◣♥◥ อาณาเขตรักที่2►►เด็กฝึกงาน
วันนี้ก็เป็นอีกหนึ่งวันที่ปภิณวิทย์ต้องตื่นแต่เช้าเพื่อมาทำงานที่บริษัทตามปกติ...ตำแหน่งกรรมการผู้จัดการถือเป็นตำแหน่งที่ค่อนข้างสบายแต่รับบทค่อนข้างหนัก...โดยปกติก็จะมีการอ่านและตรวจเอกสารที่ได้มาจากฝ่ายต่างๆแล้วก็นำมาวิเคราะห์เพื่อดูว่าสิ่งที่เขียนมาอย่งพวกการนำเสนอโปรเจกใหม่ๆพวกนี้มันจะสามารถนำไปใช้ได้หรือต่อยอดได้อีกหรือเปล่าและยังมีพวกงบการเงินต่างๆด้วย...
ซึ่งถือเป็นงานที่ค่อนข้างปวดหัวแต่ไม่ใช่ว่ากรรมการผู้จัดการทุกคนต้องทำแบบนี้หรอกนะ...ส่วนมากก็แค่เข้าประชุมและนั่งหารือเรื่องโปรเจกต่างๆนี่แหละ...งานที่ผมทำอยู่นี่เป็นคำสั่งแกมขอร้องของคุณ ชัชนันท์ หรือ คุณชัย ที่เป็นถึงรองประธานกรรมการดังนั้นผมก็คงไม่กล้าปฏิเสธแต่งานที่ทำนี่ก็ดีถ้าไม่มีเรื่องให้ต้องมาตีหน้าดุหรือบ่นรายตัวละก็นะ
ที่คุณชัยวานให้ผมจัดการเรื่องพวกนี้อาจเป็นเพราะกลัวจะมีการยักยอกเงินเกิดขึ้น...แม้ว่าผมคิดว่าคงจะมีอยู่ไม่น้อยก็เถอะนะ...ผมจบบัญชีมาแต่ทำงานด้านบริหารทำให้ผมค่อนข้างจะเป็นที่ถูกใจของคุณชัยอยู่พอสมควร
งานที่ผมได้รับผมทำมันอย่างดีที่สุดและพยายามตรวจซ้ำหลายๆครั้งเพื่อกันข้อผิดพลาดนั่นจึงเป็นอีกเหตุผลนึงที่ผมถูกเลื่อนตำแหน่งอย่างรวดเร็วภายในเวลาไม่กี่ปี
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูหน้าห้องผมดังขึ้นทำให้ผมต้องละสายตาจากการอ่านเอกสารแล้วเงยหน้าไปมองทางประตู
“เข้ามา”ผมบอกออกไปพร้อมกับประตูที่ถูกเปิดออก
แกร็ก!
“คุณวิทย์ค่ะ...ตอนนี้นักศึกษาฝึกงานมาถึงแล้วจะให้ดิฉันทำยังไงต่อดีค่ะ?”เสียงของเลขาผมดังขึ้น...คุณ พรพัฒน์ หรือ เอ๋...เธอเป็นเลขาผมมาได้3ปีแล้วการทำงานรวดเร็วแต่ไม่ทำแบบส่งๆทำให้ผมถูกใจเธออยู่พอสมควร
นักศึกษาฝึกงาน?
ผมกำลังประมวลความคิดภายในหัวว่าผมได้สั่งอะไรไปงั้นเหรอ?
อาจเพราะอายุเข้าเลข3เลยทำให้บางทีผมก็ชอบลืมไปว่าสั่งอะไรใครไปบ้าง
หรืออาจจะไม่ใช่เพราะแก่แต่ผมสั่งงานคนอื่นมากไปจนจำไม่ได้?
อ้อ...รู้สึกว่าจะนึกออกแล้วล่ะ
จำได้ว่าทางมหาลัย xxx ส่งคนมาขอให้นักศึกษาของเขาได้มาฝึกงานสัก4เดือนแล้วผมก็ตอบตกลงไป...ก็ไม่ได้มีอะไรเสียหายนี่นะ...ได้แรงงานมาใช้แถมไม่ต้องจ่ายเงินเดือน
คุ้มซะยิ่งกว่าคุ้ม
“กี่คน?”ผมถามคุณพรพัฒน์ออกไปด้วยเสียงเรียบๆ
“10คนค่ะ”คุณพรพัฒน์ตอบผมกลับมาทันทีด้วยเสียงดังฟังชัดเหมือนกับได้เตรียมข้อมูลมาอย่างดีแล้ว
10คนเหรอ?...
ควรจะลงไปเองหรือให้ฝ่ายบุคคลจัดการดีนะ
ผมก้มลงมองเอกสารต่างๆที่อยู่บนโต๊ะของตัวเองพร้อมๆกับใช้ความคิด...เอกสารที่ต้องอ่านก็เหลือไม่มากเพราะงั้นลงไปเองละกัน
“ให้พวกขาไปรอที่ฝ่ายบุคคลแล้วบอกคุณวิริณให้อธิบายเกี่ยวกับบริษัทของเราคร่าวๆไปก่อนเดี๋ยวผมจัดการเอกสารตรงนี้เสร็จแล้วจะตามลงไป”ผมบอกคุณพรพัฒน์ด้วยน้ำเสียงนิ่งๆก่อนจะก้มลงไปอ่านเอกสารที่ค้างไว้ต่อ
“ค่ะคุณวิทย์”เสียงตอบรับจากเลขาดังขึ้นพร้อมกับเสียงปิดประตู
เมื่อไม่ถูกรบกวนผมก็ตั้งสมาธิเพื่ออ่านและจัดการเอกสารตรงหน้าภายในเวลาไม่นานนัก...ผมมองดูนาฬิกาข้อมือตอนนี้ที่บอกเวลาบ่าย2โมงตรงก่อนจะเดินออกจากห้องทำงาน
“ติดต่อไปที่ฝ่ายบุคคลว่าผมจะลงไปแล้ว”ผมเอ่ยกับคุณพรพัฒน์ที่นั่งทำงานอยู่ที่โต๊ะหน้าห้องผม
“ค่ะคุณวิทย์”คุณพรพัฒน์ตอบรับพร้อมกับยกหูโทรศัพท์ขึ้นแล้วกดเบอร์ติดต่อฝ่ายบุคคลทันที
ผมล่ะชอบคนที่ทำงานได้รวดเร็วแถมมีประสิทธิภาพแบบนี้ที่สุดเลย...ผมใช้ลิฟท์เพื่อลงมาที่ชั้น3คือที่ทำงานของฝ่ายบุคคลส่วนชั้น9คือที่ทำงานของผมและกรรมการผู้จัดการคนอื่นๆด้วย
ครื่นนน~
ผมเลื่อนประตูแล้วเดินเข้าไปภายในห้องของฝ่ายบุคคล...ตึกของบริษัทในแต่ละชั้นจะมีสีที่แตกต่างกันไปเพื่อให้ดูโดดเด่น...แม้ผมจะคิดว่าแค่ทาภายนอกคนละสีกันก็พอแล้วทำไมยังต้องทาสีเดียวกันไว้ที่ด้านในด้วยล่ะ
ภายในชั้น3ถูกทาสีด้วยสีเหลืองอ่อนที่ดูสบายตาผิดกับด้านนอกที่เป็นเหลืองเข้มจนจะส่องแสงได้อยู่แล้ว...การตกแต่งส่วนมากก็จะเป็นไม้ประดับที่ทำให้ดูสบายตา...พวกโต๊ะทำงานถูกจัดเป็นสี่ส่วนโดยเว้นช่วงตรงกลางไว้สำหรับทางเดิน
“สวัสดีค่ะคุณวิทย์!”
“สวัสดีครับคุณวิทย์!”
“สวัสดีครับ”ตลอดทางที่ผมเดินผ่านพนักงานแต่ละคนก็จะวางมือจากการทำงานแล้วเอ่ยทักทายผมบางคนถึงขนาดลุกขึ้นและยกมือไหว้เลยก็มี
ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงเคารพผมมากขนาดนี้...ถึงผมจะมาที่แผนกนี้บ่อยๆแต่ก็ไม่ได้สนิทกับใครเป็นพิเศษ...แต่ก็พอจะเดาได้น่ะนะ
ชื่อเสียงผมคงจะดังกระฉ่อนพอดูเลยล่ะ
เท่าที่เห็นคนที่มองผมด้วยสายตาหวาดกลัวประหนึ่งผมจะหยิบมีดไปปาดคอพวกเขางั้นแหละ...บางทีพอมองด้วยสายตาแบบนั้นบ่อยๆก็รู้สึกแย่เหมือนกัน
ทั้งที่ผมยังไม่ได้ทำอะไรทำไมต้องมากลัวผมด้วยล่ะ?
ไม่มีเหตุผลเลย
“...”ผมมองไปรอบๆห้องก่อนที่สายตาจะหยุดอยู่ที่ห้องกระจกห้องหนึ่งที่ภายในมีนักศึกษาหลายๆคนนั่งอยู่...ผมเดินไปทางนั้นอย่างไม่ลังเล
ภายในห้องนี้มีห้องกระจกอยู่4ห้องไว้สำหรับใช้ประชุมย่อยหรือคุยงาน...บางครั้งก็ใช้ที่นี่ในการสัมภาษณ์งานด้วย
ก๊อก! ก๊อก!
ผมเคาะประตูกระจกอย่างมีมารยาทเพราะคุณวิริณกำลังพูดอะไรให้นักศึกษาฟัง...เมื่อได้ยินเสียงเคาะเธอก็หันมาทางผมพร้อมกับเบิกตากว้างขึ้นอย่างตกใจก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นรอยยิ้มอย่างรวดเร็ว...
ผมเห็นเธอหันไปพูดอะไรบางอย่างกับนักศึกษาก่อนที่จะเดินมาหาผม
แกร๊ก!
“เข้ามาเลยค่ะคุณวิทย์...เหลือแค่อธิบายเกี่ยวกับงานที่พวกเขาต้องทำแล้วก็แยกสถานที่ฝึกงานให้เท่านั้นเองค่ะ”คุณวิริณเปิดประตูให้ผมเข้าไปก่อนจะรายงานด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม
“คุณอธิบายเกี่ยวกับการทำงานให้เรียบร้อยเดี๋ยวผมจะบอกเองว่าใครจะได้ไปฝึกงานที่แผนกไหน”ผมบอกคุณวิริณก่อนจะเดินผ่านนักศึกษาทั้ง10คนที่มองมาทางผมด้วยความสงสัยก่อนจะไปนั่งลงที่เก้าอี้ด้านหลังเพื่อจะไม่ได้เป็นการรบกวนมากนัก
“งั้นพวกเรามาฟังกันต่อแลยดีกว่า...ที่บริษัทมีมีทั้งหมด........”คุณวิริณก็ได้ทำการอธิบายแต่ละแผนกว่าต้องทำงานยังไงอย่างครบถ้วนจนผมดผลอพยักหน้าด้วยความพอใจ
แต่ระหว่างที่คุณวิริณกำลังอธิบายอยู่ผมสังเกตว่ามีเด็กผู้ชายคนนึงที่นั่งอยู่ริมกำแพงฝั่งตรงกันข้ามกับผมกำลังมองมาทางนี้แล้วหันกลับไปก่อนจะหันมาอีกครั้งทำแบบนี้อยู่หลายรอบจนผมเริ่มคิ้วกระตุก
“...”ผมหันหน้าไปจ้องเด็กคนนั้นตรงๆ...สายตาของเราประสานกันเป็นครั้งแรก...อีกฝ่ายเมื่อเห็นผมจ้องอยู่ก็เบิกตากว้างก่อนจะยิ้มกว้างให้ผม
“...”ผมมองเด็กคนนั้นอย่างงงๆ...อยากจะบอกว่าแม้แต่ผู้ใหญ่บางคนที่ถูกผมจ้องด้วยสายตาแบบนี้ส่วนมากก็ตัวสั่นเลิกลักไม่มีหรอกที่จะหันมายิ้มกว้างให้ผมแบบนี้นะ...กับเด็กยิ่งอย่าพูดถึงเลยพ่อแม่ผมแทบไม่ให้ผมอุ้มหลานแท้ๆของตัวเองด้วยซ้ำ...พี่สาวผมพึ่งคลอดลูกแฝดเมื่อ2ปีก่อนพอผมอุ้มหลานเท่านั้นแหละร้องไห้ลั่นบ้านจนโดนบ่นหลังจากนั้นผมก็ไม่ได้เฉียดเข้าใกล้หลานผมอีกเลย
‘น่าสนใจ’
ผมมองเด็กตรงหน้าด้วยความสนใจ...บอกตามตรงว่าผมพึ่งจะเคยเจอคนที่ไม่กลัวเวลาที่ผมจ้องเขม็งแบบนี้...ถ้าอยู่ด้วยกันนานๆแล้วไม่กลัวก็เป็นเรื่องปกติเหมือนกับเลขาผมหรือคุณพรพัฒน์นั่นแหละตอนที่มาทำงานกับผมวันแรกก็สั่นซะจนผมนึกว่าจะต้องเปลี่ยนเลขาซะแล้วแต่สุดท้ายก็โอเค
เพราะงั้นเด็กตรงหน้าผมถึงได้น่าสนใจไง....แต่ผมก็ไม่ได้ออกอาการอะไรมากนัก...ผมคิดไว้แล้วล่ะว่าจะให้เขามาทำงานกับผม
“...”ผมจ้องเด็กตรงหน้าที่ยิ้มให้ผมด้วยใบหน้าเรียบเฉย...ผมกำลังคิดว่าอีกฝ่ายอาจเป็นโรคประสาทอ่อนๆ...ยิ้มได้ตลอดหรือไม่ควรจะให้มาฝึกงานกับผมดีนะ...เด็กคนเดิมยังยิ้มให้ผมก่อนที่เพื่อนข้างๆหันมามองและพอเห็นว่าผมจ้องไปอยู่ก็รีบตบหัวเพื่อนเบาๆก่อนจะก้มหัวขอโทษผมแล้วหันหน้ากลับไปฟังคำอธิบายตามเดิม
“เฮ่อ...”ผมถอนหายใจออกมาเบาๆ
ทำไมรู้สึกเหมือนจะมีเรื่องเครียดๆเข้ามาในชีวิตเลยนะ
“....เพราะงั้นไม่ว่าจะทำงานตำแหน่งไหนหรือแผนกอะไรเราก็ควรจะมีความรับผิดชอบต่องานที่ได้รับมอบหมายและห้ามบอกว่าทำไม่ได้ถ้ายังไม่ได้ลองนะจ๊ะ...ที่พี่จะบอกก็มีเท่านี้แหละจ้าต่อไปขอเชิญคุณปภิณวิทย์ เทพเทศา...หรือคุณวิทย์...ตำแหน่งกรรมการผู้จัดการเชิญมาข้างหน้าด้วยค่ะ”เสียงของคุณวาริณดังขึ้นพร้อมๆกับเสียงตบมือของนักศึกษาทั้ง10ทำให้ผมลุกจากเก้าอี้ก่อนจะเดินไปข้างหน้าแทนที่คุณวิริณ
“สวัสดี...พวกคุณจะเรียกผมว่าคุณวิทย์หรือพี่วิทย์ก็ได้ตามใจ...ผมมาเพื่อจะเลือกและบอกว่าพวกคุณต้องไปทำงานที่ไหนเข้าใจนะครับ”ผมเอ่ออกไปด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ
“ครับ/ค่ะ”เสียงของนักศึกษาทั้ง10คนดังขึ้นพร้อมกัน
“ก่อนอื่นผมคงต้องถามก่อนว่าพวกคุณต้องการจะทำงานที่แผนกไหน...พร้อมแนะนำตัวสั้นๆ...เริ่มจากคุณ”ผมบอกนักศึกษาทั้งหมดด้วยใบหน้าเรียบเฉยก่อนจะจ้องให้นักศึกษาผู้หญิงคนที่นั่งอยู่หัวแถว
“อ่อ...นางสาว ญารัตร แสงทองคะ...ชื่อเล่นปุ้ย...อยากจะเข้าฝึกงานแผนกบุคคลค่ะ”คนแรกยืนขึ้นก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างติดขัดอาจจะเพราะผมจ้องอยู่ด้วยก็ได้มั้ง
ความจริงผมไม่ได้จ้องด้วยแค่มองเฉยๆต่างหาก...ไม่เข้าใจเลยว่าหน้าตาผมมันน่ากลัวขนาดนั้นเลยเหรอ?
จากนั้นคนต่อๆไปก็เริ่มแนะนำตัวกันไปเรื่อยๆซึ่งผมก็พยายามจดจำชื่อและหน้าตาของแต่ละคนให้ได้ถึงมันจะค่อนข้างยากแต่ผมค่อนข้างถนัดเรื่องนี้จนเคยมีข่าวออกมาว่าผมเป็นพวกชอบจับผิดชาวบ้าน
นักศึกษาทั้ง8คนได้แนะนำตัวเสร็จแล้วตอนนี้เหลืออยู่2คนซึ่งคนสุดท้ายเป็นคนที่ผมเล็งเอาไว้อยู่ไม่รู้ว่าจะอยากมาอยู่แผนกอะไรนะ...พอคิดไปคิดมาผมก็ว่าจะไม่เอาเด็กคนนี้มาทำงานด้วยแล้ว...นักศึกษาที่ยังไม่มีประสบการณ์อาจทำให้งานล่าช้าและมีโอกาสผิดพลาดค่อนข้างสูง
“ผมนาย พงศร ไมรยราศ...ชื่อเล่นต้องครับ...อยากเข้าฝึกงานในแผนกเทคนิคครับ”ชายคนรองสุดท้ายเอ่ยขึ้นด้วยเสียงดังฟังชัดดูทะมัดทะแมงดี
และแล้วก็มาถึงคนสุดท้าย
“สวัสดีครับ...ผมชื่อนายปิณชาน์ สิวารัตนิวงศ์ครับ...ชื่อเล่นบัต...อยากเข้าฝึกงาน...แผนกไหนก็ได้ครับแต่อยากอยู่แผนกเดียวกับพี่นะครับ”สิ้นเสียงหวานเหมือนกำลังจีบหญิงของนักศึกษาคนสุดท้ายคิ้วผมข้างขวาผมก็กระตุกทันที
เด็กนี่...กล้าไม่ใช่เล่น
ตลอดการแนะนำตัวทำให้ผมมองนายปิณชาน์ได้มากขึ้นกว่าตอนที่นั่งอยู่...ชายผิวขาวสูงประมาณ180กว่า...คิดว่าน่าจะเท่าๆกับผมหน้าตาก็ดูดีน่าจะป๊อบในหมู่สาวๆน่าดู...ผมสีดำตามธรรมชาติที่ถูกสไลด์ตามสไตล์เกาหลีที่กำลังมาแรงทำให้เพิ่มความดูดีอีกหลายเท่า
แต่...ถึงบุคลิกจะดูดีแต่คำพูดจาที่ดูเหมือนไม่เคารพผู้ใหญ่นั่นควรจะสั่งสอนสักหน่อยใช่ไหม?
พึ่งเข้ามาแต่ก็ทำกิริยาไม่สุภาพแบบนี้เดี๋ยวได้ถูกเกลียดเอาหรอก...
ถึงผมจะจ้องแล้วปิณชาน์...ชื่อเล่นอะไรนะ?
อ้อ...บัต...นั่นแหละถึงเขาจะไม่กลัวสายตาที่ผมจ้องไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่กลัวคำที่ผมพูดนี่...ใครๆก็บอกว่าคำพูดผมมันฆ่าคนได้
ผมละอยากจะหัวเราะ
คำพูดที่ผมพูดส่วนมากมันคือความจริงที่หลายๆคนมองข้ามไปต่างหากล่ะ
มาดูกันว่าจะแน่สักแค่ไหน?...
นาย ปิณชาน์!!
“คุณคิดว่าที่ที่คุณอยู่ตอนนี้จะมาเล่นได้เหรอครับ?...ที่นี่ไม่ใช่มหาลัยและผมไม่ใช่เพื่อนคุณกรุณาวางตัวให้เหมาะสมด้วยคุณปิณชาน์”ผมบอกด้วยน้ำเสียงเย็นชาพร้อมๆกับจ้องหน้าคนตรงหน้าที่หุบยิ้มทันที
ดูท่าที่ผมทำจะได้ผลนะ
เขาต้องเรียนรู้อีกมากถ้าอยากที่จะอยู่และทำงานในบริษัทนี้
เพราะการทำงานมันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ
“ผมขอโทษครับ...แต่สิ่งที่ผมพูดมันเป็นความจริงนะครับ”ปิณชาน์เอ่ยออกมาด้วยความสำนึกอันนี้ผมสัมผัสได้และกำลังจะให้อภัยแต่สิ่งที่เขาพูดตามมาทำให้ผมกลืนคำว่าอภัยลงคอไปจดหมด...แถมยังมีการส่งยิ้มมาปิดท้ายด้วย
นี่ผมกำลังถูกเล่นปีนเกลียว?
ฮะฮะฮะ...อยากขำชะมัดเลย...พึ่งเคยเจอเรื่องแบบนี้ครั้งแรก...น่าสนุกดีนะ
เหมือนว่าเขาจะรู้ว่าผมไม่ได้โกรธจริงจังเพียงแค่อยากสั่งสอนให้รู้เท่านั้น...แล้วเขารู้ได้ยังไงล่ะ?
คนที่จะรู้ว่าความจริงผมเป็นคนยังไงมีแค่คนในครอบครัวเท่านั้น...แล้วเด็กที่พึ่งเจอกันไม่กี่ชั่วโมงจะมองผมออกขนาดนั้นเลยเหรอ?
ขนาดพนักงานในบริษัท...ไม่สิ...เอาใกล้ๆกว่านั้น...ขนาดเลขาผมที่ทำงานด้วยกันทุกวันยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำแล้วอีกฝ่ายเป็นใครกัน?
แต่ผมไม่คิดว่าเขาจะมองผมออกทั้งหมดหรอก...มีคนมากหมายหลากหลายที่อยากเลี่ยงผมแต่เขาต้องการจะอยู่ใกล้ๆผม...งั้นถ้าอยากมาอยู่ด้วยก็มาเจอกันสักตั้งเป็นไงล่ะนายปิณชาน์แล้วจะได้รู้กันว่าสิ่งที่นายแสดงออกมันคือการรู้ถึงตัวตนจริงๆของผมหรือว่าแค่ความกล้าหาญเข้าขั้นบ้าบิ่นกันแน่
“สำหรับพวกคุณ...ผมจะให้ไปฝึกงานตามแผนกที่ต้องการได้...ส่วนคุณ...”ผมหันไปบอกนักศึกษาทั้ง9คนที่มองมาทางผมสลับกับเพื่อนตัวเอง
“คำขานล่ะ”ผมถามขึ้นเมื่อทั้งห้องยังตกอยู่ในความเงียบ
“ครับ/ค่ะ”นักศึกษาทั้ง9ขานรับอย่างพร้อมเพียง
“ไปหาคุณวิริณคนที่อยู่เมื่อสักครู่นี้แล้วบอกว่าผมให้พวกคุณไปที่แผนกไหนบ้างหลังจากนั้นเธอจะพาพวกคุณไปเอง...เข้าใจไหม?”ผมเอ่ยเสียงเรียบ
“ครับ/ค่ะ”เสียงขานรับดังขึ้นพร้อมกับก่อนจะค่อยๆทยอยลุกจากเก้าอี้แล้วเดินออกจากห้องไปก่อนจะออกไปมีการมองไปที่นาย ปิณชาน์ก่อนจะส่งสายตาประมาณว่า
‘ ขอให้โชคดีนะ’
เฮ่อ...เด็กสมัยนี้นี่
“ส่วนคุณ”ผมหันไปเรียกเมื่อนักศึกษาที่เหลือออกจากห้องไปหมดแล้ว
“ครับพี่วิทย์”คนต้องหน้าขานรับผมเสียงดังแถมยังยืนตรงด้วย
ท่าทางตลกดีแฮะ
ไม่ได้ๆห้ามหลุดตรงนี้เด็ดขาดนะ
“อยากมาทำงานกับผมเหรอ?”ผมถามย้ำอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ
“ครับ”ปิณชาน์เอ่ยเสียงหนักแน่นจนผมต้องแอบยิ้มที่มุมปาก
“ผมไม่ต้องการคนที่ไม่มีความสามารถ”ผมบอกออกไปตามตรง
“ผมมั่นใจว่าจะทำให้พี่ต้องการผมได้ครับ”คำพูดที่ส่อสองแง่สองง่ามดังขึ้นพร้อมกับสายตาที่เป็นประกายบ่งบอกว่าคนตรงหน้าเอาจริงมากกับคำพูดนี้
“หึ...งั้นมาลองดูหน่อยไหมล่ะ?”ผมบอกเบาๆแต่เพียงแค่นั้นก็ทำให้เด็กตรงหน้าส่งยิ้มกว้างพร้อมกับพยักหน้ารัวๆ
“รบกวนด้วยครับ”
หลังจากนั้นผมก็พาปิณชาน์...ผมควรจะเรียกชื่อเล่นเขาดีไหม?
หรือควรจะชื่อจริงดี?
ชื่อจริงละกันเพราะผมไม่ได้สนิทกับเขาถึงขนาดจะเรียกชื่อเล่นหรอก...ขนาดเลขาตัวเองยังเรียกชื่อจริงเลยนิ
ก็นั่นล่ะ...หลังจากนั้นผมก็พาปิณชาน์ขึ้นมาที่ชั้น9แล้วเข้ามที่ห้องทำงานผม...ถึงจะเรียกว่าห้องทำงานแต่ก็เรียกว่าเหมือนออฟฟิชขนาดเล็กแหละเพราะภายในห้องมีลูกน้องและเลขาผมรวมแล้ว5คน...เมื่อเปิดเข้าไปด้านหน้าก็จะเจอกับคุณพรพิมพ์ซึ่งก็คล้ายฝ่ายประชาสัมพันธ์เวลามีคนมาก็จะมาติดต่อที่เธอนี่แหละ...
คนต่อมาคือนาย วีรล เป็นคนที่ช่วยผมในการรวบรวมเอกสารที่จำเป็นก่อนจะนำมาให้ผม...อีกคนคือนาย ประพจน์ เป็นคนที่ดูแลเรื่องระบบคอมพิวเตอร์เพราะผมค่อนข้างไม่ถนัดพวกเทคโนโลยีเลยจริงๆและคนสุดท้ายคือ นาง มารญา เป็นคนที่ช่วยผมในการติดต่อและประสานงานกับแผนกต่างๆ
อ้อ...รู้สึกว่าผมจะลืมบอกไปว่าสีประจำชั้น9นี้คือสีฟ้า...แต่เป็นฟ้าโทนสว่างดูสบายตาเหมือนได้ลอยอยู่บนท้องฟ้าเลย
ส่วนคนที่5ก็เลขาผมนั่นแหละ...ทั้ง5คนเป็นคนที่ผมคัดเลือกด้วยตัวเองว่าไว้ใจได้และมีความรับผิดชอบสูง
ผมได้พาปิณชาน์มาแนะนำตัวกับทั้ง5คนก่อนจะให้เขาตามผมเข้ามาในห้องทำงานส่วนตัวเพื่อสั่งงาน...ผมเดินมานั่งที่เก้าอี้กลางห้องแล้วเงยหน้ามองปิณชาน์ที่เดินเข้ามาที่ผมที่โต๊ะด้วยท่าทางสงบเสงี่ยม
“เป็นไงบ้าง...จำพวกพี่เขาได้ไหม?”ผมถามคนตรงหน้าออกไป
“ครับ...ผมมั่นใจว่าจะสามารถสนิทกับพี่ๆทุกคนได้ครับ”ปิณชาน์ตอบเสียงดังฟังชัดก่อนจะยิ้มให้ผม...แต่ไม่ใช่ยิ้มกว้างแบบตอนแรกแล้วล่ะ
ยิ้มแบบนี้ค่อยน่าดูหน่อย
“ก็ดี”
“กับพี่วิทย์ด้วยนะครับ”ประโยคต่อมาทำให้ผมชะงักก่อนจะจ้องปิณชาน์เขม็ง
“การประจบสอพลอไม่ได้ทำให้คุณได้Aในใบเกรดหรอกนะ”ผมพูดออกไปตามตรง
การสนิทกันอาจทำให้ผมให้Aกับเขาไปง่ายๆ...คงจะคิดแบบนั้นสินะ
แต่เสียใจด้วยที่ผมเป็นคนที่ชอบมองการกระทำมากกว่าคำพูด
“ผมไม่ได้ต้องการAหรอกครับ...เกรดไม่ได้เป็นตัวบ่งบอกถึงความสามารถในการทำงานของคน”ปิณชาน์ตอบผมด้วยน้ำเสียงแน่วแน่
“แต่เกรดเป็นตัวบ่งบอกถึงความรับผิดชอบต่อสิ่งที่ได้รับ”ผมเองก็ตอบกลับไปเช่นกัน
ถ้าคิดว่าจะชนะผมได้ก็มาลองดู
“ก็ใช่ครับ...แต่ผมอยากได้ความเชื่อใจจากพี่นะ...แล้วพี่น่ะไม่ได้ชื่อพี่วิทย์ไม่ใช่เหรอครับ?”สิ้นคำถามของปิณชาน์ผมก็ยืนขึ้นทันที
“คุณ...หมายความว่ายังไง?”ผมถามด้วยน้ำเสียงที่กดดัน
บอกว่าวิทย์ไม่ใช่ชื่อผมงั้นเหรอ?
เด็กที่พึ่งรู้จักกันทำไมถึงได้รู้เรื่องนี้ล่ะ?
“ก็ถ้าจำไม่ผิด...ไม่น่าใช่พี่วิทย์แต่เป็น... ‘พี่คุณ’ ..ใช่รึเปล่าครับ?”ปิณชาน์บอกผมด้วยรอยยิ้ม
“...”ผมถึงกลับไปไม่ถูกเลย...ทำไมถึงรู้ชื่อเล่นจริงๆผมได้
ขนาดคนในบริษัทยังไม่มีใครรู้เรื่องนี้เลย
แล้วทำไมเด็กนี่ถึง...
“เงียบแปลว่าถูกสินะแต่เท่าที่ดูคนในบริษัทคงไม่มีใครรู้ใช่ไหมครับ?...แบบนี้ก็เหมือนผมเป็นคนเดียวที่รู้เลยสิ...ดีใจจังเลย”ปิณชาน์พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ร่าเริง
“ทำไมคุณถึงรู้เรื่องนี้?!”ผมจ้องหน้าเขาเขม็งก่อนจะถามออกไปด้วยน้ำเสียงร้อนรน
“งั้นเรามาเล่นเกมส์กันไหม?...ถ้าผมบอกผิดแม้แต่ครั้งเดียวผมจะยอมบอกว่าผมรู้ได้ยังไง?”ปิณชาน์ถามด้วยน้ำเสียงที่นึกสนุกและแววตาที่เป็นประกาย
“ทำไมผมต้องเล่นด้วย?...มันไม่จำเป็นสักนิด”ผบอกออกไปตามตรง
ทำไมผมต้องมาทำตามที่เด็กคนนึงสั่งด้วยล่ะ
ฝันไปเถอะ!!
“งั้นก็ไม่เป็นไร...พี่คุณก็แค่ไม่รู้ต่อไปเท่านั้นเอง”ปิณชาน์บอกด้วยน้ำเสียงสบายๆ
“ห้ามเรียกชื่อนั้นนะ!!”ผมตะโกนขึ้นทันที
ชื่อน่าอายนั่นผมไม่ต้องการให้ใครรู้และเรียกทั้งนั้น...โดยเฉพาะกับเด็กที่พึ่งรู้จักกันแบบนี้
“ถ้างั้นก็มาเล่นเกมส์กัน...ไม่งั้นผมจะเรียกแบบนี้ทุกวันเลย”ปิณชาน์บอกเบาๆก่อนจะขยับหน้าเข้ามาใกล้ๆผม
ทำไมผมรู้สึกว่าตัวเองถูกต้อนอยู่ได้ละเนี่ย
นี่ผมไม่มีทางเลือกแล้วใช่ไหม?
“...ก็ได้...ว่ามาสิ”ผมเม้มปากแน่นก่อนจะเอ่ยออกไปเสียงเบา
“ผมจะพูดข้อมูลของพี่คุณวันละ1อย่างถ้าวันไหนผมตอบผิดผมจะบอกว่าผมรู้เรื่องนี้ได้ยังไง”ปิณชาน์พูดขึ้นทันดีด้วยแววตาที่เป็นประกายเหมือนกำลังมีความสุขอยู่เลย
“แล้วจะรู้ได้ยังไงล่ะ...ไม่แน่นะผมอาจจะโกหกคุณก็ได้”ผมถามออกไปตามตรง
เขาเอาอะไรมามั่นใจว่าผมจะไม่โกง
โดยเฉพาะเรื่องที่เขาพูดจะเป็นเรื่องของผม...ถ้าผมบอกว่าไม่จริงเขาก็แพ้แล้ว
“งั้นเริ่มตั้งแต่วันนี้เลย...ข้อแรก...พี่จะไม่โกหกเพราะพี่เป็นคนที่มีความสื่อสัตย์สูงมาก...ผมมั่นใจ...และอีกอย่างนึงคือ...ผมเชื่อใจพี่”ปิณชาน์บอกผมพร้อมรอยยิ้ม...
รอยยิ้มที่ดูมีความสุขมากเมื่อพูดถึงผม
ผมไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นทำไมเขาถึงได้มาเชื่อใจผมแบบนี้
แต่ข้อแรกที่เขาบอก...
มันเป็นความจริง
.............................................................................
สวัสดีคะ
มาต่อแล้วนะคะ
ความจริงจะมาต่อตั้งแต่เมื่อวานแต่เกิดมีธุระเข้ามากระทันหันน่ะคะ
ครั้งนี้เราจะเว้นวรรคให้สั้นลงแล้วนะคะ
มีอะไรสามารถติชมได้คะ
ตอนนี้ได้เปิดตัวพระเอกของเราแล้วนะคะ...มาดูกันต่อว่าความสัมพันธ์ของคู่นี้จะไปต่อในทิศทางไหน
ติดตามกันต่อในตอนหน้าด้วยนะคะ

ขอขอบคุณทุกๆคอมเม้นท์และทุกๆกำลังที่มีให้นะคะ...ทั้งคนที่ตามมาจากเรื่องก่อนและคนอ่านหน้าใหม่ด้วยนะ
ขอฝากเรื่องนี้ไว้ด้วยนะคะ
ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้านะ

nicedog
♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