ปรสิต | 03
นานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้รู้สึกผ่อนคลายอย่างนี้ ราวกับความโดดเดี่ยว หนาวเหน็บ และหวาดกลัวนั้นถูกโยนทิ้งไปชั่วครู่ ชนกันต์ปล่อยตัวเองเข้าสู่ภวังค์สีดำมืดก่อนทุกอย่างจะจางหายไป เหลือเพียงลมหายใจที่ผ่อนเข้าออกอย่างสม่ำเสมอ โสตประสาทไม่รับรู้อะไรอีก แม้ว่าใครบางคนจะกำลังยืนจ้องมองและเปิดบานประตูเลื่อนออกไป ทิ้งให้เขานอนอยู่ภายในห้องตามลำพังแล้วก็ตาม
เขากำลังหลับสนิท
และพอตื่นขึ้นมาอะไร ๆ ก็จะดีขึ้น
ใช่ หวังไว้เช่นนั้น และหากเขาได้ยินเสียงประตูนั่นสักนิดล่ะก็ –
อากาศเย็นเยือกขึ้นเสียจนต้องขดกายเข้าหากันเพื่อคลายความหนาว สองมือนั้นบีบกระชับหัวไหล่โดยที่ไม่แม้แต่จะลืมตาขึ้นมองโดยรอบ ความง่วงทำให้เขาเลือกที่จะไม่สนใจสิ่งอื่นใด ยังคงข่มตาต่อไปเพราะหวังเข้าสู่ช่วงนิทราอย่างเต็มอิ่มบ้าง
ไม่เป็นไร ยังไงหมออธิศก็ยังนั่งอยู่ที่โต๊ะนั้น
หากแต่เสียงสวบสาบที่ดังเข้ามาเต็มสองหูและความรู้สึกรุงรังราวกับมีอะไรมารบกวนใบหน้านั้นทำให้ชายหนุ่มยากที่จะข่มตาหลับต่อไปได้ น้ำตาแทบจะไหลออกมาเมื่อรับรู้ได้ว่าตัวเองถูกดึงขึ้นจากนิทราอีกครั้ง
ยิ่งรู้ว่าสิ่งที่กำลังสร้างความรำคาญอยู่คืออะไร ทั้งร่างก็ยิ่งเกร็งสะท้าน ทำไมเสียงขีดเขียนของหมอถึงได้เงียบไป ทำไมมีแค่เสียงลมหายใจของเขาที่กำลังเด่นชัดอยู่ตามลำพัง
ทำไม“หมอ...”
ส่งเสียงเรียกออกไปเบาหวิวหวังจะให้ใครอีกคนเดินมาหยุดอยู่ข้าง ๆ อย่างน้อยการได้เห็นสายตาใต้กรอบแว่นนั่นก็ยังดีกว่าจะต้องเห็นอะไรที่สู้ทนหนีมาตลอดหลายวัน
“หมอ...”
กลัว
ชนกันต์กลัวจับใจ หากแต่เขาก็ยังเลือกที่จะแนบสองมือไว้ข้างลำตัวมากกว่าจะยกขึ้นปัดสิ่งชวนรำคาญบนใบหน้า
“หมออธิ -- แค่ก ๆ”
ต้องสำลักออกมาด้วยความรู้สึกที่ชวนอาเจียนเมื่อสิ่งน่ารำคาญนั้นระลงมาอัดแน่นอยู่ภายในปาก กลิ่นสาบโคลนเหม็นคละคลุ้งเสียจนชนกันต์ต้องยกมือขึ้นปัดสิ่งนั้นออกด้วยอาการคลื่นเหียนและหวาดกลัว
เส้นผม
“แค่ก แค่ก”
ต้องลืมตาตื่นพลางล้วงเอาสิ่งที่อยู่ในปากออกมาจนเต็มกำมือ เป็นเส้นผมเปียกชุ่มที่ชวนให้อาเจียนเมื่อคิดว่าเมื่อครู่นี้มันอยู่ในปากเขา หัวใจกระตุกวูบขึ้นอีกคราเมื่อเห็นรอยที่เปียกเป็นวงอยู่ตรงชายเสื้อ จนกระทั่งตอนนี้ก็ยังคงมีน้ำหยดลงมา
กลิ่นสาบโคลนที่ลอยอบอวลกำลังเตือนให้เขารีบหลับตาลงเพื่อหยุดการรับรู้ทางสายตาเสีย ทว่าร่างกายไม่ได้เชื่อฟังคำสั่งนั้นเลย ชนกันต์ช้อนสายตาขึ้น เห็นชายกระโปรงสีขาวเปรอะโคลนและปลายผมสีดำสนิทซึ่งระลงมา
หยุด ควรหยุดสายตาไว้แค่นี้แล้วหนีไปเสีย
หากแต่ก็ยังคงมองขึ้นไปจนสบเข้ากับดวงตาโหลลึกที่แทบจะกลืนไปกับดวงหน้าขาวซีดของหญิงสาว หล่อนมองด้วยสายตาเฉยชาและปล่อยให้น้ำสาบโคลนไหลลู่ลงมาตามเรือนผม
“อะ...”
หล่อนยังคงมองเขา บนใบหน้านั้นปรากฏเส้นเลือดปูดโปนสีเขียวชวนให้รู้สึกขนลุกจนร้องไม่ออก เรียวปากเขียวคล้ำนั้นอ้าขึ้นราวกับจะพูดอะไรบางอย่าง
เพียงแต่สิ่งที่ออกมานั้นไม่ใช่คำพูด แต่กลับเป็นน้ำโคลนมากมายที่ไหลทะลักออกมาเสียจนเส้นสติของคนได้มองขาดผึง
“อะ -- อ๊ากกกกกก”เสียงโคลนดังก้องเต็มสองหูเสียจนร่างบางต้องหลับตาปี๋แล้วยกมือขึ้นปิดใบหู จนกระทั่งเสียงนั้นเงียบหายไปพร้อมกับสัมผัสชื้นที่ค่อย ๆ แห้งเหือด เขาได้ยินเสียงฝีเท้ากำลังวิ่งเข้ามา
หมออธิศใช่ไหม?
ค่อย ๆ ขดตัวเข้าหากันเพื่อรอให้ใครอีกคนมาถึง ได้แต่ปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาคลอเต็มสองเบ้า ขาซ้ายยังคงอยู่ในท่าเดิม เหยียดอยู่ดังเดิม เพราะสัมผัสเย็นที่จับรั้งมันไว้ราวกับจะเชิญชวนให้เขาเบิกสายตาขึ้นมอง
“อึก...”
ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าสะอื้นไห้ และดูเหมือนว่าเธอจะอยากให้เขาลืมตาขึ้นมองอีกครั้ง ชายหนุ่มค่อย ๆ เปิดเปลือกตาขึ้นก่อนจะแทบหยุดหายใจเมื่อเห็นเจ้าของมือนั้น
“อ๊าาาาาาาาาา”ความรู้สึกเจ็บแปลบที่ขาซ้ายทำให้เขาต้องร้องออกมาอย่างสุดกลั้น บานประตูเลื่อนเปิดออกพร้อมกับใบหน้าตื่นตระหนกของอธิศที่รีบเข้ามาดูอาการ ชนกันต์รีบคว้าเสื้อกาวน์นั้นไว้พลางปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาราวกับเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวสุดท้าย
“หมอครับ”
“เป็นอะไรหรือเปล่า”
“มัน --”
“….”
“
มันเกิดขึ้นอีกแล้ว”
พูดจบก็ปล่อยโฮออกมาเสียจนอธิศต้องบีบไหล่เขาไว้เพื่อเรียกสติ สายตาใต้กรอบแว่นนั่นกำลังลดลงเพื่อให้อยู่ระดับเดียวกับเขา “คุณชนกันต์”
“หมอ... ผมไม่ไหวแล้ว”
บีบเสื้อกาวน์สีขาวในมือจนยับยู่แล้วฟูมฟายอย่างไม่อายใคร ไม่เคยกลัวอะไรขนาดนี้มาก่อน ไม่เคยคิดว่าจะต้องมาเห็นในสิ่งที่กลัว สิ่งที่คงไม่มีใครยอมเชื่อและหาว่ามันไร้สาระอย่างถึงที่สุด
“ขาคุณเป็นอะไร” จิตแพทย์หนุ่มดูเหมือนจะสังเกตเห็นเรียวขาที่เหยียดยาวในท่าเดิมนับตั้งแต่เขาเข้ามา ชนกันต์ได้แต่ส่ายหน้า เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทุกอย่างหายไปหมดยกเว้นเพียงอาการเจ็บแปลบที่เรียวขา
ไวเท่าความคิด อธิศค่อย ๆ เลื่อนตัวไปประคองขาข้างนั้นไว้แล้วถกชายกางเกงขึ้นจนเห็นรอยข่วนเด่นชัดที่หน้าแข้ง เลือดสีแดงสดไหลซิบจนดูรู้ว่าเพิ่งเกิดขึ้นสด ๆ ร้อน ๆ ถึงอยากจะวินิจฉัยว่าคนตรงหน้านี้ทำร้ายตัวเองเพราะอาการประสาทหลอน แต่รอยแผลที่ทอดยาวไปทางปลายเท้านี่ดูยังไงก็ไม่มีทางทำตัวเองได้ ครั้นจะคิดว่าบังเอิญไปข่วนอะไรเข้า แต่ที่กางเกงดันไม่มีรอยขาด อีกทั้งเมื่อไม่ถึงห้านาทีก่อนเขายังมั่นใจว่าชนกันต์หลับสนิทดีอยู่ ถึงอย่างนั้นอธิศก็ยังรักษาอาการสงบนิ่งไว้ได้และหันไปพูดกับอีกฝ่ายเสียงเรียบ
“เดี๋ยวคุณไปทำบัตรผู้ป่วยให้เรียบร้อย แล้วติดต่อพยาบาลที่หน้าเคาน์เตอร์”
“หมอจะจ่ายยาให้ผมแล้วใช่ไหม”
ถามออกไปอย่างมีความหวัง แล้วก็ยิ้มออกมาได้ทั้งน้ำตาเมื่อนายแพทย์พยักหน้ารับก่อนจะลุกเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะทำงานประจำ ถึงจะน่าผิดหวังอยู่นิดหน่อย เอาเถอะ เขาเองก็ไม่คิดว่าจะมีใครช่วยอะไรได้เรื่องนี้อยู่แล้ว แต่อย่างน้อย ๆ ก็ได้ยากล่อมประสาทกลับไป เขาต้องการจากหมออธิศแค่นี้เอง
ดึงขากางเกงตัวเองลงทั้งน้ำตา ยิ่งเห็นรอยข่วนนั้นก็ยิ่งไม่อยากจะเชื่อว่ากำลังโดนคุกคามด้วยสิ่งที่ไม่มีชีวิตอยู่จริง
ถึงกลัวแทบตาย แต่จะทำอะไรได้?
“....”
มองคนที่ลุกจากโซฟาบุหนังอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา นายแพทย์หนุ่มได้แต่ถอดแว่นออกแล้วนวดหัวตาตัวเองก่อนจะเลยไปถึงขมับด้วยความรู้สึกไม่สู้ดีนัก เขาคงนอนน้อยเกินไป ถึงได้เห็นรอยยวบข้างกายชนกันต์ค่อย ๆ หายไปราวกับมีคนลุกตามติด
พาตัวเองออกไปจากห้องตรวจของนายแพทย์ทั้งขากะเผลกอย่างนั้น เพราะว่าเป็นเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล เขาถึงไม่ต้องเสียเวลาตามขั้นตอนมากมายนัก หลังจากได้บัตรผู้ป่วยก็นำไปยื่นให้พยาบาลประจำเคาน์เตอร์อย่างที่ถูกสั่งมา
“นี่เป็นใบนัดการตรวจครั้งต่อไปนะคะ กรุณามาตามนัดด้วย เชิญชำระเงินและรับยาที่เคาน์เตอร์จ่ายยาค่ะ” เธอยื่นกระดาษสองใบมาให้เขาพลางพูดชัดถ้อยชัดคำไม่ต่างจากที่พูดกับผู้ป่วยคนอื่น ชนกันต์โค้งศีรษะน้อย ๆ ก่อนจะทอดสายตาอ่านตัวหนังสือบนกระดาษสีขาวแผ่นล่างอย่างแปลกใจ
นัดตรวจอาการสัปดาห์หน้า?
“เหอะ...”
แค่นยิ้มสมเพชกับตัวเองเป็นครั้งที่สอง ให้ตายเถอะ นี่ใจคอจะหาว่าเขาบ้าให้ได้ใช่ไหม ป่านนี้คงนั่งคิดอยู่กระมังว่าคนบ้าอะไรจะข่วนขาตัวเองจนเป็นแผลแบบนี้
ตอนนี้เป็นเวลาประมาณแปดโมงครึ่ง เผลอ ๆ เวลาหนึ่งชั่วโมงก็ผ่านไปไวเสียจนน่าใจหาย ทั้งที่ก่อนหน้านี้รู้สึกหิวแทบแย่ แต่พอนึกถึงภาพในห้องหมอแล้วร่างทั้งร่างก็แทบจะทรุดลงอาเจียนออกมา ทั้งความรู้สึกที่มีเส้นผมอยู่ในปาก กลิ่นสาบโคลนเหม็นคละคลุ้ง ทุกอย่างมันดูจะติดอยู่ตรงลิ้นตรงจมูกจนกินอะไรไม่ลงอีก
ทั้งสะอิดสะเอียนแล้วก็ขนลุก
เดินกลับมาที่ห้องจ่ายยาก็ยังเห็นปรัชญากำลังนั่งเช็กรายการยาอยู่ในท่าเดิม ชนกันต์กระชับสายสะพายเป้แน่นขึ้นก่อนจะเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าเคาน์เตอร์แล้วยื่นใบเสร็จให้หนุ่มรุ่นพี่ ครั้นเงยหน้าขึ้นเห็นว่าคนไข้ใหม่เป็นใคร ปรัชญาก็ต้องเบิกตาโพลง เขาพักจากงานเอกสารก่อนจะเรียกให้อีกฝ่ายเดินเข้ามาคุยกันข้างใน
“หายไปเป็นชั่วโมงนี่เป็นไรมา” ว่าพลางรับเอาใบเสร็จมาคีย์ข้อมูลในคอมพิวเตอร์จอแอลซีดีรุ่นเก่ากึกแล้วก็ตะโกนเรียกหญิงสาวซึ่งกำลังจัดยาอยู่ด้านในให้หยิบยาตามสั่งแพทย์ติดมือมาให้ด้วย “มินท์ครับ เดี๋ยวขอคลอกซาซิลลิน 500 มิลลิกรัมสิบห้าเม็ด แล้วก็ไอบูโพรเฟน 200 มิลลิกรัมสิบเม็ดด้วยครับ”
หญิงสาวตอบรับมาอย่างว่าง่ายในขณะที่ใครอีกคนอ้าปากค้าง ชนกันต์วางมือลงกับโต๊ะแล้วตัดสินใจพูดสิ่งที่ข้องใจออกมาเสียงแข็ง “เมื่อกี้ยาของผมเหรอครับ”
“เออสิ ว่าแต่แกเป็นไรมายังไม่ตอบพี่เลย”
ขมวดคิ้วมุ่นจนผูกเป็นโบว์เมื่อแน่ใจว่าเขาเองจำชื่อยาไม่ผิด เภสัชกรสาวเดินเอายาในถาดมาวางไว้ให้ก่อนจะกลับไปทำหน้าที่ของตัวเองต่อ ปรัชญาจัดการเอาแผงยาใส่ถุงซิปล็อคที่เพิ่งแปะกระดาษใบเล็ก ๆ เสร็จเมื่อครู่
ให้ตายเถอะ
จำต้องอุทานคำนี้ขึ้นมาในใจอีกครั้ง นายแพทย์อธิศสั่งจ่ายยาฆ่าเชื้อกับยาแก้อักเสบให้เขา และนักศึกษาเภสัชศาสตร์อย่างชนกันต์เข้าใจได้ทันทีว่ามันไม่ได้มีไว้ช่วยด้านจิตใจ แต่มีไว้รักษาแผลที่ขา!
“หมอบ้าเอ๊ย”
--------------------------------------------------
“หมอศรัณย์คะ ผลตรวจความดันคนไข้ค่ะ”
“ขอบคุณครับ”
ร่างผอมโปร่งในชุดกาวน์สีขาวแย้มยิ้มก่อนจะรับเอาแฟ้มคนไข้มาถือไว้แนบลำตัว เขายืนคุยกับพยาบาลหญิงวัยกลางคนอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะขอตัวเลี่ยงออกมาเพราะกลัวว่ากาแฟดำในมือจะเย็นชืดไปเสียก่อน พยาบาลสาวตามทางเอ่ยทักเรื่องเนคไทเส้นใหม่กันไม่หยุด ซึ่งนายแพทย์หนุ่มก็ทำเพียงยิ้มรับแล้วเดินร่อนไปตามอัธยาศัย ตอนนี้เป็นเวลาพักเที่ยง แต่เขาเองก็ไม่ชอบข้าวกลางวันสักเท่าไหร่ ถ้า
หมอนั่นมาเห็นล่ะก็คงจะบ่นแล้วขู่เรื่องเอากาแฟนี่ไปเททิ้งแน่
“จะกินข้าวกลางวันหรือกาแฟดี”
“กูหิวข้าวว่ะ”
“ฮ่า ๆ วันนี้เหนื่อยเอาการเลย”
คิดยังไม่ทันขาดช่วงก็เห็นกลุ่มนักศึกษาแพทย์ในชุดกาวน์เดินสวนมา เจ้าของชื่อศรัณย์ได้แต่ลอบอมยิ้มกับตัวเองเมื่อเห็นใครบางคนเดินรั้งท้ายมาแต่ไกล เอาแต่ทำหน้าตาง่วงนอนแบบนั้นไม่ถูกบ่นเอาหรือไงนะ
ดูเหมือนเด็กหนุ่มร่างสูงที่ได้แต่หนีบแฟ้มตรวจเดินตามเพื่อนต้อย ๆ จะสังเกตเห็นเขาเสียแล้ว เรียวปากรูปกระจับนั้นถึงได้หยักยิ้มออกมาราวกับเป็นการทักทายครั้งแรกของวัน
“....”
ชั่วนาทีที่เดินสวนกันคนแก่กว่าก็จงใจสัมผัสปลายนิ้วเข้ากับหลังมือนั้นแล้วกระซิบเสียงพร่าให้พอได้ยินกันสองคน เลยจากกันไม่นานนักก็ได้ยินเสียงรามิลพูดกับเพื่อน ๆ ภายในกลุ่มดังแว่วมา
“พอดีนึกขึ้นได้ว่าลืมของ พวกมึงกินกันก่อนเลยแล้วกัน”
สิ้นเสียงทุ้มร่างสูงระหงของนักศึกษาแพทย์ปีสี่ก็ย้อนเดินกลับมาทางเดิม หรือจะพูดให้ถูกก็คือตามหลังเขามาติด ๆ
--------------------------------------------------
“พี่ไปคิดถึงผมมาจากไหนเนี่ย”
พูดกลั้วหัวเราะในขณะที่ปล่อยให้อีกคนดันร่างของตัวเองลงกับเตียงตรวจภายในห้องประจำ อดไม่ได้ที่จะชะเง้อมองให้แน่ใจว่าเจ้าของห้องได้ล็อกประตูไว้ดีแล้ว อย่าให้มีพยาบาลเข้ามาตอนนี้แล้วกัน ไม่งั้นล่ะเป็นเรื่อง
“คิดถึงสิ” คนถูกถามตอบหน้าตายก่อนจะแขวนเสื้อกาวน์ไว้กับผนังแล้วตรงเข้ามานั่งบริเวณข้างเตียง แก้วกาแฟดำที่ซื้อมาเมื่อไม่กี่นาทีก่อนถูกวางทิ้งไว้บนโต๊ะทั้งที่ค่อนไปไม่ถึงครึ่งแก้ว สองมือบรรจงช่วยเด็กตรงหน้าถอดเสื้อกาวน์ออกแล้วลุกเอามันไปแขวนไว้อีกรอบ “ระวังยับ”
หากแต่ครั้งนี้เขาเลือกที่จะเอาตัวเองขึ้นไปอยู่บนเตียงเดียวกันกับเด็กหนุ่มแล้วคร่อมตัวจูบจนรามิลต้องดันร่างคุณหมอขวัญใจสาว ๆ ออกด้วยแรงเพียงแผ่วเบา ก็รู้อยู่ว่าช่วงก่อนที่เขาติดสอบทำให้แทบไม่ได้เจอกันเลย แต่ศรัณย์ก็มีเวลาพักเที่ยงอีกแค่ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง มันเสี่ยงเกินไป
“ไว้วันนี้ผมไปค้างกับพี่ โอเคไหมครับ”
“ดีเลย”
“แต่ไม่ใช่ตอนนี้”
พูดจบก็ดันร่างคนแก่กว่าออกทั้งรอยยิ้มรู้ทัน คนข้างบนได้แต่ยอมแพ้ ก่อนจะผละตัวเองออกมานั่งเฉย ๆ แล้วกลั้วหัวเราะในลำคอ
“มาอยู่ด้วยกันดีกว่า”
“ผมรู้ว่าช่วงนี้เราไม่ค่อยได้เจอกัน แต่พี่อย่าพูดเล่นอย่างนี้”
“พี่พูดจริง”
“....”
“เราไม่ได้คุยเรื่องนี้กันครั้งแรกนะเก้า”
สวนขึ้นเสียงเรียบก่อนจะหันไประบายรอยยิ้มให้อีกคน รู้ว่ามันคงเป็นเรื่องไม่ดีนักถ้าเพื่อนของรามิลจะรู้ว่าเจ้าตัวคบกับหมอรุ่นพี่ แต่ถึงอย่างนั้นทุกวันนี้ก็ตัวคนเดียวอยู่แล้ว อย่างไหนก็คงค่าเท่ากันนั่นแหละ
“พี่เป็นพี่ชายให้เราได้ ใครถามก็บอกไปอย่างนั้น”
“พี่เสือ...”
เอื้อมตัวไปกดจูบหนัก ๆ แล้วลุกขึ้นไปหยิบเสื้อกาวน์มาคืนให้อย่างว่าง่าย ถึงจะดูเอาแต่ใจก็เถอะ แต่ศรัณย์มั่นใจว่าเขามั่นคงพอที่จะดูแลคนรักได้ ด้วยหน้าที่ การงาน วุฒิภาวะ และความรู้สึกที่บ่มเพาะมาตลอดหลายปีนี้ “คุยกับเพื่อนให้เรียบร้อย ไปอาศัยเขาอยู่นาน ๆ มันไม่ดี เดี๋ยววันศุกร์พี่ไปช่วยย้าย”
รามิลถอนหายใจยอมแพ้ อันที่จริงก็ไม่ใช่ว่าเขาไม่ได้เก็บเรื่องนี้ไปคิด อย่างน้อยถ้าการได้อยู่ด้วยกันมันทำให้ศรัณย์มีกำลังใจขึ้นแล้วล่ะก็ “พี่ครับ วันศุกร์มันฉุกละหุกไป ไอ้นิลด่าผมตายพอดี”
“แล้ว?”
“ผมมีสอบด้วย”
พูดจบนายแพทย์ก็ถอนหายใจออกมาก่อนจะรูดม่านไปอีกทางแล้วเดินไปนั่งพิงโต๊ะทำงานตัวเก่ง มือก็หยิบเอาปฏิทินมาเปิดดูผ่านตา “งั้นวันเสาร์เป็นไง หลังจากนี้พี่เข้าเวรยาวอีกแทบทั้งอาทิตย์ คงย้ายลำบากแน่”
“งั้นพี่เอาคีย์การ์ดไว้ให้ผม เดี๋ยวผมขนของไปเอง” รามิลยื่นข้อเสนอที่ดีที่สุด รู้ว่าศรัณย์น่ะงานยุ่งยังกับอะไรดี การเป็นอายุรแพทย์ในโรงพยาบาลรัฐไม่ใช่งานสบาย ๆ ต่อให้เขาไม่มีสอบหรือติวหนังสือ ศรัณย์ก็ต้องอยู่เวรจนดึกดื่น เรื่องเวลาก็นับเป็นอุปสรรคใหญ่หลวง
“ไม่ได้ จะขนของด้วยรถแท็กซี่หรือไง”
“ก็มีแค่เสื้อผ้า --”
“เก้า”
ยังยื่นคำขาดไปเสียงแข็งประสาคนโตกว่า เด็กหนุ่มรู้ดีว่าไม่ควรให้เขาต้องพูดหลายรอบ แค่นั้นรามิลจึงพยักหน้าตกลงแล้วกลอกตาขึ้นมองเพดานราวกับจะคิดว่าควรหาข้ออ้างอะไรไปเบี้ยวนัดเพื่อนดี
“โอเคครับ งั้นอีกสี่วันเจอกัน” แต่สุดท้ายแล้วร่างโปร่งก็หัวเราะ ให้ตายเถอะ เขาแพ้ทางพี่เสือตลอดเลย
ทุกอย่างดูราบรื่น สวยงาม และคงทำให้อะไรดีขึ้นได้แน่ ๆ
--------------------------------------------------
ล่วงเข้าวันที่สี่แล้วที่อธิศใช้เวลาหลังออกเวรนั่งง่วนอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์และตั้งหนังสือมหึมาซึ่งเขาเป็นคนไปทำเรื่องขอยืมจากคณะแพทยศาสตร์ของทางมหาวิทยาลัยซึ่งอยู่ตึกข้าง ๆ ห้องสมุดไม่ได้ใหญ่มาก ทว่ามีหนังสือที่ต้องการมากพอสมควร แต่สิ่งที่ฉงนมาตลอดสามสี่วันนี่ยังหาคำตอบไม่ได้เลยสักนิด
ถึงจะแสดงท่าทีไม่สนใจออกไป แต่หลังจากนั้นจิตแพทย์หนุ่มก็เลือกที่จะไปขอตารางการเข้างานของนักศึกษาฝึกงานชนกันต์เป็นการส่วนตัวกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคลากร หากมีเวลาว่าง เขาเองก็อาจจะถือแก้วกาแฟเดินผ่านหรือเลียบเคียงถามเจ้าหน้าที่ในห้องยาคนอื่นบ้าง ซึ่งคำตอบที่ได้เป็นเสียงเดียวกันทั้งหมด
ชนกันต์เป็นเด็กน่ารักสดใส เพียงแต่ช่วงอาทิตย์หลังมานี้ ปรัชญาแอบให้ข้อมูลว่าเด็กหนุ่มมักจะใช้ชีวิตอยู่ที่โรงพยาบาลเสียเป็นส่วนใหญ่ ยอมอยู่ช่วยจัดสต็อกยาโดยไม่ลงเวลางานบ้างล่ะ หรือแม้แต่ชวนไปเข้าห้องน้ำเป็นเพื่อนบ้างเวลาที่เข้าเวรด้วยกันเหมือนเด็กผู้หญิงบ้างล่ะ
เด็กนั่นไม่ยอมอยู่คนเดียว ถ้าเลือกได้
ก็ตรงกับอาการที่เจ้าตัวแสดงกับเขาในวันนั้น แต่ไม่ว่าจะหาข้อมูลมาประกอบอาการยังไง อธิศก็ลงความเห็นเป็นอื่นไปไม่ได้นอกจากภาวะประสาทหลอนหรืออาจจะเข้าขั้นจิตเภทเบื้องต้น ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่อยากด่วนสรุปเพราะไม่มีใครเป็นโรคจิตได้อย่างเฉียบพลันขนาดนี้หรอก
ปมครอบครัวไม่มีอะไร ที่บ้านฐานะดี ไม่มีปัญหาทะเลาะเบาะแว้งให้ผู้อื่นเห็น พอขึ้นมหาวิทยาลัยซึ่งไกลบ้านก็เลยย้ายออกมาอยู่แมนชั่นและคงกลับไปอยู่บ้านหลังจากเรียนจบ มีรถขับ เงินไม่ขาดมือ ผลการเรียนใช้ได้ จะให้คิดว่าเป็นเพราะต้องอยู่คนเดียวมาห้าปีก็ดูจะไม่เข้าเค้าเท่าไหร่นัก เพราะชนกันต์กลับบ้านแทบทุกสัปดาห์ถ้ามีโอกาส ในเมื่ออาทิตย์ก่อนยังดูปกติดีทุกอย่าง แต่ทำไมตอนนี้ถึงได้มีท่าทีหวาดกลัวขนาดนั้นกัน
เว้นแต่ว่าจะได้เจอกับเหตุการณ์บางอย่าง
ร่างสูงเอนกายลงกับพนักก้าวอี้ก่อนจะผ่อนลมหายใจออกมาอย่างตึงเครียด นึกไปถึงรอยข่วนตรงขาที่เขาเห็นในวันนั้นแล้วมันก็พาให้ทุกอย่างดูทึบไปหมด รอยแผลแบบนั้นยังไงก็คงทำตัวเองไม่ได้ ที่เล็บนิ้วมือไม่มีรอยเลือด แล้วเหตุการณ์ก็เกิดคล้อยหลังเขาไปแค่ไม่กี่นาทีเท่านั้นเอง
ยกสองมือขึ้นนวดขมับตัวเองแล้วหยิบเอาสมุดบันทึกเล่มเล็กในลิ้นชักออกมาเปิดดู หน้าหนึ่งในเล่มเป็นลายมือบันทึกหวัด ๆ ที่เขาเฝ้าสังเกตอาการอีกฝ่ายห่าง ๆ มาตลอดสามสี่วัน อาการที่เด่นชัดที่สุดก็คงจะเป็นการที่ชนกันต์เอาแต่เดิน ๆ หยุด ๆ บ้างก็หันกลับไปมองข้างหลังแล้วเร่งฝีเท้าเดินต่อ ทว่าไม่ทันไรกลับหยุดตัวเองเอาไว้อีก
‘ในตอนแรกผมก็คิดว่าผมคงแค่เบลอ ๆ เพราะนอนน้อย หรือว่าทำงานหนักอะไรเทือกนั้น แต่ผมก็เริ่มมั่นใจมากขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากสังเกตได้ว่ามันมีเสียงฝีเท้าเกินมาก้าวหนึ่งทุกครั้งที่ผมหยุดเดิน’แล้วยังอาการย้ำคิดย้ำทำประเภทที่ว่า กดเปิดสวิทช์ไฟซ้ำ ๆ หรือการเตือนคนอื่นให้ช่วยจำในสิ่งที่ทำไปแล้วนั่นอีก
‘แต่มันไม่ใช่แค่นั้นนะหมอ... บางทีผมก็รู้สึกเหมือนไม่ได้อยู่คนเดียว มันเริ่มมีอะไรแปลก ๆ เกิดขึ้นเรื่อย ๆ ในตอนแรกก็แค่ก๊อกน้ำในห้องน้ำมันเปิดเอง ผมพยายามบอกตัวเองว่าก็แค่ลืมปิด แต่บางทีผมก็ตื่นเพราะเสียงฝักบัวในห้องน้ำบ้างล่ะ ทีวีเปิดเองบ้างล่ะ แล้วผมก็มั่นใจนะว่าคงไม่ลืมปิดมันแทบทุกวันอย่างนั้นหรอก เพราะผมจะต้องนอนไม่หลับแน่ ๆ’ถึงคำพูดคำจาในตอนนั้นจะดูสับสนอยู่บ้าง แต่พอมานั่งทบทวนดูแล้ว อธิศก็ไม่เห็นนัยยะผิดปกติในคำพูดพวกนั้นสักเท่าไหร่ เขายังได้ข้อมูลไม่พอ บางทีนัดครั้งหน้าอาจจะต้องสังเกตอาการของชนกันต์ให้มากขึ้นอีก
เหลือบไปเห็นตารางเวรของคนในความคิดแล้วก็นึกขึ้นได้ ตอนนี้เด็กนั่นคงเข้าเวรอยู่ที่ห้องจ่ายยาคนเดียว ตอนนี้สามทุ่ม เขาเองก็อยากได้กาแฟสักแก้วเหมือนกัน
หยัดตัวลุกขึ้นเต็มความสูงก่อนจะหยิบเอากระเป๋าสตางค์และโทรศัพท์มือถือติดมือไปด้วย พอไม่ใช่เวลาราชการ อธิศก็ไม่ต่างอะไรจากคนธรรมดา เขาไม่ได้สวมชุดกาวน์สีขาว แว่นสายตาถูกเก็บไว้ในกระเป๋าเสื้อเชิ้ตสีสุภาพเพราะไม่ต้องใช้สายตาเพ่งอะไรมากนัก ดันเก้าอี้ล้อเลื่อนเข้าไปในโต๊ะอย่างเรียบร้อยก่อนจะเดินออกไป หากแต่เรียวขายาวต้องหยุดชะงักไว้แค่นั้น
“....”
หันกลับมาตามเสียงก็เห็นเก้าอี้ที่เขาเพิ่งดันเก็บกำลังเลื่อนถอยหลังไปจนชนกับตู้จนส่งเสียงดัง
กึงเบา ๆ ร้อยวันพันปีมันไม่เคยเกิดขึ้น แต่ก็เพราะเป็นเก้าอี้ล้อเลื่อน อธิศถึงได้คิดว่าวันนี้เขาอาจจะผลักเก็บมันแรงเกินไป
เดินออกไปจากห้องอย่างไม่ใส่ใจนักโดยไม่ลืมที่จะล็อกประตูห้องไว้ด้วย เพราะว่าใช้ชีวิตอยู่คอนโดมิเนียมเพียงคนเดียว หมอหนุ่มจึงไม่มีพันธะอะไรให้ต้องรีบกลับนัก ร้านกาแฟในโรงพยาบาลเปิดแทบจะยี่สิบสี่ชั่วโมง และนั่นถือเป็นเรื่องดี
“อ้าว คุณหมอยังไม่กลับอีกเหรอคะ”
ยิ้มรับให้พยาบาลที่อยู่เวรตอนกลางคืนอย่างเป็นมิตร ร้านกาแฟอยู่ใกล้ ๆ กับโรงอาหารที่ชั้นสอง ดูจากเวลาแล้วป่านนี้คงเงียบพอสมควร แล้วก็เป็นดังที่คิด ร้านอาหารปิดไปจนเกือบหมดแล้ว มีบ้างที่ยังอยู่ขายให้ญาติที่มาอยู่เฝ้าผู้ป่วยอย่างประปราย ร่างสูงเลี่ยงเดินเข้าไปในร้านกาแฟก่อนจะออกปากสั่งเมนูเดิมด้วยรอยยิ้มอย่างที่รู้กันกับบาริสต้า
“คาปูชิโนร้อนครับ”
“ทำไมวันนี้กลับดึกจังล่ะคะคุณหมอ”
บาริสต้าหญิงชวนคุยในขณะที่อัดกาแฟไปด้วย คนถูกถามได้แต่ยิ้มรับก่อนจะหยิบเอานิตยสารบนโต๊ะมาเปิดดูผ่าน ๆ ฆ่าเวลา รอราว ๆ สามนาทีก็ได้กลิ่นกาแฟร้อนหอมฉุยอย่างที่ชอบ หยิบเอาธนบัตรในกระเป๋าเสื้อจ่ายออกไปโดยเอาเงินทอนหยอดกล่องทิปพนักงานอย่างทุกที
เดินทอดน่องผ่านโถงกลางหน้าห้องฉุกเฉินแล้วก็เห็นว่ายังมีพอมีผู้ป่วยอยู่บ้าง แผนกจิตเวชนั้นมักจะได้ทำงานเป็นเวลา ต่างจากแพทย์ส่วนใหญ่ มีบ้างที่อาจจะถูกเรียกตัวมากลางดึกเพื่อช่วยแทนแพทย์ระบบประสาทเพราะอยู่ในสายที่คาบเกี่ยวกันหรืออาจจะด้วยเหตุฉุกเฉินบางประการเช่นคนไข้ที่ประสบเหตุกระทบทางจิตใจ ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้เกิดขึ้นถี่นัก
ไม่ลืมที่จะเหลือบมองไปทางห้องจ่ายยาซึ่งเห็นใครบางคนกำลังจัดยาเข้าชั้นอย่างขะมักเขม้น แต่แล้วอธิศก็ต้องขมวดคิ้ว เมื่อชนกันต์เหมือนจะพยายามหยิบล้วงเอาอะไรออกจากปากด้วยสีหน้าคลื่นเหียนแล้วตัดใจทำงานต่อ บางทีเขาควรต้องบันทึกนี่ลงไปเป็นอีกหนึ่งในการผิดปกติของผู้ป่วยคนนี้ด้วย
เพราะสายตาที่สั้นหรืออะไรก็ตามแต่ ร่างของชนกันต์เดินไปยังตู้ยาแถวต่อไปแล้ว หากแต่กลับเผยให้เห็นใครบางคนซึ่งอาจจะถูกยืนบังไว้เมื่อครู่ อธิศพยายามเพ่งสายตามองหญิงสาวผมยาวซึ่งกำลังยืนมองเขาแทนที่จะเดินตามชนกันต์ไป ใช่ ความรู้สึกมันบอกว่าหล่อนมองมาทางนี้ หากแต่เพียงละสายตาไปเพื่อหยิบแว่นในกระเป๋าขึ้นมาสวม ผู้หญิงคนนั้นก็ไม่ได้ยืนอยู่ที่เดิมเสียแล้ว
ถ้าจำไม่ผิดล่ะก็ วันนี้ เวลานี้ มีชนกันต์ประจำห้องยาแค่คนเดียวไม่ใช่หรือไง แล้วห้องยาก็ไม่ใช่ที่ที่จะให้ใครเข้าไปยุ่มย่ามได้ง่าย ๆ อธิศมั่นใจว่าเขาไม่ได้ตาฝาด และมันไม่ใช่เงาสะท้อนในกระจกแน่ ๆ
หากแต่พอจะยกแก้วกาแฟขึ้นมาจิบ กลิ่นดินโคลนก็ลอยมาแตะจมูกอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย แพทย์หนุ่มก้มลงมองแก้วคาปูชิโนร้อนในมือแล้วก็ต้องขมวดคิ้วเป็นปมอีกรอบเมื่อเห็นเศษดินที่ลอยขึ้นมาจนดื่มต่อไปไม่ลง
ดินอาจจะติดมากับกากกาแฟอย่างไม่น่าเป็นไปได้ แต่ที่น่าคิดยิ่งกว่าคือเขาดื่มมันเข้าไปค่อนแก้วแล้วนี่สิ
คิดติดตลกเอาว่าดินคงไม่ร่วงมาจากเพดานเมื่อครู่นี้หรอกกระมัง
TBC
----------------------------------------------------
เปิดตัวตัวละครใหม่ หมอเสือ กับนศพ.เก้า
ทั้งหมดจะเข้ามาเกี่ยวข้องกันยังไง นี่เป็นเหมือนแค่บทเกริ่นนำเท่านั้น
ตอนต่อจากนี้ ทุกอย่างจะเริ่มขมวดเข้ามาสู่เรื่องราวที่แท้จริงค่ะ
ตอบคุณ actionmarks ค่ะเคยลงแล้ว เขียนใหม่หรือเปล่า ตัวละครมันคุ้นมาก เหมือนเคยอ่านมาแล้วเลย
เรื่องนี้ เราเขียนไว้ตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว และลงแค่ในลักษณะฟิคชัน
นี่เป็นที่ที่สองที่เราเอามาลงค่ะ เพราะงั้นไม่มีของเราแน่นอน 555555555555