ตอนที่ 3
http://media.imeem.com/m/7SWzRFh9Kx------------------------------------------------------------------------------------------------
เวลาผ่านไปไม่นาน หลังจากที่บริกรเดินกลับมากระซิบกระซาบข้างๆหูของจิรัฏฐ์ ชายหนุ่มก็ลุกขึ้นหายไปหลังเวที
ปล่อยให้เพื่อนๆทั้งสามนั่งรอกันที่โต๊ะ พลางลุ้นว่าเพื่อนของเขาคิดจะทำอะไร
เสียงเพลงบนเวทีเงียบหายไป พร้อมๆกับที่นักร้องคนเดิมส่งเสียงบอกลูกค้าในร้าน
'ผมขอฝากไมค์ไว้กับนักร้องหน้าใหม่นะครับ ยังไงก็ขอเสียงปรบมือให้กับ คุณ จิรัฏฐ์ ชยางกูร ด้วยครับ'
เสียงปรบมือดังขึ้นพร้อมๆกับที่จิรัฏฐ์ก้าวออกมายืนหน้าเวที ก้มลงโค้งคำนับให้กับเหล่าลูกค้าในร้าน
ชายหนุ่มเอ่ยปากขอบคุณทุกๆคน
'ขอบคุณมากครับ ผมไม่ได้ร้องเพลงนานแล้ว ไม่แน่ใจว่าจะยังพอฟังได้หรือเปล่า ยังไงก็ช่วยเป็นกำลังใจให้ด้วยนะครับ'
ท่อนนำเพลงของดนตรีเริ่มขึ้นมา พร้อมๆกับเสียงเครื่องดนตรีและกีตาร์เบาๆสบายๆ
เพลงนี้หลายๆคนรู้จักดี ถึงแม้ว่ามันอาจจะไม่เข้ากับบรรยากาศร้านมากมายนัก
แต่คงเข้ากับอารมณ์ของหนุ่มน้อยบนเวทีได้ดีนัก
ชายหนุ่มยืนโยกศรีษะไปมาพลางหลับตาพริ้มเพื่อซึมซับกับดนตรีและบรรยากาศ
' ชายในฝัน เงาในน้ำ เหมือนเมฆลอยอยู่ในอากาศ
ดุจความรัก ที่ไม่เอื้อมอาจ แหวกสายธารไปใกล้ชิดเงา '
เสียงนุ่มๆพริ้วไหวที่เอื้อนเอ่ยไปตามทำนอง พลางโยกตัวเล็กน้อยเพื่อสร้างความรู้สึกให้คล้อยตาม
บรรยากาศภายในร้านเงียบกริบ ราวกับทุกคนกำลังตั้งใจฟังเพลงที่ชายหนุ่มขับร้องออกมา
เสียงที่กำลังดีไม่ขึ้นสูงหรือกดต่ำจนเกินไป การทอดจังหวะที่สม่ำเสมอพอดีกับเพลง
ช่วยให้อารมณ์ถูกถ่ายทอดออกมาราวกับใช้หัวใจในการขับร้อง
' เมฆบนฟ้าคอยตั้งเค้า เปลี่ยนรูปเงาไม่ยอมหยุดนิ่ง
ใจของคนไหวกว่าทุกสิ่ง เปรียบปอยเมฆผกผันเพียงชั่วยาม '
ทันทีที่ท่อนแรกจบลง มีหลายๆคนลุกขึ้นยืนปรบมือให้
ชายหนุ่มระบายยิ้มบางๆออกมา ก้มตัวลงเล็กน้อย พลางโบกมือให้กับกลุ่มเพื่อนของเค้าที่นั่งอยู่ไม่ไกล
' ค่ำบางคืนไม่กล้าเมา แต่คืนนี้เราไม่เมาไม่ได้
เพราะความรักที่พลัดพรากไป ยากเกินใจจะตัดได้ลง '
เสียงทุ้มนุ่มดูมีพลังอีกเสียงดังขึ้นมา ในจังหวะที่เปลี่ยนท่อนเพลง
ชายนุ่มมาดเข้มในชุดทำงานเดินออกมายืนเคียงข้างๆจิรัฏฐ์บนเวที
หนุ่มน้อยร่างบางมีสีหน้างุนงง แต่เขาก็ไม่ติดใจอะไร ยืนโยกตัวเบาเพื่อรอให้เพลงท่อนที่ชายแปลกหน้ากำลังขับร้องจบลง
ระหว่างที่ยืนรอ จิรัฏฐ์ชำเลืองสายตาเพื่อพิจารณาคนข้างๆเขา ดูดีมาก คือคำนิยามสั้นๆที่เขาพอจะนึกได้ในขณะนั้น
ใบหน้าเข้ารูป จมูกโด่งเป็นสัน ไรหนวดเขียวจางๆ รูปร่างที่บึกบึน และกลิ่นหอมอ่อนๆที่ลอยมาจากตัว
ทำให้ชายแปลกหน้าดูมีเสน่ห์และน่าหลงไหลยิ่งนัก
' คงเป็นเพราะสวรรค์ไม่ส่ง นรกไม่สร้าง รักจึงจางร้างใจ
เหลือแต่ตัวบาดรักท่วมกาย หล่นจมลงในสายธารที่สิ้นหวัง '
หลังจากท่อนเพลงที่ชายแปลกหน้าร้องจบลง
จิรัฏฐ์ได้ยินเสียงโห่ร้องของเพื่อนๆชายคนข้างๆ ดังมาจากโต๊ะที่ไม่ไกลเขานัก
ทำให้เขานึกได้ว่า ชายคนนี้นั่งอยู่ในร้านตั้งแต่ตอนที่เขาก้าวเท้าเข้ามาแล้ว
และเป็นโต๊ะเดียวกันกับที่เขาหันไปมองหลายครั้งเพราะเสียงเฮฮา
' กิ่งไผ่ไหวเอน พัดไปตามกระแสลม
ในราตรีที่ขื่นขม โต้สายลมเพียงลำพัง
น้ำค้างพร่างพรู คล้ายหยั่งรู้ความอ้างว้าง
ของราตรีที่เปราะบาง หยาดน้ำค้างต่างน้ำตา '
' ดอกไผ่บานพยานแห่งรัก บานเพื่อลาจาก เจ้าจงปล่อยวาง
ความเข้มแข็งจะคอยเข้าข้าง ความอ่อนแอจะต้องแพ้พ่าย
ดอกไผ่งามเบิกบานในใจ ยังเฝ้าเก็บไว้เพื่อใครคนนั้น
นานเท่าใดคงไม่สำคัญ จะคอยเติมฝันถึงวันที่ดอกไผ่บาน '
เสียงร้องของคนทั้งสองที่สอดประสานกันอย่างลงตัว ราวกับเป็นคู่ของกันและกัน
เสียงของชายหนุ่มร่างสูง เข้ม ทุ้ม กังวานเข้ากันกับเสียงนุ่มๆหวานๆของจิรัฏฐ์
ซึ่งทั้งสองกำลังช่วยกันขับขานอารมณ์แห่งท่วงทำนองออกมาได้อย่างสมบูรณ์ เติมเต็มซึ่งกันและกัน
น้ำเสียงทั้งคู่คลอเคลียไปด้วยเสียงดนตรีที่บรรเลงอย่างรับรู้ถึงอารมณ์ ที่ชายหนุ่มร่างบางตั้งใจจะถ่ายทอด
และความรู้สึกที่ชายหนุ่มตัวสูงคนข้างๆพยายามจะสื่อออกมาให้ชายหนุ่มร่างเล็กกว่าได้รับรู้เช่นเดียวกัน
รังสิมันต์ ก้มลงกระซิบที่ข้างหูของจิรัฏฐ์เบา
'ขอผมร้องเพลงด้วยคนนะครับ'
จิรัฏฐ์ยิ้มให้แทนคำตอบ ... พลางหลับตาลง และขับร้องบทเพลงในท่อนต่อไป ราวกับโลกนี้มีเพียงเขาคนเดียว
โดยที่ไม่ทันสังเกตว่าชายหนุ่มแปลกหน้าข้างๆตัวเค้านั้น ลอบมองเขาขณะร้องเพลงด้วยสายตาที่ชื่นชอบและชื่นชม
กับแววตาที่เป็นประกายและมีความสุข เมื่อรังสิมันต์ได้มองมายังหนุ่มร่างบาง ...
' กิ่งไผ่ไหวเอน พัดไปตามกระแสลม
ในราตรีที่ขื่นขม โต้สายลมเพียงลำพัง
น้ำค้างพร่างพรู คล้ายหยั่งรู้ความอ้างว้าง
ของราตรีที่เปราะบาง หยาดน้ำค้างต่างน้ำตา
ดอกไผ่บานพยานแห่งรัก บานเพื่อลาจาก เจ้าจงปล่อยวาง
ความเข้มแข็งจะคอยเข้าข้าง ความอ่อนแอจะต้องแพ้พ่าย
ดอกไผ่งามเบิกบานในใจ ยังเฝ้าเก็บไว้เพื่อใครคนนั้น
นานเท่าใดคงไม่สำคัญ จะคอยเติมฝันถึงวันที่ดอกไผ่บาน
นานเท่าใดคงไม่สำคัญ จะคอยเติมฝันถึงวันที่ดอกไผ่บาน '
เสียงเพลงจบลง พร้อมกับเสียงปรบมือที่ดังต่อเนื่องและยาวนาน
ชายหนุ่มสองคนบนเวที โค้งตัวลงเพื่อขอบคุณลูกค้าท่านอื่นๆในร้าน แล้วเดินลงจากเวที
เสียงของนักร้องขาประจำแซวทั้งสองคน
'ขอเสียงปรบมือให้กับนักร้องคู่ของเราอีกครั้งนะครับ'
'แหม สองคนนี้ร้องเพลงได้อารมณ์ดีจริงๆนะครับ ราวกับเป็นคู่ของกันและกัน'
หลายๆโต๊ะโห่ร้อง แต่หลายๆโต๊ะก็ขำขันไปกับมุขที่นักร้องประจำร้านแซวออกมา
ทำให้หนุ่มร่างบางเริ่มอายคนข้างกายเขาเล็กน้อย แต่เพราะฤทธิ์อัลกอฮอล์ที่ทำให้หน้าเนียนใสนั้นแดงระเรื่ออยู่แล้ว
จึงไม่ได้ทำให้รังสิมันต์ผิดสังเกตคนข้างๆมากนัก
เขาเห็นแค่ว่า จิรัฏฐ์หลบสายตาเค้าหลายครั้งเพียงแค่นั้น
นักดนตรีเริ่มบรรเลงเพลงตามปกติ เพื่อขับกล่อมเหล่านักดื่มต่อไป
ตามจังหวะและท่วงทำนองที่ถูกกำหนดไว้แล้ว
ที่ด้านหลังของเวที ในขณะที่จิรัฏฐ์และรังสิมันต์กำลังเดินกลับเข้ามาภายในร้าน
'ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ คุณ จิรัฏฐ์ ชยางกูร ผม รังสิมันต์ ครับ'
ชายหนุ่มตัวสูงร่างหนา กล่าวแนะนำตัวเองกับจิรัฏฐ์
'เช่นกันครับ ว่าแต่จำชื่อกับนามสกุลผมแม่นจังเลยนะครับ'
หนุ่มร่างบางตอบบทสนทนากลับไปอย่างคึกคะนอง อาจจะเพราะฤทธิ์อัลกอฮอล์ทำให้เค้ากล้ามากกว่าปกติ
'คนน่ารักๆแบบคุณผมก็ต้องจำแม่นเป็นพิเศษซิครับ เดี๋ยวขอผมไปนั่งดื่มด้วยคนได้ไหมครับ'
รอยยิ้มกว้างแบบสดใสที่ได้รับกลับมา คือคำตอบของหนุ่มน้อยตรงหน้า
รังสิมันต์รู้สึกดีใจลึกๆที่คนตรงหน้าเขาไม่ตอบปฏิเสธ
แต่เขาเองก็ไม่มั่นใจมากนัก ว่าระหว่างเขากับหนุ่มหน้าใสคนนี้เรื่องราวจะคืบหน้าไปมากน้อยแค่ไหน
แค่รักข้ามคืน หรือแค่ความหลงใหลชั่ววูบ ? เขาตอบคำถามกับตัวเองไม่ได้
เขารู้แค่เพียงว่า เมื่อเขาได้พูดคุยก้วย ได้มอง แล้วทำให้เขารู้สึกมีความสุข เขาก็จะทำ อย่างน้อยก็เพื่อตัวเขาเอง
หากไม่เริ่มต้นเดิน แล้วจะมีวันถึงเส้นชัยได้อย่างไร ?
--------------------------------------------------------------------------------------------------