ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว  (อ่าน 196906 ครั้ง)

ออฟไลน์ Aumy8059yaoi

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว
«ตอบ #270 เมื่อ28-02-2015 08:27:01 »

น่ารักมากๆๆๆ :mew1:
ขอบคุณที่นำนิยายดีๆแบบนี้มาให้อ่านค่ะ :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ mucan99

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 229
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว
«ตอบ #271 เมื่อ02-03-2015 16:51:18 »

สนุกดีน่ารักด้วยยย

ออฟไลน์ ployspy

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 168
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว
«ตอบ #272 เมื่อ16-03-2015 00:36:12 »

สนุกมากกกกกกกกกกกกกกกก
อ๊ายยยยยยยยยย
จะมีบ้างไหมเนี๊ยผู้ชายอย่างพี่ซันในโลกนี้
รออ่านคู่เจต่อค๊าาาา

ออฟไลน์ ทิวลิปสีส้ม

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 867
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +82/-0
Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว
«ตอบ #273 เมื่อ17-03-2015 12:30:04 »

สนุกมากๆ น่ารักกกกกกกสุดๆ ชอบคู่พี่ซันกับน้องฟ้า ❤️
อ่านแล้วยิ้มปวดแก้มเลย  :-[ คลายเครียดดีค่ะ
ขอบคุณนะคะ
ติดตามเรื่องน้องเจกับเอริค (>_<) เป็นคู่ที่น่าสนใจม๊ากมาก
จะมีตอนพิเศษคู่น้องฟ้ากับพี่ซันอีกไหมน้า แอบลุ้น
ขอบคุณอีกครั้งค่ะ

ออฟไลน์ Chrysan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 306
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว
«ตอบ #274 เมื่อ27-03-2015 22:38:29 »

เราอยากรู้ว่าน้องฟ้าจะหุ่นมาดแมนแบบนี้ตลอดไปหรือเปล่า
ลึกๆแล้ว พี่ซันแกอยากได้แบบร่างบางบ้างไหม
 :a11:
ต่อไปก็เมฆที่ต้องอดทนสินะกว่ามีนจะเรียนจบ โฮะๆ
ไม่เป็นไรนะพี่เมฆ ถือว่าที่ผ่านมาเก็บเกี่ยวประสบการณ์มาเยอะแล้ว
แต่เรากลัวจะเป็นเจ้าน้องมีนน่ะสิที่อดใจไม่ไหว 5 55
 :a3:
ซินเดอเรลล่าผ้าเช็ดหน้าตก อยากรู้จริงๆ ว่าตามหาได้อย่างไร?
สามารถมากพ่อมาเฟีย
 :a1:

ออฟไลน์ Xenon

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 705
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +482/-4
สวัสดีค่ะ นักอ่านชาวเล้าทุกท่าน ^^
หลังจากที่ทิ้งตอนพิเศษห้อยคู่ต่อทิ้งท้ายไว้นานหลายเดือน ช่วงนี้ก็แวะมาต่อให้แล้วค่ะ

(ถ้าใครลืมก็ย้อนไปอ่านภาคแรกได้นะคะ ตามลิงค์นี้เลยค่ะ)

สารบัญนิยาย ภาคแรก (พี่ซัน - น้องฟ้า)

บทนำ
บทที่ 1
บทที่ 2
บทที่ 3
บทที่ 4
บทที่ 5

บทที่ 6
บทที่ 7
บทที่ 8
บทที่ 9
 บทที่ 10
 บทที่ 11
 บทที่ 12
 บทที่ 13
 บทที่ 14
 
 ตอนพิเศษ/1
 ตอนพิเศษ/2



สำหรับภาคต่อนี้ คู่หลักจะเป็นนายเอริค กับ น้องเจ แต่พวกน้องฟ้า พี่ซัน น้องมีน พี่เมฆ ก็ยังวนเวียนมาแจมอยู่ตามเดิมค่ะ

และเหมือนเดิมค่ะ  สำหรับใครชอบอะไร ซับซ้อน ซ่อนเงือน มีปม อ่านแล้วต้องตามลุ้น เรื่องนี้ "ไม่มีให้" ค่ะ

แต่ถ้าชอบอ่านนิยาย เรื่อย ๆ ยิ้มได้เป็นพัก ๆ ไร้อุปสรรค ไร้ดราม่า (ก็มีบ้างแต่น้อยนิด)  ก็เชิญอ่านเรื่องนี้ได้เลยค่ะ




ออฟไลน์ Xenon

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 705
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +482/-4
Re: ขอโทษที...คนนี้พี่จองแล้ว
«ตอบ #276 เมื่อ05-04-2015 16:27:08 »


ขอโทษที คนนี้พี่จองแล้ว
ภาค เอริค – เจ
/1


 

   เด็กหนุ่มรูปร่างโปร่งเพรียว ผู้มีสีผิวขาวและตาเรียวเล็กสมกับเชื้อชาติที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ ในตอนนี้เจ้าตัวกำลังเบิกตาชั้นเดียวให้กว้างที่สุดเท่าที่จะทำได้ เมื่อได้เห็นว่ามีใครคนหนึ่ง กำลังยืนอยู่หน้ารั้วบ้านเช่าของตน

   "คะ...คุณเอริค...มาได้ไงวะเนี่ย!"

   เจตต์หันซ้ายหันขวาคล้ายจะหาทางหนีทีไล่ ทว่าคนตัวสูงที่ตีหน้าขรึมซึ่งยืนอยู่หน้ารั้ว กลับหันมาเห็นเข้าให้เสียก่อน

   "อรุณสวัสดิ์...เจ"

   คนถูกทักสะดุ้งเฮือก ก่อนจะหันมาสบตาอีกฝ่าย พลางฉีกยิ้มแหย ๆ ส่งให้

   "ง่า...สวัสดีครับคุณเอริค มีธุระแถวนี้หรือครับ"

   เจตต์แสร้งถามออกไปทั้งที่รู้อยู่เต็มอกดีว่าอีกฝ่ายมาหาเขาเพราะอะไร

   "อืม...ก็ตั้งใจมาพบเธอนี่ล่ะ"

    ชายหนุ่มผมทองบอกตามตรง ทำเอาคนฟังฉีกยิ้มเจื่อน แล้วก็นิ่งเงียบไปเพื่อหาข้ออ้างหลบ แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะรู้ทันเลยเอ่ยดักเอาไว้เสียก่อน

    "ฉันตั้งใจจะมารับเธอไปส่งที่มหาวิทยาลัย"

   "เอ่อ...แต่มหาลัยใกล้แค่นี้เองนะครับ"

   เด็กหนุ่มแย้งกลับไปเสียงอ่อย ๆ ใจจริงอยากจะปฏิเสธออกไปตามตรง แต่ก็ติดที่อีกฝ่ายนั้นเป็นญาติของแฟนเพื่อน แถมยังอายุมากกว่าเขาอีกหลายปีด้วยซ้ำ

   "เธอกินข้าวเช้าหรือยังล่ะ"

   คำถามถัดมาจากเอริคหลังจากที่ถูกแย้งเรื่องที่เขาจะมารับอีกฝ่ายไปส่งที่มหาวิทยาลัยของเจ้าตัว ทำให้คนฟังชะงักแล้วเผลอหลุดปากบอกไปตามตรง

   "เอ๋...ยังครับ"

   "ถ้าอย่างนั้นก็ไปกินข้าวเช้าด้วยกัน แล้วเดี๋ยวฉันไปส่ง"

   เอริคบอกเสียงเรียบและใช้นัยน์ตาสีเขียวคมกริบจับจ้องมาแกมบังคับ ทำให้อีกฝ่ายฉีกยิ้มเจื่อน แล้วพยายามหาข้อแก้ตัวปฏิเสธเต็มที่

   "แต่ว่า...คือ..." 

   "รังเกียจที่จะกินข้าวด้วยกันกับฉันอย่างนั้นหรือ" 

   น้ำเสียงที่ถามตามมาเริ่มเข้มขึ้น จนคนฟังสะดุ้งโหยง แล้วรีบสั่นศีรษะไปมา

   "ปะ...เปล่านะครับ!"

   เอริคหรี่ตามองคนตรงหน้าก่อนจะเอ่ยตัดบทห้วน ๆ

   "งั้นก็มาด้วยกัน"

   "ง่า...ครับ" 

    เจตต์จำต้องรับคำอย่างจำยอม พลางคิดในใจว่า อีกฝ่ายนั้นช่างสมกับเป็นญาติของรวีเสียเหลือเกิน ในเรื่องความเอาแต่ใจนั้นช่างเหมือนกันไม่มีผิด แม้ว่าจะแสดงออกกันคนละแบบก็ตามที...



   ...ถ้าจะย้อนความกันไปว่าเขากับหนุ่มฝรั่งผมทองสุดหล่อมาดเข้มคนนี้มารู้จักกันได้อย่างไร  ก็คงต้องบอกว่า พวกเขานั้นรู้จักกันในแบบบังเอิญสุด ๆ ชนิดที่เขานั้นไม่อยากจะให้เกิดขึ้นเลยสักนิด

   เรื่องราวในครั้งนั้นก็คงต้องเริ่มต้นจากการที่เขาตามครอบครัวไปเที่ยว LA และระหว่างที่รอพี่สาวและมารดาช็อปปิ้งอยู่ เขาที่เซ็ง ๆ ก็เดินไปซื้อไอติมกิน และก็ด้วยความบังเอิญหรือซุ่มซ่ามก็สุดจะรู้ได้ เขาดันสะดุดพื้นแล้วล้มหน้าทิ่มจนไอติมในมือหก และหากว่ามันหกลงไปแหมะบนถนนก็คงไม่มีปัญหา แต่มันดันกระเด็นไปเลอะบนรองเท้าหนังมันปลาบราคาแพง ของคนหน้าขรึมสวมแว่นดำ ท่าทางเหมือนพวกมาเฟีย ที่นั่งพักอยู่แถวนั้นเอาเข้าพอดี

   และตัวเขาก็ไม่คิดเลยว่า เรื่องที่เขาตื่นตระหนกจนเผลอคว้าผ้าเช็ดหน้าผืนโปรดมาเช็ดถูรองเท้าให้อีกฝ่ายจนสะอาดนั่น มันจะกลายเป็นชนวนแห่งความประทับใจของคุณพี่มาดเข้มผู้นั้น ให้บินมาตามหาเขาถึงที่ประเทศไทย  ซ้ำร้ายอีกฝ่ายยังเป็นญาติของแฟนเพื่อนสนิทของเขา ซึ่งแฟนของเพื่อนที่ว่านั่นก็เป็นถึงลูกชายของมาเฟียอเมริกา ถึงบิดาของเจ้าตัวจะประกาศวางมือทิ้งทุกอย่าง แล้วเตรียมตามลูกชายมาอยู่ด้วยกันที่ไทยในอีกไม่ช้านี้ก็เถอะ...

    เจตต์เผลอถอนหายใจเฮือกใหญ่ ทำเอาคนที่เดินนำหน้าได้ยินแล้วเหลือบมามองเด็กหนุ่มที่เดินตามมาด้วยกัน...



    เอริคยังจำวันแรกที่เขาตามลูกพี่ลูกน้องของตนมาที่เมืองไทย และได้เห็นสีหน้าตกตะลึงระคนหวาดหวั่นสุด ๆ ของคนที่เขาตั้งใจติดตามหาจนพบ ซึ่งนั่นก็ทำให้เขาเข้าใจดีเลยว่า ความรักครั้งนี้ คงจะไม่ได้ง่ายดายเหมือนทุก ๆ ครั้งที่ผ่านมา

     แต่ถึงอาจจะต้องเสียเวลาในการตามตื๊อตามจีบกันไปสักหน่อย แต่กระนั้นชายหนุ่มก็ยังพึงพอใจในเรื่องที่ว่า รูปร่างหน้าตาและฐานะการเงินของเขา ไม่ได้มีส่วนที่จะทำให้เจตต์นั้นเกิดความสนใจได้  อีกอย่างเอริคนั้นไม่ต้องการคนที่จะรับรักเขาเพียงเพราะรูปลักษณ์ภายนอกและทรัพย์สินที่เขามี เหมือนกับอดีตคนรักคนอื่น ๆ ที่ผ่านมาอีกแล้วด้วย

   

   "ตกลงจะกินอะไร...กาแฟ แซนวิช หรือ ร้านข้าวต้มข้างทาง"

   คำถามและข้อเสนอที่ทำให้คนซึ่งกำลังจะอ้าปากบอกชะงักค้าง ก่อนจะฉีกยิ้มเจื่อนส่งให้อีกฝ่าย

   "คุณเอริคกินร้านข้างทางได้หรือครับ"

   "แล้วทำไมจะกินไม่ได้ ในเมื่อมันเป็นอาหารเหมือนกัน"

   เจตต์กลืนน้ำลายลงคอ แม้อีกฝ่ายจะสวมเสื้อเชิ้ตแขนสั้นกางเกงผ้าเพื่อให้เข้ากับอากาศในเมืองไทยก็ตาม แต่มองเนื้อผ้าปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเป็นของแบรนด์เนมชั้นนำ ชนิดที่หากจะต้องให้อีกฝ่ายไปนั่งกินในร้านประจำของเขา ก็ดูออกจะสงสารเสื้อผ้าที่อีกฝ่ายใส่อยู่ไม่น้อย

   "ถึงอากาศตอนเช้าที่นี่จะไม่ร้อนมากเหมือนตอนกลางวันตอนบ่าย แต่กินข้าวต้มร้อน ๆ แต่เช้า คุณจะโอเคหรือครับ"

   เจตต์ถามด้วยความเป็นห่วงแต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อเห็นคนหน้าขรึมมีรอยยิ้มน้อย ๆ ส่งให้เขา

   "ขอบใจที่เป็นห่วง แต่ถ้าอะไรฉันกินไม่ได้ แล้วฉันจะบอกเอง"

   คนฟังส่งยิ้มเจื่อน ๆ ให้ และสุดท้ายเขาก็ต้องพาชายหนุ่มไปยังร้านข้าวต้มเช้า ที่มีทั้งข้าวต้ม โจ๊ก รวมไปถึงพวกต้มเลือดหมู เจ้าประจำ ที่พอป้าเจ้าของร้านเห็นมีฝรั่งรูปหล่อเข้าร้าน แกก็รีบกุลีกุจอมาต้อนรับอย่างตื่นเต้น และยังแถมพิเศษอย่างที่ไม่เคยจะมีให้เขามาก่อนด้วยอีกต่างหาก... 

   

   "นายเปิดโอกาสให้คุณเอริคเขามากเกินไป ถ้าไม่อยากให้มาคอยตื๊อคอยจีบ ก็ปฏิเสธไปตรง ๆ เลยสิ"

   เวทิตบอกอย่างเอือมระอา เมื่อเพื่อนสนิทมาบ่นโอดครวญให้เขาและเวหาฟังว่าถูกตามตื๊ออย่างหนักตั้งแต่เช้า แถมหลังกินอาหารเสร็จเอริคก็กึ่งชวนกึ่งบังคับให้เขาขึ้นรถคันหรูของเจ้าตัว มาส่งถึงที่หน้าคณะทั้งที่จริง ๆ เขาเดินมาแค่สิบนาทีกว่าก็ถึงแล้วแท้ ๆ

   "ก็ฉันเกรงใจอะ อีกอย่างเขาก็เป็นญาติพี่ซันด้วย"

   เจตต์รีบแก้ตัว ทว่าเวหาก็ขัดขึ้นมาเสียก่อน

   "พี่ซันเขาบอกฉันว่า เรื่องของความรักเป็นเรื่องส่วนตัว พี่เขาไม่ก้าวก่ายหรอก ถ้านายไม่อยากรับรักเขาก็ปฏิเสธไปอย่างที่ต้นบอกก็ได้"

   คนฟังชะงักแล้วมีสีหน้าคิดหนัก จนเวหาเลิกคิ้วนิด ๆ แล้วย้อนถามกลับไป

   "หรือว่านายชอบคุณเอริคเขาเข้าแล้ว"

   คำถามนั้นทำเอาคิดอะไรเพลิน ๆ สะดุ้งโหยงแล้วรีบสั่นศีรษะไปมายกใหญ่

   "ไม่มีทาง!  และต่อให้ฉันชอบผู้ชายด้วยกันจริง ๆ ฉันก็มีสเป็คของฉัน แล้วที่สำคัญฉันไม่มีวันเป็นฝ่ายรับเด็ดขาด!"

   เวทิตขมวดคิ้วยุ่ง ส่วนเวหาหน้าแดงนิด ๆ เมื่อหวนคิดถึงเรื่องของตนกับคนรักบ้าง

   "ไม่อยากรับก็ขอคุณเอริคเขาดี ๆ สิ  เผื่อบางทีเขาอาจจะชอบรับแทนรุกก็ได้"

   เวทิตบอกหน้าตาเฉย ส่วนเวหาก็ยิ่งหน้าแดงหนักขึ้น เพราะแม้จะมีแฟนแล้วแถมแฟนยังเป็นผู้ชายด้วยกัน แต่เขากับรวีก็ไม่เคยทำอะไรที่มากกว่าจูบและเล้าโลมทางกายเล็ก ๆ น้อย ๆ มาก่อนด้วยซ้ำ

   "ไม่มีทาง! ที่สำคัญหุ่นแบบนั้น หน้าเข้มแบบนั้น ขืนเป็นรับเข้า...บรึ๋ย! แค่คิดก็สยองแล้ว"

   "เอ่อ...ฉันว่าก่อนจะไปถึงขั้นเลือกสถานภาพรุกรับ...ตกลงว่านายพร้อมโอเคเป็นแฟนกับคุณเอริคเขาแล้วแน่หรือเจ"

   เวหาแย้งขึ้นมาค่อย ๆ ก่อนที่เพื่อนทั้งสองจะคุยเจาะลึกกันไปมากกว่านี้

   "ไม่แน่นอน!"

   เจตต์รีบหันมาบอกกับเพื่อนอีกคน จากนั้นเจ้าตัวก็นิ่งเงียบไปก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

   "จริง ๆ ฉันก็ไม่ได้รังเกียจอะไรเขาหรอกนะ...เท่าที่ได้คุยกันในช่วงสองสามวันที่ผ่านมานี่ ก็ทำให้พอจะมองออกว่าเขาก็เป็นคนนิสัยโอเคคบง่าย  ...อาจจะดูทำตัวขรึม ๆ ดุ ๆ หน่อย แต่ก็ไม่ถึงกับขั้นบ้าอำนาจ... แต่ถ้าจะให้คบกันถึงขั้นเป็นคนรัก คงลำบากใจ ...อ้อ! ไม่ใช่ฉันแอนตี้เรื่องความรักระหว่างเพศเดียวกันหรอกนะ แต่..."

   เจตต์ลังเลว่าจะพูดดีไหม เจ้าตัวมองซ้ายมองขวา พอเห็นว่าปลอดคนอื่น นอกจากพวกเขาที่นั่งอยู่แถวนั้น เด็กหนุ่มก็ตัดสินใจพูดในสิ่งที่อยู่ในใจของเขาออกไป

   "ฉันไม่รังเกียจคุณเอริคเขาก็จริง... แต่ฉันกลัวว่ะ! ขืนไปรับรักแล้วลองคบหาพี่แกเป็นแฟน แล้วเกิดฉันไปเหล่มองคนอื่นเข้า มีหวังได้เป็นไข้โป้งตายก่อนวัยอันควรแหงม... พวกนายก็รู้นิสัยฉันดีไม่ใช่หรือว่า ชอบเหล่อะไรสวย ๆ งาม ๆ แถมยังปากพูดไปก่อนใจคิด ...ฉันกลัวคุณเอริคจะเข้าใจผิด แล้วจับฉันถ่วงน้ำโบกปูนเป็นอาหารปลาเข้าให้สักวันน่ะ"

   เวหานั้นถอนหายใจเบา ๆ กับความขี้กลัวของเพื่อนสนิท ส่วนเวทิตก็สั่นศีรษะไปมาอย่างเอือมระอาแทน

   "ถ้าเขาชอบนายจริง เขาก็คงไม่โหดกับนายด้วยเรื่องผิดใจเล็ก ๆ น้อย ๆ นั่นหรอก ...อีกอย่างพี่เมฆกับพี่ซันก็เคยบอกย้ำให้ฟังแล้วไม่ใช่หรือว่า เรื่องปืนนั่นมันเป็นอุบัติเหตุปืนลั่น แล้วอีกอย่างคนรักเก่าของคุณเอริคตอนนี้เขาก็ไม่ได้โดนยิงตายไม่ใช่หรือไง"

   เจตต์หันไปฟังเวทิตพูดบ่น แล้วนึกหวนถึงเรื่องที่รวีบอกกับเขาเมื่อครั้งก่อนหน้านั้น

   'แฟนเก่าของหมอนั่นตอนอุบัติเหตุปืนลั่นนั่นก็เจ็บถาก ๆ ที่แขนนิดหน่อยเองครับ ...อ้อ แต่หลังจากเอริคเลิกสนใจเขาแล้ว แฟนเก่าของเขาก็โดนทางครอบครัวหมอนั่นยำหนักใช่ย่อย ขนาดพ่อของพี่ยังไปร่วมแจมด้วยเลย...พวกนี้นี่นะรักญาติพี่น้องเกินเหตุ จนคนอื่นพากันเข้าใจหมอนั่นผิดหมด'

   คำพูดของรวียิ่งตอกย้ำให้เจตต์มั่นใจว่า ตนนั้นควรถอยห่างจากเอริคจะดีที่สุด เพราะต่อให้เกิดเรื่องเลิกรากันไป แม้ชายหนุ่มจะไม่ได้ลงมือเอง แต่เขาคงไม่แคล้วจะต้องเผชิญหน้ากับครอบครัวที่แสนจะรักศักดิ์ศรีของอีกฝ่ายก็เป็นได้

   "เออ! ไม่ตายเพราะคุณเอริค แค่เกือบปางตายเพราะโดนครอบครัวเขารุมเล่นงานไงล่ะ  โอ๊ย! ต่อให้อะไรก็เหอะ ยังไงฉันก็ทำใจยอมรับรักพี่แกได้ยากอยู่ว่ะ... ถ้ามาแบบตัวเล็ก ๆ น่ารัก ยิ้มง่าย เป็นแม่บ้านแม่เรือนอย่างน้องมีน ไอ้เราจะไม่ว่าสักคำ"

   "เหอะ ๆ แค่เรื่องโดนตื๊อยังไม่พอ ยังจะปากเปราะหาเรื่องให้พี่เมฆเขามาเขม่นอีกหรือไง"

   เวทิตเอ่ยประชดอย่างหมั่นไส้ ซึ่งเจตต์ก็สะดุ้งโหยง ก่อนจะหันไปส่งยิ้มเจื่อน ๆ ให้เวหา

   "ฟ้าอย่าไปฟ้องพี่เมฆนะ ...ฉันยังไม่อยากโดนดักกระทืบหน้าบ้านน่ะ"

   เวหาฟังแล้วก็หัวเราะเบา ๆ ก่อนจะสั่นศีรษะด้วยความระอาเช่นเดียวกับเพื่อนอีกคน

   "นายนี่นะ...ตกลงลำบากใจจริงหรือเปล่าเนี่ย เห็นพูดเล่นอยู่ได้"

   "ฉันก็คิดเหมือนฟ้าว่ะ  ตกลงนายลำบากใจเรื่องที่ถูกตามจีบจริงหรือเปล่าวะเจ ...หรือนายจะเป็นประเภทเล่นตัวเพื่อเพิ่มความน่าสนใจกัน"

   เจตต์ชูนิ้วกลางใส่เพื่อนของเขาก่อนจะสบถตามมา

   "เล่นตัวบ้านเอ็งสิวะ! นี่เพื่อนกลุ้มจริง ๆ นะเนี่ย!"

   "เออ ๆ เชื่อว่ะว่ากลุ้ม"

    เวทิตบอกอย่างไม่ใส่ใจ แต่พอเห็นเพื่อนทำหน้ามุ่ยอย่างนึกงอน เขาก็กลับมาถามอีกฝ่ายอย่างจริงจังมากขึ้น

    "แล้วเย็นนี้เอาไง คุณเอริคเขาคงมาดักรอรับนายเหมือนวันที่ผ่านมาแน่ ...ถ้าอยากปฏิเสธก็ต้องรีบตัดไฟตั้งแต่ต้นลมแล้วนะ ขืนยอมกลับพร้อมเขาอีก ก็ยิ่งเท่ากับสร้างความหวังให้เขามากขึ้นนั่นล่ะ"

   เจตต์จ้องมองหน้าเพื่อนทั้งสอง ก่อนจะเม้มปากน้อย ๆ แล้วจึงพยักหน้ารับรู้ตามมา

   "เอาวะ! เป็นไงเป็นกัน คราวนี้ล่ะจะปฏิเสธซึ่ง ๆ หน้าให้ได้เลย!"

   

   หลังเวลาเลิกเรียน เจตต์ที่มักจะคอยหาเรื่องหลบหน้าเอริคในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา แต่วันนี้เจ้าตัวกลับเป็นฝ่ายเดินไปเผชิญหน้าชายหนุ่มด้วยตัวเอง ทำให้คนที่ยืนกอดอกพิงรถรออยู่จ้องมองอย่างนึกแปลกใจ

   "แปลกนะ ที่วันนี้เธอยอมมาพบฉันโดยไม่หนีได้น่ะ"

   เอริคถามพร้อมกับจ้องหน้า ซึ่งก็ทำให้เด็กหนุ่มชะงัก ใจเต้นตุ๊ม ๆ ต่อม ๆ อย่างนึกหวาดหวั่นขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะตัดสินใจสูดลมหายใจลึก ๆ แล้วบอกกับอีกฝ่ายไปตามตรง

   "คุณเอริคครับ! ผมคงเป็นคนรักให้คุณไม่ได้หรอกครับ! ขอโทษด้วยนะครับ!"

   เจตต์บอกออกไปแล้วก็สะดุ้งโหยงเผลอถอยหลังหนีไปสองสามก้าวอย่างลืมตัว เมื่อเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายที่ขรึมลงจนน่ากลัว

   "เหตุผลล่ะ...ถ้ายอมรับไม่ได้ก็คงจะมีเหตุผลให้รับฟังกันบ้างสินะ"

   "เอ่อ...ก็..."

   เจตต์อ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ไม่กล้าบอกสิ่งที่คิดออกไปตามตรง ทำให้คนฟังสรุปตัดบทเอาเองดื้อ ๆ

   "ถ้าไม่มีเหตุผลดี ๆ ล่ะก็ ...ฉันก็คงตัดใจไม่ได้หรอก"

   "หา! แบบนั้นผมก็ลำบากสิครับ!"

   "ลำบาก? ตรงไหนล่ะ"

   "ก็คุณเล่นมาตื๊อเช้าเย็นแบบนี้...ผมก็ถูกคนอื่นมองว่าผมเป็นคู่ขาของคุณเข้าให้ แล้วสาว ๆ ที่ผมเล็งไว้แต่ละคนก็ถอยหนีห่างหมด...ง่า..."

   "เธอชอบผู้หญิงมากกว่าผู้ชายอย่างนั้นสินะ"

   "ก็ประมาณนั้นล่ะครับ  อ๊ะ...แต่ก็ไม่ได้รังเกียจคนที่รักชอบเพศเดียวกันนะครับ"

   เจตต์รีบบอกตามมา ทำให้คนหน้าบึ้งชะงักแล้วเริ่มคลายสีหน้าเคร่งขรึมลง พลางถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยตามมาด้วยสีหน้าที่อ่อนโยนขึ้น

   "เธอนี่เป็นเด็กที่แย่จริง ๆ จะปฏิเสธคนทั้งที ก็อย่ามาทำใจดีให้ความหวังกับคนที่ตัวเองจะปฏิเสธสิ"

   "ง่า...ผม..."

   เจตต์อ้าปากพะงาบ ๆ พูดต่อไม่ออก พอเห็นสีหน้าแบบนั้นของชายหนุ่มก็ทำเอาเขาใจร้ายปฏิเสธเสียงแข็งไม่ลงเสียอย่างนั้น

   "เอาเถอะ...ถ้าเธอยังไม่มีใคร ฉันก็ขอตามตื๊อต่อแล้วกัน อีกอย่างเธอก็ไม่เคยคบกับผู้ชายด้วยกันมาก่อนใช่ไหม ไม่แน่ว่า จริง ๆ แล้ว เธออาจจะชอบทางด้านนี้มากกว่าก็ได้ ...จริงไหม"

   คนฟังกลืนน้ำลายลงคอ ที่แผนการปฏิเสธของเขาพังไม่เป็นท่า แถมถ้ามองไม่ผิด ดูเหมือนคนตรงหน้านั้นจะยิ่งสนใจเขามากยิ่งขึ้นกว่าเดิมอีกด้วยซ้ำ

    “ง่า...ครับ”

   เจตต์รับคำอย่างช่วยไม่ได้ เพราะไม่แค่คำพูดนั้น หากแต่นัยน์ตาคมกริบกึ่งบังคับที่จ้องมา ก็ทำให้เขาไม่กล้าที่จะต่อต้านหรือปฏิเสธอะไรออกไป จำได้แต่เดินตามอีกฝ่ายไปขึ้นรถด้วยความกลัว จนเวหาและเวทิตที่แอบมองอยู่ห่าง ๆ ต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่ไล่เลี่ยกัน

   “สภาพอย่างนี้คงไม่รอดแน่ว่ะเพื่อนเรา สงสัยจะได้แฟนเป็นผู้ชายเข้าให้อีกคนเสียแล้ว”

   เวทิตพึมพำ ทำเอาคนที่อยู่ข้าง ๆ สะดุ้ง จนคนพูดรู้สึกตัว

   “ง่า...ฉันไม่ได้หมายความในทางที่ไม่ดีนะฟ้า”

   “อือ...รู้น่า ไม่ได้โกรธอะไรหรอก ...และจริง ๆ เท่าที่ฟังจากพี่ซันเล่า และได้เห็นมา คุณเอริคเขาก็เป็นคนจริงใจและเสมอต้นเสมอปลายดีออก ...ถ้าเจคิดจะคบเขาจริง ฉันว่าเขาก็คงดูแลและไม่ทำให้เจต้องเสียใจแน่”

   เวทิตเหลือบมองคนข้างกาย แล้วลอบถอนหายใจแผ่วเบา เพราะยังไงเอริคก็เป็นญาติกับรวี และเขาก็ค่อนข้างมั่นใจว่า คนตระกูลนี้ นิสัยรักแรงนี่คงจะเป็นเหมือนกัน  ถ้าหากเจตต์ตกลงปลงใจคบกับเอริค มีหวังเพื่อนของเขาคงได้ทั้งแฟนทั้งสโตกเกอร์ คอยตามประกบติดไม่ห่างเช่นเดียวกับเวหาเจออยู่เป็นแน่




... TBC …

 
 ช่วงนี้ร้างราไปนาน หากพบเจอคำผิดหลุด ๆ ออกมาก็ต้องขออภัยด้วยนะคะ สายตาชักแย่ค่ะ อ่านตรวจทานรอบสองรอบ บางทียังหลุดมาได้ บางทีเขียนผิดแบบไม่น่าอภัยก็มี เจอก็แจ้งกันได้ค่ะ ^^

ป.ล. สำหรับเรื่องนี้มาตอนละสั้น ๆ นะคะ ไม่ได้ยาว แต่ก็ไม่ค้างคานักค่ะ พยายามให้จบฉากในแต่ละตอน ๆ ไป

ออฟไลน์ rule

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 430
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-2
ในที่สุด็สมหวัง รอภาคเจมานาน

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
ดีใจจังในที่สุดก็ได้อ่านภาคต่อแล้ว
น้องเจเด็กน้อยจังเลย. ค่อยๆเรียนรู้ไปนะอย่าเพิ่งปิดกั้นตัวเอง
คุณเอริคสู้ๆ.  :mew1: 
คนแต่งสู้ๆค่ะ

ออฟไลน์ ทิวลิปสีส้ม

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 867
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +82/-0
มาต้อนรับน้องเจค่า   :pig2:  :mc4:
เจจ๋าอย่าคิดมากได้ทั้งแฟนทั้งสโตกเกอร์อ่ะเก๋กู้ดจะตาย
เวทิตอ่ะไม่รู้อะไรซะแล้ว 2 in 1 เลยนะ!! คุ้มมมมมมม
ว่าแต่คู่น้องฟ้ากับพี่ซัน...
เขาลูบคลำกันยังไงบ้างหว่า ไม่เข้าใจ เอิ๊ก  :hao7:
เป็นกำลังใจให้คนแต่งค่า

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ HanATarO

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +132/-2
ไม่รอแน่งานนี้ น้องเจ  ออกจะเป็นที่หมายปองของ เอริค ซะขนาดนี้

ออฟไลน์ Xenon

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 705
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +482/-4
 :L2:

บทที่
/2



   นับจากวันที่เอริคมาเมืองไทยเพื่อคอยตามตื๊อเด็กหนุ่มที่เจ้าตัวหมายปอง เวลาก็ล่วงเลยผ่านไปเกือบอาทิตย์ ทว่าสถานการณ์ระหว่างทั้งสองคนก็ยังคงไม่คืบหน้าไปจากวันแรก ๆ สักเท่าใดนัก...

   
   ช่วงพักกลางวันของวันหนึ่ง เวหากำลังจ้องมองเพื่อนสนิทที่ยืนโวยวายกับโทรศัพท์อย่างประหลาดใจ และเมื่อเจตต์นั้นเดินกลับมารวมกลุ่มกับเขาและเวทิตอีกครั้ง เด็กหนุ่มจึงเอ่ยถามเพื่อนออกไปตามตรง

   “มีอะไรเหรอเจ ทะเลาะกับพี่สาวหรือไง”

   การที่เวหาถามออกไปเช่นนั้น เพราะก่อนหน้าที่เจตต์จะเดินเลี่ยงไปโทรศัพท์คุยเป็นการส่วนตัว  อีกฝ่ายได้บอกเขาว่า สายที่โทรเข้านั้นมาจากพี่สาวนั่นเอง

   “ก็เจ๊จอยอะดิ! เล่นโทรมาบอกว่าวันหยุดยาวงวดนี้ฉันไม่ต้องกลับมาบ้านหรอก ให้ไปสิงอยู่ตามบ้านเพื่อนใครก็ได้แทน ถึงกลับมาบ้านก็ไม่มีใครอยู่  เพราะทั้งเจ๊ ป๊าแล้วก็ม๊า เค้าจะไปทัวร์ยุโรปกันยันปีใหม่โน่นเลย แถมยังกำหนดวันเดินทางยังเป็นช่วงก่อนมหาลัยจะปิดอีกต่างหาก!”

   “โห! เที่ยวยุโรปเป็นเดือน ไปรวยกันมาจากไหนวะพ่อแม่นาย ขายที่ได้เหรอ”

   เวทิตเอ่ยแซวเพื่อนสนิท ซึ่งคำพูดนั้นก็ทำให้เจตต์แสร้งค้อนใส่

   “บ้าสิ! ที่ดินทำกินน่ะป๊าฉันไม่ขายหรอก เพราะเขากลัวจะไม่เหลืออะไรให้ฉันผลาญตอนแก่!”

   เจตต์ประชด ก่อนที่จะเล่าเรื่องราวที่ได้ยินจากการสนทนาให้เพื่อนทั้งคู่ฟังต่อ

   “จริง ๆ ก็คือ เจ๊จอยแกเลิกกับแฟนที่คบอยู่น่ะ แล้วเกิดอาการเบื่อเมืองไทยขึ้นมากะทันหัน ป๊ากับม๊าก็กลัวเจ๊แกจะเป็นโรคซึมเศร้า ก็เลยชวนกันไปเที่ยวต่างประเทศ เจ๊เขาก็ตอบตกลง แล้วเอาข้าวของทุกอย่างที่แฟนเก่าซื้อให้ไปขายทิ้งให้หมด พวกนายก็รู้ไม่ใช่หรือว่าแฟนเก่าเจ๊แกน่ะเป็นไฮโซ ให้ของขวัญแต่ละชิ้นเหยียบหมื่นเหยียบแสนตลอด เจ๊แกก็เลยสบายไป ได้ตัดใจลืม แถมได้เงินเที่ยวอีกด้วย”

   “จะตัดใจได้ง่าย ๆ จริงหรือ เห็นพี่จอยเคยบอกว่ารายนี้รักจริงหวังแต่งไม่ใช่หรือไง”

   เวทิตขัดขึ้นอย่างพอจะรู้จักพี่สาวของอีกฝ่ายดี เนื่องจากเมื่อตอนเข้าปีหนึ่งใหม่ ๆ เขานั้นเคยไปนอนค้างที่บ้านของเจตต์อยู่บ่อย ๆ จนเมื่อเจตต์ย้ายมาอยู่บ้านเช่าใกล้มหาวิทยาลัยในตอนปีสองเพราะเรียนหนักขึ้น เขาก็เริ่มเหินห่างกับครอบครัวของเพื่อนสนิทไปบ้าง

    “ช่วยไม่ได้...ก็มันดันไปนอกใจเจ๊เขาเองนี่หว่า พี่สาวฉันน่ะนิสัยเสียอย่างอื่นทนได้หมด ขออย่างเดียวอย่าเจ้าชู้ แต่ไอ้คุณแฟนเจ๊มันก็ดันละเมิดคำเตือนเจ๊เข้าให้จนได้ แถมยังโดนจับได้แบบคาหนังคาเขาตอนกำลังกอดจูบลูบคลำแบบต่อหน้าต่อตาด้วยแล้ว มันก็จบเกมล่ะนะ... อีกอย่างที่เจ๊เขาจะรีบเดินทาง ก็เพราะหมอนั่นเล่นมาตามตื๊อไม่ยอมเลิก เห็นบอกว่ารักจริงหวังแต่งแค่เจ๊คนเดียว ส่วนผู้หญิงคนอื่นก็แค่เล่น ๆ เหอะ! เจ๊ก็เลยไม่อยากอยู่เมืองไทยให้รำคาญใจมากไปกว่านี้ไงล่ะ ...ฉันก็เลยซวยโดนปล่อยเกาะให้อยู่คนเดียวเป็นเดือนเลย แย่ชะมัด!”

   เจตต์บ่นอุบยาว เพราะถึงแม้จะเบื่อเวลาไปท่องเที่ยวกับครอบครัวอยู่บ่อย ๆ แต่เอาเข้าจริง ๆ เขาก็ไม่ค่อยชอบเวลาที่จะต้องอยู่คนเดียวแบบนี้นัก

   “งั้นมาค้างที่บ้านฉันไหมล่ะเจ คนเยอะครึกครื้นดี จะได้ไม่เหงาไง”

   เวหาเอ่ยชวนเพื่อน ซึ่งเจตต์ก็ชะงักเล็กน้อย เจ้าตัวหวนคิดถึงฝีมือทำอาหารแสนอร่อยของมีนาและมารดาของเวหา แล้วก็รีบตอบตกลงทันที

    “โอเค! กำลังคิดอยู่เลยว่าจะฝากปากฝากท้องที่ไหนดี! ขอบใจมากเลยนะฟ้า!”

   “จริง ๆ ถึงไม่ต้องไปค้างกับฟ้า อยู่ที่นี่ก็มีคนคอยมาเทียวรับส่งเลี้ยงข้าวนายอยู่เหมือนกันไม่ใช่หรือไง”

   เวทิตเอ่ยแซว ซึ่งนั่นก็ทำให้คนฟังสะดุ้ง แล้วหันขวับมาแยกเขี้ยวใส่เพื่อนของตนทันที

   “ก็นั่นล่ะที่เป็นอีกเหตุผลที่ฉันไม่อยากค้างที่นี่  เกิดคุณเอริคเขาหน้ามืดปล้ำฉันเข้า ฉันจะร้องให้ใครช่วยได้กันล่ะ!”

   เวทิตถอนหายใจยาวกับคำพูดกลุ้มใจที่ดูเหมือนทีเล่นทีจริงของเพื่อนสนิท ส่วนเวหาก็อมยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะตบบ่าอีกฝ่าย

   “เอาน่า ๆ คุณเอริคเขาคงไม่ทำแบบนั้นหรอก เพราะถ้าเขาจะทำ เขาก็คงหาโอกาสทำไปตั้งนานแล้ว นายเองก็เคยให้เขาเข้าบ้านอยู่หลายครั้งไม่ใช่หรือไง”

   “ง่า...นั่นให้เข้ามากินน้ำนั่งพัก ขอบคุณที่เขาอุตส่าห์มาส่งต่างหาก”

   เจตต์รีบแก้ตัว ซึ่งก็เรียกเสียงถอนหายใจอย่างเบื่อหน่ายจากเวทิตได้อีกครั้ง

   “นายนี่นะ ปากก็บอกว่ากลัวเขาอย่างโน้นอย่างนี้ ไม่อยากเป็นแฟนด้วย แต่เอาเข้าจริง ๆ ก็ไม่กล้าตัดขาด แถมยังทำตัวให้ความหวังเขาตลอด...เชื่อเหอะว่ะเจ นายน่ะไม่แคล้วเสร็จคุณเอริคเข้าให้สักวันแน่ล่ะ!”

   เจตต์สะดุ้งโหยงพลางโพล่งกลับเสียงลั่น

   “เฮ้ย! ไหงแช่งเพื่อนแบบนั้นวะ!”

   “ไม่ได้แช่ง แค่พูดความจริงต่างหาก”

   เวทิตแย้งกลับ ทำเอาเวหาต้องเข้ามาห้ามเพื่อนทั้งสองก่อนที่จะโต้เถียงกันใหญ่โตไปยิ่งกว่านี้

   “เอาน่า ทั้งสองคนเลิกเถียงกันเถอะ...ว่าแต่นายล่ะต้น จะไปค้างที่บ้านฉันด้วยอีกคนไหม”

   “อืม...อาจจะได้แค่อาทิตย์เดียวนะ เพราะขืนอยู่นานกว่านั้น คงโดนแม่บ่นแย่”

   เวทิตบอกไปตามตรง ซึ่งเวหาก็ไม่ถือสา เพราะเขาเข้าใจมารดาของเพื่อนสนิทดีว่า คงอยากใช้เวลาส่วนตัวกับลูกชายกันตามประสาครอบครัวในช่วงวันหยุดบ้างนั่นเอง

   “ก็เอาตามสะดวกแล้วกัน...จะนอนที่บ้านฉันหรือยืมบ้านพักของพี่ซันนอนก็ได้นะ”

   ทั้งเวทิตและเจตต์พอได้ยินก็พากันพยักหน้าหงึกหงัก เพราะต่างก็เคยได้เห็นรูปบ้านพักหลังใหม่สไตล์รีสอร์ทของรวีกันมาแล้ว แต่พวกเขาก็ยังไม่เคยได้เห็นสถานที่จริง ๆ กับตาตัวเองเลยสักที

   “โอเค! งั้นฉันจะบอกพี่ซันกับที่บ้านไว้ล่วงหน้า ว่าพวกนายจะมาค้างด้วยตอนช่วงวันหยุด...คงสนุกครึกครื้นกันน่าดูเลยนะ”

   เวหาบอกพร้อมรอยยิ้มกว้าง ซึ่งเพื่อนของเขาก็ยิ้มตอบ แล้วต่างช่วยกันคิดวางแผนการใช้เวลาในวันหยุดกันอย่างสนุกสนาน จนกระทั่งถึงเวลาเข้าเรียนวิชาถัดไป



   ตกเย็นภายในวันเดียวกัน ร่างสูงซึ่งกำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ธุรกิจอยู่ เมื่อได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือที่วางบนโต๊ะดังขึ้น เขาก็สะดุ้งเล็กน้อย จากนั้นจึงเอื้อมมือหยิบขึ้นมาดูเบอร์คนโทรเข้ามาแล้วกดรับ

   “โทรมาทำไมหรือซัน”

   “หือ...ญาติจะโทรหากันนี่ต้องมีธุระด้วยหรือไง”

   ปลายสายเอ่ยแซว ก่อนจะหัวเราะเบา ๆ เมื่อลูกพี่ลูกน้องถอนหายใจให้ได้ยิน

   “ถอนหายใจเป็นตาแก่ไปได้...จีบเด็กไม่ติดเลยท้อหรือไง”

   เอริคชะงักต่อคำกระเซ้าถัดมา ก่อนจะแย้งกลับไปเสียงเข้ม

   “ฉันไม่เคยท้ออะไรง่าย ๆ นายก็น่าจะรู้ดี!”

   “ฮ่า ๆ ขอโทษที อย่าโมโหสิ จะโทรมาบอกข่าวดีให้รู้นะเนี่ย”

   รวีแย้งกลับมาอย่างอารมณ์ดี ทำให้คนที่กำลังคุยด้วยต้องขมวดคิ้วน้อย ๆ

   “ข่าวดีอะไร?”

   “ก็น้องเจสุดที่รักของนาย เขาจะมาค้างที่บ้านน้องฟ้าของฉันในช่วงวันหยุดที่จะถึง เพราะครอบครัวของเขาไม่มีใครอยู่บ้านเลย ไอ้ฉันพอรู้ข่าว ก็เลยจะมาชวนนายมาพักที่บ้านเรือนไทยของฉัน จะได้มีโอกาสจีบน้องเจของนายง่ายขึ้นยังไงล่ะ…ฉันใจดีใช่ไหม” 

   รวีอธิบายพร้อมถามกลับ ซึ่งเอริคก็มีสีหน้ายินดีแล้วเอ่ยตอบกลับไปสั้น ๆ

   “ขอบใจนายมากเลยนะซัน”

   “อือ! ไม่เป็นอะไร ถ้าช่วยให้นายกับน้องเจคบกันได้เร็วเมื่อไหร่ ฉันก็จะได้สบายใจมากขึ้นเท่านั้น จะได้ตัดคู่แข่งที่อาจจะมาสนน้องฟ้าของฉันออกไปด้วย!”

   รวีตอบกลับด้วยน้ำเสียงร่าเริง ทว่าคำพูดที่ออกมาจากใจนั้นก็ทำให้คนฟังต้องสั่นศีรษะเบา ๆ อย่างระอา

   “นายนี่ก็ยังขี้หึงไม่เปลี่ยนเลยนะ”

   “ก็คงไม่มากไม่น้อยกว่านายนักหรอก เห็นว่าขนาดอีกฝ่ายยังไม่ยอมรับรัก ก็ยังคอยกันท่าชาวบ้านไม่ให้เข้าใกล้อยู่เรื่อย ๆ ไม่ใช่หรือไง...อ๊ะ แค่นี้นะเอริค ไว้คุยกันวันหลังแล้วกัน!”

   รวีเอ่ยบอกก่อนจะรีบขอตัวตัดสายไป ซึ่งเอริคก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะเขาเองก็ได้ยินเสียงของเวหาดังเข้ามาแว่ว ๆ ให้ได้ยินเช่นกัน

   “เมื่อไหร่นะ ฉันจะได้มีโอกาสหึงหวงเธออย่างเต็มที่แบบนี้บ้าง...เจ”

   เอริคพึมพำถึงเด็กหนุ่มหน้าตี๋ ที่นับวันก็เริ่มเข้ามาอยู่ในใจของเขามากขึ้น แม้ว่าเจ้าตัวจะยังคงแสดงออกว่าไม่พร้อมจะรับรักเขาเลยก็ตาม

   

   ในที่สุด เช้าวันหยุดวันแรกก็เวียนมาถึง เจตต์กับเวธิตได้มารวมตัวกันที่บ้านของเวหา โดยพ่อแม่ของเวหาต่างก็ยินดีต้อนรับเพื่อนทั้งสองของลูกชายอย่างเต็มที่ ส่วนรวีนั้นชักชวนให้ทั้งคู่ค้างที่บ้านพักหลังใหม่ของตน ที่สร้างเอาไว้สำหรับบิดามารดาที่คิดจะมาตั้งรกรากถิ่นฐานที่นี่ หลังกลับมาจากการท่องเที่ยวรอบโลกตามที่ทั้งคู่ตั้งเป้าหมายเอาไว้

   “ว้าว! บ้านสวยชะมัด เอ่อ...จะดีหรือครับพี่ซัน ที่ให้พวกผมค้างที่นี่น่ะ”

   เจตต์หันมาถามรวีอย่างเกรงใจ ซึ่งชายหนุ่มก็ยิ้มให้พร้อมตอบกลับมาอย่างจริงใจ

   “ไม่เป็นไรหรอกครับ เพราะถ้าพวกน้องเจกับน้องต้นค้างห้องเดียวกับน้องฟ้า พี่คงไม่สบายใจสักเท่าไหร่ สู้จับแยกให้ค้างคนละที่จะดีกว่า”

   เจตต์กับเวทิตยิ้มแห้งให้กับคนพูด ส่วนเวหานั้นหน้าแดงวาบ และมีนาที่ตามมาด้วยกันถึงกับถอนหายใจอย่างเอือมระอา

   “พี่ซันจะหึงหวงอะไรนักหนา ก็รู้ ๆ อยู่ว่าเขาเป็นเพื่อนกันแท้ ๆ  เอาไว้พี่ซันมองพี่เมฆแล้วเกิดคิดอะไรเลยเถิดได้เมื่อไหร่ ค่อยมาหึงหวงพวกเพื่อนพี่ฟ้าเขาเถอะ... อ๊ะ! หรือว่าพี่ซันจะเคยคิดอะไรแบบนั้นกับพี่เมฆด้วย...”

    มีนาที่ขัดขึ้นมาชะงัก แล้วหันไปมองคนรักของตนกับคนรักของพี่ชายด้วยสายตาหวาดระแวงนิด ๆ จนชายหนุ่มทั้งคู่สะดุ้งโหยงไปตาม ๆ กัน

   “น้องมีนอย่ามองพี่อย่างนั้นสิครับ! ต่อให้โลกนี้ผู้ชายเหลือซันมันคนเดียว พี่ก็ไม่มีวันคิดกับมันแบบนั้นแน่!”

   เมฆารีบแย้งกลับไป ส่วนรวียังรู้สึกขนลุกเมื่อดันเผลอคิดตามในสิ่งที่เด็กหนุ่มบอก

   “นั่นสิครับ...อีกอย่างพี่ก็มั่นคงกับน้องฟ้าเท่านั้น ต่อให้เมฆมันมาลงทุนยั่วยวนยังไงพี่ก็ไม่สนใจมันหรอกครับ”

   รวีตอบกลับไปบ้าง แต่นั่นทำให้เพื่อนสนิทต้องหันไปมองตาปริบ ๆ แล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่

   “เพราะความขี้หวงมั่วซั่วของนายนั่นล่ะซัน เลยทำให้น้องมีนกังวลอะไรแปลก ๆ เข้าให้”

   เมฆาบ่นอุบ ทำให้รวีไม่กล้าเถียง เจ้าตัวบ่นอุบอิบลำพังจนเวหาที่มองอยู่นึกขำแกมระอา

   “เอาเถอะครับ อย่าเถียงกันเลย...ต้น เจ เอาของเข้าไปเก็บในบ้านก่อนดีกว่านะ”

   พอเวหาพูดเช่นนั้น ทุกคนจึงหันมามองเด็กหนุ่มก่อนจะพยักหน้าหงึกหงักเห็นด้วย ทว่าพอรวีเปิดประตูบ้านพักเข้าไป เจตต์ที่เดินตามชายหนุ่มเข้าไปเป็นคนแรก ก็ต้องชะงักเผลอทำกระเป๋าใส่เสื้อผ้าตกเฉียดเท้าตัวเองหวุดหวิด เมื่อได้เห็นคนคุ้นเคยบางคนกำลังนั่งอ่านหนังสือรออยู่ในห้องรับแขก

   “คุณ...เอ...ริค”

   “สวัสดีเจ มาช้ากว่าที่คิดนะ รู้อย่างนี้ฉันไปรับมาพร้อมกันด้วยก็คงดี”

   เอริคทักทายพร้อมรอยยิ้มน้อย ๆ ทำเอาเจตต์ต้องหันขวับไปมองรวีด้วยสายตาตั้งคำถาม

   “พอดีพี่เห็นว่าน้องเจจะมาค้าง ก็เลยชวนหมอนี่มาค้างด้วยไง...แหม! ยิ่งคนเยอะยิ่งครึกครื้นดีออก จริงไหมล่ะครับ”

   เจตต์แค่นยิ้มให้อีกฝ่าย ก่อนจะหันมามองคนตรงหน้าอย่างหวาดหวั่นจนคนถูกจ้องต้องถอนหายใจค่อย ๆ

   “ไม่ต้องกังวลไปหรอกน่า เธอก็นอนพักที่บ้านนี้กับเพื่อนของเธอ ส่วนฉันก็นอนที่เรือนไทยของซัน ...รับรองว่า ถ้าเธอไม่ยินยอมเอง ฉันก็ไม่มาปล้ำเธอถึงห้องหรอก”

   เอริคบอกตรง ๆ เสียจนคนฟังพากันกลืนน้ำลายลงคอไปตาม ๆ กัน เจตต์นั้นหัวเราะแห้ง ๆ ให้ แล้วยกกระเป๋าเสื้อผ้าของตนไปยังห้องนอนในบ้าน แต่ก็ยังคงหันมาโค้งศีรษะนิด ๆ ให้กับเอริคเมื่อเดินผ่านเจ้าตัวอยู่ดี

   “ดูแล้วก็พอมีหวังนี่นา...ให้ฉันช่วยวางแผนให้เอาไหม เอริค”

   รวีที่มองดูอยู่เข้ามาถามลูกพี่ลูกน้องของตนเบา ๆ ซึ่งอีกฝ่ายก็มีสีหน้าเรียบเฉยขณะตอบกลับ

   “ไม่ต้อง ฉันจะพยายามเอาชนะหัวใจของเขาเอง”

   “โอ้! งั้นก็แล้วแต่นาย...แต่ถ้าต้องการความช่วยเหลือเมื่อไหร่ก็บอกแล้วกัน”

   รวีตอบกลับพลางยักไหล่ ก่อนจะหันมายิ้มน้อย ๆ ให้กับเวทิตที่เดินผ่านพวกเขาไป เด็กหนุ่มยิ้มเจื่อนตอบ เพราะดันได้ยินที่ทั้งคู่สนทนากันอย่างชัดเจนทีเดียว

   

   เวทิตนั้นเลือกพักคนละห้องกับเจตต์ เนื่องจากเมฆากระซิบแนะนำก่อนจะเข้ามาว่า อย่าคิดเสี่ยงกับความหึงหวงของคนตระกูลนี้จะดีที่สุด ซึ่งเวทิตเองแม้จะไม่เคยคิดอะไรกับเพื่อนของตนมาก่อน แต่เพื่อความปลอดภัยและตัดรำคาญของตัวเองและเพื่อน เขาจึงยินยอมทำตามที่ชายหนุ่มแนะนำเป็นอย่างดี

   “ต้น เก็บของเสร็จหรือยัง ออกไปกันเหอะ!”

   เสียงเจตต์ดังมาจากนอกห้องทำให้เวทิตที่กำลังคิดอะไรเพลิน ๆ ชะงัก ก่อนจะลุกเดินไปเปิดประตู

   “เสร็จแล้ว พอดีนั่งคิดอะไรเพลิน ๆ ไปหน่อย”

   “ฉันก็อยากจะคิดอะไรเพลิน ๆ แบบนายเหมือนกัน แต่ฉันสังหรณ์ว่า ขืนหมกตัวในห้องนานกว่านี้ จะมีคนมาตามถึงหน้าห้องแน่เลยว่ะ”

   เจตต์บอกกับเพื่อนของตนด้วยสีหน้ากังวล ทำให้คนมองลอบถอนหายใจ   

   “เอาน่า  คุณเอริคเขาบอกแล้วไงว่าจะไม่มาปล้ำนาย ถ้านายไม่ยอมเอง”

   เวทิตพยายามปลอบเพื่อน ซึ่งคำปลอบของเด็กหนุ่มก็ทำให้คนฟังคิ้วขมวดยุ่ง แต่สักพักก็ต้องคลายบึ้งตึงลง เพราะเพื่อนสนิทนั้นออกตัวเดินไปก่อน

   “เฮ้ย! รอด้วยสิต้น!”

   เจตต์วิ่งตามเพื่อนออกไป ก่อนจะชะงักเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าเอริคนั้นยังคงนั่งรอเขาอยู่ที่ห้องรับแขก

   “มาแล้วหรือ...ว่าจะไปตามอยู่พอดี”

   เจตต์ลอบถอนหายใจอย่างโล่งอกที่เขานั้นสังหรณ์ถูก ส่วนทางด้านเอริคนั้นลุกขึ้นเดินมาใกล้คนที่ยังคงยืนเก้ ๆ กัง ๆ ไม่กล้าไปไหน

   “เห็นซันบอกว่า ทางคุณแม่ของฟ้าทำขนมไทยไว้เลี้ยงพวกเรา พวกนั้นเขาไปช่วยกันเตรียมของ ฉันก็เลยรออยู่บอกพวกเธอให้ตามไปสมทบด้วยน่ะ”

   พอเอริคบอกอย่างนั้น เวทิตก็เลยรีบเร่งฝีเท้าเพื่อไปช่วยเพื่อนอีกแรงด้วยความเกรงใจ ส่วนเจตต์นั้นก็อยากจะรีบไปแต่ก็ติดร่างสูงที่ยืนขวางเอาไว้เสียก่อน

   “เอ่อ..คุณเอริค”

   “เดินไปพร้อมกันแค่นี้ คงไม่เป็นอะไรใช่ไหม”

   คำถามที่ตามมาทำให้คนฟังชะงัก ก่อนจะยิ้มเจื่อนแล้วพยักหน้าให้อย่างจำยอม เพราะคนขอไม่ได้แสดงท่าทีข่มขู่เขา แต่ขออย่างสุภาพจนเด็กหนุ่มปฏิเสธไม่ลง

   ‘โอย แย่ว่ะ เล่นทำตัวตื๊อแบบสุภาพแบบนี้ ขืนปฏิเสธไปเราก็ดูใจร้ายแย่สิวะ...’

   ทางด้านเอริคนั้น จากที่ได้สังเกตศึกษานิสัยใจคอของเจตต์อยู่เป็นเดือน รวมถึงจ้างให้นักสืบ สืบค้นประวัติของเด็กหนุ่มให้เขา ชายหนุ่มจึงสรุปได้ว่า คนที่เขาตกหลุมรักนอกจากจะเป็นคนมีจิตใจดีแล้ว ก็ยังมีนิสัยขี้สงสารเห็นใจคนง่าย โดยเฉพาะคนที่ทำดีกับตัวเอง แม้ว่าจะไม่ต้องการ แต่เด็กหนุ่มก็มักจะยอมรับความหวังดีของอีกฝ่ายอยู่เสมอ  ซึ่งแม้จะไม่ยุติธรรมกับเจตต์ไปสักหน่อย แต่เขาก็จะใช้จุดอ่อนนี้ของเด็กหนุ่มทำให้เขาใกล้ชิดกับอีกฝ่ายมากยิ่งขึ้นกว่าที่ผ่านมาให้ได้

   


... TBC ...


จะทยอยโพสนะคะ และจะพยายามปั่นไม่ให้ต้องทิ้งช่วงห่างกันนักค่ะ
ถึงแต่ละตอนจะสั้น แต่จะพยายามชดเชยโดยการไม่โพสห่างนักค่ะ (ถ้าไม่ติดขัดอะไร)

ป.ล. ส่วนสารบัญของภาคใหม่ ก็จะไปลงในหน้าแรก ช่องเดียวกับสารบัญของภาคแรกนะคะ จะได้ไม่สับสนเวลาหา ^^



ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
 :mew1:

เอาล่ะสิ. พี่เอริคนี่ไม่ธรรมดาจริงๆ. จีบแบบมีชั้นเชิงนะ
ขอบคุณค่ะ

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0
 :mc4:  กิ๊ซซซ  เพิ่งเห็น  ภาคต่อมาแล้ว   :pig4:    :heaven

ออฟไลน์ zuu_zaa

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2003
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +115/-1
 :mc4: กรีสสสสส ภาคต่อ

ออฟไลน์ Xenon

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 705
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +482/-4


ตอนที่ 3


   วารีถอนหายใจเฮือกใหญ่ เมื่อหนุ่ม ๆ พากันมารุมแออัดที่ครัวของเธอ แม้จะเอ็นดูและชื่นชมในความมีน้ำใจของแต่ละราย ทว่าพอมารวมตัวกันเยอะเข้าแบบนี้ จากที่เคยหยิบจับอะไรได้คล่องก็กลับกลายเป็นวุ่นวายไปเสียแทน   

   “เฮ้อ...แม่ว่าพวกลูก ๆ แต่ละคนไปรอข้างนอกดีกว่า ถ้าจะเหลือลูกมือไว้ล่ะก็ ขอมีนคนเดียวก็พอแล้วจ้ะ”

   วารีบอกกับทุกคน ซึ่งแต่ละคนก็ยิ้มเจื่อน ๆ เพราะรู้ตัวดีว่าดันเผลอมาสร้างความวุ่นวายให้กับหญิงสาวเข้าให้แล้ว

   “เอ่อ...ถ้ายังไงผมขออยู่เป็นลูกมือของน้องมีนอีกทีจะได้ไหมครับคุณแม่”

   เมฆายังคงต่อรอง เพราะไม่อยากแยกห่างจากคนรักของตน ทำเอามีนาหน้าแดงระเรื่อด้วยความอาย ส่วนวารีก็ถอนหายใจอีกครั้ง 

   “ก็แล้วแต่เมฆเถอะจ้ะ เพราะขืนไม่ให้อยู่ เดี๋ยวก็มาผลุบ ๆ โผล่ ๆ ให้แม่ได้เห็นอยู่ดีล่ะนะ”

    เมฆายิ้มเจื่อน ส่วนคนอื่นก็ยิ้มบ้าง หัวเราะบ้าง เพราะต่างมั่นใจและเชื่อว่าเมฆาจะทำตามที่วารีพูดเช่นนั้นจริงแน่แท้

    “อ้อ...ส่วนคนอื่นก็ไปพักผ่อนให้สบายเถอะนะ พอขนมเสร็จแม่จะให้มีนไปเรียกเองจ้ะ”

   วารีหันมายิ้มหวานแกมบังคับเมื่อเห็นมีบางคนเตรียมจะอาสาอยู่ช่วยต่อ ซึ่งแต่ละคนพอได้ยินก็พากันยิ้มแห้งตอบรับ เพราะวารียังคงยืนยันตามความเห็นเดิมก่อนหน้านั้น

    “ถ้าคุณแม่ต้องการความช่วยเหลืออะไรล่ะก็ เรียกพวกเราได้ตลอดเลยนะครับ”

   เวทิตบอกก่อนจะเดินจากไปอย่างเกรงใจ ซึ่งเจตต์เองก็รีบพยักหน้าหงึกหงักอย่างเห็นด้วยกับเพื่อนสนิททันที

   “จ้า ๆ ถ้ามีเรื่องให้ต้องใช้แรงงานล่ะก็ แม่จะนึกถึงต้นกับเจก่อนเป็นคนแรกเลยจ้ะ”

   วารีบอกอย่างเอ็นดู ซึ่งก็ทำให้เพื่อนของลูกชายเธอทั้งสองยิ้มออกได้ จากนั้นเมื่อทั้งหมดออกไปจากครัวแล้ว เธอกับลูกชายคนเล็กก็ลงมือทำขนมกันต่ออย่างราบรื่น โดยที่เมฆาที่อาสาอยู่ช่วยนั้น เอาเข้าจริง ๆ แล้วก็แทบจะไม่ต้องลงมือทำอะไรเลย ทั้งนี้เพราะมืออาชีพทางด้านการครัวทั้งสองคน เหมางานไปทำกันอย่างคล่องแคล่วแล้วนั่นเอง



   ทางด้านคนอื่นเมื่อออกมาจากบ้านพักแล้ว เวทิตก็ถามถึงบิดาของเวหา ซึ่งพอรู้ว่าอีกฝ่ายนั้นไปดูแลต้นไม้ตามปกติ เด็กหนุ่มก็รีบอาสาตัวไปช่วยอย่างกระตือรือร้น ทำให้เวหาอมยิ้มแล้วสั่นศีรษะไปมา ก่อนบอกเพื่อนสนิท

   “ถึงไปก็แทบไม่มีอะไรจะทำ ...เพราะพ่อเขามีผู้ช่วยส่วนตัวอยู่แล้ว”

   เวทิตกับเจตต์ขมวดคิ้วยุ่งอย่างประหลาดใจ ซึ่งเวหาก็อธิบายให้เพื่อนทั้งสองฟัง

   “ก็พี่ซันน่ะสิ กลัวพ่อจะเหนื่อยก็เลยหาคนงานให้มาช่วยทำ ทั้ง ๆ ที่พ่อก็บอกไว้แล้วว่ามันสิ้นเปลือง...”

   เวหาเว้นวรรค แล้วเหลือบไปมองคนรักที่ยืนยิ้มข้าง ๆ ตน อย่างเอือมระอา ก่อนจะหันมาเล่าต่อ

   “...แต่พี่ซันก็ยังตื๊อต่อ แถมคนที่พามาแนะนำให้ทำงาน ก็ยังเป็นคนที่สนใจเกี่ยวกับการเกษตร และเจ้าตัวก็อยากทำงานมีเงินเก็บ เพื่อหาซื้อที่ดินทำไร่นาสวนผสมแบบพอเพียงเป็นของตัวเองสัก 1 – 2 ไร่ ในอนาคต พ่อก็เลยใจอ่อนตกลงรับให้ทำงาน...แต่เขาก็ขยันขันแข็งดี แถมยังช่างจดช่างจำ พ่อก็เลยชอบใจ ถ่ายทอดวิชาความรู้อย่างเต็มที่เลยล่ะ”

     เวหาเล่าถึงตรงนี้ เจ้าตัวก็กวักมือชวนเพื่อนและคนอื่นให้ไปนั่งตรงซุ้มใต้ต้นไม้ใหญ่หน้าบ้านแทน ระหว่างเดินไปนั้นเด็กหนุ่มก็เล่าให้เพื่อนของตนฟังต่อไปเรื่อย ๆ 

     “ส่วนเรื่องเงินเดือน ทีแรกพี่ซันจะให้ผู้ช่วยพ่อรับเงินเดือนจากเขา แต่พ่อไม่ยอม ตกลงกันไปมา สุดท้ายพี่ซันก็ต้องยอมให้พ่อเป็นคนจ่ายเงินเดือนแทน ...แต่พี่ซันก็ถือโอกาสแอบซื้อเครื่องมือโน่นนี่มาเพิ่มให้เรื่อย ๆ อยู่ดี ถ้าพ่อจับได้ทีก็หยุดไปทีล่ะนะ”

   เวหาเล่าแล้วก็หันไปค้อนให้คนรักนิด ๆ ซึ่งรวีก็ยิ้มเจื่อนตอบ แล้วรีบแก้ตัวตามมา

   “โธ่! น้องฟ้าล่ะก็ พี่เองก็อยากให้คุณพ่อได้พักสบาย ๆ นี่ครับ ส่วนเรื่องเครื่องมือเครื่องใช้ต่าง ๆ พี่ก็ซื้อของชิ้นเล็กชิ้นน้อย ไม่ได้แพงมากอะไรสักหน่อย”

   “ครับ...ไม่แพงมาก ...แต่ของบางอย่างมันก็ยังใช้งานได้อยู่นะครับ ไม่เห็นจำเป็นต้องซื้อของใหม่มาให้สิ้นเปลืองเลย”

   เวหาบ่นอุบ ซึ่งก็ทำให้รวีหุบปากเลิกโต้แย้ง เพราะรู้ดีว่าคนรักและครอบครัวคนรักไม่ค่อยชอบให้เขาใช้เงินอย่างฟุ่มเฟือยเพื่อพวกตนเอง แม้ว่าเขาจะเต็มใจและไม่รู้สึกลำบากในการใช้จ่ายนั้นเลยก็ตาม

   “....พี่ขอโทษนะครับ คราวหน้าคราวหลังพี่จะถามความสมัครใจของน้องฟ้าและพวกคุณพ่อ คุณแม่ กับน้องมีน ก่อนนะครับ...น้องฟ้าอย่าโกรธพี่นะครับ”

   พอเห็นรวีเปลี่ยนมาอ้อนตนแทน ก็ทำให้เวหาหน้าแดงระเรื่อ แล้วพยักหน้าพร้อมอุบอิบตอบ

   “ฟ้าก็ไม่ได้โกรธอะไรพี่ซันหรอกครับ...แค่ไม่อยากให้พี่ซันสิ้นเปลืองก็เท่านั้นเอง”

   คนอื่นที่มองอยู่ต่างอมยิ้มน้อย ๆ มีเพียงแต่เจตต์ที่แกล้งโพล่งแซวทั้งคู่

   “แหม ๆ หวานกันจังเลยนะครับ ช่วยเกรงใจคนไม่มีแฟนหน่อยเหอะครับ”

   “ถ้าอยากมีแฟน ฉันช่วยเธอได้เสมอนะเจ”

   เสียงทุ้มที่แทรกมาจากคนหน้าขรึม ทำเอาคนพูดแซวสะดุ้งโหยง แล้วจึงหันหน้ามาหาคนพูดพร้อมกับยิ้มเจื่อน

   “ง่า...ไม่เป็นไรครับ ตอนนี้ผมยังอยากโสดต่ออยู่อีกสักหน่อย”

   เจตต์ตอบเสียงอ่อย ซึ่งเอริคก็พยักหน้ารับรู้ค่อย ๆ ด้วยใบหน้าเฉยชาดุจเดิม

   “อย่างนั้นหรือ...ถ้าอยากมีเมื่อไหร่ก็บอกแล้วกัน ฉันจะได้เสนอตัวเข้าสมัครเป็นแฟนเธอคนแรกยังไงล่ะ”

   แทบทุกคนในที่นั้นเงียบกริบ มีเพียงรวีที่อมยิ้มอย่างถูกใจกับความช่างตื๊อของญาติตน ส่วนเวทิตกับเวหาที่มองอยู่ต่างก็ลอบถอนหายใจอย่างระอา เพราะเพื่อนสนิทของพวกเขานั้น ทั้งที่รู้ดีว่ามีคนจ้องจะจับตัวเองเป็นแฟนอยู่แท้ ๆ แต่ก็ยังปากไวหาเรื่องเข้าตัวอยู่เสมออย่างน่าปวดหัวแทน

    “ถ้าจะนั่งคุยกันที่นี่ เดี๋ยวฉันขอตัวไปคุยโทรศัพท์สักครู่นะซัน”

   เอริคบอกกับรวีที่นั่งลงบนเก้าอี้ในซุ้มพร้อมกับคนอื่น ๆ ซึ่งรวีก็พยักหน้าตอบรับ จากนั้นเอริคก็เดินห่างออกไป ทว่าเท่าที่พวกเวหาสังเกตก็เห็นว่าอีกฝ่ายนั้นยามที่คุยโทรศัพท์กับปลายสายดูมีสีหน้าขรึมยิ่งกว่าเดิมด้วยซ้ำ 

   “หมอนั่นเห็นแบบนั้นแต่ธุรกิจรัดตัวน่าดูเลยนะ ...แต่คนอย่างหมอนั่นถึงกับยอมทิ้งงานทิ้งการเพื่อมาเมืองไทย... น้องเจก็ลองคิดดูแล้วกันนะครับว่า น้องเจมีค่ากับเขาขนาดไหน”

   รวีบอกกับเด็กหนุ่มหน้าตี๋ ทำเอาคนฟังสะดุ้งแล้วกลืนน้ำลายลงคอก่อนจะยิ้มเจื่อนส่งให้ แล้วจึงเผลอแอบมองคนหน้าเคร่งขรึมที่อยู่ห่างออกไปอย่างลืมตัว



   “...หรือครับ สำเร็จเรียบร้อยแล้วสินะครับ...ขอบคุณมากครับพี่อีธาน”

   เอริคบอกกับปลายสายซึ่งเป็นพี่ชายแท้ ๆ ของเขา ที่ยามนี้ช่วยรับฝากดูงานบริษัทให้ชั่วคราว 

   “ไม่เป็นไร...อีกอย่างที่เจรจาได้สำเร็จราบรื่น ก็เพราะได้คุณเลขาคนเก่งของนายเขาช่วยเตรียมข้อมูลทางฝ่ายนั้นให้ต่างหาก ส่วนฉันก็มีหน้าที่ไปเจรจาตามเขาสั่งก็เท่านั้นเอง....หึ ๆ"

   ท้ายประโยคเจ้าตัวหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ เนื่องจากชายหนุ่มผมดำ ลูกครึ่งจีนอเมริกา ผู้มีใบหน้าคมคาย และรูปร่างเพรียวบาง ที่ได้ชื่อว่าเป็นเลขาของน้องชายตนนั้น กำลังส่งสายตาแกมหมั่นไส้นิด ๆ ที่เขาเอาเจ้าตัวไปนินทากับน้องชายต่อหน้าต่อตาอีกฝ่ายนั่นเอง

   “อ้อ...เกือบลืมไป แล้วตกลงเรื่องซินเดอเรลล่าของนายน่ะ เป็นยังไงบ้าง กำลังหวานชื่นกันอยู่สินะ”

   อีธานถามต่อ ทำเอาคนที่กำลังจะคิดวางสายชะงัก ก่อนจะตอบออกไปตามตรง

   “ยังเลยครับพี่ ...เขายังไม่มีทีท่าจะยอมรับผมเป็นแฟนด้วยซ้ำ”

   เอริคบอกแล้วเหลือบไปมองคนที่ตนหลงรัก ก่อนจะชะงักอีกครั้งเมื่อสบกับสายตาของคนที่ลอบมองตนอยู่ก่อนหน้านั้นพอดี

   “หือ! อะไรกัน! หน้าตาอย่างนายนี่ยังมีใครกล้าปฏิเสธอีกอย่างนั้นหรือ เด็กนั่นตาถั่วหรือเปล่า!”

   ปลายสายโวยวายมาอย่างไม่สบอารมณ์ ที่มีคนปฏิเสธน้องชายคนเล็กสุดที่รักของบ้านเช่นนี้

   “เอริค! เฮ้...นี่นายยังอยู่ในสายไหมน่ะ!”

   เอริคชะงัก เพราะดันเผลอจ้องสบตากับเจตต์นานไปหน่อย ส่วนเด็กหนุ่มนั้นยามนี้หันขวับกลับไป แล้วนั่งเงียบใจเต้นระทึกด้วยความตกใจระคนสับสนในตัวเอง ที่เมื่อครู่เขาดันไม่ยอมหลบตาตอนเอริคหันมา แถมดันเผลอจ้องตาตอบอีกฝ่ายตั้งนานสองนานอีกต่างหาก

   “...ผมฟังอยู่ครับพี่”

   เอริคตอบปลายสายแผ่วเบา ริมฝีปากได้รูปหยักยิ้มน้อย ๆ อย่างพึงพอใจเมื่อได้เห็นปฏิกิริยาของเด็กหนุ่ม พลางเอ่ยต่อก่อนที่ปลายสายจะโวยวายยิ่งกว่านี้

   “เรื่องของผมพี่ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกครับ...ผมไม่เคยยอมแพ้อะไรง่าย ๆ อยู่แล้ว พี่ก็รู้ดีไม่ใช่หรือ”

   อีธานที่ฟังอยู่ชะงัก ก่อนจะยิ้มกับโทรศัพท์น้อย ๆ

   “ต้องอย่างนี้สิ ถึงจะสมกับเป็นน้องชายพี่ ... ขออวยพรให้โชคดีล่วงหน้าล่ะน้องรัก”

   เอริคยิ้มตอบพร้อมกล่าวขอบคุณเบา ๆ ก่อนจะตัดสาย แล้วเดินเข้ามาร่วมกลุ่มกับคนอื่น ๆ ตามเดิม

   

   “ไง เอริค ...มีอะไรดี ๆ หรือเปล่า ถึงได้ดูอารมณ์ดีผิดเคยเชียว”

   รวีที่รู้จักสนิทสนมกับอีกฝ่ายมานานเอ่ยทัก ทำเอาอีกสามคนที่เหลือต้องมองทั้งคู่สลับกันตาปริบ ๆ เพราะเอริคก็ยังคงหน้านิ่งเฉยชาเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนไปเท่าไรนัก

   “ก็ไม่มีอะไรมาก...ก็แค่ลูกค้าที่ฝากให้พี่อีธานช่วยดูแล ตกลงทำสัญญาเรียบร้อยแล้วก็เท่านั้นล่ะ”

   เอริคตอบเสียงเรียบแต่กลับใช้สายตาปรายมามองหนึ่งในนั้นที่กลืนน้ำลายลงคอ และพยายามหลบสายตาอีกฝ่ายอย่างเต็มที่

   “โอ...ข่าวดีสินะ ว่าแล้วเชียวถึงได้ดูอารมณ์ดีผิดเคย...หึ”

   รวีเปรยพร้อมกับยกยิ้มเจ้าเล่ห์นิด ๆ มองสายตาของญาติตนก็พอจะรู้แล้วว่าเอริคนั้นอารมณ์ดีเรื่องอะไรกัน  เพราะตั้งแต่เมื่อครู่เขาเห็นเจตต์นั้นเลิ่นลั่กผิดปกติ  ซึ่งก็ถือว่าเป็นสัญญาณอันดี เพราะถ้าเด็กหนุ่มไม่คิดอะไรกับญาติของเขาเลย ก็คงไม่มีปฏิกิริยาเช่นนี้ให้ได้เห็นเป็นแน่

   “...ง่า คือเดี๋ยวผมต้องขอตัวแป๊บนะครับ ...คือ ผมเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าลืมโทรศัพท์ไว้ในห้อง ..เกิดทางบ้านโทรมาแล้วไม่รับจะเป็นห่วงเอา”

   เจตต์รีบลุกพรวดแล้วอ้างเหตุผลกับทุกคน ทว่ายังไม่ทันจะเดินห่างจากซุ้มไปไม่กี่ก้าวดี เอริคก็ลุกแล้วก้าวตามไปอย่างรวดเร็ว

   “ถ้าอย่างนั้นฉันไปเป็นเพื่อน”

   เด็กหนุ่มสะดุ้งโหยง เนื่องจากที่อ้างไปก็เพราะไม่อยากนั่งใกล้อีกฝ่ายให้รู้สึกแปลก ๆ ยิ่งกว่าเดิม แต่นี่เอริคดันอาสาเดินตามมาด้วย เขาคงไม่แคล้วต้องหลุดแสดงท่าทางชวนให้อีกฝ่ายเข้าใจผิดยิ่งขึ้นแน่

   “ต้น...”

   เจตต์หันไปมองเพื่อนสนิทแล้วเรียกชื่ออีกฝ่ายด้วยสายตาอ้อนวอน จนเวทิตอดใจอ่อนไม่ได้

   “เฮ้อ...งั้นผมก็ขอไปด้วยคนแล้วกันนะครับ พอดีนึกขึ้นได้ว่าลืมหยิบโทรศัพท์มาติดตัวไว้เหมือนกัน”

   เอริคเหลือบมองเด็กหนุ่มอีกคนอย่างไม่สบอารมณ์นัก แต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา ส่วนเจตต์พอเห็นเพื่อนไม่ทิ้งตนเขาก็ขยับมาเกาะแขนเวทิตหวังเอาเป็นที่พึ่ง จนอีกฝ่ายต้องมองตาปริบ ๆ ยิ่งได้เห็นสายตาคมกริบจ้องมาที่พวกเขา เด็กหนุ่มก็ต้องถอนหายใจเบา ๆ แต่ก็ยังคงฝืนยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น

   “งั้นก็ไปหยิบมือถือกันเถอะครับ จะได้กลับมารวมกลุ่มรอกินขนมฝีมือของคุณแม่กันต่อ”

   “อื้อ ๆ ไปเลยไป”

   เจตต์รับคำ เพราะรู้สึกถึงสายตาไม่เป็นมิตรที่จับจ้องมานั่นเหมือนกัน

   “ก็ดีเหมือนกัน...”

   เอริครับคำเสียงเรียบ จากนั้นทั้งสามก็เดินตรงไปที่บ้านพัก ซึ่งเอริคก็เลือกที่จะรอหน้าบ้านไม่ตามเข้าไป สร้างความโล่งอกให้กับเจตต์ยิ่งนัก

   

   “ไม่ต้องมาทำสีหน้าโล่งอกโล่งใจแบบนั้นเลย...นั่งอยู่ด้วยกันก็ดีอยู่แล้ว คิดยังไงถึงสร้างสถานการณ์ให้เขาตามมาสองต่อสองแบบนั้นกันเล่า”

   เวทิตบ่นเพื่อนเบา ๆ หลังจากที่เดินเข้ามาในบ้านพักด้วยกันสองคน

   “บ้ารึ! ใครอยากสร้างสถานการณ์ให้เขาตามมากัน!”

   เจตต์แย้งอย่างไม่ดังนัก ซึ่งเวทิตก็ถอนหายใจ แล้วเอ่ยตอบ

   “ก็แบบที่นายทำอยู่นั่นล่ะ  นี่ถ้านายปิ๊งเขาอยู่ก่อน ฉันคงเผลอคิดว่านายตั้งใจชวนเขาไปจู๋จี๋กันสองต่อสองแล้วด้วยซ้ำ”

   เจตต์เบิกตากว้าง แล้วรีบอธิบายแก้ตัวตามมา

   “ไม่ใช่นะ! ฉันก็แค่รู้สึกแปลก ๆ เวลาอยู่ใกล้เขา เลยหาเรื่องปลีกตัวหนีมาต่างหาก!”

   พอโพล่งออกไปเจ้าตัวก็ต้องสะดุ้งโหยงแล้วรีบตะครุบปิดปากตัวเอง ที่ดันเผลอเล่าความในใจให้เพื่อนฟังจนหมด

   “รู้สึกแปลก ๆ นี่นะ....อย่าบอกนะเจ ว่านายเริ่มชอบคุณเอริคเข้าให้แล้วน่ะ”

   เวทิตทวนคำอย่างนึกอึ้ง แต่ก็ไม่ค่อยถึงกับแปลกใจมากนัก เพราะลองเจอคนหน้าตาดีมาดสุภาพบุรุษแบบนั้นคอยตามตื๊อตามรับส่งอยู่ทุกวัน ถ้าไม่ใจแข็งนัก ก็คงอดหวั่นไหวเข้าให้ไม่ได้อยู่ดี

   “ไม่ใช่สักหน่อย! ฉันแค่บอกว่ารู้สึกแปลก ๆ เท่านั้นเอง!”

   เจตต์รีบแย้งเสียงดังอย่างลืมตัว ก่อนจะสะดุ้งแล้วเผลอเหลือบไปมองทางเข้าบ้าน แต่พอไม่เห็นว่าเอริคจะเดินตามเข้ามา เขาก็ลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก ก่อนจะดึงมือเพื่อนให้เข้าไปคุยในห้องของตนแทน

   “ฉันเริ่มรู้สึกแปลก ๆ เวลาอยู่ใกล้เขาในตอนนี้ใช่ไหมล่ะ...เพราะงั้นก่อนที่มันจะพัฒนาเป็นอย่างอื่นที่แย่ไปกว่านี้ ...ฉันว่าฉันหาทางเลี่ยงให้อยู่ไกลเขามากที่สุดก็คงจะดี ...บอกตรง ๆ ว่ะต้น ฉันยังไม่อยากเปลี่ยนสายไปชอบไม้ป่าเดียวกัน...ไม่ใช่ฉันรังเกียจหรอกนะ แต่ฉันยังไม่กล้าพออ่ะ ...ก็ชอบสาวมาทั้งชีวิต จู่ ๆ จะให้เปลี่ยนมันก็ทำใจลำบาก”

   เจตต์บ่นอุบอิบ หากแต่เวทิตนั้นก็เข้าใจในความรู้สึกของเพื่อนสนิทดี เพราะถ้าเป็นเขาก็คงกลุ้มใจอยู่เหมือนกัน

   “เอาเถอะ ...เรื่องนี้มันเป็นเรื่องของนาย ฉันก็จะยกให้เป็นการตัดสินใจของนายโดยไม่คิดจะยุ่งเกี่ยวล่ะนะ แต่ถ้ามีอะไรต้องการปรึกษา ก็มาคุยกับฉันได้ตลอดเวลา ถึงแม้จะช่วยแนะนำอะไรไม่ได้ แต่ก็เป็นที่รับฟังได้นะ ...กับฟ้าก็เหมือนกัน ฉันคิดว่าเขาก็คงเต็มใจและเคารพในการตัดสินใจของนายเหมือนกับฉันนั่นล่ะ”

   เจตต์มองเพื่อนอย่างซาบซึ้ง ก่อนจะสะดุ้งโหยงตามมา เมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นเบา ๆ

   “เจอมือถือหรือยังเจ...จะให้ฉันไปช่วยหาให้ไหม”

   เสียงของเอริคดังขึ้นจากนอกห้อง ทำให้เวทิตหันไปมองแล้วถอนหายใจ

   “ฉันว่านายรีบหยิบมือถือของนายแล้วไปรวมตัวกับพวกเราดีกว่านะเจ ...ต่อให้นายจะรู้สึกแปลก ๆ ยังไง แต่ก็ดีกว่าให้อยู่กับเขาสองต่อสองจริงไหมล่ะ”

   เจตต์ยิ้มเจื่อมพร้อมกับพยักหน้ารับ ส่วนเวทิตนั้นเดินออกจากห้องไปก่อน เขาชะงักเล็กน้อยเมื่อเห็นสีหน้าขรึม ๆ ของชายหนุ่มที่มองมา ทว่าเด็กหนุ่มก็ยังคงยิ้มตอบ ก่อนจะบอกกับคนที่ยืนอยู่เบา ๆ

   “เพื่อนของผมมันเป็นพวกขี้กลัวและชอบตีโพยตีพายจินตนาการไปเองก่อนเสมอ ถ้าคุณไม่อยากให้ภาพลักษณ์ของคุณติดลบในความคิดของเขานัก ผมว่าเรื่องตามหึงหวงนี่ ช่วยลด ๆ ลงหน่อยจะดีไม่น้อยนะครับ เอาไว้ถ้าหมอนั่นรับรักคุณจริงเมื่อไหร่ล่ะก็ จะตามหึงตามหวงก็ยังไม่สาย…จริงไหมครับ”

   เอริคนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ ก่อนที่ใบหน้าขรึมนั้นจะผ่อนคลายและมีรอยยิ้มน้อย ๆ ขึ้นมาแทน

   “ขอบใจที่ช่วยเตือน...และแนะนำ”

   “ขอเป็นช่วยเตือนเฉย ๆ จะดีกว่าครับ ...ขืนแนะนำด้วย เดี๋ยวหมอนั่นมันจะหาว่าผมขายเพื่อนพอดี”

   เวทิตบอกอย่างนึกขำแล้วขอตัวเลี่ยงไปเข้าห้องตัวเอง เมื่อเหลือบเห็นว่าเจตต์นั้นกำลังเดินตรงมาที่ประตูอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ



   “อ้าว...จะไปไหนน่ะต้น”

   เด็กหนุ่มรีบถามเมื่อเห็นเพื่อนสนิทผลุบเข้าห้องไปเมื่อเขาออกมา

   “เขาก็จะไปหยิบมือถือบ้างน่ะสิ...พวกเธอมาบ้านพักเพื่อที่จะเอามือถือไม่ใช่หรือไง”

   เอริคตอบคำถามนั้นแทน ทำให้เจตต์สะดุ้งแล้วหันมาฝืนยิ้มเจื่อนให้กับคนพูด ก่อนจะรีบหลบสายตาก้มมองลงพื้น แล้วยืนกำมือยุกยิกทำอะไรไม่ถูก จนคนมองเริ่มสงสาร

   “ฉันไปรอข้างนอกก่อนนะ ...ถ้าเพื่อนเธอได้มือถือแล้วก็ตามไปแล้วกัน”

   บอกจบเอริคก็เดินตรงไปยังประตูทางออก ทำเอาเจตต์ที่เงยหน้าทันเห็นแค่แผ่นหลังอีกฝ่ายเดินจากไปเท่านั้น

   “อ้าว...คุณเอริคล่ะ ไม่ได้ยืนรอด้วยกันหรอกหรือ”

   เวทิตที่ออกมาจากห้องพร้อมมือถือเอ่ยถาม ซึ่งเจตต์ก็สะดุ้งโหยง ก่อนจะหันมาทางเพื่อนสนิท

   “ง่า...เห็นบอกว่าจะไปยืนรอข้างนอกก่อนน่ะ”

   “อืม...งั้นหรือ ก็ดีนะ ยังเว้นช่องว่างให้กันบ้าง นึกว่าจะเป็นพวกเอาแต่คอยตื๊อไม่เลิกจนน่ารำคาญเสียอีก”

   เวทิตบอกยิ้ม ๆ แล้วชวนเพื่อนให้ออกไปพร้อมกับตน ซึ่งเจตต์ก็สะดุ้งนิด ๆ เพราะดันเผลอคิดอะไรเพลิน ๆ เกี่ยวกับคนที่รออยู่ข้างนอกนั่นเข้าให้อีกแล้ว



... TBC ...

ทยอยลงให้อ่านวันละตอนในช่วงนี้ไปก่อน แต่พอถึงช่วงสงกรานต์ข้าพเจ้าจะอู้นะคะ แหะ ๆ


ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ Xenon

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 705
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +482/-4
แวะมาโพส ซะเกือบหมดวัน ขอโทษทีค่า แหะ ๆ (แบบว่าลืม)

...................................................................................

ตอนที่ 4


    เจตต์เดินออกมาก็เห็นว่าเอริคยืนกอดอกพิงผนังบ้านอยู่ ชายหนุ่มหันมามองแล้วยกยิ้มน้อย ๆ ส่งให้ ทำเอาคนที่ได้เห็นรอยยิ้มนั้นชะงัก เผลอยืนนิ่งก้าวขาไม่ออก จนเวทิตที่เดินนำไปก่อนต้องหันมามองอย่างแปลกใจเมื่อไม่เห็นเพื่อนเดินตามมา

   “เป็นไรวะเจ ยืนนิ่งเชียว”

   “เอ๋? ฉันน่ะหรือ...ง่า...ไม่มีอะไร”

   เจตต์ชะงักก่อนจะรีบแก้ตัว พลางเดินก้มหน้างุด ๆ ตามเวทิตไป ซึ่งปฏิกิริยาที่ได้เห็นก็ทำเอาชายหนุ่มอมยิ้มน้อย ๆ อย่างพึงพอใจ แล้วจึงเดินตามไล่หลังทั้งคู่ไปติด ๆ



   หลังจากกินแกงบวชฟักทองฝีมือวารีกันเรียบร้อย พวกหนุ่ม ๆ ก็อาสาช่วยกันเก็บล้างจาน แล้วปลีกตัวออกมานั่งเล่นรับลม พูดคุยกันที่ศาลาริมน้ำบ้านเรือนไทยของรวี ซึ่งพอเจตต์เห็นน้ำคลองใสสะอาด เจ้าตัวก็สะกิดเพื่อนสนิทยิก ๆ ทันที

   “ต้น...ว่ายน้ำเล่นกันมะ...ฟ้า ในน้ำไม่มีปลิงใช่หรือเปล่า”

   แม้จะอยากเล่นน้ำมากเพียงไหน แต่ก็ยังอดห่วงไม่ได้อยู่ดี เพราะเด็กหนุ่มนั้นไม่ค่อยจะถูกโรคกับเจ้าตัวลื่น ๆ หยุ่น ๆ นั่นสักเท่าไรนัก

   “ไม่มีหรอก นายอยากเล่นน้ำหรือไงเจ”

   เวหาตอบยิ้ม ๆ ซึ่งอีกฝ่ายก็พยักหน้าหงึกหงักตามมา

   “อื้อ! น้ำใสน่าเล่นขนาดนี้ แถมอากาศก็ยังเป็นใจ แดดร่มลมตก ...แหม! นี่ถ้ามีแพยางใหญ่ ๆ จะเอามานอนอาบแดดอาบลม ล่องไปตามคลองให้สบายใจเลย...”

   “แล้วไม่กลัวไอ้เข้มันคาบไปกินหรือไง”

   เสียงเวทิตที่แทรกขัดขึ้นทำเอาคนกำลังเพ้อสะดุ้งโหยง แล้วรีบหันขวับไปทางเพื่อนอีกคนทันที

   “เฮ้ย! ที่นี่มีจระเข้ด้วยหรือฟ้า!”

   “ฮะ ๆ ไม่มีหรอก หรือถึงจะมีแต่ฉันก็ยังไม่เคยเจอสักทีล่ะนะ”

   เวหาตอบทีเล่นทีจริง ทำเอาคนอยากเล่นน้ำหน้าซีด จนเวทิตที่เริ่มต้นแหย่นึกสงสารเพื่อน เลยคิดจะแก้ตัว ทว่า...

   “ถ้าเธออยากเล่นน้ำจริง ๆ เดี๋ยวฉันคอยเป็นบอดี้การ์ดดูแลให้เอง...เพราะงั้นเล่นให้สบายเถอะ”

   เอริคพูดขัดขึ้นด้วยสีหน้าขรึมน้อย ๆ ตามแบบฉบับของเจ้าตัว ทว่าน้ำเสียงที่ฟังดูนุ่มทุ้มอ่อนโยนนั่น ทำเอาบางคนรู้สึกเขินแทนเจตต์ขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

   “ง่า...ขอบคุณครับ”

   เจตต์พูดอะไรไม่ถูก ตอนนี้ความรู้สึกอยากเล่นน้ำมันหายไปกว่าครึ่ง ไม่ใช่ว่าเพราะกลัวจระเข้หรืออะไรในนั้น หากแต่เป็นเพราะถ้าต้องลงไปเล่นตอนนี้ เขาคงจะถูกแววตาคมกริบนั่นจับจ้องหลังจากนี้อยู่ตลอดเวลาเป็นแน่

   “อืม...จะว่าไปก็น่าสนุกดีนะ ฟ้ากับพวกพี่ซันจะเล่นน้ำด้วยกันเลยไหมล่ะครับ”

   เวทิตพูดโพล่งขึ้นเพราะอ่านบรรยากาศความอึดอัดของเพื่อนออกเป็นอย่างดี ซึ่งก็ทำให้เจตต์นั้นลอบถอนหายใจ และมีสีหน้าดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

   “ดีเหมือนกัน ...แล้วพี่ซันล่ะครับ”

   รวียิ้มน้อย ๆ ส่งให้อีกฝ่าย ก่อนจะปฏิเสธออกไป

   “พี่ขอนั่งดูน้องฟ้าเล่นอยู่บนนี้ดีกว่าครับ...เกิดฉุกละหุกยังไงจะได้ช่วยเหลือทัน”

   เวหาชะงัก แล้วหน้าแดงนิด ๆ เพราะดันหวนคิดถึงตอนที่รวีมาช่วยเขาที่กำลังจะจมน้ำเมื่อนานมาแล้วขึ้นมาได้

   ส่วนทางด้านรวีพอเห็นใบหน้าแดงระเรื่อของคนรัก เขาก็ชักไม่อยากให้เวหาเล่นน้ำ แต่อยากพาไปนั่งคุยหวาน ๆ กันตามลำพังเสียมากกว่าขึ้นมาแล้ว

   

   หลังจากนั้นเด็กหนุ่มทั้งสามก็ขอตัวลงไปเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน โดยที่มีนานั้นไม่ได้ตามลงไปเล่นด้วย แต่เจ้าตัวชวนเมฆาไปยกน้ำหวานกับขนมมาเตรียมไว้ให้ทั้งคนที่เล่นน้ำและไม่ได้เล่นน้ำแทนนั่นเอง

   “ไม่เสียแรงที่เป็นญาติกัน...เรื่องที่เขาจะยอมรับรักนายน่ะ มันก็คงอีกไม่นานนักล่ะสินะ”

   รวีเอ่ยแซวญาติของตน เมื่อเห็นสายตาอ่อนโยนของเอริคเอาแต่จับจ้องมองร่างของเจตต์แทบจะไม่วางตาเลยทีเดียว   

   “ฉันก็อยากจะให้เป็นอย่างนั้น...ปฏิกิริยาโต้ตอบในช่วงหลังของเด็กนั่น มันทำให้ฉันรู้สึกคาดหวัง...ว่าเขาจะเริ่มคิดอะไรกับฉันในแง่นั้นเข้าบ้างให้แล้วก็ได้”

   เอริคพึมพำตอบโดยไม่คิดละสายตาจากเด็กหนุ่ม ซึ่งรวีก็อมยิ้มก่อนจะหันไปมองคนรักของตนเช่นกัน

   “ฉันเข้าใจ...ตอนที่น้องฟ้าแสดงให้เห็นว่าไม่ได้รังเกียจฉัน และเริ่มยอมรับฉัน...ตอนนั้นฉันดีใจแทบตายแน่ะ จนถึงวันนี้ฉันยังจำความรู้สึกในวันที่เขาบอกรักฉันครั้งแรกได้อยู่เลย มันมีความสุขจริง ๆ ...แล้วฉันก็ภาวนาให้นายได้รู้สึกถึงความสุขแบบนั้นเหมือนกันในสักวันนะ เอริค”

   รวีบอกแล้วหันมองคนข้าง ๆ ที่ก็ละสายตามายิ้มน้อย ๆ ให้กับเขา

   “ขอบคุณ...ฉันก็หวังว่าวันนั้นจะเข้ามาในชีวิตของฉันบ้างล่ะนะ”

   รวียิ้มตอบ จากนั้นก็ต่างจ้องมองคนที่ตนพึงใจเล่นน้ำดำผุดดำว่าย จนพอพวกมีนากลับมาพร้อมขนมและน้ำหวาน รวีก็ตะโกนเรียกให้ทั้งสามที่ดูท่าทางจะเริ่มเหนื่อยให้ขึ้นมาพักข้างบนศาลาก่อน



    “เฮ้อ! สนุกชะมัด!”

   เด็กหนุ่มหน้าตี๋เปรยขึ้น ก่อนจะเอ่ยขอบคุณเมื่อน้องชายเพื่อนยื่นน้ำหวานส่งมาให้เขา

   “ขอบคุณครับน้องมีน แหม! ดื่มน้ำหวาน ๆ ที่คนน่ารักชงให้ มันยิ่งหวานขึ้นหลายเท่าเลยน้า”

   มีนายิ้มรับอย่างไม่ถือสากับคำแซวนั้น หากแต่เมฆากลับกระแอมเบา ๆ แล้วส่งสายตาคมกริบมายังคนพูดทำเอาเจตต์ที่ได้เห็นสะดุ้งโหยง แต่พอแสร้งเบือนหน้าหนีไปอีกทาง เด็กหนุ่มก็ต้องกลืนน้ำลายลงคอ เมื่อเห็นเอริคกำลังจ้องเขาเขม็งด้วยแววตาวาววับอย่างน่ากลัว

   “ง่า...”

   เจตต์พูดอะไรไม่ออก และพอเขาเบือนสายตาหนีไปอีกทาง เขาก็เห็นเพื่อนสนิททำปากอุบอิบบ่นเขาจับความได้คล้าย ๆ กับคำว่าปากหาเรื่อง หรืออะไรสักอย่างที่ความหมายใกล้เคียงกัน

   “อ้าว...เจ แขนนายเลือดไหลแน่ะ”

   เวหาที่หันไปเห็นแขนของเพื่อนที่มีเลือดไหลซึมยาวเข้าพอดีเอ่ยทักอย่างตกใจ ซึ่งเจตต์พอได้ยินดังนั้นเจ้าตัวก็สะดุ้งโหยง แล้วยกแขนตัวเองขึ้นดูทั้งสองข้าง ปรากฏว่าที่แขนซ้ายของเขามีรอยขีดข่วนยาวราวสิบเซนติเมตร และมีเลือดไหลซึมออกมาไม่มากนัก

   “เห...มาได้ไงเนี่ย...อูย แสบแผลอ่ะ!”

   คนที่ก่อนหน้านั้นยังไม่รู้สึกอะไร แต่พอเห็นแผลก็ออกอาการเจ็บหนักเสียจนเวทิตที่มองอยู่หมั่นไส้

   “แผลโดนข่วนเล็กนิดเดียวอย่าสำออยนักเลยน่ะ แค่นั้นเลียก็หายมั้งน่ะ!”

   “เชอะ! เลียก็หาย งั้นนายก็มาเลียแผลให้ฉันสิวะ!”

   เจตต์เถียงกลับ ก่อนจะเดินเซไปนั่ง เพราะเจ้าตัวเป็นโรคแพ้เลือด จะมากหรือน้อยเห็นแล้วก็พาลจะเป็นลมขึ้นมาให้ได้

   “เหอะ...จะให้ฉันเลียนี่นะ...”

   พูดได้แค่นั้นเวทิตก็อ้าปากค้าง เมื่อคนตัวสูงลุกจากที่นั่งมาคุกเข่าต่อหน้าเจตต์ที่นั่งอยู่ ก่อนจะจับแขนข้างซ้ายของอีกฝ่ายมาเลียแผลให้ นัยน์ตาคมกริบจับจ้องประสานกับเด็กหนุ่มหน้าตี๋ ซึ่งหลังจากคลายตกตะลึงแล้ว เจตต์ก็หน้าแดงวาบตามมา แล้วรีบดึงแขนกลับ ก่อนจะโพล่งขึ้นดังลั่น

   “ผะ...ผม ขอตัวไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะครับ จู่ ๆ ก็รู้สึกหนาว ๆ ยังไงไม่รู้!”

   บอกแล้วเจ้าตัวก็ลุกจากที่นั่งแล้ววิ่งจ้ำอ้าวไปที่บ้านพัก ทิ้งให้แต่ละคนที่ยังอึ้งไม่หายจากเหตุการณ์ก่อนหน้านั้น อึ้งซ้ำเข้าไปอีก ทว่าเอริคนั้นกลับลุกขึ้นยืนแล้วหันไปถามทางเวหาแทน

   “บ้านที่เจพัก มีกล่องปฐมพยาบาลไหม”

   เวหาพอได้ยินดังนั้นก็ชะงัก แล้วรีบบอกตามมา

   “มะ..มีครับ อยู่ในตู้กระจกของห้องครัวน่ะครับ”

   เอริคพยักหน้าแล้วเตรียมจะเดินไปทางเดียวกับที่เจตต์เดินไป ทำเอาเวทิตที่รู้สึกตัวรีบตะโกนถาม

   “คุณเอริคจะไปไหนหรือครับนั่น!”

   “...ก็จะไปปฐมพยาบาลให้เพื่อนของเธอไงล่ะ...น้ำลายน่ะไม่ช่วยฆ่าเชื้อโรคหรอกนะ”

    เอริคตอบเสียงเรียบแล้วจึงเดินจากไป ทิ้งให้คนฟังขมวดคิ้วยุ่ง ก่อนจะหันมาพึมพำกับเพื่อนอีกคน

   “รู้อย่างนั้นแล้วเขาจะยังเลียแผลให้เจมันเตลิดทำไมวะนั่น”

   “ไม่รู้สิ...”

   เวหาตอบกลับอย่างมึนงง หากแต่รวีนั้นหัวเราะเบา ๆ แล้วบอกกับทั้งคู่

   “พี่ว่าพี่เดาได้นะครับ”

   “อะไรหรือครับพี่ซัน”

   เวหาหันมาถามคนรัก ซึ่งอีกฝ่ายก็ยิ้มแล้วอธิบายให้ฟัง

   “ก็เพราะหมอนั่นหึงที่น้องเจ จะให้น้องต้นเลียแผลเขายังไงล่ะครับ ก็เลยทำตัดหน้าเสียเลย”

   ทั้งเวทิตกับเวหารับฟังตาปริบ ๆ แล้วจึงพากันถอนหายใจเฮือกใหญ่ตามมา ทว่ามีนากลับหลุดคำพูดในอีกแบบที่ทำเอาคนอื่นโดยเฉพาะเมฆาสะดุ้งโหยง

   “แต่มีนว่า คุณเอริคดูเท่ดีอ่ะ ถ้าเป็นมีนถูกทำแบบเมื่อครู่นี้คงเขินแย่...อ๊ะ”

   เด็กหนุ่มอุทานเบา ๆ เมื่อมือใหญ่ของคนรักจับหมับที่บ่าทั้งสองข้าง พลางพลิกกายหมุนให้ร่างบางหันมาเผชิญหน้ากับตน

   “น้องมีนอยากถูกเลียบ้างหรือครับ...พี่ช่วยได้นะครับ จะให้เลียตรงไหน พี่ทำให้ได้ทั้งนั้น”

   รอยยิ้มกับตาวาววับของอีกฝ่ายทำให้มีนาชะงัก เพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายนั้นโมโหหึงกับคำพูดเขาให้อีกแล้ว

   “พี่เมฆบ้า...มีนหมายความว่า ที่คุณเอริคทำลงไปน่ะ มันทำให้เขาดูเท่ต่างหาก...ไม่ได้หมายถึงว่ามีนไปหลงเสน่ห์เขาสักหน่อย...มีนมีคนเท่ที่สุดของมีนอยู่ตรงหน้าทั้งคนแล้ว มีนไม่ไปหลงชอบใครคนอื่นอีกหรอกน่า”

   คำพูดของคนรักตัวน้อย ทำเอาความโมโหหึงที่มีพัดปลิวหายไปจนหมดสิ้น เมฆาถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะรวบร่างนั้นมากอดอย่างไม่เกรงสายตาคนอื่นที่อยู่ด้วย

   “ทีหลังน้องมีนอย่าเที่ยวไปชมใคร จนทำให้พี่เข้าใจผิดแบบนี้อีกนะครับ...”

   “อื้ม...อ๊ะ! พี่เมฆ ปล่อยได้แล้ว คนอื่นก็อยู่เห็นไหม!”

   มีนาที่เพิ่งจะรู้สึกตัวว่ามีคนอื่นอยู่ด้วยรีบโวยวายด้วยใบหน้าแดงก่ำ เห็นดังนั้น รวีจึงถือโอกาสชวนเวหาไปเปลี่ยนเสื้อผ้าบ้าง ซึ่งเวหาก็เหลือบมามองเพื่อนสนิทอย่างเกรงใจ ทำเอาเวทิตสะดุ้งโหยง แล้วรีบโบกไม้โบกมือพร้อมบอกตามมา

   “ไม่เป็นไร ๆ ฉันก็ว่าจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่เหมือนกัน”

   “จะดีหรือครับน้องต้น ถ้าเข้าไปตอนนี้ก็ไปขัดจังหวะน้องเจเข้าให้สิครับ”

   รวีขัดขึ้นทำเอาเวทิตสะดุ้งโหยงพลางส่งยิ้มเจื่อนแล้วก้มลงมองเสื้อผ้าตัวเอง

   “ถ้าอย่างนั้นผมก็ต้องอยู่สภาพนี้ต่อไปเรื่อย ๆ หรือครับ”

   รวีมองคนพูดแล้วหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยต่อ

   “ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ ...เอางี้สิครับ น้องต้นยืมเสื้อผ้าของพี่ใส่ก่อนก็ได้ ส่วนเสื้อผ้าที่เปียกก็ใส่เครื่องซักอบให้เรียบร้อยไปเลย”

   “งั้นฟ้าก็ยืมเสื้อพี่ซันใส่บ้างได้ไหมล่ะครับ...จะได้ไม่ต้องเดินไปเปลี่ยนถึงบ้าน”

    เวหาเอ่ยขึ้นบ้างเพราะเห็นว่าสะดวกดี แต่นั่นกับทำให้คนฟังชะงัก แล้วเผลอคิดจินตนาการบางอย่างตามมา

   “เอ่อ...ก็ดีนะครับ..แต่พี่กลัวจะคุมตัวเองลำบาก แหะ ๆ”

   เวหาขมวดคิ้วอย่างงุนงง ทว่าพอลองคิดตามเขาก็หน้าแดงวาบ ส่วนเวทิตนั้นหัวเราะเจื่อน ๆ แล้วบอกกับทั้งคู่

   “ผมว่านะ ผมยอมไปขัดจังหวะคุณเอริคดีกว่า ...อีกอย่างขืนปล่อยให้เจอยู่กับเขาตามลำพัง ผมกลัวหมอนั่นจะสติแตกแล้วหนีกลับบ้านไปก่อนน่ะสิครับ”

    คำพูดของเวทิตทำให้เวหาที่รู้จักเจตต์ดีพอ ๆ กันชะงักน้อย ๆ ก่อนจะพยักหน้าหงึกหงักอย่างเห็นด้วย

   “นั่นสินะ...หมอนั่นบทจะสติแตกก็ทำอะไรบ้า ๆ อย่างที่เราแทบจะคาดไม่ถึงได้เหมือนกันล่ะนะ”

   “อื้อ... เพราะงั้นเชิญนายกับพี่ซันตามสบายเลยนะ ฉันคงไม่เข้าไปขัดหรอก”

   เวทิตยิ้มนิด ๆ ทำเอาคนฟังหน้าแดงวาบ

   “บ้ารึ! พวกฉันไม่ได้จะไปทำอะไรกันสักหน่อย”

   “ง่า...จะไม่ทำอะไรเลยจริง ๆ หรือครับน้องฟ้า”

   รวีแทรกขัดมาทำให้คนฟังหน้าแดงวาบ ยิ่งได้เห็นเมฆามองมายิ้ม ๆ และมีนาจ้องมองตนเองอย่างเขิน ๆ  ส่วนเวทิตก็ส่งยิ้มเจื่อน ๆ ให้กับเขา ทำเอาเวหายิ่งหน้าแดงก่ำแล้วตัดสินใจวิ่งหนีกลับบ้าน ทำเอารวีสะดุ้งโหยง

   “เดี๋ยวครับน้องฟ้า! รอพี่ด้วยสิครับ!”

   ชายหนุ่มรีบวิ่งตามคนรักไปติด ๆ เรียกเสียงถอนหายใจจากอีกสามคนไล่เลี่ยกัน

   “งั้นผมกลับไปเปลี่ยนชุดกับดูเจก่อนดีกว่าครับ...ตามสบายเลยนะน้องมีน”

   ท้ายประโยคเวทิตแกล้งกะพริบตาส่งให้กับมีนา ทำเอาเด็กหนุ่มหน้าแดงวาบ ส่วนเมฆาหัวเราะเบา ๆ แต่ยังคงโอบบ่าคนรักมาแนบชิดตนมากขึ้น

   “พวกพี่ ๆ นี่นะ...รักกันหวานชื่นขนาดนี้ ยังจะขี้หวงกันอีก ไม่เข้าใจเลยแฮะ”

   เด็กหนุ่มบ่น แล้วโบกมือให้มีนาค่อย ๆ ก่อนจะเดินกลับบ้านพักไปอย่างไม่รีบร้อนนัก ส่วนเมฆานั้นถอนหายใจเบา ๆ ก็เข้าใจดีว่าทั้งเจตต์และเวทิต แต่ละคนไม่มีใครคิดเกินเลยกับมีนาแน่ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็อดไม่ได้ที่จะหึงหวงทุกครั้งที่มีคนอื่นพูดคุยกับมีนาอย่างสนิทสนม

   “พี่เมฆ...พี่ยังหึงผมกับพวกพี่เจและพี่ต้นอีกไหมครับ”

   มีนากระตุกแขนเสื้อคนรักแล้วเอ่ยถามด้วยสีหน้าแกมกังวลนิด ๆ ซึ่งก็ทำให้เมฆายิ้มน้อย ๆ พร้อมตอบกลับ

   “ตอนนี้ก็ไม่แล้วล่ะครับ ...เพราะรู้แล้วนี่นาว่าน้องมีนน่ะ รักแค่พี่คนเดียวเท่านั้น”

   “พี่เมฆบ้า! พูดอะไรก็ไม่รู้...”

   มีนาตีแขนคนรักเผียะ หน้าแดงระเรื่อด้วยความเขิน แล้วจึงคล้องแขนของอีกฝ่ายก่อนจะพูดพึมพำแผ่วเบา

   “มีนรักพี่เมฆคนเดียวนะ...จำเอาไว้ให้ดี ๆ ด้วยล่ะ”

   เมฆายิ้มกว้างแล้วก้มลงจูบเส้นผมของอีกฝ่ายอย่างรักใคร่ จากนั้นทั้งคู่ก็นั่งป้อนขนมให้กัน และนั่งคุยกันอยู่ตรงนั้นอีกพักใหญ่ ๆ เลยทีเดียว

   

   อีกด้านหนึ่ง หลังจากที่วิ่งหนีมาจากทุกคนด้วยความตกใจแล้ว เจตต์ก็วิ่งเข้าไปในบ้านพักตรงเข้าไปในห้องตัวเอง ใจเต้นตึกตักอย่างห้ามไม่อยู่ ยิ่งเห็นรอยแผลที่ยังคงมีเลือดซึมอยู่เล็กน้อยนั่น เขาก็ยิ่งหน้าแดงก่ำหนักเข้ากว่าเดิม แต่พอรู้สึกตัวเด็กหนุ่มก็ต้องอุทานเบา ๆ เพราะพื้นห้องที่เป็นปาเก้ไม้สักขัดมันสวยอย่างดี กำลังเปียกนองน้ำจากเสื้อผ้าของเขา

   “หวา...ลืมไปเลย อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนดีกว่า”

   บอกกับตัวเองแล้วเด็กหนุ่มก็รีบหยิบผ้าขนหนูเขาไปในห้องน้ำ ถอดเสื้อผ้า อาบน้ำราดตัวอีกครั้ง แล้วเอาผ้าเปียกใส่ตะกร้าในห้อง ก่อนจะพันผ้าขนหนูผืนเดียวออกมาจากห้องน้ำ ทว่าเขาก็ต้องชะงักฝีเท้ากึก เมื่อเห็นว่ามีใครบางคนกำลังนั่งรออยู่บนเตียงของตน

   “คะ...คุณเอริค...”

   เอริคเองก็ชะงักเมื่อเห็นเด็กหนุ่มในสภาพนั้น เจ้าตัวถอนหายใจเบา ๆ พลางลุกขึ้นยืน แล้วบอกขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

   “แต่งตัวให้เรียบร้อย แล้วค่อยตามไปที่ห้องรับแขก เดี๋ยวฉันจะทำแผลให้”

   เจตต์สะดุ้งแล้วเตรียมจะบอกปฏิเสธ หากแต่อีกฝ่ายก็เอ่ยขัดขึ้นมาเสียก่อน

   “ถ้าไม่เอาแบบนั้น ฉันก็จะอยู่รอทำแผลให้เธอในห้องนี้แทน...เลือกเอาแล้วกัน”

   “งะ...งั้น ผมเลือกแบบแรกดีกว่าครับ”

   เจตต์รีบบอก เพราะคนที่ยืนและเตรียมจะเดินออกไป เดินกลับมาที่เตียงของตนและนั่งลงอีกครั้ง

   “ถ้าอย่างนั้นฉันจะไปรอข้างนอก...แล้วรีบตามมาเร็ว ๆ ล่ะ”

   เอริคบอกกึ่งบังคับ ทำให้เจตต์กลืนน้ำลายลงคอ แต่ก็ยังรู้สึกโล่งอกที่ชายหนุ่มยอมเดินออกจากห้องของตนไปอย่างง่าย ๆ เด็กหนุ่มรีบตามไปล็อกประตูห้อง และเปลี่ยนเสื้อผ้าของตนอย่างรวดเร็ว เพราะเกรงว่าขืนช้ากว่านี้ อีกฝ่ายอาจจะตามมาเคาะประตูห้องของตนอีกครั้ง และบางทีอาจจะถึงขั้นพังเข้ามาถ้าเขาไม่ยอมเปิดให้ก็เป็นได้



....TBC .....



ออฟไลน์ aom2529

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 885
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-0

ออฟไลน์ HanATarO

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +132/-2
โธ่ น้องเจ อย่ากลัว เอริค ไปเลยเค้าแค่เป็นห่วงเฉยๆ


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
 :mew3:  กลัวใจตัวเองจะหวั่นไหวมากกว่ามั้งน้องเจ

ออฟไลน์ ทิวลิปสีส้ม

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 867
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +82/-0
โอ๊ยยยย อ่านอย่างจุใจ ขอบคุณคนแต่งค่า กดบวกกดเป็ด ><
หนูเจตต์ไม่รอดมือเอริคแหงๆ จีบกันขนาดนี้ เขินอ่า เฮียแกไม่แคร์สายตาใครเลยจริงๆ
คู่น้องฟ้า น้องมีนน่ารัก หวานกันเสมอต้นเสมอปลาย
อ่านไปอ่านมาชักสงสารต้นง่ะ เดียวดายอยู่ลำพัง  :laugh:

ออฟไลน์ Xenon

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 705
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +482/-4

ตอนที่ 5


    ทางด้านเอริคหลังออกมาจากห้องของเด็กหนุ่ม เขาก็ต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่ เพราะดันเผลอใจเต้นเข้าให้กับร่างเปลือยท่อนบนของเจตต์ โชคดีที่เขาเป็นคนไม่ค่อยแสดงอารมณ์ผ่านสีหน้ามากนัก เลยทำให้ไม่หลุดอาการอะไรออกไป ไม่อย่างนั้นอีกฝ่ายคงจะกลัวและตีตนออกห่างเขายิ่งกว่าเดิมเป็นแน่

   “อ้าว...คุณเอริค แล้วเจล่ะครับ”

   เวทิตที่เดินเข้ามาในบ้านเอ่ยถามถึงเพื่อนของเขา ซึ่งเอริคก็หันไปมองเด็กหนุ่มแล้วตอบคำถามตามตรง

   “เปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ ...มีอะไรหรือเปล่า”

   ท้ายประโยคน้ำเสียงนั้นดูขรึมลงจนคนฟังจับสังเกตได้ เวทิตเลิกคิ้วนิด ๆ ก่อนจะยักไหล่ตามมา

   “ก็ไม่มีอะไรหรอกครับ เห็นคุณบอกว่าจะตามมาทำแผลให้เจมัน ก็เลยแปลกใจที่เจไม่อยู่”

   เอริคชะงักก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ เพราะรู้สึกตัวว่าเผลอแสดงความหึงหวงออกไปให้อีกฝ่ายจับสังเกตได้ ทั้งที่เขาพยายามบอกตัวเองแล้วว่าเวทิตนั้นคิดกับเจตต์แค่เพื่อน และก็ดูเหมือนว่าเด็กหนุ่มจะไม่คิดขัดขวางอะไรเขาเสียด้วย

   “...ฉันก็ตั้งใจจะทำแผลให้เขานั่นล่ะ แต่รอให้เขาแต่งตัวให้เสร็จก่อนแล้วถึงจะทำ”

   น้ำเสียงทุ้มที่ฟังดูอ่อนลงทำให้เวทิตยิ้มออกอย่างพึงพอใจ ที่อีกฝ่ายก็ยังพอระงับอารมณ์และรู้จักแยกแยะได้อยู่บ้าง

   “งั้นผมไปล้างตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าบ้างดีกว่า...อ้อ! ฝากเรื่องแผลของเจด้วยล่ะครับ”

   เอริคพยักหน้าตอบรับ ซึ่งเวทิตก็เดินกลับเข้าห้องไปอันเป็นเวลาเดียวกับที่เจตต์นั้นเปิดประตูห้องออกมา เขามองไปยังห้องเพื่อนสนิทอย่างสงสัย แต่ก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงกระแอมจากคนที่รออยู่

   “ตามมาสิ ฉันจะได้ทำแผลให้”

เจตต์หันมายิ้มแห้งให้คนหน้าขรึม แล้วเดินก้มหน้าก้มตาตามมาที่ห้องรับแขก ก่อนจะนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับอีกฝ่าย เห็นดังนั้นเอริคจึงถอนหายใจแผ่วเบา แล้วขยับลุกมานั่งข้างเด็กหนุ่มซึ่งก็สะดุ้งโหยงทันทีที่ร่างสูงนั่งลงเคียงข้าง

   “เอ่อ...ทำไมคุณเอริคต้องมานั่งใกล้กันแบบนี้ด้วยล่ะครับ”

   เจตต์ถามกลับไปด้วยสีหน้าที่พยายามทำเป็นไร้เดียงสา ทั้งที่ตอนนี้ก็กลัวจนหน้าซีด เพราะเกรงว่าอีกฝ่ายจะหน้ามืดมาปล้ำเขานั่นเอง

   ทางด้านเอริคจ้องมองสีหน้าคนถาม ก่อนจะถอนหายใจออกมาอีกครั้ง

   “ก็ถ้าให้นั่งห่างแบบนั้นจะทำแผลให้ได้ยังไงล่ะ”

   “อ๊ะ...จริงด้วยสินะ”

   เจตต์ชะงักก่อนจะพึมพำตามมา เพราะมัวแต่กลัวจนลืมไปว่าอีกฝ่ายตั้งใจจะทำแผลให้เขา

   “แสบหรือไง”

   เอริคถามขณะกำลังเอาน้ำเกลือเช็ดแผล เพราะเห็นว่าเจตต์นั้นสะดุ้งแล้วหลับตาปี๋ไม่ยอมลืมตามองทั้งเขาทั้งแผล

   “มะ..ไม่หรอกครับ...แต่ผมกลัวเลือด ไม่อยากมองแผล”

   คนฟังชะงักนิด ๆ ก่อนจะหลุดแย้มยิ้มน้อย ๆ ออกมาอย่างลืมตัว

   “เลือดหยุดไหลไปแล้วล่ะ อีกอย่างแผลก็ไม่ลึกมากด้วย สงสัยคงจะแค่ไปเฉี่ยวโดนเศษกิ่งไม้ในน้ำอะไรพวกนั้นมากกว่า”

   น้ำเสียงทุ้มที่ฟังดูอ่อนโยนลง ทำให้เจตต์ลืมตามามองคนพูด ก่อนจะนิ่งอึ้งเมื่อทันได้เห็นรอยยิ้มน้อย ๆ ซึ่งประดับบนสีหน้าคมเข้มของอีกฝ่าย แล้วจึงตามมาด้วยอาการใจเต้นผิดจังหวะ หน้าร้อนวูบวาบ อย่างที่ตัวเขาเองก็บอกไม่ถูกว่าเกิดขึ้นเพราะอะไร

   

   อาการก้มหน้างุด ๆ หลบตาอีกครั้งของเด็กหนุ่ม ทำให้เอริคขมวดคิ้ว แล้วจึงลอบถอนหายใจออกมาแผ่วเบา

   “ฉันทายาให้เรียบร้อยแล้วล่ะ ไม่นานแผลก็คงแห้ง”

   ชายหนุ่มบอกพึมพำ เขาปล่อยมือที่จับแขนอีกฝ่ายออกอย่างนึกเสียดาย แต่เขาก็ไม่อยากจะรุกเร็วไปกว่านี้ เพราะเกรงว่าเจตต์นั้นจะเปลี่ยนท่าทีเป็นกลัวและออกห่างแทน แค่ตอนนี้เด็กหนุ่มมีท่าทางตอบรับเขาบ้างในบางครั้ง ก็ทำให้เอริครู้สึกยินดีมากแล้ว

   “อะ...เอ่อ ขอบคุณมากครับ”

   เจตต์ตอบเสียงแผ่ว จริงแล้วเขาก็อยากรีบลุกออกไป แต่ดูเหมือนว่าร่างกายมันไม่ยอมทำตามสมองสั่ง จึงได้แต่นั่งก้มหน้าก้มตาอยู่เช่นนั้น จนเวทิตที่เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเดินออกมาสมทบ

   “อ้าว...นั่นยังทำแผลกันไม่เสร็จอีกหรือครับ”

   เด็กหนุ่มเอ่ยทัก แม้จะเห็นอยู่บ้างว่าเอริคนั้นไม่ได้ทำอะไรนอกจากนั่งมองเพื่อนของเขา ส่วนเพื่อนของเขาก็นั่งก้มหน้าก้มตาอยู่นิ่ง ๆ โดยไม่ได้ทำอะไรเช่นกัน

   “อ๊ะ! ต้น! มาแล้วหรือ!”

   เจตต์ลุกขึ้นพรวดแล้วก้าวฉับไปหาเพื่อนสนิททันที สร้างความไม่สบอารมณ์ให้คนที่นั่งอยู่ด้วยกัน ส่วนเวทิตนั้นแค่นยิ้มกับตัวเองที่เพื่อนดันหาเรื่องมาให้เขา แต่เด็กหนุ่มก็พอจะเข้าใจดีว่าเจตต์เองคงกำลังสับสนอยู่ไม่น้อย จึงรีบตรงมาหาที่พึ่งอย่างเขาเช่นนี้

   “อืม...จริงสิเจ ฉันว่าเราไปเดินเล่นนอกบ้านกันดีกว่านะ...ไปด้วยกันไหมครับคุณเอริค”

   เอริคเลิกคิ้วนิด ๆ มองคนชวน หากแต่พอเห็นเจตต์ที่รีบหลบหน้าเขา ชายหนุ่มจึงตอบออกไปเสียงเรียบ

   “ไม่เป็นไร พวกเธอไปกันเองเถอะ...ฉันไปด้วยก็คงมีคนลำบากใจเปล่า ๆ”

   คำตอบของเอริคทำให้เจตต์ชะงัก แต่พอมองไปก็เห็นอีกฝ่ายเมินหลบตาเขาบ้าง ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกผิดขึ้นมาไม่น้อย

   “ถ้าอย่างนั้นพวกผมขอตัวล่ะครับ เอ้า! มาสิเจ มัวแต่มองตามคุณเอริคเขาตาละห้อยอยู่ได้!”

   เวทิตแสร้งโพล่งขึ้นเสียงดังเมื่อเห็นอาการของเพื่อน ทำให้คนที่เมินมองไปทางอื่นชะงัก ส่วนเจตต์นั้นหน้าแดงวาบ พลางหันขวับมาถลึงตาดุใส่เพื่อนที่พูดเกินจริงเช่นนั้น

   “มะ..ไม่มีอะไรหรอกครับ ต้นมันก็ปากเปราะแบบนี้ล่ะครับ แหะ ๆ จะรีบใช่ไหม งั้นก็ไปได้แล้ว เร็ว ๆ เข้า!”

   เจตต์รีบหันมาแก้ตัวกับชายหนุ่มด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ แล้วจึงหันไปดุพร้อมดึงเพื่อนที่ทำหน้าเบื่อหน่ายใส่ตนให้เดินตามออกนอกบ้านพักไปด้วยความรวดเร็ว ทิ้งให้คนที่นั่งอยู่บนโซฟารับแขกนิ่งอึ้งไปสักพัก ก่อนจะตัดสินใจเปลี่ยนความคิด แล้วเดินตามพวกเด็กหนุ่มที่ออกไปก่อนหน้านั้นอย่างอารมณ์ดีขึ้นมาแทน

     

   เจตต์ลอบถอนหายใจแผ่วเบา เมื่อเหลือบเห็นเอริคนั้นเดินตามมาด้วย

   “จะว่าไป คุณเอริคเขาก็นิสัยค่อนข้างใช้ได้นะ ถ้าเขาเป็นผู้หญิงแทนผู้ชายล่ะก็ เป็นฉันก็โอเคว่ะ”   

   เวทิตเปรยบอกกับเพื่อนสนิทเบา ๆ ซึ่งเจตต์ก็ถอนหายใจอีกครั้งแล้วเปรยตอบ

   “ถ้าเป็นแบบนั้นฉันก็คงไม่ลำบากใจอย่างทุกวันนี้หรอก”

   “แสดงว่านายก็เริ่มคิดอะไร ๆ แบบนั้นกับคุณเอริคเขาบ้างแล้วสินะ”

   คำถามของเพื่อนทำเอาเจตต์สะดุ้งโหยง ใบหน้าแดงระเรื่อ แล้วรีบแก้ตัวเสียงสั่น

   “บะ..บ้าหรือวะ! ใครจะคิดอะไรแบบนั้นกัน!”

   เวทิตมองเพื่อนปฏิเสธเสียงสั่น แล้วก็หันมาลอบถอนหายใจกับตัวเองแผ่วเบา เพราะจากปฏิกิริยาตอบรับของเพื่อน มันก็ทำให้เขามั่นใจว่า เจตต์นั้นเริ่มหวั่นไหวกับเอริคเข้าให้แล้ว

   “แบบนี้เห็นทีคงไม่รอดแล้วล่ะวะ”

   เวทิตเผลอบ่นกับตัวเอง ทำให้คนฟังขมวดคิ้วยุ่ง จะถามก็กลัวเข้าตัวเลยทำเป็นหูทวนลมไม่ใส่ใจอะไร แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังอดเหลือบมองคนที่เดินตามอยู่ห่าง ๆ เป็นระยะไม่ได้ จนเอริคที่รู้สึกตัวว่าถูกแอบมองต้องลอบยิ้มกับตัวเอง ทว่าเขายังคงไม่แสดงท่าทางอะไรออกไปมากกว่าเงียบขรึม จนกระทั่งพวกรวีตามมาสมทบ ทั้งหมดจึงย้ายกันไปนั่งพักที่ซุ้มในบ้านของเวหากันแทน



   ตกเย็นในวันนั้นหลังจากกินอาหารเย็นกันอิ่มหมีพลีมันแล้ว เวหากับมีนาก็มารวมพลกันที่บ้านหลังเล็กที่พวกเวทิตพักอยู่ ซึ่งแน่นอนว่าพวกหนุ่ม ๆ ก็ต้องตามคนรักของพวกตนมา ห้องรับแขกที่ค่อนข้างกว้างสำหรับคนสองสามคนก็เลยดูคับแคบไปสักหน่อย

   “สงสัยต้องขยายบ้านพักแล้วแบบนี้”

   รวีพึมพำก่อนจะสะดุ้งเมื่อมือของเวหาตีเผียะที่แขนของเขาเบา ๆ และพอหันไปมองก็เห็นคนรักอายุน้อยกว่ากำลังใช้สายตาดุ ๆ จับจ้องตนอยู่

   “ง่า...พี่ก็แค่เปรย ๆ เอาไว้เท่านั้นเองครับ ยังไม่คิดจะทำเพิ่มเติมตอนนี้หรอก”

   รวีรีบบอก ซึ่งก็ทำให้คนฟังทำเสียงในลำคออย่างหมั่นไส้ เพราะรู้นิสัยของคนรักตนดีว่าฟุ่มเฟือยเพียงใด

   “จะว่าไปบ้านหลังนี้ก็สวยมาก แถมด้านนอกก็ตกแต่งเสียสวยเชียว  นี่ถ้าไม่บอกว่าเป็นบ้านพัก ถ่ายรูปไปให้เพื่อนดู ก็ต้องคิดว่าเป็นรีสอร์ทกันทั้งนั้นนะครับ”

   เวทิตชมขึ้นมาบ้าง ซึ่งก็ทำให้รวียิ้มตอบ เพราะทั้งนี้เขาก็ตั้งใจจะตกแต่งบริเวณรอบ ๆ ให้ดูเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของตัวเองและครอบครัวคนรักอยู่แล้ว

   “โดยเฉพาะน้ำตกจำลองนั่นสวยมากเลยครับ เสียดาย ถ้าเป็นน้ำตกจริงก็คงดี แหะ ๆ”

   เจตต์บอกตามมา ทำให้สายตาของบางคนหันไปมอง แล้วเอ่ยถาม

   “เธอชอบน้ำตกหรอกหรือ”

   เจตต์สะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะตอบคำถามของเอริคไปอย่างไม่เต็มเสียงนัก

   “เอ่อ...ก็ชอบอยู่ครับ”

   “หมอนี่ชอบน้ำตกพอ ๆ กับทะเลน่ะครับ แต่ถ้าจะให้เลือก ก็ชอบน้ำตกมากกว่า เห็นบอกว่าเพราะอากาศดี เย็นสบาย ไม่เหนียวตัวเท่ากับทะเล”

   เวทิตเสริมให้ต่อ ทำเอาเจตต์หันมามองเพื่อนตาดุ ๆ หากแต่เวทิตนั้นกลับไม่สนใจ แถมยังหยิบคุ้กกี้ช็อกโกแลตที่มีนาทำเองมากินแทนหน้าตาเฉย

   “เอ...จะว่าไปใกล้ ๆ นี้ก็มีน้ำตกอยู่ไม่ใช่หรือ เพราะว่าอยู่ลึก เข้าลำบาก และแถวนี้ก็ไม่ใช่แหล่งท่องเที่ยว ก็เลยคนไม่เยอะมากด้วย”

   มีนาบอกขึ้นมาอย่างนึกได้ ซึ่งก็ทำให้แต่ละคนหันมามองอย่างสนใจ

   “จริงด้วยสิ ตอนเด็ก ๆ เราก็เคยไปเที่ยวแถวนั้นกับพ่อแม่กันนี่นะ ถึงจะเดินไปยากสักหน่อย แต่ก็ไม่ลำบากมากนัก ที่สำคัญแอ่งน้ำที่นั่นใสมาก ถึงจะไม่ใหญ่หรือมีหลายชั้นเหมือนกับน้ำตกอื่น ๆ ก็เถอะ”

   เวหาเสริมตามอย่างนึกขึ้นได้ ซึ่งก็ทำให้หลายคนสนใจ และตัดสินใจเพิ่มโปรแกรมท่องเที่ยวน้ำตกเอาไว้ในวันหยุดยาวครั้งนี้ด้วย

   

   และเมื่อนั่งพูดคุยกันจนเกือบจะถึงเวลาสามทุ่ม ทางด้านเอริคก็เอ่ยตัดบทให้ทุกคนแยกย้ายไปพักผ่อน เพราะรวีนั้นเกิดตัดสินใจดึงเวลาท่องเที่ยวน้ำตกมาเป็นวันพรุ่งนี้ ตามประสาคนใจร้อนเสียแล้ว

   “เฮ้...เจ...”

   เวทิตหันมาบอกเพื่อนสนิทที่เดินตามตนมา แล้วพยักเพยิดหน้าเป็นเชิงให้อีกฝ่ายไปคุยกับเอริคที่เหลือเป็นรายสุดท้ายยังไม่กลับไปไหน เจตต์นั้นชะงัก แต่ก็ยังคงเดินกลับไปคุยกับอีกฝ่ายที่นั่งอยู่

   “เอ่อ...คุณเอริคจะอยู่ต่อหรือครับ”

   “เธอคงอยากให้ฉันรีบกลับไปเร็ว ๆ สินะ”

   เอริคย้อนถามเสียงเรียบ ทำเอาเจตต์สะดุ้งแล้วรีบแก้ตัวกลับไป

   “อ๊ะ! เปล่านะครับ!”

   ทั้งคู่เงียบไปสักพัก เจตต์จึงเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อนอย่างตะกุกตะกัก

   “เอ่อ...ถ้าคุณเอริคจะอยู่ต่อ...ผมก็กะว่าจะมานั่งคุยเป็นเพื่อนน่ะครับ...ไม่ได้มีอะไรมากกว่านั้น”

   แม้ว่าคำพูดนั้นจะติดขัด หากแต่แววตาก็แสดงให้เห็นถึงความจริงใจไม่ได้หลุกหลิกแต่อย่างใด ทำให้คนฟังเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะแย้มยิ้มน้อย ๆ ให้เห็น

   “ขอบใจ...ถ้าอย่างนั้นช่วยอยู่เป็นเพื่อนคุยกับฉันอีกสักพักจะได้ไหม”

   “อ๊ะ...ดะ...ได้ครับ”

   เด็กหนุ่มรีบตอบรับ แล้วก็นั่งลงฝั่งตรงข้ามกับอีกฝ่าย ก่อนจะก้มหน้างุดไม่รู้จะทำยังไงดี ทางด้านเอริคก็ไม่ได้คิดจะเป็นฝ่ายเริ่มต้นสนทนาก่อน เขาเพียงแต่นั่งจ้องคนที่ตนสนใจตรงหน้าเงียบ ๆ เท่านั้น

   ‘เฮ้อ...ก็ไม่ใช่อยากจะส่งเสริมให้เพื่อนเป็นเกย์หรอก...แต่นายคงจะไม่รู้ตัวเองเลยสินะเจ ว่าเวลาอยู่กับคุณเอริคเขาน่ะ นายแสดงออกยังไงบ้าง...ลองเป็นถึงขนาดนี้แล้ว แทนที่จะช่วยห้าม สู้ช่วยส่งเสริมแทนดีกว่าล่ะนะ ...แหม! เรานี่ช่างเป็นเพื่อนที่แสนดีจริง ๆ แฮะ’   

   เวทิตคิดในใจ ก่อนจะเดินฮัมเพลงเข้าไปในห้องพักอย่างอารมณ์ดี เสียงปิดประตูห้องทำให้คนที่กำลังนั่งอยู่เงียบ ๆ สะดุ้ง แล้วเหลือบไปมองทางเข้าห้องพักของเพื่อนด้วยสายตาอึ้ง ๆ

   “...คงอยากไปนอนบ้างแล้วสินะ”

   เอริคตีความสีหน้าแบบนั้นของเด็กหนุ่ม ซึ่งเจตต์ก็หันมายิ้มเจื่อน ๆ แล้วมีท่าทางกังวลจนคนมองต้องถอนหายใจเบา ๆ

   “ไปนอนเถอะ ฉันกลับล่ะ”

   บอกจบเอริคก็ลุกขึ้นยืนและเตรียมเดินออกจากบ้านพักไป ทำเอาเจตต์ที่นั่งอยู่ตกใจและรีบลุกขึ้นตามไปติด ๆ

   “อ๊ะ! เดี๋ยวผมเดินไปส่งนะครับ!”

   “ไม่เป็นไร...”

   เอริคหยุดเดินหันมาบอก ทำให้คนที่ก้าวตามมาติด ๆ ชนเข้าให้กับร่างสูงเต็มแรง เด็กหนุ่มตกใจรีบถอยหลังหนีแต่ก็ลนลานจนเกือบจะล้มทำให้อีกฝ่ายต้องรีบรั้งร่างตรงหน้ามาไว้ในอ้อมกอดเสียก่อน

   “ใจเย็น ๆ เดี๋ยวก็ล้มลงไปหรอก”

   น้ำเสียงทุ้มที่ดังขึ้นข้างหูทำให้เจตต์หน้าแดงวาบ ใจเต้นแรง ยืนแข็งค้างนิ่งให้อีกฝ่ายกอดเอาไว้เช่นนั้นสักพัก จนเอริคต้องเป็นฝ่ายตัดใจผลักร่างของเด็กหนุ่มออกห่าง เพราะเกรงว่าตนจะห้ามใจตัวเองเอาไว้ไม่ไหวนั่นเอง

   “ฉันไปล่ะ พรุ่งนี้เจอกันนะ...ราตรีสวัสดิ์”

   ชายหนุ่มโน้มใบหน้าไปกระซิบบอกพร้อมกับหอมแก้มอีกฝ่ายแผ่วเบา ทำให้คนที่นิ่งอึ้งอยู่แล้วยิ่งอึ้งหนัก แม้กระทั่งว่าเอริคเดินจากไปพร้อมกับปิดประตูบ้านให้เรียบร้อยแล้ว เจตต์ก็ยังยืนนิ่งอยู่กับที่ตรงนั้นไปอีกพักใหญ่เลยทีเดียว


…TBC…

สำหรับคู่นี้ ก็เริ่มหวานขึ้นเรื่อย ๆ เอาจริง ๆ หนูเจ เค้าก็เริ่มชอบแล้วล่ะ แต่ก็ไม่กล้ายอมรับใจตัวเอง  ส่วนนายต้น ที่มีคนบอกสงสาร น่าจะให้มีคู่กับเขาบ้าง กำลังคิดอยู่ว่าจะให้ได้สาว หรือได้หนุ่มดี แหะ ๆ ^^"


ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
 :o8:  ยืนตัวแข็งเลยน้อ จะนอนหลับไหมน้องเจ

คุณเอริคมาถูกทางแล้วจ้ะ

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ Nunun_B2UTY

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 132
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-2

ออฟไลน์ Ryu_Chise

  • You love me?
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 99
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
เจ น่ารัก >< เชียร์ๆๆๆ ต้นโสดคนเดียวไม่ได้นะ ต้องมีคู่สิๆๆๆ

 :katai4: :katai4: :katai4: :katai4:

ออฟไลน์ ทิวลิปสีส้ม

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 867
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +82/-0
ต้นจะมีคู่แล้ววววววว ปริ่มค่ะ น้ำตาจะไหล
คนแต่งเมตตานายแล้วต้น 555555555  :laugh3:
ต้น: .... เอ่อ จะดีเหรอ วาบๆ ด้านหลังอย่างบอกไม่ถูก
อิชั้น: แหม เด็กดีๆ มันต้องมีครั้งแรกเป็นธรรมดา 55555
ต้น: ... ครั้งแรกอะไรรึครับ?
อิชั้น: ก็ ครั้งแรกจาก first boyfriend ไงจ๊ะ อิอิ (ชั้ดเจนมากอิชั้น :hao7: )
ก็นะ เป็นเพื่อนที่แสนดีแบบนี้จะเดียวดายไม่ด๊ายยยย ขอบคุณคนแต่งค่ะ (อ่าวเฮ้ย! นี่แกมัดมือชกสินะ!)

หนูเจน่ารักขึ้นทุกวัน คุณเอริครุกเข้าค่า
รุกอีกๆๆ ชอบอ่ะ เค้าหอมแก้มกันแล้ววววว  :-[ บรรยากาศตอนนี้มุ้งมิ้งมากมาย
ตอนไปน้ำตก จะมีอะไรเกิดขึ้นเปล่าเอ่ย อยากเห็นน้องเจในชุดวาบหวิวอีก  :m3:
อรั๊ยยยยย รออ่านตอนต่อไปค่ะ   :L2:

ออฟไลน์ Xenon

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 705
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +482/-4
*ช่วงสงกรานต์ สำหรับปัดเป็นเทศกาล ทำความสะอาด จัดบ้าน รวมญาติ สังสรรค์ ฯลฯ เลยไม่ค่อยสะดวกมาหน้าคอม แต่ถ้านึกได้ก็จะมาโพสให้อ่านเป็นระยะ แบบนี้นะคะ*


บทที่ 6



   เช้าวันรุ่งขึ้น ทุกคนต่างพากันมารวมตัวที่หน้าบ้านของเวหาเพื่อขึ้นรถตู้ที่รวีจัดการให้ ทางด้านเจตต์นั้นนั่งสัปหงกไปตลอดทางจนหลายคนแอบสงสัย แต่ต้นเหตุที่ทำให้เด็กหนุ่มเป็นเช่นนั้นกลับอมยิ้มน้อย ๆ อย่างพอจะคาดเดาได้ว่า ที่อีกฝ่ายนั้นนอนไม่พอเกิดมาจากสาเหตุใดกันแน่

   น้ำตกที่ทุกคนมาเที่ยว อยู่ไม่ไกลจากบ้านของเวหานัก ทางเข้าน้ำตกต้องเดินเท้าเข้าไปอีกเป็นกิโล ทว่าพอมาถึงตัวน้ำตกทุกคนก็เลิกบ่นและแทบจะหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง

   “สวยมาก...น้ำใสน่าเล่นชะมัด”

   เจตต์เปรยขึ้นมาอย่างเพ้อ ๆ นัยน์ตาเป็นประกายแวววาวจนคนอื่นนึกขำแกมเอ็นดู

   “ทางเข้าลำบากอย่างนี้นี่เอง คนถึงไม่เยอะและยังคงความเป็นธรรมชาติได้อยู่แบบนี้”

   รวีพึมพำขึ้น ซึ่งเวหาที่ได้ยินก็พยักหน้าเห็นด้วย

   “ใช่ครับ...แต่ก็ต้องระวังอย่าเดินเที่ยวเข้าไปลึกมาก เพราะอาจจะหลงป่าเข้าให้ได้  ตอนสมัยยังเด็กผมกับมีนเดินเล่นซนจนเกือบหลง โชคดีที่พ่อตามไปเจอ แต่โดนดุและโดนห้ามเที่ยวอยู่หลายเดือนจนเข็ดเลยล่ะครับ”

   เวหาเล่าให้ฟังแล้วยิ้มเจื่อน ๆ ซึ่งนั่นก็ทำให้รวีที่ได้ยินแอบสะดุ้ง นี่ถ้าเขาอยู่ด้วยตอนนั้นแล้วเวหาเกิดหายไป เขาก็คงร้อนใจและเป็นห่วงอีกฝ่ายอยู่ไม่น้อย

   “ก็ไม่แปลกหลอกที่จะหลงทาง ก็ฟ้าน่ะเป็นจอมหลงทิศมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว พอ ๆ กับเจมันเลย เวลาไปไหนไม่คุ้นที่ ขืนให้สองคนนี่นำทางมีหวังหลงกับหลงอย่างเดียวล่ะนะ”

   เวทิตเสริมขึ้นมา ทำเอาสองคนที่ถูกเพื่อนสนิทแฉ ต่างประท้วงขึ้นแทบพร้อมกัน

   “จอมหลงทิศอะไรกันวะ! ฉันก็แค่เป็นพวกจำสับสนนิด ๆ หน่อย ๆ แล้วก็ไม่ได้พานายหลงบ่อยสักหน่อย!”

   เจตต์โวยขึ้นมาก่อน ซึ่งเวหาก็รีบเอ่ยเสริมตามมาทันที

   “ส่วนฉันเท่าที่เคยพานายหลงก็แค่ครั้งเดียวเองไม่ใช่หรือไงต้น แล้วนั่นมันก็นานมาแล้ว จะว่าฉันเป็นจอมหลงทิศนี่ มันไม่ค่อยจะยุติธรรมเท่าไรเลยนะ”

   เวทิตมองเจตต์และเวหาสลับกัน ก่อนจะลอบถอนหายใจเบา ๆ เพราะเจตต์นั้นตอนที่เคยนัดไปเที่ยวห้างดังในกรุงเทพฯ กับเขาเมื่อปีที่แล้ว อีกฝ่ายที่โม้กับเขาเสียดิบดีว่าเคยมาเที่ยวกับครอบครัวที่นี่หลายครั้ง ก็พาเขาหลงไปคนละทิศ จนสุดท้ายต้องไปสอบถามคนแถวนั้น และทำให้รู้ว่าอีกฝ่ายพาเขามาผิดทางนั่นเอง

    ส่วนทางด้านเวหานั้นก็ใช่ย่อย แม้เด็กหนุ่มจะบอกกับเขาว่าเคยพาเขาหลงเพียงแค่ครั้งเดียว แต่ครั้งเดียวของเวหาก็ทำให้เวทิตเข็ดขยาด เพราะเด็กหนุ่มในตอนนั้นนำพวกเขาซึ่งไปเข้าค่ายลูกเสือตอนมัธยมปลาย ทำกิจกรรมเดินทางไกล จนเดินหลงไปคนละเส้นทางหลายกิโล เดือดร้อนพวกอาจารย์ต้องเป็นฝ่ายออกตามหาเลยทีเดียว

   “โอเค ๆ ฉันผิดเอง...พวกนายแค่เคยสับสนทิศนิดหน่อยเมื่อนานมาแล้วก็เท่านั้น... พอใจหรือยังล่ะ”

   เวทิตที่โดนเพื่อนรุมยักไหล่พร้อมบอกอย่างเอือมระอา ซึ่งก็ทำให้เวหากับเจตต์หันมายิ้มให้กันแล้วตบบ่าเพื่อนคนละข้าง

   “ก็พอไหววะ!”   

   เจตต์บอกกึ่งขำ เพราะจริง ๆ แล้วเขาก็ไม่ได้โกรธอะไรเรื่องที่เพื่อนสนิทว่า เนื่องจากไม่ใช่แค่เวทิตเท่านั้นที่พูดแบบนี้ กระทั่งครอบครัวของเขาเองก็ยังบ่นอยู่บ่อย ๆ เรื่องที่เขาเป็นพวกจำทางไม่เก่งและชอบหลงทิศอยู่เสมอ แต่ถึงกระนั้นเขาก็ต้องแกล้งโวยวายบ่นใส่เพื่อนเอาไว้ก่อน เพราะไม่อยากจะเสียฟอร์มต่อพวกรวีนั่นเอง

   ส่วนทางด้านเวหานั้นผิดกัน เจ้าตัวยังคงคิดว่าความผิดพลาดสมัยมัธยมปลายเป็นเพราะเขาจำทางผิดไปเท่านั้น ไม่ได้คิดว่าตนเป็นจอมหลงทางหลงทิศอย่างที่เพื่อนพูดมาแต่อย่างใด ซึ่งหากเด็กหนุ่มจะลองทบทวนดูสักนิด ก็จะพบว่าเวลาที่ครอบครัวหรือเพื่อนฝูงไปท่องเที่ยวแล้วเกิดไม่แน่ใจทิศทางขึ้นมา ยามใดที่เขาเสนอว่าน่าจะไปเส้นทางนี้ อีกฝ่ายก็มักจะเลือกเส้นทางตรงข้ามแทนเสมอ แต่เขาก็ไม่เคยเก็บมาใส่ใจเพราะมัวแต่อยากให้ถึงเป้าหมายไว ๆ เสียมากกว่า

   

   ทางด้านเอริคนั้นยืนฟังข้อมูลที่ได้รับรู้จากเวทิตอย่างเงียบ ๆ แม้จะให้นักสืบคอยสืบเรื่องราวเกี่ยวกับเจตต์มาบ้างแล้ว หากแต่เรื่องอุปนิสัยอื่น ๆ ของเด็กหนุ่มนั้น ถ้าไม่รู้จากเพื่อนสนิท ครอบครัว ก็คงจะต้องคอยสังเกตจากเจ้าตัวได้แค่อย่างเดียว และเอริคเองก็ต้องการทราบทุกอย่างเกี่ยวกับเด็กหนุ่มที่เขาพึงใจเสียด้วย

   “ถ้าอย่างนั้นมีนจะปูเสื่อกับจัดกล่องข้าวไว้รอนะ พวกพี่ ๆ จะไปเล่นน้ำตกก็ไปเล่นกันก่อนได้เลย มีนเฝ้าของให้เอง”

   “อ้าว อย่างนี้น้องมีนก็ไม่ได้เล่นน้ำน่ะสิครับ”

   เจตต์ท้วงขึ้นมา ซึ่งมีนาก็ยิ้มหวานให้แล้วเอ่ยตอบ

   “ไม่เป็นไรหรอกครับ จริง ๆ มีนก็ไม่ชอบเล่นน้ำเท่าไหร่ แต่ชอบนั่งชมบรรยากาศริมน้ำมากกว่า”

   คนฟังพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะหันมาสบตากับเอริคเข้าโดยบังเอิญ เจตต์นั้นสะดุ้งโหยง แล้วยิ้มเจื่อนให้อีกฝ่ายอย่างเคยชิน

   “ง่า...แล้วคุณเอริคจะเล่นน้ำด้วยกันไหมครับ”

   เอริคนิ่งเงียบคิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะปฏิเสธออกไป

   “ไม่ล่ะ...ฉันว่าฉันนั่งเฝ้าเธอเล่นเฉย ๆ แทนดีกว่า”

   เด็กหนุ่มยิ่งยิ้มแห้งเข้าไปใหญ่ เจ้าตัวรับคำเบา ๆ แล้วเดินก้มหน้าก้มตาไปรวมกลุ่มกับเพื่อนอีกสองคนแทน ทางด้านรวีที่มองอยู่จึงเดินมาสมทบกับลูกพี่ลูกน้องของเขาและเอ่ยปากถามอย่างแปลกใจ

   “อ้าว...ฉันก็นึกว่านายจะฉวยโอกาสพัฒนาสัมพันธ์กับเขามากกว่านี้ ถ้าไปเล่นน้ำด้วยกัน ยังแกล้งจับแกล้งกอดแกล้งแต๊ะอั๋งได้ตั้งเยอะนา”

   เอริคหรี่ตามองญาติของเขา ก่อนจะถอนหายใจเอามาเฮือกใหญ่

   “ขอบใจสำหรับคำแนะนำ ...แต่ไว้เขายอมรับฉันโดยไม่กลัวไม่หนี ให้ได้ก่อน ฉันถึงจะค่อยพิจารณาความคิดของนายก็แล้วกัน”

   เอริคตอบตัดบททำให้รวียักไหล่ แต่แล้วเจ้าตัวก็ต้องสะดุ้งโหยงเมื่อลูกพี่ลูกน้องของเขาเปรยขึ้นตามมา

   “แต่ฉันไม่เข้าใจ ว่าเด็กนั่นจะกลัวอะไรฉันนักหนา ...ตอนที่เราเจอกันครั้งแรก ฉันก็ไม่ได้ตวาดหรือดุเขาเลยสักนิดแท้ ๆ”

   “ง่า...แหม ก็บุคลิกของนายมันน่าเกรงขามนี่นา ถ้าคนไม่เคยรู้จักตัวตนของนายมาก่อนจะกลัวนายบ้างมันก็ไม่แปลกหรอก”

   รวีรีบแก้ตัว ทั้งนี้เพราะเขาและคนอื่น ๆ ยังไม่เคยมีใครบอกเอริคเลยว่า ที่เจตต์นั้นกลัวแสนกลัวอีกฝ่ายขนาดนั้น ก็เพราะเรื่องที่เขาเผลอเล่าเกี่ยวกับคดีแฟนเก่าของอีกฝ่ายนั่นเอง

   ทางด้านเอริคพอได้ยินคำแก้ตัวของลูกพี่ลูกน้อง ก็ทำให้เขาต้องขมวดคิ้วยุ่งนิด ๆ เนื่องจากพอจะมองออกว่าอีกฝ่ายมีอะไรปิดบังเขาอยู่ และน่าจะเป็นเรื่องสำคัญเสียด้วย

   “พี่ซันครับ! ลงเล่นน้ำด้วยกันไหมครับ!”

   เสียงของเวหาที่เรียกตนทำให้รวีหันขวับไปมอง ก่อนจะเบิกตากว้าง แล้วรีบจ้ำพรวดไปหาคนรักทันที

   “น้องฟ้าครับ! ถอดเสื้อทำไมกันครับ!”

   เวหาค่อนข้างตกใจนิด ๆ ที่อีกฝ่ายพุ่งพรวดเข้ามาโวยวายใส่เขา แต่ก็ยังคงตอบไปตามตรง

   “อ้าว ก็ถอดเสื้อเล่นน้ำน่ะสิครับ”

   รวีถอนหายใจแล้วดึงแขนอีกฝ่ายไปห่าง ๆ ก่อนจะออดอ้อนเบา ๆ ชนิดที่ทำให้คนฟังหน้าแดง โดยเจตต์กับเวทิตที่ยังไม่ทันได้ถอดเสื้อก็มองตามเพื่อนไปและพอจะรู้ว่าเหตุใดรวีถึงต้องโวยวายเรื่องเมื่อครู่นี้

   “ก็รู้ว่าพี่ซันแกหวงฟ้ามาก แต่ไม่คิดว่าจะหวงขนาดนี้เลยว่ะ”

   เจตต์พึมพำ ซึ่งก็ทำให้เวทิตเหลือบมามองคนพูดแล้วหันไปมองชายหนุ่มอีกคนที่กำลังจ้องมายังพวกเขาเขม็ง

   “ฉันว่าไม่ใช่แค่พี่ซันที่หวงฟ้าหรอก...สงสัยพวกเราคงต้องลงเล่นน้ำทั้งชุดกันแล้วล่ะนะ”

   เจตต์หันมามองเพื่อนอย่างแปลกใจ แต่พอเหลือบไปมองเอริคที่จ้องเขาอยู่ เด็กหนุ่มก็นึกขึ้นมาได้ว่าทำไมเพื่อนถึงพูดแบบนั้น ใบหน้าขาวเริ่มมีสีระเรื่อที่ชวนให้เวทิตนึกขำ

   “หึ ๆ แต่ก็น่าให้นายลองถอดเสื้อเล่นน้ำดูนะ ฉันอยากเห็นปฏิกิริยาคุณเอริคเขาเหมือนกันว่ะ ว่าจะหวงนายแบบไหน”

   “อะ...ไอ้บ้า หวงเหิงอะไรกัน ฉันไม่ได้เป็นอะไรกับเขาสักหน่อย!”

   เจตต์แก้ตัวเสียงสั่น หน้าแดงก่ำด้วยความเขิน ก่อนจะเดินเลี่ยงเพื่อนที่กำลังกลั้นหัวเราะไปเล่นน้ำก่อนคนแรกด้วยความหงุดหงิดที่ถูกล้อเลียนเอาเช่นนี้

   “อ้าว ๆ อย่างอนสิวะ  เฮ้! รอด้วยเจ ฉันเล่นด้วยคน”

   เวทิตรีบบอกเพราะเห็นเพื่อนเดินดุ่ม ๆ ไปก่อน ส่วนเวหาหลังจากสวมเสื้อเรียบร้อยอย่างจำใจ เจ้าตัวก็เดินตามเพื่อนทั้งสองไปติด ๆ โดยรวีนั้นเลือกที่จะไปนั่งเฝ้าเวหาเล่นน้ำ ใกล้ ๆ กับที่เอริคนั่งมองเจตต์อยู่ก่อนหน้านั้น ส่วนเมฆากับมีนาก็นั่งพูดคุยหยอกล้อกันอีกทางอย่างเพลิดเพลินแทน

   

   แอ่งน้ำใสกว้างเย็นฉ่ำสบาย ช่วนให้คนที่กำลังหงุดหงิดผ่อนคลายลงไปได้มาก พอเพื่อนทั้งสองตามลงมาสมทบ เจตต์ก็กลับมาอารมณ์ดีและดำผุดดำว่ายเล่นน้ำกับเพื่อนสนิทได้อย่างร่าเริงทันที

   “เหวอ! น้ำลึกใช่ย่อยนะเนี่ย พื้นด้านใต้เนี่ย”

   เจตต์ที่ว่ายเข้าไปใกล้ชั้นน้ำตกเอ่ยปาก เพราะพื้นที่เขาเหยียบลาดลงไปจนน้ำเล่นระดับตื้น ๆ แค่หน้าอกลึกไปจนเกือบมิดศีรษะเลยทีเดียว

   “เฮ้! ระวัง ๆ หน่อยนะเจ  แถวนั้นน้ำมันลึกมาก”

   เวหาตะโกนเตือนเพื่อนสนิท ซึ่งคำเตือนนั้นก็ทำให้เอริคขมวดคิ้วยุ่ง แล้วยิ่งจ้องมองเจตต์อย่างไม่วางตามากขึ้นไปอีก

   “น้ำลึกด้วยหรือ อันตราย ๆ น้ำเย็นจัดเสียด้วยสิ ...น้องฟ้าเล่นริม ๆ ฝั่งดีกว่าครับ ระวังเป็นตะคริวด้วยนะ  ถ้าเกิดอะไรขึ้นต้องรีบบอกนะครับ!”

   รวีที่ได้ยินคำเตือนเช่นกันรีบวักน้ำวัดความเย็นดู แล้วตะโกนบอกคนรักอย่างเป็นห่วง ทำให้เวหาหันมายิ้มตอบเขิน ๆ แต่ก็ยังคงพยักหน้ารับรู้ส่งให้คนเตือนสบายใจอยู่ดี

   “น้ำเย็นสบาย แต่ถ้าคนว่ายน้ำไม่แข็งก็น่ากลัวเหมือนกันนะ”

   เวทิตบ่นกับเพื่อน ซึ่งทั้งสองก็เห็นด้วยและเริ่มระมัดระวังในการเล่นน้ำมากขึ้น พวกเขาเล่นอยู่เป็นชั่วโมง รวีก็เห็นว่าน่าจะพักได้แล้ว จึงชวนทั้งสามให้ขึ้นจากน้ำเสียก่อน

   “ทุกคนขึ้นมาพักก่อนดีกว่าครับ เดี๋ยวค่อยลงไปเล่นใหม่ก็ได้”

   เด็กหนุ่มทั้งสามหันไปมองคนชวนแล้วก็ขานรับคำ ทางด้านเวทิตนั้นปีนขึ้นฝั่งอย่างคล่องแคล่ว ส่วนเวหา ทางรวีก็คอยรอบริการช่วยดึงอีกฝ่ายจากน้ำอยู่แล้ว และคนสุดท้ายที่ว่ายมาหลังสุดก็กำลังชะงักเมื่อเห็นเอริคยืนรอเขาอยู่

   “จะไม่ขึ้นหรือไง”

   คำถามดังขึ้นจากเอริคเมื่อเห็นว่าเจตต์นั้นไม่ยอมว่ายมาหาตนสักที

   “เอ่อ...ขึ้นสิครับ”

   เจตต์บอกเสียงอ่อยแล้วว่ายไปที่ฝั่งห่างจากที่เอริคอยู่ ทว่าพอเด็กหนุ่มจะยันตัวขึ้น คนที่ยืนอยู่ก็เดินตามมาแล้วยื่นมือส่งให้อีกฝ่าย

   “ง่า...เอ่อ...”

   เจตต์พูดอะไรไม่ออก แต่พอเห็นอีกฝ่ายถอนหายใจแล้วทำท่าจะถอนมือไป เขาก็ตกใจแล้วรีบเอื้อมจับมืออีกฝ่ายหมับทันที

   “อ๊ะ..เอ่อ...คือ ถ้าไม่ลำบากนัก ช่วยดึงผมขึ้นไปได้ไหมครับ”

   เจตต์ก้มหน้าบอกไม่กล้าสบตากับชายหนุ่ม จึงไม่ได้เห็นรอยยิ้มอ่อนโยนของคนที่ชอบทำหน้าขรึมเบื้องหน้าเขา

   “ได้สิ...”

   เอริคบอกเสียงแผ่ว เขาดึงรั้งร่างของเด็กหนุ่มขึ้นมา ใบหน้าของเจตต์เฉียดริมฝีปากของเอริคไปเล็กน้อย เด็กหนุ่มหน้าแดงวาบ รีบปล่อยมือจนทำให้เสียหลักพลัดตกลงไปในน้ำดังตูมใหญ่ ทางด้านเอริคชะงักด้วยความตกใจไปชั่วครู่ ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ เมื่อเห็นคนที่หล่นไปในน้ำโผล่พรวดขึ้นมาไอค่อกแค่ก แต่พอสบตาเขาเจ้าตัวก็อายหน้าแดงแล้วรีบดำน้ำหลบ ก่อนจะโผล่ขึ้นมาอีกครั้งพลางสำลักน้ำเข้าอีกยกใหญ่



   “เห...ไม่ได้เห็นหมอนั่นหัวเราะแบบนี้มานานแล้วนะ น้องเจนี่เจ๋งจริง ๆ แฮะ ทำให้เสือยิ้มยากอย่างหมอนั่นออกอาการขนาดนี้ได้”

   รวีที่มองอยู่ห่าง ๆ พึมพำขึ้นมาพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า คำพูดนั้นทำให้เวหาที่อยู่ใกล้จ้องมองเพื่อนของเขาที่ตอนนี้ถูกดึงขึ้นมาบนฝั่งเรียบร้อย ก่อนจะยิ้มน้อย ๆ ตามมา

   “ถ้าเจเกิดชอบคุณเอริคขึ้นมาจริง ๆ ก็คงดีนะครับ”

   รวีหันมามองคนรักของเขาแล้วยิ้มตอบ จากนั้นพวกเอริคก็ตามมาสมทบ ทั้งหมดล้อมวงกันกินอาหารกลางวันที่มีนากับวารีทำมาให้อย่างเอร็ดอร่อย และหลังจากอิ่มแล้วเจตต์ก็ชวนพวกเวหาไปเดินเล่นเพื่อย่อยอาหารแถวนี้แทน 



   “ฟ้าบอกว่าน้ำตกมีหลายชั้นใช่ไหม งั้นเราเพิ่งกินอิ่ม ๆ แบบนี้ เราไปเดินสำรวจดูกันดีกว่า ถ้าชั้นไหนสวยน่าเล่นก็ย้ายไปเล่นชั้นนั้นกันแทนไงล่ะ!”

   ทั้งเวหากับเวทิตพอได้ยินก็ต่างพยักหน้าเห็นดีด้วย ทว่ารวีที่ฟังอยู่ก็รีบแทรกขัดขึ้นทันที

   “งั้นขอพี่ไปด้วยคนนะครับ น้องฟ้า”

   เวหาชะงักก่อนจะส่งยิ้มให้พร้อมพยักหน้าตอบรับ ส่วนเวทิตกับเจตต์นั้นลอบถอนหายใจไล่เลี่ยกัน เพราะคนรักของเพื่อนสนิทนั้น ยังคงตามติดเป็นเงาตามตัวเพื่อนของพวกเขาไม่ห่างดังเดิม

    “ถ้าอย่างนั้นฉันก็ขอไปด้วยคนแล้วกัน”

   เอริคขัดขึ้นบ้าง ทำให้เจตต์สะดุ้งโหยง หน้าแดงระเรื่อขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ 

   “เชิญตามสบายเลยครับ แล้วน้องมีนกับพี่เมฆจะมาเดินเล่นด้วยกันไหมล่ะครับ”

   เวทิตพูดตอบแทนเพื่อนของเขา แถมยังหันไปชวนมีนากับเมฆาด้วย

   “ตามสบายเลยครับ เดี๋ยวพี่กับน้องมีนอยู่เฝ้าของแถวนี้เอง”

   มีนาหน้าแดงนิด ๆ เพราะคนพูดนั้นบีบมือเขาเบา ๆ เพื่อเป็นการไม่ให้ปฏิเสธ เด็กหนุ่มพยักหน้าตอบเวทิตซึ่งอีกฝ่ายก็ยิ้มน้อย ๆ แล้วหันไปมองเจตต์ที่ทำหน้ายุ่งปนหน้าแดงอย่างน่าขำ ส่วนเอริคนั้นก็ยังคงนิ่งขรึมตามปกติเช่นเคย

   “ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ยกโขยงไปเดินเล่นกันเลยดีกว่าครับ”

   เวทิตบอกซึ่งก็ทำให้คนฟังแต่ละคนทำตาปริบ ๆ แต่ก็ยังคงพากันเดินรวมกลุ่มไปด้วยกัน และเมื่อบางเส้นทางที่ค่อนข้างแคบเดินยาก พวกเขาก็จับแยกคู่กันเดิน โดยเวหาก็เดินไปกับรวีตามคาด ส่วนเจตต์ที่ตั้งใจจะเดินกับเพื่อนสนิทก็ถูกใครคนหนึ่งขวางเอาไว้แล้วยื่นมือส่งให้เขา

   “พื้นแถวนี้ค่อนข้างลื่น ช่วยกันจูงไปน่าจะดีกว่านะ”

   เจตต์นิ่งอึ้งพูดอะไรไม่ออก พอเหลือบไปมองเวทิตก็เห็นอีกฝ่ายทำเป็นมองนกชมไม้อย่างไม่ใส่ใจตนแทน

   “...ฝากไว้ก่อนเถอะ เดี๋ยวเอาคืนทีหลังแน่ ไอ้เพื่อนเวร!”   

   เจตต์พึมพำบ่นว่าเวทิต แล้วจึงตัดสินใจส่งมือให้เอริคอย่างจำใจ เพราะอีกฝ่ายนั้นไม่มีท่าทางว่าจะถอยหรือยอมรามือไปเลยสักนิด



... TBC ...

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
เจคงเริ่มชอบแล้วล่ะ. แต่อย่าชอบแค่แบบพี่น้องนะ. พี่เอริคคงจะเสียใจแย่
ชอบบรรยากาศจัง. อยากไปส่องเอ้ยอยากไปเล่นน้ำตกบ้าง
สวัสดีปีใหม่ไทยค่ะคุณปัด  :L1:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด