► ท ร ม า น บั น เ ทิ ง } บทส่งท้าย [จบเนื้อเรื่องหลัก] (26/11/60 - หน้า 5)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ► ท ร ม า น บั น เ ทิ ง } บทส่งท้าย [จบเนื้อเรื่องหลัก] (26/11/60 - หน้า 5)  (อ่าน 74983 ครั้ง)

ออฟไลน์ theneoclassic

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 219
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +217/-3
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม



★★ #ทรมานบันเทิง ★★
By theneoclassic

การมีความรักให้กระชุ่มกระชวยหัวใจแม่งโคตรจะบันเทิง
แต่แอบรัก ทำไม๊ทำไมมันโคตรทรมานขนาดนี้

นี่คือเรื่องราวของผม "โต๋น" กับการแอบรักมาหลายมื้อ
มันเป็นชีวิตที่...แสนจะทรมานบันเทิง!

"ฮู้ว่าบ่ฮัก ขอเวลาซักแหม เดี๋ยวเปิ้ลจะไปเอง!!"




นิยายเรื่องใหม่ของผม theneoclassic เอง
ผลงานเก่าก็ fire me to the moon นั่นเอง
ฝากละอ่อนต่อนยอนไว้โตยเนอะครับ <3
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-12-2018 01:28:09 โดย theneoclassic »

ออฟไลน์ theneoclassic

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 219
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +217/-3


สารบัญ


บทนำ..ละอ่อนเหนือ ณ เมืองใหญ่
บทที่หนึ่ง..โต๋น บ่จ้าย กระโถน
บทที่สอง..โต๋น เป็นหยังถึงฉุนเฉียวแท้
บทที่สาม..เอาคืนไป
บทที่สี่..ผอมแบบไม่ได้ตั้งใจ
บทที่ห้า..ฝนตก
บทที่หก..ฝันวันศุกร์
บทที่เจ็ด..ปุยๆ
บทที่แปด..ฉุนเฉียวๆ
บทที่เก้า..ปิ๊กบ้านกันน้า
บทที่สิบ..ยินดีต้อนรับเด็กฝึกงาน
บทที่สิบเอ็ด..ความยิ่งใหญ่ของเด็กแพร่
บทที่สิบสอง..ระเบิดกลางวง
บทที่สิบสาม..กระต่ายป่า
บทที่สิบสี่..ระเบิดลง
บทที่สิบห้า..แขนเสื้อ
บทที่สิบหก..คืน
บทที่สิบเจ็ด..ใจเขาใจเรา
บทที่สิบแปด..เดี๋ยวไปหา
บทที่สิบเก้า..แฟนคนแรก


น้องเฝ้าจอ พี่ครองแท่น

เจอกันในเล่มฮะ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-01-2019 21:13:55 โดย theneoclassic »

ออฟไลน์ oumoum21

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 17
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4
มาตามเรื่องใหม่ค่าาา  :katai5: :katai5: :katai5: :katai5:

ออฟไลน์ theneoclassic

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 219
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +217/-3
#ทรมานบันเทิง
By theneoclassic


นิยายเรื่องนี้ไม่ได้มาจากประสบการณ์ตรงของคนเขียนแต่อย่างใด
ุทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนจินตนาการ ไม่มีตัวละใดๆ ที่มีตัวตนในชีวิตจริง


ส่วนมากแต่งเติมหมดแล้ว สบายใจได้





บทนำ



   [ได้งานยะแล้วก่อลูก] เสียงคุณปิ๋มผู้เป็นแม่ผมเองแว่วมาจากปลายสาย ได้งานทำแบบนี้ต้องโทรบอกคนที่บ้านสักหน่อยนะครับ

   “อือ ได้ยะแล้วแม่ กะเริ่มวันจันทร์นี้ละ” อู้เมืองมาก็ต้องอู้เมืองกลับ

   [ยะงานในกรุงเทพแบบนี้ กลายเป็นแม่ต้องห่างลูกอีกกี่ปีนี่]

   “แม่อย่าโอเวอร์”

   [บ่ได้โอเวอร์กะหยัง เรียนมหาลัยมาจ๊าดเมินละ แม่ใจจะขาดอยู่แล้ว นี่ใจคอจะเป็นคนกรุงเทพไปเลยก่อ]

   “โอ๊ย บ่อู้กับแม่แล้ว แค่นี้เตอะ”

   [เดี๋ยวๆ แล้วจะปิ๊กบ้านบ้างก่อ]

   “ปิ๊กๆ แต่ขอเคลียร์เรื่องงานก่อน”

   [ก็ตามใจ แม่ก็ดีใจโต้ยนะลูก เอาเตอะ อย่างน้อยแม่ก็จะได้อู้กับคนในหมู่บ้านว่าลูกชายทำงานทีวี ถึงจะเป็นเบื้องหลังก็เตอะนะ]

   “แล้วแม่จะบอกปี้เมืองก่อ”

   [เอ๊า แล้วทำไมไม่บอกปี้เขาเองล่ะ]

   “ไม่กล้าอู้ด้วย เดี๋ยวรู้ว่าทำงานที่กรุงเทพก็โขดกั๋นอีก”

   [ไร้สาระๆ ปี้เขาบ่คิดมากหือลูก โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว]

   “น่า แม่ก็บอกให้ที”

   [โต๋น ลูกยะอะหยังเป็นเด็กไปได้] แม่คงจะไม่เข้าใจในความกลัวพี่ชายของผมแน่ๆ [ก็ได้ๆ เดี๋ยวแม่บอกปี้เขาให้ แต่อย่าลืมโทรไปหาเขาบ้าง บ่ไจ้หายเงียบ]

   “ฮู้แล้ว แค่นี้ก่อนนะแม่ จะไปอาบน้ำอาบท่าแล้ว”

   [โชคดีลูก โทรหาแม่บ่อยๆ นา]

   “ครับแม่ แค่นี้ก่อน อย่าลืมกินข้าวโตย”

   หลังจากวางสายผมก็นอนแผ่หลาบนเตียงด้วยความสุขใจ

   ฮ่าๆ คุณคงจะคิดใช่มั้ยครับ ว่าทำไมเด็กเหนือเมืองแพร่คนนี้ถึงระหกระเหินมาใช้ชีวิตที่กรุงเทพ

   เรื่องมันเป็นอย่างนี้ครับ…

   ก่อนอื่นต้องถามทุกคนก่อนว่าเคยมีความรักแรกพบใช่มั้ยครับ สำหรับผม รักแรกพบและรักครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อตอนเรียนมัธยมต้น






   ในวันที่อากาศค่อนข้างร้อนอบอ้าวและชวนหงุดหงิด ผมนั่งกินไอติมรอเพื่อนที่เข้าห้องน้ำตรงโต๊ะม้าหิน อยู่ๆ ก็มีพี่ม.หกคนหนึ่งวิ่งเข้ามา

   “น้องครับ” เสียงนั้นชวนให้ผมเงยหน้าขึ้นไปมอง ท่ามกลางแสงแดดที่ส่องเจิดจ้า ศีรษะของพี่เขาช่วยบังทำให้เกิดร่มเงาอย่างน่าประหลาด ใบหน้าคมๆ คิ้วเข้มๆ นั้นดูกึ่งขอร้องให้เห็นใจบวกกับเหนื่อยอ่อนซึ่งน่าจะเกิดจากการวิ่งตรงเข้ามาหา เหงื่อของเขาท่วมตัวจนเสื้อแนบชิดกับรูปร่างที่โคตรจะเพอร์เฟ็กต์จนน่าอิจฉา ผมทำหน้าประหลาดใจอยู่สักครู่เพราะตอนแรกไม่คิดว่าพี่เขาจะคุยกับผม

   นี่มันพี่จระเข้ เน็ตไอดอลความภูมิใจของโรงเรียนเราเลยนะเว้ย คนนี้ยกให้เลย เป็นผู้ชายคนแรกที่ทำเอาคลั่งขนาดนี้!

   “ครับ?” ผมเอ๋อไปทันที

   “น้องพอจะให้พี่ยืมเข็มขัดหน่อยได้มั้ย”

   “หา?” ผมอ้าปากเหวอ จะไปหาของแบบนั้นให้เขาได้ที่ไหนกัน

   “ผมมีแค่อันนี้อะ” ว่าแล้วก็ชี้ไปยังเอวของตัวเอง

   “นั่นแหละ พี่ขอยืมก่อนได้มั้ย” เหมือนพี่เขาจะแอบหัวเราะกับความซื่อของผมนะ

   “แต่ว่า…”

   แล้วผมจะใส่อะไรอะ!?

   “นะๆ พอดีพี่ต้องรายงานตัวที่ห้องปกครอง ไม่ได้เข็มขัดของน้องพี่แย่แน่ๆ เลย”

   คำพูดนั้นทำให้ผมรู้สึกว่าข้างตัวมีสายรุ้งลอยละล่องอยู่โดยรอบ นี่ผมกลายเป็นความหวังของผู้ชายคนนี้งั้นเหรอเนี่ยยยย อ๊ากกกก จะดิ้นนนน

   “ก็ได้ครับ” ผมยืนขึ้น ทำท่าจะปลดเข็มขัดแต่ทว่ามือที่ถือไอติมทำให้ทุลักทุเลเหลือเกิน

   “มา พี่ช่วย” พี่จระเข้คงเห็นว่าลำบากก็เลยจะอาสา

   แต่ไอ้เราก็นึกว่าเขาจะถือไอติมให้ แต่เปล่าครับ พี่ม.หกคนหล่อเดินเข้ามาใกล้ๆ พร้อมกับใช้มือปลดเข็มขัดผมออกไปอย่างรวดเร็วโดยที่ผมไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ โห…คงถนัดเรื่องแบบนี้มากสินะเนี่ย

   “ขอบคุณนะครับ” พี่เขาวางกระเป๋าพร้อมกับสอดเข็มขัดของผมอย่างทะมัดทะแมง ก่อนจะหันมาพูดด้วยอีกรอบ

   “ขอเบอร์หน่อยสิ เดี๋ยวจะคืนแล้วพี่โทรหา” พี่จระเข้หยิบโทรศัพท์ฝาพับขึ้นมาทำท่าจะกดเบอร์

   “ไม่มีครับ”

   “ฮะ!?” คนคิ้วเข้มทำหน้าไม่อยากเชื่อ

   “พี่…” เฮ้ย ไม่ได้สิ บอกว่าพี่ชายไม่ให้ใช้ดูอ่อนหัดเกินไป “เอ่อ… แม่ยังไม่ให้ใช้ครับ”

   “อ่า…” พี่เขาเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋ากางเกง “น้องชื่ออะไรนะ”

   “เอ่อ…” ผมรู้สึกว่านิ้วหัวแม่เท้ากำลังจิกลงพื้นรองเท้าผ้าใบแน่น “ตะ…โต๋นครับ”

   “โต๋น?”

   “ครับ โต๋น”

   “มันแปลว่าอะไร ภาษาเหนือใช่มั้ย พอดีพี่ย้ายมาจากเพชรบูรณ์ไม่ค่อยรู้คำเมือง”

   “เอ่อ…ตะ …โต๋น ย่อมาจากโต๋นแตร์ครับ”

   “…”

   “โต๋นแตร์แปลว่าโดดน้ำ”

   ผมเห็นรอยยิ้มจากปากสีชมพูรูปกระจับนั้นระบายบนหน้า มันเป็นประกายของความเอ็นดูอย่างแท้จริง

   “โอเค ถ้าน้องเห็นพี่ที่ไหน มาทวงเข็มขัดได้เลยนะ”

   “ครับ”

   “พี่ชื่อจระเข้ เรียกพี่ว่าเข้ก็ได้นะ”

   “คะ…ครับ” ผมก้มหน้างุด ฮึ่ยย จะบอกว่ารู้อยู่แล้วน่า

   “งั้นพี่ไปก่อนนะเดี๋ยวโดนครูด่า” พี่เข้โบกมือตั้งท่าจะวิ่งออกไป “โต๋นแตร์”

   “ครับ”

   “ชื่อน่ารักดีนะ”

   แล้วพี่เข้ก็ทิ้งผมไว้อยู่ตรงนั้น รู้สึกได้ว่ากำลังมีฮอโมนส์หรืออะไรบางอย่างเดือดพล่านอยู่ในตัว ผมเผลอยิ้มออกมาอย่างไม่รู้เหตุผล ไม่รู้ตัวจนกระทั่งไอติมละลายจนเอ่อล้นมาโดนนิ้วเรียบร้อยแล้ว


▀██▀─▄███▄─▀██─██▀██▀▀█
─██─███─███─██─██─██▄█
─██─▀██▄██▀─▀█▄█▀─██▀█
▄██▄▄█▀▀▀─────▀──▄██▄▄█

   
   แต่ถ้าคุณคิดว่าหลังจากนั้นจะมีแต่ความสุขแล้วละก็ คุณคิดผิดครับ

   เพราะนั่นเป็นครั้งแรกและเป็นครั้งรองสุดท้ายที่ผมได้คุยกับพี่จระเข้อย่างจริงจังขณะที่เรียนมัธยม ในเย็นวันนั้นผมเห็นเขานั่งอยู่หน้าห้องสมุด ไอ้เราก็ตั้งท่าจะเข้าไปหาเพราะเห็นเขาบอกถ้าเห็นเมื่อไหร่ให้เข้าไปทวงเข็มขัด แต่ฉับพลันกันนั้นเองก็มีพี่ผู้หญิงม.ห้าเดินเข้าไปเสียก่อน พี่เข้มอบรอยยิ้มที่น่าอิจฉาให้เธออย่างจริงใจ แล้วทั้งคู่ก็พากันเดินออกไปจากโรงเรียน

   ความรู้สึกตอนนั้นทั้งโกรธทั้งอกหัก ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมผู้ชายที่เราชื่นชอบเห็นเป็นไอดอลถึงหักหลังเราได้ (ทั้งๆ ที่เขาไม่รู้กับมึงด้วยซ้ำ) จากนั้นมาผมก็ไม่กล้าคุยกับเขาอีก ผมไม่เคยได้เข็มขัดคืนเลย จนต้องไปขอเงินแม่ซื้อใหม่ด้วยเหตุผลที่ว่าลืมไว้ในห้องล็อกเกอร์มาดูอีกทีก็ไม่เจอแล้ว

   นานวันเข้า ก็ถึงวันสุดท้ายของภาคเรียน ผมได้ยินมาว่าพี่เข้ไปเรียนต่อยังมหาลัยที่กรุงเทพ วันอำลาทุกคนต่างเอาดอกไม้ไปให้เขา ซึ่งผมก็มีความคิดนั้นนะ แต่นอกจากดอกไม้ ผมมีของที่ตั้งใจให้เป็นพิเศษด้วย นั่นก็คือสมุดเล็กเชอร์สีน้ำตาลอ่อน มีรูปจระเข้สีเขียวทำหน้าตาเด๋อด๋าอยู่บนปก

   “พี่ครับ” ผมอาศัยจังหวะที่ไม่มีใครเพื่อเดินเข้าไปหาเขา

   พี่เข้หันมามองผม รอยยิ้มที่เคยได้ถูกมอบมาให้อีกครั้ง “อ้าวน้อง”

   “โชคดีนะครับ” ผมยื่นของทั้งสองสิ่งไปให้

   พี่เข้รับมันไปวางข้างๆ ของอีกร้อยอย่างที่ได้รับ แต่ก็ยังกลับมาสนใจผมอยู่

   “ไง ไม่เห็นมาทวงเข็มขัดพี่เลย”

   อ้าว! เขาก็ยังจำได้เหรอเนี่ย

   “เอ่อ… ผมลืมครับ” ใช่ที่ไหนล่ะโว้ยยยย

   “วันนี้พี่ไม่ได้ใส่มาซะด้วยสิ อยู่ที่บ้านน่ะ”

   “ครับ ไม่เป็นไรครับ ผมให้”

   “เท่ากับว่าให้พี่ตั้งสามอย่างนะเนี่ย” เขาคว้าสมุดจระเข้ขึ้นมาสำรวจ “อันนี้น่ารักดี”

   โอย….

   “ผมไปนะครับ” ไม่เอาแล้ว รีบหนีดีกว่า

   “เดี๋ยวครับน้องโต๋น”

   “ครับ?” ผมหันมามองอย่างกล้าๆ กลัว ทว่าเห็นพี่เข้ยิ้มหราให้อยู่ก่อนแล้ว ในมือถือปากกาเมจิกสีดำ

   “เซ็นต์เสื้อให้พี่หน่อยสิ”

   “จะดีเหรอครับ”

   “ดีสิ เขียนไว้ด้วยนะว่าเราเคยให้พี่ยืมเข็มขัด”

   ผมเดินไปรับปากกานั้นมา สำรวจดูพื้นที่บนเสื้อพี่คนนี้ว่ามีตรงไหนที่ยังว่าง

   “เอาตรงนี้” พี่เข้จับมือผมไปไว้ที่ชายเสื้อ ตรงนั้นยังมีที่ว่างพอเขียนได้อยู่ ผมเลยดึงมันไว้ให้ตึงเพื่อจะให้เขียนได้ง่ายๆ

   “เรียบร้อยครับ” ผมยื่นปากกาคืนเจ้าของ

   “ขอบคุณนะ”

   “พี่เข้…” อยู่ๆ ก็อยากชวนเขาคุยขึ้นมาซะงั้น

   “หือ?”

   “พี่เก่งมากเลย สอบติดที่กรุงเทพด้วย”

   “เก่งอะไรกัน นี่ยังไม่อยากเชื่อเลยว่าคนเรียนๆ เล่นๆ อย่างพี่จะสอบติดกับเขาด้วย แต่คะแนนก็เกือบอันดับสุดท้ายแหนะ”

   “แค่นี้ก็เก่งแล้วครับ”

   ภายใต้หน้านิ่งๆ จริงๆ แล้วแก้มผมแดงฉานเลยนะครับพี่ชาย

   “ขอบใจนะ มาเรียนด้วยกันสิ”

   “ครับ?”

   “ถ้าชอบนิเทศก็มาเรียนด้วยกัน”

   “ผมอยู่แค่ม.สาม ยังไม่รู้เลยว่าจะไปสายไหนต่อ”

   “เดี๋ยวก็คิดได้เอง ใช้เวลาให้คุ้มค่านะ”

   “ครับ”

   “ลองดูว่าชอบอะไรก็เลือกไปอย่างนั้น แต่ถ้าไม่เปลี่ยนใจ มาเรียนนิเทศกับพี่นะ”

   นี่เขากำลังชี้แนะผมใช่มั้ยเนี่ย เขากำลังบอกว่าให้ผมเลือกเขาใช่มั้ย!!??

   “ขอบคุณมากครับพี่”

   “เออ แม่ให้ใช้โทรศัพท์ยังอะ”

   “ให้แล้วครับ”

   “ใช้บีบีใช่มั้ย ขอพินหน่อย”

   “เอ่อ…ผมใช้ไอโฟนครับ”

   เนี่ยยยยย ขอบีบีที่บ้านก็ไม่ให้ อดแชตกับเพื่อนไม่พอ ยังเสียโอกาสแชตกับพี่เข้ด้วยเลย

   “โห…รวยนี่หว่า งั้นเอาเบอร์มาหน่อย” พี่เข้ตั้งท่าจะกดโทรศัพท์

   “ครับ ศูนย์แปดสอง…”

   กริ๊งงงงงงงงงง

   [นักเรียนชั้นม.หกทุกคน กรุณาเข้าแถวร้องเพลงพร้อมกันที่กลางสนามค่ะ]

   “ไปโว้ยไอ้เข้!”

   ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมาก เพื่อนกลุ่มใหญ่มาล็อคคอพี่เข้ไปก่อนที่ผมจะบอกตัวเลขหมดด้วยซ้ำ ผมถอนใจแต่ก็เข้าใจ พร้อมกับมองแผ่นหลังไวๆ นั้นจากไปด้วยความอาวรณ์ ผมยกมือขึ้นมาโบกลาพร้อมกับกระชับเป้บนบ่า เขาไม่แม้จะหันกลับมามองด้วยซ้ำ

   โอเคคงถึงเวลากลับบ้านแล้ว


▀██▀─▄███▄─▀██─██▀██▀▀█
─██─███─███─██─██─██▄█
─██─▀██▄██▀─▀█▄█▀─██▀█
▄██▄▄█▀▀▀─────▀──▄██▄▄█


   และนั่นก็ทำให้เราไม่ได้เจอกันนานหลายปี ผมตัดสินใจเรียนสายสามัญ และใช้เวลาช่วงชั้นมัธยมปลายตั้งใจเรียน จนสุดท้ายก็ได้เป็นที่หนึ่งของชั้นและสามารถเลือกเรียนได้ทั้งสายวิชาการและสายบันเทิง

   คำเชื้อเชิญของพี่เข้ยังดังอยู่ในหู แต่เวลานั้นผมก็ต้องเลือกเชื่อตัวเอง

   ผมใช้สิทธิ์ยื่นเรียนคณะศิลปกรรมศาสตร์สาขาการแสดง แต่ผมก็ยังเลือกเรียนที่มหาวิทยาลัยเดียวกับเขา

   ในวันเปิดเทอมวันแรก ผมได้เจอกับเพื่อนสนิทที่เป็นเด็กต่างจังหวัดเหมือนกัน เราสองคนดูแลกันได้ดี มันชื่อภูมิ และเป็นคนหน้าตาดี มันจึงมีคนเข้ามาหาไม่ขาดสาย ชื่อเสียงของมันทำให้ใครต่อใครรู้จักและต้องการชื่นชม ซึ่งหนึ่งในนั้นคือคนที่เป็นสาเหตุให้ผมมาที่กรุงเทพ

   “ไง” ผมเงยหน้ามองคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ตอนนั้นผมอยู่ในโรงอาหารและกำลังจะตักข้าวเข้าปากอยู่แล้วแท้ๆ

   พี่เข้…

   นี่เป็นการเจอกันอีกครั้ง

   “อ้าวพี่” มาไม่ทันให้ตั้งตัวเลย

   “สวัสดีครับน้องโต๋นแตร์แปลว่าโดดน้ำ”

   “หวัดดีครับพี่” ผมยกมือไหว้ ทะ…ทำไมพี่เขาหล่อขึ้นแบบนี้ ออร่าอย่างกับดาราแหนะ แถมหุ่นก็ดีขึ้นด้วย

   “นึกว่าจะมาเรียนนิเทศกับพี่ซะอีก” พี่เข้บอกหลังจากสำรวจชุดระเบียบคณะที่ผมใส่อยู่

   “พี่บอกให้ผมเชื่อใจตัวเองนี่นา”

   “นั่นสินะ” พี่เข้มองซ้ายมองขวา เหมือนกำลังหาอะไรบางอย่าง แถมยังทำหน้าแปลกใจที่ผมอยู่คนเดียว “เพื่อนเราคนนั้นไปไหนซะล่ะ?”

   “ภูมิเหรอครับ”

   “อื้อ” พี่เข้ยิ้ม ยิ้มเหมือนที่เขาเคยยิ้มให้ แต่ในบริบทนี้ รอยยิ้มนั้นไม่ใช่ของผมครับ

   ผมรู้สึกขายหน้า อาจคงจะเป็นเพราะหวังมากไป

   “ซื้อข้าวครับ” ผมตอบ เขี่ยใบกระเพราในจานเล่น “นั่นไงมาแล้ว”

   จังหวะนั้นพอดีที่ภูมิเดินแผ่รังสีที่เจิดจ้าไม่แพ้คนที่ยืนอยู่ก่อน เพื่อนของผมขมวดคิ้วประหลาดใจเมื่อเห็นว่าผมกำลังคุยกับคนแปลกหน้า ซึ่งดูท่าผมคงต้องแนะนำให้เขารู้จักกัน

   “ภูมิ นี่พี่เข้ พี่โรงเรียนเรา"
   “อ๋อ สวัสดีครับ” เพื่อนคนหล่อของผมโค้งหัวให้ก่อนจะนั่งฝั่งตรงข้าม

   วินาทีที่เขาสองคนมองตากัน มันเหมือนกับวงกลมสองวงที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้ข้องเกี่ยวกันเลยถูกเชื่อมกันอย่างไร้เหตุผล ผมรู้สึกหดหู่ ความรู้บางอย่างกำลังดันทุกอย่างในท้องออกมาเหมือนอยากจะอ้วก

   “หาตัวอยู่พอดีเลย”

   “…” ผมถึงกับกลืนน้ำลายเมื่อได้ยินแบบนั้น

   “หาตัวผมเหรอพี่?” ภูมิยังคงมองด้วยความสงสัย

   “พี่อยู่คณะนิเทศ ธีสิสของพี่กำลังขาดนักแสดง พี่อยากให้น้องลองมาแคสติ้งหน่อยจะโอเคมั้ยครับ”

   แล้วภูมิก็หันมามอง ทำท่าทางเหมือนกับผมเป็นผู้จัดการส่วนตัว นี่มันกำลังขอให้ช่วยตัดสินใจเหรอเนี่ย

   “มึงว่าไง”

   “ก็ช่วยพี่กูหน่อย” อยากตีปากตัวเองจัง

   “ทำดีมากโต๋น” พี่เข้ขยิบตามาให้ผม ยิ่งเพิ่มความหงุดหงิดของตัวเองเข้าไปอีก

   “ผมจะเหมาะเหรอพี่?”

   “พี่รู้ว่าเหมาะตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นแล้ว”

   “ผมขอไปซื้อน้ำก่อนนะครับ” ผมลุกขึ้นจากเก้าอี้อย่างดื้อๆ ไม่อยากทนฟังทนเห็นอะไรอีกต่อไป มันหงุดหงิดดดดด

   “เดี๋ยวกูไปด้วย” ภูมิทำท่าจะลุกตาม แต่ผมห้ามไว้

   “มึงคุยกับพี่เขาไปเหอะ” ผมยิ้ม เอาจริงคือไม่ได้โกรธภูมินะ และผมก็ไม่ได้โกรธพี่เข้ด้วย แต่ผมโกรธตัวเอง ทำไมต้องมารู้สึกแบบนี้ทั้งๆ ที่ไม่มีสิทธิ์อะไรเลย

   “มึงเอาน้ำอะไรล่ะ” ผมถามเพื่อน

   “โค้กแล้วกัน”

   ผมพยักหน้ารับ ทำท่าจะเดินออกไปแต่ก็…

   “เอาน้ำอะไรมั้ยครับพี่เข้”

   “ไม่เป็นไรเดี๋ยวพี่ไปซื้อเอง”

   “ไม่เป็นไรครับ ผมต้องไปซื้ออยู่แล้ว พี่จะได้คุยกับภูมิด้วย”

   “งั้น กาแฟมอคค่าก็ได้ครับ” พี่เข้พงกหัวขอบคุณ

   ผมยิ้มให้กับทั้งคู่ก่อนจะเดินออกไป

   แต่ผมไม่ได้ไปซื้อน้ำ… ผมเดินหลบมาอยู่หลังเสาต้นหนึ่งใกล้ๆ กับที่เก็บจาน มองดูคนทั้งสองคุยกันด้วยหัวใจที่กำลังเต้นรัว รู้สึกได้ว่าตัวเองกำลังเบะปากอยากจะร้องไห้ แต่พอคิดได้ว่าแม่งโคตรไร้สาระก็เลยเลิกสะอึกสะอื้นไป ทว่าไม่มีใครกลั้นน้ำตาไว้ได้อยู่แล้ว ผมยกแขนเสื้อขึ้นมาเช็ดของเหลวใสๆ ที่เกิดจากความรู้สึกภายในที่จุดเสียดอย่างกับเด็กอนุบาล

   ผมสะอึกอีกครั้งเมื่อพี่เข้นั่งลงยังฝั่งตรงข้ามกับภูมิ ที่นั่งของผม…

   แบบนี้สินะที่เขาเรียกว่า ‘อกหัก’ ของแท้


▀██▀─▄███▄─▀██─██▀██▀▀█
─██─███─███─██─██─██▄█
─██─▀██▄██▀─▀█▄█▀─██▀█
▄██▄▄█▀▀▀─────▀──▄██▄▄█

   [ฮัลโหลมึง เป็นอะไรหรือเปล่า] ภูมิโทรมาในคืนนึง หลายสัปดาห์ต่อจากนั้น

   “ก็ไม่ได้เป็นอะไรนิ ทำไมอะ” แหม เรื่องโกหกความรู้สึกตัวเองนี่โคตรเก่งเลย

   [กูโทรมาบอกว่ากูตกลงเล่นหนังของพี่เข้แล้วนะ]

   “อ้าว นึกว่าตกลงไปตั้งนานแล้วซะอีก”

   [ยัง… เขาก็เพิ่งส่งบทผ่าน]

   “อื่อ ดีแล้ว”

   [ไม่เป็นอะไรแน่นะ กูแคร์มึงนะโว้ย] ผมพูดได้เลยว่าจากน้ำเสียงแบบนั้น ไอ้ภูมิคงจะแคร์ผมจริงๆ ผมไม่ควรคลางแคลงใจกับมันนะ เพราะเรื่องนั้นมันก็ไม่รู้เรื่อง

   “เออ ไม่เป็นไร”

   [งั้น กูจะขอถามมึงตรงๆ นะ มึงไม่ได้เคยเป็นแฟนพี่เข้ใช่มั้ย]

   “บ้าเหรอ!” ผมสวนทันควัน

   [แล้วมึงเคยแอบชอบพี่เข้หรือเปล่า?]

   ผมเงียบทันที เงียบจนได้ยินเสียงหายใจ

   “ไอ้วอก! ไม่เคยโว้ย” ผมกลั้นใจตอบ

   [แน่นะ]

   “แน่ดิ”

   ไม่แน่หรอก….

   [คือที่ถามมึงเนี่ยเพราะกูจะบอกว่า…] เสียงหายใจของอีกฝ่ายก็ได้ยินชัดไม่แพ้กัน [พี่เข้เขาจะขอคุยกับกูว่ะ]

   ผมช็อค แต่ก็น้อยกว่าที่คิด อาจจะเป็นเพราะลึกๆ ก็รู้อยู่แล้วละมั้งว่ามันจะเป็นแบบนี้

   “เหรอ”

   เจ็บฉิบหาย

   [มึงโอเคมั้ย]

   เฮ้ย จะให้กูตอบว่ายังไงอะ แค่นี้ก็เจ็บจะแย่อยู่แล้ว

   “กูไม่ใช่พ่อมึงนะ จะคุยกับใครมึงก็คิดเองสิวะ"

   [ก็มึงเงียบไป กูใจหายนะเนี่ย]

   “กูแค่แปลกใจ ตอนมัธยมกูเห็นเขาคบกับผู้หญิงนะ”

   [นั่นน่ะสิ เขาก็บอกว่ากูเป็นผู้ชายคนแรกที่เขาจีบ]

   เออ อิจฉาจัง

   “เอาเถอะ กูยังไงก็ได้ เอาที่มึงสบายใจเลย”

   [ถ้ามึงไม่โอเคมึงบอกกูได้นะ เข้าใจปะ?]

   “กูไม่ใจร้ายขนาดนั้นหรอก”

   [เออ เดี๋ยวกูขอคิดดูอีกที] ท่าทีของภูมิดูสงบลง [พรุ่งนี้มึงอย่าลืมเอากางเกงวอร์มมานะ]

   “เออ เอาเอนะมึง”

   [สอบคู่กับกูเด็ดอยู่แล้ว ไม่มีปัญหา]

   “แค่นี้แหละ”

   ผมร้องไห้อีกครั้งหลังจากวางสาย มันทรมานเหลือเกินที่ต้องมารับรู้อะไรแบบนี้ ทางเดียวที่ผมทำได้คือต้องหาอะไรแก้ฟุ้งซ่าน ผมตัดสินใจซื้อตั๋วเครื่องบินกลับบ้านในวันหยุดยาว อยากจะหนีไปไหนไกลๆ สักหน่อยเผื่อจะทำใจง่ายขึ้น

   ผมโทรหาคนที่ผมอยากคุยด้วยมากที่สุดตอนนี้

   [มีหยังวะ?] เสียงเข้มของพี่หน่อเมือง พี่ชายของผมดังมาจากปลายสาย

   “ฮาจะโทรหาคิงบ่ได้เลยก่อ” ผมพยายามกลั้นเสียงสะอื้น

   [ฮะ!?] เสียงนั้นพูดแข่งกับดนตรีที่ดังสนั่น

   “อยู่ผับแม่นก่อ”

   [เออ เสียงมันดังบ่ได้ยิน]

   “งั้นแค่นี้ก็ได้ ฮาจะบอกคิงว่าสิ้นศุกร์นี้จะปิ๊กบ้าน คิงได้ปิ๊กเหมือนกันบ่”

   [ปิ๊กๆ …โต๋นนี่เอ็งร้องไห้อยู่ก่อวะ]

   “บ่ได้ร้อง” ผมเช็ดน้ำตาตัวเอง พยายามตั้งสติใหม่ “คิงอย่าลืมซื้อของไปฝากป้อกะแม่โตย ฮาบ่มีตังค์แล้ว”

   [เออๆ เดี๋ยวข้าจัดการเอง] พี่เมืองว่า [ไอ้โต๋น เอ็งอย่าคิดมาก ปิ๊กบ้านจะได้สบายใจ ฮาเป็นห่วงนะแต่ตอนนี้มันคุยบ่สะดวก]

   “เออ คิงเที่ยวให้สนุกเตอะ ไว้คุยกัน”

   [กูฮักเอ็งเน้อ อย่าน้อยใจ เดี๋ยวป๊ะกันแหม]

   ผมวางสายจากพี่ชาย พี่เมืองเป็นพี่ชายแท้ๆ ของผมเลยล่ะครับ แต่ดุยิ่งกว่าพ่อแม่ซะอีก ซึ่งตอนนี้เขาทำงานเป็นวิศวกรแถวๆ ภาคใต้ นานๆ ทีถึงจะได้กลับบ้านเหมือนกัน

   โอเค หวังว่าการอยู่กันพร้อมหน้าทั้งครอบครัวแบบนี้จะช่วยให้ผมสบายใจขึ้นมาได้บ้างนะ

▀██▀─▄███▄─▀██─██▀██▀▀█
─██─███─███─██─██─██▄█
─██─▀██▄██▀─▀█▄█▀─██▀█
▄██▄▄█▀▀▀─────▀──▄██▄▄█


[อ่านต่อด้านล่าง]
เกิน 2000 ตัวอักษรครับ


   
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-12-2018 01:30:14 โดย theneoclassic »

ออฟไลน์ theneoclassic

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 219
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +217/-3
ผมลุกเดินออกจากโรงหนังเมื่อมันขึ้นเอ็นเครดิต เสียงปรบมือเกลียวกราวไล่หลังมากันยกใหญ่ อาจจะเป็นเพราะมีแฟนคลับพี่เข้เข้ามาร่วมชมด้วยก็ได้ ตอนนี้เขาเป็นถึงดีเจชื่อดังแล้วนี่นะ

   ผมไม่รู้จะอยู่ต่อทำไมให้อึดอัดก็ว่าจะกลับเลยดีกว่า มีนัดกินข้าวกับพี่เมืองอยู่แล้วด้วย

   “โต๋น” เสียงหนึ่งแว่วมาจากข้างหลัง พี่เข้นั่นเอง เขาหนีพวกแฟนคลับตัวเองมาได้ยังไงนะ

   “ครับ?”

   “มาดูทำไมไม่บอกพี่” เขาพูดแข่งกับเสียงหอบ

   “ผมเห็นแฟนคลับพี่เยอะก็เลยหนีออกมาดีกว่า”

   “แต่เราเป็นน้องพี่นะ ไม่คิดจะเข้ามาแสดงความยินดีเลยหรือไง”

   “ขอโทษจริงๆ ครับ ผมไม่รู้จะให้อะไร พี่คงมีหมดแล้ว” หน้าที่การงานดีขึ้นในเวลาไม่ถึงหนึ่งปี แบบนี้คนเราจะต้องการอะไรอีกล่ะครับ

   “ได้ติดต่อภูมิบ้างมั้ย”

   อ้อ…เนื้อคงอยู่ตรงนี้สินะ

   “ไม่เลยครับ”

   ภูมิไปแล้วครับ… หลังจากที่คบกันกับพี่เข้ ก็ดูเหมือนว่าภูมิจะมีปัญหาตลอด ทั้งๆ ที่มันเป็นเด็กเรียนดี ภูมิขาดเรียนวันเว้นวันจนน่าสงสัย แถมวันหนึ่งกลับบอกว่าจะซิ่วซะอย่างนั้น ตอนแรกผมคิดว่ามันจะพูดเล่นๆ แต่ไม่นานมันก็หายตัวไปจากรุ่นอย่างดื้อๆ พอโทรไปถามก็บอกแค่ว่านี่ไม่ใช่ที่สำหรับมัน

   ส่วนเรื่องความรัก มันบอกว่าพี่เข้ไม่ใช่สิ่งที่มันต้องการ ถึงยังไงก็เถอะ พอฟังแล้วมันก็อดรู้สึกเห็นใจทั้งคู่ไม่ได้

   “หายไปไหนของเขา”

   “พี่ลองติดต่อไปทางบ้านเขาสิครับ”

   “ลองแล้ว ทุกคนเขาไม่ชอบพี่”

   “อ๋อครับ”

   ทำไมมีแต่คนไม่ชอบพี่

   แต่ผมชอบนะ…

   “ดีใจด้วยนะครับพี่ ผมรอเห็นพี่เจริญในหน้าที่การงานนะ”

   “ขอบใจมาก” พี่เข้ยิ้มแบบเดิมมาให้ มันกระตุ้นอะไรบางอย่างในใจผมขึ้นมาอีกครั้ง “วันนี้ว่างมั้ย ไปหาอะไรกินกันได้หรือเปล่า”

   “เอ่อ…”

   “แต่คงไม่ใช่ที่นี่นะ แม่งไม่ค่อยส่วนตัวว่ะ”

   “ผมมีนัดกับพี่ชายแล้วครับ ขอโทษจริงๆ นะ”

   ผมรู้สึกผิดหวังขั้นสุด นี่มันเกินคาดจากที่คิดไว้ พี่เข้ชวนผมกินข้าวเชียวนะ

   “งั้นไม่เป็นไร พี่คงต้องหาอะไรทำแก้เบื่อสักหน่อย”

   “โชคดีนะพี่”

   “โต๋น”

   “ครับ?”

   “มาหาพี่วันรับปริญญาด้วยนะ”

   ผมเห็นแววตาความเหนื่อยอ่อนผ่านออร่าดาราที่ปลกคลุมตัวเขา ตอนนี้พี่เข้คงอยากจะคุยกับใครสักคน ใครก็ตามที่สามารถจะอยู่เป็นเพื่อนได้

   แต่ว่าตอนนี้ผมไม่พร้อมน่ะสิ

   RRRRRRRR.

   “พี่ผมโทรมาแล้ว ไปก่อนนะครับ”

   “อื้ม โชคดี”

   “หนังสนุกดีนะครับ” ผมพูดอย่างไม่โกหก “มันเป็นงานที่ตั้งใจมากเลย”

   “ขอบใจมากนะ ไว้เจอกัน”

   “แน่นอนครับ”

   แล้วผมก็เดินออกไป

   ขอแค่ให้เขาพูด ผมพร้อมจะเจอเขาเสมอแหละ


▀██▀─▄███▄─▀██─██▀██▀▀█
─██─███─███─██─██─██▄█
─██─▀██▄██▀─▀█▄█▀─██▀█
▄██▄▄█▀▀▀─────▀──▄██▄▄█


   เวลาผ่านไปเร็วเหลือเกิน ผมขึ้นปีสอง และงานรับปริญญาก็มาถึงแล้ว ผมวิ่งไปหาย่ารหัสที่แสนคิดถึงพร้อมกับตุ๊กตาหมีตัวใหญ่ จากนั้นก็ให้ดอกไม้กับพวกรุ่นพี่ที่แต่ก่อนว้ากเอาว้ากเอา ซึ่งทุกคนน่ารักมากเลย ต่างจากแต่ก่อนลิบลับ

   และผมก็เดินไปยังตึกนิเทศ เสียงกรี๊ดกรีดร้องจากแฟนคลับพี่เข้ยังเหนียวแน่นจริงๆ

   ตอนนี้ผมเห็นพี่เข้อยู่ในวงล้อมของพวกปีหนึ่งที่กำลังรุมบูมขอเงิน พี่แกก็ใจปล้ำจ่ายแบงค์สีเทาซะด้วย ระหว่างที่ผมเดินเข้าไปนั้น เกิดเสียงซุบซิบกันระงมไปหมด นั่นก็เพราะผมแบกตุ๊กตาจระเข้ตัวใหญ่สีเขียวเข้มไว้บนบ่า ซึ่งทำให้พี่เข้เห็นผมได้ชัดเจนขึ้น และเขากำลังเดินตรงเข้ามาหาผมอยู่แล้วถ้าไม่ใช่…

   “ของจากแฟนคลับรวมกันไว้ที่ด้านนี้นะคะ” ผู้หญิงคนหนึ่งเข้ามากระชากจระเข้ยักษ์ของผมออก เธอมีใบหน้าที่ดูจริงจังและวางท่าผู้นำ ผมเดาว่านี่น่าจะเป็นหัวหน้าแฟนคลับแน่นอน

   “คือ…ผมเป็น”

   “ทำตามกฎด้วยค่ะ” เธอวางตุ๊กตาของผมกระแทกไว้กับพื้นรวมกับของชิ้นอื่นๆ จากแฟนคลับ

   “ผม…”

   “ถ้าจะถ่ายรูปก็กรุณาต่อคิวด้วยนะคะ” เธอผายมือไปยังแถวที่ยาวเหยียด

   “เอ่อ จริงๆ แล้ว”

   “โต๋น!” เสียงพี่เข้เรียกผมทำให้ทุกคนฮือฮา

   “ครับพี่” ผมหันไปยิ้มให้ ตอนนี้หัวหน้าแฟนคลับจ๋อยไปเลย

   “ถ่ายรูปกัน” เขากวักมือเรียกตากล้องให้ตามมา ผมยังเอ๋ออยู่ก็เลยตามไม่ทัน

   “จะอ้าปากหวอเหรอในรูปน่ะ ไปหยิบตุ๊กตาจระเข้มาสิ”

   “ครับๆ” ผมทำอย่างที่เขาว่า แล้วจากนั้นพี่เข้ก็กอดคอผม

   หัวใจผมเต้นอีกแล้ว ผมยังไม่เลิกชอบผู้ชายคนนี้อีกเหรอวะเนี่ย

   ผมยิ้มแก้มแทบแตก พยายามเก็บอารมณ์ให้อยู่ ส่วนหนึ่งเพราะไม่อยากโดนแฟนคลับรุมสาปแช่งด้วย

   “ยินดีด้วยนะพี่” ผมบอก ส่งตุ๊กตาไปให้

   “ขอบคุณครับ เรารู้จักกันมานานแล้วเนอะ แต่เรายังไม่เคยถ่ายรูปด้วยกันเลย”

   “ครับ…

   “นี่” พี่เข้กระซิบ “เอามือถือออกมาเซลฟี่กัน”

   ผมล้วงไอโฟนออกมาจากกระเป๋า พี่เข้คว้ามันไปทำท่าจะเป็นคนถ่ายเอง

   “ยิ้ม"

   เอ่อ…ผมยิ้มอยู่ครับพี่

   แชะ!

   “ส่งให้พี่ด้วยนะ” อีกฝ่ายยื่นโทรศัพท์คืนให้

   “ผมขอไลน์หน่อย” ผมทำท่าจะกดแอด

   “พี่พิมพ์ให้ดีกว่า” เขาหยิบโทรศัพท์ผมไปกดยุกยิกอีกรอบ “เรียบร้อย”

   ผมคว้ามันมาดูเพื่อความแน่ใจ

   Crocodile is a new friend

   อื้อหือ ดีต่อใจจัง รอวันนี้มานานแสนนาน

   “ยิ้มอะไร” เสียงของพี่เข้ทำให้ผมเพิ่งรู้ตัวว่ากำลังทำอย่างนั้นจริงๆ

   “ก็… ตลกดีอะพี่” ผมหัวเราะ “จริงๆ เราควรจะมีอะไรติดต่อกันได้นานแล้ว แต่ทุกครั้งแม่งมีอะไรเข้ามาขัดตลอด”

   “นั่นสิเนอะ”

   “โชคดีนะครับ”

   “มีโอกาสคงได้เจอกันอีกนะ”

   “ผมคงได้เห็นพี่ในทีวีตลอดแหละ” ผมแซว จากนั้นก็ค่อยๆ ถอยห่างออกมา

   พี่เข้ผงกหัวให้และหันกลับไปสนใจแฟนคลับตัวเองต่อ

   นั่นเป็นการเจอกันครั้งล่าสุด ของเราสองคน


▀██▀─▄███▄─▀██─██▀██▀▀█
─██─███─███─██─██─██▄█
─██─▀██▄██▀─▀█▄█▀─██▀█
▄██▄▄█▀▀▀─────▀──▄██▄▄█


   หลายปีผ่านไป จากดีเจเข้ก็กลายเป็นนักแสดงและพิธีกรชื่อดังอันดับต้นๆ ของประเทศ เขาคบใครต่อใครมากหน้าหลายตา แต่ด้วยความที่เราจากกันด้วยความประทับใจ ทำให้ผมยังรู้สึกกับเขาในฐานะหนึ่งในใจเสมอ ผมเคยไลน์ไปบอกเขาว่า

   ‘ผมจะรับปริญญาวันที่ xx นี้แล้วนะครับ’

   ซึ่งเขาก็ยังใจดีสละเวลามาตอบ

   ‘ดีใจด้วยนะ แต่พี่ไปไม่ได้แน่ๆ เลย พอดีมีงาน เป็นเด็กดีนะครับ เอาใบปริญญามาโชว์ด้วยนะ แล้วพี่จะพาไปกินข้าวกัน’

   ซึ่งเมื่อวันนั้นมาถึง ผมก็ซื่อจนอยากจะตบหัวตัวเอง

   Tontae ส่งรูปภาพ

   ผมถ่ายรูปใบปริญญาส่งไปหาเขาจริงๆ โอ๊ยยยยยยยยย ฮ่าๆๆๆๆ ขำแบบเขินๆ

   เงียบ… ไม่มีอะไรตอบรับ

   จากวันเป็นสัปดาห์ เป็นเดือน จนคิดอยู่ว่าเขาอาจจะตายแล้วก็ได้ถึงไม่ตอบ

แต่เขาแต่จะตายได้ยังไงวะ ก็พี่เข้ยังโชว์หน้าหล่อๆ ในทีวีอยู่เลย แบบนี้จงใจแน่ๆ เฮ้อ แอบรู้สึกผิดหวังนะเนี่ย




   และในวันหนึ่ง ขณะที่ผมกำลังหางานทำ และมีความคิดแวบขึ้นมาว่าจะกลับไปอยู่แพร่ บางสิ่งบางอย่างก็เด้งมาที่หน้าฟีดในเฟสบุ๊ค

   ‘รายการทรมานบันเทิง ประกาศรับสมัคร Creative’

   ผมหรี่ตามองพร้อมกับครุ่นคิด รายการนี้มันคุ้นๆ แฮะ

   และเสียงหนึ่งก็แวบเข้ามาในหัวเป็นคำเฉลย



   “สวัสดีครับ พบกับรายการบันเทิงสุดเอ๊กซ์ตรีม โหด มันส์ เดือดพล่าน
ของคนในวงการกับผม ดีเจจระเข้คนเดิม
อยู่กันทุกคืนวันเสาร์แบบนี้ ห้ามผิดนัดเชียวนะครับ”




   เฮ้ย! นี่มันรายการที่พี่เข้เป็นพิธีกรอยู่นี่หว่า ที่ชอบเอาดาราดังๆ มาสัมภาษณ์พร้อมกับแกล้งกันออกทีวี ดังมากกก ได้ข่าวว่าเรตติ้งดีเชียว

   ‘รายการทรมานบันเทิงรับสมัคร Creative
   ถ้าคุณมีหัวคิด สร้างสรรค์ สัปดน ทำอะไรแผลงๆ
   คุณเหมาะกับเรา! ส่งประวัติและผลงานที่เคยทำมาที่ gonetv@xxx.com’


   ผมกัดปากตัวเองจนรู้สึกเจ็บไปหมด…

   นี่ไง โอกาสของคิงมาถึงแล้วไอ้โต๋น โอกาสที่จะได้เจอพี่เข้อีกครั้ง ให้ตายสิ อะไรมันจะประจวบเหมาะขนาดนี้วะ

   ผมจัดการเปิดอีเมล ลากเรซูเมและพอตฯ ลงร่างข้อความอย่างไม่คิด พร้อมกับ…หยิบไอแพตที่วางไว้ข้างตัวพร้อมกับเสิร์ชกูเกิ้ล

   You looking for ... ‘เทพทันใจ’

   ผมเซฟรูปและเปิดมันตั้งไว้ข้างจอพีซี ยกมือห้านิ้วขึ้นพนมพร้อมกับท่องในใจ ซึ่งคุณคงรู้อยู่แล้วว่าผมจะขออะไรใช่มั้ยล่ะ

   และเมื่อเสร็จสิ้นการอธิษฐาน ผมก็คลิกส่งอีเมลไปด้วยนิ้วชี้

   เอาวะ! ขอลองอีกสักตั้ง ถ้าเวลาไม่เคยตรงกันสักที งั้นก็ขอให้มันเจอหน้าทั้งวันทั้งคืนเลย ดูสิจะเป็นยังไง คราวนี้แหละ ไม่สมหวังก็ไม่รู้จะยังไงแล้ว บ่าฮ่ายอกเอ๊ยยยย!


จบตอน



 :o8: :o8: :o8: :o8: :o8: :o8:

Author Talks : สวัสดีครับ นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องใหม่ของผม theneoclassic เอง
#ทรมานบันเทิง เรื่องนี้เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับชะตากรรมของละอ่อนเหนือที่ดั้นด้นทุกอย่างเพื่อคนที่แอบรัก

เรื่องนี้มาประเด็นเบาๆ หน่อย ออกแนว Rom-Com ไม่เครียดเท่าเรื่องที่แล้วแน่นอนครับ

ฝากบวกเป็ด หรือแชร์นิยายเรื่องนี้ รวมถึงติด #ทรมานบันเทิง
สนับสนุนหนุ่มกรุงเทพคนนี้ด้วยนะครับ จะตามเข้าไปดูฟีดแบคแฮะๆๆๆ

แวะมาพูดคุยกันได้ที่ https://www.facebook.com/thene0classic นะครับบบ <3
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-08-2017 20:05:06 โดย theneoclassic »

ออฟไลน์ ก้มหน้าก้มตา

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 137
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
ง่ะ กำลังสนุกเลย
แต่หาด้านล่างไม่เจอ

^^

รออ่านนะคะ

ออฟไลน์ theneoclassic

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 219
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +217/-3
ง่ะ กำลังสนุกเลย
แต่หาด้านล่างไม่เจอ

^^

รออ่านนะคะ

ง่ะ อ่านต่อได้ที่ด้านบนเลยครับ
สงสัยผมลงติดกันช้าไปหน่อยคุณไม่ทันได้รีเฟรชแน่เลย ขอโทษด้วยนะคร้าบบบ

