...ผีหลอก...
ไอ้ป้อน เป็นเด็กกำพร้า...
เมื่ออายุได้ 7 ขวบ สถานะของมันก็เปลี่ยนไปเป็นเด็กวัด...จนตอนนี้มันอายุได้ 17 ปีแล้ว มันก็ยังคงเป็นเด็กวัดอยู่เหมือนเดิม....
กิจวัตรตอนเช้าของมันคือ...ต้องตื่นตั้งแต่ไก่ยังไม่โห่ เพื่อออกไปบิณฑบาตกับหลวงตา ซึ่งนั่นมีสิ่งที่ขัดแย้งกับการเป็นเด็กวัดของมันอยู่อย่างหนึ่งคือ...มันกลัวผี...
ใช่...กลัวผี...วงเล็บ มากด้วย
เรื่องนี้...แม้แต่หลวงตาก็ยังไม่รู้ หรือถึงรู้ ท่านก็คงมองว่าเป็นเรื่องไร้สาระ สิบปีมาแล้วที่มันต้องนอนกระสับกระส่ายทุกคืน ยิ่งวันไหนมีการตั้งศพสวดพระอภิธรรมที่วัด มันยิ่งหนาวไปถึงขั้วหัวใจ...ที่มันไม่ได้บอกใครคือ...มันเห็นผี!!
อยากถามตัวเองอยู่เหมือนกันว่าทำไมยังไม่เลิกกลัวอีก เห็นก็ออกจะบ่อย แต่ก็นั่นแหละคนกลัวยังไงก็คือกลัว...ห้ามไม่ให้นึก ไม่ให้คิดบอกเลย...ยาก!!!
ครั้งแรกเลยที่มันเจอผีคือตอน 7 ขวบ
จำได้ว่า ตอนนั้นมันเข้ามาเป็นเด็กวัดใหม่ๆ ไอ้ป้อน...ออกไปบิณฑบาตกับหลวงตาเป็นครั้งแรก
...มันจำได้ขึ้นใจเลยว่าวันนั้นเป็นวันโกน...
ขณะที่ฟ้ายังมืดมิด หลวงตามาตามมันให้ออกไปกับท่าน ไอ้ป้อนยังจำได้ดี วันนั้นระหว่างที่กำลังเดินออกจากวัด มันเห็นยายแก่ๆ หงอกทั้งหัว นุ่งขาวทั้งตัว กระทั่งหน้ายังวอกอีกต่างหาก
ยายนั่งพับเพียบรออยู่ใต้ต้นโพธิ์ ต้นใหญ่ริมแม่น้ำ คล้ายกับนั่งรอใส่บาตร ซึ่งมันงงมาก รอใส่บาตรทำไมไม่ยักมีขันข้าวอะไรเลย แล้วหลวงตาก็ทำให้มันงงหนักด้วยการเดินผ่านคุณยายใต้ต้นโพธิ์ไป...
อ้าว
มันถามหลวงตาด้วยความงงงวยไปว่า 'หลวงตา ยายเขารอใส่บาตรอยู่ใต้ต้นโพธิ์ทำไมหลวงตาไม่จอดล่ะ' หลวงตาทำหน้าเมื่อยก่อนหันมาบอกมันว่า 'ไร้สาระ ข้ายังไม่เห็นมีใครสักคน'
'ก็มีจริงๆ นี่หลวงตา เนี่ย ๆ ' ไอ้ป้อนยังเถียง พร้อมกับชี้ ๆ ไปที่ใต้ต้นโพธิ์ตรงนั้น หลวงตาหันไปมองตามที่มันชี้ ยายแก่ก้มลงกราบมาตรงทิศที่หลวงตายืนอยู่
'ไหนล่ะคนจะใส่บาตรของเอ็ง ข้ายังไม่เห็นมีใครสักคน' ไอ้ป้อนที่กะจะเถียงก็ต้องขนลุกเกรียว เยี่ยวแทบราด เมื่อจู่ๆ คุณยายคนนั้นก็ค่อยๆ หายไปต่อหน้าต่อตาของมัน นั่นแหละไอ้ป้อนเลยไม่ติดใจอะไรออกวิ่งแซงหน้าหลวงตาไปเฉย
ผีหลอก!!!!
'ไปกันเถอะหลวงตา ป้อนก็ไม่เห็นใคร (ที่เป็นคน) เหมือนกัน' ไอ้ป้อนตะโกนบอกหน้าซีดปากสั่น หลวงตามีสีหน้าระอา 'เอ็งนี่ยังไงของเอ็ง'
นั่นล่ะ ตั้งแต่วันนั้นไอ้ป้อนก็เจอดีไม่เว้นแต่ละวัน...บ้างมาทักทาย มาพูดคุย บ้างก็มาหลอกมันสนุกสนาน มาหัวเราะฮิฮิ มาปิดไฟห้องน้ำ แล้วก็หายไป ไอ้ป้อนนี่แทบจะเป็นบ้า...ให้ตายเหอะ!!
“เฮ้ย...ไอ้เด็กวัด วันนี้เลิกเรียนพวกกูจะไปล่าท้าผีกัน มึงต้องไปนะเว้ย” ไอ้การัณฑ์หัวโจกในชั้นตะโกนสั่งมันข้ามหัวเพื่อนฝูงที่นั่งหัวโด่หัวเราะมันกับไอ้บ้านั่นอยู่สิบกว่าหัว
“ไม่ไปหรอก หลวงตาไม่ให้กลับดึก”
“วัดไม่หนีมึงไปไหนหรอก หรือมึงจะกลับไปขอหลวงตาของมึงก็ได้”
“ไม่ดีหรอก สิ่งลี้ลับอย่าไปลบหลู่เขาเลย” ได้ฟังไอ้การัณฑ์ก็หัวเราะหึหึ
“หรือมึงกลัว”
“เออเซ่” มันและเพื่อนๆ ก็ร่วมกันหัวเราะไอ้ป้อนยกใหญ่
“ไอ้ห่าเอ๊ย เด็กวัดแม่งกลัวผี”
“กูก็ต้องกลัวสิกูเห็นนี่”
“นี่มึงยังไม่เลิกกลัวอีกหรือวะ ตั้งแต่เด็กแล้วนะ จนมึงโตเป็นควายแล้วเนี่ย” มันยื่นหน้าเข้ามาใกล้ พร้อมกับเอานิ้วจิ้มๆ หัวไอ้ป้อนจนแทบหงายหลัง
“มึงลองมาเห็นเหมือนกูไหมล่ะ ไอ้การัณฑ์” ป้อนทำหน้าเหม็นเบื่อใส่มัน พร้อมกับสะบัดหน้าให้หลุดจากไอ้มนุษย์จิตวิปลาศนี่ พร้อมกับถอยห่างออกมาด้วยการย้ายโต๊ะไปนั่งที่อื่น เพราะไม่อยากเสวนาด้วย
“ไอ้นี่...กูบอกให้มึงเรียกชื่อเล่นกู ปัญหาเยอะนะมึง” เจ้ากรรมนายเวรก็คือเจ้ากรรมนายเวร...เมื่อมันเข้ามาระรานไอ้ป้อนอีก ด้วยการเดินเข้ามาใกล้โต๊ะที่เขาย้ายหนีมันไป แล้วเท้าแขนลงที่โต๊ะ ก้มหน้าลงมองไอ้ป้อนด้วยสีหน้าหาเรื่อง...บอกแล้วว่ามันสติวิปลาส เผลอคบกับมันเป็นเพื่อนถือเป็นเรื่องผิดบาปที่สุดในชีวิต..ให้ตาย!
“กูไม่เรียกใครจะทำไม” ป้อนลอยหน้าลอยตาตอบ ไอ้การัณฑ์ตบโต๊ะดังปัง!! ให้เพื่อนๆ ในห้องหัวเราะขำ มันเป็นเรื่องปกติที่เขากับไอ้การัณฑ์จะเถียงกันหรือทะเลาะตบตีกันทุกวัน
แล้วอีกอย่าง เวลาใครเรียกมันว่าเด็กวัดมันก็หาได้น้อยเนื้อต่ำใจ หรือแค้นเคืองไม่ มันยังคงเป็นคนมองโลกในแง่บวกดั่งเช่นที่หลวงตาสอน
ก็เป็นเด็กวัด แต่มีข้าวกิน มีที่ให้ซุกหัวนอน แถมยังได้เรียนโรงเรียนดีๆ อีก...นี่มันแย่ตรงไหนอ่ะ อยากเรียกเรียกมาเถอะไอ้ป้อนมันภูมิใจ!
ที่สำคัญคือมันกับไอ้การัณฑ์ดันเป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่เด็กๆ แล้วคนที่เป็นคนให้ทุนการศึกษากับมันก็ดันเป็นพ่อของไอ้บ้าการัณฑ์อีกต่างหาก (ในความผิดบาปที่เขาเผลอคบไอ้การัณฑ์เป็นเพื่อน เรื่องดีอย่างเดียวคือพ่อมันนั่นแหละ!) เขาชื่อเกร็ก เป็นฝรั่งที่มีเมียเป็นคนไทย ตอนนั้นไอ้การัณฑ์มันเป็นพวกสมาธิสั้น เกเรเข้าขั้นบ้า อยู่นิ่งๆ ก็ไม่ได้อย่างกับไอ้ลูกลิง ไอ้บ้านี่มันเลยถูกเกร็ก ส่งมาดัดสันดานที่วัด หลวงตาก็เลยจับมันมาเข้าคอร์สเรียนนักธรรมตรีกับเขา ก็คิดดูแล้วกัน ไอ้หน้าฝรั่งจ๋าแบบนี้ต้องมานั่งเรียนพุทธประวัติ ต้องมานั่งจำสุภาษิตภาษาบาลีเพื่อไปสอบกระทู้ธรรม นักธรรมตรีกับไอ้ป้อนอีก
ตอนนั้นไอ้ป้อนจำได้ว่า ไอ้การัณฑ์มันบอกว่าหน้ากระดาษของมันนั้นว่างเปล่าไร้สุภาษิตบาลีใดๆ แต่มันก็เขียนไปนะว่า สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม มันบอกว่ามันเก่ง...ที่มันยังจำได้
ตามกรรมจริง ๆ เพราะสุดท้ายมันก็สอบไม่ผ่านนักธรรมชั้นตีตั้งสามปี...จนหลวงตาต้องส่ายหน้าให้มันแล้วบอกพอเถอะ นี่อาจไม่ใช่ทางของไอ้การัณฑ์ก็เป็นได้
นั่นแหละป้อนกับไอ้การัณฑ์ก็เลยเป็นเพื่อนกันมาจนบัดนี้ ซึ่งก็มีมันคนเดียวอีกต่างหากที่รู้ว่าเขาเห็นผี ตอนนั้นยายไอ้การัณฑ์มันเสียซึ่งไอ้ป้อนนั้นไม่เคยเห็นหน้าตาเลย แต่ยายของมันดันมาหาเขา แล้วฝากมาบอกมาเตือนสารพัดจนไอ้การัณฑ์ต้องอึ้งแล้วก็เชื่อในที่สุดว่าไอ้ป้อนคนนี้นั้นเห็นผีจริงๆ
แถมยายมันยังฝากไอ้ป้อนมาขู่อีกต่างหากว่าถ้าไม่ทำตาม ยายมันจะไปเข้าฝันแม่มันแล้วบอกว่าที่ตังค์หายไปห้าสิบบาทตอนนั้น ไอ้การัณฑ์เป็นคนขโมยไป...นั่นแหละไอ้บ้านี่ถึงเชื่อ
“ดื้อด้านนักนะ ไอ้ห่าป้อน เดี๋ยวมึงกลับไปบอกหลวงตาเลยนะว่าเสาร์ อาทิตย์นี้จะไปนอนบ้านกู” ไอ้การัณฑ์สั่งอีก
“ไม่เว้ย” ไอ้ป้อนยังดื้อ
“ไปนอนบ้านมึงทีไร ยายมึงอ่ะ ก่อกวนกูทุกที “ไอ้ป้อนทำหน้าขยาด
“นี่เขายังไม่ไปเกิดอีกเหรอวะ” มันทำหน้าเหลือเชื่อ
“เออสิ ถ้าเขาไปแล้วเขาจะมากวนกูอีกได้ยังไง มึงนี่ก็ถามแปลก” ป้อนทำหน้าเบื่อๆ
“แต่เกร็กบอกให้มึงไปหา” นี่มึงเรียกพ่ออย่างนั้นเหรอ...ทำเป็นตกใจไปงั้น...ทั้งๆ ที่มันก็เรียกประจำอย่างนี้แหละ แล้วก็นะ ไอ้ป้อนดันเรียกเกร็กตามมันอีกต่างหาก
“ไอ้ขี้โกหก มึงจะเอากูไปล่าท้าผีกับมึงล่ะสิ” เถียงอย่างรู้ทัน
“ก็กูอยากเห็นอ่ะ ว่าผีหลอกจะน่ากลัวยังไง” ไอ้ห่า!! อยากเห็นก็เรื่องของมึงสิ จะเอากูไปซวยกับมึงทำไม!!
“มึงดูหนังเข้า อย่างนั้นแหละ”
“อะไรว้า ถ้าอย่างในหนังก็ไม่น่ากลัวน่ะสิ” มันบ่นพึมพำ แต่ไอ้ป้อนคนหูดีคนนี้ได้ยิน
“มึงไม่ได้มาเห็นอย่างกู มึงไม่เข้าใจหรอกความรู้สึกนั้น” น่ากลัวเชี่ยๆ! เย็นวาบไปทั้งกระดูกและไขสันหลังเลยทีเดียว (เห็นไหมมันน่ากลัว ขนาดไขสันหลังอยู่ข้างในยังเย็นได้...)
“สรุปมึงไปนะ เดี๋ยวกูจะไปขอหลวงตาเอง” มันขยิบตาให้พร้อมกับเดินออกไปจากห้องเรียน
“อ้าว..ไอ้เชี่ยนี่! ถ้ามึงจะมามัดมือชกกูอย่างนี้ วันหลังก็ไม่ต้องถามกูหรอกนะ แม่ง...ไอ้เวร...นั่นมึงจะไปไหน กลับมาก่อน มันจะเรียนแล้วนะโว้ยยยย!”
.
.
.
.
.
19.00 น.
“ไป หลวงตาอนุญาตแล้ว” มันเดินมาบอกพร้อมกับยิ้มแป้นแล้น แต่ที่ไหล่ทั้งสองข้างมีกระเป๋าเป้ใบโตสะพายอยู่ เฮ้ยๆ นั่นมันข้าวของไอ้ป้อนนี่ ที่สำคัญ...มึงกวาดใส่กระเป๋าเยอะไปไหม ไอ้การัณฑ์เอ๋ย
“หลวงตาอ่ะ แทนที่จะห้าม” ไอ้ป้อนหันไปโอดครวญกับหลวงตาที่ยืนหัวเราะขำอยู่บนกุฏิ
“เอ็งหัดไปไหนกับเพื่อนฝูงซะบ้าง ไม่เอาเพื่อน เอาฝูงอย่างนี้ เดี๋ยวมันก็หายกันไปหมด ชีวิตเอ็งนะไอ้ป้อน จะมาอยู่วัดไปตลอดไม่ได้หรอก อีกหน่อยเอ็งเรียนจบไป ทำงานดีๆ มีครอบครัว เอ็งก็ต้องไปอยู่กับเขา” ไอ้ป้อนบึนปาก
“ก็ป้อนอยากอยู่กับหลวงตา” หลวงตาหัวเราะหึหึ กับถ้อยคำเหมือนจะอ้อนนั้น
“ข้ารู้ว่าเอ็งอยากอยู่กับข้า แต่เอ็งไม่ได้อยากอยู่วัดหรอก”
“รู้ได้ยังไง”
“ดูสีหน้าก็รู้แล้ว ยิ่งวันไหนมีงานศพ เอ็งก็ยิ่งกลัวเหมือนคนบ้า ไปอยู่กับเกรกอรี่เขาเถอะ นี่เขามาขอเอ็งไปเลี้ยงจากข้าแล้วนะ” ไอ้ป้อนได้ฟังก็อึ้ง หืม...ไอ้ป้อนโตเป็นควายแล้ว ยังรับไปเลี้ยงได้อีกหรือ?
“ทำไมหลวงตายกป้อนให้คนอื่นง่ายๆ แบบนี้ นี่ศิษย์รักไม่ใช่เหรอ”
“มาทำหน้าทำตา..เดี๋ยวข้าถีบให้ คนอื่นที่ไหน เอ็งอ้อนเขาจนข้าคิดว่าเอ็งเป็นลูกแท้ๆ ของเขาอยู่แล้ว ไปเถอะ เก็บของแล้วก็ไป”
“ไม่เอานะคิดถึงหลวงตา” ไอ้ป้อนเริ่มงอแง จนการัณฑ์ที่ยืนข้างๆ ต้องส่ายหัว
“มึงก็มาหาหลวงตาได้เหอะ” มันบอก
“ตะ..แต่ บ้านมึงมียายมึงนะ” เริ่มกลัวขึ้นมานิดหน่อย แอบคิดว่าอยู่วัดกับ อยู่บ้านมันก็คงไม่ต่างกัน...แต่เหมือนจะต่างสินะ เพราะที่บ้านมัน...มียายคนเดียว
“เดี๋ยวกูบอกเขาเอง ว่าจากนี้ไปไม่ต้องมาหามึงหรอก ถ้ามากูจะเลิกทำบุญไปให้โอเคป่ะ”
“ประสาทสิมึงอ่ะ แล้วหลวงตาล่ะจะอยู่ยังไง” ว่าไอ้การัณฑ์ก่อนจะถามหลวงตาเสียงเครือ อะไร ทำไมต้องร้องไห้เล่า
“อย่ามาทำบีบน้ำตา เด็กๆ ข้านักหนา ขาดเอ็งไปสักคนก็ไม่เปลืองดี ไปได้แล้วไป นี่เจ้าการัณฑ์มันล่วงหน้ามาเก็บของให้ก่อนแล้วเนี่ย หมดห้องแล้วแหละ”
“หลวงต๊าาา หลวงตาไล่เค้า”
“อย่าลีลา! ” จบ!
.
.
.
.
.
21.00 น.
ตอนนี้ไอ้ป้อนมันยืนขาสั้น เอ้ย...สั่นอยู่หน้าบ้านหลังโตของไอ้การัณฑ์
“การัณฑ์ มึงทำงี้กับกูได้ไง”
“กูทำอะไรมึง แทนที่มึงจะดีใจสิวะ”
“ดีใจห่าไร กูต้องเจอยายมึงนะ ยายมึงอ่ะ หัวเราะเสียงอย่างยาน”
"ก็ยายกูเป็นผี มึงจะให้เขาหัวเราะเป็นจังหวะสามช่าหรือไง" ได้ฟังไอ้ป้อนก็เตะตูดมันไปทีหนึ่ง
"กวนตีนชิบหาย!"
“มึงอย่าอ่อนสิวะ เจอยายกูคนเดียวก็ดีกว่าเจอกับใครหลายคนที่ไม่รู้จักนะเว้ย ถ้ามึงอยู่วัดอ่ะ”
“แม่งก็ไม่ได้ดีกว่าเดิมเล้ย ยังไงกูก็ต้องเจอเหมือนกัน”
.
.
.
.
21.45 น.
“เดี๋ยวก่อนไปกูขออาบน้ำก่อนได้ไหม” ไอ้ป้อนโอดครวญ มองหน้าไอ้ฝรั่งการัณฑ์ จริงๆ แล้วมันไม่ได้อยากไปเลย ล่าท้าผีอะไรเนี่ย ขนาดไม่ต้องล่ายังเสนอหน้ามาให้เห็นเอง แล้วถ้าไปล่าเอง จะเป็นยังไง ก็คงเจอจนนับไม่หวาดไม่ไหวน่ะเซ่!!!
มาบ้านใหม่ยังไม่ทันได้เก็บข้าวเก็บของ หรือเตรียมใจอะไรเลย ก็โดนไอ้บ้าการัณฑ์จิกหนังหัวให้ออกจากห้องมัน (และเขา ไม่เข้าใจเหมือนกัน บ้านออกจะกว้าง ห้องหับก็เยอะ ทำไมไอ้ป้อนต้องนอนห้องเดียวกับมัน ...เอาเถอะเป็นแค่ผู้อาศัย อย่าคิดอะไรให้มากความ)
“กลับมาค่อยอาบก็ได้มั้งมึง” ได้ฟังไอ้ป้อนก็หน้าซีด
“กูขออาบก่อนไม่ได้เหรอวะ” มันหันมาหรี่ตามอง
“นี่อย่าบอกนะว่าถ้ามึงอาบตอนนี้ กลับมามึงจะไม่อาบน้ำอีก”
“เออเซ่!! ” มันฉีกยิ้มเมื่อได้ฟังก่อนจะเอามือใหญ่โตเท่าใบลานมาขยี้หัวเขา
“ไอ้เน่าเอ๊ย ไปกันได้แล้ว”
“อย่ามาลูบหัวกู กูไม่ใช่หมา”
“ทำมาหวงตัว...เดี๋ยวคืนนี้มึงจะโดนยิ่งกว่านี้อีก หึ ๆ ”
“มึงว่าอะไรนะ”
“ก็เปล่า” มันปฏิเสธ แต่ไอ้ป้อนได้ยิน
“ไอ้ตอแหล! ”
“ฮ่าๆ ” ไอ้สติวิปลาสเอ๊ย!
.
.
.
.
.
22.55 น.
ท่ามกลางความมืดที่โรยตัวปกคลุมแผ่นฟ้าที่ไร้แสงดาวนี้ สัมผัสได้ถึงความเย็นยะเยือกของบรรยากาศที่หยอกล้อผิวหนังและขนแขนให้ลุกขึ้นตั้งชัน
บ้านร้างในซอยเปลี่ยวที่แยกตัวห่างออกมาจากชุมชนค่อนข้างไกล มันเป็นบ้านสองชั้นอดีตเคยเป็นสีขาวงามสง่าทว่าปัจจุบันมันก็แค่บ้านร้างที่ไม่ได้ทำความสะอาดจนหญ้าขึ้นรกครึ้ม ดูสิ่งอย่างดูน่ากลัวและวังเวง เสียงนกกลางคืนยิ่งเสริมบรรยากาศสถานที่แห่งนี้ให้ดูลึกลับ และน่ากลัวเข้าไปใหญ่
บ้านหลังนี้มีประวัติไม่สู้ดีนักเพราะถูกฆ่ายกครัวหกศพ ป้อนขยับกายเบียดชิดคนข้างกายมากยิ่งขึ้นยามเมื่อสายลมเย็นกระทบผ่านผิวบาง
เสียงจิ้งหรีดหรือสัตว์กลางคืนไม่ได้ทำให้คลายใจได้ว่าข้างในไม่มีอะไรอยู่นอกจากตัวบ้านเปล่าๆ เสียงสั่นกระซิบถามคนข้างตัวแผ่วเบา ยามเมื่อมองไปรอบข้างที่ว่างเปล่าไร้เงากายของใคร
“การัณฑ์...ไหนมึงว่าเพื่อนๆ จะมาไง”
“หึ...กูหลอกมึง” ป้อนพยายามข่มอารมณ์โมโห กัดฟันแน่นระงับความโกรธที่อาจปะทุ พร้อมจะกระโดดถีบยอดหน้ามันเหลือเกิน!....โกหก ที่จริงแล้ว...ความกลัวต่างหากที่มีมากกว่า อารมณ์อยากถีบอะไรนั่นหายไปตั้งแต่มันสัมผัสได้ว่าที่นี่มีพลังงานที่คนธรรมดามองไม่เห็นอยู่นับสิบแล้วโว้ยยยย!!
“ไอ้เชี่ย....มึงหลอกกู”
“ก็ตามนั้น” ป้อนเริ่มเบียดตัวชิดอีกฝ่ายมากยิ่งขึ้น ไฟฉายที่ถืออยู่ในมือนั้นไม่ได้ช่วยทำให้อุ่นใจขึ้นมาเลย สัมผัสจากคนข้างตัวต่างหากที่ทำให้เขานึกอุ่นใจ เพราะว่ายังมีสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคนยังยืนอยู่กับเขา
“ฮึก...ถ้ากูโดนผีหลอก...มึงต้องรับผิดชอบ”
“อะไรกัน...แค่นี้ร้องไห้แล้วหรือ เออๆ กูรับผิดชอบอยู่แล้ว”
“ไอ้การัณมึงมันเลว รู้ว่ากูกลัว กูเห็นยังจะหลอกพากูมา” ไอ้ป้อนตัดพ้อต่อว่า แต่มือก็เกาะแขนอีกฝ่ายแน่น
“เออ กูจะพามึงมาให้มึงรู้ชัดๆ กันไปเลยว่า ผีที่เป็นวิญญาณนั้นหลอกได้ไม่น่ากลัวเท่ากับกูหลอกหรอก...มึงจะได้เลิกกลัวสักที”
“มึงพูดอะไรวะ กูไม่เข้าใจ กูไม่มีทางเลิกกลัวได้หรอก ไอ้ห่า ขนาดอยู่วัดกูเจอแทบทุกวัน กูยังจะเป็นบ้าได้ทุกวันเลย”
“โอ๋ๆ น้องป้อนไม่ต้องกลัวนะครับ พี่ชายอยู่ตรงนี้” ว่าแล้วมันก็ดึงป้อนเข้าไปกอด ลูบหน้าลูบหัว พร้อมกับก้มลงจูบกระหม่อม
“มะ...มึงทำอะไรวะ!! ” ป้อนตกใจด้วยไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะทำอะไรแบบนี้
“ก็...เวลาแม่กูกลัว เกร็กก็ปลอบอย่างนี้” กูว่ามึงแถ...นี่คือสิ่งที่ไอ้ป้อนมันคิด
“งั้นมึงก็ปล่อยให้เกร็กทำกับแม่มึงไปเหอะ ไอ้เชี่ยอย่ามาทำแบบนี้กับกู” ปากก็ว่าแต่เกาะเขาไม่ห่าง
“หึๆ ก็ได้แต่กูจะทำมากกว่านี้นะมึง” ไอ้บ้านี่...วันนี้ทั้งวันพูดจาแปลกๆ นะมึง
.
.
.
“ฮิฮิฮิ” เสียงนี้ดังขึ้นเมื่อเท้าทั้งคู่ก้าวผ่านธรณีประตูเข้ามา ใจสั่นๆ ของไอ้ป้อนกระตุกวูบคล้ายจะหยุดเต้นเมื่อได้ยิน มือเล็กๆ ทั้งสองข้างบีบแขนการัณฑ์แน่นขึ้นไปอีก
“การัณฑ์ มึงได้ยินมั้ย มึงได้ยินเหมือนกูมั้ยฮือ...” หลับตาแน่น กอดแขนอีกฝ่ายแน่นกว่าเดิม
“ฮิฮิฮิฮิ” เสียงนั้นคล้ายกับอยู่ชิดใบหู มันมาตามลมพร้อมกับกลิ่นชวนคลื่นเหียนตีรวนพัดขึ้นจมูก
“มึงอย่าเงียบสิการัณฑ์” ไอ้ป้อนยังคงหลับตาแน่น น้ำตาแทบจะไหลลงมาอยู่รอมร่อ
“ปล่อยยยย แขนฉันก่อนได้ไหมมมมมมม มันเจ็บบบบบบ” เสียงยานๆ นั้นเอ่ยชิดริมหู ป้อนขนลุกชัน แทบจะเป็นลมเมื่อลืมตาขึ้นมาเจอกับใบหน้าสีเขียวๆ มีรอยแผลเหวอะหวะลูกตาหลุดออกมาจากเบ้า นั้นชิดใกล้ใบหน้าเขาเพียงลมหายใจ ฟันที่เต็มไปด้วยหนอนนั้นแสยะยิ้มส่งมาให้
“อ๊ากกกกกกกกกกกก” รีบปล่อยมือโดยพลัน แล้วก็วิ่งออกไปทันที
“เฮ้ย...ป้อนอย่าวิ่ง!!! ” การัณฑ์ตะโกนบอก พร้อมกับวิ่งตามร่างเล็กๆ นั้นไป เขายังคงงงๆ ที่อีกฝ่ายทำสีหน้าหวาดกลัวเขาแล้ววิ่งออกไปหน้าตาหวาดกลัวสุดขีดนั้น แต่ก็พอเดาได้ว่าป้อนคงเจอดีอีกแล้ว รู้สึกผิดนิดหน่อย แต่ก็ปัดมันทิ้งไปโดยเร็ว ในใจภาวนาว่าอย่าให้อีกคนเตลิดไปไหนไกลเลย
.
.
.
“กะ...กลัวแล้ว อย่ามาหลอกมาหลอนกันเลย พรุ่งนี้เช้าผมจะทำบุญไปให้ ฮึก...ฮือ. อย่าทำอะไรผมเลย” เสียงสั่นๆ ร้องอ้อนวอนปานใจจะขาดทำให้การัณฑ์เข้าไปหาได้ถูก ป้อนหลบอยู่ใต้ซิงค์ล้างจานของบ้านร้างหลังนี้ การัณฑ์เห็นสภาพงอเข่าคุดคู้น้ำหูน้ำตาไหลของอีกฝ่ายก็นึกสงสาร รีบวิ่งเข้าไปใกล้ แล้วดึงตัวอีกฝ่ายมากอดไว้แน่น
“ปละ...ปล่อยนะ ฮือออ อย่าทำอะไรผมเลย” ตายังคงหลับอยู่ทั้งหวาดกลัว
“ชู่ว...คนดีไม่เป็นอะไรแล้ว ฉันมาแล้ว” การัณพ์ปลอบ ป้อนยังคงหลับตาแน่นแต่ก็ซุกหน้าเข้ากับอกของอีกฝ่าย
“การัณฑ์มึงจริงๆ เหรอ”
“จริงสิครับ” ป้อนลืมตามองเจ้าของอ้อมกอดซัดมัดใส่หน้าอีกฝ่ายด้วยความโมโห...โถ...แรงเท่าแมว การัณฑ์คิด
“ไอ้เชี่ยการัณฑ์มึงทิ้งกู ฮือ” ...แต่ที่กูจำได้มึงนั่นแหละเป็นคนทิ้ง วิ่งหนีกูไปเอง...
“โอ๋ๆ ขอโทษ” ลูบหัวลูบไหล่ปลอบเป็นการใหญ่
“มึงกลับกันเหอะ กูไม่เอาแล้ว กูกลัว ฮึก” ร้องขอพร้อมกับสะอื้นเป็นการส่งท้าย การัณฑ์ถอนหายใจเฮือก
“โอเคๆ กลับก็กลับ”
.
.
.
.
“การัณฑ์ มึงยืนเฝ้าอยู่นี่นะ อย่าออกไปไหนรู้เปล่า” ไอ้ป้อนสั่งมันขณะที่กำลังจะเข้าไปอาบน้ำในห้องน้ำ โถ ห้องน้ำก็อยู่ในห้องยังจะกลัวอะไร
“เออๆ กูยืนเฝ้ามึงหน้าประตูอยู่นี่แหละ” คำพูดนั้นทำให้มันอุ่นใจขึ้นเล็กน้อย ก่อนชะงักกึกไป
“เฮ้ย...กลอนประตูห้องน้ำมึงหายไปไหน”
“กูเอาออกเองแหละ” ...กวนตีน!
.
.
.
.
ขณะที่กำลังเอาสบู่นกอะไรสักอย่างที่พกมาจากวัดถูหน้า ความรู้สึกประหลาดก็เริ่มมาเยือนไอ้ป้อน
“หึหึหึหึหึหึหึหึหึหึหึ” เสียงเย็นๆ ทุ้มๆ ดังขึ้น ป้อนรีบล้างสบู่ออกจากหน้าหันหลังกลับไปมองที่ประตู เพราะกลัวถ้ามอกระจกจะเห็นอะไร
“มะ....มึงอย่าแกล้งกูนะการัณฑ์” เอ่ยถามเพื่อนที่ (เข้าใจว่า) อยู่ข้างนอกเสียงสั่น
“หึหึหึหึหึหึหึหึ” เสียงนั้นมาพร้อมกับไฟที่ดับลง
“ว้ากกกกกกกกกกกกก ไอ้การัณฑ์มึงอยู่มั้ย มึงอยู่ไหนเข้ามารับกูที ฮือออออ” วาบ...แล้วอยู่ๆ ไฟที่ดับ ก็สว่างขึ้น ป้อนค่อยๆ ผ่อนลมหายใจ “ใจเย็นป้อน....ใจเย็นนะมึง” พร้อมกับปลอบตัวเองเบาๆ
“มันไม่มีอะไรก็แค่ไฟตก” ลูบหัวลูบอกปลอบตัวเองเป็นการใหญ่
“ไฟฟฟฟฟฟ ตกเหรอออออออ แน่ใจจจจจจ นะหึหึหึหึหึหึหึหึ” เสียงนั้นมาพร้อมกับไฟที่ดับลงอีกครั้ง ป้อนเผลอหันหน้าไปทางกระจกบานใหญ่ตรงเคาน์เตอร์ห้องน้ำ เห็นหน้าทีส้มสะท้อนอยู่ในกระจกนั้น แนบเข้ามาใกล้ใบหูเขา
“ว้ากกกกกกกกกกกกกกกก ช่วยด้วยผีหลอกกกก” ไอ้ป้อนหลับตาลงด้วยความกลัว เยี่ยวแทบเล็ดเมื่อได้เห็นภาพนั้น ก่อนจะหลับตาวิ่งคลำๆ ทางออกจากห้องน้ำไป เสื้อผ่งเสื้อผ้า ผ้าเช็ดตงผ้าเช็ดตัวยังไม่ได้ใส่ ก็ไม่สนมันแล้ว!! โดดขึ้นเตียงได้คลุมโปงอย่างเดียว!!!
ป้อนนอนคลุมโปงหลับตา ท่องพุทโธ ธัมโม สังโฆ อยู่ในใจ แล้วก็แทบร้องไห้เมื่อสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างแทรกผ่านผ้าห่มเข้ามาลูบไล้เนื้อตัวของมัน! พร้อมกับรู้สึกหนักเหมือนมีอะไรมากดทับ....เชี่ย ผีอำ!!!!
โอ๊ย! จะบ้าแล้วนะ! ปกติผีที่เคยเจอจะหลอกอย่างเดียวนี่
“หึหึหึหึ” เสียงนั้นดังอยู่ข้างหู พร้อมกับผ้าห่มที่ถูกจับโยนทิ้งไป ป้อนไม่กล้าลืมตามอง มันได้แต่นอนหลับตาปี๋ ตัวแข็งทื่ออยู่อย่างนั้น
“ฮึกฮือ” ทำอะไรไม่ได้นอนร้องไห้อย่างเดียว ไอ้บ้าการัณฑ์ไหนมึงบอกจะเฝ้ากูวะ รู้สึกกลัวได้ไม่เท่าไร ความรู้สึกแปลกๆ และตงิดใจก็เริ่มมาเมื่อมือผีนั้นอยู่ไม่สุข มันลูบไล้เนื้อตัวเขาพร้อมทั้งสัมผัสอุ่นร้อนที่แนบลงตรงยอดอกและดูดดึง
“อึ..อื้อ” เผลอครางออกไปเมื่อรู้สึกบางอย่างนั้นได้ปัดผ่านของสงวนของตน
“ป้อนนนน” เสียงยานคางนั้นเรียกชื่อเขา
“ฮึก” อย่ามาเรียกเซ่ ถ้าจะทำกันขนาดนี้
“ป้อนนนน ลืมตา” ผีมันสั่ง แต่เสียงเริ่มคุ้นๆ พร้อมกับน้ำหนักมือบนร่างกายมันที่ลงหนักกว่าเดิม
“อะอื้อ อืออ” กลั้นเสียงร้องไม่ไหวเมื่อสิ่งที่ใครไม่ควรแตะต้องนอกจากเจ้าของโดนเคล้าคลึง
“ลืมตา!! ” เสียงนั้นสั่ง ไอ้ป้อนลืมตาขึ้นมาก็เห็นหน้า...ไอ้บ้าการัณฑ์!!!
“มะ...อื้อ...มึงหลอกกู ปละ อื้อ ปล่อยนะ” ปล่อยพยายามดันร่างที่หนากว่านั้นให้ลุกขึ้นไปจากตัวเขา กูก็นึกว่าผีอำ ...ไอ้เพื่อนชั่ว!!!
การัณฑ์ดันร่างแรงเท่ามดนั้นลงนอนเหมือนเดิม นัยน์ตาอีกฝ่ายฉ่ำเยิ้ม ปากบางๆ นั้นคล้ายจะด่า แต่ก็ทำได้เพียงแค่คราง
เขาเล้าโลมร่างกายนั้นจนอีกฝ่ายที่ไร้ประสบการณ์ไร้ซึ่งเรี่ยวแรงขัดขืน การัณฑ์จ่ออาวุธของตนที่พรักพร้อมใส่เข้าไปในพื้นที่สงวนทันที
“อ๊ะ...เจ็บ” สติที่เบลอไปคล้ายกลับเข้ามา
“อะ...ไอ้เชี่ยการัณฑ์มึงทำอย่างนี้กับกูได้ไง” ไอ้การัณฑ์ ดันตัวเองเข้าไปจนอีกฝ่ายสะดุ้งด้วยความเจ็บ และอึดอัด
“เป็นไงผีกูหลอกน่ากลัวไหม น่ากลัวกว่าวิญญาณป่ะ” มันพูดพร้อมกับกระแทกเข้ามาหนักๆ
“อ่ะ...มะ...มึงแม่งชั่ว! ไอ้เชี่ยโกสต์”
“อ้อ...ยอมเรียกชื่อเล่นกูแล้วเหรอ ชื่อเล่นกูมันแปลว่าไงล่ะ” มันแสยะยิ้มพร้อมกับเร่งจังหวะหนักหน่วงยิ่งกว่าเดิม ให้อีกคนครางอย่างไม่เป็นภาษา
“ผี!!! ” กูถึงไม่อยากเรียกชื่อเล่นมึงไงไอ้ควาย..!
“อืม..ใช่มั้ยล่ะ และนี่กูก็กำลังหลอกมึงอยู่ด้วยเนี่ย”
“อื๊อ อะ...ไอ้เชี่ยโกสต์มึงเลวมาก!!! ”
“เหรอ... แต่กูว่ามึงแน่นดีจริงๆ นะ”
“หะ..หุบปากแม่ง หลอกกูตั้งแต่แรกเลยสินะ ไอ้ผีหน้าส้มๆ ในกระจกห้องน้ำเนี่ย ไอ้เชี่ย ไอ้เลว!"
“เออสิวะ...กูบอกแล้วว่าผีนั้นหลอกอ่ะ อย่าไปกลัวเพราะมันก็ทำอะไรมึงไม่ได้....ต้องกูนี่หลอกมึงได้แถมยังทำอะไรมึงได้อีก อา...” มันว่าพร้อมกับกระแทกด้วยจังหวะรุนแรง ไม่มีความถนอมใด ๆ ให้ไอ้ป้อนเลย
"อื้อ...กู..อะ..จะฟ้องหลวงตา”
"ถ้ามึงกล้าก็ลองดูสิ มึงบอกเมื่อไหร่ กูจะเอาให้แม่งเดินไปไหนไม่ได้เลยคอยดูสิ"
"อ๊ะ..ไอ้..อื๊อ ไอ้เลว"
"หึ...มึงน่าจะรู้ตั้งนานแล้วนะ"
"กูมันพลาดเอง ที่ไว้ใจมึงสัดโกสต์"
“ไม่เอาน่าเมีย...มึงก็เลิกกลัวได้แล้ว ผี เผอ วิญญาณอะไรนั่นน่ะ กลัวพี่โกสต์คนนี้ดีกว่า เดี๋ยวคืนนี้กูจะหลอกมึงยันเช้าให้หายกลัวเลยคอยดู” ว่าจบมันก็เริ่มหลอกไอ้ป้อนใหม่อีกครั้ง จนเกือบสว่างนั่นแหละไอ้ผีนี่มันถึงหยุดหลอกเขาได้สักที...
จบจ้ะ
อยู่ๆ ก็อยากแต่งค่ะ
เรื่องเก่าคล้ายจะเขียนไม่ออกซะงั้นเลยมานั่งแต่งอะไรไปเรื่อยเปื่อยเพือให้เกิดไฟ เฮ้ออออ