『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ Ch.33┋(P.5)┋16/11/2018
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ Ch.33┋(P.5)┋16/11/2018  (อ่าน 62683 ครั้ง)

ออฟไลน์ KatzeP

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-1
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
 
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************
ยินดีต้อนรับสู่เรื่อง

แนะนำเรื่องแบบย่อๆ:
คิดจะจับแมวเถื่อนจำต้องวางกับดัก
ถึงจะได้ตัวมาก็ต้องหาทางทำให้ได้ใจมาด้วย
มโนธรรมน่ะหรือ
หึ...ลืมมันไปเถอะ!

สารบัญ
                                                                 
                                                  จุดเริ่มต้นของนายพรานกับแมวเถื่อน
                                                  ก่อนวางกับดัก1 : เด็กนั่นคือแมวเถื่อน
                                                  ก่อนวางกับดัก2 : ผมจะเลี้ยงแมวเถื่อน
                                                  ก่อนวางกับดัก3 : แมวเถื่อนเป็นอะไร? 
                                                  ก่อนวางกับดัก4 : รอยยิ้มกับความน่ารัก
                                                  ก่อนวางกับดัก5 : นายพรานหงุดหงิด
                                                  ก่อนวางกับดัก6 : แมวเถื่อนขี้เมา
                                                  ก่อนวางกับดัก7 : รับผิดชอบ

                                                  นายพรานวางกับดัก1 : หนี้ช่วยชีวิต
                                                  นายพรานวางกับดัก2 : ไม่มีทาง
                                                  นายพรานวางกับดัก3 : กับดักในน้ำผลไม้
                                                  กับดักในน้ำผลไม้ (เพิ่มเติมเนื้อหา)
                                                  นายพรานวางกับดัก4 : กลั่นแกล้ง
                                                  นายพรานวางกับดัก5 : โดนล่อลวงเข้าให้แล้ว
                                                  นายพรานวางกับดัก6 : มันเป็นใคร!
                                                  นายพรานวางกับดัก7 : สายสัมพันธ์ที่เหมือนเส้นด้าย

                                                  กับดักที่ถูกวางทิ้งไว้1 : ทางเลือก
                                                  กับดักที่ถูกวางทิ้งไว้2 : ผู้ที่ก้าวเข้ามาในกับดัก
                                                  กับดักที่ถูกวางทิ้งไว้3 : กับดักของนายพราน
                                                  กับดักที่ถูกวางทิ้งไว้4 : ช่วยเหลือ
                                                  กับดักที่ถูกวางทิ้งไว้5 : การเปลี่ยนแปลง
                                                  กับดักที่ถูกวางทิ้งไว้6 : กับดักสำแดงฤทธิ์
                                                  กับดักที่ถูกวางทิ้งไว้7 : แมวเถื่อนเต้นผาง

                                                  แมวเถื่อนในคอนโด1 : ลักพาตัว (ครึ่งแรก)
                                                  แมวเถื่อนในคอนโด1 : ลักพาตัว (ครึ่งหลัง)
                                                  แมวเถื่อนในคอนโด2 : แมวเถื่อนประท้วง
                                                  แมวเถื่อนในคอนโด3 : สิ่งที่ซ่อนไว้
                                                  แมวเถื่อนในคอนโด4 : แขกผู้มาเยือน
                                                  แมวเถื่อนในคอนโด5 : ความจริงที่ไม่มีทางเลี่ยง
                                                  แมวเถื่อนในคอนโด6 : ค่ำคืนหายนะ
                                                  แมวเถื่อนในคอนโด7 : Blow up

                                                  แมวเถื่อนกับปลอกคอ1 : การเผชิญหน้า
                                                  แมวเถื่อนกับปลอกคอ2 : สะสาง
                                                  แมวเถื่อนกับปลอกคอ 3 : สัญญาณ
                                                  แมวเถื่อนกับปลอกคอ 4 : เพราะมีอดีต ถึงมีวันนี้
                                                  แมวเถื่อนกับปลอกคอ 5 : บทส่งท้าย

:catrun:
------------------------------------------------------
ขอฝากนิยายเรื่องที่สองในเล้าเป็ดด้วยนะคะ
ส่วนเรื่องแรก หากใครสนใจ คลิกที่นี่ได้เลยค่ะ
ชื่อเรื่อง "ชลนที"


Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-11-2018 11:22:55 โดย KatzeP »

ออฟไลน์ KatzeP

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-1
จุดเริ่มต้นของนายพรานกับแมวเถื่อน


ผมรู้ตัวมานานแล้วว่าไม่ใช่คนดี ออกจะนิสัยเลวซะด้วยซ้ำ ยิ่งถ้ามีคนต้องการปีนขึ้นเตียง ผมจะเลวใส่เป็นพิเศษ แต่ทุกอย่างอาจมีข้อยกเว้น...

“อยากต่อยอยากตบก็ตามสบาย”

เอ่ยบอกเสียงเรียบใส่คนตาแดงก่ำที่เพียงส่งแววตาเคียดแค้นชิงชังให้ตั้งแต่ตื่นนอนจนถึงบัดนี้ สภาพร่างกายของคนนอนข้างๆ เหมือนคนไร้กระดูกก็ไม่เชิง ท่อนไม้ก็ไม่ใช่ นอนนิ่งเหมือนผักตากแห้ง ขนาดจะลุกนั่งเองก็ท่าจะไปไม่รอดล่ะมั้ง ผมเหลือบตามองรอยเลือดสีเข้มบนผ้าปูเตียงยับยู่แวบหนึ่ง

...สำหรับคนโดนครั้งแรก แถมตัวช่วยก็ไม่มีใครพกมา สภาพเป็นแบบนี้คงไม่น่าแปลกเท่าไหร่

คิดพลางพ่นลมหายใจออกมาบางเบา ยอมพูดเสียงอ่อนลงอีกหน่อย

“กูจะไปซื้อข้าวซื้อยามาให้แล้วกัน”

“ไม่ต้อง”

มองหน้าคนพูดเสียงห้วนแหบฟังแทบไม่รู้เรื่องด้วยความรู้สึกสมน้ำหน้าหน่อยๆ เมื่อคืนมันใช้เสียงไปเยอะแยะ ตื่นมาก็โวยวายไม่หยุด ไม่เจียมสังขารกล่องเสียงตัวเองเลยสักนิด พอยื่นขวดน้ำให้เป็นหนที่สองก็ยังหยิ่ง ไม่แม้แต่จะเอื้อมมือมาแตะ

อยากเจ็บคอต่อไปก็เรื่องของมัน!

ผมรู้สึกสมเพชปนระอาหน่อยๆ เลยตัดสินใจโยนขวดน้ำลงพื้น ปล่อยขวดพลาสติกกลิ้งหายไปไหนไม่รู้ แล้วบอกคนนอนมองตาขุ่นขวางเสียงเรียบ

“อยากกินน้ำเมื่อไหร่ก็คลานเข่าตามหาเอาเองแล้วกัน”

คำด่าตามมาทันที เสียงแหบแห้งยิ่งกว่าเป็ดร้องเพลง ฟังโคตรลำบาก จับใจความแทบไม่ได้ ผมอดทนฟังอยู่พักใหญ่ก็ทนไม่ไหว เอื้อมมือไปคว้าผ้าชิ้นเล็กใกล้ๆ เอาไปยัดใส่ปากคนนอนพล่ามอะไรก็ไม่รู้แทน

“อื้อๆๆ”

“หุบปากไปเถอะน่า” ผมว่าเสียงห้วนดุ

ขืนให้มันพยายามใช้กล่องเสียงอีก พรุ่งนี้คงได้เจอคนเป็นใบ้แทนคนก้นระบม 

คนโดนอุดปากส่งสายตาอาฆาตมาดร้ายให้ทันที ขณะเดียวกันก็ยกมืออ่อนแรงดึงผ้าเปื้อนน้ำลายในปากออกมา แล้วเพ่งมองของในมืออย่างนิ่งงัน เช่นเดียวกับผมที่แอบสะดุ้งเล็กน้อยหลังเห็นผ้าผืนนั้นชัดถนัดตา

กะ กางเกงในตรูนี่หว่า!

“ไอ้พี่ภู!!”

ต่อให้เสียงเป็ดแค่ไหน สามคำนี้กลับฟังชัดถนัดหู

น้องรหัสของเพื่อนสนิทขึ้น ‘ไอ้’ กับผมแล้ว เอาเถอะ อย่างน้อยก็ดีกว่าคำด่าตอนมันตื่นมาเจอหน้ากันใหม่ๆ ด่าจนผมรู้สึกเหมือนตัวเองไม่ใช่คน คิดแล้วก็เผลอขยี้เส้นผมบนหัวแก้หงุดหงิด

หงุดหงิดตัวเองนี่แหละ ดันมาสำนึกผิดชอบชั่วดีในตอนที่กลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว

...จะไปบอกเพื่อนตัวเองว่าไงดีวะเนี่ย

นึกถึงเพื่อนที่เป็นพี่รหัสเด็กบนเตียงก็ยิ่งคิดหนัก ที่เต้อุตส่าห์ไว้ใจคนอย่างผมถึงได้ฝากให้คอยช่วยดูแลน้องรหัสแทนมัน โดยเฉพาะยามไปงานสังสรรค์ตามประสาพี่ๆ น้องๆ ในเวลาค่ำคืน ตอนรับปากผมไม่คิดว่าจะมีปัญหาอะไร คงเหมือนตามเก็บซากบรรดาเพื่อนเมาแอ๋พร้อมหิ้วตัวกลับไปนอนที่หอ แต่ถ้าไม่เมามากแค่พาไปส่งหน้าหอก็พอ แล้วทำไม...   

หันไปกวาดสายตาขึ้นลง มองคนบนเตียงที่เพิ่งผ่านการเสียตัวหมาดๆ ก็พ่นลมออกใจเฮือกใหญ่

สเป็กก็ไม่ใช่ แต่ที่เกิดเรื่องพรรคนี้ขึ้นได้คงเพราะ...

ผมตัดสินใจครุ่นคิดถึงเรื่องอื่น ยกตัวอย่างเช่น จำลองสถานการณ์สารภาพผิดกับเพื่อน

เอ่อ เต้ กูกินน้องรหัสมึงไปแล้ววะ

ผมส่ายหน้า มันดูห้วนไป เอาใหม่...

เต้ เมื่อคืนน้องมึงเป็นคนเริ่มต้นสุมไฟใส่กูก่อน กูเลยเผลอจับกินไปแล้ววะ

ไม่ดีๆ ฟังเหมือนแก้ตัว คิดใหม่

ผมลองคิดเพิ่มอีกหลายประโยค ยิ่งคิดก็ยิ่งแย่ แถมมีประโยค ‘ตายแน่ไอ้ภู เกรดเทอมนี้ร่วงแน่ๆ’ ลอยแทรกความคิดเป็นระยะอีกต่างหาก

ปีสองมีตั้งเยอะแยะ ทำไมไอ้คนบนเตียงถึงต้องมาเป็นน้องรหัสคนติวสอบประจำรุ่นผมด้วยวะ!

ตวัดตามองคนบนเตียงอีกรอบ แววตาอาฆาตแค้นฉายชัดไม่เลิกรา จากท่าทีในตอนนี้ผมว่าเด็กนี่คงไม่เอาเรื่องที่เกิดขึ้นไปพูดกับใครแน่ พอคิดได้อย่างนั้น ความสบายใจก็มาแทนที่

ระหว่างตัดสินใจเก็บเงียบเรื่องนี้ไปก่อนน่าจะดีกว่า ความง่วงที่ทนข่มมาพักใหญ่ก็เริ่มออกอาการจนเผลออ้าปากหาวหวอดใหญ่ออกมมา

ผมเลิกสนใจคนร่วมเตียงด้วยการจับพลิกร่างเล็กกว่ากลิ้งสองตลบกลับคืนพื้นที่ควรอยู่ของมัน แล้วล้มตัวลงนอนข้างๆ ทำเมินเสียงสูดปากด้วยความเจ็บปวดของใครบางคน

ก่อนหน้านี้ยอมอาสาจะไปซื้อยาให้ มันดันไม่เอาเองก็ทนนอนเจ็บต่อไปเถอะ

ช่วงเคลิ้มเกือบจะหลับเต็มที่ ผมยังเห็นแก่ความสัมพันธ์ฉันพี่น้องร่วมคณะพูดงึมงำบอกคนนอนข้างๆ ว่า “มึงอยากทำอะไรก็ทำ กูขี้เกียจยุ่งกับมึงแล้ว”

เพราะงั้นมึงช่วยปล่อยกูนอนอย่างสงบด้วย
...
..
.
ผมจำใจลืมตาตื่นทั้งที่ยังนอนไม่อิ่ม เนื่องจากจู่ๆ ก็โดนจับตัวพลิกนอนคว่ำกะทันหัน ได้แต่ผงกหัวมองนาฬิกาติดผนังฝั่งหัวเตียงจนรู้ว่าได้หลับไปเกือบสามชั่วโมงเท่านั้น

คิดถึงตรงนี้ก็เผลอพ่นลมหายใจออกมาอย่างหงุดหงิด

ก่อนหน้านี้ก็ปลุกกันแต่เช้าด้วยเสียงโวยวายกึ่งสะอื้น ตอนนี้ทำอะไรอีกวะ!

หันคอปรายตาไปดูหน้าคนขัดขวางช่วงเวลานิทราแสนสบายก็พบภาพที่ทำหัวใจแทบเต้นกระดอกออกจากอก ภาพที่ผู้ร่วมเตียงกำลังใช้ร่าที่เล็กกว่าคร่อมท่อนล่างตัวผม ทั้งยังกล้าเอาแตงกวาของมันมายุ่งย่ามแถวก้มผมอีก!

ไอ้ฉิบหาย!!

ร่างกายตอบสนองก่อนความคิด จัดการพลิกตะแคงตัวถีบขาคู่ยันทั้งอกทั้งท้องของคนด้านบนออกไป เป็นเหตุให้ใครบางคนกลิ้งตกเตียงร้องลั่น

“โอ๊ย!”

มันทำหน้าเหยเก นอนกลิ้งไปมา มือก็นวดบั้นท้ายที่เพิ่งโดนกระแทกพื้นไปด้วย พอลุกขึ้นยืนได้ก็ตวัดตาโกรธจัดใส่กัน

“ไอ้ภู! มึงอย่าอยู่เลย!!”

คราวนี้แม้แต่พี่ก็ไม่มีให้แล้ว...เฮ้ยๆ

ผมมองคนตัวเล็กกว่ากระโดดขึ้นเตียงตาค้าง ท่วงท่าของอีกฝ่ายรวดเร็วจนผมเกือบพลิกตัวหนีฝ่าเท้ามหาประลัยแฝงรังสีอาฆาตเต็มเปี่ยมเกือบไม่ทัน เสียงเท้ากระทบฟูกบ่งบอกชัดว่ามันออกแรงจัดเต็มขนาดไหน

ฝ่าเท้าระลอกที่สอง สาม สี่ ตามมาติดๆ ผมทำได้แค่กลิ้งหนีบนฟูกนอน

นี่ขนาดมันเจ็บตัวอยู่นะ หรือว่าตอนนี้โกรธจนลืมความเจ็บไปแล้ว?

ผมหนีไปเรื่อยรู้ตัวอีกทีก็กลิ้งหลุดจากฟูกนอนตกกระแทกพื้นข้างเตียงดังโครม อาการทั้งเจ็บทั้งชามาพร้อมกับอาการเลือดขึ้นหน้า กลายเป็นฝ่ายยันตัวลุกขึ้นนั่งตวัดตาเขม่นใส่ตัวต้นเหตุที่มองมาตาค้างบ้าง เท้าขวาของมันยังยกสูงคาอยู่กลางอากาศด้วยซ้ำ

“ไอ้ข้าวยำ!! มึงตายแน่!”

ผมกระโจนกลับขึ้นสังเวียนบนเตียงด้วยความโมโห โถมตัวเข้าหากดทับไอ้คนก่อเรื่องไว้ใต้ร่างไม่ยอมให้ดิ้นหลุดหนีหายไปไหน เหมือนมันจะรู้ตัวว่าหนีไม่รอดถึงได้ส่งเสียงร้องลั่นหนวกหูไม่หยุด

“ลุกเลยนะมึง! อย่ามาทับกูแบบนี้นะโว๊ยยย!”

“หุบปาก! มีแรงก่อเรื่องขนาดนี้คงหายเจ็บแล้วล่ะสิท่า ก็ดี กูได้ทำกับมึงอีกรอบ!”

“แว๊กกก! หยุดนะภู! มึงไม่หยุดใช่ไหม ได้!”

และแล้วสงครามบนเตียงจึงก่อเกิดอีกรอบ คราวนี้คนสู้สุดชีวิตไม่ได้ถูกน้ำเมาบดบังสติอีกแล้ว การต่อสู้แย่งชิงตำแหน่งรุกจึงดุเดือดผิดกับเมื่อคืนเหมือนหนังคนละม้วน เสียงข้าวของหล่นพื้นเป็นระยะ ผ้าห่มกับหมอนตกเตียงกระจายไปคนละทิศทาง จนกระทั่งมีผู้พลาดพลั้งเกิดขึ้นถึงได้ร้องเสียงดังอย่างกับคนกำลังโดนจับตัวไปเชือด

“ไอ้เหี้ยภู! อย่าทำกู!!!”

ไม่นานเสียงร้องลั่นก็แปรเปลี่ยนเป็นเสียงครางปนสะอื้นในคอ กว่าทุกอย่างจะกลับคืนสู่ความเงียบสงบอีกครั้ง เวลาก็ผ่านไปเกือบหนึ่งชั่วโมงแล้ว


############
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-11-2018 21:58:06 โดย KatzeP »

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ได้รู้และ ชื่อเต็มของยำ คือข้าวยำ
นึกว่าชื่อยำยำ ซะอีก
เปิดเรื่องมาก็โโดนไอ้พี่ภู จัดซ้า
แถมยำ ยังหยิ่งไม่ยอมรับยา รับน้ำอีก

ยำ ไม่ดูสังขารตัวเองซะเลย  :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
ทั้งที่ยังเจ็บระบมแท้ๆ จะกดไอ้พี่ภู
แต่จะว่ายำ ก็ใช่ที่ ยำโดนกด ก็ต้องเอาคืนสิ
แถมไอ้พี่ภูอนุญาตแล้วด้วยนี่
“มึงอยากทำอะไรก็ทำ กูขี้เกียจยุ่งกับมึงแล้ว”
เลยโดนไอ้พี่ภู กดซ้ำ นี่ใครหื่นกันเนี่ย :katai1: :katai1: :katai1:
คราวนี้ยำ เดินไม่ได้เดี้ยงแน่ๆ
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-12-2016 18:29:37 โดย ♥►MAGNOLIA◄♥ »

ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3709
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4365
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26
ปูเสื่อ วางชา วางขนม พร้อม มา !!!

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4015
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
ติดตามค่าาาาา  :hao5:

ออฟไลน์ jimmyjimmy

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1966
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-17
น้องยำ....โดนพี่ภู ยำ

ออฟไลน์ rinny

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 517
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
โอ้โห!! อิเห้พี่ภูมันร้ายกว่าที่เห็นในเรื่องชลนทีอีกค่ะ เลวเพียวๆแบบไม่มีดีผสมเลยนะคะเนี่ย -,.-
มิน่ายำถึงกับต้องพิมพ์สัญญาเป็นรูปเป็นร่างขนาดนั้น เจ็บแค้นเคืองโกรธโทษฉันใย~ //เพลงมา
แล้วแบบนี้เค้าจะรักกันได้ยังไงคะ? ทั้งสงสัยทั้งสงสารยำเลยตอนนี้ มาต่ออีกไวๆเลยนะ รอออออ

ออฟไลน์ uknowvry

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4438
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +284/-6
ตายๆๆๆๆๆ ดุเด็ดเผ็ชชชชชชชช มากกกกกก

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3494
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
อยากรู้จังว่าพี่ภูจะวางกับดักล่อแมวเถื่อนยังไง 55555

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ JokerGirl

  • ∀Σ❤∀ΔΣ Forever^^
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2938
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-3
ยำเอ้ย สังขารไม่ให้ยังฝืน ดูดิโดนซ้ำรอยเดิมเลย :serius2:

ออฟไลน์ KatzeP

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-1
ก่อนวางกับดัก1 : เด็กนั่นคือแมวเถื่อน


‘ทำห้องคอนโดกูซะเละเลยนะมึง’

นี่ผมเพิ่งขับรถมาถึงมหาวิทยาลัย ยังไม่ทันลงจากรถด้วยซ้ำ พี่ชายที่อายุมากกว่าห้าปีก็โทรมาบ่นแล้ว ผมจิ๊ปากอย่างหงุดหงิด นึกถึงป้าแม่บ้านที่ผมเป็นคนโทรเรียกตัวจากบ้านหลักให้มาช่วยทำความสะอาดห้องให้ทันที มีความเป็นไปได้สูงว่า หลังแกเห็นสภาพห้องในคอนโดของพี่วีแล้ว คงโทรไปบ่นกับเจ้าของตัวจริงมาแหงๆ

บอกไปแล้วแท้ๆ ว่าห้ามบอกพี่วีเด็ดขาด...

ปึง!

เสียงประตูรถกระแทกปิดกะทันหัน พอหันไปมองพบว่าคนติดรถมาด้วยกันเดินผ่านหน้ารถไปแล้ว

‘แต่แปลก ปกติถ้ามึงไปนอนห้องกูมักไปคนเดียวนี่หว่า หรือคนนี้ตัวจริง?’

“ใช่ซะที่ไหน” ผมพูดแย้งพลางคว้าเป้ลงจากรถบ้าง “กูพาไปเพราะขี้เกียจวนรถกลับมหา’ลัยต่างหาก แล้วห้องพักสำรองของมึงดันอยู่ใกล้ที่สุด กูเลยไปที่นั่นก็แค่นั่น”

ระหว่างพูดก็ล็อกรถไปด้วย แล้วค่อยสาวเท้าอย่างไม่รีบร้อนตามหลังคนเดินจ้ำเท้าเร็วๆ อยู่ด้านหน้า ดูจากท่าทางของน้องรหัสเพื่อนคงไม่คิดหยุดรอกันแน่ๆ นึกพร้อมส่ายหน้าระอาใจให้กับคนที่ผมเพิ่งรู้ว่าดื้อกว่าที่คิด

เอาเถอะ อยากทรมานร่างกายด้วยการเดินเร็วๆ แบบนั้นก็เรื่องของมัน

‘ภู!’   

ผมสะดุ้งหลุดจากความคิด รีบส่งเสียงตอบรับทันที “อะไร”

‘กูถามว่าเมื่อคืนมึงไปพรากพรหมจรรย์ใครมา’

ได้ยินคำถามก็เผลอนึกถึงเลือดบนผ้าปูที่นอนขึ้นมา มีเลือดก็ไม่แปลก อุปกรณ์ช่วยเหลือไม่มีเตรียมสักเพราะอย่างทั้งผมทั้งข้าวยำ ไม่มีใครคิดจะทำเรื่องอย่างว่า...ตอนไม่เมา

มองแผ่นหลังเจ้าของเลือดใกล้เดินพ้นระยะสายตา ในใจนึกอยากถอนหายใจอีกสักเฮือกหนึ่ง

“ไม่ใช่ผู้หญิงแล้วกัน”

 ‘ไม่ใช่ผู้หญิง งั้น...ผู้ชายเรอะ?!’

“มึงก็รู้ว่ากูได้ทั้งชายทั้งหญิง หรือเกิดนึกรังเกียจกันขึ้นมา?”

‘เปล่า กูแค่สงสัยว่าครั้งแรกของผู้ชายก็มีเลือดออกด้วย?’

ผมไม่ตอบ ปล่อยให้พี่ชายค้างคาใจกับคำถามไป

ที่จริงถ้าเตรียมตัวดีๆ คงดีกว่านี้มาก แต่ในเมื่ออะไรก็ไม่พร้อมแบบนั้น แค่ไม่ต้องพาคนเจ็บไปหาหมอแต่เช้าก็ดีแค่ไหนแล้ว นึกถึงตรงนี้ก็รู้สึกว่าไม่ค่อยถูก ขนาดทำรอบหลังสุดยังสามารถฝากทั้งรอยกัดรอยข่วนทิ้งไว้ที่ตัวผมเต็มไปหมด บางรอยยังทำซ้ำทับของเดิมอีกต่างหาก อาละวาดได้ขนาดนั่นไม่น่าถึงมือหมอง่ายๆ หรอก 

‘กูขอบอกมึงไว้ก่อน ถ้ามึงอยากเลือกใครสักคนมาอยู่เคียงข้างต่อให้เป็นผู้ชายก็ไม่มีใครห้ามมึงหรอกนะ’

“อ่าฮะ” ตอบรับอย่างไม่ค่อยสนใจ

‘กูไม่ได้พูดเล่นนะภู อย่างที่เคยพร่ำบอกไว้ไง ถึงจะเหลือกันอยู่แค่สองคนก็ตาม มึงก็คิดแต่เรื่องของตัวเองก็พอ’

…สองคน

ต่อให้ผ่านมาถึงสองปีแล้ว แต่สองคำนี้ก็ยังคงมีอิทธิพลอยู่ลึกๆ ในใจเสมออยู่ดี เพราะมันทำให้หวนคิดถึงคนที่จากไปไกล และยังทำให้นึกถึงเรื่องราว รวมถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกะทันหันหลังเสาหลักสองคนในบ้านไม่อยู่แล้วได้ดีสุดๆ

พี่วีต้องรับช่วงงานที่บ้านมาทำต่อทันทีทั้งที่ยังเรียนไม่จบ และจำต้องดรอปเรียนไปก่อนจนงานที่บ้านเริ่มเข้าที่เข้าทางถึงกลับไปเรียนต่อจนจบ ช่วงนั้นมักเห็นพี่ชายแอบทำหน้าเครียดอยู่คนเดียวบ่อยๆ แต่กลับชอบพูดติดตลกให้ผมฟังว่า

ดีที่ก่อนหน้านี้โดนพ่อลากตัวไปช่วยงานบ่อย ไม่งั้นกูคงแย่กว่านี้

เพราะเห็นพี่ชายลำบากขนาดนั้นทุกวัน ผมในช่วงม.ปลายเลยเป็นเด็กดีมาก มากเกินจนโดนพี่ด่าเข้าให้ พอเข้ามหาลัยปีหนึ่งเลยประชดด้วยการออกนอกลูนอกทางให้ดูแม่ง ตอนนั้นคิดแค่ว่า ดูสิ พี่จะบ่นหรือด่าอะไรไหม แต่กลายเป็นว่าโดนพี่บอกด้วยน้ำเสียงขบขันแทน

มึงอยากทำอะไรก็ทำ ไม่ต้องสนใจกู สนแค่เรื่องของตัวเองก็พอ 

นึกถึงตรงนี้ก็แอบหงุดหงิด เลยแกล้งพูดด้วยน้ำเสียงล้อเล่นกึ่งจริงใส่มือถือ

“งั้นมึงก็ซื้อคอนโดให้กูห้องหนึ่งสิ กูจะได้ไม่ไปทำห้องพักสำรองของมึงเละ”

‘อยากได้สถานที่อยู่กับแฟนก็มาช่วยกูทำงานหาเงินซื้อเองสิ จะได้ดูมีคุณค่าไง’

คำพูดฟังดูดี แต่ผมแอบกรอกตาด้วยความเซ็ง ก่อนหน้านี้เคยจะไปช่วยงาน แต่กลับโดนตอกใส่หน้าไม่ยอมให้ไปช่วย ทีตอนนี้ล่ะอยากให้ไปช่วย

“เหอะ กูหมดอารมณ์จะช่วยงานมึงแล้ว”

‘ฮ่าๆๆ’

“และกูยังไม่คิดมีแฟน”

‘ให้จริงเถอะ ไม่ใช่พามาเปิดตัวเร็วๆ นี้ล่ะ’

“กูยังสนุกกับชีวิตโสดอยู่ ไม่เหมือนมึงที่แก่ขึ้นทุกวันก็ยังหาแฟนไม่ได้สักคน”

‘ปากเรอะ! ถ้ากูหาพี่สะใภ้ให้มึงได้เมื่อไหร่ มึงจะหนาว’

“หาให้ได้ก่อนเถอะ ไม่ต้องเหมือนแม่ก็ได้ เพราะแบบแม่น่ะของหายาก”

‘ช่วยไม่ได้ กูดันบอกไว้ก่อนพวกเขาเสีย ถึงตอนนั้นจะพูดเล่นสนุกๆ ก็เถอะ แต่เมื่อพูดไปแล้วก็ต้องทำตามที่พูดไว้ให้ได้สิ’

ผมถอนหายใจเบาๆ “อยากแก่ก่อนค่อยแต่งงานก็เรื่องของมึง ว่าแต่เป็นไงบ้าง?”

ถามเพราะไม่เห็นหน้าพี่มานานเป็นเดือนแล้ว ยิ่งผมมาอยู่หอ โอกาสเจอหน้ากันยิ่งน้อยลงไปอีก

“แก๊งตัวป่วนที่บ้านเรอะ? ก็ปกติดี”

ตอบแค่นั้นก็เปลี่ยนเรื่องพาเข้าเรื่องแมวเฉย ฝอยได้ฝอยดีจนไม่แปลกใจที่พี่วีเลือกเรียนสัตว์แพทย์ และหมอสัตว์ผู้ไม่มีโอกาสได้ทำงานตามอาชีพที่เรียนมาคนนี้ก็สร้างความสุขให้ตัวเองด้วยการเลี้ยงแมวฝูงหนึ่งไว้ที่บ้าน

พี่วีหายใจเข้าก็แมว หายใจออกก็แมวมาตั้งแต่เล็กจนโตไม่เคยเปลี่ยน มีแต่จะแสดงออกว่าเป็นทาสแมวตามอายุที่มากขึ้น ผมเลยเซ็งกับสิ่งมีชีวิตสี่ขาขนปุกปุยที่คนเรียกขานว่า ‘แมว’ มากที่สุดแล้ว

เมื่อพี่ชายหยุดพักหายใจ ผมถึงได้โอกาสพูดแทรก

“ถ้ามึงจะเล่าวีรกรรมพวกตัวแสบที่บ้านก็พอเหอะ เปลืองค่าโทรศัพท์”

‘เด็กพวกนั้นก็ครอบครัวของมึงนะ’

“ของมึงคนเดียวต่างหาก วางล่ะ”

ผมกดตัดสายทันที มองหน้าจอกลับมาเป็นรูปครอบครัวที่ตั้งไว้เป็นพื้นหลัง เห็นใบหน้ายิ้มแย้มของพ่อกับแม่แล้วก็อดแหงนหน้ามองท้องฟ้าไม่ได้

สมัยพ่อแม่ยังอยู่พวกผมสองพี่น้องพูดจากันดีกว่านี้เยอะ แต่ตอนนี้ก็อย่างที่เห็น ติดปากมาตั้งแต่สมัยโศกเศร้าอยากให้พ่อแม่มาเข้าฝันด่ากราดเหมือนสมัยยังมีชีวิตอยู่ว่า เป็นพี่น้องห้ามพูดมึงๆ กูๆ ใส่กันเหมือนเพื่อน แต่น่าเสียดายที่ความปรารถนานั้นไม่เคยเป็นความจริงสักครั้ง   

หลังพ่นลมหายใจระบายอารมณ์หม่นหมองออกไปก็เลือกกดโทรหาเพื่อนชื่อนัท รอสายไปไม่นานก็มีคนรับตามด้วยถ้อยคำสั้นๆ เหมือนจะรู้ว่าผมจะถามอะไร

‘พวกกูอยู่โรงอาหารใกล้ตึกคณะ’

“กูกำลังเดินไป”

กดตัดสายหลังพูดจบ พร้อมยัดมือถือลงกระเป๋ากางเกง พลางก้าวเท้าตรงไปที่หมายทันที

-------------

กลุ่มเพื่อนรวมตัวกันอยู่ในโรงอาหารที่โต๊ะประจำตามคาด แต่ที่ทำให้ผมชะงักเท้ากะทันหันกลับเป็นรุ่นน้องต่างภาควิชาที่นั่งหัวโด่กลางวงปีสองเพียงคนเดียวอย่างกล้าหาญ

...ใครเล่าจะคาดคิดว่า คนเพิ่งเดินหนีจากไปไม่ถึง 15 นาทีดันมานั่งอยู่ที่นี่กับเพื่อนตัวเอง

ผมยืนนิ่งอยู่อึดใจหนึ่ง ลังเลว่าควรโผล่หน้าไปดีหรือเปล่า แต่เมื่อนึกๆ ดูว่าตัวเองไม่ได้เป็นคนผิดก่อนก็ไม่รู้ว่าจะหนีหน้าไปทำไม จึงค่อยก้าวเท้าไปข้างหน้า เพียงแต่ไม่ได้ตรงดิ่งไปหาทันที มีวกอ้อมโต๊ะไปอีกด้านเพื่อไม่ให้เด็กนั่นเห็นตัวผมเร็วนัก กระทั่งขยับเข้าไปใกล้โต๊ะกินข้าวที่พวกเพื่อนๆ นั่งอยู่มากขึ้นจนได้ยินเสียงแหบๆ ของคนอายุน้อยกว่ากำลังออดอ้อนพี่รหัสของมันอยู่

“นะ พี่เต้~”

ในเวลาเดียวกันเหล่าปีสองที่นั่งฝั่งตรงข้ามพากันเห็นผมแล้ว ต่างอ้าปากเตรียมจะทักทาย แต่พอผมทำสัญญาณมือให้ว่าอย่าเพิ่งทัก หลายปากที่กำลังอ้าเลยพากันหุบฉับ ปล่อยให้ผมขยับเข้ามายืนด้านหลังใครบางคนได้สำเร็จ

“ติวให้พวกผมหน่อยน้า~ นะครับพี่เต้คนดี๊ดี”

สองมือของรุ่นน้องไซส์มาตรฐานชายไทยกำลังบีบนวดไหล่เอาใจพี่รหัสเต็มที่

เด็กหน้าตาพอดูได้คนนี้ชื่อ ‘ข้าวยำ’ เป็นน้องรหัสคณะเพื่อนผมที่ชื่อเต้ เรียนอยู่กันคนละภาคกัน จึงเป็นแค่น้องรหัสสายนอก ปกติพวกผมจะสนิทกับน้องรหัสสายในที่อยู่สาขาเดียวกันมากกว่า แต่ต้องยกเว้นเด็กนี่ไว้สักคน เพราะไม่ว่าจะรุ่นพี่หรือรุ่นเดียวกัน มันก็สนิทกับเขาไปทั่ว

อ้อ ยกเว้นผมสักคน

“ถ้าพี่เต้คนดีไม่ยอมเอ่ยปากรับคำมาติวให้น้อง น้องชายคนนี้ของพี่จะโดนเพื่อนๆ กระทืบเละแน่ โทษฐานชวนพี่เต้ไปช่วยติวไม่สำเร็จ เห็นแก่เด็กตาดำๆ ช่วยพูดยืนยันกับผมหน่อยเตอะ นะๆ”

...นี่ล่ะมั้งสาเหตุที่มันรีบร้อนอยากมามหา’ลัยหลังรับโทรศัพท์

ผมยังใจเย็นยืนฟังเสียงเป็ดๆ ไม่ค่อยระรื่นหูของมันไปเรื่อยๆ ทางเต้คงนึกว่าน้องมันเป็นหวัดเสียงเลยแหบแห้งมาก คนอื่นก็คงคิดคล้ายๆ กันถึงได้คอยบังคับให้น้องดูดน้ำเป็นระยะ และนี่คงเป็นโอกาสให้นัทที่นั่งอยู่ข้างเต้พูดท้วงขึ้นมา

“ประทานโทษเถอะไอ้น้องรัก ของพวกพี่ก็มีควิซวันมะรืนวะ”

ควิซ?

ผมย่นคิ้ว จำไม่เห็นได้ว่ามี

“ไอ้นัทพูดถูก!”

“ใช่เลยไอ้น้อง พวกพี่ก็ต้องการคนติวเหมือนกัน”

เมื่อได้ยินเพื่อนหลายคนพูดสนับสนุนก็ชักไม่แน่ใจ หรือผมลืม?

“เพราะงั้นหลังพวกพี่ควิซเสร็จค่อยมาอ้อนใหม่นะ”

นัทพูดอย่างโหดร้ายทั้งที่บนหน้าฉาบด้วยยิ้มเอ็นดูรุ่นน้องคนสนิท ทางด้านรุ่นน้องคนเดียวในโต๊ะกลับเริ่มทำหน้าม่อยพูดเสียงอ่อยให้เห็น

“ทันที่ไหนล่ะพี่” ว่าแล้วก็หันไปยกมือไหว้พี่รหัสของมันด้วยท่าทางขอร้องสุดชีวิต “แบ่งเวลาให้พวกผมหน่อยเถอะ นะๆ พี่เต้ ผมขอล่ะ แค่กๆๆ”

สุดท้ายก็ไอออกมาจนได้ เพื่อนผมคนหนึ่งถึงกับค้นของในเป้ควักยาอมแก้เจ็บคอมาให้กิน หลังจากนั้นเสียงน้องมันแย่ลงกว่าเดิมจนจับใจความคำพูดได้ลำบากกว่าเก่าเก่า แววตาพี่ๆ แต่ละคนเริ่มสงสารน้องขึ้นมาทันที

“ไม่ต้องพูดแล้วยำ ยังไงเต้ก็รับปากอยู่แล้ว ใช่ไหมวะ”

คนถูกถามพยักหน้าตอบรับทันที พร้อมยัดขวดน้ำเปล่าใส่มือน้อง คนได้รับมองตาปริบๆ ก่อนจะจิบพอเป็นพิธีคล้ายไม่อยากทำให้เสียน้ำใจ...ถ้าดูจากปริมาณขวดน้ำดื่มว่างเปล่าสามใบที่วางระเกะระกะบนโต๊ะด้านหน้าน้องมัน ผมว่า ในท้องข้าวยำคงจุน้ำจนเต็มแล้วมากกว่า

ผมเอนหัวกระซิบถามเต้เบาๆ “ตกลงเรามีควิซ?”

คนถูกถามส่ายหัวกลับมาทันที สรุปว่าเป็นเรื่องหลอกรุ่นน้องสินะ

พอได้รู้ความจริงผมก็เริ่มเข้าใจแววตาตำหนิจากเพื่อนบางคนทันที หันมองทางพวกคนรวมหัวกันแกล้งน้อง พบว่าพวกมันกำลังยิ้มแห้งๆ แล้วนั่งสงบปากสงบคำกันหมด

“พี่เต้ยอมไปติวให้พวกผมจริงๆ นะ?”

คนเพิ่งจิบน้ำไปคำหนึ่งเอ่ยถามย้ำ จนเหล่ารุ่นพี่ร่วมโต๊ะพากันหัวเราะขำกับท่าทางขอคำยืนยันนั่น แววตาแต่ละคนมองรุ่นน้องคนนี้อย่างเอ็นดู ขนาดเต้ที่ไม่ค่อยสนใจอะไร นอกจากเรื่องน่าสนุกกับเรื่องที่จำเป็นต้องทำ ยังยกมือลูบหัวน้องรหัสตัวเองไปมา 

“อืม”

“งั้นผมขอไปแจ้งข่าวดีกับเพื่อนก่อนนะคร้าบ~”

คนเสียงเป็ดรีบลุกขึ้นทันที ก่อนโผล่ไปกอดขอบคุณพี่รหัสจนโดนเต้ยันตัวออกมา ถึงได้ผละออกมาพูดบอกลาหน้าระรื่น เรียกเสียงโห่ใส่จากทั้งโต๊ะทันที โห่ด้วยความหมั่นไส้คนอายุน้อยกว่าล้วนๆ รุ่นน้องของพวกผมก็แลบลิ้นใส่อย่างกวนตีน แล้วหมุนตัวกลับหลังมาเจอผมก็ชะงักกึก

ท่าทางดูตกใจจนผงะ แต่ครู่เดียวแววตาของข้าวยำก็แปรเปลี่ยนเป็นขุ่นเคือง

พลั่ก!

ผมนิ่วหน้ามองตามหลังคนเบียดตัวเดินผ่าน มันจงใจใช้ตัวกระแทกให้ผมหลบ แถมยังเหยียบเท้ากันอีก!

“มองๆ ไปยำนี่เหมือนหมานะ”

หมา?

ผมหันมองคนพูด คิดทวนคำพูดของนัทในใจ แล้วนึกย้อนวีรกรรมเมื่อคืนยันเช้าของวันนี้

เมาจนปีนขึ้นเตียงชาวบ้านที่ดื่มมาบ้างเหมือนกัน แล้วไหนจะเรื่องไล่กระทืบคนอื่นตกเตียง อ๋อ ยังมีคดีแตงกวาของมันอีกด้วย

เหอะ พฤติกรรมทั้งยั่วยวนทั้งดุร้ายอย่างกับแมวป่านั่น มีตรงไหนที่เหมือนหมากัน!

“กูมองเห็นเป็นแมววะ”

พอผมพูดจบ บรรดาเพื่อนทั้งหลายก็หัวเราะร่วนทันที มีซาวน์เสียงทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ส่วนใหญ่พูดอย่างเอ็นดูกันทั้งนั้น ได้ฟังมากๆ เข้าก็หมั่นไส้ เด็กนั่นมีอะไรดีวะถึงได้เป็นที่ชื่นชอบของเพื่อนผมเหลือเกิน คิดแล้วก็พูดแทรกอย่างอดไม่อยู่ หวังลดทอนความเอ็นดูของเพื่อนลงหน่อย

“กูยังพูดไม่จบ เด็กนั่นน่ะไม่ใช่แมวธรรมดา แต่เป็นแมวเถื่อนชัดๆ”

เน้นยำสองคำอย่างจงใจจนพวกเพื่อนพาหุบยิ้มมองผมเป็นตาเดียว

“...มีเรื่องกันมาเหรอวะ?” นัทถามอย่างสงสัย

ผมบอกปัดเพราะไม่ควรเอาเรื่องที่ลับมาพูดในที่แจ้งเท่าไหร่ “กูจะไปซื้อข้าว ใครจะฝากซื้ออะไรไหม?”

“กูฝาก” ซียกมือคนแรก

ผมเพิ่งเห็นว่ามันมานั่งร่วมโต๊ะด้วย เพราะปกติรูมเมทของเต้คนนี้มักไปกินข้าวเที่ยงกับเพื่อนในภาคของมันมากกว่า

“ฝากซื้อผลไม้มาให้เต้แดกหน่อย เมื่อคืนมันตดเน่ามาก”

สายตาย้ายมาทางเต้ที่โดนรูมเมทแฉว่าตดเน่า แต่คนโดนแฉกลับมองผมนิ่งเฉย และบอกสั้นๆ แค่ว่า

“ซีอยากกินชมพู่”

“เฮ้ย! กูไม่ได้อยากกิน! กูบ่นให้มึงฟังเผื่อมึงจะไปซื้อผลไม้มากินต่างหาก!”

“อ้าวๆ ฝั่งไหนพูดเท็จฝั่งไหนพูดจริงครับ?”

เอเริ่มพูดหยอกล้อ เพื่อนหลายคนก็หัวเราะกันใหญ่ ไม่มีใครคิดจริงจังเพราะรู้ๆ กันอยู่แล้วว่านับวันซียิ่งดูแลเต้เหมือนแม่ขึ้นทุกทีจนแฟนของซีแอบหึงเต้ด้วยซ้ำ พอหันมองทางเต้บ้าง กวาดตาสังเกตจากรูปร่างตอนนี้ที่ติดผอมไปหน่อย แต่ไม่มากเท่าไหร่ก็แน่ใจว่าช่วงนี้เพื่อนคนนี้คงไม่ขัดสนเรื่องเงินจนถึงขั้นอดมื้อกินมื้ออย่างเคย

อืม...มันคงเอาเงินไปซื้อข้าวกิน แต่ไม่ยอมเจียนเงินไปซื้ออย่างอื่นเหมือนเคยแน่ๆ 

คิดได้อย่างนั้นผมเลยส่งเสียงบอกซี 

“ชมพู่นะ กูจะซื้อมะม่วงแถมให้ด้วยแล้วกัน ใครจะเอาอะไรอีกไหม”

กวาดมองคนอื่น ไม่มีใครฝากซื้ออะไรอีกก็เดินผละมาต่อแถวร้านข้าวเจ้าประจำ แล้วค่อยแวะไปร้านผลไม้ใกล้ๆ ได้ผลไม้จานใหญ่มาหนึ่ง เห็นเยอะแบบนั้นเชื่อเถอะ มีคนช่วยกินจนหมดแน่ๆ

-------------

หมดพ้นช่วงเวลาเรียนของวันคือเวลาอิสระ ใครจะไปไหนก็ไป ส่วนผมเลือกกลับหอพร้อมรูมเมทอย่างนัท หลังอาบน้ำเสร็จก็ได้มันมาช่วยทายาที่หลังกับไหล่ให้

“มึงไปฟัดกับใครมาวะเนี่ย ดูจากรอยเล็บกับรอยกัดเยอะขนาดนี้ ฝ่ายนั้นไม่ปรานีมึงเลยวะ”

“เบาหน่อยโว้ย กูแสบแผล” ผมซี๊ดปากด้วยความแสบ พลางนึกถึงหน้าคนทำอยู่ในใจ

เด็กนั่น...ไม่ว่าจะตอนมีสติหรือขาดสติ ถ้าไปทำให้เจ็บตัวก็ดุร้ายเอาเรื่อง

“น่าเอาแอลกอฮอล์ราดวะ”

“ลองดูสิ เพราะกูก็กล้าทำกับมึงเหมือนกัน”

ผมพูดท้าทายกลับ เพราะฝ่ายนัทได้แผลประเภทนี้มาบ่อยกว่าผมซะอีก

“ล้อเล่นน่า แล้วเป็นไงเด็ดไหมคนนี้”

“ก็ดี” ตอบปัดๆ ใจอยากให้มันรีบทำแผลให้เสร็จเร็วๆ ผมจะได้ล้มตัวนอนสักที

“แบ่งให้กูลองบ้างดิ”

“รอกูเบื่อก่อน”

บอกไปงั้นทั้งที่ไม่คิดจะมีครั้งที่สอง ยังไงมันก็เป็นรุ่นน้องที่เพื่อนสนิทฝากฝังให้ช่วยดูแล พอนึกถึงเต้ ผมก็เผลอถอนหายใจเฮือกหนึ่ง วันนี้เห็นหน้าเพื่อนแล้วรู้สึกเหมือนมีชนักติดหลัง แต่ก็ฝืนทำตัวตามปกติไม่ให้ใครจับสังเกตได้

...เพราะแบบนี้ล่ะมั้งถึงได้รู้สึกเหนื่อยจนอยากนอนพักเร็วๆ

“เสร็จยังวะ กูง่วงแล้ว”

“อีกนิด แล้วนี่มึงจะไม่กินข้าวเย็น?”

“ไม่ล่ะ ตอนนี้กูอยากนอน”

“งั้นก็นอนไป เดี๋ยวกูกลับมาจะซื้อข้าวกล่องมาให้”

ผมทิ้งตัวนอนคว่ำกับเตียงทั้งที่ไม่ใส่เสื้อ แล้วโบกมือลาส่งรูมเมทออกจากห้อง มันคงมีนัดกับคู่ขาสักคนเหมือนปกติล่ะมั้ง

-------------

ปึงๆๆ

ผมได้สติอีกครั้งเพราะเสียงทุบประตูห้อง หนวกหูจนต้องยอมลืมตาลงจากเตียง นับวันความเกรงใจยิ่งน้อยลงจนผมหมายมาดในใจว่าจบเทอมนี้เมื่อไหร่จะย้ายออกจากหอในแน่ๆ พอกระชากประตูห้องออกก็เจอแขกไม่คาดฝันในสภาพชุดที่ดูก็รู้ว่าจะไปท่องราตรี

“มีอะไรวะ”

“ไม่มีกูจะมาเคาะห้องมึงเรอะ” รูมเมทของโต้กลับมา “แล้วมึงทำบ้าอะไรอยู่วะ กูเรียกมึงตั้งนาน”

“หลับ”

“เยี่ยม งั้นมึงคงมีแรงไปดูแลคนป่วยแล้ว เอานี่ถุงยา ส่วนนี่ถุงข้าวต้มหมูสับ มีของมึงด้วยถุงหนึ่ง มึงไปกินกับคนป่วยแล้วกัน กูไปล่ะ”

ข้าวของถูกยัดใส่มือมาแบบไม่ทันตั้งตัว ส่วนคนให้ก็บอกลาส่งๆ ดูท่าจะรีบมาก

“เดี๋ยวซี!” ผมร้องเรียกก่อนอีกฝ่ายจะเดินจากไปดื้อ พอมันหันมาก็รีบถาม “ใครป่วยวะ”

“น้องรหัสเต้ไง”

คนถูกกล่าวถึงมีน้องรหัสสองคนคือ ‘ข้าวยำ’ กับ ‘ใบชา’ เป็นคนไหนเล่า

เหมือนซีจะเข้าใจความสงสัยของผม มันถึงพูดขยายความให้ชัดเจนขึ้น

“เต้วานให้ช่วยดูแลยำ แต่กูไม่ว่าง และปกติเต้ก็ฝากเด็กนั่นให้มึงดูแลอยู่แล้วนี่”

หลังได้คำตอบชัดๆ ผมก็ปล่อยซีเดินจากไป ส่วนตัวเองหมุนตัวกลับเข้าห้อง หาเสื้อมาใส่ แล้วหยิบกุญแจห้อง มือถือ และกระเป๋าตังค์ออกมา แล้วค่อยเดินขึ้นบันไดไปชั้นบนเพื่อไปหาคนป่วยที่ว่า

จนถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่เข้าใจ ทำไมพี่รหัสอย่างเต้ถึงส่งข้าวยำมาให้ผมดูแล แล้วโยนใบชาไปให้ซีช่วยดูอีกคน ทั้งที่ตามความเหมาะสมผมควรได้ดูแลใบชาที่เรียนภาคเดียวกันมากกว่าแท้ๆ

เดินมาถึงหน้าห้องรุ่นน้องก็สะบัดความสงสัยทิ้งไปก่อน ยกมือเคาะประตูจนเกิดเสียง เคาะครั้งแรกก็แล้ว ครั้งที่สองก็แล้ว บานประตูยังนิ่งสนิท จึงเปลี่ยนมาทุบบานประตูอย่างไร้ความเกรงใจแทน ผ่านไปครู่หนึ่งประตูถึงเปิดออกให้เห็นสีหน้าหงุดหงิดของเจ้าของห้อง

“ใคร...”

เพียงแค่สบตากัน ข้าวยำก็ทำท่าจะกระชากประตูปิด ผมรีบเอาเข่าไปขวาง ร้อมแทรกตัวผ่านเข้าในห้องแทบไม่ทัน

“มาทำไมวะ ออกไปเลย!”

ผมทำเป็นหูทวนลม กวาดตามองสภาพภายในห้องพักที่ยังเหมือนเดิมจนแทบเห็นภาพตัวเองหิ้วปีกคนเมามาส่งซ้อนทับขึ้นมา แต่ที่ไปขาดหายคือเจ้าของห้องอีกคน

“วินไปไหน” อดถามไม่ได้

“กลับบ้าน แล้วมึงมาทำอะไร”

เหมือนคนป่วยจะใจเย็นลงจนพอคุยกันได้ ผมเลยตอบไปสั้นๆ

“มีคนฝากให้มาดูแลมึง”

“พี่เต้?”

“มีอยู่คนเดียวนั่นแหละ” วางของในมือลงโต๊ะญี่ปุ่น หันมาเจอคนป่วยยืนโง่อยู่หน้าประตูไม่ยอมขยับไปไหนก็อดถามไม่ได้ “จะรากงอกตรงนั้นอีกนานไหม”

“จนกว่ามึงออกไป”

ผมมองคนโง่วูบหนึ่งก็ชี้นิ้วใส่พื้นใกล้ๆ “มานั่งนี่! จะได้กินข้าวกินยา แล้วไปนอนพัก”

คนฟังยังยืนเฉย มีเพียงแววตาดื้อรั้นที่ฉายความไม่เป็นมิตรเต็มเปี่ยม ไม่ต้องเพ่งมองก็ยังรู้ว่าคนเด็กกว่ากำลังออกอาการพยศ ผมเลยแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ว่าเจ้าของห้องอยากให้ผมออกไปใจจะขาดขนาดไหน ทั้งยังไม่คิดเกรงใจขนาดก้าวเท้าตรงไปหยิบชามช้อนสองชุดมานั่งที่โต๊ะญี่ปุ่น แกะถุงข้าวต้มออกมาเทใส่ชามทั้งสองใบ

“มึงจะกินข้าวที่นี่?!”

“ตาเห็นคำตอบอยู่แล้วก็อย่าโง่ถาม”

“เอากลับไปกินห้องมึงนู้น”

ข้าวยำชี้นิ้วใส่ประตู สีหน้าก็บ่งบอกชัดว่าไม่คิดต้อนรับ แถมอยากไล่ผมออกจากห้องเร็วๆ ช่างเป็นคนดูอารมณ์ออกง่ายมาก ซื่อตรงกับความรู้สึกจนน่าขำ

“ไม่ล่ะ กูขี้เกียจ”

ผมบอกแค่นั้นก็ตักข้าวต้มมากินยั่วคนป่วย กลิ่นอาหารเริ่มฟุ้งกระจายในอากาศจนคนท้องว่างอย่างผมรีบตักอีกช้อนเข้าปาก

เสียงประหลาดเหมือนท้องใครสักคนร้องประท้องขออาหารทำให้ผมเหล่ตามอง แอบเห็นใครบางคนกลืนน้ำลายลงคอ จู่ๆ ก็นึกอยากแกล้งขึ้นมาเลยตักคำที่สามมาเป่าให้กลิ่นหอมๆ กระจายในอากาศ แล้วเอาเข้าปากช้าๆ แค่นั้นคนป่วยก็แทบจะตรงมานั่งฝั่งตรงข้าม คว้าชามข้าวต้มไปวางตรงหน้าอย่างไม่รีรออะไรอีก

“หึ”

“ห...หัวเราะอะไร”

“หัวเราะคนโง่”

ผมว่าแค่นั้นก็เลิกสนใจคนหน้าแดงก่ำ ไม่รู้ว่าโมโหหิวหรือโมโหผมมากกว่ากัน ยิ่งเห็นเจ้าของห้องตัวจริงคว้าชามข้าวต้มเดินกระแทกเท้าหนีไปกินที่โต๊ะเขียนหนังสือก็ยิ่งขำ ชักรู้สึกว่าแมวเถื่อนตัวนี้น่าสนใจไม่น้อย

เอ๊ะ...น่าสนใจเหรอ?

ผมรู้สึกคาดไม่ถึงว่าตัวเองจะเผลอคิดแบบนี้ ทั้งที่ตั้งแต่รู้จักกันมาสองเดือนเศษๆ นอกจากเป็นของที่เพื่อนฝากให้ดูแล ผมก็ไม่เห็นอีกฝ่ายอยู่ในสายตามาตลอดแท้ๆ

ระหว่างครุ่นคิดกับตัวเอง ผมเผลอกินไม่ระวัง โดนข้าวต้มลวกลิ้นจนสำลักออกมา

“แค่กๆๆ”

คนนั่งบนเก้าอี้ขยับปากมุบมิบเป็นคำ ‘สมน้ำหน้า’ แบบไร้เสียง ท่าทางแบบนั้นกลับทำผมไอมากขึ้น เพราะดันเผลอหัวเราะทั้งที่สภาพไม่พร้อม ผมรีบยกมือปิดปากเพื่อบังรอยยิ้มของตัวเอง แต่พอชำเลืองมองก็พบว่าอีกฝ่ายกำลังหันหลังตักข้าวต้มกินแบบไม่คิดเหลียวแลกันสักนิด

ข้าวยำเป็นคนประเภทที่ผมไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ ถึงอย่างนั้นในหัวกลับมีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมากะทันหัน

...บางทีผมควรมองเด็กคนนี้แบบชัดๆ เต็มตาสักครั้ง     

ใช่ ควรมองให้ดี แล้วค่อยตัดสินใจใหม่ว่าควรจะ ‘เอ็นดู’ น้องรหัสของเพื่อนได้หรือเปล่า

แล้วถ้าได้ล่ะ?

หึๆ ถึงตอนนั้นค่อยคิดก็ยังไม่สาย

############
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-11-2018 10:59:05 โดย KatzeP »

ออฟไลน์ fon270640

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 160
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
น่าสนใจดีงับบบ. ระวังตกหลุมแมวนะงับบบ

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3494
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3

ออฟไลน์ KatzeP

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-1
ก่อนวางกับดัก 2 : ผมจะเลี้ยงแมวเถื่อน


“ช่วงนี้มึงมองยำบ่อยนะ”

ผมหันไปมองคนเดินข้างๆ แล้วหัวเราะเบาๆ “ทันข่าวสารชาวบ้านกับเขาแล้วเรอะ”

“กูสังเกตเห็นเองเหอะ”

ผมเงียบไปอึดใจหนึ่ง ก่อนเอ่ยถามด้วยเสียงเรียบเฉย “เห็นชัดขนาดนั้น?”

“เออ! เพราะปกติถ้าไม่ใช่ช่วงไปกินเหล้า มึงแทบไม่ชายตาแลน้องมันเลย”

“เหรอ”

นัทมองผมครู่หนึ่งค่อยพ่นลมหายใจออกมา “แต่มึงสนใจช้าไปหรือเปล่า เด็กมันมีแฟนแล้วไม่ใช่เรอะ หรือมึงเป็นพวกโรคจิต ประมาณรอให้โดนเกลียดก่อนถึงหันไปสนใจเขาได้?”

“กูไม่ใช่คนประเภทหลังแน่” ผมมั่นใจ

“ให้จริงเถอะ แล้วไปก่อวีรกรรมอะไรมาวะ น้องมันถึงได้เหม็นขี้หน้ามึงขึ้นมาเนี่ย ไม่ใช่เกลียดธรรมดานะ ต้องเรียกว่ารังเกียจมากขนาดไม่อยากเฉียดเข้าใกล้ ชัดๆ หน่อยก็ประดุจมึงเป็นแมลงสาบที่พอเจอแล้วต้องวิ่งหนีเป๊ะ"

“มึงกลัวแมลงสาบก็บอก”

“กูแค่เปรียบเทียบให้เห็นภาพชัดๆ มึงน่ะตอบคำถามกูมาซะดีๆ”

“ไม่รู้สิ”

“มึงรู้ แต่ไม่อยากบอกกูต่างหาก”

“ถ้าคิดอย่างนั้นก็อย่าถามแต่แรก”

“เออๆ กูไม่ยุ่งด้วยแล้วก็ได้ มึงจัดการเรื่องนี้เอาเองแล้วกัน และอย่าลืมว่าเด็กมันเป็นน้องรหัสใคร”

“แล้วนั่นมึงจะไปไหน” ผมรีบถาม มองเพื่อนที่จะเดินแยกตัวไปอีกทาง

“กูจะไปกินข้าวกับเด็กกูโว้ย! ส่วนมึงจะไปไหนก็ไป ชิ่วๆ”

ผมส่งเสียงตอบรับในคอ ก้าวเท้าตรงไปยังจุดหมายเดิมคือโรงอาหารประจำถิ่นวิศวะ มีจงใจลดฝีเท้าให้ช้าลงจนเหมือนเดินเอื่อยๆ คล้ายกับมาชมวิวทิวทัศน์รอบตัวมากกว่าไปกินข้าว โชคเข้าข้างผมตรงที่วันนี้ฟ้าค่อนข้างครึ้มเหมือนฝนจะตก แดดไม่ค่อยมี เดินรับลมที่พอมีบ้างก็ถือว่าสบายอยู่

“ภู”

ผมเลิกคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าใครเรียกชื่อ หญิงสาวหน้าตาพอพาควงโชว์เพื่อนได้ไม่อายใครคนนี้เป็นคู่ขาคนล่าสุดของผม ก็ก่อนปิดเทอมล่ะนะ

“เอ่อ ภูพอมีเวลาไหม คือ...เรามีเรื่องจะคุยน่ะ”

ผมชั่งใจเล็กน้อย พอคิดถึงจุดประสงค์ถ่วงเวลาให้ตัวเองไปช้ากว่าปกติก็จำพยักหน้าให้

“...ถ้านิดหน่อยก็พอได้”

“ดีเลย งั้นภูไปนั่งรอตรงร่มไม้ตรงนั้นก่อนนะ เดี๋ยวเราตามไป”

ผมนิ่วหน้ามองคนพูดหมุนตัวเดินห่างออกไปทันที มองตามจนเห็นเธอแวะซื้อน้ำจากร้านค้าริมถนนใกล้ๆ ก็ได้แต่พ่นลมหายใจเดินไปนั่งรอใต้ต้นไม้ก่อน สักพักอีกฝ่ายถึงตามมานั่งข้างๆ พร้อมยื่นขวดน้ำเย็นจัดให้

ผมขมวดคิ้วนิดๆ ยอมรับมาหมุดเปิดฝา แล้วยื่นคืนคนซื้อ แต่อีกฝ่ายกลับรีบโบกมือปฏิเสธ

“ไม่ๆๆ เราซื้อมาให้ภู”

มองขวดน้ำในมืออย่างนึกขัน เมื่อก่อนไม่เห็นจะเคยซื้ออะไรให้ มีแต่ผมที่เป็นคนจ่าย มาตอนนี้ผมไม่นึกอยากได้ของในมือสักนิด เลยปิดฝาวางขวดน้ำไว้ตรงกลางระหว่างเรา ไม่คิดจะแตะขวดน้ำนั่นอีก แล้วนั่งรอเงียบๆ ให้เธอจะพูดเข้าเรื่องสักที

“แล้วก็นะ ตอนนั้นอยู่กับภูสนุกมากเลยล่ะ...”

ผมเริ่มเบื่อหน่ายกับการที่เธอเอาแต่พูดถึงเรื่องในอดีต ในใจจึงเริ่มนับเลขถอยหลังไล่จากเลขสามสิบลงมาเรื่อยๆ ไม่ได้ฟังเลยว่าเธอพูดเท้าความเรื่องอะไรออกมาอีก กระทั่งนับถึงเลขศูนย์ก็ลุกขึ้นเตรียมจากไปทันที

“เดี๋ยวภู!”

อีกคนร้องเรียกดังลั่น แต่ผมไม่สนใจ มาชะงักก็ตอนโดนคนๆ เดิมมายืนกางแขนขวางทางอยู่ด้านหน้า

ผมนิ่วหน้าไม่ค่อยพอใจนัก “สรุปว่ามีธุระอะไร?”

ทั้งที่ผมถามด้วยน้ำเสียงธรรมดาที่ติดรำคาญหน่อยๆ แต่เธอกลับทำหน้าลนลานอย่างหนัก

“คือ...เอ่อ...ระ เรา...ยังกลับเป็นเหมือนเดิมได้ไหม”

คนพูดด้วยน้ำเสียงเบาหวิวเกือบไม่ได้ยิน ทั้งรีบย้ายแขนมาแนบตัวกำกระโปรงนักศึกษาสีดำแน่น แถมเลี่ยงไม่ยอมสบตา ท่าทางที่ผมค่อนข้างคุ้นเคย แต่ยามนี้กลับไม่รู้สึกรู้สาอะไรทั้งสิ้น ยิ่งกับคนที่หายหัวไปตั้งแต่ปิดเทอม แถมขาดการติดต่อกะทันหัน จนผมมารู้ข่าวเอาเองว่าเธอควงคนใหม่โดยไม่คิดบอกกล่าวกันก่อนด้วยซ้ำ

แล้วนี่อยากกลับมาเป็นเหมือนเดิม?

คิดครู่หนึ่งก็พอจับทางได้ว่าอีกฝ่ายมาขอคุยด้วยทำไม ริมฝีปากจึงขยับรอยยิ้มหยันออกมาอย่างอดไม่อยู่ พอรู้สึกตัวจึงกลับมาทำหน้านิ่งเฉยอีกครั้งทันเวลาอีกฝ่ายยอมเงยหน้ามองกันพอดี   

“โดนแฟนทิ้งมาหรือไง?”

เธอทำหน้าเสียใส่ สงสัยผมจะเดาถูกเลยแกล้งถอนหายใจสั้นๆ ให้รู้ว่าผมรำคาญแค่ไหน 

“เรียกมาเพื่อคุยเรื่องนี้?”

“เอ่อ ก็...”

ผมตัดบทไม่คิดเสียเวลาอยู่ฟังเรื่องไร้สาระอีก “อยากได้คนควงใหม่ไปเย้ยเขาก็ไปหาคนอื่นเถอะ”

กำลังจะเดินผ่านกลับโดนรั้งแขนไว้ ผมหันไปมองเธออย่างหงุดหงิดเล็กๆ

“อะไรอีก!”

“คือว่า...ช่วงนี้ภูว่างไหม”

“ไม่ว่าง”

ตอบทันทีแบบไม่คิด ตอนนี้ผมกำลังสังเกตพฤติกรรมแมวตัวหนึ่งอยู่จะไป ‘ว่าง’ ได้ยังไง

“งั้น...” แววตาคนพูดสั่นไหว เสียงแผ่วเบาแต่จริงจัง “แค่คืนนี้ล่ะ”

ผมเหยียดยิ้มทันทีที่ได้ยิน พลางโน้มตัวอย่างจงใจเข้าใกล้ร่างคนตัวเล็กกว่า ริมฝีปากขยับเข้าไปใกล้ใบหูขาวสะอาด เอ่ยถ้อยคำด้วยเสียงเบาเท่ากระซิบ

“นี่เธอติดใจลีลาของฉัน หรือกำลังขาดเงินกันล่ะ”

“ภู!”

ผมหัวเราะในลำคอ พลางยันตัวกลับมายืนตรง แล้วรีบส่งรอยยิ้มไปขัดก่อนที่อีกฝ่ายจะโวยวายเสียงดังให้หนวกหู

“ฉันให้เลือกแค่อย่างใดอย่างหนึ่ง เธอคิดได้เมื่อไหร่ก็โทรมาแล้วกัน ฉันยังใช้เบอร์เดิม นี่ถือว่าฉันให้โอกาสคนอย่างเธอไปคิดทบทวนดู”

“ฉันไม่ได้ขายนะภู!”

“งั้นเรอะ” ผมทอดมองอดีตคู่ขาอย่างเฉยชา “ในเมื่อเธอเลือกเป็นฝ่ายเดินจากไปก่อน ฉันก็ไม่มีอะไรจะให้เธอแล้วเหมือนกัน”

“ขอโทษ...”

“อย่าสักแต่พูด ฉันไม่ชอบ”

ผมปลดมืออีกฝ่ายจากแขน ไม่คิดสนใจคนยืนหน้าซีดเผือก แล้วผละตัวเดินจากมาทันที 

เธอคนนี้ก็เหมือนคนเก่าหลายคนที่วกกลับมาหาผมอีกครั้ง ไม่ว่าเพราะติดใจลีลาก็ดี กำลังขาดเงินก็ดี แม้ช่วงควงกันปากจะพยายามสาธยายความดีของผมหรือพยายามบอกรัก แต่เท่าที่ผ่านมาความจริงใจหาได้ยากสิ้นดี รู้ทั้งรู้ผมก็ยังเล่นสนุกไปตามน้ำ รอจนพวกนั้นเบื่อแล้วจากไปเอง หรือไม่ก็รอจนผมเบื่อก่อนก็เท่านั้น

พอเดินมาถึงโรงอาหารประจำถิ่นวิศวะ แค่เห็นใครบางคนกลางดงเพื่อนของตัวเอง รอยยิ้มสมใจก็ผุดขึ้นบนหน้าทันที แถมยังลืมเรื่องชวนขุ่นใจเมื่อครู่ด้วย

แมวบางตัวดูน่าสนใจกว่าของน่าเบื่อเมื่อกี้นี้อีก

ผมเหลือบมองโต๊ะข้างๆ ที่เพิ่งวาง แล้วรีบหยิบมือถือกดส่งข้อความเข้าไลน์ก๊วนเพื่อนร่วมกลุ่มภาควิศวกรรมเคมี

Phu: จองโต๊ะว่างข้างโต๊ะพวกมึงให้กูด้วย
กลมกลิ้ง: ทำไมไม่นั่งด้วยกันวะ
Phu: เด็กคนเดียวในโต๊ะจะลุกหนีน่ะสิ
กลมกลิ้ง: อ้อ
- A- : กังลุกไปจองดิ เพราะโต๊ะอยู่ข้างมึง
KangHan: เออๆ เดี๋ยวจองให้

ได้คำตอบพอใจผมก็เดินไปซื้อข้าวซื้อน้ำแล้วยกมานั่งคนเดียวที่โต๊ะข้างๆ โดยที่เด็กบางคนไม่รู้เลยว่ากำลังโดนผมสังเกตพฤติกรรมไปพร้อมตักข้าวเข้าปากอย่างเพลิดเพลิน

“ช่วงเย็นๆ ห้องน้ำชั้นล่างในตึกคณะจะมืดหน่อยๆ ใช่ไหมล่ะ แถมดันมีข่าวลือสารพัด แต่วันนั้นพวกผมปวดฉี่จนทนรอไปเข้าที่โรงอาหารไม่ไหว เลยเกาะกลุ่มกันไปห้องน้ำ เข้าไปแล้วก็มีอาการหวาดระแวงกันหมด

จู่ๆ ดันมีเสียงร้องพิลึกเหมือนควายกำลังเบ่งออกลูกน่ะพี่ แค่นั้นแหละพวกผมวิ่งหน้าตั้งออกจากห้องน้ำแทบไม่ทัน หลอนจนขนหัวลุก ฉี่ตดหดหาย คืนนั้นกลับบ้านยังแทบนอนไม่หลับ แล้วความจริงมาเฉลยในวันรุ่งขึ้นว่าพวกผมโดนพี่ไก่หลอก!”

คนเด็กสุดเล่าเรื่องแบบใส่อารมณ์เต็มที่ โดยมีเหล่าปีสองส่งเสียงหัวเราะเป็นระยะ

“ฮ่าๆๆ”

ผมเคี้ยวข้าวช้าๆ มองข้าวยำหัวเราะคลอไปกับปีสอง

ก่อนนี้ก็เคยสงสัยว่าทำไมเพื่อนๆ ถึงเอ็นดูเด็กคนนี้นัก ตอนนี้เริ่มเข้าใจแล้วว่าเพราะมันเป็นคนแบบนี้ไง เป็นเหมือนน้องคนเล็กที่มีอะไรก็มาเล่ามาบอกอย่างเป็นกันเอง แถมยังพกความร่าเริงสดใสมาเต็มพิกัด มิน่า นัทถึงพูดว่ามันเหมือนหมา มองดีๆ ก็เหมือนลูกหมาจริงๆ นั่นแหละ

ผิดกับตอนอยู่กับผม...

ยกยิ้มบางๆ อย่างคนไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจกับการโดนใครบางคนปฏิบัติตัวแตกต่าง ไม่ว่าจะเมื่อก่อนตอนที่ยังนับญาติกันดี หรือตอนนี้ที่ใครๆ ต่างก็พูดว่าเป็นเกลียดขี้หน้ากันได้เต็มปากเต็มคำก็ตาม

เพราะในความแตกต่างแปลอีกอย่างคือความพิเศษ และผมก็ชอบที่มันเป็นแบบนั้น

ผมกินข้าวเสร็จก่อนโต๊ะข้างๆ รอเวลาที่ใครบางคนไม่ทันสังเกตเห็นรีบลุกจากไป เพราะถ้าผมไม่ทำอย่างนี้ คราวหน้าคงใช้วิธีนี้อีกไม่ได้แล้ว

หลบออกมาได้สำเร็จก็โดนเพื่อนไลน์ถามหาตัวตน

Phu: กูออกมาก่อนแล้ว
- A- : อะไรของมึงวะ
กลมกลิ้ง: มึงกับน้องมีเรื่องอะไรกันแน่
KangHan: นั่นดิ หลบหน้ากันไปมาอยู่ได้
Phu: ใครบอกว่ากูหลบ
- A- : พวกกูไม่ได้ตาบอด
Phu: กูกำลังใช้ข้อได้เปรียบอยู่ต่างหาก
KangHan: ข้อได้เปรียบอะไรวะ?
Phu: สังเกตการณ์ระยะไกล
KangHan: พวกมึงเข้าใจมันไหม?
- A- : ไม่!
กลมกลิ้ง: สติกเกอร์ชูป้าย No

ข้อความในไลน์จบแค่นั้น มาเจอหน้าพวกมันอีกทีก็ในห้องเรียนช่วงบ่าย

ในระหว่างรออาจารย์เข้าสอน การสรรหาเรื่องมาคุยกันฆ่าเวลาถือเป็นเรื่องปกติ แต่หัวข้อกลับไม่พ้นเรื่องของน้องรหัสเพื่อน ผมหมุนปากกาฟังเพื่อนๆ คุยกันเงียบๆ ด้วยท่าทางเหมือนไม่ได้สนใจจะฟัง 

“ช่วงนี้เหมือนยำจะขยาดของมึนเมา” กังหันเปิดประเด็น

“น่าจะใช่วะ กูชวนไปกินเหล้าก็ไม่ยอมไปเหมือนแต่ก่อน”

เอพูดสมทบจบ กลมก็เอ่ยออกความเห็นบ้าง

“หรือยำไปทำอะไรไม่ดีตอนเมามา”

“ไม่รู้วะ มึงคิดไงวะภู”

ผมหันไปเลิกคิ้วให้กังหันแล้วถามกลับ “ทำไมมาถามกูล่ะ”

“ก็มึงเป็นคนหิ้วน้องกลับตอนเมาประจำ”

“ก็ใช่ว่ากูจะรู้สาเหตุนี่”

ผมบอกหน้าตายทั้งที่ในใจรู้ดียิ่งกว่าใคร และอดขำในใจให้คนมีพฤติกรรม ‘วัวหายแล้วค่อยล้อมคอก’ ไม่ได้ เอาเถอะ ถึงช้าไปหน่อย แต่ยังดีที่รู้จักคิดแก้ไข 

“หรือจะเป็นเพราะแฟนขอร้องมา?” เอพูดคาดเดา

กังหันดีดนิ้วทันที “เออวะเป็นไปได้ ช่วงนี้ยำดูอินเลิฟดีเหมือนจะไปกันได้สวยซะด้วยสิ”

ผมนิ่วหน้าเล็กน้อย รู้สึกว่าช่วงนี้ชักได้ยินเรื่องแฟนของข้าวยำบ่อยไปแล้ว

“กูได้ยินว่าแฟนยำเป็นผู้ชาย เรื่องนี้จริงใช่ไหมวะ”

ผมหันไปสนใจหัวข้อนี้ทันที เลยทันได้เห็นสีหน้าไม่แน่ใจของคนถามอย่างกลม มีกังหันช่วยตอบข้อข้องใจให้ด้วยน้ำเสียงมั่นใจในข้อมูล

“จริง กูเคยเห็นตัวจริงมาแล้ว เป็นเด็กซนๆ ผิวขาวๆ สองคนนั้นตัวสูงพอกัน ดูแล้วน่ารักดี”

“ยำของเราเนี่ยนะคบกับเด็กแบบนั้น กูนึกภาพไม่ออกเลยวะ”

เอพูดแทรกกลมด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ “คงเหมือนเด็กสองคนคบหากันเองแบบป๊อปปี๊เลิฟล่ะมั้ง ฮ่าๆๆ”

“ผิดแล้วเพื่อน” กังหันพูดแย้ง “ตอนยำอยู่กับแฟนไม่ได้เป็นแบบตอนที่อยู่กับเราหรอกวะ น้องเราเก๊กแมนจะตาย กูยังเคยแอบขำลับหลังด้วยซ้ำ”

ได้ยินแบบนั้นผมกลับโล่งใจขึ้นมาเฉยๆ

หือ?

ชะงักกับความคิดตัวเอง...โล่งใจงั้นเรอะ

เป็นครั้งแรกที่ผมเริ่มรู้สึกสะกิดใจอะไรบางอย่าง…

ผัวะ!

หัวกังหันโดนสมุดฟาดเข้าให้ พวกผมหันมองเจ้าของสมุดที่มายืนหลังกังหันตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้เป็นตาเดียว พี่รหัสของคนในหัวข้อสนทนาเพียงปรายตามองมาด้วยแววตาดุอย่างเดียวก็ทำให้กังหันยอมพูดลากเสียงได้แล้ว

“ขอโทษครับเพื่อนเต้ ต่อไปผมจะเอาเรื่องยำมาพูดเฉพาะตอนเพื่อนเต้ไม่อยู่ฟังนะครับ”

มันเลยได้สมุดกระแทกหน้าผากไปอีกรอบให้เหล่าคนมองหัวเราะเยาะใส่

“เบาเพื่อนเบา หน้าผากกูแดงแล้วโว้ย ใช่มะ ดูให้หน่อยดิ”

ผมชำเลืองมองตามนิ้วชี้ของคนหันหน้ามาหา แล้วตอบไปตามที่เห็น

“ไม่เห็นมี...แต่ถ้ามึงอยากได้รอยแดงเป็นที่ระลึกก็ควรให้เต้กระแทกสันสมุดเพิ่มอีกสักสองสามทีวะ”

“ไม่อยากได้โว้ย!”

-------------

หมดช่วงเวลาเข้าเรียนผมก็ได้เจอน้องรหัสเพื่อนโดยบังเอิญ มันกำลังเดินคุยโทรศัพท์เสียงอ่อนหวานแปลกรูหูเป็นที่สุด

“เพิ่งเลิกเรียนครับ...กำลังเดินอยู่ครับ...ครับๆ รออยู่ที่หน้าคณะนั่นแหละ เดี๋ยวยำไปหา”

ไม่รู้อะไรดลใจทำให้ผมเดินตามหลังมันเงียบๆ จนกระทั่งข้าวยำวางสาย และเหมือนรู้ตัวถึงได้หันมองมา พวกเราสบตากันเพียงแวบเดียว คนเด็กกว่าก็นิ่วหน้าใส่ ทั้งยังเมินหน้าหนีกันดื้อๆ อย่างเสียมารยาทมาก

ด้วยความหมั่นไส้เลยคว้าไหล่รั้งตัวอีกฝ่ายไว้

“เห็นรุ่นพี่แล้วเมินเรอะ”

ข้าวยำเดาะลิ้น แล้วหันมายกมือไหว้ซะสวย

“สวัสดีครับรุ่นพี่” เน้นย้ำอย่างประชดประชัน “พอดีผมมีธุระ ขอตัวก่อนนะครับ”

อีกครั้งที่ผมคว้าไหล่คนหมุนตัวตั้งท่าจะเดินหนี ดูก็รู้ว่าคงไม่อยากอย่างอยู่เสวนาด้วยอีก

แต่ผมจะรั้งมันไว้ ใครจะทำไม?

“จะรีบไปไหนเล่า” ผมคลี่ยิ้มกวนอารมณ์ให้เห็น “ค่อยๆ เดินออกจากตึกด้วยกันก็ได้ ยังไงก็ไปทางเดียวกันอยู่แล้ว”

“เกรงใจครับรุ่นพี่

ผมมองอาการกัดฟันพูดของคนตรงหน้าอย่างรื่นรมย์ ทั้งยังจงใจพูดจาอย่างใจกว้าง

“เกรงใจทำไมครับรุ่นน้อง เดินไปด้วยกันนี่แหละ”

ไม่พูดเปล่ายังจับตัวยำดันให้เดินต่ออย่างบังคับกลายๆ จนคนหัวเสียยิ่งกว่าเดิมอีกหลายเท่ากัดฟันกรอดๆ แต่กลับทำอะไรไม่ได้นอกจากต้องเดินข้างกันให้ผมรู้ซึ้งถึงการได้เกิดก่อนแม้จะแค่ปีเดียวว่ามันดียังไงสุดๆ

“แล้วนี่จะไปไหน”

เงียบ

“นัดใครไว้หรือไง”

ยังเงียบ

“ไม่ตอบแสดงว่าว่างสินะ งั้น...”

“ไม่ว่าง!” คำตอบมาห้วนๆ เหมือนความอดทนหมดลงแล้ว “จะไปหาแฟน!”

“กล้าพูดนะ”

“พูดความจริง”

ผมยกยิ้มมองคนทำหน้าหงุดหงิด “ต่อหน้าคนที่ได้กินหมดเกลี้ยงนี่น่ะเหรอ หรือได้ใหม่แล้วลืมเก่าแล้ว?”

“หุบปาก! กูไม่เคยมีเก่าหรือใหม่กับมึงทั้งนั้น!!”

“พูดแบบนี้คืออยากให้พาไปทบทวนความจำ?”

ข้าวยำตวัดตาโกรธจัดมาให้ทันที

“หุบปากเน่าๆ ของมึงเดี๋ยวนี้ และทางที่ดีไม่ต้องเจอะเจอกันอีกจะดีมาก!”

ทั้งที่ถูกแมวขู่แฟ่ๆ ใส่ ผมกลับมองอย่างสบายอารมณ์ จนแมวเถื่อนหงุดหงิดยิ่งกว่าเก่า แต่เพราะสถานที่ไม่อำนวยให้รุ่นน้องอาละวาดใส่รุ่นพี่ ข้าวยำเลยต้องเก็บกดอารมณ์ด้วยการจ้ำเท้าเดินหนีไปดื้อๆ ผมก็เร่งเท้าตามมาจนถึงทางออกจากตึกจึงค่อยๆ ลดฝีเท้าลงไม่ตามต่อ จงใจปล่อยให้แมวเถื่อนเดินเร็วในจังหวะเดิมต่อไป

ผมหยุดยืนมองหลังน้องรหัสเพื่อนด้วยความขบขัน 

ตั้งแต่ผมจำความได้และรู้เรื่องมากพอก็ไม่เคยคิดชอบแมวเหมือนพี่วี ไม่เคยคิดอยากพาตัวเองใกล้ชิดกับแมวตัวไหนด้วยซ้ำ แต่แมวเถื่อนที่เดินหนีไปนู้นกลับทำให้ชักอยากเปลี่ยนความคิดขึ้นมา

เก็บเอาไปเลี้ยงดีไหมนะ?

มองแผ่นหลังข้าวยำที่เล็กลงเรื่อยๆ ก็โคลงหัวเล็กน้อย

...ท่าทางจะยุ่งยาก ไม่เอาดีกว่า

-------------

คนมักพูดกันว่าหนีอะไรมักเจอแบบนั้น

สำหรับผมไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า แต่จากสีหน้าน้องรหัสเพื่อนอาจจะเป็นแบบนั้นก็ได้

“มึงจงใจสินะ”

ผมเลิกคิ้วมองคนที่ช่วงนี้มักบังเอิญเจอกัน แล้วพูดด้วยเสียงห้วนตอกกลับไปบ้าง

“ใครจงใจกันแน่”

คนฟังกัดปากไม่ยอมโต้กลับมา ท่าทางคงรู้ตัวว่าฝ่ายที่เปลี่ยนเส้นทางใหม่คือตัวมันเอง เรื่องนี้ผมมั่นใจ เพราะคนใช้เส้นทางเดินนี้บ่อยๆ อย่างผม ไม่เคยเห็นมันในเดินทางเดียวกันสักที

“มันเป็นทางลัด!”

ผมเลิกคิ้วฟังคนเถียงกลับมาอย่างไม่ยอมแพ้ แล้วผงกหัวเป็นเชิงเห็นด้วย

ปกติกว่าปีหนึ่งจะรู้จักทางลัดเลาะภายในมหาวิทยาลัยก็ปาเข้าไปเทอมสองนู้น แต่น้องรหัสเพื่อนกลับรู้เร็วมาก และตามข้อตกลงจะไม่มีรุ่นพี่คนไหนบอกหรือสอนจนกว่าจะจบรับน้อง ดังนั้นมีความเป็นไปได้ว่าอาจมีรุ่นพี่สักคนพามันมาเดินแถวทางลัดจนข้าวยำพอจะจำทางมาเดินเองได้

ผมคิดว่าเดาถูก เพราะหลังจากลองปล่อยน้องรหัสเพื่อนเดินนำสักพัก มันก็เดินผิดทิศทันที

ก้าวเท้าตามข้าวยำเงียบๆ ไม่คิดเตือนเพราะใจอยากรู้ว่ามันจะรู้สึกตัวเมื่อไหร่ แต่ใครจะคิดว่ามันจะพาเดินมาจนถึงคณะศิลปกรรม ผมลอบมองคนหลงทางกำลังจ้องป้ายชื่อคณะเขม็ง

“...โผล่มาตรงนี้ได้ยังไง”

แมวเถื่อนเริ่มงึมงำกับตัวเอง ก่อนจะหันซ้ายขวามองรอบตัวเหมือนไม่รู้จะกลับไปจุดหมายเดิมทางไหน

ดูท่าจะแยกทิศเหนือ ใต้ ออก ตกไม่เป็นด้วย

และยังเป็นแมวหยิ่งที่ไม่คิดขอความช่วยเหลือจากใครไม่พอ ยังเลือกเดินสุ่มเองอย่างสะเปะสะปะสิ้นดี

ผมเดินตามเงียบๆ อยากจะรู้นักว่ามันจะไปถึงจุดหมายปลายทางได้เมื่อไหร่

ผ่านมาเกือบชั่วโมง ทั้งผมทั้งมันเข้าเรียนช่วงบ่ายไม่ทันทั้งคู่ ข้าวกลางวันก็ยังไม่ได้กิน แถมต้องมาเดินทัวร์มหา’ลัยกลางแดดร้อนเปรี้ยง

“พอแล้ว!”

จู่ๆ ข้าวยำก็ตะโกนขึ้นกะทันหัน แล้วหันกลับมามองผมที่กำลังดูดน้ำเปล่าในขวดที่เพิ่งซื้อมา

“ตามมาทำไม!!” 

“มาดูคนหลงทาง” 

“ดูพอใจแล้วก็ช่วยพากลับไปส่งด้วย!”

ผมเลิกคิ้วขึ้นสูง ไม่ได้ประหลาดใจที่อีกฝ่ายขอความช่วยเหลือ แต่แปลกใจกับประโยคพูดของคนอารมณ์บูดมากกว่า มองแมวเหงื่อซกท่าทางทั้งร้อนทั้งเหนื่อยอยู่ครู่หนึ่งก็ลากน้องรหัสเพื่อนไปอาศัยเงาร่มไม้ใหญ่ใกล้ๆ หลบแสงแดดช่วงบ่าย แล้วยื่นขวดน้ำในมือให้

คราวนี้แมวเถื่อนไม่มีหยิ่งคว้าขวดน้ำได้ก็เล่นดึงหลอดออก แล้วยกกระดกดื่มจากขวดโดยตรงแทน

ผมมองคนหิวน้ำจัด แต่ไม่ยอมซื้อน้ำกินเองสักทีอย่างสงสัย กวาดตามองสำรวจดีๆ ก็พบว่าข้าวยำไม่ได้พกเป้ติดตัวมา ดูตามกระเป๋ากางเกงก็ไม่เห็นมีอะไรนูนออกมาก็ย่นคิ้ว พร้อมเอ่ยปากถามอย่างอดไม่อยู่

“...กระเป๋าตังค์กับมือถือไปไหน”

คนเพิ่งกินน้ำหมดขวดใช้แขนเสื้อเช็คปากลวกๆ แล้วหันมาตอบ “อยู่ในเป้”

“เป้ไปไหน?”

“อยู่กับเพื่อน”

“แล้วเพื่อน...”

คราวนี้คนฟังคำถามพูดสวนกลับมาทั้งที่ผมยังพูดไม่ทันจบประโยค “เพื่อนรออยู่โรงอาหาร แต่ตอนนี้คงเข้าเรียนกันแล้ว”

ฟังแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ พลางมองเด็กหลงอย่างเวทนาหน่อยๆ

“หายเหนื่อยแล้วก็ตามมานี่”

ผมตัดสินใจโดดเรียน แล้วพาแมวหิวโซมาหาอะไรกินที่โรงอาหารใกล้ๆ แทน ด้วยความที่เป็นโรงอาหารของถิ่นคณะมนุษยศาสตร์ แม้จะเลยเวลาเที่ยงไปแล้วก็ยังมีคนอยู่พอสมควร มองไปเห็นแต่เพศหญิงเป็นส่วนใหญ่ เจริญตากว่าโรงอาหารคณะผมที่มีแต่ผู้ชายเป็นส่วนมาก

เหล่มองคนเดินตามมา ถ้าเป็นคนอื่นคงเหล่สาวไปแล้ว แต่ข้าวยำเอาแต่จ้องมองป้าๆ ร้านข้าว แล้วทำหน้าเครียดประหนึ่งหลงเข้ามาในแดนนรก สังเกตสักพักก็ลองยื่นแบงค์ร้อยไปให้ สีหน้าข้าวยำกลับดีขึ้นทันตาเห็น

“ยืมก่อนนะ”

คว้าเงินได้ก็เดินเริงร่าไปซื้อข้าวซื้อน้ำทันที ผมลอบส่ายหน้าแล้วไปต่อแถวซื้อข้าวบ้าง

ระหว่างทานข้าวก็ลอบสังเกตพฤติกรรมน้องรหัสเพื่อนไปด้วย

...ทั้งที่อยู่กลางดงสตรี แต่ทำไมถึงเอาแต่มองจานข้าววะ

คิดแล้วก็ลองชี้ชวนให้ดูผู้หญิงสวยๆ ข้าวยำเงยหน้ามองตามเพียงครู่เดียวก็กลับมาจ้องจานข้าวของมันต่อ ผมอดถามไม่ได้จริงๆ

“...มึงไม่ชอบผู้หญิง?”

“ไม่ได้ทั้งชอบหรือเกลียด”

“งั้นผู้ชายล่ะ”

“ชอบคนร่าเริง หรือแบบซุกซนก็น่ารักดี”

ฟังคำตอบที่มาทันทีแล้วก็เผลอย่นคิ้ว “...มึงชอบมองผู้ชายมากกว่าผู้หญิง?”

“อือ”

ตอบรับเต็มปากเต็มคำด้วยสีหน้าเฉยสนิท ผมยิ่งไม่เข้าใจหนักกว่าเก่า

“ถ้าชอบผู้ชายอยู่แล้ว วันนั้นจะโวยวายไปเพื่ออะไร”

เหมือนผมไปกดโดนสวิทซ์อะไรสักอย่าง จากท่าทีที่เหมือนเริ่มเป็นมิตรก็เปลี่ยนกลับมาเป็นแบบเดิมทันที

“มึงทำอะไรกูไว้ล่ะ!”

“จะให้พูดสาธยายตรงนี้”

“ไม่ต้อง!”

คราวนี้ข้าวยำเป็นฝ่ายยื่นหน้าเข้าหา แถมยังกระดิกนิ้วส่งสัญญาณให้ผมขยับหัวไปหามันด้วย

“กูเป็นรุก ไม่เคยคิดจะเป็นรับ!”

นั่นเป็นคำกระซิบที่ค่อนข้างจริงจังมาก

“และมึงทำลายศักดิ์ศรีของกูไปแล้ว!”

“แต่คืนนั้นมึงเป็นคนเริ่มต้นก่อน” ผมบอกเสียงเนือง “ถ้ามึงไม่เริ่ม เรื่องนั้นคงไม่เกิดขึ้นแน่”

คนฟังอ้าปากแล้วหุบอยู่หลายรอบ แต่สุดท้ายก็ย่นคิ้วตักข้าวเข้าปากโดยไม่พูดอะไรอีกเลย

หลังเติมอาหารเต็มท้อง ผมก็พาเด็กหลงทางมาส่งถึงจุดหมาย ก็จุดหมายเดียวกับผมนี่แหละ ข้าวยำต้องไปชั้นสี่ ส่วนของผมอยู่ชั้นสอง เข้าไปในห้องเรียนตอนนี้อาจเป็นจุดเด่น แต่ช่างมันเถอะ   

“ภู”

ผมหันไปแก้คำเรียกทันที “พี่ภู”

ข้าวยำขมวดคิ้ว แต่ก็ยอมเรียกตาม “พี่ภู...กระดากปากวะ”

“กระดากยังไงก็ต้องเรียกแบบนี้”

มันทำหน้ายุ่งใส่ แล้วพูดเข้าเรื่องทันที “กูขอให้มึงลืมเรื่องนั้นให้หมด”

“ยาก”

“ยากก็ต้องทำ!”

ผมมองหน้าจริงจังของน้องรหัสเพื่อน แล้วเผลอหลุดปากถามเรื่องอื่นออกไปแทน

“อยากให้กูเลี้ยงมึงไหม”

“ฮะ?”

“ถึงคิดว่าคงยุ่งยาก แต่กูกลับสนใจจะเลี้ยงมึงอยู่ดี”

ผัวะ!

หมัดแมวเหมียวทำแก้มซีกขวาของผมชาไปครู่หนึ่ง ส่วนคนปล่อยหมัดเดินโมโหขึ้นบันไดไปแบบไม่เหลียวกลับมา ผมดุนลิ้นข้างแก้ม สัมผัสรสสนิมของเลือดได้จางๆ

...ไม่อยากให้เลี้ยงก็น่าจะบอกกันดีๆ สิ

############

มีเรื่องจะแจ้งเล็กน้อยค่ะ
สำหรับเรื่องนี้จะใช้ชื่อแท็ก #แมวเถื่อนของพี่ภู กันนะคะ
และอีกไม่กี่วันก็ขึ้นปีใหม่แล้ว เราขอสวัสดีปีใหม่ล่วงหน้านะคะ

Happy New Year!
ขอให้ปี 2017 เป็นปีที่ดี
เป็นปีที่มีความสุขความเจริญทั่วหน้าค่ะ

 
ไว้เจอกันใหม่ปีหน้านะ ^_^
   

03/01/60 - แก้ไขคำผิด
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-11-2018 11:28:54 โดย KatzeP »

ออฟไลน์ oiruop

  • เ รื่ อ ง โ ง่ โ ง่ นี่ ฉ ล า ด นั ก ⊙﹏⊙∥
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 490
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-0
    • https://www.facebook.com/book.yaoi?fref=ts

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
อ่าฮะ........แมวเถื่อนของพี่ภู  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
ยำ คงเข็ด หลาบกลัวพี่ภูละสิ
เลยหลบหน้าหลบตา
แต่กลายเป็นเด่นออกหน้าออกตา
จนทำให้พี่ภูจับตาจับใจไปซะและ
ข้าวยำ ถูกจับตามอง ถูกจับจอง
วางแผนจะทำให้เป็นแมวของตัวเอง
แล้วจะเลี้ยงให้เชื่องซะด้วย
ว่าแต่วิธีทำให้เชื่อง มันทำยังไงน้า  :mew2:
คนอ่านจะได้เอาไปใช้บ้าง  :mew1: :mew1: :mew1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ uknowvry

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4438
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +284/-6
พี่ภูแม่งร้ายยยยย ยำพลาดละ

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3494
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
พี่ภูร้ายแล้วก็เจ้าเล่ห์มาก

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4015
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
หนีได้หนีไปเลยจ้าาาาา 555555555555555

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ BaGgYsOdA

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 87
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
แมวเถื่อนเอ้ยยยยย  :hao7:

ออฟไลน์ KatzeP

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-1
ก่อนวางกับดัก3: แมวเถื่อนเป็นอะไร?

 “ข้าว...”

เอ่ยไม่ทันจบ เจ้าของชื่อเล่น ‘ข้าวยำ’ ก็หมุนตัววิ่งหนีหายไปทันที ทิ้งคนเรียกอย่างผมขมวดคิ้วนิดๆ ยืนมองแผ่นหลังของรุ่นน้องเล็กลงเรื่อยๆ

หรือมันกลัวผมโกรธเรื่องโดนชกเมื่อวาน?

ช่วงบ่ายเจอกันด้วยความบังเอิญบนถนนเส้นเดิม ที่ต่างจากเมื่อวานคือมันมีเพื่อนเดินร่วมทางมาด้วย เพียงแค่ผมได้สบตากับมัน น้องรหัสเพื่อนก็หุบยิ้ม ทั้งกระโจนเข้ากลางวงเพื่อนฝูงปีหนึ่งชักชวนคนอื่นหันมาสนใจตัวมันจนหมด เลยไม่มีใครทันเห็นผมสักคน 

ผมหยุดเดิน มองเหล่ารุ่นน้องที่พากันส่งเสียงโหวกเหวกโต้เถียงอยู่เบื้องหน้าด้วยความประหลาดใจ

วันต่อมา ไม่ทันได้สบตาด้วยซ้ำก็เห็นข้าวยำโผเข้ากลางฝูงปีสองที่นั่งกินข้าวกันอยู่ในโรงอาหาร กะทันหันจนคนนั่งกินข้าวอยู่ตกอกตกใจกันหมด

“ไอ้ยำ พวกกูตกใจหมด!!”

“ผมขอกินข้าวกับพวกพี่ด้วยนะ”

“โดนเพื่อนทิ้งมาหรือไง”

“เปล่าสักหน่อย”

“ให้น้องมันนั่งกินด้วยเถอะน่า”

...ถ้าจำไม่ผิดนี่น่าจะเป็นปีสองกลุ่มภาคเครื่องกล

ผมละสายตาจากบรรดาใบหน้าเพื่อนรุ่นเดียวกันมามองเสี้ยวหน้าด้านข้างของน้องรหัสเพื่อนด้วยแววตาสงสัย

กำลังโดนมันหลบหน้าหรือเปล่า?

นึกแล้วก็เผลอย่นคิ้วเข้าหากัน นี่มันกลัวผมเอาคืนเรื่องโดนชกวันนั้นขนาดนี้เลยเรอะ

“ทะเลาะกัน?”

เสียงถามกะทันหันจากด้านหลังทำผมสะดุ้งนิดๆ หันไปดูก็เจอเต้กำลังมองหน้ากันตรงๆ ด้วยแววตาขัดข้องใจ มายืนอยู่ข้างหลังตั้งแต่เมื่อไหร่วะ!

“...ไม่เชิง” ได้แต่ตอบกลับไปอย่างอึกอัก

“เรื่องอะไร?”

“เอ่อ...ก็” ผมพ่นลมหายใจ เลือกตบบ่าเพื่อนไปเบาๆ “...ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอกน่า กูจัดการเองได้ มึงไม่ต้องห่วงหรอก”

คนฟังเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนพูดแค่สองคำ “...ขอโทษ”

“เรื่องอะไร” ผมงง เพราะฝ่ายที่ต้องขอโทษน่าจะทางนี้มากกว่า

“กูทำให้มึงลำบากใจ”

“ลำบากใจ?” ผมทวนคำ ครุ่นคิดครู่หนึ่งก็ร้องออกมาอย่างเข้าใจ “อ้อ เรื่องที่มึงให้กูดูแลข้าวยำ?”

เต้ผงกหัวยืนยันว่าเข้าใจถูกต้อง พอมันเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นแววตาบ่งบอกว่ากำลังรู้สึกผิด

“เฮ้ย อย่าคิดมาก ถ้ากูไม่พอใจคงไม่รับปากมึงไปหรอกน่า”

หลังผมพูดปลอบ สีหน้าเต้ก็ยังไม่เปลี่ยนจากเดิมนัก เพิ่มเติมคือมีความกังวลแทรกอยู่ด้วย

“ถ้าไม่ไหวก็บอกแล้วกัน”

“มึงจะหาคนอื่นมาดูแลแทนกู?”

เต้ส่ายหน้า แล้วถอนหายใจสั้นๆ “กูจะพยายามหาทางดูแลน้องด้วยตัวเอง”

ผมเป็นฝ่ายส่ายหน้าบ้าง “ไม่ไหวหรอก ยังไงมึงก็ต้องทำงานพิเศษ”

“ถ้ากู...ทำงานน้อยลง”

“ดีสิ” ผมตอบด้วยรอยยิ้ม “มึงเลิกทำงานเลยก็ได้ เดี๋ยวกูเลี้ยงมึงเอง”

เต้ย่นคิ้วใส่ผมทันที “...มึงเห็นกูเป็นอะไร?”

“แมวที่ออกเร่ร่อนมานานจนพอเอาตัวรอดได้บ้าง”

เพื่อนผมถอนหายใจทันที “กูไม่ใช่แมว และไม่ต้องการคนรับเลี้ยง”

แต่ผมกลับมองว่าถ้าไม่มีคนคอยดูแลแมวเร่ร่อนตัวนี้บ้าง มันคงอดตายเข้าสักวัน

“ภู” เต้เรียกผมด้วยน้ำเสียงจริงจังมาก “อย่าไปพูดว่าจะเลี้ยงใครเข้าล่ะ”

ผมเลิกคิ้วขึ้น “เหตุผล?”

“เพราะคนอื่นจะคิดว่าต้องมาเป็นเด็กเสี่ยให้มึงน่ะสิ”

คำตอบที่ได้ยินเสมือนสายฟ้าฟาดเข้าใส่ร่าง ก่อนภาพตัวเองโดนหมัดแมวเถื่อนเมื่อสองสามวันก่อนผุดเข้ามาในหัวให้ได้สะกิดใจ

หรือว่า...

“ไอ้ภู! เต้! ทางนี้โว้ย!”

เสียงเรียกของเอดึงผมออกจากภวังค์ เห็นพวกเพื่อนที่ล่วงหน้ามาจองโต๊ะก่อนโบกมือให้เห็นตัว ผมลากเต้เดินไปหาพวกมันก็เห็นแต่ละคนมีจานข้าวพร้อมกินอยู่เบื้องหน้าแล้ว

“ไปยืนคุยอะไรตรงนั้นตั้งนานวะ” กังหันถาม

“เรื่องของพวกกูน่า” ผมบอกปัดๆ ก่อนหันไปถามเพื่อนสนิทที่หยุดยืนอยู่ข้างๆ “มึงจะฝากกูซื้อไหม?”

เต้ส่ายหน้า แต่ไม่ทันได้เดินไปไหนก็โดนกังหันรั้งตัวไว้

“มึงจะไปทำไมเล่า มานั่งนี่เลย ปล่อยภูไปซื้อข้าวคนเดียวพอ”

พูดพลางโบกมือไล่ผมลับหลังเต้อีกต่างหาก คนพูดน้อยพยายามแย้ง แต่เมื่อคนฟังไม่สนใจเต้ก็หุบปาก หันมามองผมด้วยแววตาขอความช่วยเหลือแทน แต่ผมกลับเห็นด้วยกับกังหันเลยบอกเพื่อนสั้นๆ

“มึงรอนี่แหละ”

เมื่อไร้คนช่วยเต้ก็ถอนหายใจ ยอมนั่งรอโดยดี

-------------

ช่วงเย็นวันถัดมา...

ผมทำหน้าไม่สบอารมณ์ มองคนที่ตัวเองลงทุนมาดักรอถึงลานกิจกรรมคณะเดินเลี่ยงไปล้อมหน้าล้อมหลังกลุ่มรุ่นพี่ปีสามต่อหน้าต่อตา พวกเพื่อนที่ยืนอยู่ด้วยกันมองผมกับเด็กนั่นสลับไปมาด้วยแววตาสงสัย

“มึงไปทำอะไรน้องมันมาวะ” เอถามขึ้นคนแรก ตามด้วยกังหันที่ช่วยตอกย้ำอีกเสียง

“นั่นดิ คราวก่อนมึงหลบน้อง คราวนี้น้องหลบหน้ามึง นี่มันเรื่องอะไรกันแน่วะภู”

“ข้าวยำเข้าใจกูผิด” ผมตอบเรียบๆ

“เรื่องอะไร?”

ประสานเสียงกันมาเลย ผมกวาดตามองเอ กังหัน กลม เลยไปทางเต้ที่กำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง พอสบตากัน เพื่อนผมคนนี้ก็ย่นคิ้วให้เห็น

“...มึงไปถามน้องแบบที่ถามกูเมื่อวานมาเหรอ”

ฟังคำถามจากเต้แล้วก็ได้แตผงกหัวให้ คนฟังเลยถอนหายใจใส่ ส่วนเพื่อนอีกสามคนมองคนนั้นคนนี้แล้วพากันถามใหญ่
“เฮ้ย เรื่องไรวะ”

“อย่าทำเป็นรู้แค่สองคนดิ”

“ทำให้กูอยากรู้ แล้วไม่ยอมตอบไม่ได้นะโว้ย”

กังหันกับกลมไม่เท่าไหร่ แต่ไอ้เอนี่สิ ออกนอกหน้าจนผมยกมือตบหัวมันอย่างหมั่นไส้

“โอ๊ย ตบหัวหัวกูทำไมวะ!”

“เฮ้ยๆ อย่าทะเลาะกันตรงนี้นะโว้ย เดี๋ยวซวยกันหมด” กลมรีบร้องห้าม

“ภูแค่นิสัยเสีย ชอบคิดว่าคนเป็นแมวอยู่เรื่อย”

คำตอบจากเต้ทำให้ทุกอย่างหยุดชะงัก พวกมันสามตัวหันไปมองคนพูด แล้วทำหน้างงกันใหญ่

“กูขอคำอธิบายเพิ่มเติมหน่อย”

ผมมองเอแล้วพ่นลมหายใจ ไม่คิดตอบอะไรทั้งนั้น เต้ก็ไม่ตอบ เหล่าคนอยากรู้จนลงแดงเลยโอดครวญยกใหญ่ กระทั่งรุ่นพี่เรียกรวมตัว ประเด็นนี้เลยตกไปอย่างรวดเร็ว 

วันต่อมาพฤติกรรมแมวเถื่อนยังเหมือนเดิม วันต่อๆ มาก็เหมือนกัน

“ช่วงนี้แมวเถื่อนชอบเกาะติดอยู่ในกลุ่มคนเหลือเกิน”

เป็นประโยคพูดที่ใครๆ ก็รู้ว่าผมกำลังประชด

จะให้ไปลากตัวมันออกมาคุยด้วยกลางสายตาผู้คนก็ดูจะยุ่งยากเกินไป สุดท้ายก็มาตายรัง ณ จุดเดิมคือคอยสังเกตพฤติกรรมของมันไปเรื่อยจนกลายเป็นความบันเทิงรูปแบบหนึ่งในชีวิตของผมไปแล้ว

แต่บันเทิงก็ส่วนบันเทิง เพราะความหงุดหงิดที่ไม่มีอะไรคืบหน้ายังคงอยู่ ยิ่งผ่านมาหลายวัน เต้ผู้เฝ้ารอให้ผมไปจัดการแก้ความเข้าใจผิดก็ยังรอคอยความเปลี่ยนแปลงอย่างใจเย็น โดยไม่รู้เลยว่าสร้างความกดดันให้เพื่อนขนาดไหน

เพราะแบบนั้นผมเลยลองไปปรึกษากับคนอื่นแบบอ้อมๆ ดู ก็ได้คำตอบที่ไม่ค่อยช่วยอะไรเท่าไหร่กลับมา เช่น

วาวี: ถ้ามึงชอบและมันยังไม่มีเจ้าของก็จับใส่กรงหิ้วมาเลี้ยงที่บ้านสิ เดี๋ยวกูช่วยดูให้

NUT: ไปถามแมวเอา!

รู้ทั้งรู้ว่านัทประชด แต่ผมก็บ้าจี้ทำตาม จัดการส่งต่อคำถามไปหาข้าวยำทางไลน์ ทางนั้นเงียบหายไปตามคาด แต่ใครจะคิดว่าข้ามวันต่อมาข้าวยำดันมีคำตอบส่งมาให้จริงๆ ด้วยความสงสัยกึ่งสนใจเลยเข้าไปดูลิงค์เว็บไซค์ที่มันส่งมาให้ตั้งสามอัน พร้อมข้อความสั้นๆ เพียงสามคำ

YamYam: ไปอ่านเอง

กดเข้าดูเว็บไซค์แรกผมก็แทบสำลักลมด้วยความขบขัน กวาดตาอ่านเนื้อหา ‘ว่าด้วยวิธีง้อแมว’ แบบผ่านๆ อ่านจบก็มาเปิดดูลิงค์ที่สอง เป็นรีวิวขนมแมวเยอะมากจนผมตาลายเลยกดปิดไป แล้วเปิดดูลิงค์สุดท้ายแทน

‘คุณมีวิธีปรนเปรอเจ้านายของคุณยังไงบ้าง เชิญเหล่าทาสแมวทั้งหลายมาแชร์กันค่ะ’

ผมเผลอปล่อยหัวเราะอย่างอดไม่อยู่หลังอ่านหัวข้อจบ

“ฮ่าๆๆๆ”

เห็นแก่ความหวังดีของแมวเถื่อน ผมเลยนั่งไล่อ่านทุกคอมเม้นที่มาแสดงความเห็น ส่วนใหญ่แชร์จากประสบการณ์ตรง ทั้งมีภาพประกอบให้ชมดูด้วย จนมาสะดุดกรอบคอมเม้นหนึ่งซึ่งมีความยาวมากกว่าชาวบ้านเป็นเท่าตัว เยอะจนผมขี้เกียจอ่านเลยเลื่อนลงมาแบบผ่านๆ จนมาเจอภาพประกอบที่ทำเอาชะงักกึก

เป็นรูปถ่ายของเด็กชายวัยประถมต้นคนหนึ่ง กำลังนอนคว่ำหน้าวาดรูปโดยมีแมวสีส้มนอนพาดตัวทับก้น ที่ขาสองข้างก็โดนแมวแฝดสีเทาสองตัวกอดก่าย แม้แต่ตรงสีข้างก็ยังมีแมวขาวอีกตัวเบียดซุกไม่ไปไหน ด้านใต้พิมพ์คำบรรยายไว้สองบรรทัด

[ท่านหัวหน้ากับเหล่าลูกสมุนทั้ง4 - น้องชายผม (ในรูป) ประกาศลั่นบ้านว่าให้พี่อย่างผมเป็นทาสแมวไปคนเดียว ตัวเขาเองจะขึ้นเป็นหัวหน้าแมวเท่านั้น หลังรับตำแหน่งก็เป็นอย่างที่เห็นนี่ล่ะครับ]

ผมรีบเลื่อนเร็วๆ ลงมาดูชื่อคนโพส จนเห็นคำว่า ‘ทาสแมวนามวาวี’ ก็จัดการแคปหน้าจอเก็บหลักฐาน มองเวลาที่ยังอยู่ในช่วงพักเที่ยงก็ส่งไปให้ใครบางคนทางไลน์ด้วยอารมณ์กรุ่นๆ

Phu: ของมึงใช่ปะ?
วาวี: ใช่
วาวี: กูโพสไว้นานแล้วยังไปขุดเจออีก
Phu: เอารูปกูลงทำไมวะ! แถมนินทากูอีก
วาวี: นินทาที่ไหน แค่เล่าพฤติกรรมของมึงให้เหล่าทาสแมวฟังเฉยๆ หรอก
Phu: ลบเลย!
วาวี: เสียใจด้วยวะ กูจำชื่อล็อกอินกับพาสเวิร์ดไม่ได้แล้ว

แบบนี้ประจำ!

ผมนึกอย่างปวดหัว เพราะมีพี่ชายแบบนี้เนี่ยแหละ คนอื่นถึงได้เข้าใจผิดคิดว่าผมเป็นคนชอบแมวตั้งแต่ยังเล็กจนโต และมันแย่ตรงที่ใครๆ ก็มักให้ของเกี่ยวกับแมวมาทั้งนั้น ไม่ว่าจะของฝากก็ดี ของขวัญก็ดี เมื่อผมไม่เอาจึงเสร็จพี่วีหมด

ชั่วร้ายตั้งแต่เด็กจริงๆ

ได้แต่สูดลมหายใจเข้าออก พยายามทำใจให้สงบลง และนึกถึงข้อดีอย่างเช่น พี่ชายช่วยชดเชยด้วยการเก็บเงินค่าขนมไปซื้อของที่ผมอยากได้มาให้ แม้ทำให้แม่เข้าใจผิดจนโดนต่อว่าเรื่องเอาแต่ใจกับพี่มากไปจนโดนหักค่าขนมเพื่อเอาเงินส่วนนั้นไปแบ่งจ่ายค่าของที่ซื้อมาคืนพี่วีเป็นงวดๆ ก็ตามเถอะ

ฮึ่ม! เกิดเป็นน้องต้องอดทน!

แต่พี่ชายไม่เคยเข้าใจน้อง ถึงได้ส่งข้อความมาถามกันในเวลานี้ที่แค่เห็นอะไรก็ตามที่เกี่ยวกับวาวี ผมก็พาลหงุดหงิดไปหมด

วาวี: นึกยังไงถึงไปหาวิธีปรนเปรอแมว?
Phu: เรื่องของกู   
วาวี: อยากไปปรนเปรอลูกน้องตัวไหนเข้าล่ะ
Phu: ไม่ใช่ตัวที่บ้านแล้วกัน
วาวี: อ้อ ไปเจอข้างนอกสินะ เป็นแบบไหนล่ะ
Phu: แบบที่มึงไม่ชอบแน่ๆ ไง
วาวี: น่าสนใจ พามาให้กูดูหน่อย
Phu: จำเป็น?
วาวี: มาก เพราะกูอยากเห็น

มาแล้วคำบัญชาของทาสแมวอันดับหนึ่งประจำบ้าน

วาวี: หรือมึงอยากซมซานมาทำงานพิเศษกับกูแทน

นี่คือคำขู่หักค่าขนม

ผมกัดฟันกรอด แต่พอในหัวนึกถึงสีหน้าพี่วียามพาแมวเถื่อนไปให้ดูตัว อารมณ์ก็ถูกเปลี่ยนฉับไว รื่นเริงในใจขึ้นมาฉับพลัน ทั้งรู้สึกอยากอุ้มแมวเถื่อนไปเลี้ยงดูมากกว่าเดิมหลายเท่าตัว

...ติดแต่ว่าแมวไม่ยอมเนี่ยแหละ

เอาเถอะ แค่อุ้มกลับบ้านสักวันสองวันจะเป็นอะไรไป

ผมหัวเราะในคอ พลางพิมพ์ข้อความส่งไป

Phu: พร้อมเมื่อไหร่จะพาไปให้มึงดูตัว

-------------

มีคนเคยบอกผมว่าหากไล่ตามโอกาสมากไป โอกาสจะหนีหาย แต่เมื่อปล่อยวาง โอกาสจะมาเยือน

...อาจจะจริงก็ได้

ผมเห็นแมวเถื่อนแปลงร่างเป็นลิงปีนขึ้นต้นไม้ โดยมีกลุ่มเด็กปีหนึ่งสี่คนส่งเสียงลุ้นระทึกอยู่ด้านล่าง

ไหนๆ ก็บังเอิญเจอแล้วเลยหยุดยืนดูด้วยความสนใจกึ่งอยากรู้ว่า เด็กพวกนั้นกำลังทำบ้าอะไรกัน

“อีกนิดโว้ยยำ อีกนิด...”

“พวกมึงก็อย่าตะโกนดิ” คนบอกต้นไม้ก้มหน้าลงมาบอก “มันตกใจเสียงพวกมึงจะแย่อยู่แล้ว”

คำพูดนั้นทำให้ผมสังเกตเห็นลูกสัตว์ตัวเล็กขนลายๆ สีส้มๆ เพ่งดูดีๆ ถึงเห็นว่าเป็นลูกแมว

มาจากไหนล่ะนั่น

ลิงบนต้นไม้กระดืบๆ ตามกิ่งไม้ พยายามยื่นมือคว้าแมวส้มที่ถอยแล้วถอยอีกจนหมดทางหนี จึงเริ่มพองขนส่งเสียงขู่ตามประสาสัตว์จนมุม

“มาทางนี้เถอะน่า เจ้านายแกอยู่ข้างล่างนั่นไง”

พูดถึงตรงนี้ข้าวยำก็ส่งสายตาคาดโทษให้กลุ่มคนที่ยืนรอด้านล่างวูบหนึ่ง ก่อนหันไปสนใจแมวต่อ ทั้งส่งเสียงหลอกล่อทั้งพยายามยื่นมือคว้าตัวแมวให้ได้ แต่ผลลัพธ์คือโดนเจ้าส้มข่วนมือเข้าให้

“โอ๊ย”

จังหวะข้าวยำชักมือข้างที่เจ็บกลับมา ลูกแมวนั่นก็รีบกระโจนเข้าหา เท้าทั้งสี่ปะทะหัวคนพยายามช่วย ใช้เป็นแท่นกระโดดข้ามลงมาบนเหยียบหลัง แล้ววิ่งมาเกาะลำต้นไม้ไถลตัวลงมาถึงพื้นได้ก็พุ่งกระโจนเข้าหาใครคนหนึ่งในกลุ่มคน

“ไหงว่ามันลงมาเองไม่ได้ไงวะ” คนบนต้นไม้ตะโกนถามเสียงขุ่น “พวกมึงรวมหัวกันหลอกกูนี่หว่า!”

“เฮ้ย! กล่าวหา!”

“ก่อนหน้านี้มันลงไม่ได้จริงๆ นะโว้ย”

หลายคนที่อยู่ด้านล่างรีบโต้เถียงกลับไปทันที คนอารมณ์บูดปีนลงจากต้นไม้บ้าง ลงมาได้ก็เขม่นตาใส่เจ้าของแมวที่กำลังทำหน้าเจื่อน

“มึงก็เหมือนกัน ขนแมวมามอทำไม”

 “กูเอามันมาหาสัตว์แพทย์” เจ้าของแมวตอบคนโดนข่วน

“อย่าไปโทษไอ้นา เป็นความผิดกูเองที่เอาแมวออกจากกระเป๋า”

คนช่วยพูดกับเจ้าของแมวเป็นรุ่นน้องหญิงแสนหายากในหมู่เด็กวิศวะ เจ้าของแมวก็เช่นกัน ผมเลยไม่ค่อยแปลกใจที่เด็กเพศชายคนอื่นพยายามช่วยพูดปลอบใจคนได้แผลให้หายโกรธ

“เอาน่ามึง นี่พวกกูเอาเจ้าส้มนั่นกลับลงกระเป๋าแล้วไง”

ไม่พูดเปล่าชี้นิ้วไปที่กระเป๋าสัตว์เลี้ยงสีสดใสที่ข้างในมีเจ้าของเสียงร้องประท้วงแทรกมาเป็นระยะ

“รับรองไม่มีใครอุตริไปปล่อยมันออกมาอีกแล้ว”

คนโดนด่ากลายๆ หันขวับค้อนใส่คนพูดทันที “กูผิดเหรอที่อยากให้แมวออกจากที่แคบมาเผชิญโลกกว้าง!”

“เออ!!”

หลายเสียงประสานจนคนปล่อยแมวอ้าแล้วหุบปากอยู่หลายรอบ ก่อนทำหน้ามุ่ยเมื่อหนึ่งในนั้นชี้ไปที่ฝ่ามือคนเพิ่งได้แผลมา

“ยำเจ็บตัวเลยเห็นไหม”

คนถูกชี้พูดแทรกทันที “เจ็บตัวไม่เท่าไหร่ แต่เสียแรงปีนขึ้นไปเอามันลงมานี่ดิ กูต้องซักเสื้อเองนะโว้ย”

ไม่พูดเปล่า มือข้างไม่เจ็บยังดึงเสื้อเชิ้ตสีขาวบนตัวให้เพื่อนๆ เห็นรอยเปื้อนจากการเอาตัวไปไถลกับกิ่งไม้ให้เห็นกันชัดๆ แม้สีหน้าคนเจ็บตัวจะเอาเรื่องอย่างยิ่ง แต่บรรยากาศกลับหายเครียด เหล่าคนฟังบางส่วนส่ายหัวระอา บางคนหัวเราะขำพลางพูดหยอกล้ออย่างผ่อนคลาย

“กลับหอเมื่อไหร่มึงถอดเสื้อใส่ถุง เก็บมาให้ดาซักให้มึงก็จบ”

“กูเรอะ!”

“เออ! เพราะมึงเป็นคนปล่อยแมวออกมา!”

ผมเดินเงียบๆ ไปยืนด้านหลังข้าวยำ น้องหลายคนเห็นผมก็เปิดตากว้าง พากันหุบปากฉับ เหลือเพียงคนไม่เห็นที่พูดทวงขอความเป็นธรรมไม่เลิก

“ถูก เพราะฉะนั้นใครก็ได้ช่วยพากูไปทำแผลทีดิ”

คนไม่รู้ตัวยังบ่นต่อ

“ไม่รู้กูต้องโดนฉีดยาด้วยหรือเปล่า ชักกลัวแล้ววะ”

“งั้นไปกับกู” ผมว่าเรียบๆ ใกล้หูคนเจ็บ แต่คนเพิ่งรู้ถึงตัวตนของผมถึงกลับสะดุ้งโหยง แทบจะกระโดดถอยหนีไม่คิดชีวิต  แต่ติดที่ถูกผมคว้าแขนรั้งตัวไว้ซะก่อน มันเลยหนีไปไหนไม่ได้

“สวัสดีครับ/สวัสดีค่ะ”

กลุ่มปีหนึ่งยกมือไหว้ผมได้พร้อมเพรียงมาก ยกเว้นเด็กที่โดนผมจับท่อนแขนไว้แน่น มันทำท่าอยากจะหนีเต็มแก่ แต่พอทำไม่ได้ก็ทำหน้าอึกอักพลางกวาดตามองหาหนทางรอด ผมมองอาการนั้นด้วยความสมใจ แล้วหันไปยิ้มเล็กๆ ให้รุ่นน้องร่วมคณะทั้งหลาย

“เดี๋ยวพี่พาเพื่อนเราไปหาหมอเอง รถของพี่จอดอยู่ใกล้ๆ นี้”

“เอ่อ...” กลุ่มปีหนึ่งดูลังเลใจ ต่างมองหน้ากันไปมาครู่ใหญ่ค่อยหันหน้ามาทางผม

หนึ่งในนั้นพูดขึ้นมาอย่างเกรงใจ “งั้นฝากด้วยนะครับ”

“เฮ้ย! พวกมึงอย่าทิ้งกู…”

ผมพยักหน้าให้คนพูดฝาก เมินเสียงโวยวายของคนเจ็บ แล้วตวัดแขนล็อกคอน้องรหัสเพื่อนเข้ามาชิดตัว จัดการลากข้าวยำออกมาทันที

ถึงอย่างนั้นน้องรหัสเพื่อนก็ยังหอนไม่เลิก

“ใครก็ได้ช่วยกูด้วย~”

############
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-11-2018 11:27:53 โดย KatzeP »

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3494
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
ข้าวยำกลัวหมอกลัวเข็ม โถ~ น่าเอ็นดูจริงๆ
พอพี่ภูจับไปฉีดยาคงงอนพี่เค้าใหญ่เลยสิ 55555

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4365
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26
อ่านพาร์ท ภู แล้วรู้สึกว่าข้าวยำน่ารัก 5555

ออฟไลน์ EoBen

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3322
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +150/-6
ยำคนละมุมมองของเรื่องนู้นเลย

เรื่องนี้โคตรดื้อ โคตรน่าแกล้ง ทีดูสายแข็งไปเลย 55555

ออฟไลน์ Celestia

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 833
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
น้องโคตรน่าแกล้งอะ

ออฟไลน์ rinny

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 517
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
อีพี่ภู!! อีคนเจ้าแผนการ!! จะเลี้ยงแมวทั้งทีใครเค้าให้ใช้กำลังขนาดนั้นห้ะ? สงสารยำแล้วสิเนี่ย เจ้าแมวเถื่อนเอ้ย
แต่ยำนี่ก็ดื้อได้เรื่องเหมือนกันนะ เห็นนางน่ารักแบบนี้ดื้อทีก็น่าปวดหัวใช่ย่อย คู่นี้เค้ารักกันด้วยลำแข้งป่ะคะ55555

ออฟไลน์ BaGgYsOdA

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 87
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

ออฟไลน์ KatzeP

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-1
ก่อนวางกับดัก4: รอยยิ้มกับความน่ารัก


“ไหนว่ารถจอดอยู่ใกล้ไงวะ!”

“ก็ไม่ได้บอกว่าไกล”

“อย่ามากวนตีน กูไม่ไปกับมึงแน่!!”

“ช้าไปหรือเปล่า”

ผมบอกเสียงเรียบระหว่างกดปลดล็อกประตูรถ แล้วหันไปมองแมวพองขนพยายามขู่แฟ่ๆ ใส่กัน

“มึงก็เห็นว่าระหว่างทางมีคนมาทักตั้งเยอะแยะ”

ผมพูดจริง ตลอดทางข้าวยำแหกปากร้องลั่นดุจจะโดนผมจับตัวไปเชือด เลยมีรุ่นพี่ เพื่อนร่วมรุ่น รวมถึงรุ่นน้องบางคนเดินเข้ามาสอบถามไม่หยุดหย่อน จนผมอยากเอาคำตอบพิมพ์ใส่ไลน์กรุ๊ป เผื่อข่าวกระจายต่อๆ กันไปจะได้เลิกมีคนเข้ามาถามสักที

“แล้วดูดิ มีใครอาสาไปส่งมึงเหมือนกูบ้าง”

พอผมงัดเอาเรื่องนี้มาพูด คนฟังก็ทำได้แค่อ้าปากพยายามจะเถียงกลับ แต่ไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมา สุดท้ายก็หุบปากเงียบกริบ

ผมนึกอยากหัวเราะใส่นัก น้องรหัสเพื่อนไม่คิดเฉลียวใจเลยสักนิดว่า ที่ไม่มีใครกล้าอาสาเอาตัวแมวเถื่อนไปหาหมอแทน เพราะผมบอกอยู่ชัดๆ ว่ากำลังจะพามันไป คนที่รู้เรื่องก็มีแต่บอกให้รีบพาไปด้วยเป็นห่วงมันทั้งนั้น

เมื่อได้ชัยชนะมา ผมก็เปิดประตูข้างคนขับให้ พูดกับข้าวยำเสียงราบเรียบ

“จะขึ้นไปนั่งดีๆ หรือจะให้กูถีบมึงเข้าไป?” 

มันพยายามต่อต้านจนผมยกขาขึ้นมาโชว์ว่าถีบจริงแน่ เด็กนั่นถึงได้รีบขึ้นไปนั่งด้วยตัวเอง

หึ

ผมผลักประตูปิด เดินอ้อมไปขึ้นอีกฝั่ง แล้วรีบขับรถพาเด็กบางคนไปหาหมอที่ใกล้ที่สุด ซึ่งไม่พ้นโรงพยาบาลในเครือมหาวิทยาลัย

ขับมาระยะหนึ่งถึงรู้สึกว่าในรถเงียบผิดปกติ เลยเหลือบคนนั่งข้างๆ พบว่าแมวเถื่อนกำลังประท้วงด้วยการยกมือกอดอก หันหน้ามองวิวผ่านกระจกรถ จากเงาสะท้อนในบางจังหวะทำให้ผมเห็นริมฝีปากข้าวยำขยับมุบมิบไร้เสียงประหนึ่งกำลังสวดสรรเสริญผมอยู่

...เด็กเป็นบ้า

นึกขำกึ่งระอาคนพยายามต่อต้านให้ถึงที่สุดอยู่ในใจ แล้วนึกได้ว่ามีเรื่องต้องคุยกับมัน และนี่ก็เป็นโอกาสดีมาก เพราะไม่ว่ามันอยากฟังหรือไม่ก็หนีไปไหนไม่ได้ ผมจึงเริ่มเกริ่นทวนความจำกันเล็กน้อย 

“วันนั้นกูบอกจะรับเลี้ยงมึง...”

คนฟังหันขวับกลับมาทันที “มึงยังจะกล้าพูดเรื่องนี้อีกเรอะ! วันนั้นหมัดกูเบาไปใช่ไหม!”

ผมถอนหายใจให้มันเห็นชัดๆ “มึงกำลังเข้าใจผิด”

“ผิดบ้าอะไร! กูไม่มีทางไปเป็นเด็กของมึงแน่!!” 

นั่นไง!

ผมตัดสินใจผ่อนคันเร่งลง เตรียมพูดเรื่องนี้ให้กระจ่างชัด

“กูไม่ได้คิดจะให้มึงเป็นเด็กกู”

“กล้าพูดนะว่าไม่คิด งั้นถามหน่อยมึงจะเอากูไปเลี้ยงฟรีๆ โดยไม่ทำอะไรเลยเรอะ?”

คำพูดของข้าวยำทำให้ผมพิจารณาเรื่องนี้ใหม่ และคำตอบออกมาว่า

“...ไม่”

“นั่นไง” แววตาแมวเถื่อนแม้ยังโมโหหนัก แต่กลับแอบเปล่งประกายถึงชัยชนะวูบหนึ่ง “แล้วการต้องขึ้นเตียงกับมึง แลกกับได้รับการเปย์ทุกอย่างจากมึง มันต่างจากเป็นเด็กของมึงตรงไหนไม่ทราบ?”

ผมคิดตามก็พบว่าข้าวยำพูดถูก เพียงแต่ว่า...

“ที่สำคัญสุด กูจะไม่นอนกับมึงอีกแล้ว!!”

แมวเถื่อนประกาศเจตนารมณ์ลั่นรถจนหูผมแทบดับ หลังจากนั้นมันก็หันไปมองหน้าต่างเหมือนเดิม ไม่สนใจผู้ร่วมทาง และไม่ยอมพูดอะไรอีก

เห็นท่าทางของแมวเถื่อนในเวลานี้ก็นึกอยากถอนหายใจอีกครั้ง

เอาเถอะ ในเมื่อบอกไปก็เท่านั้น ไม่ต้องแก้ความเข้าใจผิดอะไรแล้วก็ได้

ไม่นานตึกโรงพยาบาลที่เป็นเป้าหมายเริ่มปรากฏอยู่เบื้องหน้า ไอ้คนนั่งเงียบมานานกลับขยับตัวยุกยิกเหมือนไม่สบายตัว ท่าทางผิดสังเกตจนต้องอ้าปากถาม

“ของฝากจากลูกแมวแผลงฤทธิ์แล้วหรือไง”

“ไม่ใช่”

“แล้วเป็นอะไร?”

ไม่มีคำตอบ มีเพียงอาการกรอกตาไปทางนู้นทีทางนี้ที...ท่าทางดูคุ้นๆ ตาชอบกล

อ้อ ท่าเดียวกับตอนที่คิดหาทางหนีผมไม่มีผิด

ลอบสังเกตอยู่เงียบๆ พบว่ายิ่งเข้าใกล้ตึกโรงพยาบาลมากเท่าไหร่ อาการเลิ่กลั่กของแมวเถื่อนก็มีมากขึ้นตามลำดับ เป็นเหตุให้ต้องละทิ้งความคิดที่กะจอดหน้าทางเข้าตึกให้มันลงไปทำเรื่องติดต่อก่อน เพราะขืนให้ข้าวยำลงไปคนเดียว มันคงชิ่งหนีก่อนได้เจอหน้าหมอแหงๆ

และสิ่งยืนยันว่าผมคิดถูกคือการที่ไอ้คนนั่งกระสับกระส่ายมาหลายนาทีพูดโพล่งออกมากะทันหัน

“กูว่าไม่ต้องมาหาหมอหรอก แผลเล็กนิดเดียวเอง!”

มีชูฝ่ามือให้ผมเห็นแผลสามรอยจากเล็บแมวชัดๆ ด้วย มันไม่ได้พูดโกหก แผลเล็กกว่าที่คิดจริงๆ แต่ก็ลึกพอทำให้เลือดออกหน่อยๆ

“ยังไงก็ควรไปให้หมอดูก่อน”

ผมตอบทั้งที่กำลังถอยรถเข้าช่องจอด

“กูบอกว่าไม่ต้องอยู่นี่ไง!”

คนเจ็บยืนยันเสียงแข็ง ท่าทางชวนขบขันจนผมเผลอยิ้มออกมาวูบหนึ่ง ก่อนกลับไปตีหน้าเฉยชาอย่างเดิม

“มึงไม่ใช่หมอก็อย่าคิดเอาเอง”

ผมดับเครื่องยนต์ เตรียมเปิดประตูลงจากรถโดยไม่สนใจคำทักท้วงอะไรทั้งนั้น

“รีบตามกูลงมาเร็วๆ ไม่งั้นกูจะหิ้วมึงไปหาหมอเองแน่”

คนที่ยังอยู่ในรถคงไร้ทางเลือกถึงได้เปิดประตูตามลงมาด้วยสีหน้าเครียดหนัก ด้วยความที่ผมไม่ไว้ใจเลยดันหลังให้คนตัวเล็กกว่าเดินนำหน้า เกิดมันวิ่งหนีขึ้นมาจะได้คว้าตัวไว้ทัน

“เดินไปๆ”

ข้าวยำฝืนฝีเท้าไว้เต็มที่ แถมยังพลิกตัวมาอยู่ข้างๆ มีกระตุกชายเสื้อกันอีกต่างหาก

“กะ กูว่าเรากลับกันเถอะ นะๆ”

ท่าทางข้าวยำตอนนี้เหมือนเด็กกำลังออดอ้อนขอของบางอย่างจากผู้ใหญ่ไม่มีผิด

ผมแอบเก็บสีหน้าถูกใจไม่ให้มันเห็น พลางตีหน้าถามด้วยเสียงติดเย้ยนิดๆ

“มึงกลัวหมอ?”

“ใครกลัว!”

“ไม่กลัวก็เดินนำไป”

ขาคนตัวเล็กกว่าไม่ยอมขยับสักที ผมจึงทำเสียงหึในลำคอ

“มึงแค่ปากดีล่ะสิ”

คนโดนแดกดันทำหน้าโมโหใส่ “กูบอกว่าไม่กลัวก็ไม่กลัวสิ!”

ไม่พูดเปล่า ข้าวยำเดินจ้ำอ้าวตรงไปทางตึกสีขาวแบบไม่คิดจะรอกันสักนิด

“หึๆๆ”

ผมหัวเราะขำคนยุขึ้นเบาๆ พลางก้าวเท้าตามไปด้วยฝีเท้าที่เร็วกว่าปกติเล็กน้อย ไม่นานก็เดินตามทันคนนำหน้าอยู่ดี ครั้งก่อนเป็นแบบนี้เหมือนกันเลยอดเปรยในใจไม่ได้

แมวเถื่อนของผมขาสั้นจริงๆ 

หลังติดต่อกรอกประวัติเรียบร้อย ผมจึงลากข้าวยำเข้าห้องน้ำใกล้ๆ จัดการช่วยฟอกแผลด้วยสบู่แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาดตามที่พยาบาลแนะนำมา เสร็จแล้วก็ลากตัวคนเจ็บตามพยาบาลไปห้องทำแผล

“นั่งรอตรงนี้สักพักนะคะ”

ครู่หนึ่งมีพยาบาลสาวยกถาดอุปกรณ์มาวางบนโต๊ะใกล้ๆ ด้านหลังมีผู้ชายสวมเสื้อกราวน์สีขาวเดินตามมา แต่พอเห็นหน้ากันชัดๆ ผมก็เลิกคิ้วขึ้นสูง

“อ้าว...น้องของพี่วีนี่”

ผมยกมือไหว้น้องของเพื่อนพี่ชาย รู้สึกเหมือนไม่ได้เห็นหน้านาน ล่าสุดได้ยินจากพี่วีว่าเรียนหนักมาก

“...พี่ฟานเรียนจบแล้ว?”

คนถูกถามหัวเราะเบาๆ “ใกล้ล่ะ แล้วภูสบายดีไหม?”

“ก็เรื่อยๆ ครับ”

ตอบพลางมองคนรู้จักในสภาพหมอด้วยความอึ้งหน่อยๆ ถึงจะรู้ว่าอีกฝ่ายเรียนหมอมา แต่พอได้เห็นสภาพตอนทำงานกลับรู้สึกว่าพี่ฟานแปลกตาไปจากปกติมากจริงๆ คุยอีกสองสามประโยคคนเป็นหมอก็หันไปสนใจคนไข้ของตัวเองบ้าง

“ไหนขอหมอดูแผลหน่อยครับ”

ตอนนี้เองที่ผมเห็นว่าข้าวยำนั่งตัวแข็งทื่อ พี่ฟานฉีกยิ้มเป็นมิตรอยู่เมื่อหนึ่งถึงกับหันมาเลิกคิ้วมองผมเป็นเชิงถาม ได้แต่ส่ายหน้าสื่อว่าไม่รู้ แล้วจับมือข้าวยำส่งให้หมอดูแทน แค่ผิวเนื้อแตะโดนถุงมือยางคนเจ็บตัวมาก็นั่งตัวสั่นระริก

...นี่น่ะหรือที่บอกไม่กลัวหมอ 

ผมแอบส่ายหน้าเล็กน้อย ในหัวผุดภาพตอนโดนพี่ชายใช้ให้พาแมวไปโรงพยาบาลสัตว์ขึ้นมาทันที ตอนจอมซนพวกนั้นโดนอุ้มไปวางบนเตียงตรวจต่อหน้าสัตวแพทย์...

เหล่มองอาการคนโดนหมอส่งมือให้พยาบาลที่รออยู่ข้างๆ ทำแผลต่อ

แม่ง ออกอาการเดียวกับแมวพวกนั้นเลย

“ภูมาคุยกับพี่แทนคนป่วยแล้วกัน”

ผมออกจากภวังค์หันไปพยักหน้ารับ คอยอ้าปากตอบคำถามแทนคนป่วยที่เหมือนสติหลุดออกจากร่างชั่วคราว ดีที่ก่อนหน้านี้ข้าวยำกรอกรายละเอียดไว้ครบถ้วน ผมเลยไม่ต้องสะกิดปลุกสติคนเจ็บให้ตอบคำถามในเรื่องที่ไม่รู้ พอหมดคำถามผมก็ปล่อยให้แพทย์วินิจฉัยว่าควรฉีดยาไหม

“จากประวัติรักษาที่กรอกมา หมอว่า...สักสองเข็มก็พอ”

คำตอบที่ได้มาทำข้าวยำสะดุ้งเฮือก สติกลับคืนสู่ร่างแบบฉับพลัน

“หมอครับ!”

คนโดนเรียกเสียงดังสะดุ้งเล็กน้อย “ครับ?”

“ผมไม่ฉีดยาได้ไหมครับ!”

ผมเหล่มองคนข้างๆ ถึงแม้ฟังดูเป็นประโยคคำถาม แต่น้ำเสียงเหมือนข่มขู่ให้หมอตอบว่า ‘ได้’ ยังไงอย่างนั้น พี่ฟานเพียงแค่ยิ้มใจดีให้ ก่อนหันไปบอกให้นางพยาบาลเตรียมของต้องใช้ให้พร้อม แค่นั้นแหละ คนป่วยที่เพิ่งทำแผลเสร็จก็ลุกพรวดกะทันหัน แถมตั้งท่าจะวิ่งหนีอีก ดีที่ผมคว้าตัวทันเลยจัดการอุ้มพาดบ่าป้องกันการหลบหนีอีกรอบ ไม่ใช่อะไรหรอก ผมขี้เกียจออกแรงวิ่งไล่จับ

“ปล่อยกูนะ ปล่อยกู!”

มันทั้งดิ้นทั้งโวยวายจนผมเกือบเอาไม่อยู่ ได้แต่พูดดุเสียงเข้ม แต่มันฟังซะที่ไหน ร้องโวยวายเสียงดังจนคนในห้องนั้นหันมามองกันหมดแล้ว

“บอกให้ปล่อยไงวะ!!”

“เงียบ! แล้วเลิกดิ้นได้แล้ว!!”

ผมตวาดใส่เสียงดังไม่แพ้กันจนคนมองมาสะดุ้งตามเป็นแถบ คนที่ตั้งสติได้ไวสุดคือพยาบาลที่เหมือนทำงานมาหลายปี เธอรีบชี้ไปที่เตียงใกล้ๆ พลางส่งยิ้มปลอบใจกึ่งขำมาให้ ผมได้แต่ยิ้มเนืองๆ ตอบกลับ แล้วแบกตัวคนสงบลงชั่วคราวไปวางบนเขียง เอ้ย เตียงเล็กใกล้ๆ

แต่พอปล่อยตัวปุ๊บ ข้าวยำก็รีบพลิกตัวลงจากเตียงเตรียมหลบหนีปั๊บ

“จะหนีไปไหน!”

ผมตะครุบตัวได้ก็ลากข้าวยำกลับมานอนคว่ำบนเตียงอีกรอบ คราวนี้เพิ่มแรงกดทับจนมันร้องโวยวายไม่หยุด

“จับไว้ดีๆ นะภู”

ผมขานรับพี่ฟาน ตาจับจ้องเข็มฉีดยาที่กำลังเตรียมพร้อมใช้งานในมือพยาบาลไปด้วย

งานนี้มีคนโดนจับฉีดยาที่ตูดแน่นอน!

พอละสายตาจากกระบอกเข็มก็เห็นอาการดิ้นรนไม่เลิกของคนใต้ล่าง ในหัวดันมีภาพบางอย่างซ้อนทับขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่จนตัวเริ่มร้อนไปด้วยอาการอยาก แต่เพราะสถานที่ไม่อำนวยเลยทำได้แค่ก้มลงกระซิบเสียงแผ่วเบาข้างหูคนเจ็บ

“มึงจะกลัวอะไรหนักหนา ในเมื่อกระบอกฉีดยาของกูอันใหญ่กว่าเข็มฉีดยาในมือหมอตั้งเยอะ”

คนได้ยินถึงกลับหยุดดิ้นดื้อๆ แต่ปากนี่สิ ร้องด่าผมเสียงดังสนั่นห้อง

“ไอ้เหี้ยพี่ภู!!”

ทางพี่ฟานเห็นคงท่าไม่ดีก็รีบพยักหน้าส่งสัญญาณให้ผมจับล็อกตัวคนป่วยไว้ดีๆ หลังจากนั้นผมรู้สึกราวกับตัวเองพาแมวที่บ้านมาฉีดวัคซีนกับหมอจริงๆ โดยเฉพาะต้องออกแรงจับตัวให้อยู่นิ่งๆ เนี่ย

“โอเค เสร็จแล้ว ภูพาคนไข้พี่ไปรอด้านนอกได้เลย”

ผมขานรับ มองคนโดนฉีดยาหมาดๆ นอนแน่นิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก็ออกแรงช้อนตัวมันขึ้นมาอุ้มปลอบขวัญ แบบเดียวกับที่ทำกับจอมซนมีขนทั้งหลาย คนสิ้นฤทธิ์ยอมให้ผมอุ้มอย่างง่ายดาย แถมยังซบหน้ากับไหล่ผมโดยไม่มีท่าทีหืออืออะไรทั้งนั้น

เดินมาถึงโซนนั่งพักสำหรับรอเรียกชื่อไปจ่ายเงินรับยา ผมก็วางคนตัวหนักกว่าที่คิดลงบนเก้าอี้ พยายามระวังก้นให้คนโดนเข็มจิ้มมา พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นสีหน้าข้าวยำเหมือนอยากร้องไห้เต็มแก่ ผมพยายามกลั้นหัวเราะเต็มที่ มือก็ลูบหัวปลอบใจคนขวัญเสียไปพร้อมกัน

...ผมมันนิ่มวะ

ผมละมือออกอย่างเสียดายหน่อยๆ แต่จำต้องหยิบโทรศัพท์มือถือมาโทรออก เตรียมส่งข่าวบอกเพื่อนตัวเอง...ก็พี่รหัสไอ้คนข้างๆ นี่แหละ ปลายสายกดรับโดยไม่พูดอะไรสักคำ ทำแค่ฟังผมอยู่ฝ่ายเดียว ทางผมแอบได้ยินเสียงอาจารย์กำลังบรรยายเนื้อหาแทรกเข้ามาด้วยเหมือนกันเลยรีบพูดธุระให้จบ ก่อนตัดสายก็ได้ยินถ้อยคำสั้นๆ จากเต้แค่สองคำ

‘ฝากด้วย’

พวกผมนั่งรออยู่พักใหญ่ก็มีเสียงประกาศชื่อจริงของข้าวยำ ผมลุกขึ้นกะไปเองคนเดียว ให้คนป่วยได้นั่งพักอีกสักหน่อย แต่ดันถูกอะไรบางอย่างดึงรั้งตัวไว้ พอหันไปมองก็เจอข้าวยำกำชายเสื้อผมไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้

“...ทีอย่างนี้มารั้งกูนะ”

พูดแดกดันใส่เล็กๆ เพราะยังเคืองไม่หายที่โดนหนีหน้าประหนึ่งผมเป็นสัตว์ประหลาดที่ไม่ควรเข้าใกล้

“...” คนฟังก้มหน้าเงียบกริบ

ผมมองเพียงอึดใจเดียวก็แกะมือมันออกจากเสื้อ ข้าวยำเงยหน้ามองผมทันที แววตาสั่นไหวมากกว่าเช้าวันที่มันตื่นมาเจอผมนอนเปลือยอยู่ข้างๆ ซะอีก

“ลุกสิ จะได้ไปจ่ายเงินเอายา แล้วกลับกันซะที”

คนฟังนิ่งไปอึดใจหนึ่ง ก่อนคลี่ยิ้มให้ผมเป็นครั้งแรก

ม...มันก็แค่รอยยิ้มจริงใจธรรมดาจะไปตื่นเต้นกับมันทำไม!

ผมรีบคว้ามือข้าวยำดึงกึ่งจูงไปจ่ายเงินและรับยาด้วยกัน แต่ในใจก็อดครุ่นคิดถึงรอยยิ้มเมื่อครู่ไม่ได้

ทำไมรู้สึกเหมือนไม่ได้เห็นนานแล้ว...ไปเคยเห็นตอนไหนนะ?

คิดอยู่นานจนจ่ายเงินรับยาเรียบร้อยก็ยังนึกไม่ออก กระทั่งเดินจะถึงรถแล้วนั่นแหละถึงมีภาพหนึ่งผุดขึ้นมา

‘ข้าวยำครับ จะเรียกว่ายำเฉยๆ ก็ได้’

อ๋อ...ตอนเต้พาน้องรหัสมันมาแนะนำให้เพื่อนรู้จักนี่เอง

พอได้คำตอบผมพ่นลมหายใจออกมาทันที นึกรู้เลยว่าที่ไม่เคยเห็นรอยยิ้มแบบนี้อีก เพราะมีสาเหตุจากตัวเองล้วนๆ ผมเคยทำหน้ารำคาญใส่มัน คุยด้วยก็ไม่คุย ทั้งมองมันเป็นภาระที่ต้องดูแล และหิ้วไปส่งหอตามที่เพื่อนขอร้อง

อืม...คงไม่แปลกหากคนมนุษย์สัมพันธ์ดีอย่างมันจะลดความเป็นมิตรกับผมลงน่ะ และถ้าไม่มีเรื่องคืนนั้นพวกผมคงต่างคนต่างอยู่เหมือนเดิมแน่ๆ

คิดแล้วก็หันมองคนเดินข้างๆ กลับเห็นข้าวยำสีหน้าไม่ค่อยดีนัก ทั้งยังดูเซื่องซึมแปลกๆ

“เป็นอะไร”

ไม่มีคำตอบกลับมา ไม่รู้ว่าเพราะแสงแดดจ้าที่อาบตัวตอนนี้ด้วยหรือเปล่า ผมเลยรีบพามันกลับไปที่รถจัดการสตาร์ทเครื่องยนต์เปิดแอร์ให้ ขับออกมาได้ไม่ถึงสองนาทีข้าวยำก็หลับสนิท

ผมตัดสินใจขับกลับมาที่หอพักแทนไปที่คณะทั้งที่ช่วงเย็นวันนี้มีกิจกรรมรับน้อง ถึงที่หมายก็พยายามปลุกข้าวยำลงจากรถ แต่ปลุกเท่าไหร่มันกลับไม่ยอมตื่นสักที ผมเลยต้องแบกน้องรหัสเพื่อนขึ้นหลัง เดินขึ้นบันไดอย่างทุลักทุเลจนมาถึงห้องพักของรุ่นน้อง

“เฮ้อ...”

ผมพ่นลมหายใจหลังวางคนที่แบกมาบนฟูกนอนได้สำเร็จ ยืนมองดูพักใหญ่ก็ตัดสินใจโทรไปหาลุงรหัสผู้เป็นเฮดว้ากใหญ่ บอกไปตามตรงว่าวันนี้ผมไม่เข้าร่วม เพราะต้องดูแลคนป่วย

‘...ครั้งนี้กูเห็นแก่ที่เป็นสายโคกัน มึงก็อยู่ดูแลยำไป แต่ถ้ามีครั้งหน้ามึงต้องไปตามตัวเต้มาดูแลน้องมันเอง เข้าใจไหม’

“เข้าใจครับ”

‘ดี และกูขอพูดย้ำอีกรอบ มึงเป็นว่าที่เฮดคนต่อไป อย่าลืมเรื่องนี้ล่ะ’

ผมเข้าใจที่ลุงรหัสพยายามสื่อ ในวันนี้ผมยังไม่มีหน้าที่สำคัญจึงไม่ไปทำกิจกรรมได้ แต่ปีหน้ายามรับหน้าที่แล้วจะทำแบบนี้อีกไม่ได้ ถ้าหากมีเรื่องแบบวันนี้อีก ผมคงต้องวานคนอื่นให้มาช่วยดูแลแทน

“ขอบคุณที่ช่วยเตือนครับ”

‘ไม่เป็นไร...วันนี้กูคงปล่อยปีหนึ่งมืดหน่อย มึงก็ช่วยดูแลยำไปก่อนแล้วกัน’

หลังวางสายจากลุงรหัส ผมหันไปมองคนหลับด้วยอารมณ์หลากหลายจนสังเกตเห็นอาการหอบหายใจถี่แปลกๆ เลยขยับเข้าไปใกล้ เพียงแค่นิ้วแตะโดนผิวคนนอนอยู่ก็รู้สึกถึงความร้อนหน่อยๆ จนต้องย่นคิ้วเข้าหากันอย่างคาดไม่ถึงว่ามันจะป่วย

“มึงป่วยบ่อยไปไหม”

อดบ่นไม่ได้ เพราะไม่นานมานี้มันเพิ่งหายป่วย...ถึงสาเหตุที่มันไม่สบายตอนนั้นจะมาจากผมก็เถอะ

“มึงอยู่คนเดียวได้ไหมเนี่ย”

ไม่มีการตอบรับจากคนหลับ ผมช่างใจเล็กน้อยว่าควรทิ้งมันไว้ตามลำพังดีไหม เพราะตอนนี้คนในหอพักคงไปรวมตัวที่ลานกิจกรรมประจำคณะกันหมด ที่นี่คงเหมือนตึกร้างชั่วคราว คิดไปคิดมาก็ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง

“เฮ้อ...อยู่คนเดียวไปก่อนนะ กูขอออกไปซื้อข้าวซื้อเจลลดไข้ให้มึงก่อน”

-------------

ผมนั่งเฝ้าคนป่วยจนกระทั่งสองทุ่มกว่าถึงได้ยินเสียงพูดคุย เสียงฝีเท้า และเสียงประตูเปิดปิดเป็นระยะ

เมื่อมีคนกลับมาแบบนี้แสดงว่าประชุมเชียร์วันนี้เลิกแล้ว ผมรอรูมเมทคนป่วยกลับมาเพื่อจะได้กลับไปห้องตัวเองบ้าง แต่รอครึ่งชั่วโมงก็ไม่เห็นวี่แวว ผ่านไปอีกสิบห้านาทีก็ทนไม่ไหว ต้องพิมพ์ไลน์ไปถามเพื่อน

Phu: พวกมึงรู้ไหมวินไปไหน?
- A- : กูรู้ น้องมันต้องไปซ้อมกิจกรรมเดือนคณะไง
Phu: อ้าว แล้วจะเลิกเมื่อไหร่วะ?
- A- : ดึกๆ ล่ะมั้ง ถ้ามึงมีธุระกับน้องมันก็ไปหาที่คณะดิ
Phu: เออๆ ขอบใจ

สรุปว่าผมต้องดูแลแมวป่วยต่อสินะ

พอมองคนป่วยที่ยังหลับไม่รู้เรื่องก็ตัดสินใจกลับห้องตัวเองก่อน หลังอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่เสร็จถึงกลับมาห้องรุ่นน้องอีกครั้ง กลับเจอข้าวยำกำลังลุกขึ้นนั่งหน้าเบลอๆ อยู่บนฟูกนอน

“วิน ขอน้ำหน่อย”

แถมมองผมเป็นรูมเมทของมันอีกต่างหาก ผมเดินไปเทน้ำใส่แก้วส่งให้เงียบๆ มันยังพอมีแรงถือแก้วกินน้ำเองได้ กินเสร็จก็ทำท่าจะล้มตัวหลับต่อ แต่ผมดันหลังมันไว้ทัน

“กินข้าวกับยาก่อนค่อยนอน”

“ไม่หิว”

“ไม่หิวก็ต้องกิน”

ผมรั้งตัวคนป่วยขึ้นจากฟูก ลากมานั่งแหมะบนพื้นหน้าโต๊ะญี่ปุ่นที่วางชามเปล่าเตรียมพร้อมไว้แล้ว เหลือแค่แกะข้าวต้มเทใส่ชาม ระหว่างแกะหนังยางรัดปากถุง ผมเห็นเงาเหมือนหัวคนกำลังจะโน้มไปกระแทกโต๊ะเลยเงยหน้าขึ้นดู

“เฮ้ย!”

แปะ


หน้าผากร้อนผ่าวติดแผ่นเจลลดไข้แตะกับฝ่ามือผมทันเวลาพอดี ผมพ่นลมหายใจดันหน้าผากคนป่วยขึ้น แล้วพยายามเขย่าตัวเรียกสติ

“ข้าวยำ...ยำ ได้ยินไหมยำ อย่าเพิ่งหลับ”

มีเสียงครางงึมงำตอบกลับมา ผมรีบหันไปเทข้าวต้มแค่ครึ่งถุงก่อน แล้วหันกลับมาตักข้าวต้มยัดใส่ปากคนกำลังจะหลับ จ้องดูมันเคี้ยวๆ ทั้งที่ตาปิด เห็นกลืนลงคอก็รีบตักคำใหม่ให้ วนอยู่แบบนี้พักใหญ่คนป่วยก็สะบัดหน้าปฏิเสธ จึงส่งยาลดไข้ให้กิน แล้วหิ้วปีกลากตัวไปทิ้งบนฟูกนอน ไม่งั้นคนป่วยคงทิ้งตัวนอนกับพื้นข้างโต๊ะญี่ปุ่นแน่   

ผมมองท่าหลับที่เหมือนตุ๊กตาถ่านหมดก็ลอบส่ายหน้า

“นี่กูต้องจัดท่านอนให้มึงด้วยเรอะ”

ก็ได้แต่พลิกตัวให้นอนหงาย ยกแขนขาวางให้เข้าที่เข้าทาง มองแผ่นเจลลดไข้บนหน้าผากก็เห็นว่าได้เวลาเปลี่ยนแผ่นใหม่แล้ว พอเปลี่ยนเสร็จก็มานั่งจ้องหน้าคนหลับไม่ได้สติ มองริมฝีปากยกขึ้นครู่หนึ่งก็ยกนิ้วไปจิ้มๆ ด้วยความหมั่นไส้

“ขนาดป่วยก็ยังยิ้มออกอีกนะ...ฝันดีอะไรอยู่ล่ะสิท่า”

แน่นอนว่าไม่มีคำตอบกลับมา ผมคว้าผ้าห่มมาคลุมตัวให้คนป่วย แล้วถอยกลับมานั่งที่โต๊ะญี่ปุ่น แกะข้าวต้มอีกถุงมากินบ้าง

------------- 

“พี่...พี่ภูๆ”

เหมือนใครสักคนกำลังเขย่าตัว ผมลืมตาขึ้นดูก็เจอรูมเมทของข้าวยำกำลังมองตรงมา

“...กี่โมงแล้ว”

“ห้าทุ่มกว่าแล้วพี่”

ผมขยับตัวจะลุกขึ้น...ทำไมรู้สึกชาๆ ตามตัว ด้วยความสงสัยเลยลองดันตัวขึ้นนั่งดีๆ สะบัดแขนสะบัดขาเล็กน้อย แล้วเห็นวินกำลังลากผ้าห่มมาคลุมตัวให้เพื่อนที่บ่นพึมพำทั้งที่ยังหลับ

“อือ หนาว”

“รู้แล้วๆ กำลังห่มผ้าให้นี่ไง” วินถอนหายใจเฮือกหนึ่ง “ใครใช้ให้มึงนอนดิ้นจนกลิ้งออกจากผ้าห่มไปอยู่บนพื้นเย็นๆ แถมไปกอดก่ายพี่ภูแบบนั้นอีก ดีที่กูเป็นคนเข้ามาเจอ ไม่งั้นมึงได้โดนคนเอาไปลือแน่”

นี่เองสาเหตุที่ผมชาตามตัว

“ขอโทษแทนเพื่อนด้วยนะพี่”

“ไม่เป็นไร”

“แล้วทำไมยำป่วยอีกแล้วล่ะครับ?”

“นั่น” ผมชี้ไปทางฝ่ามือข้าวยำที่ยังแปะพลาสเตอร์ยาอยู่ “โดนลูกแมวข่วนมา พี่เลยพามันไปหาหมอ โดนฉีดยามาสองเข็ม”

“อ้อ” แววตาคนฟังมองคนหลับอย่างระอาชัดเจน

ในเมื่อเจ้าของห้องอีกคนกลับมาแล้ว ผมจึงลุกขึ้นยืน บอกลาเพียงสั้นๆ “พี่ไปล่ะ”

แว่วเสียงเรียกไล่หลังก่อนเปิดประตูออกไป

“พี่ภู” คนที่ยังอยู่ในชุดนักศึกษาส่งยิ้มให้ผม “ขอบคุณที่ช่วยดูแลยำให้ครับ”

ผมโบกมือสื่อว่าไม่เป็นไร แล้วเดินออกไปทันที

############
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-11-2018 11:32:17 โดย KatzeP »

ออฟไลน์ KatzeP

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-1
ก่อนวางกับดัก5 : นายพรานหงุดหงิด


“เมื่อวานกล้าโดดรับน้องนะเพื่อน”

แค่ไปปรากฏตัวพร้อมจานข้าวให้เพื่อนที่รวมตัวกันอยู่ในโรงอาหารใกล้หอพักเห็น พวกมันก็ส่งเสียงทันทีเหมือนรอแซวผมอยู่ยังไงอย่างนั้น

“ระวังลุงของมึงเล่นงานนะครับ”

ผมเลิกคิ้วขึ้นสูงให้ไอ้เอ แล้วยักไหล่ว่าไม่แคร์ เลยโดนเพื่อนโห่ใส่แทน

“น่าหมั่นไส้วะ แล้วมึงหายหัวไปไหนมาถึงไม่เข้าร่วมรับน้องเนี่ย”

“ให้กูวางจานข้าวกับนั่งลงก่อนได้ไหมวะ” ผมถามเสียงเรียบ ไอ้พวกเสือกทั้งหลายเลยรีบผายมือเชื้อเชิญให้ผมรีบนั่งเร็วๆ ก้นผมเพิ่งแตะเก้าอี้ มือเพิ่งจับช้อนก็เจอสายตาจ้องใส่ประหนึ่งว่า ถ้าไม่ตอบ พวกมันก็จะจ้องผมไปเรื่อยแบบนี้ซึ่งมันโคตรน่ารำคาญ เลยบอกให้จบๆ ไปจะได้เริ่มกินข้าวแบบสงบๆ

“น้องรหัสเต้ป่วย กูเลยไปดูแลมา”

“หืม? มึงหมายถึงข้าวยำ?” กังหันถามอย่างแปลกใจ

“มีอยู่คนเดียวที่กูต้องดูแลแทน” ผมว่า

เอถามอย่างฉงนใจทันที “ไหงน้องมันป่วยอีกแล้ววะ”

“มันถูกแมวข่วนเลยโดนฉีดยามา”

เหล่าคนฟังพากันส่ายหน้าทันที มีบางคนงึมงำด้วยท่าทางปวดหัวหน่อยๆ ด้วยซ้ำ

“ไปทำท่าไหนถึงโดนแมวข่วนเข้าวะเนี่ยน้องกู”

ยกเว้นคนรู้เรื่องแล้วอย่างเต้ที่ถามขึ้นต่อ “อาการเป็นไงบ้าง”

“ไม่รู้”


“อ้าว” เพื่อนทั้งโต๊ะพากันอุทานตามด้วยคำบ่น

“มึงไปดูแลน้องประสาอะไรถึงไม่รู้วะ”

ผมยกมือปรามเอให้เลิกบ่น แล้วพูดขยายความต่อ “ก่อนกูกลับไปนอนที่ห้อง น้องมันยังมีไข้หน่อยๆ ส่วนตอนเช้าอาการจะดีขึ้นหรือแย่ลง อันนี้กูไม่รู้”

“มึงไม่ได้ไปดูที่ห้อง?”

ผมถอนหายใจ “ไป แต่เคาะเรียกแล้วไม่มีใครเปิด”

พูดจบก็มองเต้เป็นเชิงถาม เดาว่าเพื่อนผมต้องไปหาน้องมันมาเช่นกัน คนถูกมองส่ายหน้าให้เห็นสื่อว่าไม่ได้เจอคนป่วยเช่นกัน

“ถ้าน้องมันยอมให้มึงไปดูแล แสดงว่าตอนนี้มึงกับข้าวยำคืนดีกันแล้วใช่ปะ?”

คำถามของเอทำให้เพื่อนสนใจประเด็นใหม่อย่างรวดเร็ว ผมถ่วงเวลาด้วยการตักข้าวเข้าปาก ใช้โอกาสตอนเคี้ยวข้าวครุ่นคิดไปด้วยว่าคืนดีหรือยัง คิดไปคิดมาก็พยักหน้าให้พวกเพื่อนเห็น เหล่าคนรอฟังคำตอบต่างมีสีหน้าโล่งใจบ้าง สบายใจบ้าง

“ดีแล้วๆ”

มีย้ำเตือนส่งท้ายอีกต่างหาก

“มึงก็อย่าไปทำให้น้องโกรธอีกเล่า”

“จบเรื่องน้องได้ก็ดีอยู่หรอก แต่เรื่องลุงรหัสมึงล่ะ” กลมทำหน้ากังวลแทน “มึงควรไปบอกเหตุผลกับพี่เขาวะ ไม่งั้นหลานรักอย่างมึงได้โดนเรียกตัวไปอบรมยาวแน่”

ผมชะงักช้อนที่เกือบจะเอาข้าวปาก “ไม่เป็นไร...” ไม่ทันพูดจบก็โดนเอสวนขึ้นมาก่อน

“ไม่เป็นไรกับผีสิ! มึงใจเย็นเกินไปแล้ว!”

“มึงสิใจร้อน!” ผมพูดสวนกลับอย่างอดไม่อยู่ “รอฟังกูพูดให้จบก่อนสิวะ”

“อ้าว”

ผมเมินเอที่กำลังทำหน้าเงิบ แล้วบอกให้เพื่อนที่เหลือเข้าใจ พวกมันจะได้ปล่อยผมกินข้าวสักที

“กูโทรบอกลุงรหัสตั้งแต่เมื่อวานแล้ว”

“ไอ้นี่นิ!!” ประสานเสียงกันมาเลย ตามด้วยเสียงโวยของแต่ละคน

“แล้วมึงก็ไม่รีบบอกนะไอ้ภู!”

“โอ๊ย! กูไม่น่าเสียแรงห่วงมันเลยวะ!”

“หึ”

“หัวเราะอีกนะไอ้เพื่อนชั่ว!”

ผมยักไหล่ เมินทั้งคำต่อว่าทั้งสายตาหมั่นไส้ เมื่อทำอะไรผมไม่ได้พวกมันสามตัวเลยประท้วงด้วยการหันไปคุยกันเอง มีเต้เป็นผู้รับฟังอยู่เงียบๆ ถ้าไม่โดนถามจนต้องอ้าปากตอบบ้าง เพื่อนนี้คงเหมือนรูปปั้นขี้ผึ้งประดับโต๊ะ

“เฮ้ย นั่นยำนี่”

ท่าทางของเอทำให้พวกผมหันมองตามนิ้วชี้ของเพื่อน เห็นเจ้าของชื่อกำลังเดินเข้ามาพร้อมปีหนึ่งกลุ่มใหญ่ แม้อยู่ไกลเกินกว่าจะเห็นสีหน้า ผมก็พอเดาออกจากท่าเดินของมันว่า สภาพร่างกายคงดีขึ้นมากแล้ว

“ดูยำเหนื่อยๆ นะ”

“นั่นดิ แถมออร่ายังไม่ค่อยสดใสด้วย”

ผมหันมองเพื่อนตัวเองแวบหนึ่ง แล้วอยากถอนหายใจหนักๆ สักที 

“อย่าดูแต่หน้า ให้ดูเสื้อผ้ากับรองเท้าพวกน้องด้วย” ผมพูดติ

“หือ?” เอกับกังหันทำหน้าฉงนมองผม

“ให้ดูน้อง ไม่ใช่ดูกู” ผมว่าเสียงระอา แล้วพูดเสริมหลังเห็นเพื่อนทั้งสามขมวดคิ้ว “เห็นเสื้อผ้าก็น่าจะรู้ว่าทำไมถึงดูเหนื่อยๆ กัน”

“เสื้อยืดกับกางเกงบอลขาสั้น...มันแปลกตรงไหนวะ?” เอถามมึนๆ

“กูก็ใส่แบบนี้นอนนะ” กลมงึมงำ

“วันนี้ปีหนึ่งภาคเครื่องกลมีเรียนบ่าย” กังหันพูดเสริมอีกคน “พวกมันแต่งตัวแบบนั้นลงมากินข้าวก็ไม่เห็นแปลกตรงไหน”

“อย่าลืมดูรองเท้า” ผมแนะเพิ่ม

“ผ้าใบ!”

ผมถอนหายใจให้กับเสียงประสานของพวกมัน “เห็นก็น่าจะรู้ว่าไปออกกำลังกายกันมา ไม่งั้นพวกมันคงใส่แตะมากินข้าวแล้ว”

“แต่ยำยังป่วยอยู่ไม่ใช่เรอะ?”

“คงดีขึ้นแล้วมั้ง”

ผมพยักเพยิบไปทางเพื่อนสนิท เต้กำลังกวักมือเรียกน้องรหัสที่กำลังยืนหันซ้ายขวาหาโต๊ะว่างกับพวกเพื่อน

ดูซะ เต้กำลังเรียกเจ้าตัวมาถามแล้ว

ทั้งโต๊ะเลยพากันเงียบพลางช่วยกันจ้องรุ่นน้องจนข้าวยำรู้สึกตัวหันหน้ามาทางพวกผม เด็กนั่นชะงักนิดหน่อย แล้วจึงเดินมาหาอย่างว่าง่าย

“ครับพี่เต้?”

“หายป่วยแล้ว?”

คนโดนถามคลี่ยิ้มสดใสให้ทันที “แข็งแรงดีแล้วครับผม”

เต้พยักหน้ารับด้วยแววตาพอใจ ปล่อยเพื่อนคนอื่นซักถามต่อ มีเพียงผมที่ขมวดคิ้วเพราะรู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง

...ทำไมมันไม่หันมองผมเลย ไม่แม้แต่จะสบตาด้วยซ้ำ

เพราะไม่เข้าใจจึงต้องครุ่นคิด เมื่อไม่ได้คำตอบก็ได้แต่รอจนถึงเวลาที่ข้าวยำขอกลับไปหาเพื่อน แล้วเดินเข้ามาใกล้ แถมทำท่าจะเดินผ่านกันดื้อๆ ก็คว้าแขนเอาไว้ก่อน ได้สบตากันแวบเดียวมันก็กระชากแขนกลับ รีบจ้ำอ้าวไปหาเพื่อนเร็วไว ทิ้งผมไล่มองตามหลังด้วยความงุดงง

เมื่อวานข้าวยำยังทำตัวน่ารักกับผมอยู่เลย มียิ้มให้ด้วยซ้ำ แต่วันนี้พฤติกรรมของมันกลับพลิกตาลปัตรชวนสับสนสุดๆ

...ทำไม?

คำถามผุดขึ้นในหัวอีกครั้ง และยังคงไร้คำตอบเช่นเดิม จนเวลาผ่านไปครู่หนึ่งความไม่สบอารมณ์ก็เข้ามาแทนที่ความสงสัยจนมือออกแรงกำช้อนแน่นขึ้น แววตาจับจ้องแผ่นหลังแมวบางตัวอย่างหมายมาดว่า ต้องจับตัวมารีดเค้นเอาคำตอบภายในวันนี้ให้ได้!

“ไอ้ภูโว้ย!”

ผัวะ!

ผมหน้าคะมำตามแรงตบ แถมยังรู้สึกคอเคล็ดหน่อยๆ บวกกับอารมณ์หงุดหงิดยังตกค้างเลยหันมองไอ้คนทำร้ายร่างกายตาขวาง เอถึงกับสะดุ้งโหยงรีบประกบมือขอโทษของโพยมาทันที

“ขอโทษวะเพื่อน ขอโทษจริงๆ แต่กูเรียกตั้งนานมึงไม่ตอบสนองเองนี่หว่า”

“เอาน่าๆ เอไม่ได้ตั้งใจ มึงก็ให้อภัยมันไปเถอะ” กังหันมาช่วยไกล่เกลี่ย แล้วพาเข้าเรื่องที่อยากคุยทันที “เมื่อกี้พวกกูถามว่าคืนนี้มึงจะไปดื่มด้วยกันไหม”

ผมขมวดคิ้วทันที “ไม่ล่ะ ไม่มีอารมณ์”

“อ้าว แต่ยำตกลงจะไปกับพวกกูแล้วนะโว้ย” เอพูดขึ้นมา “มึงต้องไปดูแลน้องมันไม่ใช่หรือไง”

ผมชะงักไปทันที “เมื่อกี้บอกว่าใครตกลงไปนะ?”

“ยำไง...อะไรวะ เมื่อกี้มึงไม่ได้ฟังใครพูดอะไรเลยเรอะ!”

“ใจเย็นๆ น่าเอ” กังหันพูดเสียงหน่าย “มึงก็เห็นอยู่ว่าไอ้ภูนั่งเหม่อ”

ผมข่มอาการไม่ให้ยิ้มออกมา ไม่คิดเลยว่าโอกาสจะเข้าข้าง หึๆๆ แล้วแสร้งทำเป็นพูดด้วยท่าทีไม่ยินดียินร้าย แถมดูคล้ายคนจำยอมหน่อยๆ

“งั้นกูไปด้วยก็ได้”

-------------

บรรยากาศในร้านนั่งดื่มเจ้าประจำของเด็กวิศวะยังคงเดิมๆ ไม่เคยเปลี่ยน ด้วยความที่เป็นเจ้าถิ่น จึงรู้สึกว่าที่นี่เสมือนเป็นบ้านหลังที่สี่เพิ่มไปด้วย

ถ้าถามว่าทำไมต้องใช้เลขสี่ เพราะเลขสองคือหอพัก เลขสามคือตึกคณะยังไงล่ะ

นอกจากเป็นที่พบปะสังสรรค์แล้ว บ้านหลังที่สี่ของพวกเรามักมีปรากฏการณ์ให้ต้องตื่นเต้นบ่อยๆ เช่น มีฝูงไฮยีน่าหรือฝูงหมาป่าจงใจเข้ามาหาเรื่องถึงถิ่น เป็นเหตุให้ต้องออกกำลังกายยามดึก ไม่ก็มีกลุ่มลูกแกะผู้ไม่รู้เรื่องราว หรือเนื้อทรายราตรีหลงมาให้เชยชมถึงที่ แต่ของดีมีน้อยใครอยากได้ก็เปิดศึกแย่งชิงเอา

“มองหาอะไรอยู่วะภู หรือมึงเห็นกวางสาวหลงมาถิ่นเรา?”

กังหันพูดขำๆ ทั้งที่สองมือยังง่วงกับการชงเหล้าแจกจ่ายเพื่อนฝูง

“ไหนวะ” กลมรีบยืดตัวกวาดตามองไปทั่วร้านทันที ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงหดหัวกลับมาด้วยสีหน้าเหมือนคนถูกหลอก “ไม่เห็นมีเลยนี่หว่า”

“แล้วมึงไปเชื่ออะไรกัง” ผมว่า “มันแค่แซวกูเล่น”

กังหันหัวเราะรับคำ แล้วถามผมเรื่องเดิม “ตกลงมึงมองหาอะไร”

“...คนที่กูต้องดูแล”

“อ้อ ยังไม่มาหรอก” กังหันส่งแก้วเหล้าที่เพิ่งชงเสร็จมาให้ผมรับ “เอโทรมาบอกว่าจะพามาช้าหน่อย เพราะน้องมันกำลังยืนเถียงกับแฟนหน้าหอเรา”

ผมลดแก้วที่เพิ่งยกจิบลงทันที “กูได้ยินมาว่ากำลังรักกันหวานชื่นไม่ใช่เรอะ”

“ก็ใช่ แต่คราวนี้ที่เถียงกันเพราะแฟนน้องมาหาถึงหอโดยไม่ได้บอกก่อน เลยบังเอิญเจอยำกำลังมาร้านเหล้ากับเอจึงขอตามมาด้วย แต่ยำไม่ให้มา” 

“ทำไมวะ?” กลมถามอย่างสงสัย

“ไม่รู้ดิ แต่ฟังจากเอเล่า กูเดาว่ายำคงหวง ไม่ก็ห่วงแฟนล่ะมั้ง”

“แฟนที่ว่า...” ผมทำหน้าแปลกๆ “ผู้ชายไม่ใช่เหรอ ไม่เห็นมีอะไรให้น่าห่วง”

“ใช่ไง” กังหันยักไหล่ “เป็นผู้ชายนี่แหละถึงน่าเป็นห่วง เพราะถ้าเด็กของยำเมาแล้วเกิดซ่าในถิ่นเรานี่มีเจ็บตัวกลับไปแน่ๆ”

“ก็จริง” กลมทำหน้าเห็นด้วย

ผมหัวเราะตามน้ำ พลางยกแก้วเหล้าขึ้นจิบอย่างใจเย็น ใครจะมาหรือไม่มาก็ไม่ใช่เรื่องของผม ความสนใจตอนนี้มีแค่รอคอยเหยื่อโผล่หน้ามาให้ดูแลถึงที่เท่านั้น

ครึ่งชั่วโมงต่อมาผมเห็นเอเดินนำหน้าเด็กปีหนึ่งมาอีกสามคน หนึ่งในสามคือแมวเถื่อนของผม ส่วนอีกสองพอคุ้นหน้าอยู่บ้าง...

ภาพในคืนที่เกิดเรื่องผุดวาบขึ้นมา อ้อ สองคนนี้นี่เองที่ไปร้านเหล้าต่างถิ่นกับข้าวยำวันนั้น สภาพเมาแอ๋พอกันเลย เพราะผมไม่ได้สนใจ เลยไม่รู้ว่าคืนนั้นสองคนนี้ไปนอนไหน หรือใครช่วยหิ้วซากพวกมันกลับ

รู้สึกว่าวันที่ข้าวยำโดนแมวข่วนก็เห็นหน้าอยู่แวบหนึ่งเหมือนกัน คงเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกับแมวเถื่อนล่ะมั้ง 

“มาสักทีนะ” กังหันส่งแก้วเปล่าให้เอ “มาช้าก็จัดการชงกันเอง”

“ความผิดกูซะที่ไหนล่ะ”

เอบ่นเสียงเบาให้แค่เพื่อนได้ยิน แล้วหันไปกวักมือเรียกรุ่นน้องที่ยืนเก้ๆ กังๆ ทำตัวไม่ค่อยถูกให้เข้ามานั่งร่วมโต๊ะ “พวกมึงเข้ามานั่งได้แล้ว หรือจะรอให้พวกพี่ขบหัวก่อนถึงยอมมานั่งกัน?”

ปีหนึ่งต่างภาคทั้งสองคนรีบมานั่งทันที เหลือแค่ยำที่ยังยืนขมวดคิ้วตั้งแต่เห็นหน้าผมจนถึงตอนนี้ ทั้งยังทำหน้าครุ่นคิดไม่เลิกว่าควรนั่งดีหรือไม่ แต่สุดท้ายมันก็เลือกมาร่วมวงโดยการนั่งซะห่างจากผมมากที่สุดเท่าที่จะทำได้

หึ

ผมยกแก้วเหล้าบังรอยยิ้มขำการกระทำที่เสียเปล่าของแมวเถื่อน เอาเถอะ มันอยากนั่งไหนก็เชิญ เพราะท้ายที่สุดข้าวยำต้องกลับมาอยู่ในกำมือของผมอยู่ดี

เขารู้กันทั่วว่าถ้าคนเมาคือ ‘ข้าวยำ’ เมื่อไหร่ หน้าที่หิ้วน้องกลับจะถูกส่งต่อมาให้ผมรับผิดชอบทันที มันเป็นความเคยชินของทุกคนไปแล้ว กระทั่งตัวผมเองยังชินชากับหน้าที่นี้ ไม่งั้นคืนนั้นจะเผลอเก็บซากมันกลับไปนอนด้วยเรอะ

“เอานี่แก้ว” เอแจกแก้วเปล่าให้รุ่นน้อง “บริการตัวเองนะไอ้น้อง และวันนี้พี่กังของน้องๆ เป็นเจ้ามือ”

“คร้าบ!”

 ลากเสียงยาวด้วยความระรื่นกันเลยทีเดียว ผิดกับเจ้ามือเลี้ยงเหล้าที่ตวัดตาดุๆ ให้เพื่อนที่กำลังหัวเราะร่าทั้งยังพูดเสริมอีกประโยคด้วยเสียงกลั้นหัวเราะ

“พี่ล้อเล่น งานนี้หารวะน้อง”

เสียงโห่มาเลยครับ ตามด้วยเสียงบ่น

“แล้วมาหลอกให้พวกผมดีใจนะพี่”

“น่าๆ” เอขยับแก้วมากลางโต๊ะ “มากระชับความสัมพันธ์พี่น้องกันหน่อย เอ้าชน”

เสียงแก้วหลายใบกระทบกันดังกังวาน เป็นสัญญาณเริ่มต้นตั้งวงอย่างเป็นทางการ

ผมนั่งเงียบปล่อยเพื่อนตัวเองคุยกับรุ่นน้องไป ถ้ามีใครถามอะไรค่อยอ้าปากตอบบ้าง นอกนั้นก็แกล้งทำเป็นนั่งดื่มอย่างเดียวทั้งที่เหล้าในแก้วผมชงจางมาก แต่อาศัยสีน้ำอัดลมปกปิด พวกเพื่อนในวงเหล้าเข้าใจโดยปริยายว่า คืนนี้ผมอาสาเป็นเวรเก็บกู้ซากคนเมา ดังนั้นต่อให้แก้วหลังๆ ดื่มแต่น้ำอัดลมผสมโซดาก็ไม่มีใครว่าหรอก

ผ่านไปสี่สิบห้านาที

ท่ามกลางแววตาสงสัยของเพื่อนๆ ผมที่แกล้งทำเป็นเมา ได้แต่เหล่ตาไปทางรุ่นน้อง แล้วขยับปากไร้เสียงบอกไปว่า เพื่อให้เข้ากับบรรยากาศ แววตาสงสัยพวกนั้นถึงได้หายไป

ผมลอบถอนหายใจเบาๆ รอจนไม่เห็นสายตาของใครมองมาก็แอบเหล่มองเป้าหมายของตัวเองบ้าง

ข้าวยำเริ่มทำตัวผ่อนคลายมากขึ้น ทั้งยังไม่ค่อยระมัดระวังตัวเหมือนช่วงแรกๆ ทำให้ผมรู้ว่าแผนตบตาแสร้งเมาของตัวเองได้ผลแล้ว

แต่ไอ้ท่าทางค่อยๆ จิบเหล้าช้าๆ เน้นพูดคุยเฮฮาเสียมากกว่า ค่อนข้างขัดลูกตาสุดๆ ผมจึงสะกิดเอที่นั่งข้างกัน พยักเพยิบให้มันสังเกตพฤติกรรมรุ่นน้อง คนเริ่มกริ่มๆ เพ่งตามองตามครู่ใหญ่ก่อนโวยวายตามคาด เป็นเหตุให้ข้าวยำโดนเพื่อนผมรุมแกล้งให้คนไม่อยากเมาต้องกลายเป็นคนเมาจนได้

ผมมองเหตุการณ์สมดั่งใจตรงหน้าด้วยรอยยิ้ม ก่อนชะงักเล็กน้อยเมื่อรุ่นน้องคนหนึ่งพูดท้วงขึ้นมา

“พอก่อนพี่ เดี๋ยวพวกผมต้องแบกมันกลับหอ”

หืม? เหมือนแมวเถื่อนจะเตรียมตัวมาดี แต่...

“ไม่ต้องๆ เดี๋ยวพวกพี่ไปส่งให้เอง” เอพูดทักท้วง

“แต่ยำขอร้องให้พวกผมพามันกลับให้ได้...”

“จะกลับกันเองให้ลำบากทำไมเล่า พี่เป็นคนพามาก็ต้องพาพวกน้องกลับ มาๆ ดื่มๆ”

คนเป็นรุ่นน้องขัดเอไม่ได้ก็ยกแก้วดื่ม แก้วแล้วแก้วเล่าผ่านไป จนเมื่อฤทธิ์ของมึนเมาออกเต็มที่ก็กลับไปเฮฮากันเหมือนเดิมลืมเลือนคำขอของเพื่อนที่นั่งหัวเอียงไปมาเรียบร้อย   

ผ่านไปสองชั่วโมงเหล่ารุ่นน้องที่มีชั่วโมงบินต่ำกว่าก็พากันฟุบหน้ากับโต๊ะบ้าง เก้าอี้บ้าง หมดสภาพตามๆ กัน เหลือเพื่อนผมเสียดายเหล้าที่ยังไม่หมดพากันยกดื่มต่อจนหมดเกลี้ยงนั่นแหละถึงได้คิดเงิน พากันช่วยหิ้วปีกคนเมาหนักมาที่รถ แต่เพราะจำนวนคนเกินเลยต้องแบ่งเป็นสองคัน

“มึงขับไหวแน่นะกัง?”

ผมมองเพื่อนที่ดื่มไปพอสมควรอย่างเป็นห่วง

“ไหวๆ เพราะกูรู้ว่าต้องขับไปส่งไอ้พวกนี่แทนไอ้เอ เลยไม่ได้ปล่อยตัวเองเมาเท่าไหร่”

“เดี๋ยวกูขับตามตูดมึงเอง ถ้าไม่ไหวหรือมีปัญหาอะไรก็กระพริบไฟบอกกูได้”

“ได้ๆ”

รถเอมีรุ่นน้องที่เป็นเพื่อนยำสองคน เจ้าของรถหนึ่ง คนขับอีกหนึ่ง เคลื่อนตัวนำหน้าไปก่อน ตามด้วยรถผมที่มีแมวเถื่อนนั่งหลับอยู่เบาะหลัง และเพื่อนร่างกลมใหญ่นอนพักสายตาอยู่เบาะข้างคนขับอีกหนึ่ง

ถึงหออย่างปลอดภัยทั้งสองคันก็สะกิดเพื่อนให้ลงจากรถก่อน

“ห้าย~ กูช่วยมายยย”

“ไม่ต้องหรอก มึงท่าจะเมาหนักไปนอนพักก่อนเหอะ”

“ด้ายๆ”

ปล่อยเพื่อนตัวกลมเดินโซเซเข้าตึกไป ห้องพักของกลมอยู่ชั้นหนึ่ง ถ้าไม่ไปสะดุดบันไดไม่กี่ขั้นหน้าหอหรือไปสะดุดอากาศที่ไหนเข้า เพื่อนคนนี้คงกลับถึงห้องพักโดยสวัสดิภาพแน่ๆ

ผมหันกลับมาเปิดประตูหลังมองคนนอนขดตัวซุกเบาะหลังอยู่ครู่ใหญ่ สุดท้ายก็เลือกไม่ปลุก แต่พยายามอุ้มมันออกมาเองอย่างทุลักทุเลจนสำเร็จ แล้วแบกรุ่นน้องกลับห้องพักชั้นสอง

หลังไขกุญแจเปิดเข้าไปในห้องมืดๆ ก็จัดการวางแมวเถื่อนนอนเตียงดีๆ กำลังจะเปิดไฟก็นึกได้ว่าแสงจากหลอดไฟบนเพดานห้องอาจไปแยงตาคนหลับจนตื่นได้ เลยเลือกเปิดโคมไฟบนโต๊ะหนังสือแทน แล้ววกกลับมาปิดประตูห้องให้เรียบร้อย ตอนหันตัวกลับไปสายตาของผมเหลือบเห็นเตียงอีกด้านที่ยังว่างเปล่าพอดี

ในหัวผุดบทสนทนาเมื่อตอนเย็นขึ้นมา

‘คืนนี้กูจะไปดื่ม’

‘คืนนี้กูก็จะไปค้างที่อื่น’ 

รูมเมทสวนกลับมาทันที คนกำลังแต่งตัวเตรียมไปดื่มเลยหันไปมองคนกำลังยัดของจำเป็นสำหรับค้างคืนลงเป้วูบหนึ่ง แล้วพูดเตือนอย่างเคยชิน

‘อย่าลืมติดชุดนักศึกษาไปด้วยล่ะ’

‘อยู่ในรถแล้ว...กูไปก่อนล่ะ’

‘เออๆ’ 

นึกถึงตรงนี้ก็ยกยิ้มร้ายกาจ ก้าวเท้าตรงไปหาคนหลับไม่รู้เรื่อง ยืนมองอยู่สักพักก็หย่อนก้นนั่งข้างเตียงเบาๆ พลางโน้มหน้าชิดติดใบหูอีกฝ่าย ขยับริมฝีปากกระซิบเสียงเหี้ยมบอกคนไม่ได้สติ

“คืนนี้กูไม่ปล่อยมึงกลับง่ายๆ แน่”

############
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-11-2018 17:01:06 โดย KatzeP »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด