[ หลังสวนดอกท้อ ] บทส่งท้าย [The End] :: UPDATE 21.07.16 ::
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [ หลังสวนดอกท้อ ] บทส่งท้าย [The End] :: UPDATE 21.07.16 ::  (อ่าน 66972 ครั้ง)

ออฟไลน์ Natsukairi

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 46
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
    • Fanpage
***************************************************************************************

ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้



1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
 
***************************************************************************************






------------------------------------------------------------------------------------------



นิยายของ Natsukairi


เรื่องยาว
หลังสวนดอกท้อ






------------------------------------------------------------------------------------------






 

















ตัวละครหลัก




หย่งคัง (จางเฟยหลง)


คุณชายเล็กตระกูลจางผู้อ่อนแอ กลับเติบโตเป็นหนุ่มใหญ่มาด้วยความรัก

และความเอาใจใส่จาก หลี่ซื่อหลาง พี่ชายที่ไม่ได้เกี่ยวข้องทางสายเลือด

ความรักของครอบครัวที่กลับกลายเป็นความเสน่หาที่ไม่อาจห้ามใจ

เขาสัญญากับตนเองว่าจะไม่เป็นแค่น้องชาย เมื่อกลับมาเจอกันอีกครั้ง

หย่งคังจะเป็นที่พึ่งพาให้ซื่อหลางไปตลอดชีวิตเอง!





หลี่ซื่อหลาง

ชายขายน้ำเต้าหู้ผู้เปี่ยมไปด้วยความอ่อนโยน

เขาได้รับเลี้ยง หย่งคัง เป็นน้องเล็ก รักและดูแลมาตลอดสิบปี

หากวันหนึ่งทุกอยากกลับพังทลาย คนที่รักดั่งแก้วตาดวงใจกลายเป็นคนไกลไม่อาจเอื้อม

สัญญาที่เคยให้ไว้แต่ก่อน บัดนี้ไม่มีความหมาย?





------------------------------------------------------------------------------------------






ปฐมบท

หากรู้สึกเจ็บปวด คนเราก็มักจะร้องไห้

นั่นเป็นสัญชาตญาณทั่วไปของมนุษย์

อย่างตอนที่ลืมตาดูโลกเป็นครั้งแรก เหนือสิ่งอื่นใดทารกก็จะแผดเสียงร้องไห้จ้าให้ดังที่สุดเท่าที่จะดังได้ หรือแม้นยามที่ร่างกายเป็นแผล ยามที่จิตใจบอบช้ำ คนเราก็จะหาทางระบายความเจ็บปวดเหล่านั้น อย่างเช่นร้องไห้ออกมา เห็นหรือไม่ว่าร้องไห้น่ะเป็นเรื่องธรรมดาสามัญมาก



แต่คงไม่ใช่สำหรับ จางเฟยหลง

แม้อยู่ในวัยเพียงห้าปีเศษ แต่สามัญสำนึกคิดกลับไม่เหมือนเด็กคนอื่นๆ ที่อยู่ในวัยเดียวกัน

เวลาเจ็บปวด ก็ห้ามร้องไห้

ถึงถูกถีบจนล้ม ตบหน้าหัน แม้เสียงร้องสักแอะยังไม่เล็ดรอดหลุดจากปาก

…เปล่าเลย จางเฟยหลงไม่ได้เข้มแข็งหรือเก่งกาจเกินเด็กมาจากไหนหรอก แต่เด็กชายเรียนรู้อยู่อย่างหนึ่งว่าทุกครั้งที่ ซูเม่ย มารดาที่ให้กำเนิดกำลังด่าทอหรือทุบตีเขา หากร้องไห้ รังแต่จะทำให้เจ็บตัวกว่าเก่า อาจถึงขั้นใช้อุปกรณ์อื่นทำร้ายร่วมด้วย เท่านี้เนื้อตัวของเขาก็แตกเลือดซิบจนไม่หลงเหลือที่ว่างแล้ว

ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุประการใด ย่อมไม่ได้มีเพียงมารดาเท่านั้นที่จงเกลียดจงชังเขา

จางเฟยฉี และจางเฟยเจิน พี่ชายฝาแฝดสายเลือดเดียวกันที่เกิดก่อนเด็กชายเพียงสองปี พวกพี่ๆ มักจะหาโอกาศดีๆ ในการกลั่นแกล้งเขาได้เสมอ ยามที่เขารวบรวมความกล้าโต้ตอบ น่าแปลกใจที่ทุกครั้งจางเฟยหลงจะเป็นฝ่ายผิดและถูกลงโทษ 

แม้กระทั่ง เลี่ยงหวง บิดาผู้บังเกิดเกล้ายังเพิกเฉยต่อการกระทำเหล่านั้น เอาหูเอานา เอาตาไปไร่ ราวกับลูกชายคนสุดท้องผู้ไม่ได้ดั่งใจเป็นแค่อากาศธาตุ ไม่สามารถฝากความหวังของตระกูลจางได้

ยิ่งเมื่อตระกูลจางเป็นคู่ค้าขายรายสำคัญของวังหลวง ตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษที่ยึดอาชีพการส่งออกผักผลไม้เป็นธุรกิจหลักหล่อเลี้ยงทุกคนในครอบครัว มีไร่ผลผลิตกว้างใหญ่ไพศาลอยู่แถบเขตชายแดน ไกลออกไปหลายพันลี้ เป็นสถานที่ที่อบอวลไปด้วยกลิ่นดินกลิ่นหญ้า แสงแดดและทิวทัศน์ธรรมชาติที่ไม่สามารถหาดูได้จากในเมืองหลวง

แต่นั่นคงไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอันใดกับจางเฟยหลง

เด็กหนุ่มผู้ถูกทอดทิ้งให้อยู่แต่ในเรือนเล็กเก่าๆ โทรมๆ ด้านหลังสวนดอกท้อ เขาไม่ได้รับอนุญาติให้เข้าเรือนใหญ่ด้วยซ้ำ  หากไม่ได้ขอนางซูเม่ยเสียก่อน

แม้ยังเด็ก จางเฟยหลงก็รู้ว่าตนเป็นคนที่ครอบครัวไม่รัก

และเพราะยังเด็ก จึงไม่อาจเข้าใจว่าทำไมถึงได้ไม่มีคนรักเช่นนี้…


-------------------------------------------------------------


“เฟยหลง!”

เสียงฝีเท้าตึงตังดังจากทางเดินจนหยุดลงที่หน้าบานประตูเก่า ผู้มาเยือนยามวิกาลกระแทกประตูเปิดออกอย่างแรงจนบานพับหัก เงาร่างสะโอดสะองสืบเท้าเข้ามาใกล้

เพียะ!

คราวนี้จางเฟยหลงถึงกับตื่นเต็มตัว ร่างเล็กกระเด็นตกจากเตียงด้วยแรงตบฉาดเข้าที่ใบหน้า

“เจ้าเป็นคนเอา เจ้าสิ่งนี้ ไปไว้บนเตียงข้าใช่มั้ย!”

ยิ่งพูด นางซูเม่ยก็ยิ่งเลือดขึ้นหน้า ไม่รอฟังคำแก้ตัวจากลูกคนเล็ก ลงมือฟาดเอาๆ จนอีกฝ่ายแนบศีรษะลงกับพื้นสกปรกขอร้องไม่ให้ลงมือต่อ แม้จะไม่มีเสียงร้องไห้ แต่ร่างที่สั่นงกๆ แสดงให้เห็นว่ายอมทุกอย่างแล้ว

“ท…ท่านแม่…ลูกทำอะไรผิด…”

“เจ้ากล้าดียังไง! หา!” นางซูเม่ยขยำกลุ่มเส้นผมดำของร่างเล็กที่หมอบลงแทบเท้านาง “เจ้าวางแผนแอบย่องเข้าเรือนใหญ่เพื่อล้างแค้นข้าใช่หรือไม่!”

“…ท่านแม่…ข้าไม่ได้ทำอะไร”

“อย่ามาไขสือ!”

นิ้วเรียวจิกหนังศีรษะอีกฝ่ายจนเลือดซิบ สีหน้าเจ็บปวดของจางเฟยหลงไม่ได้บรรเทาความโกรธแค้นเคืองของนางลงได้

“หลักฐานเห็นอยู่ทนโท่!”

“ข้าไม่ได้ทำอะไรจริงๆ ท่านแม่ โปรดเมตตาลูกด้วย”

“ยังมีหน้ามาขอความเมตตาจากข้าอีก! ไอลูกทรพี!”

ว่าแล้วก็ตบอีกสักฉาด “เจ้าเอาซากกระต่ายบ้านี่ไปไว้ใต้หมอนข้าทำไม!”

เหมือนได้ยินเสียงระเบิดในหัว จางเฟยหลงเงยหน้าขึ้น ปรับสายตาให้ชินกับความมืดเพราะห้องไม่ได้จุดตะเกียง

 “ท่านแม่…ท่านหมายความอย่างว่าไร?”

ตุบ

“ผลงานของเจ้าไม่ใช่หรือ! ดูเสียให้เต็มตา!”

มารดาโยนบางอย่างลงตรงหน้าเด็กหนุ่ม เขาเพ่งมองและคลำมันด้วยใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะ ภาวนาไม่ให้เป็นอย่างที่คิด มือไม้ยังคงสั่นระริก  หากไม่ฟั่นเฟืองจนเกินไป จางเฟยหลงจำได้ดีว่า เจ้าสิ่งนี้ มันคืออะไร

“…กระต่ายผิงผิงของข้า” …ไม่หายใจแล้ว

“เจ้าเด็กใจอัปลักษณ์! เจ้ากล้ามากที่เอามันมาแกล้งข้า!”

ทั้งฝ่ามือและเท้าระดมโถมใส่คนตัวเล็กที่กอดร่างกระต่ายไร้วิญญาณไว้ในอ้อมอกแน่น แม้ตนจะล้มตึงลงไปกับพื้นให้มารดาทุบตีสมใจ เจ้าตัวก็ยังขดเป็นก้อนกลมไม่ให้สะเทือนถึงสิ่งไร้ชีวิตที่ต้องการจะปกป้อง

เห็นแบบนี้ นางซูเม่ยจึงถือโอกาสระบายอารมณ์ที่สามีไม่ค่อยกลับเรือน บวกกับความเครียดเล็กๆ น้อยๆ ที่สะสมมาเมื่อสองสามอาทิตย์ก่อนใส่เด็กหนุ่มตรงหน้าจนสาแก่ใจ

“พอ…พอเถิด ท่านแม่” กระทั่งเลือดไหลออกปาก จางเฟยหลงถึงได้เอ่ยเสียงแผ่ว “ข้า…เจ็บ ได้โปรดพอเถิด”

“เจ้าจะทำแบบนี้อีกหรือไม่!”

ข้าไม่ได้ทำอะไร ผิงผิงของข้า…

“ตอบข้ามาสิ!”

“…ไม่ทำ ข้าไม่ทำแล้วท่านแม่ เมตตาลูกด้วย”

“หึ!”
นางซูเม่ยกระแทกฝ่าเท้าอย่างแรงที่กลางลำตัว กระชากหัวเด็กหนุ่มกระแทกกับพื้นครั้งสุดท้ายด้วยสีหน้าเหี้ยมเกรียม

“อย่าให้ข้าโมโหอีกนะ เว้นเสียแต่เจ้าอยากจะมีสภาพเหมือนกับกระต่ายอัปลักษณ์นี่!”

มารดาจากไปไม่แม้จะเหลียวกลับมามอง ลมหายใจของร่างเล็กที่แน่นิ่งกับพื้นช่างอ่อนโรยริน เด็กหนุ่มพยายามกอบโกยอากาศหายใจ

...อากาศที่คละคลุ้งไปด้วยกลิ่นคาวเลือดทั้งจากกระต่ายผิงผิงและตัวเขาเอง



-------------------------------------------------------------




บ่ายนี้ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องจางเฟยหลงเลยแม้กระทั่งน้ำเปล่า

สาวใช้ที่ปกติจะนำถาดอาหารมาให้เขาอย่างตรงเวลาทุกสามมื้อ วันนี้กลับหายไป เมื่อไม่ได้กินข้าว ซ้ำร้ายตัวยังร้อนเหมือนไฟเผา รอยแผลจากเหตุการณ์เมื่อคืนอักเสบน่ากลัว เด็กหนุ่มไม่มีแรงจะลุกจากเตียงด้วยซ้ำ ขนาดร่างไร้วิญญาณกระต่ายผิงผิงที่เริ่มส่งกลิ่น เขายังไม่อาจพามันไปฝังไว้หลังสวนดอกท้อได้อย่างที่ใจหวังเลย

ขอโทษนะผิงผิง เรามันใช้ไม่ได้ เป็นเจ้าของที่แย่…

จางเฟยหลงได้แต่นอนโทษตัวเอง

เด็กหนุ่มรู้ดีว่าหากไม่ใช่เพราะตนแข็งข้อไม่ยอมยกสัตว์เลี้ยงให้จางเฟยฉีและจางเฟยเจิน พี่ชายฝาแฝดของเขาโยนเล่นต่างลูกบอลดีๆ เมื่อวันก่อนนู่น  บางทีชะตากรรมของผิงผิงอาจไม่จบลงแบบนี้ก็ได้

บางที พี่ชายทั้งสองคงไม่เอากระต่ายผิงผิงของเขาไปฆ่า แล้วแอบเอาไปไว้ใต้หมอนของมารดา

บางที  มารดาอาจไม่โมโหจนเข้ามาถึงเรือนเล็กที่นางว่าสกปรกนักหนาเพื่อทุบตีเขาอย่างรุนแรง

ถึงอย่างนั้น เด็กหนุ่มก็ไม่สามารถทนเห็นสัตว์เลี้ยงของตนเป็นลูกบอลให้ใครเล่นสนุกอยู่ดี

หรือบางที…ตายอาจจะดีกว่าอยู่อย่างทรมานกันนะ….




-------------------------------------------------------------






Talk : สวัสดีค่าาาา สมาชิกใหม่รายงานตัว Natsukairi เองจ้า!
อ่านว่า นัท ซึ ไค ริ นะตัวเอง!
วันนี้ขอมาเปิดเรื่องใหม่แนวจีนโบราณที่เพิ่งแต่งสดๆ ร้อนๆ
แนวดร่ามา ชีวิตแสนรันทด พ่อแม่ไม่ฮัก คนรักยังไม่ปรากฏตัว ฮ่า!
แล้วใครพระเอกนายเอกกันล่ะนี่ เรื่องมันเป็นมายังไง
จะจบสวยไม่สวยอันนี้มารออ่านตอนต่อไปดีกว่าเนอะ
ยังไงก็ฝากเรื่อง หลังสวนดอกท้อ ด้วยนะคะ!
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-08-2017 08:59:01 โดย Natsukairi »

ออฟไลน์ Pinkish

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 39
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
Re: [ หลังสวนดอกท้อ] ปฐมบท
«ตอบ #1 เมื่อ20-06-2015 19:53:35 »

เปิดเรื่องมารันทดแท้ นายเอก  :เฮ้อ:

รอติดตามนะคะ  o13

ออฟไลน์ boboman

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-2
สงสารทั้งเฟยหลงและกระต่ายเลยอ่า T^T
รอตอนต่อปาย~

ออฟไลน์ BlueCherries

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4060
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +159/-17
 :z3: น้องต่าย

ออฟไลน์ ycrazy

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 461
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-1
  :z3:

ออฟไลน์ Natsukairi

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 46
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
    • Fanpage
** ก่อนอื่นขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่ติดตามนะค่าาาา **






ดอกท้อที่ ๑


จางเฟยหลงในวัยแปดขวบกำลังนั่งกอดเข่าตัวเองเงียบๆ บนชานเรือนเล็ก

เหงา…

แต่ก็ทำได้แค่เงี่ยหูแอบฟังเด็กคนอื่นๆ ในละแวกเล่นสนุกกันอยู่ข้างนอกกำแพงสวนดอกท้อแห่งนี้ แม้แท้จริงอยากออกไปเล่นด้วยใจจะขาด หากเด็กหนุ่มไม่ได้รับอนุญาตให้ออกจากเขตรั้วกั้นของบ้านตระกูลจางนับตั้งแต่จำความได้ ตอนนี้ก็เช่นกัน กฏข้อนั้นกำหนดไว้สำหรับเขาโดยเฉพาะ

“ส่งมาทางนี้สิเว้ย!”

“พี่ลี่ถิง! ส่งมาทางข้าเร็ว!”

“หึ่ย! เจ้าก็อย่าขวางทางข้าสิ”

ท่าทางสนุกสนานกันใหญ่เชียว ถึงไม่ได้เล่น แต่คนฟังก็นั่งวิเคราะห์แยกแยะเสียงตะโกนและเสียงฝีเท้าเล่นๆ ดู เดาว่าคงมีจำนวนคนอยู่ประมาณสามสี่คนกระมัง

เฟี้ยววว ตุบ

จางเฟยหลงสะดุ้งเล็กน้อย ลูกบอลไม้สานสภาพบ่งบอกอายุการใช้งานยาวนานกลิ้งหลุนๆ ตกลงที่พื้นสนามสวนดอกท้อ ห่างจากตำแหน่งชานเรือนที่เขานั่งอยู่ไม่เท่าไหร่ เสียงถกเถียงดังขึ้นหลังจากนั้น

“ไอหยา! ลูกบอลข้า” น้ำเสียงสั่นระริก

“ทีนี้ใครจะเข้าไปเก็บลูกบอล?”

“หยงเทียน ลูกบอลเจ้า เจ้าไปสิ!”

“เรื่อง!” คนโดนโบ้ยแหวลั่น “ยัยป้าตระกูลนี้ดุเสียยิ่งกว่า เจ้าสำลี เป็นไหนๆ เรื่องอะไรข้าจะเข้าไปให้นางเล่นงาน?”

คนฟังจากอีกด้านของกำแพงกั้นสวนไม่อาจคาดเดาได้ว่า เจ้าสำลี ที่คนผู้นั้นพูดถึงคืออะไร แต่เดาว่าคงไม่ใช่อะไรที่สามารถพูดคุยกันรู้เรื่องเป็นแน่

“งั้นเอางีั้ พี่ลี่ถิง ในฐานะที่ท่านอายุมากสุด…”

“เกี่ยวอันใดกัน!” อีกคนก็ปฏิเสธทันควัน ไม่เปิดโอกาสให้ฝ่ายพูดสานต่อจุดประสงค์

“ข้ายังพูดไม่จบ! เถอะ ข้าก็ไม่เข้าไปนะ บอกเลย”

“แต่เจ้าเป็นคนเตะเข้าไปไม่ใช่หรือ น้องตงตง” ลี่ถิง ผู้ที่อายุมากสุดในกลุ่มได้โอกาสยิ้มเยาะ ฝ่ายโดนแหย่มองขวับตาเขียว

“ลองเรียกข้าแบบนั้นอีกทีสิ!” 

“โธ่ๆ น้องฟานตง เจ้าเป็นญาติผู้น้องที่แสนกล้าหาญของข้า ดูหน้าหยงเทียนมันด้วย จะร้องไห้ขี้มูกโป่งแย่แล้ว”

หยงเทียนที่ได้ยินเช่นนั้นก็เล่นละครตามที่พี่ลี่ถิงกล่าวพรรณามา ขอคาราวะพี่ใหญ่ ท่านช่างปัญญาประเสริฐหาใดเปรียบ หยงเทียนรำพึงรำพันกับตัวเองเงียบๆ ในใจ แสร้งทำหน้าเหยเกจะร้องไห้เสียสมจริง ฟานตงถึงขนาดยอมถอนหายใจเฮือกใหญ่ ปากพร่ำบ่นไม่หยุด

“ทีอย่างนี้ล่ะมานับญาติกับข้านะ! แล้วเจ้าก็ไม่ต้องร้องไห้ด้วย! หยงเทียน! หน้าตาตอนเจ้าร้องไห้ทำข้าสะอิดสสะเอียนดีแท้ มิหนำซ้ำตัวเจ้าก็ใหญ่กว่าข้า หมาเลียตูดไม่ถึงแล้วยังจะมา…หึ่ย! เออ! ข้าเก็บเองก็ได้!”

สูดลมหายใจฟืดฟาดราวกับอารมณ์เสียมาแต่ชาติปางก่อน ฟาดงวงฟาดงาไปทั่วขณะที่คนจากอีกฟากของกำแพงมองเห็นเค้าเงารางๆ ของเด็กชายแปลกหน้าที่กำลังปีนกำแพงรั้วอย่างทุลักทุเล

 “บ้าเอ้ย! กำแพงบัดซบนี่จะสูงไปเพื่อใคร!”

ดูเหมือนไม่ใช่คำถามที่อยากได้คำตอบเสียเท่าไหร่กระมัง…

“ฟานตง!”

“…พี่ซื่อหลาง!” คนปีนกำแพงชะงักราวถูกเสกเป็นหิน ก่อนตั้งสติได้ว่าตัวเองกำลังปีนกำแพงรั้วชาวบ้านต่อหน้าอีกฝ่ายอยู่ จึงได้รีบกระโดดตุบลงพื้นอย่างรู้งาน

“ข้า…เอ่อ…”

“พวกเจ้าสามคนเล่นอะไรกัน”

ผู้มาเยือนคนใหม่ซักถามเสียงเรียบ “ไหนบอกข้ามาสิ ฟานตง ลี่ถิง หยงเทียน พวกเจ้าดูแลกันอย่างไร ทำไมข้าถึงเห็นลูกลิงบางตัวขึ้นไปป่ายปีนบนกำแพงบ้านตระกูลจางได้”

“พี่ซื่อหลาง พวกข้าแค่จะเก็บลูกบอล” พี่ใหญ่ที่สุดในกลุ่มแก้ต่าง

“หืม?”

“จริงๆ นะพี่ซื่อหลาง ฟานตงเตะมันเข้าไปตกหลังกำแพงนี่” หยงเทียนเสริมหน้าซื่อตามนิสัย ดันลืมไปว่าได้ขุดหลุมฝังเพื่อนเสียแล้ว

“ข้าไม่ได้ตั้งใจเสียหน่อย!”

“เอาล่ะ ไม่ต้องเถียงกัน” หลี่ซื่อหลาง ยกมือห้ามทัพ “ต่อไปอย่าทำแบบนี้อีก มันถือเป็นการบุกรุก ไม่เพียงเจ้าที่เดือดร้อน แต่พ่อแม่ของเจ้าเองจะนั่งก้นไม่ติดที่ ทางที่ดีอย่าสร้างเรื่องปวดหัวให้พวกท่านจะดีกว่า”

ทั้งสามพยักหน้าพร้อมเพรียง รอยยิ้มละไมแต้มลงบนริมฝีปากคนที่ได้อบรมน้องๆ

“ดีมาก จำที่ข้าสอนไว้” หลี่ซื่อหลางในวัยสิบแปดปีตบบ่าเด็กชายปุๆ “เรื่องลูกบอล ปล่อยเป็นหน้าที่ข้าเอง”

“จริงหรือ!”

เห็นจะเป็นเจ้าของลูกบอลที่ดีใจเสียจนออกนอกหน้า “ท่านพี่ซื่อหลางผู้ประเสิรฐ!” ถึงจะตัวเตี้ยกว่าหลี่ซื่อหลางนัก แต่ด้วยร่างใหญ่โตเกินเด็กวัยสิบสองปีที่โถมใส่อย่างจังก็ทำเอาร่างโปร่งเซแซดๆ ดีที่เขายังตั้งรับทัน ไม่เช่นนั้นคงได้ลงไปจูบธรณีเป็นแน่

“เลิกกอดพี่ชายข้าได้แล้ว!”

ฟานตงแทบจะถีบยอดหน้าเจ้าซื่อบื้อที่บังอาจลวนลามพี่ชายของตน หากไม่ได้พี่ใหญ่ที่ตั้งตัวเป็นหัวโจกในกลุ่มอย่างลี่ถิงดึงไว้เสียก่อน

“ขาเจ้าสั้น อย่าพยายามเลย”

“…!”

ถึงขาข้าจะสั้น แต่กระโดดถีบหน้าเจ้าถึงแน่! เจ้าตัวเข่นเคี้ยวเขี้ยวฟันอย่างแค้นใจ ไม่อาจพูดอย่างใจคิด เหตุด้วยฟานตงไม่อยากพูดหยาบคายต่อหน้าซื่อหลาง พี่ชายของเขา

“ว่าแต่ท่านจะเข้าไปเอาลูกบอลอย่างไร พี่ซื่อหลาง” ลี่ถิงเอ่ยถาม

“ข้าก็แค่เดินไปเคาะประตูน่ะสิ”

“ใจกล้าดีแท้!”


-------------------------------------------------------------


ถึงจะพูดอย่างนั้นก็เถอะ

หากความประหม่าเล็กน้อยก็แสดงออกทางสายตาของหลี่ซื่อหลางอย่างปิดบังไม่อยู่

ชายหนุ่มร่างโปร่งผ่อนลมหายใจ สัญญาก็คือสัญญา คนเป็นพี่ชายไม่อยากทำให้น้องผิดหวัง ตัดสินใจคว้าห่วงเคาะประตูหัวสิงโต กระทบบานประตูไม้สักสีแดงสามครั้ง ดูเอาสิ แค่บานประตูรั้วบ้านยังยิ่งใหญ่เสียจนตัวเขาหดเล็กลงเหลือนิดเดียว

เพียงชั่วยามเดียว สาวใช้หน้าตาจิ้มลิ้มก็ปรากฏตัวขึ้น นางแง้มประตูออกเพียงเล็กน้อย แววตาใสซื่อมองผ่านทางช่องเล็กๆ อย่างพิจารณา

“มาหาใครเจ้าคะ?”

“สวัสดีแม่นางน้อย ตัวข้ามีนามว่าหลี่ซื่อหลาง น้องชายไม่ประสาของข้าเตะลูกบอลเข้าไปตกในอาณาเขตเรือนตระกูลจางเข้า จะเป็นไรหรือไม่หากข้าขอเข้าไปเก็บ”

สีหน้าลำบากใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าขาวใส “ข้าไม่ได้รับอนุญาตให้ปล่อยคนแปลกหน้าเข้าเขตเรือนเจ้าค่ะ”

“งั้นหรือ”

หลี่ซื่อหลางเม้มริมฝีปาก “ถ้าอย่างนั้น ลำบากเจ้าช่วยหยิบให้ข้าได้หรือไม่ แม่นางน้อย”

“แบบนั้นคงได้กระมังคะ” อีกฝ่ายพยักหน้า “น้องชายท่านทำตกไว้ที่ตำแหน่งกำแพงรั้วฟากใด ข้าจะได้ไปเก็บถูกเจ้าค่ะ”

“ฝั่งสวนลูกท้อน่ะ”

สาวใช้ชะงักเมื่อได้ยิน “น…แน่ใจหรือเจ้าคะ?”

“อืม”

“ข้า…” หลี่ซื่อหลางไม่อาจเข้าใจสีหน้ากระอักกระอ่วนของสาวใช้

“มีอะไรหรือ?”

“ข้าไม่แน่ใจ…”

“ไม่แน่ใจ?” คิ้วชายหนุ่มขมวดเข้าหากันเล็กน้อย “ลูกบอลตกอยู่ที่สวนดอกท้อจริงๆ นะแม่นาง ข้าไม่ได้หลอกลวงอันใด”

“…ข้าไม่ได้รับอนุญาตให้เดินเพ่นผ่านแถวสวนลูกท้อเช่นกันเจ้าค่ะ”

หะ? ช่างเป็นเรื่องที่สร้างความฉงนให้แก่หลี่ซื่อหลางนัก กฏระเบียบห้ามเดินไปนู่นไปนี่ในเรือนของคนใหญ่คนโตชักทำให้ชายหนุ่มปวดเศียรเวียนเกล้าเข้าไปทุกที

“แล้วข้าควรทำเช่นไร?”

“ข้าเกรงว่าต้องเรียนเรื่องถึงฮูหยินเจ้าค่ะ”

คงหมายถึง แม่นางซูเม่ย สินะ

หลี่ซื่อหลางไม่ต้องการให้เรื่องใหญ่โต สุดท้ายจึงตัดใจเดินกลับบ้านมือเปล่า เอ่ยบอกตามความจริงกับน้องๆ สังเกตจากสีหน้าที่แสดงออกอย่างชัดเจนว่าผิดหวัง ยิ่งตอกย้ำความใช้ไม่ได้ของตัวเขา แม้ไม่มีใครกล่าวโทษ ชายหนุ่มก็รู้สึกได้!

“ข้าขอโทษนะ หยงเทียน”

“ไม่เป็นไรหรอกพี่ซื่อหลาง ก็แค่ลูกบอลลูกเดียว…”

“อย่าทำหน้าแบบนี้สิ เอาไว้ข้าซื้อลูกใหม่ให้ดีหรือไม่”

“ข้าไม่เป็นไร”

หยงเทียนพูดด้วยสีหน้าจะร้องไห้ ปากบอกไม่เป็นไรแต่ตัวสั่นจากแรงสะอื้น

แบบนี้จะให้เขาไม่รู้สึกผิดยังไงไหว?

จังหวะนั้น ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าฝ่ามือฟานตงจะตบฉาดเข้าที่หัวเพื่อนตัวใหญ่ชนิดไม่ยั้งมือดัง ผัวะ!



ทุกคนเงียบกริบ

“ข้าเจ็บนะ!” คนเจ็บตัวได้สติก่อน ตวัดตาแดงๆ มองค้อนฟานตง “เจ้าเป็นบ้าอะไรมาตบหัวข้าเนี่ย อยากตบก็ตบหัวตัวเองสิ!”

“งั้นข้าก็เจ็บน่ะสิ” ฟานตงยิ้มเผล่ ขยี้ผมสีน้ำตาลอ่อนของหยงเทียนแรงๆ “เลิกบีบน้ำตาได้แล้ว! มันไม่เข้ากับเจ้า พี่ซื่อหลางก็บอกแล้วไงว่าจะซื้อให้ใหม่ ไม่ดีหรืออย่างไร”

“ก็ดี…”

“ข้าไม่ได้ยิน” คนชอบแกล้งตีหน้าซื่อ

“ข้าบอกก็ดี!”

“พี่ชายข้าจะซื้อของให้ เจ้าบอกแค่ว่า ก็ดี เองเหรอ!”

“ประเสริฐอยู่แล้ว! ข้ารักพี่ซื่อหลาง”

ฟานตงทำหน้าตาดุเดือด “ข้าไม่ยกพี่ชายให้เจ้า!”

“เรื่อง! ไม่ใช่หน้าที่เจ้ามาตัดสิน”

เห็นเด็กต่างไซส์ทะเลาะกัน หลี่ซื่อหลางจึงรีบออกตัวห้ามทัพ “ฟานตง เจ้าก็เลิกแหย่หยงเทียนเสียที”

ด้านลี่ถิงเอาแต่นั่งทำขรึม หากกำลังพยายามกลั้นหัวเราะจนหน้าแดง เด็กหนุ่มร่างยักษ์วัยสิบสองปีอาจดูซื่อบื้อโดยกำเนิด แต่ก็ไม่โง่จนมองไม่ออกว่าสถานการณ์เช่นนี้ช่างน่าขันนักสำหรับลี่ถิง

“ถ้าท่านอยากหัวเราะก็หัวเราะเถอะ กลั้นไว้ รังแต่จะทรมาน” หยงเทียนมีสีหน้าปลงตก

กระนั้นแล้ว เสียงหัวเราะของหลี่ซื่อหลางและลี่ถิงก็ดังขึ้นพร้อมกัน ถึงแม้หยงเทียนจะซื่อจนถึงขั้นบื้อ และฟานตงก็ขวานผ่าซากชนิดเป็นเอามาก

แต่ดูจากผลลัพธ์ที่ได้

ชายหนุ่มคาดว่าหยงเทียนคงไม่เศร้าเรื่องลูกบอลอีกต่อไป



-------------------------------------------------------------






To be continued...








Talk : ไม่อยากให้ดราม่าเกินไป คนเขียนเองก็ชักจะสงสารเฟยหลงซะแล้ว
ตอนนี้ตัวละครสร้างสีสันเริ่มเข้ามาแล้วนะคะ นิยายเบาเบาค่ะ เบาสมอง (ฮา)
อ่านแล้วมาแชร์ความคิดเห็นกันนะคะ นักเขียนเห็นแล้วมีแรงฮึดปั่นหน้ามืดเลยค่ะ!
รอติดตามตอนต่อไปด้วยนะค่าาาาา

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-08-2016 16:16:27 โดย Natsukairi »

ออฟไลน์ boboman

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-2
หลี่ซื่อหลางเป็นพระเอกเปล่า?
ฟานตงกับหยงเทียน คู่นี้นี่น่าคิดนะ 555  :hao6:
รอตอนต่อไปค่า
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-06-2015 21:18:14 โดย boboman »

ออฟไลน์ bmbeii

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 9
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ชอบแนวนี้มาก เป็นกำลังใจให้นะคะ

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
น้ำตาจิไหล มามะ มาให้พี่กอดปลอบใจนะเฟยหลง

ปล. คำว่าเด็กหนุ่มไม่ค่อยเหมาะกับเด็ก 5 หรือ 8 ขวบนะ ใช้เด็กน้อย หรือเด็กชายน่าจะดีกว่า
ตอนอ่านเจอครั้งแรกนึกว่าเฟยหลงอายุ 15

ออฟไลน์ Paper Doll

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 7
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
มันมาม่ามากเลย จะจบสวยไหม
จะได้ทำใจไว้ก่อน  :hao5:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Sugar_Halloween

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 67
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
ดราม่าระทมจิต ติดตามงับ o7

ออฟไลน์ Ellette

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 155
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +194/-4
เข้ามาเพราะเห็นชื่อกับนิยายแนวนี้ด้วย ถูกใจมากกก :katai2-1:

ออฟไลน์ Natsukairi

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 46
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
    • Fanpage
**ขอบคุณทุกความคิดเห็นและกำลังใจค่าาา**




ดอกท้อที่ ๒




พระอาทิตย์เริ่มตกดิน แววตากลมใสยังจดจ้องอยู่ที่ลูกบอลไม้สานมาหลายชั่วยามแล้ว

รอแล้วรอเล่า ถึงอย่างนั้นก็ไร้วี่แววของผู้เป็นเจ้าของ จากตอนแรกที่ทำท่าจะปีนข้ามกำแพงมา ใจของจางเฟยหลงเกิดอาการเต้นไม่เป็นจังหวะ เพราะไม่เคยเจอคนแปลกหน้า ทั้งตกใจ ดีใจ แล้วก็ประหลาดใจในเวลาเดียวกัน หากทุกอย่างกลับสลายวับไปเมื่อใครบางคนสั่งให้เด็กชายที่ปีนกำแพงปีนกลับลงมา

เกือบได้เจอเพื่อนใหม่แล้วแท้ๆ

ความเศร้าฉายแววในดวงตากลม การเจอคนใหม่ๆ นับเป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดาสำหรับจางเฟยหลง เพราะวันๆ เขาได้แต่เก็บตัวในเรือนเล็ก ไม่มีใครพูดหรือเล่นกับเด็กชาย ยกเว้นพี่ชายฝาแฝดที่แวะเวียนมาแกล้งเขาบ้างเท่านั้น

นั่นไม่นับเป็นเรื่องยินดีสำหรับเขาเท่าไหร่นัก

เสียงท้องร้องโครกครากดังขึ้นเรียกสติ จางเฟยหลงเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าไม่ได้ทานอะไรตั้งแต่บ่าย สาวใช้มักจะนำถาดอาหารมาให้เขาไม่เป็นเวลาแล้ว มาบ้างไม่มาบ้าง แต่เด็กชายไม่สามารถเอาเรื่องนี้ไปอุทธรณ์กับใครได้ ไม่ต้องพูดถึงมารดาที่ไม่เคยเหลียวแลเขาเลย

หากไม่รัก อย่างน้อยก็เห็นเขาเป็นลูกบ้างก็ยังดี

นางซูเม่ยจะเข้ามาหาเด็กชายถึงเรือนเล็กก็ต่อเมื่อมีเรื่องให้ต้องใช้กำลังเท่านั้น เขาเรียนรู้แล้วว่าไม่ควรต่อต้าน รอยแผลเป็นตามเนื้อตามตัวคอยย้ำเตือนให้จางเฟยหลงอยู่อย่างสมยอมมาตลอดเวลาแปดปี

“คุณชายเล็ก”

เสียงเรียกดังขึ้นจากทางด้านหลัง สาวใช้นำถาดอาหารวางลงกับโต๊ะเตี้ยกลางห้อง

“กลับเข้ามาข้างในเถิดเจ้าคะ เปิดประตูเรือนไว้เสียกว้าง นั่งตากลมเย็นนานๆ จะทำให้ไม่สบายเอา เกรงฮูหยินผ่านมาเห็นเข้าจะหาว่าดิฉันดูแลคุณชายเล็กไม่ดี”

“อืม”

ร่างเล็กตอบรับในลำคอ แต่สายตายังมองตรงไปที่สวนดอกท้ออย่างเหม่อลอย

“สวนดอกท้อมีอะไรน่าสนใจหรือเจ้าคะ”

“เปล่าหรอก” ร่างเล็กลุกจากชานเรือนเข้าไปด้านใน ไม่ลืมปิดประตูให้มิดชิดตามคำบอก ก่อนทิ้งตัวนั่งลงตรงหน้าถาดอาหารเย็นที่สาวใช้เอามาให้ เด็กชายก้มหน้าก้มตากินอาหารหน้าตาธรรมดาเย็นชืดอย่างไม่ปริปากบ่น กระทั่งกินเสร็จสาวใช้ก็นำถาดอาหารออกไปพร้อมกับนาง

เรือนเล็กกลับมาเงียบเหงาเหมือนเดิม

เสียงถอนหายใจเล็ดลอดออกจากปากเล็ก เจ้าตัวเปลี่ยนมานอนคุดคู้เป็นก้อนกลมตรงพื้นปูนเย็นเชียบ ยังดีที่อยู่ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ หากในฤดูหนาวคงต้องทรมานกว่านี้เป็นแน่ ผ้าปูเตียงเก่าๆ โทรมๆ ไม่ช่วยบรรเทาความเย็นเยียบถึงกระดูก ได้แต่หวังว่ามารดาจะนึกสงสารเขาบ้างก็เท่านั้น

หากตลอดแปดปีที่ผ่านมา ทำให้จางเฟยหลงเลิกหวังลมๆ แล้งๆ ไปนานแล้ว

คิดในแง่ดี อย่างน้อยๆ มื้อนี้เขาก็กินอิ่ม และไม่มีวี่แววของมารดาจะมาทำร้ายเขาในค่ำคืนนี้

…แต่จางเฟยหลงกำลังคิดผิดถนัด…



-------------------------------------------------------------



น้ำเย็นถูกสาดลงบนร่างที่นอนขดอยู่ใต้ผ้าห่มผืนเก่า เจ้าของร่างเล็กดีดตัวลุกจากเตียงที่มีสภาพเปียกโชกไม่ต่างอะไรกับเสื้อผ้าที่เขาสวมอยู่นัก

“อ้าว! ข้าไม่ทันเห็นว่าเจ้านอนอยู่” เสียงหัวเราะคิกคักทำให้จางเฟยหลงตาสว่าง “น้ำถูพื้นเรือนใหญ่สดชื่นดีหรือไม่”

มองออกไปนอกหน้าต่าง ฟ้ายังมืดอยู่เลย แสดงให้เห็นว่าคืนนี้ของเด็กชายไม่สงบสุขเหมือนอย่างเคย น้องเล็กย่นจมูกเมื่อรู้แจ้งถึงกลิ่นไม่พึงประสงค์รอบๆ ตัวเขา เกรงว่าน้ำที่สาดลงมาจะเป็นน้ำถูพื้นอย่างที่อีกฝ่ายกล่าวมาไม่ได้เกินความเป็นจริงแต่อย่างใด

“พวกข้านอนไม่หลับ มาเป็นของเล่นให้ทีสิ”

จางเฟยฉี แฝดคนพี่กระชากร่างเล็กที่นั่งเงียบไม่หือไม่อือลงจากเตียง

เขาที่อายุมากกว่าสองปีจึงมีร่างกายที่แข็งแรงกว่า ผนวกกับได้กินอิ่มนอนหลับ และฝึกฝนร่างกายอยู่สม่ำเสมอ ต่างจากลูกคนเล็กในบ้านที่ข้าวก็กินไม่ครบมื้อ แถมมารดาก็ไม่ส่งไปร่ำเรียนเขียนอ่าน เสาะหาอาจารย์ช่วยฝึกฝนวิทยายุทธิ์เสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรงอย่างเด็กชายทั่วไป ความเป็นลูกผู้ชายที่เกิดมาช่างเสียเปล่าซะเหลือเกิน!

“พี่ใหญ่…อย่าทำอะไรข้าเลย”

“ของเล่นไม่มีสิทธิ์พูด!” จางเฟยเจิน แฝดคนน้องตบปากเด็กชายจนเลือดซิบ

ไม่มีเสียงร้องแม้แต่แอะเดียวจากจางเฟยหลง

พี่น้องฝาแฝดตระกูลจางเห็นข้อดีของมันตรงนี้ ถึงได้รุมกระทืบได้อย่างสมอารมณ์หมายโดยไม่ต้องกลัวว่าอีกฝ่ายจะร้องไห้คร่ำครวญปานใจจะขาด แบกหน้าฟกช่ำไปเรียกร้องขอความเห็นใจจากใคร มีก็เพียงเสียงสูดลมหายใจและเสียงโอ้ยเล็กๆ น้อยๆ ในบ้างครั้งเท่านั้น

“ข้าเจ็บ!”

ถึงจุดๆ หนึ่งที่จางเฟยหลงทนความเจ็บไม่ไหว เด็กชายจึงรวบขาข้างหนึ่งของจางเฟยฉีไว้แน่น เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน “หยุดกระทืบเถิด ข้าทุกอย่างยอมแล้ว”

“ปล่อยสิวะ!”

จางเฟยฉีสะบัดขาข้างที่ถูกจับไว้รุนแรง แต่อีกฝ่ายกลับโถมตัวรัดเสียแน่นไม่ยอมปล่อย หางคิ้วแฝดคนพี่กระตุกรัวด้วยความโมโห

“จะไม่ปล่อยดีๆ หรือไม่!”

“กระทืบมันเลยพี่ใหญ่!”

จางเฟยเจินกล่าวสมทบ ช่วยกระทืบแขนที่กอดขาแฝดผู้พี่อย่างนึกสนุก นี่แน่ะ! นี่แน่ะ! แขนหักไปซะ คิดวางแผนจะทำให้ร่างเล็กเจ็บสาหัส ไม่สนใจเลือดที่ไหลซึมจากปากคนตรงพื้น

“อ้ากกกกก!”

หาใช่เสียงร้องของจางเฟยหลง แต่เป็นจางเฟยเจินที่ถูกเด็กชายตัวเล็กงับเข้าให้ที่ปลายเท้า ขณะตนใช้มันบดขยี้แขนซ้ายเล็กๆ กับพื้นอย่างสนุกสนาน นับเป็นเรื่องไม่คาดคิดสำหรับคนที่เข้าใจว่าคนระดับล่างอย่างน้องเล็กไม่มีปัญญาความสามารถจะเอาคืนอะไรตนได้!

“เจ้ากล้ากัดข้าหรือ ไอลูกขี้ข้า!”

ตวัดขาเข้าที่ใบหน้าเด็กชายจนสะบัดขวับไปตามแรงถีบ ร่างเล็กกระเด็นหลุดจากการเกาะขาจางเฝยฉีอย่างช่วยไม่ได้

“กล้าดียังไงมากัดข้า!”

เดินตามไปกระทืบซ้ำให้หายแค้นเคือง แฝดผู้พี่ช่วยกระชากกลุ่มผมสีดำให้เงยหน้าขึ้น รุมตบเสียจนแก้มบวมช่ำเป็นสีม่วง

“ยังจะกล้าอีกมั้ย! ยังกล้าอีกหรือเปล่า! ตอบข้ามาว่าเจ้าจะกล้าหือกับพวกข้าอีกหรือไม่!”

“ม…ไม่…แล้ว”

เสียงแผ่วเบาเอ่ยอย่างสั่นๆ ก่อนจะโดนจับหน้ากระแทกกับพื้นปูนสองสามครั้งจนโหนกคิ้วแตก รู้สึกชาหนึบไปทั้งตัว

“ดี! สำเหนียกไว้ว่าเจ้ามันไม่คู่ควรแม้แต่เศษขี้เล็บพวกข้า!” จางเฟยฉีสะบัดมือออกจากร่างเล็ก กลุ่มผมดำกระชากติดมือด้วยความตั้งใจ “แค่กระทืบเจ้า เท้าพวกข้าก็แปดเปื้อนเลือดขี้ข้ามากพอแล้ว! สกปรก!”

“ข…ข้าไม่ใช่ลูกขี้ข้า”

ก็บิดามารดาเดียวกับพวกท่าน เหตุใดใยจึงเกลียดชังข้านัก

“จะไม่ใช่ได้อย่างไร!” จางเฟยเจินกระแทกเข้าที่ท้องเด็กชายเสียจนสำลักของเหลวสีแดงออกจากปาก งอตัวไอโครกๆ น่าสมเพช

“เจ้ามันลูกไอขี้ข้า!”

จางเฟยฉีในวัยสิบปีหัวเราะอย่างคนมีชัย ด้วยวัยที่ยังเด็ก ยามที่ได้ยินอะไรน่าสนใจมาจากเรือนใหญ่ ยิ่งเกี่ยวข้องกับน้องคนเล็กที่ตนได้รับการสั่งสอนจากมารดาให้เกลียดมาแต่ไหนแต่ไร จึงไม่รีรอจูงมือแฝดน้องมาหาเรื่องสนุกทำกันถึงเรือนเล็ก

“ข้าจะบอกให้เอาบุญ! ว่าจริงๆ แล้วเจ้าน่ะไม่ใช่ลูกของท่านแม่ด้วยซ้ำ!”

“…ไม่จริง!”

แม้จะรู้ว่ามารดาไม่รัก แต่ไม่เคยคิดว่าตนจะไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของนางเลยสักครั้ง สิ่งที่แฝดผู้พี่พูดมาช่างเหมือนมีดกรีดหัวใจเขานัก “ท่านโกหก”

“เถอะ! พี่ใหญ่จะโกหกเจ้าไปทำไม”

รอยยิ้มหยันผุดขึ้นบนใบหน้าจางเฟยเจิน “พวกข้าได้ยินมากับหู ท่านแม่เกลียดเจ้าเพราะเจ้าเป็นลูกนางเมียน้อยที่เป็นขี้ข้าในเรือน เป็นแค่ที่ระบายความใคร่ให้ท่านพ่อ หมดประโยชน์ก็ถูกเขี่ยทิ้ง รับความจริงไม่ได้ก็ฆ่าตัวตาย ทิ้งเจ้าเป็นภาระให้ท่านแม่เลี้ยงดู!”

“ไม่จริงเสียหน่อย!”

“เรื่องจริง!” แฝดผู้พี่กระชากมือที่พยายามจะปิดหูตัวเองออก

แม้ไม่อยากเชื่อ แต่ลึกๆ จางเฟยหลงรู้ดีว่าตนคล้อยตามไปกับคำพูดเหล่านั้น ราวกับได้รับคำตอบที่ทำให้ทุกคำถามตลอดแปดปีที่ผ่านมากระจ่างชัด

คำถาม…ที่ทำไมบิดาถึงเพิกเฉยต่อเขา…

…ทำไมมารดาถึงจงเกลียดจงชังเขา…


“ฟังแล้วใบ้ไปเลยสิท่า!” จางเฟยเจินหัวเราะชอบใจ “ดูสิพี่ใหญ่ มันเป็นใบ้ไปแล้ว ฮ่าๆ ไอใบ้! ไอใบ้! ไอใบ้ลูกนังขี้ข้า!”

“เจ้าพูดได้ดี น้องรอง”

จางเฟยฉีตบบ่าแฝดผู้น้องที่มีใบหน้าละม้ายคล้ายตนอย่างกับแกะ ก่อนจะหันไปหาร่างเล็กที่นอนตัวงองุ้มเข้าหากันอย่างน่าเวทนา

“รู้ความจริงแบบนี้แล้วก็ยอมเป็นของเล่นให้พวกข้าดีๆ เถอะ อย่าขืนให้เสียแรงเปล่า หัดทำตัวมีประโยชน์เสียบ้าง”

คำพูดบาดใจประโยคแล้วประโยคเล่าที่เฝ้าฟังมาตลอดกำลังถึงจุดระเบิด ร่างเล็กสั่นสะท้านสุมไปด้วยความโกรธเกลียดอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน แววตาที่แม้จะเหม่อลอยแต่แฝงไปด้วยความแค้นบดปังเสียจนไม่รับรู้สิ่งอื่น

“ยอมเป็นของเล่นให้พวกข้าดีๆ แล้วใช่หรือไม่”

จางเฟยเจิน แฝดผู้น้องกอดอกมองน้องเล็กที่พยายามลุกขึ้นยืนด้วยขาที่สั่นระริก หาใช่สั่นอย่างหวาดกลัว แต่เป็นสั่นสู้ของหมาจนตรอกที่พร้อมจะทำทุกอย่าง



-------------------------------------------------------------






To be continued...









Talk : ฮรืออออออ เฟยโหลงงงงงงงง
งานนี้กินมาม่าจนโซเดียมในเลือดสูงปรี๊ด
จิตใจน้องช่วงนี้ไม่ค่อยคงที่ เอาใจช่วยกันด้วยนะคะ
รอติดตามตอนต่อไปน้าาาาาา




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-07-2016 11:14:43 โดย Natsukairi »

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
กระอักเลือดแทนเฟยหลง

บอบช้ำเหลือเกินพ่อดอกท้อน้อยของพี่ :m15:

วิทยายุทธ์ ไม่ต้องเติมสระอิตรง ธ จ้ะ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-06-2015 21:50:44 โดย alternative »

ออฟไลน์ Paper Doll

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 7
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
สู้เค้าบ้างสิคะ จะปล่อยให้พวกเค้ารังแกอยู่แบบนี้ไม่ได้นะ

ออฟไลน์ boboman

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-2
ทิ้งท้ายไว้จิตและค้างมากก
โดนกระทำขนาดนั้น จะแค้นก็ไม่แปลก
มาต่อไวๆ น้า

ออฟไลน์ Nus@nT@R@

  • Life is Investment
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5589
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +456/-11
สงสารเฟยหลง

ออฟไลน์ JustWait

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-4
กรี๊ด น้องหลง หนูใจเย็นๆลูก ไว้โตไปค่อยฆ่า

ออฟไลน์ Natsukairi

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 46
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
    • Fanpage

**ขอบคุณทุกกำลังใจนะคะ**




ดอกท้อที่ ๓




หลี่ซื่อหลางกำลังอยู่ในวัยที่ใกล้จะบรรลุนิติภาวะ

หากการกระทำหลายๆ อย่างของเขากลับแสดงให้ทุกคนเห็นว่าชายหนุ่มได้โตเกินอายุจริงล่วงหน้าไปหลายปีแล้ว

อดีตนั้นเขาเป็นเพียงเด็กกำพร้า หากไม่ได้บิดาของฟานตงเก็บมาเลี้ยง ป่านนี้เขาอาจไม่มีโอกาสได้มองดูโลกเฉกเช่นทุกวันนี้ สำหรับหลี่ซื่อหลางแล้ว ครอบครัวคือสิ่งที่เขาให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก

ย้อนกลับไปเมื่อกลายปีก่อน บิดาบุญธรรมได้จากไปอย่างสงบด้วยโรคประจำตัว พวกเขาไม่เหลือใคร มารดาของฟานตงไม่เคยถูกพูดถึงตั้งแต่ชายหนุ่มจำความได้ ไม่มีญาติคนอื่นที่พวกเขารู้จัก เวลานั้นจึงเหลือแค่หลี่ซื่อหลางและฟางตงในโลกที่ดูแปลกไปถนัดตา

โลกที่ไม่มีบิดาอีกต่อไป

หากสวรรค์ยังไม่โหดร้ายเกินไปนัก ผู้มีคุณได้ทิ้งสมบัติมีค่าไว้ให้กับชายหนุ่ม หาใช่เงินทอง แต่เป็นความรู้ที่เขาสามารถนำมาหาเลี้ยงครอบครัวได้ในอนาคต

ตอนนี้หลี่ซื่อหลางจึงสืบทอดตำแหน่งเจ้าของร้านน้ำเต้าหู้และปาท่องโป๋ที่อร่อยที่สุดในตลาด

เขาตื่นแต่เช้าเพื่อต้มน้ำเต้าหู้สดอร่อยทุกวัน นวดแป้งปาท่องโก๋แล้วทอดกรอบไม่อมน้ำมัน จับเป็นคู่ขายในราคาที่ไม่เคยเปลี่ยนนับตั้งแต่บิดาเปิดร้านมาเมื่อหลายสิบปีก่อน แม้ไม่ใช่กิจการใหญ่โตอะไร แต่ก็เป็นเส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงเขาและฟานตงมาสักระยะหนึ่งแล้ว

“กลิ่นหอมจริงเชียว ซื่อหลาง”

การปรากฏตัวของคนมาใหม่ไม่ทำให้หลี่ซื่อหลางประหลาดใจนัก เจ้าตัวเงยหน้าจากน้ำเต้าหู้หม้อใหญ่เพียงชั่วครู่เดียวเท่านั้น ใบหน้าคมสันของเพื่อนสนิทยังหล่อเหลาเหมือนทุกวัน ขนาดเขาที่เป็นผู้ชายด้วยกันเองยังนึกอิจฉา

“แน่นอนสิ ก็ข้าเป็นคนทำซะอย่าง”

“เจ้าหลงตัวเองเกินไปแล้ว”

ฝ่ายถูกตำหนิหัวเราะหึๆ ขณะหยิบกระบวยตักน้ำเต้าหู้ใส่ถ้วย คีบปาท่องโก๋ห้าตัวใส่จานเคียงให้คนตรงหน้าอย่างเคยชินจนเป็นกิจวัตร “วันนี้เจ้ามาเช้าจังนะ จิ้งอี้ นี่ข้ายังเปิดร้านไม่เสร็จดีเลย”

“ข้าอยากมาดูหน้าเจ้า”

“หน้าข้าทำไม?” ถามทั้งที่ไม่เงยจากหม้อน้ำเต้าหู้สลับกับกระทะทอดปาท่องโก๋

“ก็ตาแก่อายุเก้าสิบในร่างชายหนุ่มวัยสิบแปดที่ไม่ยอมแต่งงานสักทีน่ะซี่…” คนพูดทำหน้าทำตาราวกับกำลังสนทนาเรื่องดินฟ้าอากาศขณะกัดปาท่องโก๋ตัวเขื่องเคี้ยวหนึบหนับ “นี่ข้าล่วงหน้าเจ้าไปสองเดือนแล้วนะ อย่าให้ข้าทิ้งระยะห่างกับเจ้านักสิ แบบนี้ลูกเราจะเกิดพร้อมกัน มาเป็นเพื่อนกันได้อย่างไร”

“ข้าแค่ยังไม่ถูกใจใคร”

“ก็รีบหาที่ถูกใจเสียสิ ไม่เห็นยาก” จิ้งอี้ไหวไหล่ “ทำน้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋พวกนี้ยังยากกว่าเลย”

ชายหนุ่มเจ้าของร้านเพียงแค่ถอนหายใจ เมื่อเห็นลูกค้าเริ่มเข้ามาจับจองที่นั่งแล้ว ซ้ำยัง แย่งสั่งน้ำเต้าหู้กันเสียจนวุ่นวาย หลี่ซื่อหยางยุ่งเกินกว่าจะเก็บเรื่องที่เพื่อนสนิทพยายามกรอกหูมาคิด สองมือจับตรงนู้นทีตรงนี้ทีด้วยความช่างชำนาญ เสิร์ฟน้ำเต้าหู้ร้อนๆ เคียงคู่ปาท่องโก๋กรอบอร่อยให้ลูกค้าได้ไม่ขาดตกบกพร่อง

“น้องสาวข้า เหมยหลิน เจ้ายังจำนางได้หรือไม่”

“ได้” คีบปาท่องโก๋สิบตัวใส่จานส่งให้ลูกค้าโต๊ะสามอย่างทะมัดทะแมง “เจ้าถามทำไม”

“นางชอบเจ้าน่ะ”

“…จิ้งอี้ ข้าขอล่ะ…” สีหน้าหลี่ซื่อหลางสื่อสารได้ดีกว่าคำพูด หากเป็นไปได้อยากทำเป็นไม่รู้เรื่อง “ถ้าเจ้าว่างนักก็มาช่วยข้าทอดปาท่องโก๋นี่มา”

“ได้สิ”  จิ้งอี้ตอบรับโดยง่าย

หือ?

“เอาจริง?”

“ข้าเคยพูดเล่นเสียทีไหน”

ทั้งที่หลี่ซื่อหลางเพียงพูดออกไปเล่นๆ ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะจริงจัง ลอบมองใบหน้าคนตัวใหญ่กว่าด้วยความฉงน สังหรณ์ว่าต้องมีอะไรไม่ธรรมดาตั้งแต่เจ้าตัวมาหาตนตั้งแต่เช้าตรู่ และดูเหมือนจิ้งอี้จะรู้ความคิดของร่างโปร่ง จึงฉีกยิ้มพร้อมกับกระซิบเบาๆ

“แต่ต้องมีอะไรตอบแทนข้านะ”

เหตุใดซื้อหวยถึงไม่ถูกแบบนี้บ้าง เขาได้แต่คิด

“เช่นนั้นเจ้ากลับไปนั่งเถิด”

“ได้ไง! เจ้าอุตส่าห์ขอร้อง หากไม่ช่วยข้าคงกลายเป็นคนใจไม้ไส้ระกำ”

ร่างใหญ่สมชายเบียดเข้ามาช่วยทอดปาท่องโก๋ โชคดีที่เห็นหลี่ซื่อหลางทำบ่อยจนชินตา ลองทำตามก็ไม่ยากอย่างที่คิด “ข้าช่วยเจ้า ฉะนั้นห้ามลืมสัญญานะ”

ถึงจะมาพูดอะไรเอาตอนนี้ก็คงไม่มีประโยชน์ จิ้งอี้ที่ชายหนุ่มทำความรู้จักมานานหลายปีไม่ใช่คนที่ตั้งใจจะทำอะไรแล้วยอมล้มเลิกง่ายๆ มีเพียงสวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าคนดื้นรั้นเดาใจยากจะทำอย่างไรต่ออนาคตความรักของหลี่ซื่อหลาง

เฮ้อ…

ถึงจะว่าอย่างนั้นก็เถอะ การให้คนอย่างเขาไปจุดประกายความรักกับใครเอาตอนนี้

เปลี่ยนไปจุดเทียนกลางสายฝนยังง่ายกว่ากระมัง!



-------------------------------------------------------------



“เอ้า! ชน!”

แก้วเหล้ากระทบกันเบาๆ  ก่อนจะถูกกระดกรวดเดียวลงท้องชายหนุ่มวัยกำลังหนุ่มกำลังแน่นหลายชีวิตที่นั่งอัดกันในร้านเหล้า ดื่มฉลองให้กับหลี่ซื่อหลางผู้ไม่รู้ว่างานสังสรรค์นี้จัดขึ้นเพื่อการสละโสดของตนโดยเฉพาะ

“เจ้าก็ดื่มให้หมดสิ! ซื่อหลาง”

จิ้งอี้ เจ้าเพื่อนสนิทจอมเจ้าเล่ห์ตบบ่าเขาสองสามครั้ง
หลี่ซื่อหลางเพียงส่งสายตาอาฆาตให้ โทษฐานที่ชักแม่น้ำทั้งห้าหลอกจนเขายอมมางานสังสรรค์ด้วยเหตุอ้างว่าจะพามาทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่ แต่ไม่ได้บอกจะประกาศว่ายอมยกน้องสาวให้เขาท่ามกลางสักขีพยานด้วยสักหน่อย!

ส่วนเหมยหลินที่ก็มานั่งดื่มกับเขาด้วยก็เอาแต่ลอบมองหลี่ซื่อหลางด้วยความเหนียมอาย บิดซ้ายบิดขวา ชมดชม้อยส่งสายตาหวานให้เป็นระยะ ทำท่าทีว่าอายจนแทรกแผ่นดินหนีหากแต่แสดงออกอย่างชัดเจนว่าพร้อมถวายตัวให้ทันทีถ้าชายหนุ่มเอ่ยปาก

…ซึ่งคงไม่มีวันนั้น

“ข้าต้องกลับไปดูแลฟานตง ”

“โอ้ย! เจ้าเด็กแสบน้องเจ้ายังต้องการให้ใครดูแลอีกหรือ”

จิ้งอี้เริ่มหน้าแดงด้วยฤทธิ์น้ำเมา คำพูดไม่ได้กลั่นกรองจากจิตสำนึกพรั่งพรูออกมาไม่ขาดสาย

“ข้าว่าเจ้าต่างหากที่ควรหา ‘เมีย’ มาปรนนิบัติพัดวีได้แล้ว ปีหน้าเจ้าก็จะสิบเก้า ปีหน้าหน้าเจ้าก็จะยี่สิบ ปีหน้าหน้าหน้าเจ้าก็จะ…”

“ยี่สิบเอ็ด?” ซื่อหลางชิงพูดแทรก “ข้านับเลขได้ จิ้งอี้ อย่าลำบากเจ้าห่วงเรื่องอายุข้า ต่อให้กลายเป็นตาแก่ไม่มีเมียข้าก็ไม่สนใจหรอก ฟานตงต่างหากที่ควรมีอนาคตไกล ข้าต้องทำงานเพื่อหาเงินให้เขาตบแต่งเมียเหมือนกัน แล้วจะเอาเวลาไหนมาดูแลเอาอกเอาใจเมียตัวเอง?”

ได้โอกาสอธิบายให้สาวน้อยเหมยหลินฟังไปในคราเดียวกัน

“ที่อยากจะพูดก็คือ ข้าไม่อยากให้นางต้องนั่งเหงา นั่งเสียใจที่แต่งงานกับคนแบบข้า ฉะนั้นมองหาคนอื่นที่ดีกว่าเถอะ”

“ซื่อหลาง!”

จิ้งอี้คว้าไหล่ทั้งสองข้างของเขาให้หันไปสบตา “เจ้ามันช่าง…!” เพื่อนสนิทออกแรงบีบเล็กน้อย “...ช่างเป็นผู้ชายที่ประเสริฐเสียจริง! เหมาะสมแล้วที่ข้าจะฝากชีวิตน้องสาวไว้กับสุภาพบุรุษเช่นเจ้า”

“หา?”

ไม่ใช่แค่หลี่ซื่อหลางที่งง คนอื่นก็งงเช่นเดียวกัน

“ข้าดูคนไม่ผิดจริงๆ สินะ”  จิ้งอี้พูดด้วยสีหน้าภูมิอกภูมิใจ

“อะไรของเจ้า”

หลี่ซื่อหลางพยายามปัดมือเพื่อนสนิทออกจากไหล่ หากไม่สำเร็จ “เมาแล้วสมองเลอะเลือนหรืออย่างไร? แล้วก็ปล่อยมือออกจากข้าเสียที”

“หลี่ซื่อหลาง เจ้าเป็นคนคิดถึงคนอื่นก่อนตัวเอง เสียสละ มุ่งมานะตั้งใจหาเลี้ยงครอบครัว รักและจริงใจต่อน้องสาวข้า ที่พูดมาเพราะไม่อยากให้เหมยหลินเหงายามเจ้าออกไปทำงานสินะ เจ้าพูดเองนี่ ไม่ต้องห่วงหรอก เมียข้าจะช่วยอบรมนางให้เป็นเมียที่ดีเอง”

“เจ้าเข้าใจอะไรของเจ้าเนี่ย?”

ชายหนุ่มถึงกับลอบกรอกตาระอา ไม่รู้เพื่อนสนิทไปขุดจินตนาการอันล้ำเลิศมาจากซอกหลืบไหน แต่คงจะดีไม่น้อยหากไม่ใช้จินตนาการที่ว่ากับเรื่องส่วนตัวของเขา

“น่า…อย่าหักหาญน้ำใจข้าเลย เห็นแก่ที่เป็นเพื่อนกันมานาน”

หลี่ซื่อหลางรู้ดีว่าตนเป็นคนปฏิเสธคนไม่เก่ง เพราะอย่างนั้น ยิ่งมีคนเข้าใจอะไรผิดๆ เขายิ่งหนักใจ

“ข้าขอโทษนะ แต่ไม่คิดจะแต่งงานตอนนี้หรอก”

แวบนึงเห็นสีหน้าของเหมยหลินเศร้าหมองลงอย่างชัดเจน ถึงเขาไม่ได้รักนางเหมือนคนรัก แต่ก็เอ็นดูเหมือนน้องสาว ความรู้สึกผิดทำให้ชายหนุ่มรู้สึกไม่ดีนัก

“ข้ากลับก่อนดีกว่า ไม่อยากปล่อยให้ฟานตงอยู่บ้านคนเดียว” หลี่ซื่อหลางตบบ่าจิ้งอี้ที่เริ่มเมากรึ่มๆ ก่อนจะโค้งตัวบอกลาทุกคน “ไว้โอกาสหน้าข้าจะมาดื่มด้วยใหม่ ขอบใจมากที่ชวนมาวันนี้ ข้าสนุกมาก ขอตัวกลับก่อนล่ะ”

“กลับดีๆ นะพี่ซื่อหลาง!”

เหมยหลินโพล่งพูดออกไป ใบหน้ำแดงก่ำด้วยความอายผสมปนเปความไม่แน่ใจ กระนั้นหลี่ซื่อหลางก็ยิ้มตอบกลับไปอย่างอ่อนโยน

“อืม ขอบใจนะ”

ไม่ว่าเมื่อไหร่หลี่ซื่อหลางก็เป็นคนที่ทุกคนรู้สึกเกรงใจเสมอ เพราะเจ้าตัวสุภาพและดูไม่มีพิษภัยกับใคร จึงไม่มีคนที่กล้าเล่นหัวเขานัก จะมีก็แต่จิ้งอี้ที่ความเกรงใจมีให้เขาน้อยกว่าชาวบ้านหน่อยเสียเท่านั้น แต่เขาเองไม่ได้ถือสา กลับคิดว่ามีเพื่อนที่เปิดอกคุยกันได้เสียยิ่งดี

แม้บางครั้งจะมากไปหน่อยก็ตาม


-------------------------------------------------------------




To be continued...










ตัวอย่างตอนต่อไป

“เจ้าไม่มีที่ไปไม่ใช่หรือ ไปอยู่กับข้าดีหรือไม่ ข้าจะเป็นพี่ชายให้เจ้า ดูแลไม่ให้มีใครรังแก”

ซื่อหลางยกมือจะลูบหัวเด็กชาย หากร่างเล็กชักตัวหนีในทีแรก หลับตาปี๋เพราะเข้าใจว่าคนตรงหน้าจะกระชากดึงผมตนให้หลุด ทว่าสัมผัสจากฝ่ามือเรียวที่ลูบหัวเขาอย่างอ่อนโยนกลับทำให้น้ำตาไหลออกมาเอง

“ข้าไม่ทำร้ายเจ้า ขอให้จำเอาไว้”

.
.
.





Talk : เริ่มเห็นเค้าลางพระเอกขี่ม้าขาวแล้วใช่มั้ยคะ?
วันนี้งดรับประทานมาม่าหนึ่งวันนะคะ
รอติดตามตอนต่อไปค่าาาา





ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
สงสารเด็กน้อย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ boboman

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-2
ตอนแรกอ่านแล้วมีโมเมนต์จิ้งอี้ซื่อหลางเล็กๆ แล้วเงิบ...แบบซื่อหลางจะโดนกดเรอะ =[]= แต่อ้อ...จิ้งอี้แต่งงานมีเมียแล้ว
ตอนต่อไปนี่เฟยหลงจะหลุดพ้นจากบ้านนั้นแล้วสินะ เย่ๆ ไปอยู่กับซื่อหลางดีกว่าเนอะ ><
เป็นกำลังใจให้จ้า

ออฟไลน์ Natsukairi

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 46
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
    • Fanpage

ดอกท้อที่ ๔





ทำลงไปเสียแล้ว…

   “อ้ากกกกกกก! ท่านแม่!! ท่านแม่!!”

   เสียงร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัสของร่างที่ใบหน้านองเลือดทำให้อีกร่างที่มีใบหน้าคล้ายคลึงกันแข็งเป็นหินอยู่ตรงมุมห้อง ดวงตาเบิกโพล่งแสดงออกถึงความกลัวอย่างไม่ปิดบัง

   “พี่ใหญ่ อย่าร้อง…”

   จางเฟยหลงเอื้อมมือไปแตะไหล่คนตัวโตกว่าที่ดิ้นพล่านบนพื้นสกปรกราวกับจะเป็นจะตาย “เจ็บหรือ?”
   
   “ไอ้ปีศาจ! ออกไป!”  น้ำตาผสมสีเลือดไหลเป็นทางยาว เสียงตะโกนปนแรงสะอื้นดังไม่ขาดสาย “อย่ามายุ่งกับข้า! อย่ามาจับข้า! เจินอี้! เจินอี้ช่วยข้าด้วย!” ส่งเสียงขอความช่วยเหลือจากแฝดผู้น้องอย่างน่าเวทนา หารู้ไม่ว่าฝ่ายนั้นคงช็อคจนขยับตัวไม่ได้ไปแล้ว

   “หน้าตาเหมือนกันขนาดนี้ ข้าช่วยให้คนอื่นแยกพวกท่านออก ไม่ดีหรือ?  ให้พี่ใหญ่ตาบอดข้างซ้าย”

   แววตากลมใสที่มองทะลุผ่านความมืดได้ด้วยความเคยชินเล็งจุดหมายไปยังร่างสั่นเทาของแฝดผู้น้องที่แม้แต่ยืนยังทรงตัวไม่อยู่ “ส่วนพี่รองตาบอดข้างขวา…”

   หน้าของอีกฝ่ายซีดเผือด “ม…ไม่!!!”

   ปรากฏรอยของเหลวใสเปียกชื้นที่เป้ากางเกงจางเฟยเจิน ก่อนที่เจ้าตัวจะรีบวิ่งออกจากเรือนเล็กโดยไม่เสียเวลาเหลียวหันกลับมาแยแสแฝดผู้พี่ที่นอนแบตรงพื้นเลยสักนิด เดาว่าอีกฝ่ายคงรู้ตัวแล้วกระมังว่าถูกทิ้ง จึงยิ่งร้องตะโกนลั่น

   “อย่าทิ้งข้า!! อย่าทิ้งข้าน้องรอง!! ฮือ! ท่านแม่!! ใครก็ได้ช่วยข้า…อ่อก!!”

   แม้มีแรงไม่มาก แต่จางเฟยหลงก็อัดกำปั้นเล็กๆ กระแทกใส่ปากคนตัวโตอย่างสุดแรงเกิด ถีบกระทืบซ้ำบาดแผลตรงดวงตาที่เขาเป็นคนใช้ดินสอแทงเองกับมือ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ร่างเล็กสะสมความเคียดแค้นไว้โดยไม่รู้ตัว

   ความผิดครั้งนี้จะโทษใคร?

   “หยุดทำอะไรบ้าๆ นะ!!”

   เสียงทุ้มตวาดลั่นดังขึ้นจากด้านหลัง รอยประหลาดใจฉายแววผ่านดวงตาจางเฟยหลง

   “ท่านพ่อ!! ท่านมาช่วยข้าแล้ว!”

   จางเฟยฉีดีอกดีใจจนน้ำหูน้ำตาไหล ปวดแผลเสียจนจะคงสติไว้ไม่อยู่ หากกระนั้นก็ยังตะโกนออกไปด้วยความแค้นใจ “ท่านพ่อฆ่ามันที!! ฆ่ามัน! มันจะฆ่าข้า!! มันแทงตาข้าบอด!”

   “ลูกแม่!!” เสียงหวีดร้องแหลมสูงดังขึ้นทันทีที่วิ่งเข้ามาเห็นสภาพลูกชายคนโต นางไม่ชักช้ารีบสาวเท้าผ่านร่างสามีเข้าไปหาจางเฟยฉีที่ได้แต่นอนรอคนมาช่วย “ไม่เป็นไรแล้วลูก…แม่ขอโทษ แม่ขอโทษ…ฮือ…อีลูกอกตัญญู! ดูสิ่งที่เจ้าทำกับพี่ชาย   ตัวเองสิ!”

   ท้ายประโยค มารดาหันมาตวาดเขา ร้องไห้กอดร่างที่เริ่มไม่ได้สติของจางเฟยฉี

   …เขาไม่ตายหรอก ก็แค่ตาบอดเท่านั้น…

   “แล้วข้าไม่ใช่ลูกท่านหรือ ท่านแม่”

   จางเฟยหลงยืนนิ่ง ตระหนักรู้ถึงสายตาเกลียดชังจากทุกคนที่มองเขา “ข้าเองก็เจ็บเหมือนกัน…ตรงนี้…”

   มือเล็กกุมตำแหน่งที่อกด้านซ้ายแน่น บิดาสืบเท่าเข้ามาใกล้ก่อนจะใช้จัวหวะนั้นฟาดเข้าที่หน้าเขาเต็มแรง

   เพี๊ยะ! ร่างเล็กปลิวไปกองกับพื้น

   “เจ้าอยากเป็นฆาตกรหรือเฟยหลง! ใครสั่งสอนเจ้าให้เป็นเด็กเช่นนี้!!”

   แม้กำลังโดนด่าทอ แต่ครั้งนี้เด็กชายกลับมีโอกาสได้อยู่ในสายตาของบิดาเสียที แค่นี้ก็รู้สึกดีใจจนจุกอกตายได้เลย

   “ท่านพี่ต้องจัดการให้น้องนะ!”

   มารดาแหวลั่นด้วยใจที่สุมไปด้วยความรังเกียจเดียดฉันท์ ขณะสั่งให้สาวใช้ช่วยกันหอบร่างลูกชายคนโตไปหาหมอเพื่อรักษาบาดแผลฉกรรจ์ พร้อมกับตนที่อุ้มลูกชายคนกลางตามไปติดๆ

   ทิ้งให้ห้องแคบๆ ในเรือนเล็กเหลือเพียงแต่เลี่ยงหวง สามีของตนและจางเฟยหลง ลูกชายคนเล็กอยู่สองคนเท่านั้น

   “เจ้าทำอะไรลงไป รู้ตัวบ้างหรือเปล่า!!”

   คนตัวเล็กไม่ตอบ นั่งเงียบอยู่ที่พื้นจนบิดาโมโหต้องกระชากตัวให้ลุกขึ้น แขนเล็กที่กำได้รอบผอมติดกระดูกจนน่าใจหาย “ไหนตอบข้ามาสิ!”

   “ข้าอยากฆ่าพวกเขา…”

   เพี๊ยะ! บิดาตบหน้าลูกชายคนเล็กอีกครั้ง ครานี้เขาไม่ออมมือ “เลว! เจ้าได้เลือดเลวมาจากไหนกันเฟยหลง!”

   “จากนางขี้ข้ากระมัง...”

   มือใหญ่ที่หมายจะตบซ้ำชะงักค้างกลางอากาศ แววตากลมใสที่บัดนี้รื้นไปด้วยน้ำตาเงยหน้าจ้องมองกลับ “เลือดข้าเลวเพราะมีแม่เป็นคนใช้ใช่หรือไม่ ท่านพ่อ”

   “เจ้า…” บิดาลดมือลง เปลี่ยนเป็นเขย่าไหล่เล็กทั้งสองข้าง “ใครบอกเจ้าเรื่องนี้?!”

   จางเฟยหลงหัวเราะหึไม่ตอบ น้ำตาลไหลอาบแก้มมอม เหตุใดจึงรู้สึกเจ็บเสียยิ่งกว่าเวลาโดนมารดาทุบตีอีก

   “ตอบข้ามา!”

   การเงียบของจางเฟยหลงสร้างความไม่พอใจให้เลี่ยงหวงเป็นอย่างมาก ชายวัยกลางคนกระแทกร่างบางกับกำแพงห้องเพื่อคาดคั้นความจริง “ข้าบอกให้เจ้าตอบ!”

   “สำคัญอะไรเล่า ยังไงท่านก็ไม่เห็นข้าเป็นลูก ความจริงมีเพียงเท่านี้”

   “จางเฟยหลง!!”

   บิดามีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก สุดท้ายจึงยอมปล่อยมือออกจากไหล่เล็กทั้งสองข้าง

   “ไม่อยากบอกก็ไม่เป็นไร”

   นายเลี่ยงหวงกระชากตัวลูกคนเล็กขึ้นอุ้ม ก่อนจะเหวี่ยงลงบนเตียงที่หลงเหลือรอยเปียกชื้นจากน้ำถูพื้นเป็นวงกว้าง “ข้าไม่อยากทำเช่นนี้ แต่เจ้าบีบข้าเองนะเฟยหลง”

   จางเฟยหลงมองเห็นแววตาของบิดาที่เปลี่ยนไป แววตาที่เด็กวัยแปดปีเช่นเขาไม่อาจเข้าใจได้ มือใหญ่ค่อยๆ กำรอบลำคอของเขาก่อนจะออกแรงกดจนเด็กชายเริ่มหายใจไม่ออก ปฏิกิริยาดิ้นรนเอาชีวิตรอดถูกเอาออกมาใช้ทุกวิธีทาง ทั้งดิ้น เตะ ต่อย ตี หากไม่อาจสะเทือนต่อการกระทำของบิดาได้

   “เจ้าไม่ควรเกิดมาแต่แรกด้วยซ้ำ” แรงบีบที่คอหนักขึ้นเรื่อยๆ “ถ้าเรื่องเจ้าแพร่ออกไป ตระกูลจางจะเสียเกียรติ!”
   “อ่อก…ท่านพ่อ…”

   “ยกโทษให้ข้านะ เฟยหลง”

   “ท…ท่า..น…พ่อ” ถึงจุดที่สติใกล้จะหลุดลอย มือเล็กที่เคยปัดป่ายไปมาอย่างทรมานกลับหมดแรงทิ้งลงข้างตัว ชีพจนอ่อนลงทุกที

   เขากำลังจะตายหรือ?

   …ตาย…ก็ดีเหมือนกัน…


   จางเฟยหลงเลิกต่อต้าน นอนนิ่งรอรับความตายที่บิดามอบให้ คิดเสียว่าเป็นสิ่งสุดท้ายที่เขาจะได้รับจากบุพการี เป็นสิ่งที่ตั้งใจให้เพียงแค่เขา เด็กชายก็จะยอมรับมัน

   …ทว่าแรงกดที่คอกลับหายไป  มือใหญ่ของบิดาค่อยๆ คลายออกจากลำคอเล็ก เมื่อถูกปล่อยให้เป็นอิสระ จางเฟยหลงจึงสูดลมหายใจเฮือกใหญ่เข้าปอดพร้อมกับไอโครกๆ น้ำหูน้ำตาไหลด้วยความทรมาน

   “...ไปซะ”

   น้ำตาที่ไหลไม่หยุดบังไม่ให้จางเฟยหลงเห็นว่าสีหน้าของบิดาเป็นเช่นไร กว่าจะทันตั้งสติได้ ตัวของเขาก็ถูกบิดารวบขึ้นแล้วพาออกมาจากเรือนเล็ก วิ่งฝ่าสวนดอกท้อที่เขาเฝ้ามองมันมาตลอดแปดปี ฝีเท้าหยุดลงตรงกำแพงรั้วสูง ตัวเขาถูกยกขึ้นให้นั่งบนนั้น

   “จำไว้ว่าเจ้าตายแล้ว” บิดาบอกเสียงเรียบ “กระโดดลงไป”

   “ฮึก…ท่านพ่อ…”

   “กระโดดลงไป!!” 

   จางเฟยหลงสะอื้นไม่ยอมขยับ บิดาจึงเป็นคนลงมือผลักลูกชายคนเล็กด้วยตัวเอง ร่างบางตกลงบนพื้นแข็งนอกกำแพง หากไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัส

“เจ้าไม่ใช่จางเฟยหลงอีกแล้ว! ไปจากที่นี่ซะ แล้วอย่ากลับมาอีก!”



-------------------------------------------------------------




ไม่รู้ว่าวิ่งมาไกลเท่าไหร่แล้ว

จางเฟยหลงไม่กล้าหันหลังกลับอีกต่อไป ทำได้เพียงหอบร่างกายที่แสนอ่อนล้ากับหัวใจแตกสลายไปตามถนนที่ทอดตัวยาวไกลสุดลูกหูลูกตา ไฟสองข้างทางพอส่องให้เขาวิ่งต่อไปเรื่อยๆ ไม่ยอมหยุด

หากหยุด ความรู้สึกตอนที่บิดาบีบคอเขาจะถาโถมเข้ามาจนหายใจไม่ออก รับรสวินาทีที่เข้าใกล้ความตายมากที่สุดราวกลับย้อนไปอยู่ในเหตุการณ์เสมือนจริง แค่คิดตัวก็สั่นเทิ่มอย่างห้ามไม่อยู่

…หวาดกลัวเหลือเกิน… 

พลั่ก!

มัวแต่วิ่งไม่ดูทาง จางเฟยหลงจึงชนเข้ากับวัตถุบางอย่าง

“เห้ย!”

…เป็นวัตถุที่พูดได้เสียด้วย…

“อ้าว เป็นอะไรหรือเปล่าเจ้าหนู”

หลี่ซื่อหลางที่เพิ่งโบกมือลาเพื่อน เดินออกจากร้านเหล้ามาได้ไม่ไกล จึงรีบพยุงร่างเล็กที่จู่ๆ ก็วิ่งมาชนหลังเขาแล้วก็กระเด็นไปนั่งกับพื้นเสียอย่างนั้น

“เจ็บตรงไหนหรือเปล่า”

มือเรียวยังจับแขนเล็กไม่ปล่อย สอดส่องสายตาดูสภาพของเด็กชายตัวเล็กเท่าต้นถั่วงอกฟีบๆ เหมือนไม่ได้รดน้ำ หัวคิ้วขมวดเข้าหากันทันทีที่พบรอยแผลมากมายโผล่พ้นจากเสื้อผ้าเก่าโทรม หลี่ซื่อหลางเชยคางคนที่มัวแต่ก้มหน้างุดตัวสั่นระริกน่าสงสารขึ้นให้มองหน้าได้ชัดๆ

“เด็กน้อย ข้าถามว่าเจ้าเจ็บหรือเปล่า แล้วรอยพวกนี้ไปโดนอะไรมา”

 …

เงียบ

หลี่ซื่อหลางถอนหายใจ “ไม่เป็นไร งั้นบอกแค่พ่อแม่เจ้าอยู่ไหนก็ได้ เดี๋ยวข้าพาไปส่ง”

หารู้ไม่ว่าความหวังดีนั้นจี้จุดจางเฟยหลงเข้าอย่างจัง ร่างเล็กดิ้นพล่านพยายามจะหนีคนตัวสูงกว่า หากก็ไร้ผล

“นี่ อย่าดิ้นสิ ข้าไม่ใช่ผู้ร้ายนะ”

จางเฟยหลงตกอยู่ในความกลัวสุดขีด ทั้งชาติเขาไม่อยากกลับไปเหยียบบ้านตระกูลจางอีกแล้ว หากไม่หนีเสียตอนนี้ ผู้ชายตรงหน้าต้องพาเขากลับไปให้บิดาฆ่าอีกเป็นแน่ อีกทั้งมารดาที่คงรอฆ่าเขาให้ตายซ้ำอีกรอบ และพี่ชายฝาแฝดที่รอวันแก้แค้นเขาอย่างสาสม

ไม่!!

ไม่เอาอีกแล้ว!


“เจ้าไม่อยากกลับไปหาพ่อแม่หรือไร?” หลี่ซื่อหลางเดาส่งๆ จากท่าทางขัดขืนเมื่อพูดถึงบุพการี จางเฟยหลงทั้งดิ้นไปด้วย ทั้งพยักหน้าแรงๆ จนคอจะหลุดไปด้วย จนคนเห็นแล้วนึกสงสาร

“เจ้าพูดได้หรือไม่”

“…ม…”

“หืม?” เงี่ยหูฟัง

“…ไม่” 

ก็เห็นอยู่ว่าพูดได้

แม้เสียงจะแผ่วเบานัก แต่หากตั้งใจฟังก็จะได้ยิน หลี่ซื่อหลางจับไหล่เล็กทั้งสองข้างให้หันมาสบตา อีกฝ่ายชะงักนิ่งเป็นหินตอนที่เขานั่งยองๆ ให้หน้าอยู่ในระดับเดียวกัน เพื่อสะดวกต่อการสนทนา “เจ้าหนู ไหนลองบอกมาสิว่าอยากให้ข้าช่วยอะไรเจ้า หากไม่พาไปส่งพ่อแม่ กระนั้นแล้วเจ้ามีที่ไปที่อื่นหรือไร”

จางเฟยหลงส่ายหน้า

“หรือเจ้าไม่มีพ่อแม่?” หลี่ซื่อหลางก็เดาส่งๆ ไปอีกเช่นเคย

‘…จำไว้ว่าเจ้าตายแล้ว’

‘เจ้าไม่ใช่จางเฟยหลงอีกต่อไป…’

คำพูดสะท้อนอยู่ในหัว รอยเลือดและน้ำตาที่แห้งกรังตอกย้ำให้จางเฟยหลงนึกถึงความหวาดกลัวและความโกรธแค้นที่มีต่อครอบครัว

เช่นนั้นเขาก็ไม่มีความเกี่ยวข้องกับตระกูลจางอีกแล้ว

“…ไม่มี…”

“เจ้าเป็นเด็กกำพร้ำ?” ความสงสารยิ่งปะทุขึ้นในใจของหลี่ซื่อหลาง “เจ้าอยู่คนเดียวมาตลอดเลยหรือ”

จางเฟยหลงพยักหน้า

“เจ้าอายุเท่าไหร่”

เด็กชายไม่ตอบ หลี่ซื่อหลางจึงทึกทักเอาเองว่าคงไม่น่าเกิดหกขวบ ก็เห็นตัวเล็กเสียปานนี้ ขนาดตอนฟานตงอายุได้สี่ขวบยังตัวใหญ่กว่าเด็กชายตรงหน้าเขาเลย

พูดถึงฟานตง…หากน้องชายของเขามีสภาพแบบนี้ล่ะก็ หลี่ซื่อหลางที่เลี้ยงดูฟานตงมากับมือคงไม่สามารถทนเห็นสภาพน้องชายที่เป็นเช่นนี้ได้ ใครกันที่ใจไม้ไส้ระกำทำร้ายเด็กตัวเล็กอย่างกับถั่วงอกแคระได้ลงคอ?

“พี่ซื่อหลาง!”

พูดถึงโจโฉ โจโฉก็มา

เด็กวัยสิบสองปีกำลังโต ร่างสูงเท่าอกหลี่ซื่อหลางวิ่งหน้าตั้งราวกับโดนหมาไล่กวด เบรกฝีเท้าหยุดลงตรงหน้าชายหนุ่ม ก่อนจะเท้าแขนลงกับเข่าด้วยความเหนื่อย

“พี่ซื่อหลาง!”

“อยู่ใกล้แค่นี้จะตะโกนทำไม”

“ข้าเห็นท่าน…ไม่กลับบ้านเสียที ข้าเลย…เลยออกมาตาม”

พูดไป หอบหายใจไป คนเป็นพี่ชายกลัวก็แต่น้องจะตายเพราะหายใจไม่ทัน “ไม่ต้องรีบ หายใจลึกๆ ฟานตง” ช่วยลูบหลังเบาๆ อีกแรง “เจ้านี่น้า อย่าทำให้ข้าเป็นห่วงสิ”

“ข้าสิเป็นห่วง! ท่านไม่…” คนจะโวยวายชะงักทันทีที่เลื่อนสายตาไปเห็นร่างเล็กแกร็นข้างๆ พี่ชาย ยิ่งพอเจ้าตัวเล็กเห็นเขามองมา ก็รีบกระเถิบตัวหลบหลังหลี่ซื่อหลางโดยอัตโนมัติ

“ลูกใคร?”

“ข้าไม่รู้”

หลี่ซื่อหลางส่ายหน้า ก้มมองเด็กชายที่หลบหลังตนเอง มือเล็กขยำเสื้อเขาเหมือนหวาดกลัวผู้มาเยือนคนใหม่

“ไม่ต้องกลัว นี่น้องชายข้าเอง”

จางเฟยหลงไม่ตอบ เบียดตัวเข้าหาหลี่ซื่อหลางจนแทบจะหลอมเป็นร่างเดียวกัน หางคิ้วฟานตงกระตุกถี่ นิสัยหวงพี่ชายกำเริบขึ้นมาอีกครั้ง

“เจ้าเปี๊ยก! คิดว่ากำลังกอดใครอยู่น่ะ นั่นพี่ชายข้านะ!”

“ฟานตง”

หลี่ซื่อหลางตักเตือนน้องชายด้วยสายตา “เด็กคนนี้น่าสงสาร กำพร้าพ่อแม่ ไม่มีที่ไป แถมเนื้อตัวยังเต็มไปด้วยบาดแผล เจ้าต้องเห็นใจเขาถึงจะถูก”

ฟานตงลดอารมณ์อิจฉาลง รู้สึกสงสารตามที่พี่ชายบอกจริงๆ “แล้วท่านไปเจอเขาได้อย่างไร?”

“เขาวิ่งมาชนข้าน่ะสิ”

อย่างกับวิ่งหนีอะไรมาอย่างนั้นแหละ

หือ? …อย่างกับ หนี อะไรบางอย่างงั้นหรือ?

ความรู้สึกเอะใจทำให้หลี่ซื่อหลางก้มลงมองเจ้าตัวเล็กอีกครั้ง ความหวาดกลัวและสับสนฉายแววในดวงตากลมอย่างไม่ปิดบัง เจ้าตัวกำลังสั่นเทิ่มอย่างห้ามไม่อยู่ หากไม่ต้องเจอกับเรื่องเลวร้ายมากๆ เด็กชายก็คงไม่แสดงท่าทีหวาดกลัวถึงเพียงนี้กระมัง

เจ้าตัวเล็กต้องเจออะไรมาบ้างกันนี่?

“ไปอยู่กับข้าไหม เจ้าหนู”

“พี่ซื่อหลาง!”

หาใช่ฟานตงคนเดียวที่ตกใจกับคำพูดนั้น ชายหนุ่มเองก็อดประหลาดใจไม่ได้เช่นเดียวกัน

“เอาน่า เจ้าจะได้มีน้องชายเพิ่มอีกคนไง”

“ข้ามีท่านคนเดียวก็พอ!”

“ฟานตง ครอบครัวเจ้ามีข้าคนเดียวใช่หรือไม่” หลี่ซื่อหลางเอ่ยน้ำเสียงอ่อนโยน “แต่เด็กคนนี้ตัวคนเดียวไม่เหลือใครเลย”

“ข้า…” ฟานตกอึกอัก มองใบหน้าเล็กแสนมอมแมมสลับกับพี่ชาย ก่อนจะสะบัดหน้ายอมแพ้ “ข้าไม่รู้ด้วยแล้ว!”

หลี่ซื่อหลางยิ้ม ย่อตัวหันไปคุยกับคนตัวเล็กที่เอาแต่เงียบอย่างเดียว

“เจ้าไม่มีที่ไปไม่ใช่หรือ ไปอยู่กับข้าดีหรือไม่ ข้าจะเป็นพี่ชายให้เจ้า ดูแลไม่ให้มีใครรังแก” ซื่อหลางยกมือจะลูบหัวเด็กชาย หากร่างเล็กชักตัวหนีในทีแรก หลับตาปี๋เพราะเข้าใจว่าคนตรงหน้าจะกระชากดึงผมตนให้หลุด ทว่าสัมผัสจากฝ่ามือเรียวที่ลูบหัวเขาอย่างอ่อนโยนกลับทำให้น้ำตาไหลออกมาเอง

“ข้าไม่ทำร้ายเจ้า ขอให้จำเอาไว้”

“…ป…”

“เจ้าว่าอย่างไรนะ?”

“ไป…”

จางเฟยหลงเกิดความรู้สึกอุ่นซ่านในใจอย่างบอกไม่ถูก



-------------------------------------------------------------




บ้านของหลี่ซื่อหลางมีสองชั้น

อาณาเขตกว้างแค่สี่สิบตารางวาเท่านั้น ชั้นล่างเป็นร้านขายน้ำเต้าหู้ ชั้นบนเป็นที่พักอาศัย มีที่โล่งตรงกลาง มีห้องนอนสองห้อง ห้องน้ำหนึ่งห้อง หากต้องการใช้ห้องครัวก็ต้องไปที่ชั้นล่าง

“ทีนี้จะบอกข้าได้หรือยังว่าเจ้าชื่ออะไร”

หลี่ซื่อหลางถามขณะจูงมือเล็กเข้าบ้าน พร้อมด้วยใบหน้าบูดบึ้งของฟานตงที่แสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่ชอบใจน้องชายคนใหม่เอาเสียเลย

จางเฟยหลงส่ายหน้า

“แม้ชื่อก็ยังไม่มีหรือ?”

จางเฟยหลงพยักหน้า

“งั้นข้าตั้งให้ดีหรือไม่?” เจ้าตัวเล็กพยักหน้ารับอีกรอบ หลี่ซื่อหลางแอบตื้นเต้น ความรู้สึกเหมือนตอนได้เจอฟานตงเป็นครั้งแรก วิญญาณแห่งการเป็นพี่ชายลุกโหมโชติช่วงอยู่ในใจ “ข้าอยากให้เจ้าเข้มแข็งและกล้าหาญ ฉะนั้นต่อไปนี้ข้าจะเรียกเจ้าว่า หย่งคัง ดีไหม? เจ้าชอบชื่อนี้หรือไม่?”

หลี่ซื่อหลางยิ้มให้เด็กน้อย กอดเจ้าตัวเล็กหลวมๆ

“หย่งคังเนี่ยนะ?”

สีหน้าฟานตกเหยเก “เจ้ากะเปี๊ยกนี้โดนข้าเป่าก็ปลิวแล้ว แข็งแรงอะไรของท่าน?”

“เดี๋ยวเราช่วยกันเลี้ยงหย่งคังอีกหน่อย ไม่นานก็คงขุนจนอ้วน ตามทันเจ้าตอนนี้ที่เป่ายังไงก็ไม่ปลิว”

ชายหนุ่มยิ้มล้อน้องชายตัวดีก่อนจะอุ้มหย่งคังหายเข้าไปในห้องน้ำ หมายมั่นจะทำความสะอาดครั้งใหญ่ให้เจ้าตัวเล็กสะอาดทุกซอกทุกมุม

“ข้าไม่อ้วนเสียหน่อย!”

เสียงตะโกนไล่หลังอย่างงอนๆ ของฟานตงเรียกเสียงหัวเราะให้คนเป็นพี่ชายได้อย่างดี

จางเฟยหลง ซึ่งบัดนี้กลายเป็น หลี่หย่งคัง ลอบมองตามร่างโปร่งที่เดินไปหยิบนู่นหยิบนี่วางสุมกองไว้กลางห้องน้ำ พรางฮึมฮำเพลงอย่างอารมณ์ดี เจ้าตัวหยิบเก้าอี้ตัวเตี้ยให้เด็กชายนั่งก่อนจะพยายามถอดเสื้อของเขา!

“เป็นอะไรไป อายหรือ?”

หลี่ซื่อหลางเลิกคิ้วสูงเมื่อหย่งคังพยายามเบี่ยงตัวหลบไม่ให้เขาจับถอดเสื้อแต่โดยดี ใบหน้าเล็กแดงก่ำถึงใบหู

“ข้าก็มีเหมือนเจ้า ไม่ต้องอายหรอก” หลี่ซื่อหลางถอดเสื้อตัวนอกได้สำเร็จ “หรืออยากให้ข้าแก้ผ้าเป็นเพื่อน?”

หย่งคังก้มหน้าคางชิดอก ส่ายหัวพัลวัน

“ถ้างั้นว่าง่ายๆ นะเด็กดี ข้าแค่จะอาบน้ำให้ เจ้าจะได้สดชื่นไง ไม่ดีหรือ?” หลี่ซื่อหลางถอดเสื้อตัวในออก แต่ก็เป็นต้องชะงัก กวาดสายตามองรอยแผลนับไม่ถ้วนบนตัวของเด็กชาย ขนาดแผลนอกเสื้อที่เห็นด้วยตาเปล่าว่าเยอะแล้ว ข้างใต้เสื้อกลับมีทั้งรอยฟกช้ำ รอยลวก รอยบาดสาระพัดจนเขาเผลอกำมือแน่นอย่างโมโห

“บอกข้ามา! ใครมันใจดำกล้าลงมือกับเจ้าถึงเพียงนี้หย่งคัง!”

ร่างเล็กก้มหน้างุดไม่ตอบ ตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวอีกครั้ง เห็นดังนั้นชายหนุ่มจึงยอมกลั้นใจเก็บอารมณ์โมโหกลืนลงท้องก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง

“ไม่เป็นไร ไม่อยากนึกถึงสินะ ข้าขอโทษ”

มือเรียวลูบหัวน้องชายตัวเล็ก อีกฝ่ายหลับตารับสัมผัสอ่อนโยน เผลอไถหัวกับฝ่ามือนั่นเองโดยไม่รู้ตัว

…หย่งคังติดใจฝ่ามืออบอุ่นคู่นี้เสียแล้ว…

“มาเถิด พี่ชายเจ้าจะอาบน้ำให้เอง!”

หลี่ซื่อหลางรูดแขนเสื้อขึ้นถึงข้อศอก สายตามุ่งมั่น จับเจ้าตัวเล็กแก้ผ้าแล้วดึงให้นั่งบนตัก ตักน้ำจากกระบวยราดลงบนหัวหย่งคังสองสามน้ำ ฟอกสบู่ทั้งตัวโดยไม่ให้สะเทือนถึงแผลบางจุดที่ยังไม่แห้งสนิทดี ที่หนักสุดเห็นจะเป็นกลุ่มผมสีดำที่จับตัวเป็นก้อนบางจุด สระอยู่หลายน้ำกว่าจะสะอาด ไม่ใช่อะไรหรอกนะ แต่มันเป็นเลือดที่แห้งกรังแล้วทั้งสิ้น!
ยิ่งเห็นเขายิ่งคับแค้นใจ!!

ใครกันที่มันใจอำมหิต ทำร้ายแม้กระทั่งเด็กตัวเล็กๆ ได้ลงคอ?



-------------------------------------------------------------



หัวเด็ดตีนขนาดยังไงฟานตงก็ไม่ยอมให้หย่งคังนอนด้วย

“เตียงข้าแคบ แค่พลิกตัวยังลำบาก”

“แต่ข้ามีงานต้องทำ ตื่นแต่เช้า ช่วงนั้นใครจะเป็นคนดูแลน้อง?”

“ไม่ใช่น้องข้า พี่ซื่อหยางดูแลเองสิ”

คำว่า ไม่ใช่น้องข้า สะกิดต่อมโมโหหลี่ซื่อหยางเข้าอย่างจัง เจ้าตัวตีหน้าตึงใส่น้องชายทันที “หย่งคังเป็นน้องเล็กของครอบครัวเราแล้ว ฟานตง อย่าได้พูดอะไรแบบนั้นอีก”

“ใช่สิ! ข้ามันหมาหัวเน่า!”

ฟานตงไม่ฟังคำพี่ชาย วิ่งเข้าห้องปิดประตูลงกลอนเสียเสร็จสรรพ
หย่งคังที่อยู่ในสถานการณ์เมื่อครู่ด้วย กระตุกมือหลี่ซื่อหลางเบาๆ ให้ก้มลงสบตากลมที่ถามเป็นนัยว่าตนทำอะไรผิดหรือเปล่า

“ไม่มีอะไรหรอก หย่งคังน้อย คืนนี้เจ้าก็นอนกับข้านะ”

ไม่ใช่ว่าชายหนุ่มมีปัญหาอะไรหรอก แต่รู้ว่านิสัยหวงพี่ชายจนบางครั้งก็ทำให้เป็นคนใจแคบของฟานตงถือเป็นความผิดส่วนหนึ่งของเค้า ตอนฟานตงเด็กๆ หลี่ซื่อหลางตามใจมากไปหน่อย เอ่อ มากทีเดียวแหละ ดังนั้นเมื่อมีสมาชิกคนใหม่เพิ่ม พี่ใหญ่จึงอยากให้สายสัมพันธ์พี่น้องยิ่งกระชับแน่นแฟ่นขึ้น

เขาว่ากันว่า ผู้ชายเมื่อนอนด้วยกันจะสนิทกันมากขึ้น

เห็นทีจะใช้แผนการนี้กับฟานตงไม่สำเร็จกระมัง

…เฮ้อ…

หลี่ซื่อหลางถอนหายใจ “ไปนอนกันดีกว่า พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า”

พี่ใหญ่จูงมือน้องเล็กเข้าห้องนอน ด้านในมีแค่เตียง ตู้กับโต๊ะเขียนหนังสือ นอกจากนั้นเป็นข้าวของเล็กๆ น้อยๆ ที่กระจัดกระจายเกลื่อนเต็มห้อง

นี่คือหนึ่งในความลับของหลี่ซื่อหลาง

เห็นเขาสะอาด สุภาพ ใจดีแบบนี้  สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าเวลาอยู่ในห้องส่วนตัว หลี่ซื่อหยางกลายเป็นคนไร้ระเบียบโดยสิ้นเชิง

“รกหน่อยนะ ข้ายังไม่มีเวลาเก็บ”

เปล่าหรอก… เวลาน่ะมี แต่เขาขี้เกียจเก็บเองเท่านั้น

เก็บทำไม? เก็บแล้วเดี๋ยวก็รกอีกอยู่ดี ห้องตัวเองจะเป็นยังไงก็ช่างเถอะ แต่ครัวและร้านด้านล่างต่างหากที่สำคัญ หลี่ซื่อหยางไม่เคยปล่อยให้ครัวของเขาสกปรกหรือมีอะไรรกหูรกตาเลยสักครั้ง น่าแปลกใจดีจริงๆ

“ยืนทำอะไรอยู่ มานอนนี้สิ”

หลี่ซื่อหยางที่ดับตะเกียงแล้วกระโดดขึ้นเตียงรอ กวักมือเรียกน้องเล็กยิกๆ “มานอนข้างๆ ข้านี่มา”

หย่งคังเคยชินกับการทำตามคำสั่ง เขาปีนขึ้นเตียงเงียบๆ แล้วล้มตัวลงนอนข้างๆ ชายหนุ่มแต่โดยดี ไม่ปริปากบ่นสักคำ แถมนอนตัวเกร็งเสียจนคนมองยังอึดอัดแทน

“เป็นตัวของตัวเองสิ หย่งคังน้อย ไม่มีอะไรน่ากลัว” 

มือเรียวลูบหัวคนตัวเล็ก อีกฝ่ายหลับตาขยับตัวเข้าหาฝ่ามือแสนอบอุ่นโดยไม่รู้สาเหตุ ใจของเขาโหยหาฝ่ามือคู่นี้ ทางด้านพี่ชายจึงพลิกตัวตะแคงข้าง เท้าแขนมองน้องเล็กด้วยแววตาอ่อนโยน ดึงผ้าห่มให้คลุมร่างบาง ตบปุๆ สองสามครั้ง

“ก่อนนอนต้องทำอะไรก่อน?”

แววตากลมจ้องหลี่ซื่อหลางอย่างสงสัย ก่อนได้ทันตั้งตัว ชายหนุ่มก็ยื่นหน้ามาจูบหน้าผากเด็กชายหนึ่งที “แต่ก่อนข้าจะทำแบบนี้กับฟานตง แต่พอเขาอายุได้สิบปีก็ไม่ยอมให้ข้าหอมเสียแล้ว เจ้าอย่าเป็นอย่างพี่รองของเจ้านะ” พูดด้วยน้ำเสียงติดตลกแต่ อบอวลไปด้วยความเอ็นดูทำให้หย่งคังเพิ่งสัมผัสถึงการมี พี่ชาย เป็นครั้งแรก

“ต่อไปนี้ ข้าเป็นพี่ใหญ่ของเจ้านะ หย่งคัง มีปัญหาอะไรขอให้นึกถึงข้า”

…พี่ใหญ่…

 “หลับเถิด คืนนี้ข้าจะปกป้องเจ้าเอง”



หย่งคังค่อยๆ ตกอยู่ในห้วงนิทรา รับรู้ถึงอ้อมแขนที่โอบรอบตัวเขา เด็กชายขยับเข้าหาความอบอุ่นนั้นอย่างไม่ลังเล

หากนี่เป็นความฝัน เขาก็ปรารถนาไม่อยากตื่นขึ้นมาอีกเลย


-------------------------------------------------------------




To be continued...






« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-07-2016 11:13:45 โดย Natsukairi »

ออฟไลน์ boboman

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-2
ตอนแรกแอบจิต =O=;; ทำเอาแอบเงิบเบาๆ
อยู่กับซื่อหลางแล้วว
เป็นกำลังใจให้จ้า
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-06-2015 21:06:12 โดย boboman »

ออฟไลน์ JustWait

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-4
กรี๊ดรอ.. เราว่าน้องหลงน่าจะโตมาหล่อนะคะ..

ออฟไลน์ Nus@nT@R@

  • Life is Investment
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5589
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +456/-11
ดีใจ...น้องจะได้ไปอยู่บ้านใหม่

ออฟไลน์ poogan_zadd

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
โอยยย ตื้นตันใจมากๆ ในที่สุดก็พบที่ที่ดีสำหรับตัวเอง
ห่วงแต่ดราม่าจะตามมา ฮือ

ออฟไลน์ ycrazy

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 461
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-1
นึกว่าจะเป็นแนวดาร์กซะแล้ว :katai5:

ออฟไลน์ Natsukairi

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 46
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
    • Fanpage
ดอกท้อที่ ๕




หย่งคังกำลังพยายามปรับตัวกับครอบครัวใหม่

กิจวัตรประจำวันทุกอย่างของเด็กชายเปลี่ยนไปตั้งแต่ย้ายมาอยู่กับหลี่ซื่อหลาง นับเป็นเวลาสัปดาห์กว่าๆ แล้ว ในทุกๆ เช้ามักจะเห็นพี่ชายคนโตลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่างก๊อกแก้กๆ ในห้องครัว

“หย่งคัง เจ้าลงมาทำอะไรข้างล่าง?”

“…”

เขาไม่ตอบ

“ยังเช้าอยู่เลย เจ้าไม่กลับไปนอนหรือ?”

หลี่ซื่อหลางหันไปถามแวบหนึ่งก่อนจะสาละวนกับของที่อยู่ในหม้อต่อ “อา…ได้ที่สักที” หม้อที่ตั้งบนเตาส่งกลิ่นหอมฉุย  ชายหนุ่มถูมือไปมาแล้วค่อยๆ ยกหม้อใหญ่ขึ้นจากเตาด้วยความระมัดระวัง

หลี่ซื่อหลางทำทุกอย่างได้คล่องแคล่ว เขาเช็ดมือกับผ้ากันเปื้อนแล้วย่อตัวคุยกับเด็กชาย

“หย่งคัง เจ้าอยู่แถวนี้อาจจะบาดเจ็บได้ ข้ายังมีงานต้องทำ ดังนั้นขึ้นไปรอข้างบนก่อนดีหรือไม่?”

หย่งคังพยักหน้า เขาเรียนรู้ว่าถ้าทำตามคำสั่งก็จะไม่ถูกลงโทษ

...หากเด็กชายทำผิด…ผู้ชายคนนี้จะตีเขาหรือไม่นะ…

“พี่ซื่อหลาง”

ฟานตงเพิ่งลงมาจากชั้นสอง เตรียมมาเป็นลูกมือช่วยขายน้ำเต้าหู้ในวันนี้ ทว่าสายตาบรรจบเข้ากับเด็กชายตัวเล็กพอดี

“เจ้าเตี้ยนี้มาวุ่นวายอะไร?”

“หย่งคังแค่สงสัยว่าข้ากำลังทำอะไรน่ะ ไหนๆ ก็มาแล้ว เจ้าช่วยพาเขาขึ้นไปนอนต่อทีสิ”

“ให้ข้าพาไป?!”

หลี่ซื่อหลางพยายามไม่สนใจสีหน้าบอกบุญไม่รับของน้องชาย “ใช่ เพราะตอนนี้มีแค่เจ้าที่ว่าง”

“ข้าจะมาช่วยท่านขายน้ำเต้าหู้ ข้าไม่ว่าง”

คนเป็นพี่เอ่ยเสียงอ่อน “ฟานตง”

“…ก็ได้!” ปากตอบตกลง แต่สายตาไม่ชอบใจกลับจ้องน้องเล็กที่ยืนเบียดหลี่ซื่อหลางอย่างกล้าๆ กลัวๆ ชนิดไม่วางตา

เห็นแล้วมันน่าหมั่นไส้นัก!

“มาสิ! ตกลงจะไปไม่ไป?”

ฟานตงเหล่ตามองอย่างหงุดหงิด ชักเท้าหันหลังเดินกลับทางเดิม ทางด้านหย่งคังก็เอาแต่ชำเลืองมองหลี่ซื่อหลางเล็กน้อย ก่อนจะเดินคอตกตามฟานตงที่เดินล่วงหน้าไปก่อนหลายก้าว แต่ละก้าวส่งเสียงดังจากการกระแทกเท้าด้วยอารมณ์คุกรุ่น

“พี่ซื่อหลาง นะ พี่ซื่อหลาง!”

เดินไปบ่นไป ฟานตงคิดว่านี้คงเป็นวิธีระบายความเครียดอย่างหนึ่งของเขา

“เลี้ยงหมาแมวยังพอว่า นี่เล่นไปเก็บเด็กที่ไหนมาเลี้ยงก็ไม่รู้! ข้าล่ะไม่เข้าใจเลยจริงๆ เฮ้อ!!”

หย่งคังยังคงก้มหน้าเงียบเดินต่อ ไม่เอ่ยเอื้อนคำใดออกไป เขาชินกับการทำตัวเป็นอากาศธาตุเสียแล้ว

“นี่! เจ้าเปี๊ยก”

ฟานตงหยุดเดิน ทำให้คนตัวเล็กชะงักฝีเท้าตามก่อนจะเงยหน้ามองอีกฝ่ายช้าๆ

“ข้าไม่รู้หรอกว่าเจ้าไปทำอะไรให้พี่ข้ายอมรับมาเลี้ยง แต่บอกไว้ก่อนว่าข้าไม่ไว้ใจเจ้า!” ฟานตงมีสีหน้าไม่พอใจ “คนสมัยนี้รู้หน้าไม่รู้ใจ ต่อให้เป็นแค่เด็กก็ใช่จะเดียงสา เจ้ามีแผนอะไร? หากคิดทำการอะไรบ้าๆ รับรองเจ้าไม่ตายดีแน่!”

ฟังจากเสียง จินตนาการออกเลยว่าคนพูดกำลังควันออกหู ฟานตงเดินตึงตังไปที่หน้าห้องนอนหลี่ซื่อหลาง ผลักคนตัวเล็กเข้าไปด้านในแล้วปิดประตูใส่อย่างแรง

ปัง!

“แล้วไม่ต้องเสนอหน้าออกมานะ!”

หย่งคังยืนนิ่งๆ ในห้องนอนที่ไม่ได้จุดตะเกียง ห้องมืดสนิท มีเพียงแสงจันทร์รำไรสอดส่องทางหน้าต่าง ตอนนี้ยังเป็นเวลาเช้ามืดอยู่ แต่มันก็ช่วยไม่ได้นี่นา หย่งคงเห็นคนที่นอนข้างๆ ลุกขึ้นไปทำอะไรบางอย่างเป็นประจำ เจ้าตัวจึงนึกสงสัยก็เท่านั้น เขาไม่ได้คิดจะทำอะไรไม่ดีเสียหน่อย

เด็กชายย่อตัวนั่งลงกับพื้นห้อง กอดเข่าตัวเอง

“ซื่อ…หลาง…”

ปากเล็กขยับพูดเสียงแผ่ว “ซื่อ…หลาง…ซื่อหลาง”

หย่งคังในวัยแปดปี ผ่านช่วงเวลาเลวร้ายมาได้หนึ่งอาทิตย์ ตอนนี้คำๆ เดียวที่ทำให้เขารู้สึกราวกับถูกดึงขึ้นจากขุมนรกมีอยู่เพียงสองพยางค์

นั่นก็คือ

“…ซื่อหลาง…”



-------------------------------------------------------------



ฟานตงไม่ชอบหน้าน้องเล็กคนใหม่เอาเสียเลย

แต่ยิ่งเกลียดก็ยิ่งเจอราวกับสวรรค์กลั่นแกล้ง เช้านี้หลี่ซื่อหลางขอให้ฟานตงช่วยสอนงานให้หย่งคัง ช่วงที่พี่ชายคนโตยังยุ่งวุ่นวายอยู่หน้าร้าน คอยรับมือกับลูกค้า น้องชายสองคนจึงต้องทำหน้าที่หลังครัวเป็นกำลังเสริม

 “เจ้าเปี๊ยก! ทำอะไรให้มันเข้มแข็งหน่อยสิ!”

คนตัวสูงกว่าตวาดลั่น ไม่ว่าคนตัวเล็กจะหยิบจับอะไรก็เหมือนจะผิดไปเสียหมด

“หย่งคัง! เจ้าเป็นมดหรือถึงได้มีแรงเท่านี้? นวดไป! ยังจะมามองหน้าอีก เดี๋ยวปั๊ด!”

ฟานตงทำท่าจะตวัดมือใส่อีกฝ่าย แต่ไม่ได้ตั้งใจจะทำจริงๆ หรอก ถึงจะไม่ชอบหน้าแต่เขาไม่เคยลงมือกับคนที่ดูยังไงก็อ่อนแอกว่า จริงๆ แค่ได้เห็นสีหน้าหวาดกลัวของมันก็สะใจแล้ว

“เจ้านวดแป้งแบบนั้นชาติไหนจะเสร็จ?”

หย่งคังก้มหน้า  เขาก็พยายามทำเต็มที่อยู่นี่อย่างไรเล่า “ข้าทำตามที่ท่านบอก…”

“เจ้าว่าอย่างไรนะ?”

ที่ถามไม่ได้ตั้งใจกวนประสาท แต่เพราะอีกฝ่ายพูดเบามากจนไม่ได้ยิน ต้องถามซ้ำ “เป็นลูกผู้ชายหัดพูดเสียงดังฟังชัด! เจ้าทำตัวหงอแบบนี้มีแต่ทำให้พี่ซื่อหลางเป็นห่วง อย่าทำให้พี่ชายข้าต้องเหนื่อยเพิ่มเพราะเจ้า!”

“…ขอโทษ…”

หลังของเด็กชายงองุ้มลงกว่าเดิม ฟานตงเห็นแล้วได้แต่เวทนาอยู่ในใจ

อะไรทำให้เจ้าเด็กนี้อ่อนแอถึงเพียงนี้?

“เอาเถอะ” ฟานตงถอนหายใจ “ข้าจะสอนเจ้าใหม่ คราวนี้ตั้งใจดีๆ ล่ะ” คนตัวสูงกว่าไม่ตวาดอีกแล้ว ท่าทางดูใจเย็นลง หย่งคังจึงยืดตัวตรง มองดูอีกฝ่ายอธิบายวิธีการนวดแป้งปาท่องโก๋ ปั้นจนขึ้นรูปและวางลงบนถาด ต่อจากนี้หลี่ซื่อหลางจะเป็นคนจัดการเอาไปทอดเอง

“ไม่ยากใช่หรือไม่?”

อาจารย์จำเป็นเอ่ยถาม นักเรียนพยักหน้าแล้วลงมือทำตามเคร่งครัด

ฟานตงทำเพียงกอดอกมองดูเจ้าเปี๊ยกตั้งใจนวดแป้งอย่างขยันขันแข็ง ว่านอนสอนง่ายดี เว้นเสียแต่ดูอ่อนแอเหมือนผู้หญิงไปหน่อย โดนใครรังแกได้ง่าย เห็นแล้วน่าโมโหยังไงพิกล

“เจ้าเปี๊ยก”

“…ข้าชื่อหย่งคัง”…ชื่อที่ซื่อหลางเป็นคนตั้งให้

เด็กชายพูดออกไปไม่ทันคิด กว่าจะคิดได้ก็เห็นสีหน้าขัดใจของอีกฝ่าย

“เออ! ข้ารู้! ไม่ได้สมองเสื่อมถึงจะได้ลืมชื่อใครต่อใครเหมือนอย่างเจ้าที่แม้กระทั่งชื่อเดิมของตัวเองก็จำไม่ได้” ด้วยความว่าปากร้าย ฟานตงจึงพูดออกไปไม่คิดเช่นเดียวกัน

สีหน้าหย่งคังสลดลงอย่างเห็นได้ชัด

“ทำไม? เจ้าเจ็บใจที่ข้าต่อว่า?” ฟานตงเอ่ยถามเสียงค่อนแคะ “เช่นนั้นเหตุใดไม่รู้จักต่อสู้เพื่อตัวเอง เจ้าต้องมีพี่ซื่อหลางคอยปกป้องไปตลอดชีวิตหรือ?”

หย่งคังไม่รู้ว่าควรพยักหน้าหรือส่ายหน้าดี เขาอยากอยู่กับหลี่ซื่อหลาง แต่ไม่อยากทำตัวเป็นภาระ

“ข้าพูดกับเจ้าอยู่นะ!”

หางคิ้วฟานตงกระตุกรัว ความเครียดทะลุจุดยอดของปรอทความอดทน

“หากเจ้าอยากจะอ่อนแอแบบนี้ต่อไปจนตายก็เรื่องของเจ้า! แต่อย่าทำให้พี่ชายของข้าต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วย ทุกวันนี้เขาก็เหนื่อยสายตัวแทบขาด ยังต้องมานั่งดูแลเด็กไม่รู้จักโตเช่นเจ้าอีก!” ฟานตงรู้สึกโมโหจนอยากเอาหัวโขกกำแพงจนสลบไปทั้ง อย่างนั้น แต่เพราะเขาเองก็ไม่อยากทำให้หลี่ซื่อหลางหนักใจเพิ่ม ดังนั้นจึงเลือกที่จะค่อยๆ สงบสติอารมณ์ลง

“เจ้าเปี๊ยก”

“…”

“จงเก็บเรื่องที่ข้าพูดไปคิด”

ทิ้งท้ายไว้ก่อนจะหันหลังเดินกลับออกไป หย่งคังก้มหน้าคางชิดอก มองเท้าตัวเองด้วยความนึกสมเพช เขาอ่อนแอจริงๆ แม้กระทั่งตอนที่บิดาจะฆ่าตนก็ยังยอม



‘หลับเถิด คืนนี้ข้าจะปกป้องเจ้าเอง’



ทุกคืน หลี่ซื่อหลางจะจูบหน้าปากเขาแล้วพูดประโยคเดิม ย้ำเตือนว่าตอนนี้เด็กชายไม่ได้อยู่เพียงลำพัง ไม่มีความจำเป็นต้องนึกถึงตนเองในอดีต ทิ้งความหวาดกลัว เขาไม่อยากเป็นเด็กอ่อนแอที่ไม่มีใครต้องการ

…ไม่อยากเป็นคนที่หลี่ซื่อหลางไม่ต้องการ…

หาก หย่งคัง หมายความว่า ผู้แข็งแกร่ง

พรุ่งนี้…เด็กชายสัญญาว่าจะเปลี่ยนตัวเอง



-------------------------------------------------------------



หลี่ซื่อหลางนึกแปลกใจทุกครั้งที่เห็นเด็กชายตัวเล็กเมื่อสองเดือนก่อน บัดนี้กลายเป็นเด็กชายที่สุขภาพและรูปร่างสมบูรณ์มากขึ้น เริ่มมีกล้ามเนื้อนิดหน่อย ไม่แห้งแกร็นอย่างถั่วงอกแคระอีกแล้ว

แถมระยะหลังมานี้ หย่งคังกลับไม่นั่งเงียบเป็นเป่าสากเหมือนเก่า ขอสิบ แต่ทำให้ร้อย ขยันขันแข็งแซงหน้าฟานตงไปไกลลิบ

เขามองข้ามความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ไปได้อย่างไร?

ชายหนุ่มนั่งพิจารณาอีกครั้ง มองเห็นแววตาที่เจือความมุ่งมั่นบางอย่างอยู่ในนั้น เห็นแล้วยิ่งอดสงสัยไม่ได้

“หย่งคัง มานี้สิ”

หลี่ซื่อหลางกวักมือเรียกน้องเล็กที่ยกกองหนังสือออกจากห้องนอนของเขา “เจ้าทำอะไรอยู่ หืม?”

“เก็บของให้ท่าน”

“เก็บทำไมเล่า เหนื่อยเปล่าๆ” หลี่ซื่อหลางยกมือลูบหัวคนตัวเล็ก อีกฝ่ายรีบขยับเข้าหาฝ่ามืออบอุ่นคู่นั้นทันที

“ข้าอยากช่วย”

“ทุกวันเจ้าก็ช่วยข้าขายน้ำเต้าหู้จนหมดอยู่แล้วไม่ใช่หรือ?”

“อยากช่วยอีก”

เพราะเป็นเด็กจึงไม่รู้ว่าสิ่งที่ทำอยู่เขาเรียกประจบ หากเจตนาของเด็กชายก็มีแค่อยากให้หลี่ซื่อหลางไม่ทอดทิ้งตนเท่านั้น “ข้าจะทำตัวให้มีประโยชน์ ไม่อ่อนแอ ท่านอย่าไล่ข้าออกจากบ้านเลยนะ”

หลี่ซื่อหลางเลิกคิ้ว “ใครจะไล่เจ้า?”

หย่งคังก้มหน้า ทำท่าจะแบกกองหนังสือออกไปจากตรงนี้โดยเร็วไว หากหลี่ซื่อหลางจับตัวไว้ทัน

“ตอบข้ามาก่อน”

“…ท่านจะไม่ทิ้งข้าใช่หรือไม่?”

รู้อยู่แก่ใจว่าเป็นคำถามที่สำคัญตัวสิ้นดี หากหย่งคังก็ยังคาดหวังในคำตอบ

“แน่นอนสิ” หลี่ซื่อหลางยิ้มบาง “พี่ใหญ่อย่างข้าไม่ทิ้งน้องชายหรอก ทั้งเจ้าและฟานตงเป็นครอบครัวเดียวกับข้านะ ตัวเล็กแค่นี้ทำไมคิดมาก?”

หย่งคังยิ้มตอบ แม้เป็นยิ้มที่เบาบางมาก แต่ข้างในซึ้งจนน้ำตาจะไหล

“…ขอบคุณ…พี่ใหญ่”



-------------------------------------------------------------



เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก

สองปีมาแล้วที่หย่งคังย้ายมาอยู่กับหลี่ซื่อหลางและฟานตง เขาโตขึ้นเป็นเด็กชายวัยสิบปีที่มีร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงดีทุกประการ ไม่แห้งเหมือนถั่วงอกแคระอย่างที่ฟานตงมักจะค่อนแคะเขาอยู่ทุกวี่ทุกวัน

ถึงแม้พี่รองจะแสดงออกว่าหมั่นไส้เขาอยู่บ้าง หากก็ไม่เคยแกล้งเขาแรงๆ เลยสักครั้ง

“ก็เจ้านั่นแหละ!”

“ข้าก็สูงใกล้เคียงกับท่านแล้วนะ”

นั่นแหละที่น่าโมโห! ฟานตงทำสีหน้าเคียดแค้น แต่คนผ่านมาเห็นกลับมองว่ามันดูตลกมากกว่า

“ปวดหนักหรือฟานตง ตรงนี้ข้าเก็บเองก็ได้ เจ้าไปเข้าห้องน้ำเถอะ”

หลี่ซื่อหลางที่เพิ่งมาใหม่เอ่ยด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง ไม่คิดจริงๆ ว่ากำลังดูถูกการแสดงความเคียดแค้นทางสีหน้าของฟานตงอย่างถึงที่สุด

“ข้าไม่ได้ปวดหนักเสียหน่อย! เถอะ! ข้าไม่อยากเสวนากับพวกท่านแล้ว ไปหาพี่ลี่ถิงดีกว่า”

ว่าแล้วก็ทิ้งของที่บอกจะช่วยเก็บเสียดื้อๆ วิ่งแจ้นออกไปหาเพื่อนสนิทต่างวัยในทันที หาใช่ความจริงอยากไประบายอารมรณ์ใส่หยงเทียนเสียมากกว่ากระมัง

“อะไรของเจ้าน้องคนนี้นะ”

หลี่ซื่อหลางรำพึงกับตัวเอง หันไปหาเจ้าน้องคนเล็กที่ทำงานอย่างขยันขันแข็ง “เจ้าไม่ต้องช่วยข้าเก็บก็ได้ หย่งคัง ไปหาอะไรทำเถอะ”

“ข้าช่วยท่านแหละดีแล้ว”

“เป็นเด็กก็ทำตัวให้เหมือนเด็กเถอะ ไม่ไปเล่นกับเพื่อนหรือไร?”

“ใครก็ดีไม่เท่าพี่ใหญ่หรอก” หย่งคังยิ้มจนตากลมกลายเป็นเส้นตรง “ข้าอยากอยู่ช่วยท่านมากกว่า”

หลี่ซื่อหลางไม่มีปัญหาอยู่แล้ว เจ้าตัวไหวไหล่ “เอางั้นก็ได้”

ชายหนุ่มวัยยี่สิบสามหันไปสนใจกับหม้อน้ำเต้าหู้แทน เขานำมันไปล้างจนสะอาด กวาดถ้วยที่ล้างแล้วเช่นกันไปตากแดดให้แห้ง รวมรวมขยะเป็นถุงแล้วนำไปทิ้งที่จุดทิ้งสิ่งปฏิกูล

หลี่ซื่อหลางทำทุกอย่างด้วยความคล่องแคล่ว

โดยหารู้ไม่ว่าทุกการกระทำของตนมีสายตาคู่หนึ่งคอยจับจ้องด้วยความชื่นชม หลงใหล และคลั่งไคล้จนปิดบังไม่อยู่

คนๆ นั้นไม่ใช่ใครที่ไหน…

แต่กลับเป็นน้องเล็กหย่งคังของเขา!

“ซื่อหลาง!”

เสียงคุ้นหูเรียกชายหนุ่มจากหน้าร้าน เป็นจิ้งอี้ เพื่อนสนิทเขานั่นเอง

“เจ้าตัวเล็กมาด้วยหรือเปล่า?” ซื่อหลางเป็นโรคแพ้เด็กน่ารัก ยิ่งเห็นลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนที่วันนี้เพื่อนสนิทอุ้มเตงๆ ติดมาด้วยก็เกิดอาการตัวสั่นไม่ทราบสาเหตุ

“ไหนๆ มาหาลุงซื่อหลางหน่อยซี่ มามะ ถิงถิงเด็กดี”

หลี่ซื่อหลางปรี่เข้าไปรับร่างทารกน้อยมาอุ้มด้วยความเอ็นดู ไถแก้มไร้หนวดเคราของตัวเองกับแก้มใส เด็กน้อยส่งเสียงร้องเอิ้กอ้ากชอบใจ มือน้อยๆ ขยำหน้าคนเป็นลุงอย่างสนุกมือ ขณะเดียวกัน คนเป็นลุงก็มีความสุขกับมือนิ่มๆ ของหลานเช่นกัน

“ไม่เห็นหัวพ่อถิงถิงมันเลยนะ”

จิ้งอี้ทำสายตาเขม่น ก่อนจะดึงลูกสาวสุดหวงมาอุ้มเสียเอง “วันนี้ขายหมดไวจัง นี่เมียข้าอุตส่าห์สั่งให้มาอุดหนุนเจ้าแท้ๆ ออกมาเสียเที่ยวเลย”

“ข้ามีตัวเรียกลูกค้าเพิ่ม ก็ย่อมหมดเร็ว”

“หย่งคัง?”

“แน่นอน เขาหล่อเหมือนข้า น่ารักเหมือนฟานตง”

จิ้งอี้มีสีหน้าระอา “ได้ข่าวว่าทั้งเจ้า ฟานตงแล้วก็หย่งคังไม่เกี่ยวข้องกันทางสายเลือด”

“เกี่ยวไม่เกี่ยวไม่รู้ แต่ชะตามันต้องกัน” หลี่ซื่อหลางยักไหล่ก่อนจะหันไปยิ้มเผล่ให้หนูน้อยถิงถิง “เน้อออออ หลานลุง เนอะเนอะ”

พอกับคนใกล้ตัว หลี่ซื่อหลางก็จะเป็นกันเองแบบนี้ บ่อยครั้งทำให้คนที่รู้จักกันเผินๆ แปลกใจ และหลงเสน่ห์เจ้าตัวได้ไม่ยาก แต่หากไม่สนิทชิดเชื้อจริงๆ คงได้แต่เห็นหลี่ซื่อหลางในคราบผู้ชายแสนสุภาพ เรียบร้อยและถ่อมตนนั้นแล

“ช่วงนี้เจ้าดูผอมลงหรือเปล่า”

จิ้งอี้เอ่ยทัก มือข้างที่ว่างจับแขนที เอวที สะโพกทีจนฝ่ายโดนจับหน้าร้อนวูบ “จับอะไรของเจ้า!”

หากหย่งคังที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลกลับมีท่าทีเป็นเดือดเป็นร้อนเสียยิ่งว่าหลี่ซื่อหลางซะอีก อย่าจับนะ! นั่นพี่ใหญ่ของข้า! ต่อให้ อยากตะโกนออกไปแล้วจับทั้งสองคนแยกออกจากกัน แต่หย่งคังในวัยสิบสามปีไม่มีปัญญาทำถึงเพียงนั้น

“ซื่อหลาง ข้าเกรงว่าเจ้าจะโดนฟานตงกับหย่งคังแย่งสารอาหารไปหมดเสียแล้วกระมัง”

“ข้าก็เหมือนเดิม” ว่าแล้วก็ก้มมองตัวเอง พักนี้อาจจะผอมลงจริงๆ นั้นแหละ

“เอาเถอะ ดูแลตัวเองเสียบ้าง” จิ้งอี้บอกด้วยความเป็นห่วง “ว่าแต่ ซื่อหลาง”

“หือ?”

“เหมยหลินถามถึงเจ้าอีกแล้วนะ”

มือที่เล่นกับหนูน้อยถิงถิงถึงกับชะงัก ไม่ต่างกับหย่งคังที่แอบฟังอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล

“ทั้งฟานตงและหย่งคังเองก็เริ่มดูแลตัวเองได้แล้วไม่ใช่หรือ?”

“โตแค่ไหนพวกเขาก็เป็นแค่เด็กสำหรับข้าเสมอ” คำพูดนี้ไม่ทำให้หย่งคังรู้สึกดีเท่าไหร่ เขาอยากโตเป็นผู้ใหญ่เพื่อดูแลหลี่ซื่อหลาง…เอ่อ แน่นอนว่าฟานตงด้วย หากเจ้าตัวต้องการ

“งั้นพูดกันตรงๆ เมื่อไหร่เจ้าจะใจอ่อนกับน้องสาวข้าเสียที”

ร่างโปร่งเงียบไปสักพัก “ข้าไม่ได้คิดกับนางแบบนั้น”

คำตอบของหลี่ซื่อหลางคราวนี้ทำให้หย่งคังอดยิ้มกับตัวเองไม่ได้

“แต่งแล้วเดี๋ยวใจเจ้าก็เปลี่ยนเอง”

“ข้ารู้ใจตัวเองดี จิ้งอี้ สำหรับข้า เหมยหลินเป็นแค่น้องสาวเท่านั้น”

เพื่อนสนิทที่กลายมาเป็นพ่อลูกหนึ่งถอนหายใจเฮือก “ข้าหวังดีนะ ไม่อยากแต่งกับน้องข้าก็ไม่เป็นไร แต่ข้าก็ไม่อยากเห็นเจ้าแก่ตัวไปโดยไร้ภรรยาและลูก มันดีมากนะถ้าเจ้ามีใครสักคน เป็นความรู้สึกที่ไม่เหมือนเวลาเจ้ามีฟานตงหรือหย่งคัง เจ้าเข้าใจที่ข้าหมายถึงหรือไม่? ซื่อหลาง”

หลี่ซื่อหลางยิ้มรับ ตบบ่าเพื่อนสนิทปุๆ “ขอบใจเจ้ามาก เอาไว้ข้าจะเก็บไปคิดนะ”

“แค่เก็บไปคิดข้าก็ดีใจแล้ว” จิ้งอี้ยิ้มออก “หากคิดจะตบแต่งใครจริงๆ คิดถึงน้องสาวข้าเป็นคนแรกก็ดี”

“เจ้านี่นะ!”

หลี่ซื่อหลางส่ายหัวระอาก่อนจะขอตัวกลับไปเก็บร้านต่อ หลังจากแยกย้ายกันไป ชายหนุ่มก็เพียงหันไปเก็บของเล็กๆ น้อยๆ ให้เข้าที่ก็ถือเป็นอันเสร็จงานแล้ว

“พี่ใหญ่”

“หืม?” หลี่ซื่อหลางหันไปมองหน้าน้องเล็กที่เดินเข้ามากอดเอวเขาแน่น

ดูๆ ไปแล้วหย่งคังก็โตเร็วเหมือนกันนะ แปบๆ ก็สูงเท่าอกเขาแล้ว ไม่นานคงสูงแซงหน้าฟานตง แล้วก็แซงหน้าเขาเป็นแน่ คนเป็นพี่นึกภาพแล้วก็อดภูมิใจขึ้นมาไม่ได้

“ยิ้มอะไรของท่าน?”

“ข้าภูมิใจในตัวเจ้าอยู่น่ะ” หลี่ซื่อหลางไม่รู้เลยว่าคำพูดตรงไปตรงมาของเขาทำให้ แก้มผิวสีน้ำผึ้งที่เกิดจากการออกแดดบ่อยครั้งขึ้นสีแดงระเรื่อลามไปถึงใบหู หย่งคัดเกาจมูกตัวเองแก้ขัดเขิน

“ท่านภูมิใจอะไรในตัวข้า พี่ใหญ่”

“ทุกอย่างแหละ”

ถึงตายข้าก็ไม่เสียดายชีวิตแล้ว หย่งคังคิดกับตัวเองเช่นนั้นจริงๆ

“ข้าอยากได้รายละเอียด”

“อ่า…” หลี่ซื่อหลางทำสีหน้าขบคิด “ถ้าเทียบกับเด็กในวัยเดียวกัน เจ้าทั้งหล่อทั้งสูง อีกไม่นานคงกลายเป็นหนุ่มรูปงามที่มีสาวมาเที่ยวขายขนมจีบไม่เว้นวันเป็นแน่”

“แค่นี้เองหรือ?” หย่งคังแสดงสีหน้าผิดหวังนิดๆ

เขามีดีที่หน้าตาอย่างเดียวหรือไร?

“…แล้วเจ้าก็เข็มแข็ง ขยัน เป็นหย่งคังที่ดีของข้ามาตลอดน่ะสิ เจ้าเด็กขี้ใจน้อย” หลี่ซื่อหลางหัวเราะชอบใจที่ได้แกล้งน้องเล็ก ดูท่าหย่งคังจะเอานิสัยขี้งอนมาจากฟานตงมาเต็มเม็ดเต็มหน่วยทีเดียว

พอได้ยินเช่นนั้น สีหน้าหย่งคังก็ดูมีความหวังมากขึ้น “ข้าเป็นหย่งคังที่ดีของพี่ใหญ่”

“ใช่แล้ว”

หากหย่งคังยังรู้สึกไม่พอใจกับสถานะนี้

…เขาจะเป็นคนรักที่ดีของพี่ใหญ่ด้วย…






-------------------------------------------------------------




ขณะที่หยงเทียนกำลังขะมักเขม้นกับการจับ เจ้าสำลี หมาขนยาวสีขาวตัวสูงใหญ่พอๆ กับเด็กห้าขวบให้อยู่นิ่งๆ ในกระบะอาบน้ำอยู่นั้น ฝ่ามือล่องหนที่เขาไม่ทันสังเกตเห็นก็ตบฉาดเข้าที่หัวอย่างจัง

ป้าบ! เข้าให้

“โอ้ย!” เผลอปล่อยสายจูงเจ้าสำลีจนมันวิ่งหนีหายเข้าบ้าน หมดโอกาสจับสุนัขอาบน้ำแล้วในเช้าวันนี้

“หยงเทียน! ข้าหงุดหงิด!”

“อยู่ใกล้แค่นี้เจ้าจะตะโกนเพื่อ?” หยงเทียนที่ปัดนี้กลายเป็นเด็กหนุ่มวัยสิบเจ็ดปีลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ร่างกายบึกบึนด้วยมัดกล้ามจนเป็นที่หมายปองของหญิงสาวชวนให้อารมณ์หงุดหงิดของฟานตงเพิ่มสูงขึ้น  ทนไม่ได้ต้องระบายโดยการทุบกำปั้นลงบนหน้าท้องที่แน่นไปด้วยลูกระนาดหกลูกเรียงตัวกันอย่างสวยงาม

…หากคราที่ก้มลงดูหน้าท้องตัวเองบ้าง…

นอกจากจะไม่มีกล้ามเนื้อใดๆ แล้ว ยังมีแต่แหล่งสะสมไขมันจำนวนมากอีกต่างหาก!

คิด! แล้ว! แค้น!

“เป็นอะไรมาต่อยท้องข้า?”

ไม่สะเทือนแล้วยังมีหน้ามาเหล่ตามองเขาอย่างดูถูกเหยียดหยามอีก! (คิดไปเอง) คิดว่าสูงกว่าแล้วจะสามารถถือตัวข่มท่านได้งั้นหรือหยงเทียน?!

“ข้าหงุดหงิด!”

“เรื่องหย่งคัง?”

ฟานตงหันไปมอง “เจ้ารู้ได้ไง!”

“จะมีสักกี่เรื่องที่ทำให้เจ้าวิ่งแจ้นมาหาข้า” หยงเทียนก้มเก็บอุปกรณ์ที่จะใช้อาบน้ำให้เจ้าสำลีเข้าที่ ก่อนจะจูงมือเพื่อนสนิทเข้าไปนั่งในสวน

“ไปหาพี่ลี่ถิงก่อนข้าหรือเปล่า?”

“เออ ข้าไป แล้วเจ้าจะทำไม?”

หยงเทียนเม้มริมฝีปาก “พี่ลี่ถิงเขาจะแต่งงานอยู่แล้ว คราวหลังไม่ต้องไปรบกวน”

“ข้าสนิททั้งกับพี่ลี่ถิง ทั้งเหมยลี่ ว่าที่ภรรยาของเขา ไม่เห็นมีอะไรรบกวน ก็ถือเสียว่าไปเยี่ยมเยียนเท่านั้น” ฟานตงอธิบาย แต่ก็ไม่ค่อยเข้าใจว่าตนจำเป็นจะต้องอธิบายไปทำไม “ช่างเรื่องพี่ลี่ถิงเถอะ ข้ามีเรื่องหนักใจมากกว่านั้น!”

“ว่ามาสิ”

ทั้งสองนั่งลงที่ม้านั่งในสวนหน้าบ้านของหยงเทียน “หย่งคังมันสูงจะทันข้าแล้ว!”

คนฟังเงียบไปสักพัก หันไปมองหน้าคนพูดด้วยแววตาเรียบนิ่ง

“แค่นี้?”

“แค่นี้ที่ไหน!”

ฟานตงโพล่งตัวขึ้นจากม้านั่ง ลำบากหยงเทียนต้องฉุดให้นั่งลงอีกรอบ ก่อนเจ้าตัวจะระบายความอัดอั้นตันในใจต่อ “เรื่องนี้ใหญ่มากเลยนะ! หากเจ้านั่นสูงแซงหน้าข้าเมื่อไหร่ ข้าก็จะกลายเป็นคนที่เตี้ยที่สุดในสามพี่น้อง แม่นางตระกูลไหนจะเหลียวมองข้ากัน? ข้าไม่ต้องนั่งตบยุงไปจนแก่หรือ?! แล้วหาก…”

หยงเทียนพยายามฟังฟานตงพรั่งพรูสิ่งที่ตนรู้สึกเจ็บปวดใจไปต่างๆ นาๆ หากสายตาคมเข้มกลับค่อยๆ เลื่อนลงไปหยุดมองที่ริมฝีปากคนพูดแทน มองมันขยับบ่นไปมาไม่ขาดสาย กระนั้นหยงคังก็ชอบที่จะนั่งมองอย่างเงียบๆ

หากได้ลิ้มลองจะเป็นเช่นไรหนอ?

“…แล้วนะ พอข้าเรียกเจ้านั่นว่าเปี๊ยก อีกหน่อยคำนั้นมันคงกระทบข้าแทนกระมัง!”

“…”

“นี่เจ้าฟังข้าอยู่หรือเปล่า?”

หยงเทียนกระพริบตาได้สติกลับคืน “อืม…”

“เฮ้อ! ข้าล่ะเพลีย ทำอย่างไรถึงจะสูงใหญ่บึกบึนสมชาย เจ้ามีเคล็ดลับอะไรบอกข้ามานะ!”

“เจ้าเป็นแบบนี้ก็ดีอยู่แล้ว”

“ก็บอกอยู่ว่าไม่ดี! ฟังที่ข้าเล่าไปบ้างหรือเปล่า ข้าเพิ่งบอกไปอยู่ว่า…”

แล้วฟานตงก็เริ่มเล่าเรื่องใหม่ทั้งหมดตั้งแต่ต้นอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

…ขณะเดียวกัน…

หยงเทียนก็แอบมองริมฝีปากของฟานตงอย่างไม่รู้จักเบื่อหน่ายเช่นกัน



 
-------------------------------------------------------------






To be continued...







Talk : ต้องขอโทษที่หายไปหลายวันนะคะ *ร้องไห้*
พอดีว่าติดทำค่าย เลื่อนมาลงวันนี้แทนแล้วกันเนอะ
น้องหลงโตขึ้นล้าวววววว ท่าจะหล่อซะด้วยยยย
แบบนี้จะมัดใจพี่ซื่อหลางได้หรือเปล่าน้า รอติดตามนะคะ!


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-07-2016 11:17:33 โดย Natsukairi »

ออฟไลน์ boboman

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-2
จิ้มๆๆ
สารภาพว่าตอนแรกนึกว่าหย่งคังจะเป็นเคะ ปรากฏว่า อ้าว ไม่ใช่นี่หว่า แต่ก็ตงิดๆ ตั้งแต่ที่บอกว่าซื่อหลางเป็นร่างโปร่งละ ซื่อหลางโดนจองตัวไว้ รู้ตัวมั่งมั้ยเนี่ย 555555
ปรากฏโฉมคู่รองอย่างชัดเจน หึๆๆ
ปล. ตอนท้ายๆ ที่หยงเทียนคุยกะฟานตงอ่ะ คือคนแต่งเขียนว่าหย่งคังบ้างบางตัวอ่ะจ้า -O-;
รอตอนต่อปาย~
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-06-2015 19:55:34 โดย boboman »

ออฟไลน์ Ellette

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 155
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +194/-4
คอมเม้นท์ตั้งแต่ตอนแรกเลยแล้วกัน ตอนแรกคิดว่าน้องชายคนเล็กที่แม่ไม่รักจะเป็นเคะผู้อาภัพเสียอีก เลยตั้งใจจะเชียร์เต็มทีเพราะชอบเคะรัดทด อีกอย่างสารภาพว่าจำตัวละครไม่ค่อยได้เพราะเยอะแยะมาก แต่พอจะจำบุคลิกภาพแต่ละคนได้พอประมาณ ตอนที่น้องคนเล็กทำร้ายพี่ใหญ่นี่น่ากลัวนะ เด็กคนหนึ่งจะมีแรงได้ขนาดนี้เลยเหรอ เอาจริงก็คงมี แต่มีแรงทำให้ตาบอดเลยเหรอเนี่ย น่ากลัวเกินไปแล้วนะน้องเล็ก เพราะเปิดมาค่อนข้างจะเป็นเด็กที่น้อยเนื้อต่ำใจ พอพลิกมาอีกทีเป็นคนละคนไปแล้ว ตอนโดนรุมทำร้ายมันยังไม่ค่อยร้ายในความรู้สึกของคนอ่านเท่าไหร่เลยค่ะ มันควรจะร้ายกว่านี้ (ซาดิสม์เหรอออ?  :katai1:) ส่วนคุณแม่เลี้ยงอันนี้ร้ายมาแต่แรกจริงๆ แต่แสดงด้านร้ายของคุณแม่น้อยไปหน่อย ฝาแฝดก็น้อยไปนะ น่าจะได้ยาวกว่านี้ เพราะเหมือนมาร้ายแปบๆ แล้วตัดไปที่คุณพ่อที่ใจไม้ไส้ระกำอย่างแรง คุณแม่กับน้องฝาแฝดอันนี้รู้ว่าเป็นลูกคนละแม่และคงอยากกำจัด แต่พ่อคือคนให้กำเนิดแต่กับสาวใช้มันค่อนข้างจะร้ายกาจมากๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่บีบคอแล้วบอกจะปล่อยไป ไม่อยากฆ่าแต่จำใจต้องฆ่า อยากทราบเหตุผลของคุณพ่อ (หรืออาจจะอ่านไม่ดี) มีผลต่อตัวเองหรือเปล่า หรืออยากปกป้องลูก อันนี้คิดว่าคุณพ่อคงจะสบายใจส่วนหนึ่งเพราะได้บอกให้ลูกเล็กตายไปแล้ว ถ้ารักกันจริงๆ น่าจะปกป้องกันหน่อย ส่วนพระเอกของเรื่องนี้คงเป็นน้องคนเล็กแล้วล่ะ มาเฉลยตอนที่ห้า ที่แอบผิดหวังเล็กๆ (ที่แอบหวังว่าจะเป็นนายเอกตัวน้อยที่สู้ชีวิตและมีพระเอกคอยหนุนหลังให้ทำการใหญ่ได้สบายๆ) ที่กลายเป็นพระเอกไปได้ ส่วนนายเอกอีกคนนี่นึกไม่ออกระหว่างพี่ใหญ่กับพี่รอง  :เฮ้อ:  ความสัมพันธ์ระหว่างพี่ใหญ่กับพระเอกพอเข้าใจว่าผูกพันกันในระดับหนึ่ง เพราะเป็นคนเลี้ยงด้วย ส่วนพี่รองไม่ค่อยเห็นโมเม้นท์กันเท่าไหร่ค่ะ อยากรู้ว่าแค่มองเพราะอยากมองหรือมีอะไรอื่นๆ

ปล.พี่ใหญ่กับเพื่อนสนิทนี่ก็เกือบมีโม้เม้นท์กันนะคะ

ขอบคุณค่ะ  :mew1:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด