9
“เรา..เราชอบคราม...”
คำที่เอ่ยออกไป ผมเองก็ไม่คิดว่าตัวเองจะพูดออกไปได้
เพราะผมรู้ว่าความหวังมันเลือนรางเหลือเกิน แต่คนเรานั้นความต้องการไม่มีที่สิ้นสุด และมันยากที่จะหักห้ามหัวใจ
แม้จะปฏิเสธความรู้สึกตัวเองหลายครั้ง สุดท้ายผมก็รู้ว่าปฏิเสธไม่ได้
ผมไม่อยากค้างคาใจอีกแล้ว ไม่อยากคาดเดา ไม่อยากคาดหวัง ถ้าหากครามรับรู้ความรู้สึกของผม แล้วไม่ต้องการเป็นเพื่อนกับผมอีก ผมก็จะได้รู้เสียทีว่าที่ยืนของผมอยู่ตรงไหน
เจ้าของใบหน้าหล่อเหลาที่ประดับด้วยรอยยิ้มรวบผมเข้าไปกอดแน่น
แน่นจนหูที่แนบติดกับแผ่นอกได้ยินเสียงหัวใจเต้นแรงผ่านเสื้อเชิ้ตนักศึกษาได้อย่างชัดเจน
ภายใต้วงแขนอันแสนอบอุ่น หัวใจที่เคยสั่นไหวจนทรมานค่อยๆ สงบลง ราวกับเสียงที่ได้ยินผ่านอกข้างซ้ายของคนตรงหน้ากำลังปลอบประโลมผม
“เราก็ชอบแดน”
ผมนิ่งไปนานอย่างไม่มั่นใจสิ่งที่ตัวเองได้ยินนัก จนกระทั่งครามผละออกไปมองสบตาผม พลางเอ่ยต่อ
“แต่ว่า...”
“......”
“เราไม่อยากเป็นเพื่อนกับแดน”
เขาไม่อยากเป็นเพื่อนกับผม...
“แดนเข้าใจใช่ไหม?”
ผมย่นคิ้ว ริมฝีปากเม้มแน่น
“แดน...จำคืนนั้นได้ไหม?”
ถ้าหมายถึงคืนที่เราดื่มจนเมา ผมจำได้ แต่ไม่ปะติดต่อทุกเรื่องนัก
“จำไม่ได้สินะ”
“......”
“น่าน้อยใจเนอะ คิดว่าคืนนั้น เราพูดกันเข้าใจแล้วซะอีก”
“......”
“แดน...เพื่อนกัน ไม่จูบกัน ไม่กอดกัน ไม่จับมือกัน แดนเข้าใจใช่ไหม?”
คราวนี้ผมพยักหน้า นัยน์ตาของครามดูเศร้ากว่าที่คิด
“เราไม่อยากเป็นเพื่อนกับแดน เราอยากเป็นมากกว่านั้น”
“......”
“คำว่าชอบของแดน มันมากเท่ากับคำว่าชอบของเรารึเปล่า?”
ผมกลืนน้ำลายลงคอ รู้สึกตัวเองขี้ขลาดที่ไม่ยอมพูดออกไป ขี้ขลาดมาตลอดที่เอาแต่หนี
“ถ้าไม่มากเท่า...เราก็คุยกับแดนเหมือนเดิมไม่ได้หรอก เราไม่ใช่คนดีอย่างที่แดนคิด เรามันเห็นแก่ตัว โดยเฉพาะเรื่องความรัก”
“......”
“กับคนที่เราชอบ เราจะคอยเฝ้าดู คอยตามติด ทำตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ”
“......”
“แล้วเราก็ไม่รู้จักลิมิตตัวเอง อย่างเรื่องพาสเวิร์ด...เราก็ยังอยากจะบังคับให้แดนบอก ทั้งๆ ที่การทำแบบนั้นเป็นเรื่องโคตรงี่เง่า เหมือนพวกผู้หญิงที่ชอบเอาโทรศัพท์แฟนไปเช็คเลยใช่ไหม? น่าสมเพชเนอะ”
ผมรีบส่ายหน้า สองมือยื่นจับอกเสื้อของคนตรงหน้าไว้แน่น ผมเองต่างหากที่น่าสมเพช เพราะมีเรื่องที่ไม่กล้าบอกคราม เพราะสิ่งที่ผมเก็บเอาไว้ อาจจะทำให้เขาโกรธเกลียดผม
ที่ผมขอโทษเขา ที่จริงคงไม่ใช่เรื่องพาสเวิร์ดอะไรนั่นเลย แต่คงเป็นเรื่องความรู้สึกที่ไม่กล้าตัดสินให้ชัดเจนมากกว่า
“ครามไม่ผิดเลย...”
“ผิดสิ...เรื่องที่เมินเฉยใส่แดน เรื่องที่ปล่อยให้แดนรอตั้งนานก็ด้วย”
“......”
“ขอโทษ”
อยู่ๆ เดือนร่างสูงก็คุกเข่าลง สองมือใหญ่ที่เคยโอบกอดเคลื่อนมากุมสองมือผมที่จับเสื้อเขา แล้วรวบไว้ตรงใบหน้าหล่อเหลา ปลายจมูกโด่งซุกลงที่สองมือ
“ตอนนี้...แดนจะทำยังไงกับเราก็ได้แล้วนะ”
ยามเอ่ยคำพูด ลมหายใจอุ่นก็รดตรงมือผมด้วย
“ขอแค่อย่าปฏิเสธเรา”
ผมไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ น่าแปลกที่ไม่ได้รู้สึกอึดอัดในอกเหมือนตอนแรกแล้ว
“ให้เราเป็นมากกว่าเพื่อนได้ไหม?”
เวลาผ่านไปครู่ ก่อนที่ผมจะพยักหน้าน้อยๆ เมื่อเห็นดวงตาแน่วแน่มองมาที่ผม
ภาพของเดือนที่เงยมองผมให้ความรู้สึกประหลาด เพราะราวกับผมจะจับต้องสิ่งที่ไกลเกินเอื้อมได้ คล้ายเดือนที่คล้อยลงมาให้เราสัมผัสเพียงคนเดียว
แล้วครามก็รวบตัวผมพร้อมกับลุกขึ้นจนผมตัวลอยจากพื้น ผมตกใจจนเผลอกอดรอบคอของเขาไว้
“แดนนี่ความลับเยอะไม่พอ ยังปากแข็งอีกนะ”
ครามยิ้มจนเห็นแนวฟันขาว
ไม่รู้จะบอกความรู้สึกตอนนี้ว่ายังไง ไม่อาจอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้
รู้แค่หัวใจมันพองโต และสุขใจจนอดยิ้มจนตาปิดไม่ได้
.
.
เพราะเวลาดึกมากแล้ว คืนนี้ผมจึงนอนค้างที่คอนโดครามผม ยืมเสื้อผ้าของเขาใส่แทนชุดนอน เสื้อยืดและกางเกงของเดือนสถาปัตย์พอมาอยู่บนร่างผม ก็เหมือนเสื้อผ้าผู้ใหญ่บนร่างเด็กไม่มีผิด
บนเตียงเดิมที่เคยนอนในวันนั้น ผมได้กลิ่นหอมเอกลักษณ์ของเจ้าของเตียง อ้อมแขนของครามยังคงร้อนผ่าวและเผื่อแผ่ไออุ่นให้ผมเสมอ ไม่ว่าอากาศในห้องจะเย็นฉ่ำจากเครื่องปรับอากาศเพียงใด ผมก็ไม่รู้สึกหนาวสักนิด
เวลาดึกขนาดนี้แล้ว แต่ผมยังหลับตาไม่ลง ใบหน้าผมหันไปทางหน้าต่าง โดยที่แผ่นหลังแนบกับแผ่นอกของคนที่กอดกายผมอยู่
ดวงตาเห็นพระจันทร์ทอสีเงินยวงด้านนอก สวยจนตาพร่า สวยจนอดยิ้มคนเดียวไม่ได้
“ยังไม่หลับอีก”
ครามรู้สึกว่าผมขยับตัวจึงเอ่ย
ผมหันกลับไปหาเขา แล้วจ้องมองคนผมยาวที่ดวงตาทั้งสองเริ่มปรือน้อยๆ
“แดนไม่ง่วงเหรอ” เสียงทุ้มต่ำดังแผ่ว
“ง่วง...” ผมแกล้งหลับตาเพื่อไม่ให้ครามกังวลว่าผมนอนไม่หลับ
“คิดอะไรอยู่” ครามถาม
ผมนิ่งอยู่นาน ก่อนจะตอบ
“คิดเพ้อเจ้อเฉยๆ”
“เพ้อเจ้ออะไรล่ะ”
“ก็แค่คิดว่า...ครามชอบเราที่ตรงไหน...”
ได้ยินเสียงหัวเราะหึ จนต้องลืมตาขึ้นมองอีกฝ่ายในความมืด
ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาแสงไฟ รอยยิ้มที่ประดับบนใบหน้าหล่อเหลาก็งดงาม และพร้อมจะทำให้หัวใจเต้นแรง
“แล้วมีเหตุผลอะไรที่เราจะไม่ชอบแดนด้วยล่ะ”
ผมคิ้วขมวด หน้ายู่อย่างไม่เห็นด้วยเท่าไหร่
เหตุผลที่จะไม่ชอบ สำหรับผมมีตั้งมาก ผมรู้ตัวว่าไม่มีอะไรโดดเด่น ไม่ว่าจะหน้าตา นิสัย หรือความสามารถ ส่วนที่ชอบสิ นึกยังไงก็นึกไม่ออก
แล้วริมฝีปากอุ่นก็แนบกับกลางหว่างคิ้วผม เพื่อให้คลายออก
ท่อนแขนแกร่งที่สอดอยู่ใต้เอวกระชับผมเข้าไปใกล้ขึ้น จนตัวผมเข้าไปชิดกับหน้าท้องแข็งแรง หูข้างหนึ่งแนบติดกับแผงอกจนได้ยินเสียงใจเต้นขับกล่อม
“แดนชอบเราที่ตรงไหน หน้าตา?”
จริงอยู่ที่หน้าตาของครามโดดเด่นกว่าใคร แต่สิ่งที่ผมชอบในตัวเขามากจริงๆ ก็คือความเอาใจใส่ เขาเป็นคนใจดีแบบที่ไม่แสดงให้คนอื่นเห็น อย่างเช่นตอนที่เขาซื้อไอติมให้เด็กขายดอกไม้ ตอนที่เขามาช่วยเคลียร์ปัญหากับคนที่เข้าใจผิดว่าผมแอบถ่ายรูปใต้กระโปรง และเหตุการณ์อื่นๆ ที่ผมคอยลอบสังเกตมาตั้งแต่ปีหนึ่ง
ผมส่ายหน้า
“แต่เราชอบหน้าแดนนะ”
“......”
แล้วครามก็หัวเราะลั่นเมื่อพอทำหน้าไม่เชื่อ
“ทำไมล่ะ น่ารักดีออก เวลายิ้มแล้วไม่เห็นตาแบบนี้ เหมือนมาชิมาโร่”
“......”
ขี้แกล้งอะ ไม่ต้องย้ำก็ได้ว่าตาตี่
ครามโน้มใบหน้าเข้ามาจูบที่เปลือกตาของผมที่ยังบวมอยู่เล็กน้อย ผมหลับตาตามสัญชาตญาณ
“เอาไว้...เราจะค่อยๆ บอกแดนว่าเราชอบแดนตรงไหน”
เสียงกระซิบอุ่นสัมผัสที่เปลือกตา พร้อมกับวงแขนที่กระชับแน่น
ผมกอดครามตอบ โอบกอดเดือนที่เคยรู้สึกว่าไกลเกินเอื้อม
รู้สึกอยากอยู่อย่างนี้ไปนานๆ อยู่ท่ามกลางไออุ่น และไออวลกลิ่นกายที่คุ้นเคย หวังว่าตื่นมาในตอนเช้า เรื่องคืนนี้จะไม่ใช่สิ่งที่ผมฝันไป
แต่ยังไงผมก็วางใจว่าอย่างน้อย ผมและครามก็ไม่ได้ดื่มเหล้าจนเมาล่ะนะ
.
.
CONT.
TALK
ตอนนี้มาสั้นหน่อยจ้า เดี๋ยวตอนหน้าจะบอกความคิดพี่ครามนิดหน่อย แล้วเราก็จะมุ่งสู่ความหวานกันพักนึง อย่าพึ่งคิดว่าเอ๊ะ เป็นแฟนกันแล้ว งี้ก็จะจบแล้วรึเปล่า ความจริงคือยังไม่ผ่านกลางเรื่องเลยจ้า ก็ฝากติดตามกันต่อไป
ในส่วนของความสัมพันธ์นั้น~ น้องแดนคนซื่อ คนไม่เคยมีแฟน น้องแดนไม่ค่อยมั่นใจในตัวเอง น้องแดนยังต้องปรับตัวอีกมาก
ส่วนพี่ครามคนนี้ไม่ห่วง ขอแค่ทำให้หัวใจน้องวายน้อยลงก็พอ แปดห่อก็โชว์น้อยๆ ลงหน่อยเพราะกำเดาจะไหลหมดตัวแย้วจ้า
แล้วเจอกัน Chapter 10 ค่า