ในที่สุดก็ตัดสินใจกัดฟันเอาตอนนี้มาลงครับ ยอมโดนด่านิดหน่อยที่ออกไปสาย แต่ก็ไม่เป็นไรครับ ไม่ซีเรียสมาก
ส่วนเรื่อง "รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต" ขอติดไว้ก่อนนะครับ
ป.ล.
พอเอามาลงใหม่ ก็รู้สึกว่าคงไม่ใช่การเขียนแบบชิลๆ แล้วล่ะ ใช้เวลาพอสมควรเหมือนกันเพราะต้องแก้หลายอย่าง
แต่ก็จะเต็มที่กับมันครับ เรื่องนี้เป็นเรื่องแรกที่เขียนและเป็นเรื่องที่รักมากอีกเรื่องหนึ่ง
----------------------------------------------------
ตอนที่ 7: เพื่อนแท้หรือแค่เหงา
ผ่านไปอีกหนึ่งสัปดาห์ สนกลับมาจากแข่งกีฬาที่จังหวัดแล้ว ได้รางวัลที่หนึ่งมาด้วย ทำให้โรงเรียนภูมิใจน่าดู สนก็ภูมิใจเช่นกัน แต่เขาคงรู้สึกดีกว่านี้มากถ้าต้นได้มาแสดงความยินดีกับเขาด้วย ตั้งแต่ที่เขาคุยกับเอกวันนั้น สนก็ยังไม่ได้ทำอะไรเลยเพราะมัวแต่ยุ่งเรื่องการแข่งขันกีฬาอยู่ เขากับต้นก็ยิ่งห่างเหินกันมากขึ้น ห่างเหินจนรู้สึกว่าอีกไม่นานมิตรภาพที่ร่วมกันสร้างมาคงจะต้องจบลงไป
กลับมาโรงเรียนวันแรก การเรียนของสนก็ยังไม่เข้าที่เข้าทางนักเพราะโรงเรียนจัดกิจกรรมแสดงความยินดีกับทีมฟุตบอลของโรงเรียนในตอนเช้า สนเริ่มมีเวลาเป็นของตัวเองจริงๆ ก็ตอนพักกินข้าวเที่ยง ดาก็กินข้าวกับเขาอีกเช่นเคย จะว่าไปแล้ว สนก็สงสัยตัวเองเหมือนกันว่าทำไมเขาถึงอยากมีแฟน หรือจริงๆ ก็เป็นแค่แรงยุของเพื่อนๆ อันที่จริงนั้นสนก็ยังไม่รู้หรอกว่าเขาอยากมีแฟนหรือเปล่า แต่เมื่อตกกระไดพลอยโจนแล้วเขาก็เลยปล่อยเลยตามเลย
ขณะที่สนพาดาไปเลือกซื้ออาหารอยู่นั้น เขาก็เจอกับต้นโดยบังเอิญพอดีเพราะต้นก็กำลังซื้ออาหารกลางวันอยู่กับเอก
“ต้น” สนร้องเรียกเพื่อนด้วยน้ำเสียงดีใจ เขาไม่ได้คุยกับต้นนานเป็นเดือนแล้ว ไม่เคยได้เห็นต้นในระยะใกล้ๆ แบบนี้เลยตั้งแต่วันนั้น
ต้นหันมามองตามเสียง พอเห็นว่าเป็นสนแล้วสีหน้าของต้นก็เปลี่ยนไป แววตาของต้นดูหมางเมิน ตัดพ้อ เศร้า เจ็บปวดและยังมีอีกหลายๆ ความรู้สึกที่ไม่สามารถบรรยายเป็นคำพูดได้ ยิ่งเห็นว่าสนมากับแฟนแล้วต้นก็ยิ่งรู้สึกเช่นนั้นมากขึ้น
"เฮ้ยไอ้ต้น มึงไม่ต้องกลัวนะเว้ย ใครไม่อยากเป็นเพื่อนกับมึง...ช่างมัน มึงเป็นเพื่อนกับกูดีกว่า แล้วมึงจะลืมเพื่อนคนอื่นๆ ที่มึงเคยมีมาทั้งหมดเลยแหละ" เอกพูดขึ้นเมื่อเห็นสถานการณ์ รู้สึกขัดใจสนอยู่เหมือนกันที่ไม่ยอมจัดการอะไรให้มันจบๆ เสียที มัวแต่กลัวแล้วก็ปล่อยไว้อยู่แบบนี้ เขาคงต้องทำให้สนรู้สำนึกเสียบ้าง
ดูเหมือนจะได้ผลเพราะสนหันมามองเอกแล้วก็ขมวดคิ้ว
"มึงพูดอะไรวะไอ้เอก"
"เรื่องของกู" เอกบอกพลางยักคิ้วล้อเลียน "ต้นเพื่อนรัก ไปดูร้านนั้นบ้างดีกว่า"
ถ้าไม่ติดว่าถือจานอาหารอยู่ เอกก็คงจะกอดคอต้นเย้ยสนไปแล้วล่ะ แต่จริงๆ เอกไม่ต้องทำถึงขนาดนั้นหรอก แค่สนเห็นเอกกับต้นเดินหนีไปด้วยกันก็ทำให้สนรู้สึกอิจฉาได้แล้ว
สนจึงได้แต่มองตามสายตาละห้อยเพราะไม่กล้าตามไป แม้กระทั่งเวลากินข้าว สนก็คอยเหลือบมองหาต้นอยู่บ่อยๆ จนสนเริ่มจะทนไม่ไหว เขารู้สึกคิดถึงต้นเหลือเกิน อยากคุยกับต้น อยากเห็นต้นยิ้ม อยากได้มิตรภาพที่สวยงามกลับคืนมาเหมือนเดิม สนเพิ่งรับรู้ว่าต้นมีความหมายกับชีวิตของเขามากเพียงใดเพราะต้นไม่ได้เป็นเพียงแค่เพื่อนธรรมดาๆ คนหนึ่งเท่านั้น ต้นมีความหมายมากกว่านั้น สนไม่รู้หรอกว่ามันคืออะไร รู้แต่ว่า...เขาขาดต้นไม่ได้จริงๆ
"พี่สนเป็นอะไรหรือเปล่าคะ" ดาถามขึ้นขณะที่เห็นสนเหลือบหันไปมองต้นบ่อยๆ
"อ๋อ...เปล่า" สนปฏิเสธ แต่อาการของเขาก็ฟ้องพิรุธหลายอย่างอยู่ดี
"ไม่จริงหรอก ดาเห็นพี่สนมองไปทางพี่ต้นบ่อยๆ มีอะไรกับพี่ต้นหรือเปล่าคะ"
สนขมวดคิ้ว ไม่คิดว่าดาจะสังเกตเห็นอาการนี้ของเขาด้วย แสดงว่าเขาคงแสดงออกชัดเจนมากจนคนรอบข้างรู้สึกได้
"อย่าบอกนะว่า...ที่ดาเคยได้ยินพวกเพื่อนๆ ของพี่สนเขาล้อกันจะเป็นเรื่องจริง"
"ดา...อย่าพูดเรื่องนี้อีกนะ พี่ไม่ชอบ" สนบอกเสียงดุอย่างไม่ชอบใจ สีหน้าของสนเครียดขึ้นจนเห็นได้ชัด
พอถูกแฟนต่อว่าแบบนี้ดาก็คงจะไม่พอใจบ้าง แต่พอเห็นสายตาที่ฉายแววไม่พอใจของสนแล้วดาก็เลยต้องเงียบ เธอไม่เคยเห็นสนทำสีหน้าดุแบบนี้มาก่อนเลย แต่มันก็น่าสงสัยจริงๆ นี่นา เห็นมองไปที่ต้นเป็นสิบๆ รอบแล้ว จะบอกว่าไม่มีอะไรได้ยังไงกัน
"ค่ะ" ดาตอบสั้นๆ แต่ก็ยังคอยแอบสังเกตต้นกับสนอยู่เนืองๆ
-------------------------------------------------------
หลังจากกินข้าวเที่ยงเสร็จ ฝนก็เริ่มโปรยเม็ดลงมา เด็กนักเรียนวิ่งกลับห้องของตัวเองกันจ้าละหวั่น สนกับเพื่อนๆ ต่างก็วิ่งกรูกันกลับขึ้นมาบนห้อง พอสนนั่งประจำที่แล้วเขาก็เหลือบไปเห็นกระดาษอะไรบางอย่างใต้โต๊ะเรียน พอหยิบออกมาดูก็เห็นข้อความเขียนไว้ว่า
“ดีใจด้วยนะเพื่อนรักที่นายแข่งฟุตบอลชนะ ขอให้นายประสบความสำเร็จแบบนี้ต่อไป ถ้าเราทำให้นายลำบากใจก็ขอโทษนะ ขอบคุณมากๆ ที่เราได้เป็นเพื่อนกัน เราจะไม่ลืมนายเลย”
แม้คนเขียนจะไม่ได้ลงชื่อไว้ สนก็รู้ว่าใครเขียนข้อความนี้ เขาจำลายมือของต้นได้เป็นอย่างดี สนรู้สึกจุกในลำคอขึ้นมาทันที ประโยคท้ายสุดนั้นต้นหมายความว่าอย่างไร ต้นกับเขาจะไม่ได้เป็นเพื่อนกันอีกต่อไปแล้วหรือ ไม่สิ...มันต้องไม่เป็นอย่างนั้น เขาทนไม่ได้หรอกที่จะให้มันเป็นอย่างนั้น
"ต้น..." สนเรียกชื่อเพื่อนเบาๆ กับตัวเอง
สนเก็บกระดาษข้อความนั้นใส่กระเป๋าเสื้อนักเรียนแล้วก็รีบวิ่งออกไปจากห้องท่ามกลางความสงสัยของเพื่อนคนอื่นๆ ที่คุยกันอยู่ สนวิ่งเข้าไปในห้องเรียนของต้น กวาดสายตาหาจนทั่วก็ไม่เห็นต้น จึงละล่ำละลักถามเพื่อนต้นในห้องว่า “ต้นไปไหน มีใครเห็นต้นบ้าง”
“ไปคุยกับอาจารย์ที่ปรึกษายังไม่กลับเลย” เสียงเพื่อนร่วมห้องของต้นคนหนึ่งตอบมา
สนไม่รอช้า รีบวิ่งฝ่าสายฝนไปตามหาต้นทันที แม้ว่าจะต้องเปียกปอนแค่ไหน สนขอแค่ได้เจอต้นตอนนี้เท่านั้น
สนเดินแกมวิ่งพลางสอดส่ายสายตาไปทั่วอาคารที่เขาคาดว่าต้นน่าจะมาที่นี่ เขาวิ่งไปทั่วชั้นหนึ่ง ชั้นสอง ชั้นสามแล้วก็วิ่งลงมาข้างล่างอีกครั้ง มองไปอีกด้านหนึ่งของโถงทางเดิน สนก็เห็นใครบางคนเดินไปอีกทางหนึ่ง แม้จะเห็นแค่หลังสนก็รู้ว่านั่นคือต้น สนไม่รอช้ารีบวิ่งตามไปทันที
พอถึงตัวแล้วสนก็คว้าต้นมากอดไว้ในลักษณะรวบแขนทันที ต้นตกใจพอสมควร แต่สักพักต้นก็นิ่งเพราะพอจะเดาได้ว่าใครที่กำลังกอดเขาไว้ ต้นยิ้มเล็กน้อยด้วยความดีใจที่รู้ว่าสนยังคิดถึงเขาอยู่
“ต้น...ขอบคุณนะ เราได้อ่านแล้ว” สนพูดพลางกอดต้นไว้แน่นราวกับกลัวว่าต้นจะหนีเขาไปไหนอีก
"สน...คนเขามองกันใหญ่แล้ว" ต้นเตือนเสียงเบา
"เราไม่สนใจใครทั้งนั้นแล้วต้น ต่อให้คนทั้งโรงเรียนมันล้อ เราก็จะไม่สนใจ นายสำคัญที่สุดนะต้น รู้ไหมต้น...นายสำคัญที่สุด"
ต้นยิ้มแหยๆ ด้วยความเขินอายเพราะคนที่เดินผ่านไปผ่านมามองกันใหญ่ "เรารู้...แต่ว่า..."
"เราขอโทษนะต้น ขอโทษกับสิ่งแย่ๆ ที่เพื่อนคนนี้ทำลงไป เราจะไม่ทำอย่างนี้อีก เราสัญญา ยกโทษให้เรานะต้น ถ้านายไม่ยกโทษให้เรา เราก็จะกอดนายไว้แบบนี้แหละ"
"เราไม่โกรธนายแล้ว เรายกโทษให้" ต้นรีบบอกทันที ถึงจะรู้สึกดีแค่ไหนที่สนกอดเขาแต่มันก็ไม่ควรเป็นสถานที่แบบนี้ เผลอๆ ถ้าเกิดครูคนไหนเดินมาเห็นเข้าจะเป็นเรื่องได้
สนจึงยอมปล่อยต้น แต่เขาก็จับไหล่ต้นให้หันมามองหน้ากัน ต่างคนต่างค่อยๆ ยิ้มให้กัน กว้างขึ้นและกว้างขึ้น ทั้งดีใจ ตื้นตันใจและก็เสียใจกับสิ่งที่เคยผิดพลาดไป
"เรากลับมาเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมนะต้น เราขอโทษสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง"
ต้นพยักหน้าแล้วก็ยิ้ม เขารักเพื่อนเขาขนาดนี้ ทำไมแค่นี้จะให้อภัยไม่ได้ล่ะ
"ต้น...เราดีใจที่สุดในชีวิตเลย" สนว่าพลางกระโดดกอดเพื่อนแน่น แต่แล้วเขาก็อดขำไม่ได้เมื่อเห็นต้นพลอยเปียกมะล่อกมะแล่กไปด้วย
“นายเปียกหมดเลยต้น เราขอโทษ ทำไงดีล่ะ”
ต้นก้มดูเสื้อผ้าของตัวเองแล้วก็ขำบ้าง “ไม่เป็นไร ดีเหมือนกัน ดูท่าฝนจะไม่หยุดตกง่ายๆ เราขี้เกียจรอแล้ว ไปกันดีกว่า” ต้นพูดพร้อมกับให้สัญญาณว่าเขาพร้อมแล้ว
"เอางั้นเลยเหรอ เดี๋ยวนายจะไม่สบายนะ เดี๋ยวแม่เราด่าตายเลยถ้ารู้ว่าทำให้นายไม่สบาย" สนเตือนแล้วก็ขำในตอนท้าย
"เราไม่ป่วยง่ายขนาดนั้นหรอกน่า" ต้นยืนยันแล้วก็เป็นคนเริ่มวิ่งออกไปก่อน
สนรีบวิ่งตามมาทันที สองหนุ่มน้อยวิ่งฝ่าสายฝนไปด้วยกันด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ โลกกลับมาสดใสอีกครั้งเมื่อเขาสองคนได้กลับมาเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม
สนพาต้นวิ่งฝ่าสายฝนกลับมาที่อาคารเรียน ต่างคนต่างเปียกโชกไปทั้งตัว สนมาส่งต้นที่ห้องก่อน ก่อนจะแยกย้ายสนก็ทิ้งท้ายไว้ว่า
"เวลาเราซ้อมฟุตบอล เอาน้ำมาให้เราเหมือนเดิมนะ"
"อ้าว...แล้วแฟนนายล่ะ" ต้นท้วง
"เขาไม่ค่อยมานั่งรอเราแล้วเดี๋ยวนี้ เราอยากให้นายไปนั่งให้กำลังใจเรามากกว่า...จริงๆ นะต้น"
ท่าทางอ้อนๆ แบบนั้นทำให้ต้นต้องยอมแพ้มานักต่อนักแล้ว ครั้งนี้ก็คงเช่นกัน ต้นจึงยิ้มและพยักหน้าตกลง
ทั้งบ่ายนั้น ต้นกับสนจึงนั่งเรียนไปหนาวไป แต่มันก็ไม่สำคัญเท่ากับการได้เพื่อนที่แสนรักกลับคืนมาหรอก ทั้งคู่จึงนั่งเรียนไปยิ้มไปอย่างมีความสุข เป็นที่สงสัยของเพื่อนๆ ในห้องยิ่งนัก
------------------------------------------------------------------------------------------------
เลิกเรียน สนก็กลับบ้านพร้อมกับต้นเป็นครั้งแรกในรอบเดือนกว่าที่ผ่านมา เขาดูมีความสุขมากทีเดียวที่ได้มีโอกาสทำแบบนี้อีกครั้ง เขายอมรับว่าเขาคิดถึงเพื่อนมาก ระหว่างที่สนซ้อนมอเตอร์ไซค์กลับจากโรงเรียน สองหนุ่มคุยกันเสียงดังมาตลอดทาง
พอถึงบ้าน พ่อกับแม่ของต้นดูจะแปลกใจมากทีเดียวที่เห็นสนกลับมากับต้นหลังจากที่ห่างหายไปนาน แต่ก็ไม่ได้ถามอะไร สนชวนต้นมานั่งคุยกันตรงสะพานเล็กๆ ที่พาดข้ามคลองส่งน้ำหน้าบ้านของต้น หกปีแล้วที่เขาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ เขารู้สึกผูกพันกับมันมากทีเดียว
ตะวันยามเย็นกำลังตกดิน ดวงอาทิตย์ดูกลมโตกว่าเดิมหลายเท่ากว่าตอนที่มันอยู่กลางท้องฟ้าพร้อมกับแสงที่อ่อนแรงลง รอบๆ บริเวณนี้มีหมู่บ้าน ทุ่งนาและเรือกสวนต่างๆ อยู่ทั่วไป ความสวยงามตามธรรมชาติเช่นนี้เป็นสิ่งที่ไม่ต้องซื้อหามาเลย
“นายเหงาหรือเปล่าต้น” สนเริ่มคำถาม
“ช่างมันเถอะ ผ่านไปแล้ว” ต้นรีบตัดบท
“แต่เรารู้สึกผิดไงต้น เราสนิทกัน เจอกัน คุยกันทุกวัน แต่อยู่ๆ เราก็หายไป เรารู้ว่านายต้องคิดถึงเรามากแน่ๆ เลย แต่เรากลับทำเหมือนไม่สนใจใยดี”
“ไม่เอาสน อย่าโทษตัวเองอย่างนั้นสิ เราบอกว่าเราเข้าใจแล้วไง เราจะเหงาบ้างก็ไม่เป็นไรหรอก คนมีแฟนก็ต้องให้เวลากับแฟนมากหน่อยเป็นธรรมดา”
สนเงียบ มองหน้าเพื่อนด้วยความรู้สึกตื้นตันใจ แม้เขาจะยอมรับว่าผิดแต่ต้นก็เข้าใจเขาเสมอ
"ต้น...นายรู้ไหมว่าทำไมเราถึงได้เป็นเพื่อนกับนายมาได้นานจนถึงหกปี" แล้วสนก็เฉลยทันทีว่า "เพราะนายเข้าใจเราไงต้น เราอยู่กับนายแล้วเราสบายใจ จริงๆ นายจะด่าเราก็ได้ แต่นายก็ไม่ทำอย่างนั้น”
"คนเรา...ถ้าเป็นเพื่อนกันแล้วก็ต้องให้อภัยกันได้สิ"
สนพยักหน้าเข้าใจ "นายไม่น้อยใจใช่ไหมที่เราต้องให้เวลา...กับดา" สนถามด้วยน้ำเสียงและสีหน้าไม่มั่นใจ
"ไม่ต้องห่วงเราหรอก มันก็เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว วันหนึ่งถ้าเรามีแฟนเราก็อาจจะเป็นเหมือนนายก็ได้ ใครจะรู้" ต้นบอกพลางขำ
"จะเอาคืนเหรอ" สนหัวเราะแล้วก็พูดต่อว่า "ขอบใจนะที่นายเข้าใจเรา นายเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของเราจริงๆ" แล้วสนก็ทำหน้าเศร้า "บางทีเราก็ใจหายนะต้น เรายังไม่รู้อนาคตตัวเองเลยว่าจะได้เรียนต่อไหม หรือจะไปอยู่ที่ไหนหลังจากจบ ม.6 แล้ว"
"ทำไมล่ะสน นายจะไม่เรียนต่อเหรอ หรือว่านายจะย้ายไปอยู่ที่อื่น" ต้นถามด้วยสีหน้ากังวล แม้จะทำใจไว้บ้างแล้วแต่ก็อดที่จะใจหายเมื่อได้ยินเช่นนั้นไม่ได้
"ตอนนี้เราก็ยังบอกอะไรไม่ค่อยได้ พ่อกับแม่เราไม่รู้ว่าจะหาเงินให้เราเรียนต่อมหาลัยได้หรือเปล่า ถ้าไม่ได้เรียนหนังสือก็อาจจะต้องออกมาหางานทำช่วยพ่อกับแม่ อาจจะทำที่นี่หรือไม่ก็อาจจะย้ายไปอยู่ที่อื่น เราไม่รู้อนาคตของเราเลย แต่นายไม่ต้องห่วงหรอกนะต้น เราลำบากมาเยอะแล้ว จะลำบากอีกสักแค่ไหนเราก็ไม่กลัวหรอก เรากลัวแค่อย่างเดียวเท่านั้นตอนนี้..." สนหันไปมองต้นด้วยสายตามีความหมายบางอย่าง
"อะไรล่ะ" ต้นถามด้วยความอยากรู้
"ก็...กลัวว่าเราจะต้องไปจากนายแล้วไม่ได้เจอกันอีกไงล่ะ" สนบอกด้วยเสียงเศร้า
"จริงเหรอ...." น้ำเสียงต้นเศร้าด้วยความใจหาย “แต่ถ้านายมีเวลาก็มาหาเราได้นะ เรายังเป็นเพื่อนนายเหมือนเดิม”
สนยิ้มด้วยความรู้สึกอุ่นใจ คิดแล้วก็นึกโมโหตัวเองที่เขามัวแต่ให้เวลากับแฟนมากไปจนลืมเพื่อนของตัวเอง เพื่อนดีๆ แบบนี้จะไปหาที่ไหนได้อีก ดีนะที่ต้นไม่น้อยใจแล้วก็เลิกคบกับเขาไปเลย ถึงตอนนั้นมีแฟนสิบคนก็คงทดแทนเพื่อนคนนี้ของเขาไม่ได้
"ไปกินข้าวกันเถอะ แม่ออกมาเรียกแล้ว" ต้นบอกเพื่อน
เขาลุกขึ้นก่อน สนลุกขึ้นตามแล้วก็กอดคอพาต้นเดินเข้าไปในบ้าน
------------------------------------------------------------------------------------------------
สุดท้ายดากับสนก็คบกันไปไม่ได้นานเพราะสนค่อยเริ่มค่อยๆ ปลีกตัวห่างออกมา จริงๆ เขาไม่ได้อยากมีแฟนเลย แต่พอเพื่อนแซวเขากับดาบ่อยเข้าก็เลยชอบกันไปตามแรงยุของเพื่อน แต่ตอนนี้ สนอยากมีเวลาให้กับต้นมากกว่าใครทั้งหมด เพราะเขาไม่มั่นใจกับอนาคตของตัวเองเลยว่าจะได้เรียนต่อหรือไม่ เขาอาจจะต้องจากต้นไปและไม่ได้เจอกันอีก เพราะฉะนั้น เขาจึงอยากใช้เวลาที่เหลือน้อยลงไปทุกทีๆ อยู่กับเพื่อนที่เขารักให้มากที่สุด
พอต้นรู้ข่าวเข้าก็เริ่มไม่สบายใจเพราะคิดว่าตัวเขาเองเป็นเหตุให้สนกับแฟน ต้องเลิกกัน ตอนเลิกเรียนก่อนที่สนจะลงซ้อมกีฬาในสนาม ต้นก็รีบเข้าไปคุยกับเพื่อนเรื่องนี้ทันที
"สน...เราได้ยินเพื่อนๆ มันพูดกันว่านายเลิกกับดาเหรอ"
สนเงยหน้าขึ้นมองขณะที่กำลังผูกรองเท้าผ้าใบอยู่ข้างสนามหญ้าหน้าโรงเรียน เขาพยักหน้าและตอบสั้นๆ ว่า "อือ"
ต้นงงหน่อยๆ ตรงที่สนไม่ได้แสดงท่าทางเสียใจอะไรเลย "ทำไมล่ะสน เพราะเราหรือเปล่าล่ะ" ต้นถามด้วยความกังวลใจ เขารู้สึกไม่ดีเพราะคิดว่าตัวเองเป็นเหตุทำให้เพื่อนเลิกกับแฟน สนทำท่าครุ่นคิดแต่ก็ไม่ตอบคำถามทันที
"เราขอโทษนะสนถ้าเราเป็นต้นเหตุ แต่เราไม่เคยมีเจตนาที่จะทำให้นายต้องเลิกกับแฟนเลยนะสน" ต้นอธิบาย
สนยิ้มน้อยๆ แล้วบอกเพื่อนไปว่า "นายไม่เกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้หรอกต้น จริงๆ เราก็ไม่ได้อยากมีแฟนหรอกนะ แต่...ไม่รู้ยังไง มันก็เป็นอย่างที่นายเห็นนั่นแหละ ดาเองเขาก็มีคนมาชอบเยอะแยะ เขาก็ไม่ได้ชอบอะไรเราเท่าไรหรอก นายว่าดีไหมล่ะ เราจะได้มีเวลาให้กับนายมากขึ้นไง”
สนมองหน้าเพื่อนแล้วก็พูดด้วยน้ำเสียงที่หม่นลงว่า “เราไม่รู้เลยว่าหลังจากจบ ม. 6 แล้วเรายังจะได้เจอกันอีกไหม ไม่รู้ว่าเราจะไปอยู่ที่ไหน ตอนนี้เราอยากใช้เวลาที่เหลืออยู่ในโรงเรียนนี้ ในหมู่บ้านนี้ อยู่เป็นเพื่อนกับนายให้มากที่สุดนะต้น"
สนพูดเรื่องนี้อีกแล้ว ต้นรู้สึกใจหายทุกครั้งที่ได้ยิน อีกไม่นานสนจะต้องจากเขาไปแล้วอย่างนั้นหรือ
“นายจะไปไหนล่ะสน นายจะไปจริงๆ เหรอ” ต้นถามอย่างใจหาย
สนถอนหายใจแล้วก็ตอบไปว่า “เราก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่เรากลัวมันจะเป็นอย่างนั้น ครอบครัวเราไม่ได้มีเงินเยอะนะต้น เราคงไม่มีโอกาสได้เรียนสูงๆ หรอก แค่นี้ก็ดีถมไปสำหรับเราแล้ว”
น้ำเสียงของสนดูเศร้าจนต้นใจคอไม่ดี
“เดี๋ยวค่อยคุยกันนะ” สนบอกเมื่อเพื่อนคนอื่นๆ เรียกให้ลงไปในสนาม
ต้นนั่งดูเพื่อนเล่นฟุตบอลพลางครุ่นคิดหาหนทางที่จะให้สนได้เรียนต่อ ถ้าสนไม่เรียนต่อ อนาคตของสนจะเป็นอย่างไร ต้นเป็นห่วงเพื่อนจริงๆ เขาอยากเห็นสนมีอนาคตที่ดี แต่เพื่อนตัวเล็กๆ อย่างเขาจะช่วยอะไรได้บ้างไหม มันคงต้องมีหนทางบ้างสิ ขอให้ต้นรู้เท่านั้น ต้นจะไม่รอช้าที่จะช่วยเพื่อนที่เขารักทันที