เจ้าหญิงนิทรา
ตอนพิเศษ 1
ฝีเท้าของบุคคลหนึ่งผู้ครอบครองร่างอันองอาจผมซอยสั้นสีทองเข้ากับรูปหน้าทรงชุดสง่าดูผ่าเผยได้หยุดลงตรงหน้าโลง ในมือถือด้ามดาบน่านเกรงขามสีน้ำเงินแกะสลักลวดลายสวยงามย้อนยุคสมัยราวกับเป็นสิ่งตกทอดกันมาอย่างยาวนานของต้นตระกูลชั้นสูง แววตาปรายมองสิ่งรอบข้าง แม้นจะเงียบสงัดและไม่พบผู้ใดนอกเสียจากร่างขององค์ชาย
ทว่าสิ่งโปร่งซึ่งดูสะอ้านตาจนผิดสังเกตเหมือนกับถูกดูแลมาอย่างดีและมีร่องรอยคล้ายเคยมีผู้พักอาศัยอยู่ที่นี่ ก่อนเขาจะมาเพียงไม่กี่วินาทีและอาจจะเป็นคนเดียวกันที่สร้างอุโมงค์นำทางเขาเข้ามา
เศษดินด้านนอก รอยขุดซึ่งดูใหม่ อาจจะยังคงไปได้ไม่ไกล แต่น่าแปลกในระหว่างย่ำเท้าตามช่องทางเขาก็ไม่เห็นว่าจะได้เดินสวนทางกับผู้ใด หายไปได้อย่างไร ไม่เข้าใจเลยจริง ๆ ทว่าหาใช่เวลาจะไปสงสัยไม่ นัยน์ตาวกกลับมาจับจ้องที่องค์ชาย ผิวกายซึ่งดูซีดลง
“จงวางหทัย ข้าจะปลดปล่อยเจ้าเอง”
น้ำเสียงกล่าวด้วยความมั่นใจ ไม่รอช้าชักสิ่งของที่อยู่ในมือออกมาทันที ดาบซึ่งทำมาจากเหล็กกล้าชั้นดีความแวววาวสามารถสะท้อนภาพได้ดั่งกระจกเงา ปลายแหลม และความคมดุจดั่งนำหอกนับพันมาหลอมรวมกันเป็นดาบด้ามเดียว สะบั้น ฟาดฟันได้เกือบทุกสิ่งอย่าง สิ่งโปร่งใสแสนจะบอบบางไม่อาจจะหลุดพ้นได้
เรียวแขนชูสิ่งของในมือขึ้นเหนือศีรษะ
ได้ยินมาว่าโลงมีเกราะป้องกันที่แข็งแกร่ง หากปรารถนาจะฟาดฟันให้แหลกสลากเพียงดาบเดียว คงต้องออกแรงกันเสียหน่อย
“ข้าตามหาเจ้ามาตลอด ในที่สุดก็ได้พบ”
น้ำเสียงเจือความดีใจและรอยยิ้มที่ผุดขึ้นบนใบหน้า แรงแขนซึ่งกำลังเหวี่ยงลงมากับหนึ่งสายตาเหม่อมองเหตุการณ์ จนกว่าจะเห็นองค์ชายฟื้นขึ้นมา เขาไม่สามารถจากไปได้อย่างสบายใจ คมเล็บแม้นจะทู่แต่ความกำแน่นของหมัดเพื่อสะกดกลั้นความต้องการก็ยังสามารถจะสร้างบาดแผลได้เหมือนกัน
เพียงแค่นิดเดียว
แต่ทว่า....
แรงเหวี่ยงซึ่งยังไม่ทันได้ถึงสิ่งโปร่งใส
ได้หยุดชะงัก
เนื่องจากเกิดเรื่องประหลาดขึ้น เมื่อโลงผละแยกจากกันทั้งสี่ด้านโดยที่ยังไม่ได้แตะต้องอันใด หล่นไปยังพื้นด้วยสภาพไร้การแตกหัก สร้างความงงงวยให้กับชายหนุ่มผมทองอายุรุ่นราวเดียวกันกับองค์ชายไม่ใช่น้อย ก่อนจะค่อย ๆ เก็บสิ่งแวววาวกลับลงไปในฝักดาบดั่งเดิม กายขยับเข้าไปใกล้ เขาค้นหาวิธี รวบรวมมามากมาย เพื่อที่จะทลายคำสาปให้จงได้ การสละตนเพื่อบ้านเมืองเฉกเช่นนี้เขาได้คัดค้านมาตั้งแต่ต้น ทว่าองค์ชายไม่ฟังเขาเลย
ด้วยความผูกพันกันมาแต่วัยเยาว์ เมื่อไม่ฟัง เขาไม่อาจจะปล่อยให้องค์ชายจบชีวิตไปแบบนี้ เขาไม่มั่นใจว่าความรู้สึกของตนไปในทิศทางไหน เป็นความรักในรูปแบบใด ทว่าเขาไม่สามารถปล่อยวางเรื่ององค์ชายได้จากใจจริง
กายซึ่งทรุดลงนั่ง เข่าและขาจรดเท้าแนบไปกับพื้นหญ้า มือซึ่งลูบไล้ไปยังใบหน้า ไม่ว่าจะเหตุผลใด แม้จะไม่ค่อยเข้าใจ แต่เขาจะรักษาสิ่งนั้นไว้อย่างมั่นคง มือซึ่งหยุดแน่นิ่งอยู่บริเวณโหนกแก้มสัมผัสละไม ก่อนจะโน้มกายลงอย่างเชื่องช้า
วิธีแรกซึ่งลือกันอย่างหนาหูเป็นอันดับหนึ่ง
ก็คือการ ‘จุมพิต’
การจุมพิตด้วยแรงปรารถนาทั้งหมดส่งผ่านไปยังริมฝีปากเพื่อปลุกให้เจ้าชายนิทราตื่นและหลุดพ้นจากคำสาปร้ายเพียงแค่สัมผัสบางเบาก็สามารถทำให้ฟื้นขึ้นมาได้ จริงหรือหลอกไม่อาจล่วงรู้ คงมีแต่ต้องลองพิสูจน์ดูเท่านั้น ไม่ว่าจะวิธีแบบไหน อันตรายอย่างไรหากหลุดพ้นได้เขายินดีที่จะทำ หากองค์ชายเป็นอะไรไปเขาไม่มีทางที่จะให้อภัยตัวเอง ผิวกายของเครื่องสังเวยที่เคยซีด ได้กลับมาเป็นเช่นเดิม
ใบหน้าซึ่งกำลังประชิด
นัยน์ตาหย่อนจนคล้อยหลับ
อีกหนึ่งสายตาซึ่งแทบจะสะกดความรู้สึกเอาไว้ไม่ได้
“ช..ช้าก่อน!”
เสียงห้ามปรามซึ่งดังขึ้นอย่างตะกุกตะกักจากคนที่ไม่ควรจะพูดได้ มือสั่นไหวที่ยกขึ้นมาปิดปากตัวเองไว้ อีกข้างทาบไปยังอกอันผาดผึ่งของอีกฝ่ายเพื่อดันตัวให้ออกห่าง น้ำเสียงคุ้นหู สัมผัสที่คุ้นชิน เปลือกตาจากที่เคยนิ่งสนิทของหนุ่มผมทองได้เปิดออกอย่างเนิบนาบ จนลืมขึ้นมาเต็มดวง นัยน์ตาซึ่งประสานกันกับคนตรงหน้าอยู่นั้น
เขาไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เห็น
เขาไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้ ดั่งกับอยู่ในความฝัน
ประหลาดยิ่งนัก
ทั้งที่เขายังไม่ได้กระทำสิ่งใดเลย เหตุไฉน เครื่องสังเวยถึงได้ฟื้นตื่นขึ้นมากัน ทำไมถึงช่างง่ายดายไม่เหมือนกับที่เคยได้ยินมา เป็นเรื่องซึ่งสร้างความแปลกใจให้เขาอีกครั้งและหนึ่งสายตาที่มองเหตุการณ์ก็ไม่เข้าใจเช่นเดียวกัน แต่ทว่าในความนึกคิดของเขา มนุษย์สีผมดุจแสงอาทิตย์สาดส่องตนนั้น คงจะเป็นผู้ถอนคำสาปตัวจริง เพราะยังไม่ได้ทำอะไร คำสาปก็สามารถหลุดออกได้อย่างไม่ยาก แทบจะไม่ลงแรงเสียด้วยซ้ำ
เวลาของเขาที่จะได้เห็นใบหน้าขององค์ชายจวนจะหมดลงเต็มที
ที่เหลือก็คงมีแต่ รอให้ทั้งคู่พากันเดินทางออกห่างจากบริเวณ
ผืนฝ้า บรรยากาศของวันนี้ช่างดูสดใส ดูสดใสจนเกินไป สายลมพัดเอื่อยอ่อย เสียงสัตว์น้อยใหญ่กำลังครื้นเครง ราวกับทุกอย่างส่งนำดลบันดาลให้องค์ชายจากเขาอย่างเร็วไว โดยไร้สิ้นอุปสรรค
แต่ต่อให้องค์ชายจากไป เขาก็ยังจะอาศัยอยู่ ณ ที่แห่งนี้
เพราะเป็นสถานที่แห่งความทรงจำ
เพื่อต่อลมหายใจ
เป็นสถานที่...ซึ่งเขาเคยอาศัยอยู่กับองค์ชาย
อย่างมีความสุข
หนุ่มผมทองมองใบหน้าอีกฝ่ายอย่างเลิ่กลั่ก มือสากที่ผ่านความลำบากมานับไม่ถ้วนสะท้านไหวค่อย ๆ ตรงเข้าไปสัมผัสเส้นผมก่อนจะลูบอย่างแผ่วเบา นัยน์ตาซึ่งเริ่มคลอ องค์ชายจึงนำมือออกจากริมฝีปากของตนเอง หยดน้ำเริ่มหลั่งริน เมื่อเห็นเช่นนั้นทำให้ใบหน้าขององค์ชายเผยรอยยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย พร้อมกับใช้หัวแม่มือเอื้อมเข้าไปเกลี่ยน้ำตาที่กำลังไหลอาบแก้ม
ภาพนี้สร้างความแสบทรวงให้กับอีกหนึ่งสายตาที่เฝ้ามองอยู่การณ์ไกลดั่งมีคนใช้คมมีดเฉือนกรีดก้อนเนื้อในอกของเขาให้แหลกละเอียดจนไม่เหลือชิ้นดี!
