แจ้งข่าวค่ะ
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: แจ้งข่าวค่ะ  (อ่าน 53734 ครั้ง)

ออฟไลน์ anana

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 49
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
แจ้งข่าวค่ะ
« เมื่อ02-12-2014 14:10:35 »

ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

18.เรื่องสั้นให้จั่วคนว่าเรื่องสั้นด้วยนะครับ และนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


"""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""

มันคือความสุขแบบที่ผมไม่เคยได้เจอ
ต้องขอบคุณอีกคนที่ทำให้ผมค้นพบอีกด้านหนึ่งของตัวเองที่ไม่เคยรู้จัก
นี่คงเป็นช่วงเวลาที่ผู้ชายอยู่ในห้วงแห่งความรักสินะ


รักระหว่างทาง
ตอนที่ 1
ตอนที่ 2
ตอนที่ 3
ตอนที่ 4
ตอนที่ 5
ตอนที่ 6
ตอนที่ 7
ตอนที่ 7 (ต่อ)
ตอนที่ 8
ตอนที่ 9
ตอนที่ 10
ตอนที่ 11
ตอนที่ 12
ตอนที่ 13
ตอนที่ 14
ตอนที่ 15
ตอนที่ 16
ตอนที่ 17
ตอนที่ 18
ตอนที่ 19
ตอนที่ 20
ตอนที่ 21
ตอนที่ 22
ตอนที่ 23
ตอนที่ 24
ตอนที่ 25
ตอนที่ 26
ตอนที่ 27
ตอนที่ 28
ตอนที่ 29

Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-04-2016 18:45:27 โดย anana »

ออฟไลน์ anana

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 49
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
ตอนที่ 1

 "แม่ๆๆๆ แม่อยู่หลังบ้านรึป่าว ป้าณีมาหา"  ผมวางสายยางที่กำลังรดน้ำต้นไม้อยู่ แล้วตะโกนเรียกแม่จากประตูรั้วหน้าบ้านสองชั้นสีครีมด้วยเสียงมากกว่าแปดหลอด

"อยู่ๆ บอกป้ารอเดี๋ยว แกงจะเดือดแล้ว กำลังจะออกไป"  เสียงตอบของแม่ดังออกมาจากครัวไทยที่ถูกต่อเติมอยู่หลังบ้านเสียงแม่ก็ดังชัดเจนมาก มากซะจนป้าณี ป้าขายขนมหวานหน้าหมู่บ้านยื่นซองเงินมาให้ แล้วรีบบอกลา โดยที่ผมไม่ต้องเอ่ยอธิบายซ้ำว่าแม่กำลังทำอะไรอยู่

"งั้นป้าฝากเงินไว้ให้แม่ด้วยนะ ทิ้งร้านเอาไว้ วันนี้วันเสาร์ด้วย คนเยอะเดี๋ยวลูกค้าจะบ่น"  ป้าแกพูดเร็วมาก

"ครับ"  ผมรับเงินพร้อมกับยกมือไหว้แบบงงๆ

"ต้องรีบเอาจักรยานไปคืนไอ้ปีมันอีก ยืมมาแค่นี้มันก็บ่นจะแย่แล้ว"  ปีคือเจ้าของจักรยานซึ่งทำหน้าที่เป็นยามหน้าหมู่บ้าน

"ขี่ระวังๆนะครับป้าณี ไม่ต้องรีบ"  ผมละกังวลผ้าถุงป้าแกจริงๆ

"จ้ะๆ ป้าไปก่อนนะแมท"

"ครับ ป้าณี"  ป้าแกยิ้มหวานให้แล้วหันหลังเดินออกจากประตูรั้วไป ป้าณีเป็นแม่ค้าขายขนมหวานอยู่ในตลาดหน้าหมู่บ้านที่ผมอยู่
       
       ส่วนแมท ก็คือชื่อผมเนี่ยแหละครับ ผมอายุ 25 ปี สถานภาพโสด อาชีพนักเขียนอิสระ เป็นคนจังหวัดภูเก็ตโดยกำเนิด อาศัยอยู่บ้านเดียวกับแม่และพี่สาวชื่อนางสาวมัทรี อายุห่างกัน 3 ปี ที่กำลังมีทีท่าว่าจะขึ้นคาน เพราะยังไม่เคยเห็นมีแฟนเป็นตัวเป็นตน พ่อผมเสียไปตั้งแต่เมื่อ 5 ปีก่อนด้วยอุบัติเหตุรถยนต์ ในบ้านเราเลยมีกันอยู่แค่สามคน ญาติๆ ก็มีแค่น้องชายของแม่ที่สนิทกันมากจนแทบจะเป็นครอบครัวเดียวกัน มีสำมะโนครัวอยู่บ้านข้างๆผมเนี่ยแหละครับ เราสองครอบครัวซื้อบ้านในโครงการสองหลังติดกัน แต่ทุบรั้วออก ให้บ้านทั้งสองหลังอยู่ในรั้วเดียวกัน แล้วแม่ก็สร้างเรือนไม้หลังเล็กให้ยายอยู่ แต่ยายไม่ค่อยได้อยู่หรอกครับ มักจะตระเวณไปปฏิบัติธรรมกับกลุ่มเพื่อนซะมากกว่า น้องชายของแม่ชื่อน้านิ ส่วนแม่ผมก็คือน้องศิที่ป้าณีพูดถึงนั่นแหละครับ น้านิทำงานเป็นวิศวะกรมีลูกสาวสองคนเป็นฝาแฝดกัน ชื่อเฟย์กับฟินกำลังเรียนอยู่มัธยมปลายที่โรงเรียนสตรีประจำจังหวัดนี่แหละครับ ส่วนน้าอิงภรรยาน้านิทำงานเป็นผู้จัดการฝ่ายบัญชีอยู่ที่โรงแรมชื่อดังริมหาดแห่งหนึ่ง

.......................................................................


ผมเดินเข้ามาในครัวไทยที่แยกชานเรือนออกมาด้านหลังบ้าน ยื่นเงินให้แม่ พร้อมกับกอดเข้าที่เอวอวบอุ่นอย่างรักใคร่
"แม่ ไม่ต้องละ ป้าณีแค่เอาค่าเช่ามาให้  ป้าแกกลับไปแล้ว" ผมกระซิบข้างหูแม่

"อ้าว ไปซะละ ว่าจะคุยเรื่องฝากหาคนเช่าซะหน่อย" แม่ผมมีบ้านให้เช่าครับ หลังตลาดสดแถวหมู่บ้านที่ผมอยู่ คนเช่าส่วนใหญ่ก็ถูกคัดโดยป้าณี ไม่เคยมีปัญหา แม่เลยลดค่าเช่าให้ป้าณีเป็นการตอบแทน รวมทั้งให้ช่วยเก็บค่าเช่าให้ด้วย ก็เหมือนจ้างให้ช่วยดูแลนั่นแหละครับ แต่ละเดือนป้าแกก็จะเก็บรวบรวมมาให้แม่ ค่าเทอมผมกับพี่สาวก็มาจากบ้านเช่านี่ละครับ เพราะพ่อเคยพูดไว้ว่าอยากให้ลูกทั้งสองคนเรียนจบสูงที่สุดเท่าที่จะทำไหว พ่อเลยทำบ้านเช่าเอาไว้ให้แม่จัดสรรเป็นค่าเทอมของพวกเราสองคน จนเราทั้งคู่จบปริญญาโทและเผื่อเอาไว้ตอนแก่ตัวจะได้มีค่าเช่าไว้ดำรงชีวิต พ่อบอกว่าเราจะหวังแต่พึ่งพาลูกไม่ได้ ต้องเตรียมตัวเองไว้ด้วย แต่ใครจะคิดว่าพ่อจะด่วนจากไปซะก่อน

"แมทเอาไปไว้ในห้องให้นะแม่" ผมบอกพร้อมยกซองเงินให้แม่ดู

"แม่จะไม่ตรวจยอดหน่อยเหรอ ว่าครบรึป่าว"

"ไม่ต้องหรอก คนเช่าแต่ละหลังเค้าโทรมาบอกแม่แล้วว่าจ่ายให้กับป้าณีไปเท่าไหร่ อีกอย่างณีเค้าก็ไม่ใช่คนไว้ใจไม่ได้ เดี๋ยวแม่ค่อยไปนับอีกที เอาไปเก็บบนห้องให้แม่ก่อนไป"

"ครับแม่" ผมก้มลงหอมแก้มขาวๆนั่นอีกครั้ง

"อย่ามาอ้อนน่า เข้าใจแล้ว ก็รีบไปอาบน้ำไป จะได้ลงมากินข้าว ไปปลุกพี่มัทด้วย เดี๋ยวจะไปเปิดร้านไม่ทัน" พี่สาวผมเปิดร้านอาหารฟิวชั่นฟู้ดริมหาด แล้วก็มีโซนแบ่งเป็นร้านกาแฟและขนมเล็กๆสำหรับแม่ จะได้ไว้แก้เหงา แต่ด้วยตำแหน่งที่ตั้งร้าน และความเข้มงวดของแม่ ทำให้แม่น่าจะยิ่งกว่าหายเหงา เพราะขนาดมีลูกจ้างมาช่วยถึงสองคน แม่ก็ยังต้องเข้าร้านไปทำขนมเองทุกวัน

"ครับๆ คุณนาย" ผมเดินขึ้นบันไดไปปลุกพี่สาวขี้เซา

.......................................................................


"คุณมัทรี ขณะนี้เป็นเวลา 9 นาฬิกาแล้ว ถ้าไม่ตื่นตอนนี้ แม่จะยกหม้อแพนงไก่ให้สองแฝดนะ" ใส่สีตีไข่ไปนิดหน่อย เพราะพี่มัทเป็นคนตื่นยากมาก และเห็นแก่กินมากด้วย

"เฮ้ย!!! อย่า ตื่นแล้วๆ บอกแม่ 10 นาที เดี๋ยวมัทลงไป"

"20 นาทีก็ได้พี่มัท ถูขี้ไคลหน่อยเถอะ" วิ่งผ่านน้ำรึป่าวก็ไม่รู้

"เออๆ 15 นาที ตักข้าวรอเลยแมท แพนงไก่ด้วยตักถ้วยใหญ่ๆแบ่งไว้ให้ก่อนเลยนะ ของบ้านสองแฝดเดี๋ยวมัทยกไปให้เอง"    ได้เวลาผมไปอาบน้ำแต่งตัวบ้างจะได้เตรียมไปส่งแม่กับพี่มัทที่ร้าน

.......................................................................


       บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเต็มไปด้วยความวุ่นวายเล็กๆจากพี่สาวที่พยายามจะกินทั้งขนมปังที่เอามาจิ้มกับน้ำแพนงไก่ และสองแฝดที่จะกินข้าวสวยร้อนราดแพนงไก่ เอาขนมปังจุ่มน้ำแกงมันอร่อยนะ พวกผมทานกันมาตลอดตั้งแต่เด็กๆอาหารยามเช้าบ้านผม ถูกยืดเวลามาจนสายเสมอ เพราะลูกบ้านนี้กว่าจะพร้อมทานกันก็โน่น เกือบสิบโมง ส่วนสองแฝด จะมากินที่บ้านผมทุกเสาร์อาทิตย์แล้วก็ปิดเทอม เพราะถ้ามาทานตอนเช้าจันทร์ถึงศุกร์มีหวัง สายกันยกครัว แต่แม่ผมก็ไม่เคยกะเกณฑ์เรื่องเวลาทานข้าวว่าจะต้องทานพร้อมกัน ใครพร้อมก็ทานไปก่อน ซึ่งก็มักจะมีแต่แม่ที่ทานมื้อเช้าที่เป็นมื้อเช้าจริงๆคือหลังจากตักบาตรพระเรียบร้อย แล้วก็จะมาคอยดูแลพวกผมตอนที่พวกผมทานกันอีกครั้งนึง

"เอ้อ แมท เดือนหน้ามีงานสำคัญอะไรไหม ฟินอย่าแย่งขอบขนมปังพี่สิ!"   ทีละอย่างได้ไหมพี่มัท จะกินหรือจะถาม

"ไม่นะพี่มัท ปิดต้นฉบับไปแล้วเรียบร้อย รอส่งให้สำนักพิมพ์ อาทิตย์หน้าก็ว่างยาวเลย เพราะยังคิดพลอตเรื่องใหม่ไม่ออก มีอะไรรึป่าว"   ใช่ครับ ผมเป็นนักเขียนอิสระ อย่างที่กล่าวมาข้างต้น

"พอดีได้ตั๋วฟรีไปกลับฮ่องกงจากเพื่อนมา มันทำเป้าบริษัทน้ำมันเครื่องได้ แล้วมันเองก็ไปเพิ่งไปมา เลยยกตั๋วให้ แต่มัทไปไม่ได้หว่ะ ไม่อยากทิ้งร้าน หน้าไฮด้วย ลูกค้าเยอะ"   เป็นไปได้ไงเนี่ย พี่แกยอมสละของฟรีเหรอ

"เอาความจริง!"   ผมเชื่อว่าต้องมีอะไรแอบแฝง สองแฝดมองหน้าผม ด้วยสายตาสงสัยแบบเดียวกัน

"เฟย์ไม่เชื่อหรอก พี่มัทเคี่ยวจะตาย ของฟรีมีเหรอจะยอมเสียให้ใคร"   เห็นไหมละ คิดเหมือนผมเป๊ะ

"ไม่มี๊...ห่วงร้านจริงๆ"   น่าเชื่อมากๆนะ

"ให้แมทไปเฝ้าให้ก็ได้นี่ ปกติไม่เห็นเคยห่วงขนาดนี้ บอกมาเถอะว่ามันมีอะไรมากกว่านั้นมัท"   ขนาดแม่ยังสงสัย

"ป้าศิ ฟินว่าเค้าต้องให้พี่มัทออกตังค์ด้วยแหงเลย"   ฮ่าๆๆ ผมก็คิดแบบนั้นนะ

"โธ่! รู้ทันตลอด ก็มัทต้องจ่ายภาษีสนามบินกับค่าที่พักเอง แถมที่พักถ้าจองใกล้ๆแบบนี้แพงตายเลย สู้รอซื้อตั๋ว 0 บาทของสายการบินแดงพร้อมโปรที่พักยังถูกกว่าอีก"   นั่นไงไม่ผิดจากที่ผมคิดจริงๆ

"ก็เลยให้พี่แมทไปแทนใช่ไหม เพราะก็เสียดายอยู่ถึงมันจะไม่ฟรีทั้งหมด"   ฟินว่า เฟย์ก็หัวเราะตาม

"แกอย่ามารู้ดี สองแฝด"   มีหันไปมองค้อน

"แมทไม่อยากไป ไม่เคยไปต่างประเทศเลย แถมยังต้องไปคนเดียวอีก"   ผมเกลียดการทำอะไรคนเดียวจริงๆนะ ถึงผมจะรักสันโดษก็เถอะ

"แต่แม่ว่า แมทไปพักผ่อนมั่งก็ดีนะลูก ถือไปเที่ยวหาประสบการณ์มาเขียนพลอตเรื่องใหม่ เดี๋ยวแม่ออกค่าที่พักให้ครึ่งนึง"   อืม...ข้อเสนอแม่ก็น่าสนอยู่หรอก

"ใช่ๆ แม่พูดถูก ไปหาแรงบันดาลใจแต่งนิยายเรื่องใหม่ไงแมท อารมณ์ 'Love in HongKong' ประมาณนี้ดีไหม"   สนับสนุนจังวะ

"ไม่แน่นะพี่แมท ไปคราวนี้อาจจะไปพบรักที่โน่นก็ได้ เนอะฟินเนอะ"   มีการพยักหน้าให้กันอีก แก่แดดจริงๆสองคนนี้

"ยังก่อนดีกว่า ถ้าต้องไปคนเดียว ยอมเสียเงินซื้อทัวร์ยังสบายใจซะกว่า"

"ฮ่องกงเดินทางง่ายสะดวกกว่าบ้านเราอีกนะแมท ไปเองได้สบายเลย เดี๋ยวมัทวางแผนทริปให้ ไปสักสองอาทิตย์ดีไหม"

"เฮ้ย! ไปทำไมนานขนาดนั้น"

"เอาน่า ถือว่าพักผ่อน เวลาเดินเร็วจะตาย"

"ขอคิดดูก่อนละกัน แล้วนี่จะไปร้านกันได้หรือยังคะสาวๆ รีบไปกันเถอะ"

"งั้นรอแม่เก็บโต๊ะก่อนนะ"   แม่พูดขณะตักแกงใส่หม้อเล็กให้สองแฝด

"ไม่ต้องหรอกแม่ จานวางไว้นี่แหละ เดี๋ยวแมทกลับมาเก็บล้างเอง มัวคุยกันจนเพลิน นี่ก็จะได้เวลาเปิดร้านแล้วด้วย"

"เอางั้นเหรอ งั้นสองแฝด เอาหม้อแกงกลับบ้านด้วยไปลูก เดี๋ยวแม่เราจะทำแกงซ้ำกับป้า"   พูดจบก็ผลักหลังสองแฝดให้รีบพาหม้อแกงกลับบ้านตัวเองไป


.......................................................................


        มาส่งแม่กับพี่มัทถึงร้าน ช่วยแม่เตรียมของเล็กน้อย ผมก็กลับมาบ้าน ระหว่างเดินทางกลับก็คิดมาตลอดทางว่าการลองไปเที่ยวต่างประเทศดูสักครั้งมันก็น่าสนใจอยู่หรอก แต่ถ้าจะให้ไปคนเดียวมันก็ยากนะ เกิดหลงทางขึ้นมาบ้างหล่ะ สื่อสารไม่เข้าใจบ้างหล่ะ จะทำยังไง

"เฮ้อ...ไม่ไปนั่นแหละดีแล้ว ลำบากป่าวๆ"   เอารถเก็บ ปิดประตูรั้ว เก็บล้างจานมื้อเช้า เก็บกวาด ทำงานบ้านจนเรียบร้อย ได้เวลาทำงานของผมบ้างแล้วหล่ะ

       ผมจบกฎหมายมาทั้งปริญญาตรีและปริญญาโท แต่ไม่เคยได้ลองทำงานด้านนี้ดูสักครั้ง ยังไม่เข้าใจตัวเองจนถึงตอนนี้เลยว่าทำไมถึงเลือกเรียน แถมยังเรียนต่อเนื่องไปจนปริญญาโทอีก ตอนแรกก็คิดแค่ว่าจะได้ไม่มีใครมาหลอกเราได้ เพราะผมเป็นคนไม่ค่อยทันคน คิดไว้อยู่แล้วแหละว่าไม่น่าจะทำงานด้านนี้ได้ แต่สุดท้ายก็ยังเลือกเรียนมันอยู่ดี ส่วนงานเขียนนิยาย ผมทำมันมาตั้งแต่สมัยเรียน เขียนเพราะชอบ เขียนเพราะอยากถ่ายทอดความรู้สึกของตัวเองให้คนอ่านได้สัมผัส แล้วมันก็มีค่าตอบแทนให้ผมพอใช้ชีวิตอยู่ได้

 ครืด! ครืด!

"โทรศัพท์อยู่ไหนอีกเนี่ย"    ผมไม่เคยหามันเจอเลย เพราะแทบจะไม่ได้ใช้ ช่องทางการสื่อสารเดียวของผมคืออีเมล์เท่านั้นแหละ ก็ผมมันพวกความสามารถทางเรื่องนำสมัยต่ำมากๆนี่หน่า เพราะงั้นเรื่องเทคโนโลยียิ่งไม่ต้องพูดถึง มันไกลตัวผมไปหลายพันลี้เลยหล่ะ

"อ่ะ! เจอละ ไอฮีโร่ แกอย่าซ่อนตัวบ่อยนักสิวะ"   ไอฮีโร่มันก็มาจากชื่อรุ่นของมันแหละครับ บอกเลยว่ามันทนทายาท! ตกแล้วตกอีกไม่ยักกะพัง
 
อ่อ พี่ที่สำนักพิมพ์นี่เอง

"สวัสดีครับ มัทฐาครับ"

"สวัสดีค่ะคุณมัทฐา นี่ผึ้งนะค่ะ เลขาคุณนาง"

"อ่อ ครับคุณผึ้ง"   ปกติพี่นางจะโทรมาเองตลอดนี่หน่า ครั้งนี้ทำไมเป็นเลขา

"ค่ะ พอดีคุณนางต้องเดินทางไปงานรับปริญญาน้องสาวที่อเมริกาด่วน เลยฝากเรื่องให้ผึ้งแจ้งคุณมัทฐาแทนค่ะ"   ตอบคำถามที่ผมสงสัยเสร็จสรรพ เหมือนรู้เลย

"ครับ พี่นางว่าไงครับ"

"คือต้นฉบับเรื่องล่าสุดคุณนางบอกให้คุณมัทฐาเอาเข้ามาให้ที่สำนักพิมพ์เอง พร้อมกับมาคุยเรื่องใหม่ด้วยเลยค่ะ คุณมัทฐาสะดวกไหมคะ"

"แต่ปกติผมส่งทางอีเมล์ตลอดนะครับคุณผึ้ง ผมอยู่ต่างจังหวัดหน่ะครับ"

"ค่ะ ผึ้งทราบค่ะ แต่พอดีคุณนางมีโปรเจคใหญ่ เป็นนิยายชุด รวมนักเขียนในสำนักพิมพ์ 5 คน หนึ่งในนั้นที่คุณนางเลือกคือคุณมัทฐาค่ะ ส่วนนิยายก็จะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับประเทศในทวีปเอเชียน่ะค่ะคุณมัทฐา รายละเอียดจะค่อนข้างเยอะ คุณนางเลยอยากให้คุณมัทฐาเข้ามาคุยด้วยตัวเอง"   นั่นไง ว่าแล้วต้องมีอะไร ปกติผมไม่เคยต้องเข้าไปส่งงานหรือประชุมเอง ทุกอย่างทำผ่านวิดีโอคอลและอีเมล์ทั้งหมด นอกซะจากจะมีโปรเจคใหญ่ๆแบบนี้ ซึ่งผมก็คงเลี่ยงไม่ได้

"ครับ คุณผึ้ง ผมต้องเข้าไปวันไหนครับ"

"คุณนางฝากคุณชัยคุยแทนให้เป็นพรุ่งนี้ตอนบ่ายสองโมงค่ะคุณมัทฐา"   พี่ชัยคือนักเขียนของสำนักพิมพ์เหมือนผมแต่ที่ต่างคือดำรงตำแหน่งสามีพี่นางไปด้วย  แล้วนี่มันไวไปไหม แจ้งล่วงหน้าแค่วันเดียว ไม่เผื่อธุระอื่นๆของผมเลย ทำเหมือนผมเป็นพวกว่างงานไปได้ แล้วผมต้องเดินทางไปไกลนะ ถึงมันจะแค่ชั่วโมงเดียวก็เถอะ

"ครับๆ ผมจะเข้าไป"   ยังไงก็ต้องตกลง

"ค่ะ พรุ่งนี้ตั๋วเดินทางของคุณมัทฐาคือเวลา 10 โมง 15 นาทีนะคะ เดี๋ยวผึ้งให้รถไปรอรับคุณมัทฐาที่สนามบินตอน 11 โมงครึ่งนะคะ ผึ้งส่งรายละเอียดตั๋วเครื่องบินทางอีเมล์ให้แล้วนะคะ"   อย่างนี้แค่แจ้งก็พอไม่ต้องถามหรอกว่าไปได้รึป่าว ถึงขนาดจองตั๋วให้เรียบร้อย

"ครับ คุณผึ้ง ขอบคุณครับ"

"เจอกันพรุ่งนี้นะคะ สวัสดีค่ะ"
เปิดดูอีเมล์แล้วทำงานต่อดีกว่า

"เฮ้อออออ...เมื่อย"   หันไปมองนาฬิกา ทุ่มครึ่งแล้วเหรอเนี่ย นี่ผมนั่งตรวจต้นฉบับเพลินจนลืมมื้อกลางไปเลย เป็นแบบนี้ประจำ จนแม่ทักตลอดว่าผมผอมไป ได้เวลาไปรับสองสาวแล้วด้วย ไปหาอะไรกินที่ร้านเลยละกัน

.......................................................................


"แม่ ขอชาเขียวปั่นโอรีโอแก้วนึงครับ"

"อ้าว แมท กินข้าวมารึยังลูก ทำไมมาไวจัง ไปนั่งรอก่อนไปเดี๋ยวแม่ให้เด็กทำไปให้"

"ไม่เอาอ่ะแม่ แมทอยากให้แม่ทำให้ แม่ทำอร่อยกว่าเยอะเลย อยากรอไปกินข้าวพร้อมแม่ด้วย นะนะ นะครับ"   แม่ทำอร่อยกว่าเด็กในร้านอีกนะ เพราะแม่จะใส่โอรีโอ้เยอะกว่าปกติ ฮ่าๆๆๆ

"ไม่ต้องอ้อนเลย รอแป๊บนะลูก"

"ครับคุณผู้หญิง" แม่ไม่เคยปฏิเสธผมสักครั้ง

"อ่ะ ได้แล้ว ของโปรดแมท"

"ขอบคุณคร้าบ แม่ใครเนี่ย ทั้งสวยทั้งสาวแล้วยังใจดีอีก"   แม่ยิ้มแก้มปริเชียว

"เก็บไว้ไปชมสาวมั่งเถอะ ลูกแม่จะมีแฟนไหมเนี่ย สงสัยจริง"

"รีบมีไปไหน ยังอยากอยู่กับแม่อยู่เลย"

"ทำมาปากหวาน ไปๆพี่มัทรอกินข้าวอยู่"    ผมไม่เห็นเคยคิดอยากจะมีแฟนเลย บอกตรงๆคนอย่างผมดูแลใครไม่ค่อยจะเป็น แฟนก็ไม่เคยจะมี

"วันนี้มีไก่ซอสเลมอนของโปรดแมทด้วยนะ"   พี่มัทบอก

"ทำไมวันนี้ใจดีจัง"   ปกติไม่เคยมีแบบนี้หรอก

"อ่อ พอดีลูกค้าสั่งผิดหน่ะ เห็นแมทชอบ เลยเก็บไว้ให้ ฮ่าๆๆ แกคิดว่าชั้นใจดีขนาดนั่น"   ว่าแล้วเชียว ผมเลยทำหน้าย่นใส่พร้อมมองค้อนไปทีนึง

"แมท! แกอย่าไปทำหน้าแบบนี้ให้ใครเห็นนะ เค้าจะนึกว่าแกเป็นตุ๊ดเป็นแต๋วกันพอดี"

 "พี่มัท!!!"   มันน่าโมโหนักนะ มาหาว่าผมเป็นอย่างงั้นได้ยังไง

"พอๆ ทั้งคู่แหละ จะกินข้าวกันได้รึยัง"

"ก็แม่ว่าแมทมันเหมือนป่ะหล่ะ ตัวก็อ้อนแอ้น แฟนก็ไม่เคยพามาให้เห็น"

"อย่าพูดให้แม่ต้องคิดมัท"   เอ้าเฮ้ย! ทำไมแม่พูดงี้อ่ะ

"นั่นไง แม่ก็คิดเหมือนมัทใช่ไหมละ อย่างโอ๊ตละเป็นไง เห็นไม่มีใครด้วยกันทั้งคู่ สนิทกันตัวติดกันขนาดนี้ ไม่ลองคบกันดูละ ฮ่าๆๆๆ"   พี่มันหัวเราะปนยิ้มสยองส่งมาให้ผม โอ๊ตคือเพื่อนสนิทตั้งแต่สมัยเด็กของผม และยังเป็นเพื่อนคนเดียวที่ผมยังติดต่อและไปไหนมาไหนด้วยกันทุกวันนี้ เราสองคนสนิทกันมาก มากจนมักโดนใครต่อใครแซวว่าคบหากัน แรกๆผมก็โกรธนะ แต่โอ๊ตมันพูดว่าจะให้ไปไล่อธิบายกับคนทุกคนคงไม่ได้ ถ้ามัวสนสายตาใครคงใช้ชีวิตไม่มีความสุขกันพอดี ถ้าเรารู้อยู่แก่ใจว่าเป็นเพื่อน ก็ไม่เห็นต้องสนคำใคร

"แต่แม่ว่าก็ดีนะ โอ๊ตก็ไว้ใจได้ แมทจะได้มีคนดูแล อย่างแมท ถ้าจะมีแฟนเป็นผู้หญิงก็คงต้องหาแบบมัท แข็งแกร่ง ดูแลเราได้ แม่ว่าถ้าเป็นผู้ชายไปเลย ก็หายห่วงนะ"   แม่พูดพร้อมทำท่าคิดไปด้วย ไม่ได้การละ ต้องรีบขัด เดี๋ยวจะเลยเถิดกันไปใหญ่

"แม่! ไปกันใหญ่แล้ว แม่ไม่คิดว่ามันแปลกรึไง มาสนับสนุนให้ลูกชายตัวเองมีแฟนเป็นผู้ชายด้วยกัน แล้วถ้าจินตนาการกับผู้ชายตัวเล็กน่ารักๆคงยังพอทำใจคิดได้ แต่ถึกๆบึกๆแบบไอ้โอ๊ตนี่ก็ไม่ไหวนะแม่"   แม่ยิ้มให้ผมพร้อมหันไปถามยัยพี่มัท

"ก็น่ารักดีนะ ว่าไหมมัท ฮ่าๆๆ"   เอาเข้าไป

"ใช่แม่ เหมาะกับแมทมันดีออก"   ผสมโรงกันเข้าไป

"เดี๋ยวแมทมีขึ้นมาจริงๆแล้วจะรู้สึก พูดเล่นกันกับของจริงมันอาจจะให้ความรู้สึกต่างกันก็ได้นะ ฮึๆๆๆ"   ผมหัวเราะกลับอย่างมีเลศนัย

"เห็นแกหัวเราะแบบนี้แล้วสยองหว่ะแมท หรือว่าแกมีจริงๆ"   ยังๆไม่เลิก

"เอาเถอะๆ จะมียังไงก็มีไปเถอะ อย่าพากันเสียก็พอ โตๆกันแล้ว แม่ไม่อยากห้าม"   แม่ว่าพร้อมยกมือขึ้นปรามเราสองพี่น้อง

"แม่ครับ พรุ่งนี้แมทจะเข้าสำนักพิมพ์นะ เค้าส่งตั๋วมาให้แล้ว"   ถือโอกาสเปลี่ยนเรื่องซะเลย

"ทำไมละ ปกติไม่เห็นเคยต้องเข้า ตั้งแต่กลับมาอยู่บ้าน"   ใช่ครับ ตั้งแต่เรียนจบผมก็อาศัยส่งต้นฉบับทางอีเมล์ตลอด

"เห็นว่าจะมีโปรเจคใหม่ เลยอยากให้เข้าประชุมพร้อมกันกับนักเขียนคนอื่นๆ"

 "งั้นพรุ่งนี้แม่ไปส่งที่สนามบินละกัน กี่โมงหล่ะ"   แม่ผมก็เป็นแบบนี้แหละครับ ทำให้ลูกทุกอย่าง ดูแลทุกเรื่อง แม้จะโตแล้วก็ตาม อาจจะเพรามีลูกแบบผมก็ได้ แม่เลยต้องรอบคอบและเป็นห่วงเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว

"ไม่ต้องหรอกแม่ พรุ่งนี้แมทมาส่งแม่ที่ร้าน แล้วเอารถไปจอดสนามบิน ขากลับก็จะได้ไม่ต้องไปรับ เพราะแมทกลับประมาณห้าโมงเย็น"   ผมว่ามันสะดวกกว่ากันเยอะนะ

"ตามใจแมทละกัน"

       หลังทานข้าวเสร็จ แม่ก็กลับไปดูแลให้เด็กที่ร้านกาแฟปิดร้าน ส่วนผมกับพี่แมทก็มาช่วยดูเรื่องบิลให้ที่ร้านอาหาร แล้วส่งให้พี่ผู้จัดการร้านจัดการต่อ ก่อนจะพากันกลับบ้านตอนสี่ทุ่ม เพราะแม่ผมต้องเข้านอนตรงเวลา ส่วนพี่แมทก็จะอยู่ร้านดึกเฉพาะช่วงหน้าไฮกับสิ้นเดือนที่จะยุ่งเป็นพิเศษ นอกนั้นก็จะให้เป็นหน้าที่ของพี่ผู้จัดการ ส่วนผม ทำหน้าที่รับส่ง พาไปซื้อของ ช่วยหน้าร้านบ้างเวลาลูกค้าเยอะๆหรือมีจอง นอกนั้นก็ทุ่มเทเวลาไปกับการเขียนนิยายล้วนๆ


.......................................................................



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-03-2015 06:58:44 โดย anana »

ออฟไลน์ youuue

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 135
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-1
Re: รักระหว่างทาง
«ตอบ #2 เมื่อ03-12-2014 13:43:58 »

  และแล้วการเดินทางก็เริ่มขึ้น o22 :L2: :pig4:

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
Re: รักระหว่างทาง
«ตอบ #3 เมื่อ03-12-2014 13:56:20 »

บรรยากาศของเรื่องเป็นไปแบบสบายๆดีนะ
เป็นกำลังใจให้คนเขียนจ๊ะ

ออฟไลน์ rogerr

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 834
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
Re: รักระหว่างทาง
«ตอบ #4 เมื่อ03-12-2014 15:19:23 »

ตามอ่านด้วยคน  :katai2-1:  :katai2-1:

ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5445
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
Re: รักระหว่างทาง
«ตอบ #5 เมื่อ03-12-2014 20:00:53 »

เรื่องน่ารักดีค่ะ

รออ่านตอนต่อไปนะคะ

ออฟไลน์ anana

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 49
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
ตอนที่ 2


"ถึงสำนักพิมพ์แล้วโทรบอกแม่ด้วยนะแมท"   แม่ยังคงย้ำเหมือนตอนผมเป็นเด็กๆ

"คร้าบ ไม่ลืมแน่นอน แมทไปก่อนนะแม่ เดี๋ยวจะหาที่จอดรถยาก"   สนามบินจังหวัดนี้ที่จอดรถเป็นแผ่นดินทอง ค่าจอดก็แพง แต่ก็คุ้มค่ากว่าให้แม่มาส่ง ไปกลับสี่รอบ เสียค่าที่จอดรถเป็นทางเลือกที่คู่ควรครับ

"อย่าลืมจดไว้ด้วยละ ว่าจอดรถตรงไหน เดี๋ยวจะหาไม่เจออีก"   แม่ไม่ลืมที่จะเตือนข้อผิดพลาดของผมที่มักเกิดขึ้นเป็นประจำ

"ครับ คุณนาย" ขึ้นรถปิดประตูมุ่งหน้าไปสนามบิน

.......................................................................
 


       หาที่จอดรถได้ผมก็ไม่ลืมที่จะจดตำแหน่งที่จอดรถเอาไว้ แล้วเปิดไปอีกหน้าที่มีรายละเอียดเกี่ยวกับเที่ยวบินที่จะเดินทาง ผมเขียนบันทึกทุกอย่างในชีวิตผมไว้ในสมุดเล่มนี้ ผมว่ามันเป็นวิธีที่คลาสสิคนะ มันรวดเร็ว เปิดใช้ได้ทุกเวลา ไม่มีเวลาแบตหมดเหมือนอย่างพวกอุปกรณ์อิเล็คโทรนิค อีกอย่างผมเป็นพวกชอบหลงๆ ลืมๆ ความจำสั้น จดทุกอย่างเอาไว้แน่นอนที่สุด

       ใช้เวลาเดินทางเกือบสามชั่วโมงผมก็มาถึงสำนักพิมพ์ เพราะกว่าจะฝ่ารถติดมาได้ก็ปาไปชั่วโมงนึงแล้ว โทรส่งสารให้แม่หายห่วงเรียบร้อยก็รีบเดินขึ้นตึก เพราะนี่ก็ใกล้เวลาประชุมแล้ว

"อ้าว ไอ้แมท นึกว่าจะไม่มาซะอีก"   ใครเรียก หันไปมองจึงหายสงสัย

"พี่เอ้ ไม่เจอซะนาน สบายดีไหมพี่"   พี่เอ้คือพี่ที่คอยช่วยกรองช่วยแก้งานเขียนให้ผมตั้งแต่สมัยเริ่มเขียนนิยายใหม่ๆ

"เออๆ สบายดีเว้ย มึงละ ตอนพี่ชัยโทรบอกไม่นึกว่าจะมีมึงอยู่ในโปรเจคนี้ด้วยนะ พี่นางแม่งเลือกแต่ตัวเก็งหว่ะ"   แสดงว่าพี่แกก็คือหนึ่งในโปรเจคแน่นอน

"ไม่ขนาดนั้นหรอกพี่ นี่มากันครบรึยังครับ"   ผมอยากรีบคุยรีบกลับจะแย่

"ไม่รู้หว่ะ ยังไม่ได้เข้าไปเลย ไปๆ พร้อมกันเนี่ยแหละ"

.......................................................................


"ดีๆพี่ จะได้รีบคุยรีบกลับ"   เดินตามพี่แกเข้าห้องประชุมไป

"มาพอดีเลยค่ะ เชิญคุณวิศณุกับคุณมัทฐาด้านนี้เลยค่ะ"

"เรียกผมว่าเอ้ก็ได้ครับคุณผึ้ง ส่วนไอนี่ก็เรียกมันว่าแมทละกันครับ จะได้ง่ายๆ"

"ค่ะคุณเอ้ งั้นเชิญนั่งเลยค่ะ"   คุณผึ้งเรียกให้พวกผมไปนั่งฝั่งเดียวกับเธอ พร้อมยกมือไหว้ทักทายทุกคนในห้องประชุม

"เริ่มกันเลยละกัน จะได้ไม่เสียเวลา"   พี่ชัยว่า

"วันนี้นางให้ทุกคนในนี้เข้ามาประชุมพร้อมกันเพราะเรากำลังจะมีโปรเจคนิยายรักชุดใหม่ มีทั้งหมด 5 เล่ม โดยนักเขียน 5 คน เล่าถึงความรักที่พบเจอใน 5 ประเทศ"   พี่ชัยลุกขึ้นยืนพร้อมยื่นเอกสารให้ทุกคน

"โห! พี่ชัย แค่นี้ไม่เห็นต้องเรียกเข้ามาเลย แจ้งทางเมล์ก็ได้"   พี่แพรว นักเขียนสาวโสดวัยใกล้เลขสี่เอ่ยด้วยสีหน้าเซ็งๆ

"ก็เพราะมันไม่ใช่แค่นี้นะสิแพรว พี่มีโจทย์คือประเทศในเอเชียมาให้เรา 5 คนเลือก ใครถนัดหรืออยากเขียนเกี่ยวกับประเทศไหนก็เลือกไปที่นั่น ทางสำนักพิมพ์มีงบหนึ่งก้อนเล็กๆให้ไปสร้างแรงบันดาลใจสำหรับ 1 สัปดาห์ ส่วนงบสนับสนุนที่ว่านี้ก็มาจากน้องสาวของนางที่เปิดบริษัทท่องเที่ยวอยู่"   ทุกคนหันมองหน้ากันเลิ่กลั่ก

"เฮ้ย! ลงทุนไปหว่ะพี่"   พี่เอ้ทำหน้าไม่อยากจะเชื่อ

"ใช่ๆ ผมว่ามันลงทุนไปนะ ปกติไม่เคยมีโจทย์ให้ต้องเขียนนี่ แถมยังต้องไปเซอร์เวย์หาข้อมูลเขียนอีก ผมเขียนนิยายตามใจตัวเองนะ จะให้มาเขียนแบบบังคับมีโจทย์คงยากอ่ะพี่"   ผมเริ่มแสดงความคิดเห็นบ้าง

"อย่าเรียกว่าโจทย์เลย เพราะมันก็คือการเขียนให้เกี่ยวข้องกับประเทศนั้นๆ แค่นั้นเอง ทุกคนก็ถ่ายทอดมาในแบบของตัวเองนั่นแหละ แต่พี่ขอให้เป็นไปในรูปแบบที่มีการท่องเที่ยวประเทศที่เป็นโจทย์ไปด้วย พอจะได้ไหม"   ผมละอยากรู้จริงๆว่าสปอนเซอร์เค้าคิดอะไรอยู่ ทำไมไม่ไปโฆษณาวิธีอื่น ทำแบบนี้มันจะได้ลูกค้าสักเท่าไหร่กันเชียว

"พี่ชัยจะบอกว่าเค้าจะโฆษณาแฝงว่างั้นเถอะ กะขายทัวร์ลูกค้ากลุ่มที่ชอบอ่านนิยายละสิ"   พี่แพรวจ้องหน้าถามพี่ชัยพร้อมควงปากกาในมือไปด้วย ผมว่ามันโคตรจะแฝงนะ จะมีสักกี่คนที่อ่านแล้วต้องพาตัวเองไปที่นั่นเพื่อซึมซับความรู้สึกจากนิยายที่ตนเองอ่าน

"กะจะให้เป็นเหมือนคนดูซีรีย์เกาหลี แล้วอยากไปเที่ยวรึป่าววะพี่"   พี่เอ้ถามต่อ

"แต่ลูกหนูว่าก็น่าสนใจนะคะ แถมคนอ่านยังได้จินตนาการไปเองด้วย เพราะยังไงภาพในนิยายก็ถูกสร้างโดยผู้อ่านเองอยู่แล้ว ความน่าสนใจก็จะถูกถ่ายทอดผ่านตัวหนังสือโดยผู้เขียนนิยาย คงคล้ายๆกับหนังสือสารคดีท่องเที่ยวแหละ แต่มันสนุกกว่าเพราะมันจะมีเรื่องราว ลูกหนูเข้าใจถูกไหมคะ"   ยัยลูกหนูนักเขียนน้องเล็กที่เรียนอยู่ปี 3 อักษรศาสตร์ ที่ดูจะเข้าใจและเห็นด้วยไปกับการตลาดผ่านรูปแบบนิยาย

"โป๊ะเช๊ะเลยยัยลูกหนู ไม่เสียแรงเป็นเด็กปั้นพี่"   พี่ชัยแสดงสีหน้าภูมิใจในตัวลูกหนูอย่างปิดไม่มิด

"โอเคๆ ผมขอรายละเอียดเลยดีกว่าพี่ชัย"   พี่เอ้ว่า

"ทางนู้นเค้ามีตั๋วเดินทางไปกลับแล้วก็ที่พักให้เรา พร้อมทริปเดินทางว่าจะต้องไปที่ไหนบ้างกับเงินเล็กน้อยให้ เชิญคุณผึ้งเลยครับ"   พี่ชัยอธิบายพร้อมกับฉายสไลด์บนจอ พร้อมบอกให้คุณผึ้งว่าต่อ

"มีทั้งหมด 5 ประเทศ จริงๆพี่นางก็เลือกคร่าวๆมาแล้วละค่ะว่าจะให้ใครเขียนที่ไหน"

"อ้าว! ไหนว่าให้เลือกได้ไงคะ"   ลูกหนูเอียงคอถามด้วยท่าทางน่ารัก

"ค่ะ เลือกได้ค่ะคุณลูกหนู"

"แต่คงไม่มีเกาหลีหว่ะ ฮ่าๆๆๆ"   พี่เอ้รีบบอกอย่างรู้ทัน ทำเอาลูกหนูค้อนให้วงใหญ่ ก็เพราะลูกหนูเป็นหนึ่งในสมาชิกแฟนคลับผู้คลั่งไคล้เกาหลีเข้าลำไส้และมั่นหมายจะให้เหล่าดารานักร้องชายของเกาหลีกินกันเอง ซึ่งเกาหลีก็เปรียบเสมือนบ้านหลังที่สองของเธอ บินไปกลับแทบจะทุกสามเดือนจนหลับตาเดินได้ละมั้งผมว่า

"ใจเย็นค่ะคุณลูกหนู ตัวเลือกมี เวียดนาม สิงคโปร์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย แล้วก็ฮ่องกงค่ะ"   เฮ้ย! ฮ่องกงอีกแล้วเหรอ ทำไมถึงมีแต่ข้อเสนอเกี่ยวกับที่นี่

"พี่เลือกได้เลยมั้ยน้องผึ้ง"   พี่แพรวถาม

"ได้เลยค่ะ ถ้าตัวเลือกไหนซ้ำ เราจะมาจับฉลากกันอีกทีค่ะ"

"งั้นพี่เลือกอินโดนีเซียละกันจ้ะ เพราะพี่มีแพลนจะไปเที่ยวบาหลีกับเพื่อนพอดี"

"มีใครสนใจอินโดอีกไหม"   พี่ชัยถามพร้อมรับเอกสารของอินโดนีเซียจากคุณผึ้ง

"โอเค ไม่มีนะ งั้นนี่แพรวรับไปได้เลย"   พี่ชัยยื่นเอกสารให้พี่แพรวหลังจากไม่มีใครสนใจจะไปอินโดนีเซียนอกจากพี่แพรว

"โชคหล่นทับจริงๆ เกือบจะจองตั๋วไปแล้วละเนี่ย"   พี่แพรวมีสีหน้าดีใจสุดๆ

"ลูกหนูขอสิงคโปร์ได้ไหมคะ"

"เฮ้ย! พี่ก็จะเอาสิงคโปร์"   พี่เอ้รีบบอก

"งั้นคงต้องจับฉลากละนะ"   พี่ชัยหันไปบอกคุณผึ้งให้เอาฉลากให้ทั้งคู่เสี่ยงดวงกัน

"แมทละ อยากไปที่ไหน"

"ไม่สักที่อ่ะครับพี่ชัย ผมไม่ชอบไปเที่ยวคนเดียวเลย ผมต้องรับงานนี้ด้วยเหรอครับ"

"เฮ้ย! รับสิ ทำไมว่างั้นอ่ะ นางย้ำเลยนะว่ายังไงก็ต้องมีแมท นางเค้าปลื้มสำนวนภาษาเรามากนะ"   เป็นคำพูดที่หนักใจดีนะครับพี่ชัย

"ยังไงก็คงไม่มีทางเลือกสินะครับ"

"ใช่! เอาเถอะน่า เพราะเห็นในฝีมือ เลยวางตัวให้ทำ ถือว่าไปพักผ่อนละกันน่าแมท นี่พี่ก็ว่าจะเลือกเวียดนาม จะได้ถือโอกาสชวนนางไปพักร้อนด้วยเลย" พูดพลางยิ้มหวาน ป่านนี้ในหัวพี่แกคงมีแผนลอยเต็มไปหมด

"ครับๆ"   ผมคงหมดทางเลือกแล้วจริงๆ

"สรุปคุณเอ้ไปมาเลเซียนะคะ ผึ้งจะได้ส่งเอกสารให้"   ทำไมสรุปไวจัง

"ก็ได้ๆ ผมหยิบได้อันนี้นี่ครับ"   พี่เอ้ทำหน้าเซ็งๆ

"ส่วนคุณแมทเหลือทางเลือกแค่ฮ่องกงนะคะ หรือถ้ามีที่อื่นอยากไปก็จะได้จับฉลาก"

"พี่เอ้ไม่เลือกฮ่องกงเหรอพี่"

"ไม่หว่ะ เพิ่งไปมา ดูแล้ววุ่นวาย ไม่มีความรู้สึกอยากเขียนถึงที่นี่ ขอผ่าน"  ยกฝ่ามือขึ้นมาเสมอหน้าเพื่อสนับสนุนคำพูด

"ก็ได้ครับ ผมเลือกฮ่องกงก็ได้"   ตอบคุณผึ้งไปด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์

"โอเคค่ะ งั้นผึ้งสรุปตามนี้นะคะ คุณชัยเลือกเวียดนาม คุณแพรวเลือกอินโดนีเซีย คุณลูกหนูเลือกสิงคโปร์ ของคุณเอ้เป็นมาเลเซีย แล้วสุดท้ายคุณแมทเป็นฮ่องกงค่ะ ผึ้งจะได้ส่งชื่อให้กับทางบริษัททัวร์เลย"   คุณผึ้งสรุปพร้อมส่งยิ้มให้กับทุกคน

"ตั๋วเครื่องบินพร้อมที่พักเป็นแบบไม่ระบุวันและเวลานะคะ ทุกคนเลือกเดินทางได้ตามสะดวกได้เลย แต่ต้องก่อนสิ้นปีนี้นะคะ"   คุณผึ้งว่าต่อพร้อมส่งซองเอกสารที่แปะชื่อประเทศให้แต่ละคนที่เหลือ

"เอาล่ะ พี่อยากให้งานเขียนออกมาดี ไม่มีเวลาจำกัด แต่รบกวนเข้ามาคุยพลอตเรื่องกันก่อนสักก่อนสงกรานต์ปีหน้า คิดว่าไหวไหม"   พี่ชัยมองหน้าทุกคนขณะถาม

"ทำไมต้องคุยละพี่ เราไม่เคยมาตบพลอตกันเลยนะ ส่งกันตอนเขียนจบทีเดียวไม่ใช่เหรอ"   พี่แพรวถามขึ้น ผมก็สงสัย ปกติไม่มีหรอกครับ คุยพลอตตบพลอตเรื่องกันก่อนเนี่ย

"ก็งานนี้เรามีการว่าจ้าง พลอตเรื่องก็ควรจะถูกใจผู้ว่าจ้างสักหน่อย คงไม่มีปัญหาใช่ไหม อย่างมากเค้าคงแค่อยากรู้ว่าเราแทรกเนื้อหาให้ทางเค้าได้แค่ไหนยังไงละมั้ง"   ยุ่งยากจริงๆ

"เอาล่ะ รายละเอียดที่เหลือยังไงพี่จะให้คุณผึ้งส่งให้ทางอีเมลล์นะ แล้วถ้าระบุวันได้ก็บอกทางคุณผึ้งเอาไว้ด้วย พี่จะได้แจ้งทางโน้น"    คงเป็นอันจบการประชุม เพราะทุกคนกำลังเก็บของบ้างก็ลุกยืนขึ้นแล้วบอกลากัน

"ผมไปก่อนนะครับ ไว้เจอกัน"   ผมยกมือไหว้ทุกคน รีบเดินออกจากบริษัทจะได้รีบกลับบ้าน

.......................................................................



       ระหว่างนั่งบนเครื่องกลับบ้าน ผมก็พลางก้มมองซองเอกสารสีน้ำตาลในมือ นี่จะต้องไปจนได้สินะ เอาวะ ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ลองดูสักครั้ง  ลงเครื่องแล้วลองโทรชวนโอ๊ตดูดีกว่าเผื่อมันอาจจะอยากไป แล้วไปเอาตั๋วจากพี่มัทให้มัน มีเพื่อนอย่างมันไปด้วย จะได้ไม่เหงา เพราะอย่างน้อยจะได้อุ่นใจว่ามีเพื่อนเดินทาง อีกอย่างคนอย่างโอ๊ตน่าจะช่วยเหลือผมได้ ขืนไปคนเดียวผมต้องหลงทางตั้งแต่ยังไม่ทันออกจากโรงแรมเลยมั้ง นี่ขนาดขามาประชุมยังเกือบเข้าประตูผิดไปโผล่เชียงใหม่

ยัง โสดๆ อยู่ทางนี้...ยัง โสดๆ อยากมีรักมา โหลดๆ เธอใช่มั้ย ที่ฟ้ามาโปรด ฟ้ามาโปรด.........

คือเสียงรอสายมึงแบ๊วมาก เปิดโอกาสให้ตัวเองสุดๆ

"ฮัลโหล สาว ว่าไงจ้ะ"

"สาวพ่องสิ ไอ้สัด"

"เป็นเชี้ยไรเนี่ย โทรมาถึงก็ล่อพ่อกูเลยนะ"

"แล้วมึงไม่มีคำทักทายอื่นที่ดีกว่านี้รึไงวะ"    มันมักเรียกผมด้วยคำสรรพนามที่บ่งถึงผู้หญิง

"น่ารักดี เหมาะกะมึง ฮ่าๆๆ"    ซึ่งผมไม่ได้รู้สึกว่ามันน่ารักนะ

"เหอะ! ถามกูก่อนเถอะคราวหน้าว่าอยากเหมาะไหม"    ลองคิดดูสิ ผู้ชายด้วยกันมาเรียกคุณว่า แน่งน้อยบ้างหล่ะ อรชรบ้างหล่ะ นวลนางบ้างหล่ะ สาวบ้างหล่ะ ภูมิใจมั้ยผมถาม ไม่น่านะ ถ้าคุณรู้สึกดีกับคำเรียกพวกนั้นโดยที่คุณคือเพศชาย ผมว่าคุณคงก้าวขาเข้าสมาคมชายสู่ชายที่หลงรักการทำยุทธหัตถีกันไปนิดนึงแล้วละครับ

"เออๆ แล้วมีอะไร โทรหากูทำไม"

"ช่วงปลายปีนี้มึงว่างป่าววะ กูว่าจะชวนไปเที่ยวฮ่องกง กูมีตั๋วให้ พอดีต้องไปหาข้อมูลเขียนงานหว่ะ"

"กูว่าง กูอยากไป กูอยากเที่ยว แต่...."

"แต่อะไรวะ ลากเสียงซะยาวเลยนะมึง"    มึงว่างอยากไป อยากเที่ยว แล้วจะแต่ทำไมวะ

"ป๊ากูกลับมาบ้านหว่ะ เค้าบอกกำหนดกลับประมาณกลางเดือนพฤศจิกานี้ มึงคิดว่ากูควรอยู่บ้านให้ป๊าเห็นหน้าตอนฉลองปีใหม่หรือไปเที่ยวกับเพื่อนอย่างมึงดีวะ"

"ให้กูวางสายเลยไหมละสัด พูดซะรู้สึกผิด"    ป๊าของไอ้โอ๊ตมันทำงานอยู่บริษัทที่ญี่ปุ่นกลับบ้านปีละครั้ง คือถ้าไม่กลับปีใหม่ลากยาวไปจนตรุษจีน ก็จะกลับช่วงตรุษจีนทีเดียว ทุกครั้งป๊ามันกลับมา มันก็ต่องทำตัวเป็นลูกที่ดีคอยช่วยม๊ามันขายทัวร์ เพราะที่บ้านมันเปิดบริษัทท่องเที่ยว ขายทัวร์ให้นักท่องเที่ยวตามโรงแรมสำหรับไปเที่ยวชมตามเกาะต่างๆ ของภูเก็ตและจังหวัดใกล้เคียง แล้วก็มีสปีดโบ้ทให้เช่าด้วย

"กูก็อยากไปนะ มึงเลื่อนวันไม่ได้เหรอ"

"ไม่ได้หว่ะ กูตั้งใจให้เนื้อเรื่องมันมีเทศกาล อยู่ในช่วงการเฉลิมฉลอง"    ผมว่าถ้าได้สะท้อนออกมาถึงการไปเที่ยวช่วงเทศกาลมันน่าจะสนุกและมีสีสันมากกว่านะ ถึงคนจะเยอะก็เถอะ

"งั้นกูขอผ่านหว่ะ แต่โคตรอยากไป แล้วมึงจะไปคนเดียวเหรอวะ"

"ก็คงงั้น"

"หาใครไปด้วยเหอะ กูเป็นห่วงวะ ไม่มีใครดูแล กูไม่อยากปล่อยให้มึงไปไหนคนเดียว นี่ถ้าไม่ติดที่ป๊ากลับมา กูคงไปกับมึงด้วยแล้ว"

"เชี้ย! ขนลุก"    คือกูโตแล้ว ไม่ต้องการคนดูแล คิดผิดไหมเนี่ยที่ชวน มันพูดซะผมต้องเก็บเอาคำพูดแม่กับพี่มัทมาคิด

"ขนลุกเชี้ยไร ปวดขี้เหรอ มึงไปคนเดียวมีหวังหลงทางชัวร์ ไม่งั้นก็หาไกด์ทัวร์พาเที่ยวซะ"    ก็เป็นความคิดที่ดีนะ

"เออๆ เดี๋ยวลองไปชวนสองแฝดก่อน เผื่อสนใจ"

"ดีดี กูจะได้ไม่ต้องห่วง" อีกละ ห่วงไรกูนักหนาวะ

"งั้นแค่นี้นะกูขับรถก่อน"    ผมรีบกดวางไม่คุยกับมันดีกว่า ยิ่งคุยผมยิ่งรู้สึกขนลุกแปลกๆ เฮ้อ ทำไมต้องเก็บเอาคำพูดแม่กับพี่มัทมาคิดด้วยเนี่ย แผนชวนโอ๊ตไปด้วยเป็นอันพับไป ไว้ไปตะล่อมสองแฝดดีกว่า เผื่อจะสนใจ

.......................................................................


❤ ขอบคุณสำหรับทุกกำลังใจนะคะ ^^*
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-12-2014 23:42:42 โดย anana »

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 2 [06-12-57]
«ตอบ #7 เมื่อ06-12-2014 08:49:44 »

ก็น่าห่วงอยู่หรอกนะ ชอบหลงทางขนาดนั้น
อยากอ่านตอนไปเที่ยวเร็วๆ จะหอบใจอาตี๋ฮ่องกงกลับไทยด้วยมั้ยเอ่ย
เป็นกำลังใจให้คนเขียนจ๊ะ  :L1:

ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5445
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 2 [06-12-57]
«ตอบ #8 เมื่อ06-12-2014 10:17:57 »

รอลุ้นว่าแมทมีเพื่อนไปด้วยหรือไปคนเดียว

ออฟไลน์ rogerr

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 834
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 2 [06-12-57]
«ตอบ #9 เมื่อ06-12-2014 22:32:51 »

เมื่อไหร่พระเอกจะโผล่ รออยู่น้าาาาาา :hao3:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 2 [06-12-57]
« ตอบ #9 เมื่อ: 06-12-2014 22:32:51 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ anana

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 49
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
ตอนที่ 3


"ตกลงไปใช่ไหมแมท มัทจะได้ให้เพื่อนยืนยันตั๋วเลย"   พี่มัทถามขณะทาแยมลงบนขนมปัง

"ไปสิ สำนักพิมพ์มีโปรเจคใหม่ให้ทำ แล้วแมทต้องเขียนเกี่ยวกับที่นั่น แต่แมทมีตั๋วแล้วนะพี่มัท ทางสปอนเซอร์เค้าให้มาพร้อมเงินค่าที่พักสำหรับ 1 อาทิตย์"

"อะไรจะบังเอิญขนาดนั้นแมท ดูเหมือนฮ่องกงคงจะอยากให้แมทไปที่นั่นนะ"   แม่ยกยิ้มมุมปากพร้อมเอ่ยแซว

"งั้นตั๋วของมัทก็ไม่ต้องใช้แล้วสิ"   พี่มัทเงยหน้าจากขนมปังแล้วถามขึ้น

"ให้แฝดได้ไหม เดี๋ยวแมทซื้อให้เพิ่มอีกใบนึง นะๆๆๆๆ แฝด ไปด้วยกันหน่อย จ้างเลยนี่เอ้า ตั๋วเข้าดิสนี่ย์แลนด์คนละใบ"

"ไม่อ่ะพี่แมท ฟินต้องพักผ่อน"   เหนื่อยมากเลยเนอะ เรียนหนังสือเนี่ย

"เฟย์ว่าข้อเสนอไม่คุ้ม"

"ไม่คุ้มตรงไหนวะเฮ้ย! ตั๋วฟรี ที่พักฟรีเนี่ย"

"ก็ถ้าคุ้มก็ต้องมีพอกเกตมันนี่ด้วยสิค๊า"

"อย่างนี้มันไม่เรียกคุ้มแล้วเว้ย ไปขอน้านิดิ"   หน้าเลือดจริงๆพี่น้องบ้านนี้

"งั้นก็ไม่ไป เพราะถ้าเราสองคนอยู่บ้าน พ่อกับแม่ก็ไม่ต้องเสียเงิน"   มันกะเอายิ่งกว่าคุ้มนะผมว่า

"เออๆ คนละสามพัน พอมะ"   นี่ก็ให้เยอะเกินไปแล้วนะ

"สามพันเที่ยวสามวันก็หมดแล้วเฮีย"   ฟินว่า พวกมันใช้ทำอะไรวะเนี่ย นี่ถ้าให้มันไปด้วยทั้งอาทิตย์ผมไม่ต้องให้มันหมื่นสี่เหรอครับ

"งั้นห้าพัน"   มากกว่านี้ไม่ไหวละนะ

"อืม ขอคิดดูก่อน"   เฟย์เอานิ้วเคาะขมับทำท่าคิด

"งั้นก็ไม่ต้องละ พี่ไปคนเดียวก็ได้"   ขืนผมยื่นข้อเสนอมากกว่านี้ หมดตัวแน่นอน

"เดี๋ยวๆๆๆ อย่าเพิ่งถอดใจสิ ไปๆ แต่ว่าไปแค่สามวันนะ ฟินมีเรียนพิเศษ"

"สามวันเองเหรอ จะไปดูไปจดจำอะไรทันเนี่ย สักห้าวันไม่ได้เหรอฟิน"   ไปแค่นั้นผมไปงมเองก็ได้นะ

"น่าพี่แมท ดีกว่าพวกเราไม่ไปนะ คนเดียวหัวหายนะพี่ ฮ่าๆๆๆ"

"เออๆ ก็ได้วะ ดีกว่าเที่ยวคนเดียวทั้งทริปหล่ะ"

"ทำไมไม่ชวนโอ๊ตไปด้วยกันละ เพื่อนกันไปเที่ยวกันน่าจะสนุกกว่าพาน้องไปนะ"   ช่วงนี้รู้สึกว่าแม่ผมจะยัดเยียดให้มีไอ้โอ๊ตอยู่ในการดำเนินชีวิตผมจังนะ

"ป๊ามันกลับมาพอดี เลยไปไม่ได้ครับ"

"อืม แล้วนี่แมทกะจะไปวันไหนละ"   แม่หันมาถามผม พร้อมยื่นแก้วนมให้ผม

"ก็ประมาณปลายเดือนธันวาเลยละ อากาศน่าจะกำลังดี"   ผมว่ามันคงไม่สนุกถ้าต้องไปเที่ยวในวันที่อากาศร้อน

"งั้นแฝด เราสองคนหน่ะ คงต้องตามไปทีหลังนะ รอสอบกลางภาคเสร็จก่อน แมทก็จองตั๋วให้ใกล้วันสอบเสร็จละกัน"   พี่มัทบอกสองแฝดพยักหน้าตาม

"งั้นเดี๋ยวจะเอาตารางสอบมาให้เช็คนะ"

"ก็แล้วแต่สะดวกละกัน แต่ห้ามเบี้ยวนะเว้ย"   ที่บางที่มันเที่ยวคนเดียวไม่ได้จริงๆนะครับ ผมว่าถ้ามีเพื่อนไปมันคงจะดีกว่า

"โอเคค้าบเฮีย ข้อเสนอดีขนาดนี้มีเหรอน้องๆจะเบี้ยว"   เฟย์ตอบพร้อมขยิบตาให้แฝดพี่ แล้วหันไปจัดการข้าวเช้าต่อ

"แหม ทำเป็นไม่อยากจะไปนะตอนแรก ที่ไหนได้"   หัวหมอจริงๆไอ้สองแฝดนี่

"ก็ต้องต่อรองดูก่อนสิพี่แมท เผื่อจะมีการอัพเกรดข้อเสนอ"   ฟินบอกก่อนจะยิ้มตาหยี

.......................................................................


หลังมื้อเช้า ขณะที่แม่กำลังแต่งตัวเตรียมออกไปร้าน

"วันนี้แมทเข้าไปช่วยที่ร้านนะแม่"   ผมเดินเข้ามาบอกแม่ในห้องนอน

"ไม่ต้องหรอกแมท ว่างก็พักเถอะ"   แม่บอกขณะกำลังใส่ต่างหู

"แมทว่าง มันน่าเบื่อ ช่วงนี้ลูกค้าเยอะด้วย แมทกลัวแม่เหนื่อย"   ผมว่าเสียงอ้อนๆพร้อมเอาหน้าเข้าไปซบที่หลังแม่

"ตามใจๆ เดือนหน้าจะไปเที่ยวแล้วจองที่พักเรียบร้อยรึยังเรา"

"ยังอ่ะแม่ ค่อยให้พี่มัทจองให้"   ผมทำไม่เป็นหรอกอะไรพวกนี้ อีกอย่างผมแทบไม่ได้ศึกษาอะไรเกี่ยวกับที่จะไปเลยสักนิด รอพี่มัทอธิบายทีเดียวก่อนไปละกัน

"งั้นรีบไปกันเถอะ วันนี้แม่สายแล้ว"

.......................................................................


       ออกจากบ้านมาถึงร้าน ใช้เวลาประมาณ 20 นาที วันนี้กิจวัตรผมต่างไปจากทุกวันเพราะพี่มัทไม่อยู่ไปซื้อของเข้าร้านตั้งแต่เช้า ผมเลยอาสาเข้ามาช่วยแม่ อีกอย่างช่วงนี้ว่างมาก งานใหม่ก็เริ่มเขียนไม่ได้อยู่ดีเพราะต้องรอเดินทางไปดูลาดเลาก่อนถึงจะเริ่มเขียนได้ ผมมาช่วยแม่ทำตัวให้เกิดประโยชน์ที่ร้านจะดีกว่า

"แมทเข้าไปร้านพี่มัทก่อนนะ แม่เตรียมของเสร็จแล้วจะตามเข้าไปช่วยดู"   ผมพยักหน้า แล้วเดินเข้าไปที่ร้านพี่มัท

"อ้าว! ทำไมกลับไวละพี่มัท"   ปกติไปซื้อของต้องกลับเที่ยงนี่ บางวันก็ลากยาวไปจนบ่าย แต่ทำไมวันนี้กลับมาตั้งแต่ก่อนเปิดร้าน

"ของไม่มีเลยแมท แม่ค้าบอกพายุเข้า กุ้งปูก็ของขาด แล้วไอ้ที่มีขายกันอยู่ในตลาดก็ราคาแพงขึ้นอีก"   พี่มัทพูดอย่างเซ็งๆ

"เอาหน่าอย่าไปเครียด วันนี้ไม่มีพรุ่งนี้ก็มี"

"อืมๆ ดีนะยังมีเจ้าประจำที่มาส่งให้ ไม่งั้นไม่มีของสดขายร้านเงียบแน่เลย"   ลูกค้าต่างชาติมักจะเลือกอาหารทะเลที่สดๆจากในตู้ปลามาทำเป็นอาหารมากกว่าที่แช่แข็ง  นี่เป็นสาเหตุให้พี่มัทนั่งหนักใจอยู่ตอนนี้

"แมทเห็นปูกับกุ้งอยู่ในตู้ตั้งเยอะนะ"   ผมว่ากุ้งว่ายอยู่มากกว่ายี่สิบตัวนะ

"เย็นนี้ก็หมดแล้ว ไม่ถึงคืนนี้หรอก"

"ขายดีอ่ะ"   ผมเพิ่งรู้ว่ามันขายดีขนาดนี้ เลิกเขียนนิยายมาขายกุ้งเผาดีกว่าไหม

"ก็มันหน้าท่องเที่ยว ลูกค้าทัวร์ก็เยอะ ปีนึงมีไม่กี่เดือนต้องรีบกอบโกยสิยะ นี่บ้านแกอยู่ไหนเนี่ย"   ผมขมวดคิ้วทำหน้างง

"ก็ผมไม่เคยทำจะรู้ได้ไง งานที่ทำอยู่ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องเลยสักนิด"

"เออใช่ๆ พูดถึงงาน มาๆจองที่พักกันดีกว่า ยิ่งใกล้วันจะยิ่งไม่มี เค้าให้งบมาเท่าไหร่เนี่ย"   พี่มัทกวักมือให้ผมไปนั่งข้างๆพร้อมเปิดโน้ตบุ๊ค

"คืนละสามพันอ่ะพี่มัท แมทขอใกล้รถไฟฟ้านะ เอาสะดวกๆ"   ที่สำคัญคือเผื่อหลงครับ ถ้าต้องเข้าซอยเข้าตรอกเยอะๆมีหวัง หลงแน่ๆ

"เพื่อนมัทเคยจองผ่านเว็บเอเจนซี่นี้ เค้าเป็นลักษณะปล่อยบ้านหรือคอนโดให้เช่า ดูดีเลยละ ถูกกว่าโรงแรมด้วย ลองดูไหม"   พี่มัทคลิกเข้าเว็บที่ว่าพร้อมใส่เมืองที่เลือก

"แล้วจะไว้ใจได้เหรอพี่มัท ถ้าจองแล้วเค้าเชิดเงินละจะว่าไง"   สมัยนี้ไว้ใจคนยากจะตาย

"เค้าจะมีการการันตีแล้วก็รีวิวจากคนที่เคยเข้าพัก แมทก็เลือกที่มีรีวิวเยอะๆหน่อย มีเปอร์เซนต์การตอบกลับเยอะๆก็ดีแล้ว อีกอย่างทางเอเจนซี่จะไม่จ่ายเงินให้กับทางเจ้าของที่พักนะ ถ้ายังไม่ได้รับการยืนยันการเข้าพักจากเรา ก็คือถ้าเราไม่ถึงห้องไม่มีที่นอนเจ้าของเค้าก็ไม่ได้เงินอยู่ดี"   มันก็ยังไม่น่าไว้ใจอยู่ดีนะผมว่า

"โรงแรมไม่ดีกว่าเหรอพี่มัท"

"มันแพงไป ยิ่งถ้าแมทอยากได้ใกล้รถไฟฟ้า เดินทางสะดวกนะ ราคายิ่งสูง ที่ดินที่นั่นเค้าเป็นทอง เอาอย่างที่มัทว่าดีกว่านะ"   เอาก็เอาวะ

"ขอแมทดูรูปห้องหน่อยสิ"   พี่มัทเลื่อนโน๊ตบุ๊คมาตรงหน้าผม

"อ่ะ ห้องนี้น่ารักดี เจ้าของน่าเชื่อถือ เค้าพักอยู่ตึกเดียวกัน แต่คนละห้อง ที่สำคัญเค้าไม่มีค่ามัดจำห้องก่อนเข้าพักด้วยนะ ติดสถานีรถไฟใต้ดินเลย ใกล้ห้างด้วย สะดวกดีนะ สนไหม"   น่าอยู่อย่างที่พี่มัทว่าจริงๆด้วย

"ก็น่าสนอยู่ เอาอย่างพี่มัทว่าก็ได้ ถ้าพี่มัทว่ามันปลอดภัย แมทก็เชื่ออย่างนั้น"   จากราคาต่อคืนที่เห็น ผมยังเหลือเงินอีกนิดหน่อยเป็นค่ามื้ออาหาร ก็ดีนะ ถือว่าคุ้มค่า

"งั้นเดี๋ยวมัทจองให้ ไปช่วยแม่เถอะ เรียบร้อยแล้วมัทจะส่งรายละเอียดการจองเข้าเมลล์ให้"   พี่มัทบอกพร้อมเอานิ้วจิ้มเข้าที่แก้มตัวเองเป็นเชิงบอก

"ได้ๆ ขอบคุณนะครับพี่มัท"   หอมแก้มขอบคุณไปสักฟอด พร้อมเป่าลมข้างหู ก่อนจะรีบวิ่งไปหาแม่ที่ร้านกาแฟ เพราะพี่สาวผมเค้าชอบให้หอมแก้มหรือคลอเคลีย แต่ก็บ้าจี้เข้าเส้น ป่านนี้คงนั่งขนลุกพร้อมก่นด่าผมไปพร้อมกันแล้วละมั้งครับ

.......................................................................


       1 เดือนผ่านไป พรุ่งนี้ก็ได้เวลาเดินทางไปหาข้อมูลเพื่อเขียนนิยายเรื่องใหม่ของผมแล้ว ยิ่งใกล้วันก็ยิ่งรู้สึกไม่อยากไป เคยมีใครที่เป็นเหมือนกันไหมครับ ความกลัวนี่มันมีอานุภาพมากจริงๆ การเดินทางไปต่างประเทศครั้งแรกของผม ด้วยความกล้าที่มีอยู่น้อยนิดบวกกับความสามารถด้านภาษาอังกฤษที่ต่ำต้อย ยิ่งภาษาจีนยิ่งแล้วใหญ่ คงต้องมาลุ้นกันแล้วละครับว่าผมจะรอดไหมกับการเดินทางครั้งนี้

"แมทๆ เก็บกระเป๋าเตรียมของครบยัง อย่าลืมเสื้อกันหนาวนะ นี่แผนที่มัทเขียนรายละเอียดพร้อมทำเครื่องหมายสถานที่สำคัญๆ แล้วก็รายละเอียดการเดินทางกับแผนการเดินทางให้แล้วนะ"   พี่มัทเดินเข้ามาพร้อมใบหน้าสีเขียวเห็นชัดแค่ตากับฟัน ในมือถือสมุดเล่มเล็กและแผนที่ นี่ถ้าดึกหน่อยแล้วปิดไฟอยู่มีหวังคงช็อคกันละครับงานนี้

"ละเอียดแน่นะพี่มัท"   ผมละกังวลจริงๆ

"ละเอียดแน่นอน แผนสำหรับสองอาทิตย์ แมทจะเปลี่ยนแปลงก็ได้นะ ส่วนต้องขึ้นลงรถเมล์สายไหน สถานีรถไฟฟ้าอะไร มัทจดให้หมดแล้ว ไม่ต้องห่วงจ้ะน้องรัก"   ผมยื่นมือไปรับพร้อมรอยยิ้ม

"พี่มัทน่ารักที่สุดเลยอ่ะ มาจูบที"   ผมว่าพลางยื่นมือจะเข้าไปกอด

"ไม่ใช่ตอนนี้ย่ะ ติดไว้ก่อน แค่กอดพอ ตอนนี้มาส์กหน้าอยู่ เดี๋ยวครีมมาส์กหลุด อิอิ ไปละ เดี๋ยวหน้ามัทไม่ตึง"   พี่มัทคว้าตัวผมเข้าไปกอดเบาๆ แล้วก็หันหลังออกจากห้องไป บางทีผมก็คิดว่าผู้หญิงนี่เรื่องเยอะนะ ช่างสรรหามาประคบประโคม ทั้งๆที่บางอย่างที่ทำก็มีผลเท่ากับศูนย์ แต่พี่มัทกลับบอกว่าผลลัพธ์ทางใจเท่ากับร้อย นี่สิทำให้สวยยิ่งกว่า เฮ้อ เข้าใจยากนะผู้หญิง  รีบเข้านอนดีกว่า พรุ่งนี้จะได้ตื่นแต่เช้า

.......................................................................


"พี่แมทๆๆ ตื่นๆๆๆๆๆ เดี๋ยวก็ตกเครื่องหรอก"   ใครเสียงดังวะเนี่ย

"ตื่นได้แล้ว นี่จะแปดโมงแล้วนะ"   ผมลืมตาขึ้นมาข้างนึง ส่งเสียงง่วงๆออกไป

"แมทไม่ไปส่งแม่นะวันนี้ ขอนอนก่อน เดี๋ยวบ่ายๆจะเข้าไปช่วยละกันนะครับ"   วันนี้ไม่ไหวจริงๆครับ เมื่อคืนกว่าจะหลับได้ เกือบตีสอง

"ท่าจะไม่รอดนะป้าศิ ฟินว่าลากไปทั้งชุดนี้แหละค่ะ"

"แมทตื่นลูก จะได้เวลาขึ้นเครื่องแล้วนะ ต้องไปฮ่องกงไม่ใช่เหรอวันนี้"

"ห๊ะ! ฮ่องกง ขึ้นเครื่อง กี่โมงแล้วอ่ะแม่"   ผมตกใจลืมตาทันทีเมื่อได้ยินคำว่าฮ่องกง ใช่ๆ วันนี้ผมต้องไปฮ่องกง

"7 โมงครึ่งแล้วลูก"   ตายๆๆ ตกเครื่องแหงๆ ห้องน้ำอยู่ไหนเนี่ย

"ใจเย็นๆพี่แมท เอ้านี่ผ้าเช็ดตัว เฟย์ว่าเราลงไปรอข้างล่างกันดีกว่าค่ะ เดี๋ยวเฟย์ขนกระเป๋าลงไปให้เลยนะพี่แมท มีแค่นี้ใช่ไหม"

"ขอบใจมากน้องรัก มีแค่ใบเล็กแหละ ใบใหญ่อยู่ข้างล่างแล้ว"   ว่าแล้วผมก็รีบอาบน้ำแต่งตัว

.......................................................................


20 นาทีต่อมา

"มาๆ กินข้าวก่อนลูก เดี๋ยวให้พี่มัทไปส่ง"

"ครับแม่ ขอบคุณครับ"

"ดีเนอะพี่แมท ตื่นสายเอาวันนี้ ปกติเห็นลุกมารดน้ำต้นไม้ตั้งแต่หกโมงเช้า"   ฟินว่าเหน็บขณะรินน้ำใส่แก้วให้ผม

"เออ เมื่อคืนนอนไม่หลับ"   ไม่รู้เหมือนกันว่าตื่นเต้นที่จะไปหรือไม่อยากไปกันแน่ ถึงได้นอนลืมเวลาขนาดนี้

"ไม่ลืมของนะแมท ถึงสนามบินที่ฮ่องกงแล้วก็อย่าลืมโทรบอกแม่ละ นี่เปิดสัญญาณไปใช้ที่นู่นใช่ไหม"

"มัทเตรียมซิมการ์ดของที่โน่นให้น้องแล้วค่ะแม่ กลัวว่าเปิดโรมมิ่งแล้วค่าโทรค่าเนตจะบาน"   พี่สาวผมนี่ช่างเตรียมพร้อมจริงๆ

"ไม่ต้องกลัวหรอกพี่มัท ฟินว่ายังไงก็ไม่แพงหรอก เพราะจะพลิกท่าไหนโทรศัพท์พี่แมทก็เล่นเนตไม่ได้อยู่ดี ฮ่าๆๆๆ ฮีโร่จอดำซะขนาดนั้น"   เดี๋ยวเถอะๆ ไอสองแฝด บังอาจมาดูถูกพี่ฮีโร่ของผม

"แมทรู้สึกเหมือนจะลืมอะไรสักอย่างนะ แต่ก็นึกไม่ออกอ่ะแม่"   เคยเป็นมั้ยครับ ก่อนออกจากบ้านมักจะมีความรู้สึกนี้ทุกครั้ง เหมือนจะลืมอะไรสักอย่าง

"ถ้าในกระเป๋ามีเงินกับพาสปอร์ตก็ถือว่าไม่ลืมแล้วละพี่แมท"   นั่นมันพอสำหรับผมซะที่ไหน แต่ก็นึกไม่ออกจริงๆ

"รีบไปได้แล้วไป นี่ก็แปดโมงแล้ว จะไม่ทันเอา"   แม่รีบดันหลังผมไปขึ้นรถ

"มัทเช็คอินให้น้องแล้วแม่ ทันแน่นอน"   รอบคอบจริงๆสาวๆบ้านนี้ นี่เป็นคุณสมบัตินึงของแม่ที่ไม่มีอยู่ในตัวผมเลย

"เดินทางปลอดภัยนะพี่แมท อาทิตย์หน้าเจอกัน มารับด้วยนะที่สนามบิน"   ใช่ครับ สองแฝดจะตามผมไปทีหลังพร้อมพี่สาวผม เพราะยัยสองคนนี้ยังเด็กไปที่จะปล่อยให้เดินทางลำพัง สุดท้ายพี่สาวผมก็ต้องไปด้วยอยู่ดี

"ไปนะแม่ อย่านอนดึกนะครับ รักแม่นะ"   บอกลาแม่ก่อนขึ้นรถ

"จ้ะลูก เดินทางปลอดภัยนะครับ พักผ่อนให้เต็มที่ แล้วอย่าลืมของฝากแม่หล่ะ"   แม่ยิ้มกว้างพร้อมกอดผมแน่น

ขนกระเป๋าไว้หลังรถเรียบร้อย เตรียมพร้อมเดินทาง ระหว่างทางผมก็นึกเรื่อยๆ ว่าน่าจะลืมอะไรสักอย่าง

"เป็นอะไรไปแมท ดูกังวลจัง"   พี่มัทหันมามองผมแล้วหันไปมองถนนต่อ

"แมทนึกไม่ออกว่าลืมอะไรอ่ะพี่มัท"   ไม่ชอบอาการนี้เลยจริงๆ

"นึกดูดีดีสิ เงิน พาสปอร์ต สมุดบันทึกเอกสารยืนยันที่พัก"   พี่มัทพยายามไล่หาว่าผมจะลืมอะไรได้บ้าง

"เอามาแล้วๆ"

"เสื้อกันหนาว ถุงเท้า กางเกงใน"

"ไม่ใช่อ่ะ ครบแล้ว แม่ช่วยจัดให้"   ก็นึกไปได้เนอะพี่ผม ถึงลืมก็ไปหาซื้อเอาที่นู่นก็ได้เหอะ

"แผนที่ แผนการเดินทางทางละ"   เอ๊ะ! หรือจะใช่ คุ้นๆว่าไม่มีในกระเป๋าเป้นะ

"แมทดูในเป้แป๊บ"   ค้นๆในเป้แล้วหาไม่เจอ ใช่เลย ผมลืมของสำคัญที่สุดที่จะทำให้ไปไหนไม่ได้แม้กระทั่งที่พัก เพราะผมคงไปไม่ถูกแน่นอน

"เจอรึเปล่าแมท"

"ลืมจริงๆด้วยพี่มัท สงสัยเอาออกมาดูเมื่อคืนไม่ได้เก็บ เมื่อเช้ารีบๆเลยลืมไปเลย ทำไงดีพี่มัท"   ดันลืมของสำคัญซะได้

"งั้นแมทเอาไอแพดมินิอีกอันของมัทไปด้วยละกัน มัทยังไม่ได้ใช้ จะได้ไว้เช็คเส้นทาง เดี๋ยวมัทจะโหลดแอพแผนที่ในฮ่องกงให้ น่าจะพอช่วยได้ แล้วมัทจะส่งทุกอย่างที่เขียนในสมุดให้ในไลน์ตอนถึงบ้านว่าไปที่ไหนบ้างในแต่ละวัน ขึ้นรถอะไรไปได้บ้าง ดีไหม"   พี่มัทว่าพร้อมส่งไอแพดให้ผมรับไว้

"ไม่ดีมั้งพี่มัท แมทใช้ไม่เป็น"   มันยากสำหรับผมจริงๆนะ จะมีมั้ยคนรุ่นผมที่กลัวการใช้เทคโนโลยีแบบนี้

"มัทจะโหลดแอพที่จำเป็นเอาไว้ให้ ในสนามบินกับที่พักเค้ามี wifi ไว้ให้ ไปถึงสนามบินที่โน่นแมทก็รีบไปเปิดใช้ซิมการ์ดซะ เดี๋ยวพอเราถึงสนามบินโหลดกระเป๋าเรียบร้อยมัทจะสมัครไลน์กับล็อกอินเมลล์ไว้ให้เลย ที่ชาร์จอยู่ที่เก็บด้านหน้าแมทอ่ะ หยิบไปด้วย"   ทำไมผมรู้สึกฟังแล้วมันดูยากๆจัง ผมคงไม่แปลกแยกไปใช่ไหม

"แมทงงอ่ะพี่มัท ฟังดูยุ่งยากจัง"

"เอาน่า ถึงแล้วมัทจะอธิบายคร่าวๆให้ฟัง"

.......................................................................


       ถึงสนามบินโหลดกระเป๋าเรียบร้อย เตรียมตัวขึ้นเครื่อง ผมก็หยิบไอแพดเจ้าปัญหาออกมา พี่มัทก็ทำการใส่ซิมการ์ดฮ่องกงที่ไปหามาจากไหนไม่รู้ แล้วก็จัดการโหลดแอพนู่นนั่นนี่พร้อมสอนวิธีการอ่านเมลล์เข้าแอพใช้ไลน์และอีกสารพัดที่ผมจะต้องจดจำมันทั้งหมดภายในครึ่งชั่วโมงนี้

"มัทเปิดโรมมิ่งโทรศัพท์ให้แมทละนะ ส่วนไอแพดนี่ไปถึงสนามบินจะเจอเคานเตอร์สีแบบซองซิมการ์ดนี่ก็เติมชั่วโมงอินเตอร์เนตเลยนะจะได้ใช้งานได้"   พี่มัทอธิบายพร้อมตบบ่าผม

"แมทไม่อยากไปแล้วอ่ะพี่มัท แค่เริ่มต้นก็ไม่ดีแล้ว"   ความกังวลลอยเต็มหัวผมไปหมดแล้วตอนนี้

"เอาน่า แมททำได้ ไม่ยากเลย ครั้งแรกมันก็น่ากลัวแบบนี้แหละ อิอิ แล้วมัทจะไลน์ไปหา โทรมาก็ได้ถ้าสงสัยอะไร ถึงแล้วก็โทรมาบอกด้วยนะ แม่จะได้ไม่เป็นห่วง"

"ครับๆ"

"อย่าหน้าหงอยสิ มีความสุขหน่อย ไปๆๆ ยิ่งนานยิ่งดูท่าจะตกเครื่อง เดินทางปลอดภัยนะน้องรัก เจอกันอาทิตย์หน้า จุ๊บสองจุ๊บ"   อารมณ์ตอนนี้ผมไม่มีความรู้สึกอยากจะแสดงความรักอะไรทั้งนั้นแหละ มีแต่ความกังวล พี่มัทโบกมือลา ผมเดินคอตกเข้าเกท เห็นสภาพตัวเองในกระจกนี่ไม่เหมือนคนไปเที่ยวเลยจริงๆ รีบไปต่อแถวตรวจคนเข้าเมืองก่อนดีกว่านี่ก็ใกล้ได้เวลาขึ้นเครื่องแล้ว

.......................................................................



       เสียงเรียกขึ้นเครื่องดังขึ้นทันทีที่ผมเดินมาถึงทางออกขึ้นเครื่อง นี่กะจะไม่ให้ทำใจก่อนเลยใช่มั้ย ไม่เคยกลัวการขึ้นเครื่องบินขนาดนี้มาก่อนเลย ต่อแถวรอขึ้นเครื่องไปก็ตื่นเต้นกังวลไปตลอด จนขึ้นเครื่องพนักงานแจ้งรัดเข็มขัด ล้อเครื่องบินเริ่มหมุนเคลื่อนตัวไปเรื่อยๆ ผมคงเลือกย้อนกลับไม่ทันแล้วสินะ เอาวะ มีความสุขกับทริปนี้ให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ละกัน ท่องไว้แมท เพื่องาน เพื่องาน เพื่องาน!!!

       เครื่องขึ้นได้สักพักพนักงานก็แจกอาหาร มื้อนี้ไม่อร่อยเลยสักนิด หลังจากนั้นก็แจกใบอะไรสักอย่างให้กรอก เวรละ จะกรอกถูกไหมเนี่ย คนที่นั่งข้างๆก็ไม่ใช่คนไทยซะด้วยสิ โอ้ย!!! อยากปีนหน้าต่างกระโดดลงไปเลยจริงๆ ซึ่งมันทำไม่ได้ไงครับ ผมเลยต้องนั่งชะเง้อมองไปมองมาว่าเค้าต้องกรอกอะไรลงไปบ้าง เอาเถอะ ไม่มีใครช่วยได้ ก็กรอกไปแบบงงๆ ภาษาอังกฤษสำหรับผมมันมีไม่ถึงขั้นปริญญาโทจริงๆนะ สมองผมมันคงหยุดรับรู้ภาษาต่างชาติไปตั้งแต่ประถมแล้วละครับ เพราะแค่กรอกข้อมูลส่วนตัวง่ายๆแค่นี้ยังยากสำหรับผมเลย ก็เขียนเอาตามที่พอจะรู้นั่นละครับ หลังจากกรอกเสร็จแล้ว ทางเลือกที่ดีคือหลับรอเลยครับ นั่งถ่างตาไปก็เครียดยิ่งกว่าเดิม ไม่มีอะไรจะเสียแล้ว ไปเผชิญเอาข้างหน้าเลยละกัน

.......................................................................





❤ ตอนนี้ก็รู้แล้วเนอะว่าไปคนเดียวแน่ๆ อิอิ
ส่วนพระเอก เอ๊ะ! หรือจะเป็นนายเอก ;) จะโผล่เมื่อไหร่นั้น...อีกไม่นานเกินรอค่ะ
แล้วค่อยมาลุ้นกันต่อนะคะว่าแมทจะหอบใจอาตี๋กลับมาด้วยได้ไหม เจอกันพรุ่งนี้ค๊า ^^*

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-12-2014 23:42:12 โดย anana »

ออฟไลน์ anana

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 49
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
ตอนที่ 4


***ตัวหนังสือสีเขียวคือสนทนาเป็นภาษาอังกฤษนะคะ


       ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมงก็มาถึงสนามบินฮ่องกงละครับ ทีนี้งานยากละสิ จะเริ่มต้นตรงไหนก่อนดี เดินตามๆเค้าไปก่อนไว้ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองแล้วค่อยว่ากันละกัน ระหว่างเข้าคิวรอตรวจเอกสารผมก็พยายามโทรหาพี่มัท

"ฮัลโหลๆ พี่มัทได้ยินป่าว"   สัญญาณขาดๆหายๆ

"ได้ยิน แมทถึงแล้วเหรอ"

"ถึงแล้ว รอตรวจเอกสารเข้าเมืองอยู่"

"อ่อๆ แม่! แม่ แมทถึงแล้วนะ"   ได้ยินเสียงแม่ตอบกลับจากปลายสายแว่วๆ หลังจากพี่มัทบอกว่าผมถึงแล้ว

"พี่มัท แมทต้องทำไงต่ออ่ะ"

"แมทรับกระเป๋าแล้วไปติดต่อเรื่องซิมการ์ดในไอแพดให้เรียบร้อยนะ มัทจะได้ส่งรูปไปให้ ค่อยโทรคุยทางไลน์ มันเปลืองค่าโทรศัพท์ แค่นี้นะ"

"เฮ้ยๆ เดี๋ยวก่อนพี่มัท"   อะไรวะ อยู่ๆก็วาง แล้วเจ้แกเปลืองตรงไหน ผมว่าผมเป็นคนโทรไปนะ

       หลังจากตรวจพาสปอร์ต รับกระเป๋าเรียบร้อย ก็ได้เวลาเดินหาเคานเตอร์ของซิมการ์ดที่พี่มัทซื้อมาให้ หายากแน่ๆ คือกว้างไปนะสนามบินที่นี่ เดินออกมาแล้วก็วนถามอยู่นานสองนาน เจอเลย เจอเจ้าหน้าที่นะครับ ไม่ใช่ร้านขายซิม ถามไปถามมา งงกันทั้งคนถามและคนถูกถาม ถึงกับต้องควานหาห่อซิมการ์ดมาให้ดู กว่าจะเข้าใจกันได้ก็ปาเข้าไปหลายสิบนาที ในที่สุดผมก็ได้มาถึงร้านซิมการ์ด จัดการซื้อแพ็กเกจอินเตอร์เน็ตเรียบร้อย จะได้เปิดไลน์ดูรูปที่พี่แมทส่งมา ถึงเวลาผจญภัยของผมแล้วครับ

.......................................................................


       ผมต้องเดินทางไปที่พักด้วยรถเมล์ผ่านคำแนะนำจากพี่สาวจอมงกของผม ใช้เวลาเดินทางจากสนามบินมาถึงที่พักแบบทุลักทุเล ผมกดโทรศัพท์หาเจ้าของที่พัก

"สวัสดีครับ"

"สวัสดี นี่เชลด้าพูด จากไหน"

"ผมมัทฐาที่จองห้องพักเอาไว้ ตอนนี้ผมมาถึงหน้าตึกแล้ว" ได้ยินเสียงแทรกเหมือนเสียงทีวีเป็นภาษาจีนตามสายมา

"โอเค ฉันจะลงไปรับคุณที่หน้าลิฟท์"

.......................................................................


รอประมาณ 10 นาทีก็มีผู้หญิงหน้าหมวยท่าทางน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับพี่มัทเข้ามาทักทาย

"สวัสดี ฉันเชลด้า คุณคือมัทฐาใช่ไหม"   เธอถามผมพร้อมเสียงการเรียกชื่อผมในเสียงสำเนียงที่คนต่างชาติไม่น่าจะออกเสียงได้ชัดขนาดนี้

"ใช่ ผมมัทฐา ยินดีที่ได้รู้จัก"

"สวัสดีอีกครั้งค่ะ จากเมลล์บอกว่าคุณมาจากประเทศไทยใช่ไหมค่ะ"    เดี๋ยวนะ นี่เธอพูดไทยกับผม ผมฟังไม่ผิดใช่ไหม

"คุณเชลด้าพูดไทยได้เหรอครับ"   ผมถามพร้อมทำหน้าสงสัย

"ใช่ค่ะ แม่ของเชลด้าเป็นคนไทย แต่พ่อของเชลด้าเป็นคนฮ่องกงค่ะ"   ไม่ใช่เรื่องตลกหรอกนะ อะไรจะโชคดีขนาดนั้น

"จริงเหรอครับ คุณเชลด้าพูดไทยได้ดีเลยนะครับ เคยอยู่เมืองไทยมาก่อนเหรอครับ"   ถ้าเธอพูดไทยได้ เธอจะช่วยเหลือผมได้ดีเลยละ

"ค่ะ เชลด้าย้ายไปอยู่เมืองไทยตอนประมาณ 8 ขวบ อยู่เมืองไทยมาประมาณ 10 ปี แล้วนี่ครอบครัวเชลด้าก็เพิ่งย้ายกลับมาอยู่ที่นี่ได้ 10 ปีแล้วพอดีเลยค่ะ ตามเชลด้ามาเลยค่ะ จะได้พาไปดูห้องนะคะ"   ถึงสำเนียงก็ดี ชัดทุกถ้อยคำ ไม่แปลกใจเลยที่เธอจะเรียกชื่อผมได้เป๊ะขนาดนั้น แล้วถ้าตามที่เธออธิบาย ตอนนี้เธอคงอายุประมาณ 28 ก็เท่าพี่มัทเลยนี่

"ครับ คุณเชลด้า"

"คุณมัทฐาจองไว้สำหรับพัก 1 อาทิตย์นะคะ"   เธอถามผมขณะเดินมาถึงหน้าห้องพัก

"ครับ คุณเชลด้าเรียกผมแมทก็ได้ครับ"   ผมว่าน่าจะสะดวกกับเธอมากกว่า

"ค่ะคุณแมท นี่กุญแจห้องพัก เดี๋ยวเชลด้าจะสอนวิธีใส่รหัสประตูก่อนนะคะ"   เธอสอนวิธีใส่รหัสเปิดประตูให้ผม พอประตูเปิด เธอเดินนำผมเข้าไปในห้อง ห้องที่จองไว้ไม่ใหญ่มาก แต่อุปกรณ์ครบเลยครับ มีครัวเล็กๆให้ด้วย เหมือนห้องสตูดิโอทั่วไปในคอนโดแถวบ้านเรา ห้องถูกตกแต่งไว้ได้น่ารักดีครับ แยกสัดส่วนชัดเจน เมื่อเทียบกับราคาผมว่าไม่แพงเลย

"เชลด้าอยู่ถัดไปจากนี้สามชั้น ถ้ามีปัญหาอยากให้ช่วยเหลืออะไรโทรหาเชลด้าได้เลยนะคะ"

"ขอบคุณมากเลยครับคุณเชลด้า"   ผมตอบ จากนั้นเธอก็เดินออกไป

.......................................................................


       ผมเตรียมจะออกไปข้างนอก อากาศค่อนข้างหนาวผมเลยหาเสื้อคลุมมาใส่ทับ หยิบแค่พาสปอร์ต กระเป๋าเงินกับไอแพดไปแค่นี้คงพอสำหรับการเดินเล่นแถวๆนี้ พี่มัทส่งรายละเอียดการเดินทางไปที่ต่างๆให้ผมตั้งแต่ใช้อินเตอร์เนตได้ แล้วตอนนี้ก็จะสี่โมงเย็นแล้ว หาอะไรทานแล้วก็เดินเล่นแถวๆที่พักคงน่าจะพอสำหรับวันนี้ ผมฝากท้องที่ร้านอาหารจานด่วนหลังตึกที่พัก แล้วออกเดินเล่นไปเรื่อยๆ  จริงๆ ฮ่องกงก็เป็นเมืองที่น่าสนใจนะ ผู้คนก็ดูเป็นมิตรสังเกตได้จากพ่อค้าแม่ค้าที่กำลังทักทายลูกค้า บ้านเมืองก็ดูผสมผสานไปทั้งความเจริญและชีวิตดั้งเดิม

      ผมเดินเล่นไปเรื่อยๆ มองนาฬิกาอีกทีเป็นเวลาสี่ทุ่มแล้ว รีบกลับที่พักดีกว่า พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่ ว่าแล้วผมก็เดินกลับที่พัก ต้องขอบคุณพี่มัทที่หาที่พักที่จำง่ายให้ผม เข้ามาในตึกที่พักก็เจอลิฟท์เดินเข้าไปด้านในกำลังจะกดชั้นก็เกิดปัญหาใหญ่คือผมจำไม่ได้ว่าพักอยู่ชั้นอะไร แย่กว่านั้นคือเลขห้องผมก็จำไม่ได้ด้วยซ้ำ เพราะตอนขึ้นมาคุณเชลด้าก็กดชั้นให้ ตอนลงก็กดชั้นล่างสุด แล้วใครมันจะไปจำได้ละว่าอยู่ชั้นไหน ที่สำคัญคือไม่ได้เอาสมุดคู่กายมาซะด้วย ถึงเอามาผมก็ยังไม่ได้จดมันลงไป สะเพร่าจริงๆ ผมลืมได้ไง โทรศัพท์ก็ไม่มี บางทีผมก็เบื่อที่ตัวเองต้องเป็นแบบนี้ ผมควรจะรอบคอบ และจดจำสิ่งรอบตัวได้ดีกว่านี้ ขอความช่วยเหลือจากพนักงานที่เฝ้าอยู่ล่างตึกก็ไม่ได้คำตอบที่พอจะช่วยเหลือผมได้ แต่โชคดีก็ยังมีอยู่นิดหน่อยที่ด้านหน้าลิฟท์มีโซฟาตัวยาววางอยู่ คืนนี้ผมอาจจะต้องพึ่งพามันก็ได้

      ผมทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟา พยายามทำสมาธิเพื่อระลึกเหตุการณ์ตอนที่คุณเชลด้าพาผมเข้าลิฟท์ และตอนที่ผมรอลิฟท์กำลังจะออกไปข้างนอก ให้ตายสิ! ไม่มีอะไรแว่บเข้ามาในหัวผมเลยสักนิด จ้องมองลิฟท์เห็นคนเดินเข้าออกอยู่เป็นระยะ ผมก็คอยหวังอยู่ตลอดเวลาว่าคนที่ออกมาจากลิฟท์คือคุณเชลด้า รออยู่นานสองนานก็ไม่มีวี่แววว่าจะเป็นเธอ แต่สักพักผมก็ได้ยินสำเนียงกับภาษาคุ้นๆกำลังใกล้เข้ามาทางผมเรื่อยๆ

"ได้ๆ ผมจะแวะเอาไปให้เค้าเอง"   พูดไทยชัดขนาดนี้คนไทยแน่ๆ ทำเอาผมต้องรีบหันไปมอง เห็นชายหนุ่มตัวสูง ตาโตชั้นเดียว คิ้วคมเข้ม ผิวขาว ดูเท่ดีนะ เฮ้ย! ไม่ใช่แล้ว นี่มันผู้ชายด้วยกันนะ ผมไม่ควรมานั่งเคลิบเคลิ้มชื่นชมอย่างนี้สิ อันที่จริงผมควรเข้าไปถามเค้าไหมว่ารู้จักคุณเชลด้ารึป่าว ไม่สิ เค้าอาจจะเป็นนักท่องเที่ยวก็ได้ ถ้าเป็นอย่างนั้นจะไปรู้จักได้ไง นี่มันไม่ใช่เมืองไทยนะ หรือจะเดินตามไปดี โอ้ะ! ไม่ได้ๆ เดี๋ยวเค้าจะคิดว่าผมหลงทาง อาจจะฉวยโอกาสเอาจากผมก็ได้ เอาไงดีเนี่ย?!? นี่ก็จะเที่ยงคืนแล้วด้วย ง่วงก็ง่วง คุณเชลด้าอาจจะนอนไปแล้วก็ได้ มัวแต่คิดสรตะ หันไปมองอีกที อ้าว! ไปซะละ ไม่ทันแล้ว ผู้ชายคนนั้นเข้าลิฟท์ไปแล้ว คืนนี้ผมคงต้องนอนบนโซฟานี้จริงๆใช่มั้ย

      ผมรอต่อไปเรื่อย สักพักชายคนเดิมก็เดินกลับลงมา แสดงว่าเค้าคงไม่ได้อยู่ที่นี่ อาจจะแวะมาหาใครสักคน เค้าคงไม่รู้จักคุณเชลด้าแน่ๆ

"ไม่เห็นมีใครมาเปิดประตูนะ ผมว่าเค้าคงไม่อยู่ห้อง"   นั่นไง เป็นอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด มาหาคนที่อยู่ที่นี่จริงๆด้วย

       นั่งรอเลื้อยตัวรอนานสองนาน เผื่อคุณเชลด้าจะเป็นปาฏิหาริย์ เดินเข้ามาตอนนี้ ระหว่างที่ผมนั่งรออยู่ 3 ชั่วโมง ผมว่าผมเห็นผู้ชายคนนี้เดินเข้าออกลิฟท์ ขึ้นลงตึกนี้มากกว่าสามครั้งนะ แถมยังชายตามามองผมด้วยท่าทางที่เหมือนจะสงสารแล้วก็สมเพชไปด้วยในขณะเดียวกัน ถึงผมจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไรแต่จากสายตาที่มองต้องเป็นแง่ลบแน่ๆ เฮอะ! บ้าจริง

       เอาวะ ไหนๆก็ไหนๆละ หลับมันตรงนี้ละกัน ถ้ามีใครมาไล่ก็ค่อยว่ากันอีกที หวังว่าพรุ่งนี้เช้าคงโชคดีเจอคุณเชลด้านะ ลำบากจริงๆ หนาวก็หนาว มันคราวซวยอะไรของผมวะเนี่ย

.......................................................................


ขณะกำลังเคลิ้มๆ

"พี่ไปกับผมด้วยเลยละกันพรุ่งนี้ ผมน่าจะออกสายหน่อย"   คนไทยเยอะจังวะตึกนี้

"ไม่ได้นะสิ พรุ่งนี้ม๊าจะไปวัดตอนบ่าย เชนไปคนเดียวได้ไหม แวะเอาไปให้แค่เดี๋ยวเดียวเอง"   เสียงนี้ก็คุ้นๆนะ เหมือนเสียงคุณเชลด้าเลย

"ก็ได้ๆ ครับ อะไรกัน นี่เค้ายังอยู่ตรงนี้อีกเหรอ ทำไมไม่มีใครมาจัดการ คนจรจัดรึป่าวก็ไม่รู้"   อ้าวเฮ้ย! คงไม่ได้ด่าผมใช้ไหม เล่นเอาไม่กล้าลืมตาเลยกู

"อะไร ใครกันเชน"   เสียงเหมือนคุณเชลด้ามากจริงๆนะ หรือผมจะอยากได้ยินเสียงเธออยากเจอเธอมากจนเก็บไปหลอน เลยหรี่ตาแอบมองด้วยตาข้างเดียว ปรากฎว่าไม่ผิดจริงๆ คุณเชลด้าตัวเป็นๆ แต่เดี๋ยวนะ นั่นมันคนที่เดินไปเดินมาอยู่หน้าลิฟท์ก่อนหน้านี้นี่หว่า รู้จักคุณเชลด้าเหรอ ถึงได้คล้องแขนกันซะขนาดนั้น นี่เราก็เกือบเดาทางถูกละนะ ทำไมไม่ถามไปตั้งแต่เจอครั้งแรกวะ ป่านนี้คงได้เข้าไปนอนห่มผ้าสบายใจละ แต่ช่างเหอะ ยังไงตอนนี้คุณเชลด้าก็อยู่ตรงหน้าแล้ว โปรดผมทีเถอะ!

"ก็นี่สิครับ ผมว่าผมเห็นเค้าตั้งแต่ตอนเอาขนมมาฝากให้คุณแมทแล้วนะ นี่ยังอยู่ที่เดิมอีก"   ห๋า! เอาขนมมาให้คุณแมท ชื่อเดียวกับผมเลย หรือจะเป็นผม ให้ผมเหรอ ก็แสดงว่านายนั่นมาหาผมแล้วผมไม่อยู่ห้องนะสิ

"อ้าว นี่คุณแมทนี่ คุณแมท คุณแมทค่ะ"   เขย่าปลุกผมซะสั่นไปทั้งตัวเลยนะครับคุณเชลด้า

"ไหนคุณแมท พี่อย่าบอกนะว่า"   คิดในใจแต่ไม่กล้าพูดออกไปว่า เออไม่ต้องตกใจไป กระผมนี่แหละครับแมท คนที่คุณจะเอาขนมมาฝากหน่ะ

"อือ อืม ครับ อ้าวคุณเชลด้า มาทำอะไรตรงนี้ครับ"   ทำเป็นสะลึมสะลือ แล้วผมถามอะไรออกไปเนี่ย

"คุณแมทแหละค่ะ มาทำอะไรตรงนี้"   เธอถามพร้อมนั่งลงที่โซฟาข้างผม ส่วนนายนั่นก็ยืนกอดอกจ้องหน้าผมเขม็ง เอ๊ะ! หรือนายคนนี้คือแฟนของคุณเชลด้า

"คือ เอ่อ คือ คือว่า"   อธิบายยังไงดีวะ ถ้ามีแค่คุณเชลด้าอยู่ผมคงอธิบายง่ายกว่านี้ ถ้าพูดไปตอนนี้หมอนี่คงหาว่าผมโง่แน่เลย

"คืออะไร พูดมาสิ เช่าห้องมานอนโซฟาก็ไม่ยอมบอก นึกว่าคนจรจัด"   ไอ้บ้า ปากโดนเจาะมาให้พูดรึไงวะ

"เชน! เงียบก่อน"    เออ เว้นวรรคให้กูอธิบายบ้าง มีอย่างที่ไหนมาหาว่าผมเป็นคนจรจัด

"คือผมลืมครับว่าเลขห้องอะไร จะกดลิฟท์ก็จำชั้นไม่ได้ครับ พอดีสมุดจดผมก็ไม่ได้หยิบติดตัวมาด้วย"   ผมตอบด้วยสีหน้าหงอยๆ

"โง่จริงๆด้วย"   นั่นไง โดนด่าว่าโง่จนได้ ถึงคุณมึงจะพูดเบาแต่กูได้ยินนะเว้ย อย่าริอาจมาด่าหรือนินทาผมนะ เบาแค่ไหนผมก็พอจะจับใจความได้

"ลำบากแย่เลย งั้นเชลด้าพาไปส่งที่ห้องละกันนะคะ นี่คุณแมททานอะไรรึยังค่ะ"   พูดพร้อมรอยยิ้มที่ดูอ่อนโยนก่อนจะลุกเดินไปที่หน้าลิฟท์

"เรียบร้อยแล้วครับ ขอบคุณนะครับ"   ผมตอบก่อนจะเดินตามทั้งคู่ไป

.......................................................................


ระหว่างอยู่ในลิฟท์ที่ต่างคนต่างเงียบ คุณเชลด้าก็ขัดความเงียบขึ้นมา

"พรุ่งนี้คุณแมทมีแพลนจะไปไหนรึป่าวคะ"

"อ่อ เดี๋ยวนะครับ"   ผมรีบเปิดไอแพดให้เธอดู

"คุณเชลด้าอ่านภาษาไทยได้รึป่าวครับ"   เธออาจจะไม่เข้าใจเนื้อหาที่ผมส่งให้เธอดู

"อ่านได้สิคะ เชลด้าเรียนที่ไทยมาตั้งแต่เด็กๆ"   รับไอแพดจากมือผมไปดู

"โอ๊ะ! พอดีเลยค่ะ พรุ่งนี้คุณแมทมีแพลนจะไปนั่งกระเช้า ไหว้พระใหญ่วัดโปลินนี่คะ"   อยู่ๆก็อุทานซะให้ตกใจนึกว่าเรื่องใหญ่

"ครับ จริงๆ ผมเพิ่งมาที่นี่เป็นครั้งแรก มาโดยบังเอิญ เลยไม่ค่อยได้เตรียมตัว กลัวหลง แต่ดีหน่อยที่พี่สาวผมเตรียมแผนไว้ให้ค่อนข้างดี ถึงจะมีผิดแผนไปบ้างแต่ก็ยังพอไหวครับ"   เธอพยักหน้ารับรู้หลังจากผมอธิบาย

.......................................................................


เราสามคนพากันออกมาจากลิฟท์ นี่คงเป็นชั้นที่ผมอยู่แน่ๆเพราะผมเริ่มจะคุ้นๆทางแล้ว

"นี่แหละค่ะที่เชลด้าบอกว่าพอดีเลย พรุ่งนี้เชนต้องไปแถวนั้น งั้นคุณแมทไปกับเชนเลยก็ได้นะคะ  ให้เชนช่วยอธิบายทางให้ก็ได้ค่ะคุณแมทจะได้สะดวกขึ้น"   คืออันที่จริงมันก็ดีนะ แต่ถ้าต้องไปกับนายนี่ผมไปคนเดียวอย่างเดิมดีกว่านะครับ

"เฮ้ย! เชลด้า พี่จะไม่ถามผมก่อนเหรอ ว่าผมสะดวกรึป่าว"   ไอ้หน้าหล่อมันทำหน้าตาตื่นรีบแย้งไม่ให้เกิดการเดินทางร่วมกันระหว่างผมกับมัน

"เอ่อ ไม่เป็นไรดีกว่าครับ ผมเกรงใจ"   คิดในใจว่า มึงไม่อยากให้กูไปด้วย กูก็ไม่อยากไปกับมึงด้วยหรอก เฮอะ!

"อะไรกันเชน แค่นี้เอง คนไทยด้วยกัน เอางี้ดีกว่า พรุ่งนี้เช้าแวะไปที่บ้านของเราก่อนไหมคะ จะได้ไปเจอแม่ของเชลด้าด้วย ไปทานอาหารเช้ากัน ถือว่าเป็นเซอร์วิสแถมจากเชลด้าละกันนะคะ"   คุณเชลด้ายิ้มให้ผม ในขณะกระตุกมือไอ้หน้าหล่อให้หยุดโวยวาย แต่คงห้ามไม่ได้

"เค้าไปหากินเองได้แหละ เราไม่ได้ให้เช่าห้องพร้อมอาหารเช้านะ แล้วก็ไม่มีแพ็กเกจท่องเที่ยวแถมด้วย เพิ่งเจอกันไว้ใจได้รึป่าวก็ไม่รู้"   พูดจบมันก็หมุนตัวกลับเข้าลิฟท์ไป เออ! ถูกขนาดนี้ ถ้าแถมคงขาดทุน เค้าเรียกน้ำใจเว้ย น้ำใจอ่ะ รู้จักป่าววะ คนนิสัยอย่างมันคงไม่เข้าใจ

"เชลด้าขอโทษแทนน้องชายด้วยนะคะ แต่พรุ่งนี้ไปทานข้าวเช้าพร้อมกันให้ได้นะคะ ยังไงเราก็คนไทยด้วยกัน ที่สำคัญคุณแมทคือลูกค้าคนไทยคนแรกที่ติดต่อมาพักที่นี่ เชลด้าเลยอยากดูแลเต็มที่"   เธอพูดอธิบายขณะเดินมาเรื่อยๆ

"น้องชายเหรอครับ"   ผมนึกว่าแฟนซะอีก

"ค่ะ เชนเป็นน้องชายแท้ๆของเชลด้าเองค่ะ"

.......................................................................



เธอนำผมเดินจนถึงหน้าห้องห้องหนึ่ง เดาว่านี่คงจะเป็นห้องพักของผม

"ถึงแล้วค่ะคุณแมท ยังไงเจอกันพรุ่งนี้เช้านะคะเชลด้าจะลงมารับ"   เธอกดรหัสเข้าห้องให้ผม ก่อนจะบอกลา

"ไม่ต้องมารับก็ได้นะครับ ผมไปเองก็ได้ เกรงใจครับ จดเลขชั้นกับห้องให้ผมก็พอ"   แค่ชวนกินข้าวผมก็เกรงใจจะแย่แล้ว

"ไม่เป็นไรเลยค่ะ วิธีนี้ดีแล้ว เชลด้ากลัวคุณแมทจะหลงอีกหน่ะคะ"   หัวเราะเบาๆหลังพูดจบ

"ได้ครับ ขอบคุณมากนะครับคุณเชลด้า"

"Good night ค่ะ"   เธอโบกมือและรอยยิ้มกว้าง

"ครับ Good night ครับ"

      เข้ามาในห้องได้ ผมก็รีบเตรียมกระเป๋าใบเล็ก ใส่ของที่จะต้องใช้พรุ่งนี้ ทั้งพาสปอร์ต ไอแพด กระเป๋าเงิน โทรศัพท์ แล้วหยิบสมุดคู่กายมาจดเลขห้องเลขชั้นให้ชัดเจนอีกทีพร้อมกับรหัสเข้าห้อง ผมจะไม่ยอมให้นายนั่นมาว่าผมโง่ได้อีกเป็นครั้งที่สองแน่นอน

.......................................................................




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-12-2014 23:07:25 โดย anana »

ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1937
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -
Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 4 [08-12-57]
«ตอบ #12 เมื่อ08-12-2014 22:35:13 »

รออ่านตอนต่อไปนะ  มาลงสม่ำเสมอดีจังนะ

ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5445
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 4 [08-12-57]
«ตอบ #13 เมื่อ08-12-2014 23:23:20 »

เค๊าเจอพระเอกแล้วนะ
ที่ว่าพระเอก เพราะแมท
เหมาะที่จะเป็นนายเอกเท่านั้น

เป็นกำลังใจให้คนเขียน

ออฟไลน์ rogerr

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 834
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 4 [08-12-57]
«ตอบ #14 เมื่อ09-12-2014 02:11:15 »

อุ้ย!! พระเอกโผล่แระเหรอ คริคริ :-[

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 4 [08-12-57]
«ตอบ #15 เมื่อ09-12-2014 09:51:55 »

แหม อาตี๋ฮ่องกงนี่ปากร้ายจริงนะ อันที่จริงแมทก็มีความน่ารักอยู่ ระวังจะหลงรักไม่รู้ตัว
เป็นกำลังใจให้คนเขียนจ๊ะ

ออฟไลน์ anana

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 49
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
ตอนที่ 5


Chen part

"เชน เข้าบริษัทแล้วไปไหนต่อไหมวันนี้"

"คงกลับมาช่วยที่ร้านเลยครับ พี่มีอะไรรึป่าว"

"งั้นวันนี้แวะเอาหนังสือไปคืนคุณจิมมี่ให้พี่ด้วยนะเชน ไหนๆก็ต้องไปแถวนั้นแล้ว"    พี่เชลด้ายื่นหนังสือสูตรอาหารให้ผมขณะเดินเข้ามาในห้องนอนของผม

"ทำไมรีบคืนละพี่ พี่จิมมี่ต้องใช้เหรอ"     คุณจิมมี่คือเจ้านายเก่าของพี่สาวผม และเป็นแฟนคนปัจจุบันของเธอ

"น่าจะมั้ง เห็นเมื่อคืนบ่นว่าอยากได้ แล้วเชนจะไปแถวนั้นพอดี พี่เลยบอกว่าจะให้เชนเอาไปให้"    ผมพยักหน้ารับ

"คุณจิมมี่ติดลูกค้ากรุ๊ปใหญ่ พี่เองก็ต้องเฝ้าร้านคงไม่สะดวกแวะไปหาด้วย"    แฟนพี่สาวผมทำงานเป็นหัวหน้าเชฟอยู่ที่โรงแรมชื่อดังแห่งหนึ่งในฮ่องกง ซึ่งก่อนหน้านี้พี่สาวผมก็ทำงานเป็นเชฟอยู่ที่นั่น ทั้งคู่เลยได้พบรักกัน ส่วนผมทำงานเป็นฟรีแลนซ์ให้กับบริษัทของเพื่อนผมทำหน้าที่เป็นผู้ให้คำปรึกษาด้านการลงทุนและกลยุทธ์ทางการตลาด

       ผมเรียนจบโทบริหารด้านการตลาดมาจากมหาวิทยาแห่งหนึ่งในฮ่องกง ทำงานเกี่ยวกับการลงทุนและการตลาดมาตั้งแต่เรียนจบ แต่สิ่งที่ผมชื่นชอบจริงๆคือการเข้าครัว ตั้งแต่จำความได้จนปัจจุบันอายุ 27 ปีแล้ว ผมก็ยังรู้สึกตกหลุมรักในการทำอาหารอยู่ และยังรู้สึกตื้นเต้นตลอดเวลาที่ได้เรียนรู้สูตรใหม่ๆ จนในที่สุดการเข้าครัวทำอาหารจึงกลายเป็นงานอดิเรกกึ่งประจำของผม เนื่องจากผมและพี่สาวได้รวมเงินกันเปิดร้านอาหารเล็กๆในแบบฉบับของตัวเอง สามปีที่ผ่านมาผมรู้สึกมีความสุขทุกครั้งที่เปิดประตูครัวที่ร้านออกมาแล้วพบสีหน้ามีความสุขของลูกค้าที่มีต่ออาหารที่กำลังทานในร้านของผม ถึงแม้ว่าจานนั้นจะไม่ใช่ฝีมือผมก็ตาม ผมคิดว่านี่คือความสุขที่แท้จริง แล้วผมก็โชคดีที่ได้เจอและได้อยู่กับความสุขเหล่านั้น

"รีบแต่งตัวเถอะ เช้านี้พี่นัดคุณแมทมาทานข้าวเช้าด้วย"        ผมรู้ตัวว่ากำลังแสดงสีหน้าไม่ชอบใจอย่างชัดเจนให้พี่เชลด้าเห็น จะชวนเขามาทำไมก็ไม่รู้ ปกติไม่เคยเห็นเชิญลูกค้าที่เคยเช่าพักมาทานด้วยสักคน

"ไม่เอาน่า อย่าทำหน้าอย่างนั้นสิ พี่เห็นว่าเขาเป็นคนไทยเหมือนเรา อีกอย่างเขาก็ดูต้องการความช่วยเหลือ พี่ช่วยเขาในฐานะลูกค้า ไม่น่ามีปัญหาอะไรหรอก"      รู้ได้ยังไงกัน เห็นซื่อๆอย่างนั้นก็ไม่ได้หมายว่าจะไว้ใจได้

"ครับๆ แต่แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวนะพี่"

 "จ้าๆ ครั้งเดียว ว่าแต่เราเถอะ อย่าใจอ่อนสงสารที่เขาดูซื่อๆแล้วไปช่วยเค้าจนกลายเป็นมากกว่าครั้งเดียวละ"    ว่าจบแล้วพี่สาวผมก็หมุนตัวเดินออกจากห้องไป พี่เชลด้าเห็นอะไรในตัวหมอนั่นถึงได้คิดว่ามันน่าสงสารนะ แล้วยังพูดเหมือนอ่านความคิดผมได้ที่ว่าหมอนั่นซื่อ ยิ่งคิดตามก็ยิ่งไปกันใหญ่ รีบแต่งตัวดีกว่า

.......................................................................


      แต่งตัวเสร็จเดินออกมาจากห้อง ก็เห็นพี่สาวผมกำลังแนะนำหมอนั่นให้พ่อกับแม่ผมรู้จัก ครอบครัวผมอาศัยอยู่ร่วมกัน ที่ดินในประเทศนี้ราคาสูง ห้องชุดสามห้องนอนนี้จึงเป็นทางเลือกสำหรับชนชั้นกลางอย่างครอบครัวผม ส่วนห้องที่มีให้เช่า ผมกับพี่สาวก็ทยอยซื้อทีละห้อง ตกแต่งแล้วปล่อยเช่า มีทั้งลูกค้ารายเดือนและรายวันสลับกันไป

"นี่ป๊ากับม๊าของเชลด้าค่ะคุณแมท"    หมอนั่นยกมือไหว้พร้อมยิ้มตาหยี ดูเป็นยิ้มที่น่ามองขัดกับทัศนคติที่ผมมีอย่างสิ้นเชิง

"นี่คุณแมท เป็นลูกค้าคนไทยที่มาเช่าห้องของเราค่ะ วันนี้เชลด้าเชิญให้คุณแมทมาทานข้าวเช้ากับเรา"

"เป็นคนไทยเหรอ มาเที่ยวละสิ มาคนเดียวหรือมากับเพื่อนหล่ะ มาครั้งแรกเหรอ แล้วมากี่วัน จะไปเที่ยวไหนบ้างวางแผนมาหรือยัง หืม"    ป๊าผมมองหน้าหมอนั่นพร้อมถามยาวยืดไม่เว้นวรรคให้ตอบเลยสักนิด ถึงจะป๊าเป็นชาวฮ่องกงแต่ป๊าก็พูดไทยชัดมาก เพราะป๊าไปทำงานที่เมืองไทยตั้งแต่เรียนจบ แล้วก็ไปเจอม๊าที่นั่น พบรักกัน แต่ตากับยายผมไม่ยอมรับเพราะท่านอยากให้แต่งงานกับคนไทยด้วยกัน พ่อกับแม่เลยแอบแต่งงานกันแล้วหนีมาอยู่ฮ่องกงจนมีพี่เชลด้าและผม หลังผมอายุได้ 8 ขวบ ตาผมก็เสีย แม่เลยอยากย้ายกลับไปอยู่กับยาย เพราะยายเองก็อยู่คนเดียว ครอบครัวเราเลยย้ายกลับไปอยู่ที่นั่นได้ 7 ปีต่อมายายก็เสียชีวิตลง เราอยู่ที่ไทยหลังจากนั้นได้ประมาณ 3 ปี ป๊าก็ขอร้องแม่ว่าอยากกลับมาอยู่ที่นี่เหมือนเดิม ก็เลยทำให้เราได้ย้ายกลับมาอยู่ฮ่องกงอีกครั้ง

"ป๊าใจเย็นๆ ให้น้องเค้าตอบก่อนสิ ทีละคำถาม"     ม๊าผมรีบปราม

"ไม่เป็นไรครับ ผมเป็นคนไทยครับ มาเที่ยวคนเดียวครับ นี่เป็นครั้งแรก มาเที่ยวประมาณ 2 อาทิตย์ ส่วนแผนที่วางไว้ก็พอมีคร่าวๆแล้วครับ"    หมอนั่นตอบชัดถ้อยชัดคำพร้อมมองหน้าป๊าด้วยรอยยิ้มที่กว้างกว่าเดิม

"แล้วนี่อายุเท่าไหร่หล่ะ"    ป๊าถามตอนกำลังใช้ตะเกียบคีบหมูอบใส่จานข้าวหมอนั่น

"อายุ 25 แล้วครับ เอ่อ ผมเรียกว่าคุณลุงได้มั้ยครับ"    ถึงว่าดูหน้าเด็ก แต่อายุก็น้อยกว่าผมไม่ได้เยอะ

"เอาสิ เรียกลุงเรียกป๊าก็ได้ทั้งนั้น ตามสบายเลย"    ป๊าชอบคนคุยเก่ง พูดจาดูมั่นใจ ไม่แปลกเลยที่ผมจะรู้สึกได้ว่าป๊าถูกใจ ถึงจะคุยกันแค่ไม่กี่ประโยคก็พอดูออกว่าป๊าถูกชะตา อันที่จริงหมอนี่ก็ไม่ได้ทำอะไรให้ผม อาจจะเพียงแค่รู้สึกไม่ไว้ใจในครั้งแรกที่เจอ เพราะพี่สาวผมดูจะใจดีเกินเหตุกับคนที่เพิ่งเจอ ขนาดป๊ายังดูจะถูกใจหมอนี่ เพราะงั้นผมคงจะต้องลดอคติแล้วมองหมอนี่ดูใหม่

"อยากเรียกป๊ากับม๊านะครับ แต่เกรงใจ เพราะผมก็เพิ่งรู้จักทุกคนเมื่อกี้นี้เอง"    ถ้าเป็นคนอื่นพูดผมคงคิดว่าหน้าด้านไปแล้วแต่ทำไมพอมันพูดผมกลับรู้สึกถึงความเป็นธรรมชาตินะ แย่ๆๆ ไปกันใหญ่แล้ว เพิ่งลดอคติเองนะ อย่าเพิ่งมองโลกในแง่ดีเกินไปสิเชน!

"อยากเรียกก็เรียกเลยจ้ะน้องแมท ม๊ายินดี"     ม๊าพูดพร้อมรอยยิ้ม

"งั้นก็เรียกพี่ว่าพี่เชลด้าละกันเนอะ ไม่ต้องมีคุณอะไรนั่นหรอก อึดอัดแย่"     พี่เชลด้าพูดไปยิ้มไป ทำไมบรรยากาศอาหารเช้าที่บ้านผมวันนี้มันดูสดใสผิดกับทุกวันที่ดูเร่งรีบ เพราะทุกเช้าผมกับพี่สาวจะต้องรีบออกไปทำงาน แล้วป๊ากับม๊าจะอยู่บ้านกันสองคน ตกเย็นก็ไปออกกำลังกายกันที่สวนสาธารณะใกล้ๆแถวนี้บ้าง เพราะป๊าลาออกจากงานแล้วหันมาทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ดูแลอยู่ที่บ้านอย่างเดียวได้สักพักแล้วส่วนม๊าก็เป็นแม่บ้านมาตลอด ทำให้ทั้งคู่อยู่ที่บ้านแทบจะทั้งวัน

"งั้นผมขอเรียกป๊า ม๊า พี่เชลด้า แล้วก็เอ่อ"

"ถ้าแมท 25 งั้นก็ต้องเรียกพี่เชนนะ เพราะเชนอายุ 27 แล้ว"     พี่เชลด้าอธิบาย

"เอ่อ ครับ พี่เชน"    ถึงกับทำหน้าไม่ถูกหลังจากเรียกผมว่าพี่แล้วผมดันมองหน้าจ้องตาขเม็งกลับไป

"ทำไมต้องทำหน้าดุแบบนั้นเชน!"    ม๊าเอื้อมมาตีไหล่ผมเบาๆ

"แล้วนี่ทำงานอะไรอยู่ละหืม ป๊าถามได้ไหม"

"อ่อได้ครับ แมทเอ้ย ผมเป็นนักเขียนอิสระครับ"

"ฮ่าๆๆ แทนตัวเองตามที่ถนัดก็ได้"    สงสัยปกติคงเรียกแทนตัวเองด้วยชื่อ

"นักเขียนเหรอ นิยายหรือสารคดี"    ป๊าผมดูมีคำถามมากมายเนอะ สัมภาษณ์อย่างกับจะรับเข้าทำงาน ผมละอึดอัดแทน

"เขียนนิยายอย่างเดียวครับ"

"พอแล้วๆ ป๊า น้องแมทไม่ได้ทานข้าวกันพอดี"    จริงของม๊าครับ

"โอเคๆ ไม่ถามแล้ว แต่อีกนิดนะ วันนี้จะไปเที่ยวไหนละ"     ยังจะมีแถมนะป๊า ป๊าผมเป็นคนชอบคุย แต่ติดตรงอย่างที่บอกละครับว่าสมาชิกบ้านนี้ไม่มีใครคุยเก่งเหมือนป๊า

"แมทว่าจะไปนั่งกระเช้ากับไหว้พระน่ะครับ"

"ดีแล้วจ้ะ เริ่มวันแรกของทริปด้วยการสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก่อน พระท่านจะได้คุ้มครอง"     ม๊าบอก


.......................................................................


       หลังมื้อข้าวเช้าที่เต็มไปด้วยเสียงคุยและเสียงหัวเราะของสมาชิกใหม่กับป๊าอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทุกคนก็เตรียมตัวออกไปข้างนอก

"แมทจะออกไปกี่โมงจ้ะ ไปพร้อมเชนเลยสิ"     พี่เชลด้า ผมบอกเมื่อไหร่ว่าจะให้ไปพร้อมผมได้

"ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวแมทไปเองดีกว่า แค่นี้ก็รบกวนมากแล้วครับ แมทเกรงใจ"     ดีๆ รู้จักมีมารยาท ผมจะได้ไม่เป็นภาระ

"จะไม่หลงแน่นะ เอาเบอร์ส่วนตัวพี่กับเชนติดเครื่องไว้ดีกว่านะ เผื่อมีอะไรให้ช่วยจะได้ติดต่อได้ เพราะเบอร์ที่มีอยู่ก็เป็นเครื่องของที่บ้านอาจจะไม่สะดวก มาๆพี่เซฟให้นะ"     อะไรกัน ผมไม่ได้ตกลงสักคำว่าจะให้

"เกรงใจจังครับ ทั้งที่เพิ่งเจอกันแค่วันเดียวทุกคนช่วยเหลือผมเยอะมากๆเลย รู้สึกตัวเองเป็นภาระให้กับทุกคนยังไงก็ไม่รู้"    มันพูดพร้อมก้มหัวให้ทุกคน

"อย่าคิดอย่างนั้นเลย ป๊าว่าป๊าถูกชะตากับเด็กคนนี้แล้วหล่ะ"    ป๊าว่าพร้อมเสียงหัวเราะอย่างมีความสุข เป็นอย่างที่ผมคิดเอาไว้จริงๆ

"เอางี้ ถ้าแมทเกรงใจก็แวะมาทานข้าวเช้าด้วยกัน ชวนป๊าคุยให้หายเหงาดีกว่าเนอะ พี่จะถือว่าเป็นคำขอบคุณ ดีไหม"    จะว่าไปวันนี้ป๊ากับม๊าก็ดูยิ้มกว้างและทานข้าวได้เยอะกว่าทุกวันนะ

"เอ่อ จะดีเหรอครับ"     ผมว่ามันคงอึดอัดไม่น้อย เพราะคนที่เจอกันครั้งแรกมาดีด้วยขนาดนี้ ถ้าเป็นคนมีจิตสำนึกพอก็คงจะต้องรู้สึกอึดอัดเป็นธรรมดา

"ดีสิ ไปเชน แมท เรารีบไปกันเถอะ พี่ต้องรีบไปเตรียมของที่ร้านด้วย"     นี่ผมต้องพ่วงมันไปด้วยจริงๆเหรอเนี่ย


.......................................................................


        บอกสวัสดีป๊ากับแม่เรียบร้อยเราสามคนก็เดินลงลิฟท์มาจนชั้นล่าง

"แมทไปพร้อมเชนเลยนะ พี่แยกไปร้านก่อนละ บาย เที่ยวให้สนุกนะแมท"     อะไรของเขา อยู่ๆจะไปก็ไปทิ้งหมอนี่ไว้กับผมเลยเหรอ แล้วใครจะพกไปด้วยละ เป็นภาระสุดๆ

"เอ่อ"     มีไรจะพูดก็พูดมาสิ

"จะไปยังไง"     ผมเริ่มคำถามเองก็ได้วะ

"ไปรถไฟฟ้าครับ แล้วพี่ เอ่อ นาย เอ้ย! ขอโทษๆ คุณหล่ะไปยังไงเหรอ"     คงกลัวว่าผมจะไม่พอใจ เลยเปลี่ยนคำเรียกไปเรื่อยๆ

"ไปมอเตอร์ไซค์ ขอตัวนะ"     ว่าแล้วผมก็รีบปลีกตัวออกมา หวังว่าคงไปเองได้อยู่หรอกนะ


.......................................................................





❤ เปิดตัวกันพอหอมปากหอมคอ ปาดตอนนี้มาพอให้รู้จักมักจี่พี่เชนกันเอาไว้ก่อนค่ะ
สั้นไปหน่อยนะคะตอนนี้ ตัดตอนไม่ลงจริงๆ ถ้าลากต่อต้องยาวแน่ๆ

❤ ไว้เจอกันตอนต่อไปพรุ่งนี้ค๊า ;)

แหม อาตี๋ฮ่องกงนี่ปากร้ายจริงนะ อันที่จริงแมทก็มีความน่ารักอยู่ ระวังจะหลงรักไม่รู้ตัว
เป็นกำลังใจให้คนเขียนจ๊ะ

❤ ในที่สุดความน่ารักของแมทก็ถูกมองเห็น ขอบคุณนะคะ อิอิ ดีใจจังค่ะ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-12-2014 23:41:23 โดย anana »

ออฟไลน์ bulldog17

  • ❤GOT7
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3689
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +265/-12
อาตี๋เชน มาให้ตีปากสักทีสิ

แหม่ๆๆๆ

ออฟไลน์ real port

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 206
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
เริ่มแหละ :hao3:

ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5445
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
แมทจะหลงมั่ยน้ออ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
เฮ้ย!!! อาตี๋เอ๊ยจะปล่อยแมทไว้งั้นจริงดิ เดี๋ยวแมทก็(หลง)หายไปหรอก
เป็นกำลังใจให้คนเขียนจ๊ะ

ออฟไลน์ rogerr

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 834
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
เค้าเลื่อนเม้าท์ไปโดนลบเป็ดอะ เค้าขอโทษ กดคืนให้แระนะคนแต่ง

ออฟไลน์ anana

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 49
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
ตอนที่ 6

***ตัวหนังสือสีเขียวคือสนทนาเป็นภาษาอังกฤษนะคะ

Chen part

       ผมเดินมาชั้นสำหรับจอดมอเตอร์ไซค์ กำลังจะถึงรถอยู่แล้วดันลืมหมวกกันน็อคซะได้ ทำให้ต้องเดินย้อนกลับมาที่ห้องอีกครั้ง ระหว่างทางผมก็นึกเป็นห่วงว่าหมอนั่นจะหลงทางไหม ดูท่าทางซื่อๆบื้อๆขนาดนั้น แม้แต่เลขชั้น เลขห้องที่ตัวเองเช่าพักอยู่ยังจำไม่ได้ ในขณะที่กำลังคิดไปด้วยขาผมก็พาตัวเองมายืนอยู่หน้าตึกซะแล้วแทนที่จะเดินขึ้นตึกไปเอาหมวก แล้วทางที่ขึ้นตึกได้สะดวกและใกล้กว่าทางนี้ผมกลับเดินผ่านมาเฉยๆ ผมก็ไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมต้องมาเดินอ้อมทางหน้าตึกด้วย ผมว่าผมควรจะต้องไปเอาหมวกกันน็อคนะ ไม่ใช่มายืนมองหาหมอนั่นอยู่แบบนี้

       แล้วก็ไม่รู้อะไรอีกเหมือนกันที่ดลใจให้ผมเลือกที่จะเดินตามมันไปหลังจากเห็นด้านหลังคุ้นๆใกล้ทางลงรถไฟฟ้าใต้ดิน ทั้งๆที่ดูก็รู้ว่าหมอนั่นจะใช้บริการรถไฟฟ้าใต้ดิน ซึ่งชีวิตผมหลีกเลี่ยงการใช้บริการรถไฟฟ้าใต้ดินมาตลอด ผมจะไม่เดินทางด้วยวิธีนี้เด็ดขาดถ้าไม่จำเป็น เพราะผมไม่ชอบความแออัดและความวุ่นวาย แต่วันนี้ทั้งๆที่ผมรู้ ผมก็ยังเดินตามไปเรื่อยๆ จนมันมาหยุดอยู่ที่บันไดเลื่อนลง ผมก็ต้องหยุดตาม รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นพวกโรคจิตยังไงอย่างงั้น ผมหาคำตอบให้ตัวเองได้ว่าเพราะผมคงสงสาร กลัวจะหลงทางอย่างที่พี่เชลด้าเคยพูดไว้ นี่เลยเป็นเหตุผลทั้งหมดที่ผมพาตัวเองมาเดินตามหลังมันอยู่อย่างนี้ งี่เง่าชะมัด! ผมทำบ้าอะไรอยู่เนี่ย?!? อันที่จริงผมควรกลับไปเอาหมวกกันน็อคแล้วรีบไปคุยงานที่บริษัท ไม่ใช่มาทำตัวไร้สาระอยู่ตรงนี้ ในขณะที่กำลังจะหันหลังกลับ ก็ได้ยินเสียงเอ่ยประโยคที่ทำให้ก้าวขาไม่ออก

"เฮ้ยพี่! ทำอะไรอยู่อ่ะ"     หรือจะเห็นว่าผมตามมา

ผมค่อยๆหันหน้าไปดู โธ่เอ้ย! คุยโทรศัพท์หรอกเหรอ

"ทำไมรับช้าอ่ะพี่มัท"     เสียงมันฟังดูค่อนข้างหงุดหงิดนะ แล้วคนชื่อมัทนี่ผมเดาว่าคงเป็นพี่สาวที่เคยพูดถึง

"แมทไม่เข้าใจ มันต้องเปิดตรงไหน แมทเบื่อๆๆ ไม่ชอบมันเลยเนี่ย"     ท่าทางจะหงุดหงิด

"ดูแผนที่ไม่เป็น ชื่อย่านที่นี่ก็สะกดยากอ่ะ"    บ่นไปด้วยขณะที่กำลังพยายามดูอะไรสักอย่างจากไอแพดในมือ

"แมทโหลดรูปจากไลน์มาหมดแล้ว เปิดดูแล้วแต่ไม่เข้าใจเลย เฮ้อ แมทว่าแมทอยากกลับบ้านหว่ะ แมทไม่น่าลืมสมุดที่พี่มัทจดให้เลย ทำไมแมทเป็นคนไม่รอบคอบขนาดนี้ เบื่อตัวเองมาก"     พูดไปด้วยทึ้งหัวตัวเองไปด้วย คงจะหงุดหงิดจริงๆ

"พี่มัท แมทกลับไปคราวนี้สอนแมทใช้ไอ้เครื่องพวกนี้หน่อยนะ แมทจะไปซื้อสมาร์ทโฟน แมทจะเรียนรู้ แมทจะไม่โง่แล้ว ฮึ้ย!"    อย่าบอกนะว่าหมอนี่ใช้สมาร์ทโฟนไม่เป็น เกิดยุคไหนวะเนี่ย ยังมีเหรอครับคนรุ่นราวคราวนี้จะใช้เครื่องมือพวกนี้ไม่ได้เลย ผมคิดตามไปด้วยในขณะที่เริ่มเดินตามมันไปเรื่อยๆอีกครั้ง

"พี่มัทอย่าเพิ่งวางจนกว่าแมทจะเจอป้ายบอกทางไปสถานีปลายทางนะ ครับๆ แมทอยากให้พี่มัทอยู่ที่นี่ด้วยหว่ะ อะไรๆคงง่ายกว่านี้"    จากที่ฟังดูแล้วหมอนี่คงได้รับการดูแลจากคนในครอบครัวอยู่ตลอด เหมือนพวกทำอะไรด้วยตัวเองไม่เป็น อายุก็ตั้งขนาดนี้แล้ว แต่ที่สำคัญกว่านั้นผมว่าตอนนี้ผมเป็นโรคจิตเต็มขั้นซะแล้วหล่ะ ถ้าเดินตามมาถึงชั้นขายตั๋วขนาดนี้

"แมทเจอแล้ว ชื่อเขียนแบบที่พี่มัทพิมพ์มาเป๊ะ ครับๆ แล้วแมทจะโทรไปใหม่นะ รับสายด้วยนะ หวัดดีครับ"


.......................................................................


       หลังจากวางสายมันก็หมุนตัวไปมาหน้าตู้ขายตั๋วอยู่สองสามรอบ ซื้อเป็นรึปล่าวก็ไม่รู้ จากท่าทางแล้วดูน่าจะนาน แล้วผมก็จะสายไปด้วย เลยเดินเข้าไปสะกิดหลังพร้อมยื่นบัตรสำหรับขึ้นรถไฟฟ้าแบบเติมเงินให้

"อ่ะ คนในสายคงไม่ได้บอกละสิ ว่าบัตรใบนี้จะทำให้ใช้งานรถไฟฟ้าได้สะดวกขึ้น"    มันหันกลับมามองผมด้วยสีหน้างุนงง

"เอ่อ"

"เอ่ออะไร รีบรับไปสิ"     มัวยืนทำหน้าอึ้งอยู่ได้

"คุณพูดถึงคนในสาย คุณรู้ได้ไงว่าผมคุยโทรศัพท์"     ฉิบหายละ ผมรู้สึกตัวเองเริ่มโง่ พูดไปขนาดนั้นมันคงรู้แล้วละว่าผมเดินตามมา

"รับๆไปเหอะน่า คงใช้เป็นนะ"     รีบๆยื่นบัตรให้ แต่ก็ไม่รับสักที

"อ่า น่าจะเป็นครับ ขอบคุณนะครับ ค่าบัตรเท่าไหร่ครับ"      รับบัตรไปแล้วก็รีบควานหาอะไรสักอย่างในกระเป๋า

"ไม่ต้องหรอก เก็บไว้เถอะ"

"รับไปเถอะคุณ ผมเกรงใจ ถ้าคุณไม่บอกงั้นผมเดินไปถามที่ช่องขายบัตรแป๊บ"     ผมรีบคว้าแขนมันไว้ก่อนที่มันจะเดินไป

"บอกว่าไม่ต้องไงเอาไปเถอะไม่เป็นไร แล้วนี่จะรีบไปได้รึยัง"

"แล้วจะไปไหนหล่ะครับ"

"แล้วนายจะไปไหนหล่ะ"

"ผมว่าผมบอกไปหลายรอบแล้วนะว่าจะไปไหน ว่าแต่คุณเหอะจะไปกับผมด้วยรึไง"    ถึงมันแสดงสีหน้าเรียบเฉยแต่คำพูดมันทำให้ผมรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายกำลังประชดประชัน

"แล้วถ้าบอกว่าใช่หล่ะ ไปได้ไหม"    เคยพูดหรือทำอะไรลงไปโดยไม่รู้สึกตัวไหมครับ มันกำลังเกิดขึ้นกับผมอีกครั้ง

"แล้วถ้าผมบอกว่าไม่หล่ะ จะตามไปไหม"

"แล้วถ้าจะตามไปหล่ะ จะห้ามไหม"    มันยกมือขึ้นมาสองข้างเสมอหน้าตัวเองเป็นเชิงห้าม

"เฮ้ย! พอๆๆ จะแล้วกันอีกนานไหม คุณจะไปด้วยก็ดี ผมจะได้มีคนนำทาง"

"แค่นั้น"     ผมว่าพลางเหลือบมองด้วยหางตา

"แค่นั้นคืออะไร"     มันพูดขณะเก็บไอแพดลงกระเป๋าเป้แล้วสะพายไปไว้ข้างหลัง

"ก็แค่คนนำทางไง"

"งั้นวันนี้ผมจะเลี้ยงข้าวเป็นการตอบแทนดีไหม หรือคุณจะเป็นไกด์ให้ผมตลอดทริปเลยไหมละ จ้างก็ได้นะ"

"รวยรึไง ค่าชั่วโมงผมคิดแพงนะ"     ผมว่าขณะเดินนำลงไปชั้นชานชาลา

"ไม่รวยหรอก แต่ต้องการความช่วยเหลือเพราะว่าเป็นคนโง่!"

"ด่าตัวเองก็เป็น"     พอผมพูดจบคนตรงหน้าก็เริ่มยกมือขึ้นเท้าสะเอว แสดงอาการโกรธ

"ไม่ได้ด่าตัวเอง พอดีมีคนพูดเบาๆ แล้วดันได้ยิน แล้วมันก็ดันฝังใจ"     ผมพยักหน้าเบาๆสองสามครั้งสื่อว่าเข้าใจ
 
"แล้วทำไมไม่ว่ากลับไปหล่ะ ปล่อยให้เขาว่าทั้งที่เราก็ได้ยินได้ไง"     เป็นผมหน่อยไม่ได้

"งั้นผมควรต่อว่ากลับไปใช่ไหม" เลิกคิ้วเป็นเชิงถาม

"เอาเลย ถ้าไม่ได้โง่อย่างเขาว่าจะไปยอมทำไม"

"คุณนั่นแหละที่ว่าผมโง่ จำไม่ได้ละสิ แม่ง! คุณรู้ได้ไงวะว่าผมโง่ ชีวิตคุณไม่มีจุดบกพร่องในตัวเองเลยรึไง การที่ผมจำชั้นจำเลขห้องไม่ได้มันเป็นตัวชี้วัดเหรอวะว่าผมโง่ ยังมีอะไรอีกตั้งหลายอย่างที่ผมทำได้ดีแล้วคุณยังไม่เคยรู้ อย่างน้อยก็ไม่ควรมาทักทายคนที่เคยเจอกันครั้งแรกด้วยคำว่าโง่นะ ผมว่ามันไม่มีมารยาท"     เหวอเลยครับ แสดงว่าคนที่ผมสนับสนุนให้มันต่อว่ากลับไปคือตัวผมเองงั้นเหรอ

"เอ่อ...ไม่รู้จะว่าไงต่อเลย ขอโทษแล้วกันนะ ทันไหม"   ส่งยิ้มแห้งๆไปให้ตามหลังคำขอโทษ

"จริงๆก็ไม่ทันหรอก แต่เป็นคนไม่ค่อยถือ ยกโทษให้ก็ได้"    ว่าง่ายดีแฮะ

        สักพักรถไฟฟ้าก็มาเทียบ ผมเลยให้มันเดินเข้าไปก่อน ในช่วงเวลาเช้าขนาดนี้คงไม่ต้องมองหาที่นั่งหรอกครับ ขยับตัวหาที่เหมาะๆยืนดูจะง่ายกว่า ขณะที่ประตูกำลังปิด ผมก็หันไปหาคนข้างๆ เห็นว่ากำลังพยายามย้ายกระเป๋ามาสะพายข้างหน้า

"รอบคอบดีนะ"

"ไม่เลยต่างหาก เป็นคนไม่ค่อยรอบคอบ แต่พอดีเห็นป้าข้างเค้าทำเลยนึกได้ว่าควรต้องทำบ้าง" อย่างน้อยก็รู้จักที่จะเรียนรู้จากคนรอบตัว

"อืม ดีแล้ว รู้จักระวังตัว" มันพยักหน้ารับแล้วจ้องหน้าผมอยู่อย่างนั้น

"มีอะไร" ยังไม่เลิกมองอีก

"ที่ว่าค่าจ้างแพงอ่ะ เท่าไหร่ แล้วจะพาไปทุกวันได้ไหม" นึกว่าเรื่องอะไร

"ไม่ติดใจเรื่องโง่แล้วเหรอ"

"ขอโทษมา ยกโทษให้ไป ก็หายแล้ว ตกลงว่ายังไง ถือว่าขอรบกวนได้ไหม" กอดอก เงยหน้า เอียงคอถาม ทำไมท่าทางมันส่อไปในทางบังคับมากกว่ากำลังขอหรือรบกวนวะ?!?

"ทุกวันได้ไหมยังบอกไม่ได้ ขอดูตารางงานก่อน"

"แล้วค่าจ้างหล่ะ"

"ก็ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจ วันไหนมีความสุขสนุกมากก็อาจจะไม่คิด แต่ถ้าวันไหนลูกทัวร์น่าเบื่อก็อาจจะต้องมีทิปเพิ่ม สนใจเหรอ" พอผมพูดจบคนตรงหน้าก็ตาลุกวาวขึ้นมาทันที

"โคตรสนอ่ะ รับรองว่าจะพยายามทำให้มีความสุขแล้วก็สนุกทุกวัน"   ทำไมฟังแล้วมันทะแม่งๆ

"มีความสุขแล้วก็สนุกทุกวันงั้นเหรอ''   ผมลองถามย้ำเผื่ออีกคนจะช่วยขยายความ

"ใช่ ก็คุณบอกว่าถ้าวันไหนสนุกและมีความสุขคุณอาจจะไม่คิดนี่"    แล้วผมก็ต้องลากสติกลับมา เพราะความหมายของอีกคนมันไปคนละเรื่องกับความคิดผมเลย

"มายืนตรงนี้มา เตรียมตัว เราต้องลงสถานีนี้เพื่อเปลี่ยนสายรถไฟฟ้าไปอีกเส้นนึง"    ผมว่าพลางดันไหล่คนข้างๆมายืนหน้าประตูรถไฟฟ้า มันเตี้ยกว่าผมพอสมควรเหมือนกันพอมายืนใกล้ๆ ไม่น่าสูงเกิน 170 นะผมเดาว่า

"ว่าไงละ" มันถามซ้ำอีกครั้ง

"ขอคิดดูก่อน"

"อะไรวะ!" มันคงไม่รู้ว่าผมเห็นภาพสะท้อนว่ามันทำปากขมุบขมิบ ปากไวจริงๆ แล้วเรื่องที่กำลังบ่นคงหนีไม่พ้นผม


.......................................................................



       ทันทีที่ขึ้นรถไฟฟ้าอีกขบวนได้ และรถกำลังเคลื่อนตัวสมองก็สั่งการให้คิดอีกครั้งว่าอะไรที่พาให้ผมมาอยู่ตรงนี้ ทั้งๆที่ผมต้องไปบริษัท แล้วก็เอาหนังสือไปให้พี่จิมมี่ต่อ แต่ตอนนี้ผมกลับมายืนอยู่ในที่ที่ผมหลีกเลี่ยงมาตลอด หันไปมองหน้าอีกคนก็นึกไปถึงข้อเสนอ จะว่าไปก็น่าสนุกดี แล้วผมก็ตัดสินใจโทรหาเพื่อนที่บริษัท เพื่อจะได้รีบให้คำตอบกับคนที่ต้องการไกด์จำเป็น

"ฮัลโหล พีทพูดสาย"     ผมเลือกจะโทรหาพีท เพราะเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวในบรรดาหุ้นส่วนทั้งหมดและมีปัญหาน้อยที่สุด

"พีท นี่ฉันเชนนะ นายอยู่ออฟฟิศใช่ไหม"

"ใช่ นายจะเข้ามาใช่ไหมวันนี้"

"ใช่ เข้าไป วันนี้ฉันจะแวะไปเอาเอกสารของลูกค้ารายล่าสุด บอกเลขาเตรียมไว้ให้ด้วย"

"แล้วงานที่จะนัดลูกค้าวันพุธนี้หล่ะ"     งานของผมถ้าไม่มีนัดจากลูกค้าที่ต้องการคำปรึกษา ผมก็ไม่จำเป็นต้องเข้าออฟฟิศ อาจจะมีบ้างอาทิตย์ละสองสามวันเพื่อจัดการเอกสารสำคัญ นอกเหนือจากนั้นผมก็จะใช้เวลาไปกับการเข้าครัวที่ร้านอาหารของผมกับพี่เชลด้า แต่สำหรับสองอาทิตย์นี้ผมจะเคลียร์งานทั้งหมดเพื่อทำหน้าที่เป็นไกด์จำเป็นโดยเฉพาะ ถือว่าเป็นการพักผ่อนไปในตัวเลยละกันผมบอกตัวเองอย่างนั้น

"ฉันจะเข้าไปหาลูกค้าเอง เดี๋ยวจะนัดวันแล้วส่งรายละเอียดวันนัดให้เลขานายอีกที แต่สองอาทิตย์นี้ฉันขอเคลียร์ตารางนะ บันทึกไว้ว่าเป็นลาพักร้อนก็ได้ งดรับงานทุกอย่าง"     จะว่าไปผมก็ใจง่ายนะ

"ตามใจนายละกัน พักผ่อนบ้างก็ดี นี่ถ้าเอาวันลาของนายทุกปีที่ไม่ได้ใช้มารวมกัน ฉันคงไปเที่ยวรอบโลกได้พอดี"

"ไม่ขนาดนั้นหรอก ฮ่าๆๆ ขอบใจนายมากนะพีท งั้นเดี่ยวเจอกัน ฉันใกล้จะถึงแล้ว อีกประมาณ 20 นาที บาย"     ผมไม่เคยได้ใช้วันลาเลย เพราะผมคิดว่าไม่จำเป็นต้องใช้ ในเมื่อเรามีวันหยุดอยู่แล้วทุกอาทิตย์ อีกอย่างเราก็อยู่กับครอบครัวทุกวัน แต่คราวนี้ผมคงต้องขอเอามาใช้ อาจจะยังบอกแน่นอนไม่ได้ว่าทำไมผมถึงเลือกทำแบบนี้ คงจะแค่รู้สึกอยากจะไปเที่ยวพักผ่อน ไม่น่าเกี่ยวกับคนตัวเล็กที่ยืนอยู่ข้างๆหรอกมั้งผมว่า

.......................................................................


"เดี๋ยวขอเข้าไปเอาของที่บริษัทก่อนนะ แล้วเตรียมตัวไว้ได้เลย จะเรียกเก็บค่าไกด์ให้คุ้มแน่นอน"    ผมหันไปพูดกับคนข้างตัว

"เห้ย! จริงดิพี่ เอ้ย! คุณ อย่าเบี้ยวผมนะ รับปากผมแล้วนะเว้ย เอ้ย! ครับ"    มันว่าพลางเขย่าแขนผมเบาๆ ผมเลยเอียงหัวไปกระซิบใกล้หูมันเพื่อให้คำตอบ

"รับปาก แล้วถ้ามันยากนักก็พูดตามสบายเถอะ จะเรียกว่าพี่แล้วแทนตัวเองเหมือนที่คุยกับป๊าก็ได้นะ ไม่ต้องเป็นทางการนักก็ได้พี่ไม่ถือ" ผมตอบพร้อมรอยยิ้มก่อนที่จะเดินก้าวยาวๆออกจากประตูรถไฟฟ้าที่จอดสนิท ปล่อยให้อีกคนที่กำลังหน้าตาตื่น เดินตามมาอย่างรีบๆ

ไม่ว่าสิ่งที่ผมกำลังทำมันจะเกิดขึ้นเพราะอะไร ผมคิดว่าไม่จำเป็นต้องหาคำตอบ แค่รู้ว่านี่คือสิ่งที่ผมอยากจะทำแค่นั้นคงพอ



.......................................................................



❤ เคยเดินตามใครโดยที่เราไม่รู้ตัวมั้ยคะ อนานาเคยค่ะ ไม่ได้มีเรื่องราวระหว่างกันด้วยนะ เผลอเดินตามไปตั้งนาน มันเป็นสถานการณ์ที่ถูกดึงดูดโดยที่เราไม่รู้ตัวจริงๆค่ะ แต่ของพี่เชนนั้นทำแค่เพราะว่าอยากทำ มันไม่มีเหตุผลนะหรืออาจจะมีแต่เป็นเราเองที่มองไม่ออกแล้วหาไม่เจอ รอดูกันต่อไปค่ะ
❤ขอบคุณทุกความเห็นเลยนะคะที่แวะมาให้กำลังใจกันตั้งแต่ตอนแรกและยังอยู่กันจนถึงตอนที่ 6
อยู่ต่อไปเรื่อยๆเป็นเพื่อนกันก่อนน้า ได้อ่านแล้วปลื้มปริ่ม อยากรีบมาลงตอนต่อไปไวไว ^^*
❤แนะนำติชมได้ตามสะดวกเลยนะคะ ขอบคุณค๊า



เค้าเลื่อนเม้าท์ไปโดนลบเป็ดอะ เค้าขอโทษ กดคืนให้แระนะคนแต่ง

ไม่เป็นไรเลยค่ะ ^^


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-12-2014 16:27:03 โดย anana »

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
เรื่องการเดินทางแบบไหนจะไปอย่างไรเนี่ยเป็นอะไรที่ไม่ชอบเลย เหมือนเรากลายเป็นคนโง่ในเรื่องง่ายๆที่คนอื่นเขารู้แต่เราไม่เป็น ถ้าจะมีคนมาเสนอตัวช่วยเหลือแบบนี้ก็คงดี

ออฟไลน์ Freja

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +145/-4
อือม์ ชักเห็นทางไปแล้วสิ รอติดตามนะคะ

ชึ่อคุณคนเขียนเหมือนกับคำว่า Anana ในภาษาสวีเดนซึ่งอ่านออกเสียงว่า อั้นหน่าน่า แปลว่าสับปะรดค่ะ เกร็จเล็กน้อยค่ะ  :กอด1:

ออฟไลน์ patek

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
กำลังสนุกเลยคับ ว่างๆมาต่ออีกนะคับ

ออฟไลน์ donutnoi

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-7
เพิ่งได้อ่านสนุกค่ะ  รอตอนต่อไปนะคะ  :3123:

ออฟไลน์ PURE LOVE

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 330
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
เรื่องน่ารักดีจังค่ะ น้องแมทน่ารัก ซื่อ ๆ ดีจัง
พี่เชน ปากร้ายจริง ๆ สะใจตอนโดนน้องแมทว่ากลับมากอ่ะ
ว่าน้องแมทอย่างงั้นอย่างงี้ ไป ๆ มา ๆ เริ่มหลงเสน่ห์ความซื่อน้องแมทแล้วใช่มะ
วันหยุดที่ไม่ได้ใช้ รวม ๆ กันแล้วไว้ใช้ตอนตามน้องแมทกลับไทยก็ได้นะพี่เชน
ขอบคุณค่ะ  :กอด1:

ออฟไลน์ anana

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 49
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
ตอนที่ 7

Matt part

"เอ่อ พี่ ผม เอ่อ แมทว่าแมทรอตรงนี้ดีกว่า พี่ขึ้นไปทำธุระเถอะ"     ทำไมแม่งอึดอัดกว่าเรียกคุณกับแทนตัวเองว่าผมวะ

"ได้ รอสัก 15 นาทีนะ แค่ขึ้นไปเอาเอกสาร"     พูดบอกแค่นี้ทำไมต้องยิ้มเลี่ยนๆให้ด้วยวะ จะทำตัวเป็นคนอบอุ่นเหมือนสมาชิกคนอื่นในครอบครัวขึ้นมารึไง ทีตอนแรกละขเม่นกูจัง เหมือนพวกเด็กขี้อิจฉา กำลังจะโดนแย่งความรักยังไงอย่างงั้นแหละ

       จะว่าไปผมก็ยังงงๆอยู่นะ ไหนว่าจะไปมอเตอร์ไซค์ แล้วเดินตามผมมาทำไมวะ หรือรถเสีย แต่ช่างแม่งเหอะ เอาเป็นว่าโชคดีของผมละกันที่คุยไปคุยมาแล้วดันได้ไกด์มานำเที่ยว ไม่ต้องสงสัยหรอกครับ ทำไมผมถึงไว้ใจพวกเขา คงต้องถามย้อนกลับไปบ้างว่าทำไมพวกเขาถึงได้กล้าไว้ใจผมขนาดนี้ บางครั้งเรื่องเหล่านี้มันก็สัมผัสได้เองนะ ผมรู้สึกถึงความเป็นกันเอง ความอบอุ่น และที่สำคัญคือความจริงใจที่ผมได้รับจากครอบครัวนี้ ถึงผมจะรู้จักพวกเขาได้ยังไม่ถึงวันก็เถอะ เว้นก็แต่ไอ้พี่บ้านี่แหละ ดูขัดกับคนอื่นๆมาก แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเลวร้ายหรือไม่น่าไว้ใจ  คุยกันไปเรื่อยๆอาจจะดีกว่าที่เป็นอยู่ก็ได้ แล้วเมื่อคืนผมก็เล่าเรื่องทุกอย่างให้แม่กับพี่มัทฟังไปแล้วด้วย ถึงทั้งคู่จะบอกไม่ให้ผมไปรบกวนครอบครัวนี้มาก แต่ก็ไม่ได้หมายความไปในแง่ของการไม่ไว้ใจ เพราะถ้าจะพูดกันจริงๆ พวกเค้าต่างหากที่เป็นเป้านิ่ง แถมยังเป็นฝ่ายเปิดเผยเรื่องส่วนตัวมากกว่าที่รู้จักผมซะอีก ถือว่าเป็นประสบการณ์และความโชคดีที่ผมได้รับจากการมาเที่ยวครั้งแรกนี้ละกัน เพราะถ้าผมเลือกจองโรงแรมผมคงไม่ได้เจอพวกเขา ไม่แน่ผมอาจจะขยาดการไปเมืองนอกเลยก็ได้นะใครจะไปรู้

"มัวคิดอะไรอยู่ นั่งยิ้มคนเดียว"     นี่ผมนั่งยิ้มคนเดียวอยู่เหรอ ใครมองมาคงดูบ้าดีเนอะ

"ป่าวๆ แค่คิดอะไรเรื่อยเปื่อย เราจะไปกันได้แล้วใช่ไหม นี่จะ 10 โมงอยู่แล้ว ผมยังไม่ได้ไปไหนเลยสักที่"     มันน่าหักค่าจ้างไม่ให้เหลือปล่อยให้นั่งรอตั้งเกือบชั่วโมง ไหนบอก 15 นาที

"ขอโทษที่ให้รอนาน แต่ยังไปไม่ได้"     อะไรวะ เปลี่ยนใจไปคนเดียวดีกว่ามั้ยเนี่ย ปัญหาเยอะจริง

"ทำไมอีกละ หรือจะต้องไปแจ้งญาติบอกแฟนลาหัวหน้าให้ครบก่อน ถ้าเป็นแบบนั้นผมจะได้ไปคนเดียว"     เสียเวลาจริงๆ

"แค่เอาหนังสือไปฝากให้แฟนพี่เชลด้าเฉยๆ ไม่นานหรอก เป็นทางผ่านก่อนไปลงสถานีรถไฟใต้ดินหน่ะ"    จะเอนหัวมาพูดใกล้ๆทำไมวะ

"งั้นคุณก็รีบนำไปสิ"     ยังยืนนิ่งอยู่อีก ผมคิดถูกใช่ไหมที่ขอให้นายนี่มาเป็นไกด์ให้

"บอกแล้วไงว่าให้เรียกพี่ได้"

"อีกอย่าง...พี่ยังไม่มีแฟนนะ คงไม่จำเป็นต้องบอกลาใคร จำไว้ด้วยหล่ะ ไปกันเถอะ"     เฮอะ! แค่เนี้ยะ แล้วผมจะกลั้นหายใจทำไมวะตอนพี่มันพูด ยืนกันอยู่แค่สองคน จะเอนหัวมากระซิบข้างหูผมเพื่อ ถึงจะมีใครแถวนี้เค้าก็คงฟังภาษาไทยไม่รู้เรื่องหรอก ถึงเค้าฟังรู้เรื่องมันก็ไม่ใช่แผนการก่อการร้ายข้ามชาตินะเว้ย ที่ใครจะรู้ไม่ได้

"เฮ้ย! พี่ รอก่อนดิ"     นั่นไง เดินออกไปไม่รอกันเล้ย

"รู้ว่าขาสั้นก็รีบก้าวซะ"

"อะไรของพี่วะ ทีงี้ละรีบ เมื่อกี้ละให้นั่งรอตั้งนาน"     บ่นสิครับ รีบก้าวยาวๆตามไปแล้วก็บ่นต่อไปด้วย

"ก็จะ 10 โมงแล้วไม่ใช่เหรอ ยังไม่รีบ เดี๋ยวก็ไม่ได้ไปสักที่หรอก"     ปากก็ว่าถึงจะเดินช้าลงแต่ก็นำผมอยู่ดี

"พี่นี่ก็กวนเหมือนกันเนอะ"     เนื่องจากผมเดินอยู่ด้านหลังเลยเดาว่าพี่มันคงไม่ได้ยิน

"ยังไงก็ไม่ได้ครึ่งนายหรอก"     มีการหันมายักคิ้วส่งยิ้มกวนประสาทให้

"พี่นี่แม่ง ฮึ้ย!"     พ่นลมหายใจเสียงดังแล้วรีบก้าวยาวๆให้ทันคนเดินนำ

"อ้าว ก้าวยาวๆก็เป็นเหรอ ฮึๆ"     ถามแล้วก็หัวเราะสองฮึนี่หมายความว่าไงวะ

"เออดิ พี่พูดซะผมรู้สึกขาสั้นเลย"     พอผมว่างั้นพี่มันก็เลยแบมือมาทาบความสูงจากหัวผมไปที่ตัวพี่มัน

"ก็สั้นนะ ดูสิเตี้ยเชียว ฮ่าๆๆๆๆ"     เออ ขำเข้าไป แย่เถอะ ได้แค่ไหล่พี่มันเอง แต่ถึงไงก็ยอมไม่ได้

"ไม่เตี้ยเว้ย มาตรฐานชายไทย 170 เซนพอดีเป๊ะ แล้วถ้าวัดบางที่ได้ถึง 173 ก็มีเหอะ พี่อ่ะแหละเสือกสูงเกิน"

"อ้าวเหรอ แล้วทำไมไม่คิดว่าพี่สูงตามมาตรฐานชายฮ่องกงมั่งหล่ะ"     เหอะ แม่งก็คิดได้เนอะ

"ช่างมาตรฐานอะไรของพี่ไปเถอะ ผมคิดว่าผมไม่เตี้ยก็คือไม่เตี้ย เข้าใจป่ะ"

"ไม่เตี้ยแล้วพยายามบวกทำไมตั้งสามเซนละ ต้องเทียบจากพาสปอร์ตสิมาตรฐานแน่นอน"     ก็มันไม่เท่ากันจริงๆนี่หว่า ผมว่าคนอื่นก็คงเป็นเหมือนกันแหละ วัดแต่ละที่ไม่เท่ากันสักที่ เราก็เลือกที่ที่เราวัดได้สูงสุดนั่นแหละไว้บอกคนอื่นจริงไหม

"พี่จะคุยเรื่องส่วนสูงอีกนานป่ะ ถ้านานผมจะได้หาที่ถกกันให้เป็นเรื่องราว"     วุ่นวายกะส่วนสูงกูจังเลยนะ

"ถกคืออะไรเหรอ"

"อะไรกัน ศัพท์ง่ายๆก็ไม่เข้าใจ"     พูดไทยชัดขนาดนี้ แกล้งไม่รู้ป่ะเหอะ

"ก็ไม่เข้าใจจริงๆ คำยากๆที่ไม่ค่อยได้ใช้ม๊าไม่เคยสอน"

"อ่อ ม๊าสอนสินะ ผมก็สงสัยนะว่าทำไมพวกพี่สองคนถึงพูดไทยชัดจัง"     จริงๆนะครับ พูดชัดมากจนผมคิดว่าพวกเค้าเรียนโรงเรียนไทยมาตั้งแต่เด็กซะอีก

"ม๊าสอนให้พวกพี่พูดไทยมาตั้งแต่จำความได้ ม๊าบอกว่าถ้าอยู่นอกบ้านจะพูดภาษาอะไรก็ได้ แต่ถ้ากลับเข้ามาในบ้านแล้วต้องพูดภาษาไทยเท่านั้น อีกอย่างม๊าเล่าว่าป๊าเค้าก็พอจะพูดไทยได้ตั้งแต่สมัยคบกับม๊าแรกๆ เพราะงั้นเวลาอยู่ในบ้านเลยคุยกันเป็นภาษาไทย"     มิน่าถึงได้พูดชัดขนาดนี้

"แล้วตอนย้ายไปเรียนที่เมืองไทยคุณครูเค้าไม่ได้สอนพี่รึไง หรือว่าเรียนโรงเรียนนานาชาติ"     เห็นว่าเรียนที่ไทยมาตั้งสิบปี ต้องผ่านหูผ่านตาวรรณสารวิจักษ์มั่งแหละ นอกซะจากจะเรียนโรงเรียนนานาชาติ

"ใช่ พี่เรียนที่นั่นประมาณสิบปี ได้ภาษาไทยมาน้อยกว่าที่ม๊าสอนซะอีก"     ผมพยักหน้ารับขณะตั้งใจฟัง

"อีกอย่างเรียนวิชานี้แค่อาทิตย์ละไม่กี่ชั่วโมง เขาไม่สอนหรอกคำที่มันซับซ้อน ส่วนเพื่อนคนไทยที่เรียนด้วยกันก็ไม่เห็นเขาพูดคำที่เข้าใจยากกันนะ มีแต่จะสอนคำหยาบคำด่ากันซะมากกว่า แล้วตกลงถกแปลว่าอะไร"     พี่แกก็ไม่ลืมนะ ยังวกกลับมาได้

"ก็แปลได้หลายความหมาย แปลว่าดึงรั้งให้สูงขึ้นก็ได้ แต่ในความหมายของผมคือการคุยกันอย่างเอาจริงเอาจังเพื่อหาคำตอบร่วมกัน พอเข้าใจไหม"     พออธิบายจบพี่แกก็พยักหน้าเข้าใจ

"ถึงแล้ว ขอพี่เอาของไปฝากไว้ที่รีเซปชั่นแป๊บนึงนะ รอพี่ที่ด้านหน้านี่ก็ได้ หรือจะเข้าไปด้วยกัน"

"ไม่ดีกว่า ผมรอนี่แหละ"     แล้วพี่แกก็เดินเลี้ยวเข้าโรงแรมไป ให้ผมยืนรออยู่ด้านนอก

.......................................................................



❤ จริงๆตอนนี้ต้องยาวกว่านี้นะคะ แต่มีบทสนทนาในไลน์นิดหน่อยทำให้ตัวอักษรมันเกินอ่ะค่ะ
อนาลองหลายรอบแล้วไม่ได้ ขอไปแก้ก่อนนะคะ แหะๆ


แก้ได้แล้วนะ อ่านต่อตอนที่ 7 จิ้มเลยค่ะ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-12-2014 16:24:29 โดย anana »

ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5445
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
จิ้มตอน 7 ซะเลย
เริ่มไปกันด้วยดีแล้วนะ

พลาดตอน 6 ไปได้ไง
เชนก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรเลย
เป็นคนพูดตรงๆ เลยดูปากร้าย
แมทก็น่ารักมาก มีบังคับกลายๆด้วย

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด