21
ตั้งแต่เริ่มฝึกงานมา ผมกลับห้องมืดค่ำแทบทุกวัน
จะว่าคุณธรณ์ใช้งานผมหนักก็ไม่ใช่ หากแต่เป็นผมที่อยู่จนดึกเพื่อดูการทำงานของมืออาชีพจนไม่รู้ตัวว่าเวลาแต่ละวันผ่านไปนานเท่าไหร่
แม้ว่างานของผมจะไม่มีโอกาสได้จับกล้องถ่ายรูปแม้กระทั่งสายกล้อง ทว่าผมสนุกกับทุกอย่าง จัดฉาก ถือไฟ แบกของ หรือแม้แต่วิ่งซื้อกาแฟให้คุณธรณ์
ช่างภาพมากฝีมือเคยถามผมว่า “ฝึกงานที่นี่ ถ้าไม่ได้จับกล้องเลยจะโอเคไหม?”
“โอเคครับ”
“ทำไมล่ะ ไม่อยากถ่ายรูปเหรอ?”
ผมนิ่งไปครู่ ก่อนตอบ “ทุกอย่างที่ผมทำคือการเรียนรู้ครับ ต่อให้ไม่ได้จับกล้อง แต่ผมเห็นและเก็บภาพผ่านสายตาของผม แค่ได้เห็นคุณธรณ์ทำงานจริงๆ ก็เป็นโอกาสที่ดีมากแล้วครับ”
ชายร่างสูงเพรียวกอดอกแล้วพยักหน้าอืม ไม่รู้ว่าเขาจะคิดว่าผมพยายามเยินยอเขาหรือเปล่า แต่ผมไม่มีความตั้งใจแบบนั้นแม้แต่น้อย
ผมตื่นตาตื่นใจทุกครั้ง ที่เห็นช่างภาพคนนี้จับกล้อง
ไม่ว่าโมเดลจะมีประสบการณ์มากหรือน้อย คุณธรณ์ก็สามารถดึงสิ่งที่ดีที่สุดจากอีกฝ่ายออกมาได้ ทุกภาพเต็มไปด้วยอารมณ์ และสะกดให้คนมองราวกับมีเวทมนต์ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมโมเดลหรือดาราที่เพิ่งเข้าวงการต่างอยากให้เขาเป็นคนถ่ายภาพให้ด้วยกันทั้งนั้น หรือแม้แต่คนที่อยู่ในวงการมานานก็อยากจะร่วมงานกับเขาอีก
ถึงกับมีคำพูดบอกกันว่า ธรณ์ วงศ์กีรติ ปั้นดินให้เป็นดาวได้ หากใครได้ธรณ์ถ่ายภาพให้ ได้เกิดได้ดังกันทุกคน
ผมเองก็คิดว่าคำพูดนี้ไม่ได้เกินจริง เพราะผมได้ประจักษ์แก่สายตาตนเอง ว่าฝีมือของเขา สมกับที่ได้รับสมญานามว่าเป็นช่างภาพมือหนึ่ง
ถ้าผมสามารถถ่ายภาพได้เก่งสักเสี้ยงหนึ่งของเขาก็คงจะดี แม้ว่าตอนนี้ฝึมือของผมจะยังไม่เข้าขั้น หากผมก็ไม่ย่อท้อง่ายๆ เพราะคุณธรณ์เองก็เริ่มจากไม่มีประสบการณ์ เริ่มจากงานจิปาถะเล็กๆ ในสตูดิโอไร้ชื่อเสียง
ผมเสียอีกที่มีโอกาสมากกว่าเขาในอดีต ดังนั้นผมจะไม่ยอมแพ้ และทำทุกอย่างให้ดีที่สุดเพื่อที่จะไม่รู้สึกเสียใจภายหลัง
ทุกๆ วันที่ฝึกงานเป็นไปอย่างสนุก ผมได้เห็นมุมมองใหม่ๆ มากมาย ได้เปิดโลก และได้เอาเรื่องราวหลายอย่างที่เรียนรู้มาเล่าให้เพื่อนอย่างหนึ่งฟัง บางครั้งก็เล่าให้คนที่ติดตามบล็อกผมฟังด้วย
อย่างวันนี้ ผมอยู่ที่สตูดิโอถึงดึกเหมือนเคย กว่าจะกลับถึงคอนโดก็ปาไปห้าทุ่มกว่า เลยได้อัพบล็อกตัวเองช้ากว่าปกติไปหน่อย
ผมเลือกอัพรูปท้องฟ้าสีต่างๆ ทั้งท้องฟ้าตอนยามรุ่งสาง กลางวัน กลางคืน ยามโพล้เพล้ แทบจะมีทุกเฉดสี นอกจากนี้ก็ลงแคปชั่นเพิ่มว่า อยากลองถ่ายรูปท้องฟ้าและทางช้างเผือกในเมืองหนาวบ้าง
เห็นว่าต่างประเทศจะเห็นสีของทางช้างเผือกต่างกันด้วย
โพสต์ลงได้ไม่นาน ข้อความส่วนตัวก็เด้งเข้ามา
พี่เจนทักมาคุยกับผมเหมือนเคย
[เดี๋ยวก็ได้ไปถ่ายรูปที่เมืองหนาวแล้ว]
[รู้ได้ไง ผมฝึกงานได้เบี้ยเลี้ยงวันละสามร้อยเอง ต้องฝึกกี่ปีเนี่ย]
[อะไร นี่ยังไม่รู้เหรอ!]
หืม?
ผมแปลกใจขมวดคิ้วเมื่อพี่เจนทักมาอย่างนั้น
[บ้างานจนลืมวันลืมคืนล่ะสิ รีบเข้าไปดูเวบประกวดเร็ว ]
หัวใจของผมเต้นแรงทันที รีบกดเข้าไปดูเวบประกวดภาพถ่ายอย่างที่พี่เจนว่า
วันนี้เป็นวันประกาศผล รางวันถ่ายภาพ และผลรางวัลก็น่าจะประกาศตั้งแต่หลายชั่วโมงก่อน ผมทำงานจนลืมไปเสียสนิท
พี่เจนคงไม่ได้ทำให้ผมดีใจเก้อใช่ไหม?
[ผมไม่กล้าเปิดดูอะพี่ ทำไงดี]
[เปิดเร็วๆ ถ้าไม่ดีให้จุ๊บเลย]
[…]
พี่ก็เล่นมุกตลอด
ผมมือสั่นตัวสั่นไปหมดตอนที่คลิ้กเข้าไป สองตาหลับปี๋แล้วค่อยๆ ลืมขึ้นอย่างกล้าๆ กลัวๆ เหมือนดูหนังสยองขวัญ
และสุดท้าย ผมก็เห็นภาพท้องฟ้าและทะเลมีคราม ผสานกับภาพดวงจันทราสีเงินยวงลอยเด่น
พร้อมตัวอักษรเหนือภาพถ่าย
The winner of the contest is 'My Indigo : คราม'
ผมกระโดดและส่งเสียงดังลั่นห้องด้วยความดีใจ
ดีใจเหมือนคนบ้าเลย
.
.
ข่าวเรื่องที่ผมชนะรางวัลถ่ายภาพ ทำให้พี่ๆ ที่สตูดิโอแสดงความยินดีกับผมกันยกใหญ่ รวมทั้งเพื่อนๆ ของผมด้วย มีพี่ที่ทำงานหลายคนทำท่าจะฝากผมซื้อของ หากแต่ก็ถูกคุณธรณ์สั่งห้ามเสียก่อน
“ห้ามฝากแดนไทซื้อของ ใครฝาก ผมจะตัดเงินเดือน เป็นผู้ใหญ่กันซะเปล่าจะฝากเด็กฝึกงานซื้อได้ยังไง แล้วคิดว่าผมไม่รู้เหรอว่าพวกคุณชอบฝากแต่ไม่ชอบจ่ายน่ะหืม?”
แต่ละคนได้แต่ยิ้มแหะๆ ให้ช่างภาพชื่อดัง ไม่มีใครกล้าขัดคำสั่งเขาสักคนหรอก
แล้วพอคุณธรณ์รู้ข่าว ก็เรียกให้ผมเข้าไปคุยส่วนตัว แล้วก็ยื่นซองให้
ผมได้แต่ทำหน้าตกใจ เพราะคิดว่าเขาจะไล่ผมออก
“ผ..ผมทำอะไรผิดไปหรือเปล่าครับ ผมขอลาห้าวัน...ไม่ได้จริงๆ เหรอครับ ผ...ผม...ผมขอไม่รับเบี้ยเลี้ยงทั้งเดือนเลยก็ได้ครับ อย่าไล่ผมออกเลยนะ”
“แดนไท ตั้งสติหน่อย ไม่ต้องพูดติดอ่าง”
“........”
“ผมบอกหรือยังว่าจะไล่ออก”
“ย..ยังครับ...” นิสัยตื่นง่าย บางทีก็แก้ยากเหมือนกัน
“เปิดซองดูก่อน”
“ค..ครับ”
ผมทำตาม นิ้วสั่นๆ เปิดซองออก แล้วผมว่าข้างในเป็นธนบัตรสีเทาๆ หลายใบ
“พ็อกเก็ตมันนี่ เอาไว้ใช้ตอนไปเที่ยว”
ดวงตาเล็กๆ ของผมเบิกโต ปากรีบเอ่ยอย่างตะกุกตะกัก
“ผม...ผมรับไว้ไม่ได้หรอกครับคุณธรณ์ เยอะขนาดนี้...”
“หรือจะเอาใบลาออก”
“........”
ผมรีบเก็บเงินใส่กระเป๋ากางเกงด้วยความรวดเร็ว
ให้เลือกระหว่าง 'เงิน' กับ 'ซองขาว' ยังไงก็ต้องเลือกเงินอยู่แล้ว
“แล้วซื้อช็อกโกแล็ตไวน์มาให้ผมด้วย” ใบหน้าขาวหยุดพูดครู่หนึ่ง “ผมฝากได้ เพราะผมให้เงินคุณแล้ว”
ผมพยักใบหน้ารัวๆ มิชชั่นที่คุณธรณ์ฝากฝัง ยังไงก็ต้องทำให้สำเร็จ!
“แล้วเอากล่องเดียวพอล่ะ ไม่ต้องซื้อมาด้วยเงินทั้งหมดนั่น”
“ครับ! ขอบคุณครับคุณธรณ์”
สายตาเห็นคนร่างสูงเพรียวเจิดจ้าขึ้นมาทันตา หน้านิ่งๆ ดูเย็นชา แต่ความจริงเขาโคตรจะใจดี ผมนี่โชคดีจริงๆ ที่ได้ฝึกงานกับเขา หวังก็แค่ว่าผมจะไม่ได้เอาโชคมาใช้กับการฝึกงานและงานประกวดหมดแล้วเท่านั้น
.
.
หลังจากกลับมาถึงห้อง ผมก็นั่งหาข้อมูลเกี่ยวกับที่อยู่ของครามว่าตั้งอยู่ที่ไหน เดินทางยังไงจากอินเตอร์เน็ต
ผมได้ที่อยู่นี้มาจากหนึ่ง หลังจากที่เขาเดินทางไปได้สักพัก ไม่รู้ว่าทำไมหนึ่งถึงมีที่อยู่ครามเหมือนกัน ตอนที่สงสัย เพื่อนตัวเล็กก็บอกว่า
“พี่ทักษ์ให้มา คิดว่าแดนอาจจะอยากได้”
“พี่ทักษ์ติดต่อกับครามเหรอ”
“ไม่รู้สิ ไม่รู้ว่าได้มายังไงเหมือนกัน บอกแค่ว่ากว่าจะได้มานี่ใช้เวลาหลายชาติเลย”
ไม่รู้ว่าหนึ่งพยายามจะพูดให้ผมสบายใจหรือเปล่า เพราะก่อนหน้านั้นผมเคยจะหาทางติดต่อคราม ทว่าเขาไม่ได้ใช้เบอร์โทรศัพท์ไทยในต่างประเทศ เฟสบุ๊คหรือโซเชียลมีเดียอะไรก็ไม่เล่น ลืมเรื่องไปถามหาทางติดต่อจากพ่อของเขาไปได้ จนผมจนปัญญา
ทว่าหนึ่งก็ให้ที่อยู่นี้มา ตั้งแต่นั้นผมก็ส่งโปสการ์ดไปตามที่อยู่นี้เป็นระยะ แต่ไม่เคยได้รับการตอบกลับสักครั้ง
ผมทำใจไว้แล้วว่าจะเป็นอย่างนี้ เพราะก่อนที่ครามจะไป เราก็จากกันไม่ดีนัก แล้วผมยังสร้างบาดแผลให้เขาอีก เขาจะไม่ตอบอะไรก็ไม่แปลก
ผมเตรียมข้อมูลเส้นทางและสถานที่ต่างๆ ไว้พร้อม ปริ้นต์ออกมาใส่สมุดบันทึกเรียบร้อย แล้วยังเก็บข้อมูลไว้ในโทรศัพท์กันเหนียวไว้ด้วย เพื่อให้มั่นใจว่าจะสามารถใช้เวลาที่ไม่ได้เข้าร่วมกิจกรรมของการประกวดเดินทางไปได้
การเดินทางร่วมกิจกรรมในยุโรปใช้เวลา 6 คืน 7 วัน
2 คืนในฝรั่งเศส 2 คืนในอิตาลี และ 2 คืนในอังกฤษก่อนจะกลับไทย
ครามไปแลกเปลี่ยนที่มหาวิทยาลัยในฝรั่งเศส ดังนั้นผมมีเวลาหลังเลิกกิจกรรมในวันที่สองตอนบ่าย และวันที่สามก่อนเดินทางต่อไปอิตาลีที่จะไปเจอเขา
[แดนนน]
พี่เจนทักมาหาผมตอนที่ผมกำลังเหม่อๆ
[ครับ]
[อีกไม่กี่วันจะเดินทางแล้ว พร้อมยัง]
[ยังเลย ผมยังไม่แน่ใจเลยว่าจะหาที่อยู่คนที่ผมจะไปหาเจอ]
[หายากเหรอ อยู่ไหนล่ะ เดี๋ยวช่วยดู]
ผมส่งรูปแผนที่ที่ผมค้นให้พี่เจนดู แล้วก็ส่งที่อยู่ที่ผมต้องการไปให้ พี่สาวใหญ่คนนี้มีประสบการณ์เที่ยวประเทศบ่อย แล้วก็ให้คำแนะนำเรื่องต่างๆ ให้ผมอย่างดีเสมอ
[ปารีส?]
[ไม่ใช่ลอนดอนเหรอ? รางวัลนี้ต้องไปลอนดอนด้วยไม่ใช่เหรอ?]
[ครับ ไปทั้งฝรั่งเศส อิตาลี แล้วก็อังกฤษเลย]
[แต่คนที่ผมจะไปหาอยู่ฝรั่งเศสอะครับ]
พี่เจนนิ่งไปนาน
ผมจึงนั่งจดอะไรต่อมิอะไรลงบันทึกต่อ เพราะปัญหาใหญ่ก็คือผมพูดฝรั่งเศสไม่ได้ ต้องเตรียมประโยคถามทางเผื่อไว้หน่อย ได้ยินว่าชาวปารีเซียงไม่ค่อยยอมพูดอังกฤษเสียด้วย
[แดนพักอยู่ที่ไหนในปารีสเหรอ ]
[น่าจะที่นี่ครับ]
มือกดส่งเวบของโรงแรมไป
[คนละที่กับตึกทีแดนส่งมาเลย]
[ครับ แต่ผมดูแล้วมันไม่ไกลจากพิพิธภัณฑ์ที่ผมต้องไปร่วมกิจกรรมในวันนั้นนะ]
[เหรอ ตารางกิจกรรมมีอะไรบ้างล่ะ]
คราวนี้ผมส่งแผนการเดินทางไปให้พี่เขา
[วันที่สองใช่ปะ? ช่วงบ่ายหลังไปพิพิธภัณฑ์]
[ใช่ครับพี่]
[งั้นไม่น่ามีปัญหา]
[แดนขึ้นรถตามนี้นะ จากหน้าพิพิธภัณฑ์จะถึงที่ย่านนั้นเลย แล้วอย่าไปเรียกแท็กซี่ล่ะ เดี๋ยวมันพาอ้อมแล้วจะเสียเวลาเปล่า]
พี่เจนส่งสายรถบัสกลับมาให้ ผมเห็นแล้วก็รู้สึกขอบคุณอย่างมาก
[โห ดีมากเลยครับพี่ ช่วยผมได้มากเลย]
[ขอบคุณมากๆๆๆๆ เลยนะครับ]
[ขอจุ๊บแทนได้ปะ]
[อย่างอื่นได้มั้ย]
[จุ๊บผมให้ได้แค่คนเดียวจริงๆ]
แล้วพี่เจนก็ส่ง GIF รูปตัวการ์ตูนตัวนึงดึงอีกตัวเข้าไปหอมฟอด
เห็นแล้วก็อดขำไม่ได้
.
.
เมื่อการเดินทางมาถึงจริง กิจกรรมทุกอย่างมันรัดตัวจนผมแทบไม่มีเวลาเป็นของตัวเอง
อาจเพราะผมได้รับรางวัลชนะเลิศจึงต้องไปร่วมกิจกรรมหลายอย่างของกองประกวดร่วมกับผู้ชนะจากประเทศอื่นๆ นอกจากนี้แล้วยังต้องพรีเซนต์ภาพถ่ายตัวเองให้คนอื่นฟังซ้ำแล้วซ้ำอีกจนน้ำลายแห้ง
งานไม่ได้ชิลแม้แต่น้อย อย่างวันที่ไปเยี่ยมชมพิพิธภันฑ์ กว่าจะได้ออกมาจากสถานที่ก็ตอนเย็นเข้าไปแล้ว ผมหาข้ออ้างอยู่นานที่จะไม่ไปร่วมดินเนอร์หรูกับคนอื่นๆ รีบพาตัวเองขึ้นรสบัสจากหน้าพิพิธภันฑ์ไปยังตึกที่ครามพักโดยเร็วที่สุด
ผมไม่มีเวลาชื่นชมกับความสวยงามของบ้านเมือง ไม่ใช่ว่าไม่อยาก แต่ไม่มีอารมณ์จะดื่มด่ำกับอะไรทั้งนั้น เพราะตอนนี้เป้าหมายของผมมีแค่อย่างเดียวเท่านั้นเอง
ทั้งหมดนี้ก็เพื่อเพียงอย่างเดียว เพื่อแค่พบเขาอีกครั้ง
ผมไม่รู้ว่าครามจะทำหน้ายังไงเมื่อเห็นผม อาจจะไม่พอใจ ไม่อยากเจอหน้า ร้ายที่สุดก็คงเกลียดขี้หน้ากัน ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่แคร์ เพราะผมมีความตั้งใจแน่วแน่ของตัวเองที่จะบอกเขา
ยังไงก็ต้องบอกเขาให้ได้แม้ว่าเขาจะไม่อยากรับฟัง
อยากขอโทษ แม้ว่าจะสายเกินไป
อยากขอโอกาส แม้ว่าเขาจะไม่มีให้
ต่อให้ผมจะขออะไรไม่ได้อีกแล้ว หากแต่ผมยังมีสิ่งที่อยากจะให้ แม้ว่าเขาจะไม่ต้องการ แม้ว่าเขาจะไม่รับไว้ หรือจะโยนมันทิ้งอย่างไม่ไยดีก็ช่าง
ยังไงผมก็ต้องการให้มันกับคราม เพียงแค่คนเดียว
สองขาทั้งเดินทั้งวิ่งหาตึกอยู่หลายสิบนาที
ท้องฟ้าก็มืดเร็วกว่าที่คิด ต่อให้เตรียมตัวมาดีเท่าไหร่ แต่เมื่อมาอยู่ต่างบ้านต่างเมือง และด้วยข้อจำกัดทางภาษา จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะหาที่อยู่ในสถานที่ที่ไม่เคยแม้แต่จะมาเหยียบ
ผมวิ่งวนจนเหนื่อยหอบ กระทั่งเจอตึกๆ หนึ่งที่น่าจะใช่อพาร์ทเม้นต์ที่ครามพัก
ป้ายชื่อของตึกมันเลือนรางจนเกือบมองไม่เห็น
ผมกดกริ่งหน้าประตู และรอให้คนมาเปิด
กดอยู่นานสองนาน จึงมีชายผมทองร่างท้วมทำหน้ามุ่ยเดินมาเปิดประตูออก
“Is Krarm here?” ผมพ่นทั้งอังกฤษ ทั้งฝรั่งเศสงูๆ ปลาๆ ใส่ ไม่รู้ว่าสำเนียงของผมมันฟังยากหรือเปล่า อีกฝ่ายถึงทำหน้าไม่เข้าใจ ผมจึงหยิบเอารูปของครามออกมาแล้วชี้ๆ ให้เขาดู
ชายตรงหน้าโบกมือแล้วทำท่าไล่ผม ก่อนจะปิดประตูใส่หน้า
ผมทั้งเคาะทั้งกดกริ่งเรียกต่อ ทว่าสิ่งที่ได้รับกลับมีเพียงเสียงด่า แถมได้ยินแว่วๆ ว่า โบลิซโปลิซด้วย
พอได้ยินผมก็ถอยจากหน้าประตู สองคิ้วขมวดมุ่น ในหัวว่างเปล่าไปหมด ทว่าในอกกลับอึดอัดจนอยากจะตะโกนออกมาดังๆ
ความไม่พอใจ ความสับสนแทบจะล้นปรี่ ทั้งใบหน้าของผมร้อนผ่าว สองมือที่ถือแผนที่และที่อยู่สั่นอย่างห้ามไม่อยู่
ผมจะไม่ยอมกลับทั้งอย่างนี้หรอก ผมอาจจะมาผิดที่ก็ได้ จึงก้าวเท้าเตรียมเดินหาจุดหมายอีกครั้ง
ตอนนั้นเองที่ผมได้ยินเสียงดังจากด้านหลัง
“แดน!”
ร่างผมแข็งค้าง เท้าก้าวไม่ออก ใบหน้าค่อยๆ หันไปตามเสียงด้วยหัวใจเต้นระรัว
เสียงนั้น...ผมไม่มีทางลืม
แค่ได้ยินเสียง สองตาก็ร้อนรุ่มและชื้นไปด้วยหยาดน้ำใส
เบื้องหน้าม่านน้ำตาที่ปกคลุม ในที่สุดผมก็เห็นกายสูงใหญ่ที่เฝ้ามองหา
และผมหวังว่าภาพดวงหน้าหล่อเหลาประดับรอยยิ้มตรงหน้า จะไม่ได้ถูกบิดเบือนไปจากความจริง เพราะน้ำตาที่ไหลออกมา
.
.
CONT.