Chapter 3
ผู้คนรอบด้านเงียบลงเมื่อไฟด้านหน้าเวทีดับ กนธีหันไปมองเมื่อได้ยินเสียงกีต้าร์เป็นท่วงทำนองของเพลงสากลเก่าในแบบอคูสติก แขกทุกคนปรบมือต้อนรับพร้อมกับที่สปอร์ตไลท์สีนวลส่องสว่าง
ร่างสูงใหญ่ของใครบางคนนั่งอยู่บนสตูลสูง ช่วงขาเพรียวยาวไขว่ห้าง มีกีต้าร์โปร่งวางบนตัก ปลายนิ้วพลิ้วไหว ไล่ไปตามสาย ใบหน้าหล่อเหลาและอ่อนวัยดูเรียบนิ่ง คล้ายกับอยู่ในภวังค์ของเสียงเพลง
“It's late in the evening; she's wondering what clothes to wear.” เสียงทุ้มต่ำ ฟังนุ่มนวลจนน่าหลง “She puts on her make-up and brushes her long blonde hair.”
กนธีปรบมือให้พร้อมกับแขกคนอื่น พสิษฐ์เหลือบมองคนด้านข้าง
“ให้มันน้อยๆหน่อย”
“วุ่นวายน่า” พี่กุนต์เขม่นน้อง
“And then she asks me, Do I look all right?” ดวงตาคมกล้าปรายมองก่อนจะวกมาหยุดที่โซฟาตัวหนึ่ง รอยยิ้มบางส่งไปให้ชายหนุ่มอีกคน จับจ้องไม่วางตาขณะร้องคลอ “And I say, Yes, you look wonderful tonight.”
ตอนแรกพสิษฐ์ไม่ได้ใส่ใจจะมองคนที่ชวนพี่กุนต์มาเป็นเมมเบอร์ที่นี่นักหรอก แต่ก็อยากรู้อยู่ดี ว่าอะไรเป็นตัวดึงดูดให้พี่กุนต์หลงตามมาได้ง่ายดายขนาดนั้น
แสงไฟข้างเวทีฉาบไล้อยู่บนโครงหน้าสะอาดเกลี้ยงเกลา ดวงตาของเด็กหนุ่มเป็นสิ่งที่โดดเด่นที่สุด..ดูคมคาย ลึกล้ำ และหวานซึ้งในคราวเดียว เมื่อรวมกับคิ้วเข้มหนา จมูกโด่งเป็นสันและริมฝีปากบางได้รูป ก็นับว่าเป็นคนที่ดูดีอย่างหาตัวจับยาก และพสิษฐ์คงไม่แปลกใจเลย ถ้าพี่กุนต์จะตกบ่วงที่แสนดึงดูดนั่นเข้าไปแล้ว
แต่สิ่งที่ทำให้เขาหยุดนิ่งไปครู่ ก็คือทุกองค์ประกอบของใบหน้าที่ได้เห็น..มีส่วนคล้ายคลึงกับใครบางคน ชนิดที่มองเพียงครั้งเดียวก็พาลทำให้ใจกระหวัดคิดไปได้ทันที
..เขาเกลียดเรื่องบังเอิญทั้งหลายในโลกนี้..เกลียดจริงๆ..
อินทัชฮัมทำนองเพลงคลอไปกับเสียงกีต้าร์ระหว่างที่ก้มหัวให้สุภาพสตรีสูงวัยที่ลุกเอากุหลาบมาให้เขา..หล่อนกรีดนิ้วเป็นสัญลักษณ์ว่าอยากให้ลงมาหาหลังจากเพลงจบ
ในบางครั้ง..พวกผู้หญิงที่เปลี่ยวเหงาเหล่านี้ อาจจะแสดงท่าทีที่มากกว่าการอยากให้เขามานั่งดื่มเป็นเพื่อน อย่างเช่น..ยื่นเงินให้ห้าพัน..แลกกับการไปเดทสองต่อสองตอนเลิกงาน หนักเข้าก็จ่ายสดสองหมื่น..แลกกับการขึ้นเตียงเพียงหนึ่งครั้งในโรงแรมห้าดาว หรือไม่ก็เสนอการเลี้ยงดูแบบลับๆ ปรนเปรอทางเพศให้พวกหล่อนอยู่ลับหลังสามีตัวจริง
อินทัชไม่เคยตอบตกลงใคร..เขาไม่ได้ขายตัว
เขาอาจจะทำได้ทุกอย่างเพื่อเงิน อย่างตีสองหน้า ยิ้มการค้าเพื่อเรียกแขก เอาอกเอาใจทั้งที่เนื้อแท้เขาเป็นคนแข็งกระด้าง แต่สิ่งที่เขาไม่คิดจะทำ..ก็คือขายบริการ
..ถึงอย่างนั้น..เขาก็ลบภาพลักษณ์พวกนี้ออกไปไม่ได้..
“I feel wonderful because I see the love-light in your eyes.” เด็กหนุ่มยิ้มจาง เสี้ยวลึกในใจเจ็บแปลบ เวทนากึ่งสมเพชสิ่งที่ตนทำอยู่ จนต้องหลับตาลง ปล่อยความคิดล่องลอยไปกับเสียงเพลงที่ช่วยเยียวยาความรู้สึก “And the wonder of it all is that you just don't realize....how much I love you.”
“พี่กุนต์..” พสิษฐ์หันมาทางกนธี เห็นสายตาที่แสดงความนิยมชมชอบอยู่ภายใน เขาพยายามอ่านความคิดของพี่กุนต์ และยิ่งมั่นใจมากขึ้นเมื่อเจ้าตัวไม่ละสายตาไปจากเด็กนั่นเลย
“ว่าไง” กนธียกไวน์ขึ้นจิบ
“ถามจริงๆเถอะ พี่กุนต์คิดจะเอาเด็กมาแทนที่ไอ้รัณย์อีกแล้วใช่ไหม” พสิษฐ์ท้วง “พี่คิดว่าถ้าไอ้รัณย์รู้ ว่าพี่เที่ยวหาใครต่อใครมาเป็นตัวแทนมัน..ไอ้รัณย์จะดีใจไหม”
“เปล่าสักหน่อย พี่จะทำแบบนั้นทำไม” เขาตีหน้าเรียบ
ถ้าพสิษฐ์จะตีความว่าการที่เขาคบหากับคนอายุน้อยกว่าและมีส่วนคล้ายกับศรัณย์ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง คือการสรรหาใครอื่นมาแทนที่ความรักครั้งเก่า..น้องมันก็คิดผิดไปถนัด
เขาแค่ถูกเด็กพวกนั้นดึงดูดให้เข้าหาด้วยส่วนเหมือน แต่ไม่เคยคิดจะถือความสัมพันธ์ฉาบฉวยแบบนั้นเป็นเรื่องจริงจัง ไม่เคยคิดจะเปิดใจเพื่อเริ่มต้นชีวิตอีกหน..สิ่งที่เขากับเด็กใหม่มีร่วมกัน ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการแลกเปลี่ยนที่ยุติธรรมดี มีกฎเป็นตัวควบคุม มีเงินเป็นสื่อกลาง และไร้ซึ่งปฏิสัมพันธ์ทางความรู้สึก
..แต่กับศรัณย์..มันไม่ใช่..
สิ่งที่เราใช้เงินแลกมา กับสิ่งที่เราใช้ใจแลกไป..มันต่างกันมากนัก
“จะคิดยังไงก็แล้วแต่ รู้เอาไว้ว่าในโลกนี้ ไม่มีใครแทนที่ศรัณย์ได้..ไม่มีสักคน”
“แล้วพี่กุนต์ตามมาถึงที่นี่ทำไม ตกลงจะเอายังไงกับเจ้าเด็กคนนี้”
กนธีไม่ตอบ มองสบตากับอินทัช บริกรคนหนึ่งเข้ามาแทรก ยื่นกุหลาบสีแดงเข้มให้หนึ่งดอก
“คุณโอ๊ตฝากให้ผมมาเรียนคุณกนธี ว่าขอบคุณที่มาฟังเพลงครับ..”
ชายหนุ่มพยักหน้า รับกุหลาบดอกนั้นมาแล้วก้มลงสูดกลิ่นเจือจางของมัน
“I say, My darling, you were wonderful tonight.” อินทัชละมือที่ดีดกีต้าร์พร้อมกับทอดเสียงอ่อนลง เสียงนุ่มนวลกังวานไปในความเงียบสงบของยามค่ำคืน “Oh my darling..” ดวงตาคมกล้าจับจ้องกนธี ยิ้มให้บางเบา “you were wonderful tonight.”
เสียงปรบมือดังขึ้นอีกครั้ง เด็กหนุ่มก้มหัวรับ คืนนี้เขาตั้งใจจะร้องแค่สองเพลงแล้วเข้าไปเทคแคร์เมมเบอร์ใหม่ แต่เพราะไม่อยากลงไปนั่งกับคุณป้าคนที่เพิ่งส่งสัญญาณมาให้ ถึงได้จงใจลากเพลงยาวต่อเนื่อง
อย่างไรเสีย เขาก็ไม่ได้ละเลยแขกคนพิเศษ เพราะทุกนาที เขามองหน้ากนธี สิงหนาทไม่วางตา
“สถานที่แบบนี้ ทำงานแบบนี้ อย่าหาว่าผมมองไม่ดีเลย” พสิษฐ์เตือน “หมอนั่นสนแต่เงินของพี่เท่านั้นแหละ จะต่างจากคนที่แล้วมาตรงไหน”
“เขาชื่อโอ๊ต” กนธีบอก คอแห้งผากเล็กน้อยเพราะสายตาที่จ้องกัน
“จะชื่ออะไรก็ช่าง..แต่อย่าไว้ใจให้มากนักนะ” เขาส่ายหัว “อยากถูกสวมเขาเป็นคนที่ห้าหรือไง”
“ก็ต้องดูกันต่อไป” กนธีวางดอกไม้ลงกับโต๊ะกลาง หัวเราะแผ่ว “พี่แค่มามอง..ไม่ได้มาจอง”
อย่าคิดว่าเขาหาเรื่องใส่ตัว และไม่ใช่ว่าเป็นพวกไม่เข็ดหลาบ..เขาก็แค่ไม่ได้แคร์มากนัก
..หากจะมีอะไรเกิดขึ้นในอนาคต เขาก็คาดหวังแต่เพียงว่า..
..นั่นต้องเป็นการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียม..
.
.
.
ห้าทุ่มครึ่ง..พสิษฐ์ประคองตัวญาติผู้พี่ที่คอตกจากไวน์สองขวดออกมา พี่กุนต์ยังพอเดินได้ แต่ก็ดูมึนๆจนเซไปเรื่อย
“ใครจะบ้าเท่าพี่เนี่ย” เขาบ่น “เสียค่าเมมเบอร์เพื่อเหล้าที่ไม่ได้กิน”
“ตาแก่เอ๊ย..พูดมากเดี๋ยวป๋าอ้วกใส่เลย” กนธีว่าเสียงอ้อแอ้
“ครับป๋า! ป๋าแต่กับเด็กหนุ่มๆ ไม่เคยป๋ากับน้องชายบ้าง”
พนักงานของทางร้านเข้ามาช่วยพยุงตัวลูกค้า พสิษฐ์ส่ายหัวปฏิเสธ แค่ไหว้วานให้ไปช่วยกดลิฟต์ กนธีตัวเบานิดเดียว ไม่ได้ลำบากอะไรเขานัก
“จะกลับแล้วหรือครับ” อินทัชที่มีเวลาพักครึ่งเข้ามาทักทาย
พสิษฐ์ชะงัก หันมองเด็กหนุ่มด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยมีไมตรี เขาไม่ได้ดูถูกคนที่ด้อยกว่าหรือทำอาชีพแบบนี้ แต่เขาคงไม่ชอบใจ ถ้าเจ้าโอ๊ตอะไรนี่จะเข้ามาหลอกพี่กุนต์ของเขา “อืม..”
“ถ้าไม่รังเกียจ ผมจะไปส่งที่รถนะครับ”
“ไม่ไปเทคแคร์แขกหรือไง” เขายืนเต็มความสูง ใช้สายตานิ่งๆมองอีกฝ่าย
อินทัชยิ้มอย่างไม่ยี่หระ เขามองออกว่ากำลังถูกเขม่น แต่แล้วไงเล่า..พนักงานกระซิบว่าคนเป็นเมมเบอร์คือกนธี สิงหนาท ไม่ใช่คนที่กำลังยืนคุยกับเขา คนนอกน่ะ อาจเสียเงินมากกว่า แต่ก็คงมาไม่บ่อย สมาชิกของเลานจ์ต่างหากที่มีแรงจ่ายได้ไม่อั้น เรื่องเอาใจลูกค้าเพื่อกินยาวๆ เขาถนัดนัก
“ผมร้องเพลงจบแล้ว วันนี้ไม่ได้นั่งกับแขกครับ เลยมาช่วยดูแลเมมเบอร์”
“เอาเถอะ ไม่ต้องมาช่วยเป็นธุระหรอก ผมดูแลเขาเอง” พสิษฐ์ตัดบท จับหัวของพี่กุนต์ที่เจ้าตัวกำลังปรือตามองและยิ้มทักเด็กหนุ่มให้หันมาซบไหล่..มันน่านัก! ตาแก่ขยันยั่ว!
“น้องโอ๊ต..” กนธียิ้มตาปิด “พี่ลืมกุหลาบ..”
พสิษฐ์ถอนหายใจ ไอ้กุหลาบล่อหลอกเจ้ากรรมดอกนั้นน่ะหรือ ยังอุตส่าห์นึกขึ้นได้อีก
อินทัชหัวเราะในลำคอ “รอสักครู่นะครับ ผมจะไปหยิบมาให้”
ร่างสูงของคนอายุน้อยกว่าหันหลังกลับไปที่ดาดฟ้าของอาคาร แขกคนอื่นๆยังนั่งกันอยู่เต็ม ส่วนใหญ่แล้วถ้าไม่ถึงเที่ยงคืน ไม่ค่อยมีใครกลับก่อน
อินทัชสวนกับผู้ชายสามคน เขาจำได้ว่าเป็นสมาชิกระดับวีไอพี แต่ไม่ค่อยได้เห็นหน้าเท่าไร
“กลับแล้วหรือครับ ขอบพระคุณที่มานะครับ” เขาพูดแบบนกแก้วนกขุนทองอย่างที่ผู้จัดการสอนมา
ผู้ชายหน้าตาดีในชุดสูทยิ้มรับ เขาเปิดกระเป๋าเงิน ยื่นให้สองพัน “ร้องเพลงเพราะดี”
เด็กหนุ่มไหว้นอบน้อม “ขอบพระคุณครับ..คุณรชต”
เจ้าสัวยังหนุ่มเดินผ่านไป ยกมือโบกให้อย่างไม่ถือสา มีชายอีกสองคนที่อยู่ในตระกูลภาษยวัตเดินตามหลัง ไม่ได้หันมามองเขาแม้เพียงเศษเสี้ยว สามคนนั้นอยู่ในโลกของตัวเอง..โลกแห่งความสุขสบายและเงินทองที่กองล้นเหลือ
อินทัชก้มดูแบงค์พันสองใบในมือ กำมันแน่น..ด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย
..แม้เขาจะต้องการเงิน แต่อีกใจก็ไม่อยากจะข้องเกี่ยวกับคนที่ตีค่าทุกอย่างด้วยเงิน..
แต่ช่างมันปะไร..ถือว่าเป็นการแลกเปลี่ยนที่ยุติธรรมดี
อินทัชก้าวยาวๆไปที่โต๊ะของกนธี สวนกับปาลินที่มีสีหน้าไม่ค่อยดีนัก เขามองผ้าเช็ดหน้าผู้ชายในมือของเพื่อน ปาลินถือเอาไว้ สายตามองไปตรงทางออกที่พวกภาษยวัตเพิ่งจะเดินผ่านเมื่อครู่
“มีอะไรหรือเปล่า” เขาหยิบกุหลาบที่ฝากพนักงานมาให้กนธี มันวางอยู่ตรงโต๊ะกลาง
“ผู้ชายคนนั้นให้ผ้าเช็ดหน้าเรา” ปาลินพึมพำ “คนที่เดินตรงกลางน่ะ”
“รชต ภาษยวัต เจ้าของกิจการโรงแรม” อินทัชบอก ไม่แปลกที่เพื่อนจะไม่รู้จัก เพราะเจ้าสัวรชตไม่ได้มาบ่อย ล่าสุด..ก็เมื่อหกถึงเจ็ดเดือนที่แล้วเห็นจะได้ “หลงเสน่ห์เขาหรือไง แล้วทำไมต้องทำหน้าซีดด้วย”
“เดี๋ยวเราเล่าให้ฟังทีหลัง” ปาลินดูกังวล “ตอนนี้ได้แต่หวังว่าคนๆนั้นจะไม่เห็นเรา..”
“ใคร”
“คุณภวินท์ ภาษยวัต..” ร่างเล็กพูดอย่างหมดแรง “เขาเป็นเพื่อนกับพี่ศร..ถ้าพี่รู้ว่าเราแอบมาทำงานกลางคืน ต้องแย่แน่ๆ..”
อินทัชลูบหัวเพื่อนปลอบใจ “อย่าเพิ่งคิดมาก พวกเราไม่ได้มาทำเพราะอยากทำสักหน่อย มันจำเป็น สนคิดว่าจะไปหางานที่เงินดีแบบนี้ได้จากที่ไหนอีก ไม่เหนื่อย ไม่เสียเวลาเรียนด้วย”
“อืม..” ปาลินพยักหน้าหงอยๆ มองกุหลาบในมืออีกคน “ของใครหรือ”
“คุณกนธีลืมเอาไว้ เดี๋ยวเราเอาไปให้เขาก่อน สนไปรอในห้องพนักงานนะ คืนนี้รอกลับพร้อมกัน”
อินทัชบอกไว้แล้วรีบกลับไปที่ลิฟต์..แต่เขาก็ไม่เจอกนธีแล้ว
เด็กหนุ่มหัวเราะหึ โยนกุหลาบทิ้งลงถังขยะแถวนั้นเอง
.
.
.
พสิษฐ์พากนธีมาขึ้นรถ ในขณะที่คนอายุมากกว่าก็บ่นงอแงเรื่องที่ว่าเขาไม่ยอมรอรับดอกไม้จากอินทัช
“อยากได้นักจะขับไปซื้อให้ที่ปากคลองตลาด” เขาประคองพี่ชายให้นั่งข้างคนขับ กว่าจะจับยัดตัวเข้าไปได้ก็ลำบากเอาการ..ยากกว่าตอนพาคุณหมูที่เมาไม่เป็นท่ากลับบ้านเสียอีก “อย่าดื่มอีกนะพี่กุนต์!”
“อือๆ..ไม่ดื่มแล้ว ไม่ดื่ม” กนธีเอนตัวลงบนเบาะ หันหน้ามาทางน้อง หลับตานิ่ง
พสิษฐ์ส่ายหัว สตาร์ทเครื่องแล้วขับกลับบ้าน ป่านนี้แล้ว รถไม่ค่อยติดนัก แค่ยี่สิบนาที เขาก็กลับมาถึงคอนโดของพี่กุนต์ กำลังคิดว่าจะต้องแบกคนหลับขึ้นลิฟต์ท่าไหน ก็พอดีเจอเด็กคนล่าสุดของพี่มานั่งรออยู่ตรงบันไดตึก
ชายหนุ่มขับรถไปด้านหน้า ลดกระจกลงเมื่อไววิทย์หันมามอง
“กลับไปซะ” เขาบอกคนที่ทำท่างง แน่ล่ะว่าไววิทย์ไม่เคยเห็นหน้าเขา เพราะกนธีไม่ได้พาเขามาแนะนำ
จะว่าไปแล้ว พี่กุนต์ก็โหดร้ายเอาเรื่อง หมอนี่ไม่เคยเปิดเผยเรื่องส่วนตัวของตนเองให้คนร่วมเตียงรับรู้ ไม่เคยพาคู่ควงไปให้ทางบ้านรู้จัก ไม่เคยพาออกงานหรือเล่าให้ใครฟัง มีสถานะเป็นได้แค่เด็กในอาณัติ ไม่มีตัวตน ไม่เป็นที่รู้จักของใครๆ จะมีก็แต่เขาเท่านั้น ที่ร่วมรับรู้ว่าพี่กุนต์เลี้ยงเด็กไว้ใช้งานโดยเห็นจากภาพถ่ายและคำบอกเล่าที่ไม่เคยปิดบังกัน
พี่กุนต์มีคนรักเปิดเผยอยู่คนเดียวคือศรัณย์ เป็นคนที่ได้รับความเคารพและให้เกียรติในฐานะคู่ชีวิต
..นอกนั้น..คือทางผ่าน..
“คุณคือ?” ไววิทย์คาดเดา “ญาติพี่กุนต์หรือเปล่าครับ”
“ไม่ต้องอยากรู้หรอก เอาเป็นว่ากลับบ้านไปซะ กุนต์ฝากของเอาไว้ที่ล็อบบี้ เห็นแล้วใช่ไหม” เขาถามทั้งที่เห็นสัมภาระหลายอย่างวางกองอยู่ข้างตัว รู้สึกสงสารขึ้นมานิดๆ..แต่ให้ทำอย่างไรได้ล่ะ
“ผมอยากคุยกับพี่กุนต์” ไววิทย์หน้าเศร้า “ให้โอกาสผมอีกครั้งได้ไหม”
“โอกาสของน้องมันหมดไปแล้ว อย่าลืมว่าน้องไม่ได้ทำผิดแค่ครั้งเดียว คนอย่างกุนต์ ไม่เคยตัดสินใครผ่านๆ เขาทนรอให้น้องมาสารภาพเอง แต่น้องไม่ทำ ยังหลอกเขา เอาเงินเขาไปให้ผู้หญิงคนอื่น พี่ช่วยอะไรน้องไม่ได้หรอก”
“แต่..”
“ครั้งสุดท้ายนะ..ไปจากชีวิตกุนต์ซะ พี่คบกับเขามาเป็นสิบกว่าปี รู้ดีว่ากุนต์ไม่กลับมาเอาน้องแน่ เพราะฉะนั้นก็ว่าง่ายๆ เชื่อฟังกุนต์ครั้งสุดท้าย ยังพอมีทางให้เข้าหน้ากันติดเวลาน้องเดือดร้อนขึ้นมาจริงๆ” พสิษฐ์แนะนำ “กุนต์ใจดีนะ แต่ถ้าเขาเกลียดน้องขึ้นมา พี่ไม่รับประกัน”
ไววิทย์คอตก ยกมือไหว้ผู้ชายตรงหน้าแล้วก้มหยิบกระเป๋าขึ้นสะพาย มีลังหนังสืออีกใบที่ต้องเอากลับ เขาคงต้องไปขอนอนกับเพื่อนสักคืน วันรุ่งขึ้นค่อยหาห้องเช่าใหม่อยู่ เงินของกนธียังเป็นสิ่งอำนวยความสะดวกให้เขาได้อีกหลายเดือนถ้าอยู่อย่างประหยัด
พสิษฐ์สงสารขึ้นมาเลยเรียกรปภ.ให้ช่วยโบกแท็กซี่ให้เด็ก เขายื่นแบงค์พันให้ไววิทย์อีกใบ เป็นค่ารถ ค่าข้าว หรือจะใช้เช่าโรงแรมเล็กๆนอนไปสักคืนก็ยังได้ ไม่ก็ถือเป็นค่าปลอบใจที่โดนขู่จนสลดขนาดนี้
ช่วยไม่ได้นี่นา..พี่ชายเขา..เขาก็รักเหมือนกัน
“เสียฤกษ์แล้ว..พากลับไปนอนที่บ้านผมดีกว่า” ชายหนุ่มพึมพำกับคนเมา ออกรถโดยไม่ได้รอดูว่าไววิทย์จะได้ขึ้นแท็กซี่หรือยัง เผื่อเด็กมันเปลี่ยนใจตามตื๊อขึ้นมาอีกที พี่กุนต์จะได้ไม่ต้องมานั่งลำบากปฏิเสธ
กนธีปรือตาข้างหนึ่งขึ้นมอง ยกมือมาผลักหัวน้อง “เรียกกุนต์เฉยๆ ลามปาม..”
“อ้าว..ยังไม่หลับอีกหรือ เห็นกรนเป็นโรงสีข้าว”
“ฮึ! กวนตีนนะแกน่ะ” กนธีบ่นอุบ เขาเคยนอนกรนเสียที่ไหน “หนาวอ่ะ..”
พสิษฐ์ดึงเสื้อกันหนาวที่ถอดพาดพนักคนขับมาคลุมให้ระหว่างรถติดไฟแดง กนธีเอาหน้าซุก กอดเสื้อแนบอกพลางสูดกลิ่นน้ำหอมที่ติดบนเสื้อ
“Bvlgari Pour Homme Soir” เขาพูดเสียงเบา “ไม่ใช่กลิ่นน้ำหอมที่แกใช้นี่”
เจ้าของรถกระแอมแก้เก้อ “อะไร..เป็นหมาหรือ”
“คนใช้ต้องดูท่าทางติดหรู เป็นหนุ่มสุภาพบุรุษ เนี้ยบ ไฮโซ..” กนธียิ้มมุมปาก “คุณไอศูรย์คนนั้นใช่ไหม”
“ผมเกลียดพี่กุนต์”
“แต่พี่รักแกนา..” เขาหัวเราะในลำคอ ง่วงจนตาแทบปิด “มีกิ๊กก็ไม่บอกพี่บอกเชื้อ”
“เพื่อน!” พสิษฐ์ยืนยัน
“เออ..เพื่อนก็เพื่อน” กนธีหลับตา แต่ไม่วายพึมพำ “เมื่อไหร่จะมีแฟนเป็นตัวเป็นตนสักทีล่ะไผ่..”
“ดูแลคนแก่อย่างพี่กุนต์ก็เหนื่อยแล้ว”
“อือๆ..” คนฟังหาวหวอด “บางที ที่แกยังไม่มีแฟน อาจจะเพราะว่าแกน่ะดีทุกอย่างเลย ดีเกินไป..เทคแคร์ทุกคนตั้งแต่หมาหน้าปากซอย ยันคุณหญิงคุณนายที่รู้จักกัน”
“ขอบคุณนะ” พสิษฐ์หัวเราะ
“แต่จำไว้นะไผ่..ถ้าแกมีแฟนแล้ว แกจะมาเที่ยวดูแลใครต่อใครเรี่ยราดอีกไม่ได้ ไม่มีใครอยากให้แฟนตัวเองดีกับคนอื่นไปทั่วหรอก ตำแหน่งคนพิเศษน่ะ ให้คนรักของเราคนเดียวก็พอนะ”
พสิษฐ์นิ่งเงียบไปครู่ก่อนจะเหลือบตามองพี่ชาย “พูดมากจังวันนี้”
“นั่นสิ..” กนธีครางเบาๆ จากนั้นก็เอามือปิดปาก “ไผ่”
“อะไรลุง”
“อยาก....อ้วก” เขาทำท่าจะขย้อน
เจ้าของเบนซ์ คาบริโอเลตตาโต “เฮ้ย! อย่านะพี่กุนต์ กลืนลงไป!!”
“แหวะ...”
.
.
.
กว่าพสิษฐ์จะขับรถพาคนเมากลับบ้าน และทำความสะอาดจอมอ้วกให้หอมกรุ่นเหมือนก่อนหน้าก็ปาเข้าไปตีหนึ่ง ร่างสูงใหญ่อุ้มพี่ชายที่หลับไม่รู้เรื่องขึ้นเตียง เขาอาบน้ำให้แล้ว จับแปรงฟันด้วย ชุดนอนก็เอาเสื้อเขานั่นแหละ เหลือแต่ชั้นในที่เขาไม่ให้ยืมเด็ดขาด
“นอนดีๆนะพี่กุนต์” เขาตบหมอนให้มันฟูก่อนวางตัวกนธีลงไป
พอถึงเตียงนุ่มๆได้ กนธีก็คว้าหมอนข้างมากอด หลับแบบสบายใจ
พสิษฐ์ส่ายหัว ปิดไฟในห้อง เหลือแต่โคมข้างหัวเตียงแล้วกลับไปจัดการตัวเองบ้าง พอเสร็จเรียบร้อย วกเข้าห้องนอนอีกที พี่กุนต์ก็กลิ้งไปอีกด้าน จะตกเตียงอยู่รอมร่อ เขาเลยต้องพลิกตัวพี่ให้หันกลับมา สอดตัวลงใต้ผ้านวมผืนใหญ่แล้วดึงกนธีมานอนข้างกัน
คนตัวเล็กกว่ายกสองแขนขึ้นกอดผู้ชายตัวโตแน่น เอาหน้าซุกลงแผ่นอกแข็งแรง
“รัณย์..กอดพี่ที”
พสิษฐ์นิ่งเงียบ ได้แต่ลูบหลังมือของพี่กุนต์อย่างปลอบใจ
ในความมืด เขานอนลืมตา คิดถึงเรื่องราวครั้งเก่า
ศรัณย์..เป็นเด็กที่มาทำงานพิเศษในบริษัทอิมพอร์ตเอ็กซ์พอร์ตของครอบครัวเขา แค่เด็กเดินเอกสารธรรมดา รับทำงานจิปาถะ ขยันขันแข็ง ช่วยเหลือทุกคนอย่างดีทั้งที่อยู่แค่มัธยมปีที่สี่ ตอนนั้นเขาไปเรียนต่อที่อเมริกาแล้ว ปิดเทอมถึงจะกลับมาบ้าน แต่ก็มักได้พบศรัณย์ทุกครั้ง เพราะมารดาค่อนข้างเอ็นดูจนจ้างให้มาช่วยงานเล็กๆน้อยๆ จะได้ไม่ต้องวิ่งวนไปมาในบริษัท คอยเป็นลูกไล่ให้พวกพนักงานแกล้งแหย่
ศรัณย์ได้พบกับพี่กุนต์ครั้งแรกตอนที่ฝ่ายนั้นมาหาแม่ของเขาที่บ้าน มันมาสารภาพว่าปลื้มพี่กุนต์ตั้งแต่แรกเห็น พี่กุนต์เป็นคนน่ารัก ใจดี ไม่ถือตัว แถมยังช่วยสอนการบ้านให้ด้วย หลังจากนั้นก็ยังอาสาจะเป็นติวเตอร์ให้ เพื่อที่ศรัณย์จะได้สอบเอนทรานซ์เข้าคณะที่หวังได้สำเร็จ
การคบหากันของทั้งคู่ เขาได้รู้ผ่านจดหมายที่กนธีเขียนมาเล่า เป็นความใกล้ชิดของครูจำเป็นกับลูกศิษย์ที่อายุห่างกันถึงสิบสองปี พอศรัณย์เข้ามหาวิทยาลัยได้ตามใจอยาก ขึ้นปีหนึ่ง วันปฐมนิเทศ มันก็ทำใจกล้า ขอพี่กุนต์เป็นแฟน
จบจากมหาวิทยาลัย ศรัณย์ได้เข้าทำงานในบริษัทของครอบครัว ช่วยงานที่บ้านมากกว่าเขาที่เป็นลูกแท้ๆ แต่ไปเอ้อระเหยอยู่เมืองนอกได้เป็นสิบปี เขารับรู้การคบหากันอย่างเปิดเผยของคนทั้งสอง ที่บ้านก็ไม่มีใครขัด เพราะกนธีเป็นผู้ใหญ่ ตัดสินใจอะไรได้เองโดยคนอื่นไม่จำเป็นต้องยุ่งเกี่ยว
ศรัณย์คบกับพี่กุนต์มาได้ห้าปี กำลังตั้งใจเก็บเงิน อยากจะซื้อบ้านเป็นของขวัญวันเกิดให้คนรัก และถือเป็นการขอร่วมชีวิตกันกลายๆ คนที่น่าสงสาร ซื่อสัตย์ รักเดียวใจเดียวและไม่เคยปริปากขอพึ่งเรื่องเงินทองจากกนธี ก็ต้องจากไปไกล
หมอนั่นขับรถกลางดึกเพื่อไปรับพี่กุนต์กลับบ้าน มันเป็นปาร์ตี้ของกลุ่มคนมีเงิน และกนธีก็เมาเกินกว่าจะขับรถกลับบ้านไหว ศรัณย์ที่หลับไม่ลงเพราะคนรักยังไม่กลับเลยออกจากบ้านตอนตีสามไปหาพี่กุนต์
รถของศรัณย์ ชนเข้ากับรถอีกคันที่เพิ่งจะกลับมาจากการเที่ยวกลางคืนจนพังยับเยิน คิดว่าคนขับอีกฝั่งคงหลับใน และตัวศรัณย์เองก็ไม่ได้มีสติสมบูรณ์นัก ก่อนหน้านั้น เขากินยาแก้แพ้เพราะไม่ค่อยสบายเท่าไร แต่ก็เป็นห่วงกนธีว่าจะต้องค้างคืนนอกบ้าน เลยฝืนไปหา
ตั้งแต่ศรัณย์เสียชีวิต กนธีทำใจไม่ได้ถึงหนึ่งปีเต็มจนไม่ยอมอยู่เมืองไทย แต่มาอาศัยอยู่กับเขาที่แคลิฟอร์เนีย
“ถ้าพี่ไม่งี่เง่าขอให้รัณย์ขับรถมารับ เขาคงไม่ตาย” กนธีไม่ยอมแตะต้องเหล้าอีกเลย หากต้องเข้าสังคมก็แค่ยกขึ้นจิบ คงเพราะยังรู้สึกผิดต่อเรื่องที่เกิดขึ้น
เดือนหน้า..จะครบรอบวันตายของศรัณย์เป็นปีที่สาม ตอนแรกพสิษฐ์เข้าใจว่ากนธีใช้ชีวิตใหม่ได้แล้ว แต่ก็ไม่ใช่ พี่ชายไม่ได้เปิดใจเพื่อรับใครเข้ามา จะมีก็แค่แลกเปลี่ยนความสัมพันธ์กันไปวันๆ
ชายหนุ่มถอนหายใจ ก้มมองคนในอ้อมกอดที่นอนหนุนแขนเขาอยู่ พสิษฐ์ลูบหัวญาติผู้พี่แผ่วเบา และกนธีก็ยิ้มในความฝัน..เขาอยากให้พี่กุนต์ยอมทิ้งอดีต ยอมเปิดรับคนใหม่ เริ่มคบหาใครสักคนอย่างจริงจัง ไม่ใช่มีคู่ควงฉาบฉวยเพียงไม่นาน เผื่อว่าจะเจอคนที่ดีพอจะเป็นคู่คิดให้ได้..เมื่อนั้นเขาคงเบาใจและหมดห่วง
“แต่ก็ช่างเถอะ..” เขายิ้มจาง กดจูบบนหน้าผากของคนหลับสนิท “ระหว่างนี้..ผมจะดูแลพี่เองนะ..พี่กุนต์”
...........................................................................
อ๊ะ หอยทากเริ่มสปีดอัพ