“เจ้ายังขี้แยไม่เปลี่ยนเลยนะ”
ถ้อยคำที่องค์ชายเอื้อยเอ่ยราวกับรู้จักชิดสนมกันมาเป็นเวลานาน ยิ่งไปเพิ่มความเจ็บระบมให้กับดวงใจของเขา
ช่วยรีบออกไปจากที่นี่เสียทีจะได้ไหม ก่อนที่เขาจะทนไม่ไหว จนเผลอกระทำอะไรตามสัญชาตญาณอย่างสิ้นคิด หมัดที่กำแน่นถึงจะรู้สึกเจ็บ แต่ไม่อาจเทียบเท่ากับหัวใจของสัตว์ดั่งเขาในตอนนี้ แขนซึ่งยกขึ้นมาแนบไว้กับโขดหิน ก่อนจะโน้มศีรษะเข้าไปใกล้
ข้าไม่อยากจะเห็นสิ่งใดอีกต่อไปแล้ว..
อสูรร้ายนึกคิดในใจพร้อมกับปิดเปลือกตาลง ถึงจะไม่เห็น ทว่าหูก็ยังคงได้ยิน
เมื่อสติเริ่มเข้าที่เข้าทาง หนุ่มผมทองจึงใช้อ้อมแขนโอบพยุงร่างเจ้าชายลุกขึ้นนั่งอย่างระมัดระวัง เนื่องจากองค์ชายเพิ่งฟื้นขึ้นมาได้ไม่นาน หากลุกพรวดพราดอาจจะทำให้เกิดอาการหน้ามืด ร่างกายที่ไม่เคยได้ขยับ อาจจะยังไม่ค่อยได้เป็นดั่งใจนัก กายซึ่งเขยื้อนอย่างช้าเนิบหันเข้าหายังร่างของหนุ่มผมทอง
ขาที่หย่อนลงทว่ายังไม่ทันได้แตะถึงพื้น เข่าข้างหนึ่งของอีกฝ่ายที่ตั้งชันขึ้นพร้อมกับมือซึ่งรวบขาอันเรียวเล็กทั้งสองขององค์ชายไปประทับไว้
ก่อนที่นิ้วแกร่งจะเคล้าคลึงบีบนวดลงไปอย่างเบาแรง ใบหน้าเปื้อนยิ้มซึ่งเงยขึ้นพร้อมมองสบตากับองค์ชายอยู่เป็นระยะ ความรู้สึกคิดถึงคะนึงหาถ่ายทอดออกมาทุกอณูที่สัมผัส
“จ..จะ.. เจ้าไม่ต้องทำถึงขนาดนี้ก็ได้ ..พะ พอได้แล้ว”
สีหน้าระเรื่อขององค์ชายพร้อมน้ำเสียงดูท่าจะเขรอะเขินกล่าวปราม อีกฝ่ายแสดงใบหน้าแคลงใจ
“ทำไม.. ข้าบีบแรงไปหรือ”
ก่อนจะเอ่ยด้วยความกังวล เมื่อเห็นเช่นนั้น องค์ชายจึงส่ายหัวไปมาบางเบา
“ไม่ใช่เช่นนั้นหรอก เพียงแค่ข้า... เอ่อ..ข้า”
แววตาที่เบี่ยงหลบไปมองทางอื่นขององค์ชายพร้อมใบหน้าแดงจัดราวกับมะเขือเทศผลสุกงอม
“อุ๊บ! ฮ่า ฮ่า! ดูหน้าเจ้าสิ ฮ่า ฮ่า! เอาเป็นว่าข้าเข้าใจแล้ว”
มือซึ่งหยุดชะงัก สิ้นคำพลางขำออกมาชุดใหญ่ มือขององค์ชายนาบไปตรงแก้มของตัวเอง รู้สึกร้อนวูบวาบไปหมด การหยอกล้ออย่างกระหนุงกระหนิงยิ่งพุ่งทิ่มแทงในจิตใจดุจหอกนับแสนกระหน่ำตรงเข้ามาทะลวงอย่างไร้ความปราณีของอีกตนที่กำลังได้ยินทุกถ้อยคำ ถึงแม้จะไม่อยากจะฟังแค่ไหนก็ตาม
“เดี๋ยวเถอะ! เดี๋ยวข้าจะฟ้องท่านพี่ ว่าเจ้ารังแกข้า”
องค์ชายทำท่าทางขมึงตึงใส่ เมื่อได้ยินเช่นนั้นเสียงหัวเราะของอีกฝ่ายได้เงียบงันทันควัน นัยน์ตาดูอ่อนลง ราวกับมีความรู้สึกในใจอะไรบางอย่าง
“ข้าล้อเล่น..” องค์ชายเอ่ยอย่างรู้สึกผิด
“ข้ารู้” อีกฝ่ายตอบออกมาในทันใด
เขารู้....องค์ชายได้แต่ตรึกตรองในใจ หากเขารู้แล้วเหตุไฉนถึงต้องทำหน้าเศร้าเยี่ยงนี้ เมื่อเอ่ยถึงท่านพี่ แววตาคู่นั้นได้สื่อบางสิ่งออกมา ในขณะที่เขาอยู่ในห้วงนิทรา ไม่รู้ว่าผ่านมาเนิ่นนานแค่ไหน ไม่รู้อีกว่าได้เกิดเหตุการณ์อะไร แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไป ใจคนย่อมเปลี่ยนแปลง
ชายหนุ่มผมทองได้ทรงกายยืนขึ้น และดูกลับมาเป็นปกติ มือซึ่งยื่นมาตรงหน้าองค์ชายโดยไม่สบตา
“กลับไปที่อาณาจักรกันเถิด ทุกคนกำลังรอเจ้าอยู่อย่างมีความหวัง หากรู้พบว่าจะหลุดพ้นได้คงต้องจัดงานฉลองครั้งใหญ่อย่างแน่แท้”
มือที่นิ่งสนิทอยู่ข้างลำตัวขององค์ชาย รอยยิ้มกระตุกขึ้นมาอย่างเศร้าสร้อย
“ข้ากลับไปไม่ได้หรอก”
ประโยคที่ได้ยินทำให้อีกฝ่ายหันกลับมาประจันหน้ากับองค์ชายทันทีด้วยความไม่เข้าใจ
“ท..ทำไม...เหตุผลของเจ้าคืออะไร ในเมื่อคำสาปเสื่อมคลาย แล้วเหตุใด เจ้ายังกลับบ้านเมืองไม่ได้”
เสียงเครือเอ่ยถามพร้อมดวงตาที่เริ่มคลออีกครั้ง
“ข้าขอโทษ” องค์ชายเอ่ยด้วยความรู้สึกเสียใจอย่างลึกล้ำ
“ข้าไม่อยากได้ยินคำนี้ สิ่งที่ข้าต้องการคือเหตุผล หรือคำสาปยังไม่ได้ถอนออกอย่างแท้จริงใช่ไหม.. ข้าว่าแล้ว ถึงว่าทำไมถึงช่างดูง่ายดายนัก”
เขาเอ่ยพลางหัวเราะออกมาเล็กน้อย พร้อมมือที่ชักกลับไปอยู่ข้างลำตัว ยิ่งเห็นชายหนุ่มผมทองเป็นเช่นนี้ ยิ่งสร้างความรู้สึกผิดจนล้นใจ
“ไม่ใช่!... คำสาปถอนแล้ว ถอนออกอย่างหมดสิ้น”
องค์ชายไม่นึกคิดอยากจะเอ่ยประโยคนี้ออกไป ทว่าไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
“แต่ผู้ที่ถอนคำสาป...”
นัยน์ตาขององค์ชายเบี่ยงวูบลงมองพื้น ก่อนจะกลั้นใจเอ่ยเสียงซึ่งแทบจะกลืนหายไปกับสิ่งรอบตัว
“ไม่ใช่เจ้า!”
“ฮะ ฮะ เจ้าล้อข้าเล่นใช่ไหม หมายความว่าอย่างไรที่บอกว่าไม่ใช่ข้า”
น้ำเสียงเปล่งหัวเราะอย่างฝืดฝืนสื่อถึงความเจ็บปวดจนปริ่มล้น ทวีคูนความรู้สึกผิดในจิตใจขององค์ชาย แม้นไม่อยากจะเอ่ยออกไปแม้แต่น้อย ทว่าความจริงอย่างไรก็คือความจริง ไม่อาจปฏิเสธได้ เมื่อองค์ชายรู้ดีอยู่แก่ใจว่า ‘ใคร’ คือผู้ถอนคำสาป ‘ตัวจริง’
“ห..หมายความตามดั่งที่ข้าพูด”
คำกล่าวเฉลยอย่างติดขัดขององค์ชายราวไม่อยากจะเอ่ยออกมาสร้างความระทมให้กับชายหนุ่มผมทองอย่างมาก และเข้าใจได้ทันทีว่าต่อให้ถามย้ำอีกสักกี่รอบ คำตอบที่ได้กลับมาก็คงดังเดิม ยิ่งตอกซ้ำความรู้สึกซึ่งเป็นในตอนนี้ ช้าเกินไปอย่างนั้นรึ นี่เขาศึกษามาอย่างหนักเพื่ออะไร บทสรุปสุดท้ายคนที่ปลดปล่อยองค์ชายไม่ใช่ตัวเขา
ไม่ใช่เจ้า..
ไม่ใช่เจ้า..
สมองนำคำพูดขององค์ชายดังขึ้นมาวนเวียนซ้ำเล่า
ไม่ใช่เขา.. ทำไมถึงเป็นเช่นนี้
ทั้งที่..
ทั้งที่...
สัญญาไว้แล้วแท้ ๆ
เรียวนิ้วอันบอบบางซึ่งเอื้อมนาบลงมาบนแก้มของเขาพลางเกลี่ยอะไรบางอย่าง เป็นสิ่งที่ดึงสติของชายหนุ่มผมทองให้กลับมาและพบกับร่างขององค์ชายที่ทรงกายยืนอยู่ตรงหน้าแทบประชิดตั้งแต่เมื่อไหร่ตัวเขาไม่ทันได้รู้ตัว แววตาใสที่มองมาอย่างกังวลพร้อมน้ำตาซึม หัวแม่มือที่กำลังเกลี่ยหยาดน้ำตาซึ่งไหลออกมาจากความเศร้าสร้อยอย่างไม่สามารถห้ามได้
“ข้าขอโทษ ข้าโทษจริง ๆ เจ้าอย่าร่ำไห้ไปเลยนะ ข้าขอโทษ ข้าขอโทษที่ไม่สามารถกลับไปยังบ้านเมืองพร้อมเจ้าได้ อึก ข้า...ขอโทษ ข้า....ขอโทษ”
แม้นองค์ชายจะกล่าวบอกให้เขาหยุดร่ำไห้ ทว่าตัวเองดันมาร้องเสียเองแบบนี้ ใช้ได้ที่ไหน แต่คนที่ใช่ไม่ได้โดยแท้ ควรจะเป็นตัวเขามากกว่า
ทำไมข้าถึงไร้ประโยชน์อย่างนี้..
ชายหนุ่มผมทองสบถต่อว่าตัวเองในใจ พร้อมกับนำมือไปเกลี่ยน้ำตาบนใบหน้าขององค์ชายเช่นเดียวกัน เพียงชั่วครู่ได้รวบกายองค์ชายเข้าไปโอบกอดไว้แนบแน่นพร้อมกับใช้มือลูบแผ่นหลังขององค์ชายอย่างปลอบโยน องค์ชายซุกหน้าลงบนอกอันผาดพึงได้กลิ่นอันแสนคุ้นเคย เด็กขี้แยคนนั้นกลายเป็นชายที่พึ่งพาได้ไปเสียแล้ว
เมื่อลืมตาขึ้นมาเห็นชายผมทองตรงหน้า องค์ชายก็ทราบได้ในทันใดว่าเขายังคงรักษาสัญญาที่ให้ไว้อย่างแน่วแน่ ทว่าคำมั่นที่ให้ต่อกันไว้ดันกลายเป็นสิ่งผูกมัดทั้งตัวและหัวใจของเขา หักห้ามเพื่อไม่ทำในสิ่งที่ตนต้องการอย่างแท้จริง เพราะความเดียงสาในวัยเยาว์ยังไม่เข้าใจในความหมายของคำว่า ‘รัก’ อย่างลึกซึ้ง
เพราะคำมั่นที่ให้ไว้ต่อกันในตอนนั้น องค์ชายไม่เคยนึกคิด ว่าจะทำให้เขาเจ็บปวดใจถึงเพียงนี้ แม้ตัวของหนุ่มผมทองอาจจะไม่รู้ถึงความรู้สึกและเฝ้าหลอกตัวเองมาตลอดก็ตาม
คำที่องค์ชายเอื้อนเอ่ยว่าชายหนุ่มผมทองไม่ใช่ผู้ถอนคำสาป ทำให้อีกตนซึ่งกำลังฟังทุกอย่าง ลืมตาขึ้นมาด้วยความตกตะลึงอย่างลุ้นระทึก หากไม่ใช่ชายหนุ่มผมทองแล้วจะเป็นผู้ใด เพราะในเมื่อเวลาที่ผ่านมา ยามอยู่ในห้วงนิทราเขาคือผู้เดียวซึ่งอยู่เคียงข้างองค์ชาย
ทว่า..คงไม่ใช่ อาจจะเป็นใครก็ได้ อาจจะเป็นใครคนสักคน ในจังหวะที่เขาเผลอ สมองเอ๋ยเจ้าอย่าจงคิดเข้าข้างตัวเองอีกเลย ไม่มีทาง เพราะสัตว์เยี่ยงเขา...
ไม่คู่ควร..
“เจ้าหยุดร่ำไห้ได้แล้ว ข้าหยุดแล้วเห็นไหม”
องค์ชายละใบหน้าออกห่างจากแผ่นอกเล็กน้อย พลางเงยใบหน้ามอง
“โกหก เจ้าไม่ได้หยุดร้องเสียหน่อย”
น้ำเสียงกล่าวงึมงำในลำคอพร้อมหน้ามุ่ย เมื่อเห็นเช่นนั้นหนุ่มผมทองถึงกับอมยิ้มเพราะความน่ารักน่าหยิกขององค์ชาย ก่อนจะคายวงแขนกอดร่างบอบบางไว้อย่างหลวม ๆ ศีรษะซึ่งโน้มลงอย่างเนิบนาบจนหน้าผากของทั้งสองแนบชิด นัยน์ตาประสานสักพักก่อนทั้งคู่จะปิดเปลือกตาลงและพร้อมแล้วสำหรับการเอ่ยความในใจ ดั่งวันเก่าที่เราเคยให้คำมั่นเมื่อครั้นเยาว์วัย
“หากเจ้าประสงค์เช่นนั้น ข้าจะไม่บังคับเจ้า แต่บอกข้าหน่อยได้ไหม ว่าผู้ใดคือผู้ถอนคำสาปตัวจริง ข้าขออภัยจากก้นบึ้งในจิตใจที่ข้าไม่สามารถรักษาสัญญาข้อหนึ่งที่เคยให้ไวกับเจ้าได้ ข้าขอโทษ”
เขาเป็นฝ่ายเริ่มเอ่ยก่อนด้วยถ้อยคำจากความรู้สึกโดยไร้สิ้นการโป้ปด ความจริงเขาไม่เป็นจำต้องขอโทษขอโพยด้วยซ้ำ เพราะเขาไม่ได้ทำผิดแต่อย่างใด และเป็นอย่างที่คิดเอาไว้ชายหนุ่มผมทองรักษาสัญญาอย่างคงมั่น องค์ชายชักรู้สึกสงสารท่านพี่ขึ้นมาเสียแล้วสิ ท่านพี่ที่อยู่เคียงข้างชายหนุ่มผมทองมาตลอดคงจะปวดช้ำหทัยน่าดู
“ไม่เป็นเช่นนั้นหรอก เพราะในส่วนหนึ่งเจ้ายังคงรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับข้าได้อยู่นะ หากเจ้าไม่มาข้าอาจจะสิ้นชีพไปแล้วก็เป็นได้ เพราะคนที่อยู่กับข้ามาตลอดไม่รับรู้เลยสักนิดว่าคำสาปได้เสื่อมคลายมาเนิ่นนานแล้ว”
องค์ชายเอ่ยตอบพร้อมเฉลยข้อเท็จจริง ทว่าเพียงเท่านี้ไม่อาจทำให้ชายหนุ่มผมทองหายสงสัยได้
“ข้ายังไม่ค่อยเข้าใจ ช่วยขยายความหน่อยได้ไหม”
อีกตนที่กำลังฟังทั้งคู่สนทนาอย่างตั้งใจ ทว่าเขาก็ยังไม่กล้าที่จะมองเหตุการณ์อยู่ดี สัญชาตญาณร้องเตือนว่าเขาไม่ควรจะเงยขึ้นมองตอนนี้ องค์ชายได้ยินเช่นนั้น จึงนึกย้อน ตั้งแต่วันที่โลงกระจกล่วงหล่นกระทบพื้น นั่นก็คือวันที่คำสาปได้เสื่อมคลาย ทว่าด้วยฤทธิ์เดชของสิ่งโปร่งใสไม่ยอมเสียเหยื่อของตนไป จึงสะกดองค์ชายไว้ไม่ให้สามารถขยับกายหรือลืมตาขึ้นมาได้ หากไม่ทำลายโลงด้วยจิตใจอันแน่วแน่ องค์ชายก็จะไม่ถูกปลดปล่อยโดยแท้จริง วันคืนผันเปลี่ยนต่อจากนั้นองค์ชายรับรู้ทุกสิ่งอย่างรอบกายด้วยเสียง
จึงรับรู้ถึงการกระทำของบุคคลที่ดูแลเอาใจใส่องค์ชายอย่างดีด้วยความรักและความอ่อนโยนอยู่เสมอ องค์ชายกระตุกยิ้มบนมุมปากเล็กน้อย
“เอาเป็นว่าเพราะเจ้าทำลายโลงยังไงล่ะ ข้าจึงได้ถูกปลดปล่อย ฉะนั้นเจ้ารักษาสัญญาได้แล้วนะ ไม่ต้องกล่าวโทษตัวเอง หากไม่เป็นเพราะเจ้า ข้าคง..ไม่สามารถมายืนพูดคุยกับเจ้าได้เยี่ยงนี้ ข้าต้องขอบคุณเจ้าจริง ๆ”
องค์ชายกล่าวอย่างสุดซึ้งถ้อยคำเรียบง่าย ทว่าสามารถชะล้างความรู้สึกอันทรมานได้เบาบางลงไปบ้าง
“เจ้ายังไม่ได้ตอบอีกคำถาม”
ชายหนุ่มผมทองเอ่ยทวงเมื่อคำตอบที่ตนอย่างจะทราบมากที่สุด ไม่ได้ถูกเอ่ยถึงขึ้นมาสักที
“ความจริงข้าเองก็ยังไม่รู้แน่ชัดเหมือนกัน รอให้ขอมั่นใจกว่านี้ก่อน”
องค์ชายกล่าวเสียงเอื่อย เนื่องจากตนไม่รู้ถึงรูปร่างหน้าตาของผู้ที่ถอนคำสาปให้แม้แต่น้อย จึงทำให้องค์ชายรู้สึกเศร้าใจยิ่งนัก และชายหนุ่มผมทองไม่นึกคิดว่าองค์ชายจะตอบออกมาเช่นนี้ จึงไม่รู้จะกล่าวพูดอะไรต่อ
“จริงสิ!”
ดูเหมือนองค์ชายจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้จึงโพล่งเอ่ยออกมาด้วยเสียงที่ค่อนข้างดัง จนทำให้ชายหนุ่มผมทองเผลอลืมตาขึ้นมามอง ก็พบว่าองค์ชายได้ลืมตาอยู่ก่อนแล้ว
“เจ้า เจ้า ในขณะที่เจ้ามาที่นี่ เจ้าได้สวนทางกับผู้ใดหรือไม่”
องค์ชายเอ่ยถามอย่างหน้าตาตื่นด้วยน้ำเสียงรีบเร่ง
“เอ๊ะ...ไม่ ข้าไม่ได้สวนทางกับผู้ใด”
เขาตอบตามความเป็นจริง เมื่อได้ยินแบบนั้นองค์ชายได้ครุ่นคิดพลางแสดงท่าทางกระวนกระวายทันควันในบรรยากาศซึ่งมีเพียงเสียงสายลมพัดผ่าน เกิดอะไรขึ้นกันแน่ เมื่อครู่ยังนิ่งสงบอยู่เลย มือที่พยายามดันกายของตนออกจากอ้อมแขนของชายหนุ่มผมทองและเขาเองก็ปล่อยโดยง่าย พลิกตัวกลับก่อนจะใช้สายตากวาดมองไปรอบบริเวณ สังเกตทุกอย่างแบบละเอียด
ไม่ผิดแน่
“เจ้ายังอยู่ที่นี่ใช่ไหม”
แววตาซึ่งกำลังมองหาอะไรบางอย่างขององค์ชายพลางเอ่ยกับผู้ใด ชายหนุ่มผมทองก็ไม่ทราบเช่นกัน ได้แต่มองเหตุการณ์อย่างงุนงง ทว่าสัตว์อีกตนจากบทสนทนาทั้งหมดจะเป็นตัวเขายังไม่แน่ชัดนัก ควรจะนิ่งไว้ก่อนดีกว่า
“อยู่ใช่ไหม ข้าได้ยินเสียงหายใจคำรามของเจ้า เวลาที่กำลังเจ็บปวดของเจ้า ข้ารู้ว่าเจ้ายังอยู่ที่นี่”
เสียงหายใจคำราม ชายนุ่มผมทองได้เคลือบแคลงใจกับคำเอ่ยนี้ ปกติมนุษย์เรามีเสียงหายใจคำรามด้วยอย่างนั้นรึ
“ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ใช่มนุษย์”
ชัดเจน ชายหนุ่มผมทองถึงกับตกใจในสิ่งที่ได้ยิน เดี๋ยวสิไม่ใช่มนุษย์ เรื่องอะไรกันเนี่ย และอีกตนที่กำลังได้ยินคำร้องเรียกขององค์ชายก็รู้สึกตกใจไม่แพ้กัน
องค์ชายนิ่งงันชั่วครู่ มองดูผลตอบรับ ทว่ายังคงไร้วี่แวว จึงสบโอกาสเอ่ยต่อ
“เจ้ามีขนสีเสมือนเปลวเพลิงกำลังมอดไหม้ รู้หรือเปล่าว่ามีเศษขนของเจ้าหล่นบริเวณรอบข้างข้ามีทั้งใหม่และเก่า จงแสดงตัวตนออกมาเถิด ข้าอยาบพบหน้าเจ้า”
น้ำเสียงที่กำลังอ้อนวอนขององค์ชายกำลังเรียกเขาให้ออกไปเผชิญหน้า ทำให้สัตว์อย่างเขาเผยรอยยิ้มอย่างดีใจ ก่อนจะผละศีรษะออกจากเรียวแขนเงยขึ้นอยู่ในระดับเดิมพลางสังเกตเหตุการณ์
องค์ชายกำลังเรียกเขา..
องค์ชายกำลังเรียกเขาอยู่
อดที่จะดีใจไม่ได้
ขาซึ่งเตรียมจะก้าวออกไปเพื่อเผยตัวตน
ทว่า..ได้หยุดชะงักกลางคันเมื่อฉุกคิดขึ้นได้ว่า..ตนไม่คู่ควร หากอยู่ด้วยกันจะไม่สุขสบายเหมือนดั่งอยู่กับมนุษย์ แววตาซึ่งจ้องไปยังชายหนุ่มผมทอง ก่อนจะย้อนกลับมามองที่ตนเอง สภาพช่างต่างกันลิบลับ สัตว์ที่สกปรกมอมแมมไร้ยศฐาบรรดาศักดิ์ กับหนุ่มอีกคนที่เพียบพร้อมไปเสียทุกสิ่ง ไม่ว่าจะรูปลักษณ์การแต่งกาย ช่างเหมาะสมกันแตกต่างจากเขาซึ่งมีเพียงขนยาวยุบยับปกคลุมทั่วร่างมากมายเหลือเกิน ไม่มีอะไรที่สามารถสู้ได้สักอย่าง
องค์ชาย...
ควรจะกลับไปอยู่ในสถานที่ซึ่งควรจะอยู่
เขามั่นใจในฝีเท้าพอสมควร
แค่หลบหนีไปสักพัก รอให้ทั้งคู่ออกห่างจากบริเวณแล้วค่อยกลับมาใหม่
เมื่อตัดสินใจได้ เขาโกยอากาศเข้าปอด ฝีเท้าถอยไปสองสามก้าว เตรียมกาย..
แล้ว.....วิ่ง!!!!
รวดเดียวให้ถึงทางออก แบบที่องค์ชายกับชายหนุ่มผมทองจะไม่รู้สึกตัว
ตุบ ตับ ตุบ ตับ ตุบ ตับ
ด้วยร่างกายที่สูงใหญ่เวลาวิ่งจึงเกิดเสียงเป็นจังหวะ และต่อให้วิ่งได้เร็วแค่ไหน ก็ยังไม่หลบซ่อนกายได้
“อ๊ะ เห็นแล้ว แต่เดี๋ยวสิ นั่นเจ้ากำลังจะไปไหน”
แย่แน่ เขาพยายามเร่งฝีเท้าอย่างสุดกำลัง เพื่อให้องค์ชายไม่สามารถวิ่งตามมาได้
“เดี๋ยวสิ รอข้าก่อน”
เสียงซึ่งดังตามหลัง ทว่าสัตว์ตนนั้นไม่มีท่าทางจะสนใจและหยุดวิ่งแต่อย่างใด องค์ชายจึงเตรียมกายจะวิ่งตามไปด้วย ทว่าก่อนจะวิ่งไป
“นั่นคือผู้ที่ถอนคำสาปให้ข้า.. ข้าไม่สามารถปล่อยให้เขาอยู่คนเดียวได้ และคำสัญญาข้อที่บอกว่าหากคำสาปจางหายจะแต่งงานกับเจ้า สุดท้าย ข้าขอโทษที่ไม่อาจรักษา ตอนนี้เจ้ากำลังเจ็บปวดใจ ลองตรึกตรองหาสาเหตุดูสิ แล้วเจ้าจะรู้ว่าไม่ใช่เป็นเพราะข้า”
ชายหนุ่มอึ้งกับสถานการณ์จึงได้ยืนฟังองค์ชายแน่นิ่ง ร่ายยาวอย่างรีบร้อนมาเป็นชุด และดูท่าจะไม่หมดแค่นี้
“อีกอย่างข้าฝากความคิดถึงให้ท่านพี่ด้วย เดินทางมาด้วยกันใช่ไหม ข้าได้กลิ่นเครื่องหอมที่ท่านพี่ใช่ประจำบนกายของเจ้า ฝากบอกท่านพ่อและท่านแม่ว่าข้าสบายดี ข้ากำลังจะไปมีชีวิตเป็นของตัวเอง และสุดท้ายจริง ๆ ข้าขอบคุณเจ้ามาก ฮานิล.. สหายรักของข้า ลาก่อน..”
สิ้นคำซึ่งเอ่ยพร้อมรอยยิ้มอันสดใสองค์ชายไม่เปิดโอกาสให้ชายหนุ่มผมทองได้เอ่ยพูดตอบอะไร ได้พุ่งกายวิ่งออกไปทันที หากองค์ชายประสงค์เช่นนั้นเขาก็ไม่ขัดข้อง บางประโยคที่เขาไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่สักวันเขารู้สึกได้ว่าจะต้องเข้าใจได้แน่ อสูรร้ายในตำนานตนนี้เป็นผู้ถอนคำสาปอย่างนั้นรึ ไม่อยากจะเชื่อ แต่แปลกยิ่งนักจากสภาพสิ่งรอบกายที่เห็นเขารู้สึกได้ว่า..
มนุษย์หมาป่าตนนั้นถนอมองค์ชายราวกับสมบัติล้ำค่า ต้องปกป้ององค์ชายยิ่งกว่าชีวิตของตนแน่
“ข้าขอให้เจ้ามีความสุขในสิ่งที่เจ้าเลือก”
ชายหนุ่มผมเหม่อมองแผ่นหลังขององค์ชายยิ้มส่งพลางเอ่ยอย่างปลอดโปร่งราวกับแก้ไขในสิ่งกวนใจมาเป็นระยะเวลานานเสร็จสิ้น ทว่ายังคงเหลืออีกเรื่องก็หวังว่าคงจะเคลียร์ได้ในเร็ววัน
อีกหนึ่งตำนานซึ่งไม่เคยถูกเล่าขาน..
ด้วยเรื่องวิธีการถอนคำสาปหาใช่การจุมพิตหรืออื่นใดไม่
แต่เป็น ‘ความรัก’ ที่มาจากดวงใจอันแท้จริง
-END-
ว่าจะอัพวันอังคาร แต่เปลี่ยนใจอัพวันนี้รวดเดียวเลยดีกว่าค่ะ ยังเหลือตอนพิเศษอีก 1 ตอนนะคะ