะ’
‘ไอ้ท่าน ไอ้ฟายยย’
‘เขินจริงแฮะ’
‘...’
‘หน้าแดง หูแดงใหญ่เลย’
‘ไปไกลๆ ไป’
‘ตั้งใจเรียนนะเว้ย อยู่ม. หกแล้วอ่ะ’
‘รู้แล้ว!’
‘เดี๋ยวถ้าว่างจะเดินผ่านไปเช็ก’
‘ได้ข่าวว่าคนละตึก’
‘แล้วไงขากูยาว’
‘(ชักสีหน้า)’
‘เดี๋ยว กูไม่ได้ว่าอะไรมึงเลยนะ ไม่ได้พูดเลยว่ามึงขาสั้น’
‘ไอ้เหี้ยท่าน!’
ร้านคลับแอล
เซียนบอกว่าเป็นเด็กมหา’ลัยด้วยต้องเป็นสายแข็งด้วย ไม่ว่ามึงจะเหนื่อยจากงานตอนกลางวันแค่ไหนตอนกลางคืนมึงก็ยังต้องแดกเหล้าไหว
ถามหน่อย มึงไปเอาความคิดนี้มาจากไหนวะเซียนนนนนน
เรียกได้ว่ากว่าผมจะยอมมาพวกมันก็เสียทั้งเวลาเสียทั้งแรงไปเยอะ เนื่องจากผมเหนื่อย โคตรอยากนอนฉิบหาย อีกทั้งยังก็นึกอยากสืบอีกว่าห้องไอ้นายท่านมันอยู่ตรงส่วนไหนของตึก แต่เพื่อนผมแม่งก็น่ารักเหลือเกิน นึกอยากแดกวันนี้ก็ต้องวันนี้ ผมเลยจนใจ คิดว่าเรื่องนายท่านก็คงต้องปล่อยไปอีกตามเคย
ยิ่งคิดอารมณ์อยากดื่มก็ยิ่งเพิ่มขึ้น ผมแม่งเหี้ยที่ทำอะไรมากไม่ได้เลย เก่งนักเรื่องที่ชอบทำไอ้นายท่านไม่พอใจ พอเป็นแบบนี้ใครเล่าจะอยากมาคืนดีกับผม
วันนี้แขกรับเชิญของโต๊ะชายโฉดโหดเยี่ยงหมาของเราก็คือมูมู่กับเพื่อนสวัสฯ มหา’ลัยผู้หญิงอีกสองสามคน เธอกำลังคุยเรื่องนายท่านกับเดอะแก๊งอย่างออกรส ระหว่างนั้นพวกไอ้เหี้ยเซียนก็ฝอยเรื่อง RoV ไป คิดดูสิครับว่าผู้หญิงสวยๆ มานั่งใกล้ๆ พวกมันยังสนใจเกมมากกว่าที่จะสนใจพวกเธอ
ส่วนผมน่ะเหรอ...ผมก็สนใจเรื่องคนที่มูมู่กำลังพูดถึงมากกว่าสิ่งอื่นใดน่ะสิ
“เจ่เจ๊มันบอกว่าน้องซ้อมอยู่อ่ะ” มูมู่พูด “นี่ก็ชวนทั้งไอริทั้งน้องมาด้วยเลยนะ ไม่รู้จะมาหรือเปล่า”
เหยดเข้ มูมู่ชวนนายท่านมาที่นี่ว่ะ ผมรีบยกเครื่องดื่มขึ้นมากรอกลงปากตัวเองอย่างรวดเร็วเพื่อระงับอาการลุ้น
“มู่ชวนนายท่านมาเหรอ” หมูหันถาม
“ใช่ น้องเป็นน้องรหัสเราเอง”
นายท่านแม่งได้สายรหัสสวยไปอีก...
“มันจะมาป่ะ” เซียนถามบ้าง
“ไม่รู้สิ ตอนนี้ก็สี่ทุ่มแล้ว ทั้งทำกิจกรรมทั้งซ้อม คงอยากจะพักผ่อนแล้วมั้ง”
ไอ้นายท่านมันถึกจะตาย ผมจำสมัยที่มันมาจีบผมได้ ช่วงที่มันต้องติวสอบทั้งวี่ทั้งวันรวมไปถึงเรียนพิเศษจนถึงสี่ทุ่ม มันก็ยังตามมาหาผมที่บ้านได้ มานั่งคุยเล่นๆ นี่แหละ กว่าจะกลับก็เที่ยงคืนตีหนึ่ง
สมัยนั้นผมต้องกันไม่ให้มันมองหน้าพวกพี่สาวผมแทบตาย พอมันเห็นมันก็ได้แต่ยิ้ม แต่ผมอ่ะโมโห...โมโหอะไรก็ไม่รู้
เจ้านางพี่คนโตบอกว่าเพราะผมหวงไอ้ท่าน ไม่ได้หวงพวกพี่ๆ หรอก เป็นคำพูดที่โคตรมั่วจริงๆ
“แต่ก็อยากให้มาเนอะ” มูมู่ส่งยิ้มให้เพื่อนๆ ของเธอ
พอได้นึกถึงความเก่าความหลังมันก็ทำให้ผมนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
นายท่านมันไม่ดื่มนี่หว่า
สมัยก่อนเวลาผมไปดื่ม มันก็ยอมไปนั่งเสียเวลาเพื่อที่จะเฝ้า ยกน้ำเปล่ากรอกลงคอนิ่งๆ โดยที่ไม่สนใจว่าผมจะดื่มกับเพื่อนนานแค่ไหน เพราะไม่ว่าจะหลายนาที หลายชั่วโมง ไอ้เหี้ยท่านมันก็นั่งรอผมอยู่
แต่ ณ เวลานี้ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปแล้ว แม้ว่ามันจะยังรอให้ผมไปง้อมัน แต่ก็ใช่ว่ามันจะสะดวกมานั่งดื่มนั่งกินด้วย
จะว่าไปแล้วก็คิดถึงสมัยนั้นเหมือนกันนะ...ทำไมผมแม่งเลว เทไอ้นายท่านทั้งๆ ที่มันก็ออกจะทุ่มเทเพื่อผมขนาดนั้น
เพ้อขนาดนี้คงเป็นเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ชัวร์ ผมปลอบใจตัวเองก่อนจะยกเครื่องดื่มในแก้วขึ้นมาดื่มอีกครั้งหนึ่ง
ยิ่งดึกเท่าไหร่พวกเพื่อนผมก็สนิทกับแก๊งมูมู่มากขึ้นเท่านั้น สนิทจนผมอดสบตากับหมูหันไม่ได้ว่าเชี่ยตงกับเชี่ยเซียนแม่งจะดีลสาวไปนอนกกด้วยคืนนี้หรือเปล่า ไอ้สองคนนี้มันสายแดกหญิงอยู่แล้วครับ
ฟังไปฟังมา ดูเหมือนมูมู่เธอเองก็แอบมองไอ้นายท่านเอาไว้เหมือนกัน
ผมได้แต่ยิ้มขื่น มันเป็นคนหล่อมากแถมยังรวยมหาศาลอีก จะไม่ให้คนอื่นเขาสนใจมันได้ยังไง สิ่งที่ผมอิจฉามูมู่มีเพียงเรื่องเดียวนั่นก็คือเธอสามารถติดต่อกับนายท่านได้โดยตรง ไม่โดนบล็อกทุกช่องทางไม่เหมือนกับผม แม้แต่ไอจีของไอ้นายท่านผมก็ไม่ได้เห็นมานานสองปีแล้ว รูปล่าสุดเป็นรูปหมาหรือแมวผมก็ยังไม่รู้เลย
เรื่องมันเศร้า ขอเหล้าเพิ่มอีกสักขวดได้หรือเปล่า...
“ชะนีพวกนี้นี่!” เสียงเจ่เจ๊ดังขึ้นที่หัวโต๊ะ “ไม่งามเลยนะยะ ทำงานมาทั้งวันก็ยังจะมาต่ออีก เสี้ยนหรือเงี่ย...”
“โอ้โห คำพูดคำจา” มูมู่หัวเราะ ดวงตาของเธอเป็นประกายมากขึ้นเมื่อเห็นคนที่มากับเจ่เจ๊
นายท่านเองไงจะใครล่ะ
มันมากับเพื่อนเดือนของมันอีกสองสามคน ไม่มีเงาของพวกแก๊งคุณชายลูกค่ายละคร
“นั่งก่อนๆ” เซียนเรียกคนเหล่านั้นมานั่งด้วยกัน “เจ่เจ๊ มึงพาพวกเด็กหน้าหล่อมาด้วย แล้วพวกกูจะเหลืออะไรวะเนี่ย”
“โถ เซียนขา เซียนก็หล่อน่า แหม” เจ่เจ๊ตบที่นั่งข้างๆ “ท่านนั่งนี่เลยลูก อยู่ใกล้ๆ แม่เข้าไว้ จะได้ปลอดภัยจากชะนี”
“เจ๊ ถามน้องท่านหรือยัง” มูมู่หัวเราะ กุลีกุจอชงเครื่องดื่มให้พวกเดือนปีหนึ่งอย่างคล่องแคล่ว
ผมนั่งฝั่งตรงข้ามกับนายท่านพอดิบพอดี มันมองหน้าผมด้วยสายตาเซ็งๆ ส่วนผมเองก็มองหน้ามันด้วยสายตาหวั่นๆ พอจะรู้อยู่ว่ามันโกรธอะไรสักอย่าง แต่ปัญหาก็คือผมไม่รู้จะง้อแม่งยังไง
รอบตัวผมเต็มไปด้วยคนที่ไม่รู้เรื่องของผมกับมัน ยกเว้นแต่พวกไอ้เหี้ยเซียนที่เลิกคุยเรื่อง RoV นานแล้ว เพราะต้องคอยมองว่าผมกับนายท่านจะอะไรยังไงกัน
เดี๋ยวพวกแม่งเสือกไม่ทัน...
ก่อนที่ผมจะรู้ตัว ผมห้ามมือของมูมู่ที่กำลังจะเทเหล้าลงไปในแก้วที่สาม
“มีอะไรเหรอกล้า”
“ท่านไม่ดื่มน่ะ” ผมบอกเธอ
“ตายแล้ว น้องท่านไม่ดื่มเหรอ” เจ่เจ๊หันไปคุยกับเด็กเดือนคณะตัวเองอย่างมีจริตจก้าน นายท่านเริ่มขยับหนี ท่าทางของมันดูเกร็งๆ
มันกลัวตุ๊ด...ทุกคนจำได้ใช่มั้ยครับ
“แล้วหนูมาทำไมเนี่ยลูก มานั่งให้พวกชะนีผีมองเล่นๆ เหรอ”
“ก็พี่ชวนผมมาอ่ะ” นายท่านรับแก้วน้ำเปล่ามาจากมูมู่พร้อมเอ่ยขอบคุณ ไม่ลืมที่จะขยับตัวไปอีกเพื่อให้อยู่ห่างจากเจ่เจ๊มากที่สุด
จะเอาฮาไปไหนเนี่ย มาก็มาด้วยกัน
“รู้จักกับกล้ามาก่อนเหรอ ทำไมกล้าถึงรู้ว่าหนูไม่ดื่ม”
มันคงรู้สึกแปลกๆ ที่โดนเรียกว่าหนู แต่แปลกกว่าถ้าจะตอบคำถามเรื่องที่ว่ารู้จักกับผมมาก่อนหรือเปล่า
ผมขอตอบในใจเลยว่ารู้จักดี...รู้จักดีมากด้วย
“เคยเรียนโรงเรียนเดียวกัน” ผมตอบ
หลังจากนั้นบทสนทนาก็เปลี่ยนเรื่องไปเรื่อยๆ โดยที่ผมเอาแต่นั่งเงียบ พอมีไอ้นายท่านนั่งอยู่ตรงข้ามแบบนี้รู้สึกว่าต้องทำตัวหงิมๆ ยังไงไม่รู้ ถ้ามันยังยิ้มให้ผมมันก็จะดีกว่านี้อยู่ แต่นี่มันเอาแต่มองผมพร้อมคิ้วที่ขมวดเป็นปม ผมจะกล้าดื่มกล้านั่งฮามุกของเพื่อนได้ยังไง
เงียบต่อไปน่าจะดีที่สุด
ยิ่งดึกโต๊ะของเราก็ยิ่งขยายใหญ่ขึ้น พวกแก๊งคุณชายตามมาสบทบกับหัวหน้าแก๊งเป็นที่เรียบร้อย แต่ที่เด็ดและน่าขนหัวลุกไปกว่านั้นก็คือ...อมรและชาวตุ๊ดปีสองที่มากันอีกสี่คน
มีแค่เจ่เจ๊คนเดียวนายท่านพอจะรับมือไหว แต่ถ้ามากันเป็นเกิร์ลกรุ๊ปขนาดนี้ ผมสังเกตเห็นเลยเต็มๆ ว่ามันเริ่มอยู่ไม่สุข ทำท่าจะขยับหนีเจ่เจ๊และผองตุ๊ดอยู่หลายต่อหลายรอบ แต่แม่งโดนดึงให้อยู่ อีกทั้งยังให้อยู่กลางวงอีก
ไม่รู้จะสงสารหรือจะหัวเราะก่อนดี
“ท่าน” ผมที่มึนๆ นิดหน่อยกล้าที่จะเรียกนายท่านเสียงดัง ทั้งโต๊ะหันมามองผมกันหมด
มันชะงักค้างพร้อมกับมองอย่างสงสัย
“ไปห้องน้ำป่ะ”
คนถูกถามพยักหน้าหงึกๆ ก่อนจะลุกหนี มือไม้ของชาวตุ๊ดทั้งหลายยังพยายามจับนั่นจับนี่ของมันอยู่เลย ผมลุกเดินตามไปโดยที่ทำเป็นเมินสายตาล้อเลียนของไอ้เซียน ไอ้ตง และก็ไอ้หมูหัน
“มึงไม่เหนื่อยเหรอ” ระหว่างทางไปห้องน้ำผมก็ได้เอ่ยถามไอ้นายท่าน “ไปนอนมั้ย พรุ่งนี้มีพิธีนะเว้ย”
“มึงน่าจะถามตัวเองก่อน” มันหันมามองผมอย่างอารมณ์เสีย “ทำงานหนักไม่ใช่เหรอ แล้วเสือกมาแดกอีกทำไม”
“เพื่อนชวน” เสียงของผมอ่อยลง
“ชวนแต่มึงก็ปฏิเสธพวกนั้นได้”
“กูมาอ่ะเรื่องปกติอยู่แล้วเพราะเพื่อนกูมันสายดื่ม แต่มึงอ่ะมาทำไม มานั่งแดกน้ำเปล่าเฉยๆ เนี่ยนะ”
“...”
“หรือมาเพราะผู้หญิงชวน”
นายท่านชักสีหน้าใส่ผม ส่วนผมที่กึ่มๆ อยู่แล้วก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ มองมันด้วยสีหน้าไม่ชอบใจตอบกลับไป
“เก่งจังเลยนะ” มันมองไปข้างหน้า
“เก่งอะไร”
“เก่งเรื่องที่ทำให้กูปวดหัว”
“กูทำอะไร”
“กลางวันก็ผู้ชาย กลางคืนก็เหล้า”
“...”
“กูจะปล่อยให้มึงนั่งแดกแบบนั้นได้ยังไง ยิ่งมึงเหนื่อยๆ มา ดื่มแล้วยังไงมึงก็เมาง่าย”
“มึงปล่อยมาสองปีแล้วนะ”
“แล้วมันเป็นเพราะใครกันล่ะวะ!”
มันเป็นเพราะผมเอง...ผมนี่แม่งก็ชั่วดันพูดออกไปแบบนั้น ตอนพูดนี่ผมควรจะคิดให้ดีๆ ก่อนว่าใครเป็นฝ่ายเทใครก่อน
ไม่รู้คำพูดของนายท่านตอกผมจนหน้าหงายหรือเปล่า ผมเซไปโดนโต๊ะของวิศวฯ ปีสูงจนต้องยกมือไหว้ขอโทษขอโพย พวกนั้นมองผมอย่างงงๆ โชคดีที่ผมไม่ได้เจอพวกหัวรุนแรง
“แม่งเอ๊ย” นายท่านตัดสินใจดึงแขนผม “กลับกัน”
“หา แล้วไอ้พวกนั้น...” ผมหมายถึงพวกที่ยังนั่งดื่มกันอยู่ที่โต๊ะเรา
“มีกันตั้งหลายสิบ มึงกับกูหายไปคงไม่เป็นไรหรอก”
“แต่...”
“ถ้าจะง้อกูก็ต้องทำตัวดีๆ อย่างเช่นฟังคำพูดกูเป็นต้น”
ผมโดนดึงไปตามแรงจนผมขัดขืนไม่ได้ สายตาของผมมองกลับไปยังโต๊ะ มีแต่พวกไอ้เซียนที่มองตามมาไม่มีคนอื่นเลย พวกมันโบกมือให้ผมพร้อมอวยพรให้ผมโชคดี
โคตรเหี้ย...แทนที่จะเป็นห่วงเพื่อนบ้าง
แต่ถ้าคนดึงผมไม่ใช่ไอ้นายท่าน ผมเชื่อว่าไอ้พวกนั้นก็คงไม่อยู่เฉยๆ แบบนี้หรอก
บนรถของไอ้นายท่าน
“กล้า”
“...”
“นี่มึงง้อคนไม่เป็นใช่ป่ะ”
ตอนนี้หัวผมหมุนมากจนมึนไปหมด เริ่มเมาจริงๆ ก็คราวนี้แหละ
“แม่งเอ๊ย ผิดที่กูเองนี่แหละ”
“...”
“สงสัยจะงอนมึงได้นานสุดแค่นี้” มันทำท่าจะออกรถ แต่ก็ลังเลเมื่อเห็นสภาพผม “ไหวมั้ยเนี่ย”
“กูอ่ะนะไม่ไหว” ผมเป็นคนที่เมาแล้วช่างจ้อครับ “สองปีที่มึงไม่อยู่ กูเมากับเพื่อนตลอด ทำไมกูจะไม่ไหว กูคือคนแมนพลังช้างนะ”
“แล้วมันเป็นความผิดกูหรือไงวะ” เราคงกลับมาตีกันอีกครั้งหนึ่ง ความโกรธของมันทำให้มันไม่สนใจคำพูดที่ดูปัญญาอ่อนของผม “กูจะขับรถกลับแล้วนะ”
“ไม่เอา”
“ทำไมล่ะ”
“ก็เพราะถ้ากลับนะ กูกับมึงก็ต้องแยกกันอีก”
นายท่านหันมามองผมด้วยสายตาตกตะลึง
เป็นไงล่ะ...คำพูดกูปัญญาอ่อนสมใจมึงรึเปล่า
“พรุ่งนี้เดี๋ยวเราก็ต้องห่างกันอีก” สิ่งที่ผมพูดมันคือความจริงจากใจล้วนๆ ถ้าไม่ใช่ตอนนี้ก็คงไม่มีตอนไหนที่ผมกับนายท่านจะมาอยู่ใกล้ชิดกันแบบนี้ได้ นายท่านเป็นเด็กปีหนึ่ง คณะนิเทศฯ อีกทั้งยังพ่วงตำแหน่งเดือนคณะ ผิดกับผมที่เป็นเพียงแค่สวัสฯ ปีสองที่เอาแต่ยุ่งหัวหมุนตลอดทั้งวัน
อย่างที่บอกแม้แต่เวลาไปฉี่ยังแทบจะไม่มีเลย
“มึงก็อย่าทำให้ห่างดิ”
“ไม่ได้ไง งานกูก็มี มึงเองก็น่าจะรู้อยู่ กูคือฝ่ายสวัสดิการของมหา’ลัยนี้นะเว้ย”
ผมรู้สึกว่าหน้าขาวๆ ของนายท่านมันขยับเข้ามาใกล้ แถมแขนยาวๆ ของมันยังพาดมาที่เบาะที่นั่งข้างคนขับอีกต่างหาก แล้วผมจะขยับไปไหนได้
“นี่แสดงว่าถ้าไม่มีงาน มึงคงจะตามกูไปทุกที่เหมือนที่กูเคยตามมึงสมัยก่อนใช่ป่ะ”
ความปรารถนาของผมมันคืออย่างนั้นนั่นแหละ สมัยก่อนนายท่านแม่งตื๊อผมชนิดที่ว่าไม่สนภาพลักษณ์ตัวเองเลยว่าจะหล่อน้อยลงหรือเปล่าถ้ามาเดินตามตูดเด็กผู้ชายขาไม่ค่อยยาวอย่างผม เพราะงั้นถ้าผมคิดจะง้อมัน ผมก็ต้องทำในสิ่งที่มันเคยทำ ทำในสิ่งที่มันกล้าทำต่อหน้าคนอื่นๆ
ผมพยักหน้าเบาๆ พยายามเลี่ยงใบหน้าที่มันยื่นมาใกล้ อีกนิดแม่งก็จะดมหน้าผมละ
กลิ่นนายท่านหอมสดชื่นเหมาะกับตัวของมันมาก และนั่นก็ทำให้ผมชักเริ่มไม่มีสติ
“มึงไม่ต้องทำถึงขนาดนั้นก็ได้” นายท่านผละออกไป ก่อนจ้องพวงมาลัยเหมือนมันจะให้หวย “แค่อยู่ห่างๆ ผู้ชายก็พอ”
“หืม เพื่อนกูก็เป็นผู้ชายทั้งนั้นนะ”
“กูหมายถึงคนที่ไม่ใช่เพื่อนดิ”
“มึงกำลังพูดถึงไอ้เชนป่ะเนี่ย?”
“เออ” มันตอบรับทันควันจนผมสะดุ้ง “อย่าอยู่ใกล้มันมาก ไม่ชอบ”
“มึงไม่ชอบมัน?”
“ไม่ชอบที่มันมาอยู่ใกล้มึงเนี่ย ถามทำไมเยอะแยะ” นายท่านหน้าบึ้งตึง “รัดเข็มขัดด้วย กูจะออกรถแล้ว”
ผมส่ายหน้าพรืด
“เป็นไร”
“ไม่เอา”
“ไม่เอาอะไร”
“ยังไม่กลับ”
ท่าทางของผมทำเอาสีหน้านายท่านดีขึ้นทันตา หัวใจผมเต้นตุบๆ ด้วยความลุ้นว่าเราสองคนจะเป็นยังไงต่อไป นานๆ ทีเราทั้งคู่จะได้อยู่ด้วยกันตามลำพังแบบนี้
“เราอยู่ตึกเดียวกันนะ” มันพูด
“แล้วไง กูไม่รู้ห้องมึง”
“ก็สืบดิ”
“โห พูดเหมือนง่ายเลยเนอะไอ้สาดดดดด” มือของผมทำท่าประกอบคำพูด “ตึกเราสูงตั้งขนาดนี้ ห้องก็มีเป็นร้อยๆ อีกอย่างกูไม่สนิทกับคนดูแลตึกด้วย แม่งชอบมองกูแปลกๆ”
“...”
“มึงอยากให้กูง้อ แต่มึงก็ไม่ให้ความร่วมมือกูเลย”
“พูดแบบนี้อยากเข้าห้องกูหรือไง”
“ก็...” เออว่ะ กูจะตอบแม่งยังไงดีวะ ที่อยากรู้ไม่ใช่เพราะอยากเข้าห้อง แต่รู้ไว้ก็ไม่มีอะไรเสียหายไม่ใช่เหรอ
แต่ผมก็...อยากเข้าห้องมันอยู่นะ ไม่รู้สิ ก็ผมชอบมันนี่ ผมอยากอยู่ใกล้ๆ มันตลอดเวลา
“กูให้เข้าไม่ได้หรอก” มันออกรถด้วยการถอยหลัง “ยังไม่ใช่ตอนนี้”
ให้ตายเถอะ ผมต้องเอาทองมากองเท่าหัวผมก่อนใช่มั้ยมันถึงจะยอมช่วยให้ผมคืนดีกับมันดีๆ สายตาของผมมองไอ้คนขับอย่างมีโมโหโทโส แต่มองไปก็เท่านั้น ผมรู้ดีว่าที่มันไม่ยอมผมง่ายๆ ก็เป็นเพราะผมนี่แหละ ความผิดของผมเองคนเดียว ไม่ใช่ความผิดของมันเลย
จะว่าไปมันก็ดีแค่ไหนแล้วที่มันยอมให้ผมมาอยู่ใกล้มันแบบนี้ มันสามารถเทผม โยนผมทิ้งไว้ที่ข้างถนนก็ได้ เพราะเท่าที่ผมจำได้ มันแทบเสียผู้เสียคนไปเลยตอนที่ผมหักอกมัน
เพราะงั้นมันต้องการอะไรผมก็คงต้องแล้วแต่มันทุกอย่าง การที่มันยังมีความรู้สึกกับผมอยู่แม่งก็ถือได้ว่าเป็นของขวัญจากสวรรค์แล้วล่ะ
สองปีที่ผ่านมานายท่านมันสามารถมีลูกมีเมียได้เลยนะครับ!
“มึงบล็อกกูทุกทางแบบนี้ แล้วกูจะติดต่อมึงยังไง”
คนถูกถามอย่างนายท่านเหลือบมามองผม “พยายามสิ”
“พยายามอะไร ให้กูซื้อโทรศัพท์ใหม่ ใช้เบอร์ใหม่โทรไปหามึงเลยมั้ย”
“แล้วทำไมมึงไม่ทำอย่างนั้นล่ะ”
ไอ้...ผมไม่รู้จะด่าแม่งยังไงดี แบบนี้ไม่เรียกว่างอนแล้วมั้ง น่าจะเรียกว่าเอาคืนอย่างสาสมมากกว่า
“ใช่เซ้” เพราะความเมาของผมทำให้ผมกล้าพูดอะไรหลายๆ อย่าง “สมัยก่อนกูทำกับมึงไว้เยอะนี่ มึงก็เลยจะเอาคืนกู”
“ก็รู้อยู่แล้วนี่”
“เหี้ยท่าน”
“อะไร”
“มึงแค้นอะไรกูขนาดนั้น”
มันเลี้ยวซ้ายเพื่อเข้าสู่ซอยหอพักของเรา “ไม่ได้แค้น แค่อยากรู้ว่ามึงชอบกูมากพอที่จะทุ่มเทให้กูหรือเปล่า”
“...”
“กูยังไม่เห็นความพยายามของมึงเลย มีแต่กูวิ่งเข้าหามึง กูมีงานที่กรุงเทพฯ แต่ก็ต้องรีบกลับมาเพราะอยากเห็นหน้ามึง มึงแดกเหล้าอยู่ร้านคลับแอล กูก็ต้องเกาะพี่เจ่เจ๊เพื่อไปนั่งเฝ้าทั้งๆ ที่กูแดกแต่น้ำเปล่า”
“...”
“กูหึงแทบตายตอนที่มึงยืนอยู่ใกล้ไอ้ห่าเชนอะไรนั่น ที่ผ่านมามีแต่กูทั้งนั้น มึงแค่อยู่เฉยๆ มึงก็ได้ความรักจากกูไปหมดแล้ว แล้วกูล่ะ กูได้อะไรบ้างนอกจากจูบของมึงเมื่อวาน นี่ถ้า...”
หมับ
ผมคว้ามือของนายท่านมากุมเอาไว้แน่น คนขับรถถึงกับพูดต่อไม่ได้เลยทีเดียว มือของนายท่านเย็นมากและก็ใหญ่กว่ามือผมมาก แต่ถึงอย่างนั้นผมก็รู้สึกว่ามันมีความอบอุ่นอะไรบางอย่างส่งผ่านจากตัวของนายท่านมายังตัวของผม
รู้สึกดี เขิน และก็อยากจับมือนี้ไปนานๆ
“กูจะไม่พูดอะไรแล้ว เพราะมึงขับรถอยู่ เดี๋ยวแม่งพากูชนฟุตบาท” ผมจำได้ดีเลยทีเดียวว่านายท่านมันชอบหลุดตอนขับรถขนาดไหน เพราะงั้นผมขอกุมมือมันไปเรื่อยๆ แบบนี้ดีกว่า
อย่างน้อยผมก็อยากแสดงออกอะไรบ้าง
นายท่านกระแอมเบาๆ ก่อนจะขับรถ มันขับรถด้วยมือข้างขวาของมันซึ่งเป็นอะไรที่เท่มาก มืออีกข้างของมันที่โดนผมจับอยู่ขยับนิดๆ ราวกับต้องการตอบสนองต่อสัมผัสของผม
ไม่นานนักมันก็สอดนิ้วมือของมันเข้ามาประสานกับนิ้วมือของผม ผมทำตาตื่นจ้องมองอย่างตกตะลึงงัน ก่อนจะยิ้มมุมปากด้วยความรู้สึกดีจนล้นออกมาจากหัวใจ
ผมคิดไม่ผิดจริงๆ ด้วย...ว่ามันรอเห็นความพยายามของผมอยู่
[ มีต่อนะคะ ]