ออฟไลน์ ฮิ้วฮิ้ว

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 3
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ดีใจมากเลยค่ะ ที่มีตัวละครเป็นคนแพร่เหมือนเรา เวลาอ่านในใจก็อ่านเป็นคำเมืองเลยค่ะ สนุกดี ตั้งแต่เกิดมาเพิ่งได้ยินคำว่าโต๋นแตร์ ดูเป็นความรู้ใหม่เลยดี ติดตามนะคะ

ปล.พี่เข้กับน้องโต๋นเป็นผึ้งน้อยหรือลูกนางแก้วนะ

ออฟไลน์ theneoclassic

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 219
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +217/-3
1

‘โต๋น’ บ่จ้าย ‘กระโถน’


   หาววววววว

   ผมอ้าปากหวออยู่หน้ากระจกในห้องน้ำ

   วันนี้เป็นวันแรกของการเริ่มงานใหม่ ไม่รู้ว่าจะไปทันมั้ยก็เลยตื่นมันซะเช้าเพื่อเตรียมตัว ชีวิตการทำงานจะเป็นยังไงบ้างนะ ทำงานก็ไม่ค่อยจะตรงสายซะด้วยสิ แต่อย่างว่าแหละ เรียนจบการแสดงไม่ได้หมายความว่าจะเป็นนักแสดงได้อย่างเดียวซะหน่อยนี่เนอะ คนขี้เหร่อย่างผมนี่หมดสิทธิ์ตั้งแต่คิดแล้วด้วยซ้ำ

   หลังจากเริ่มสดชื่นเมื่ออาบน้ำก็ถึงเวลาแต่งตัว ผมเหนื่อยกับการจะหวีผมให้ตรงเลยวางหวีอย่างยอมแพ้ เพราะธรรมชาติของผมมันเป็นคนผมหยักศก หวีไปกีทีก็ฟูฟ่องพันกันเหมือนเดิม ว่าจะไปยืดหลายครั้งแล้วนะแต่ไม่มีเวลาเลย สงสัยต้องใส่ไว้ในลิสเรื่องที่จะทำประจำสัปดาห์นี้แล้วมั้ง

   งานเข้าสิบโมง แต่แปดโมงครึ่งผมก็อยู่หน้าตึกสำนักงานใหญ่ใจกลางเมืองซะแล้ว ไม่ค่อยจะเห่อเลยเรา

   “ติตต่อเรื่องอะไรครับ”

   ยามหน้าชั้นสิบเก้า ซึ่งเป็นที่ตั้งของที่ทำงานผมถามขึ้น

   “ผมมาเริ่มงานวันแรกครับ”

   “อ๋อ งั้นพี่ขอชื่อหน่อย” ลุงยามเปิดสมุด หนาอย่างกับบัญชีหนังหมาแหนะ

   “โต๋นครับ”

   “ฮะ คนเหนือกะ?”

   “เอ๊า ตั๋วก็คนเหนือก่อ?”

   “แม่น ลำปูน” ลุงยิ้มอย่างภูมิใจ โอ๊ยยยย โชคดีแล้วเจอคนบ้านเดียวกัน

   “โอ้ ผมคนแป้ครับ” ด้วยความดีใจผมเลยแบ่งน้ำพริกหนุ่มกับไส้อั่วให้ลุงแกไปหน่อยนึง มาจากที่เดียวกันคงต้องผูกมิตรกันไว้

   “ผมไปก่อนนะครับ”

   “ได้เลยไอ้หนุ่ม ขอบใจนะ”

   หลังจากยิ้มแป้นเพราะถูกต้อนรับจากคนบ้านเดียวกันไปแล้ว ผมก็เดินเข้าไปในแผนก ซึ่งที่นี่คือ ‘บ้านบันเทิง’ หน่วยงานผลิตรายการบันเทิงหลักที่ป้อนให้กับช่อง ซึ่งแน่นอนครับรายการที่ผมรับผิดชอบนั้นก็อยู่ในแผนกนี้

   ด้วยความที่เช้ามาก ออฟฟิสก็จะเงียบๆ หน่อย แต่ดูเหมือนเจ้านายผมก็ดูเป็นคนมาเช้าแฮะ

   “สวัสดีจ้าโต๋น” พี่ป่าน ผู้มีศักดิ์เป็นหัวหน้าผมยิ้มทักทาย เธอกำลังยุ่งกับหน้าจอคอมพิวเตอร์อยู่

   “สวัสดีครับ แฮะๆ ตื่นเต้นจัง”

   “มิน่ามาซะเช้าเชียว” พี่ป่านชี้ให้นั่งบนเก้าอี้ จากนั้นเธอก็เดินมาหาผม “นี่เป็นสคริปต์นะ โชคดีมากที่เราถ่ายกันวันนี้ โต๋นจะได้เตรียมตัวสำหรับเทปหน้า”

   ผมรับมันมา “ผมใช้เป็นต้นแบบได้เลยใช่มั้ยครับ”

   “ใช่จ้า” พี่ป่านยิ้ม “เราจะถ่ายกันตอนบ่ายสอง เราเป็นรายการรายสัปดาห์อาจจะดูน่าเบื่อไปหน่อยก็อย่าเพิ่งหนีกันไปนะ”

   “ไม่มีทางเบื่อหรอกครับ เดี๋ยวงานหายากจะตาย”

   “คิกๆ พี่จะคอยดูจ้า” พี่ป่านสะบัดหางม้าไปมา เธอเป็นคนสวยแต่ก็ดูมีอารมณ์ขันไปพร้อมกัน “เดี๋ยวคนจะเริ่มมากันแล้ว คนที่นี่เสียงดังหน่อย แต่ไม่ค่อยมีพิษมีภัยนะจ๊ะ”

   “โอเคครับ”

   “มีอะไรสงสัยถามพี่ได้เลยนะ”

   “ได้เลยครับ” ผมยื่นถุงของฝากให้กับหัวหน้าสาว “ผมเอามาให้ครับ”

   “โอ๊ยยย ของชอบ จริงสิโต๋นเป็นคนเหนือนี่นา” เธอรับมันไปอย่างดีใจ “แล้วโต๋นแปลว่าอะไรเหรอจ๊ะ”

   “จริงๆ เต็มๆ คือโต๋นแตร์ครับ แปลว่าโดดน้ำ”

   “ชื่อน่ารักเชียว เหมาะกับคนแบ๊วๆ แบบหนูเลยนะ”

   เดี๋ยวนะ กูแบ๊วเหรอครับเนี่ยเพิ่งรู้

   โอ๊ยยย เสียเซลฟ์

   “เวลามีอะไรมาแบ่งกันกินก็เอาไว้ตรงนี้แหละ” พี่ป่านวางของพวกนั้นไว้ยังโต๊ะเล็กๆ กึ่งกลางของออฟฟิศ “คนอื่นๆ จะได้กินกันด้วย”

   “เข้าใจแล้วครับ”

   “พี่ไปซื้อกาแฟก่อนนะ จะเอาอะไรมั้ยเอ่ย”

   “ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมไปซื้อเอง”

   “ได้เลยจ้า ระหว่างนี้ถ้าใครมาทำหน้างงใส่ แนะนำตัวไปเลยนะว่าเป็นเด็กพี่”

   “โอเคครับ”

   ผมนั่งลงยังโต๊ะทำงานของตัวเอง ซากอารยะธรรมการตกแต่งจากคนเก่ายังคงอยู่

   หลังจากเปิดคอมผมก็สูดหายใจเข้าลึกๆ

   เอาล่ะ ชีวิตการทำงานเริ่มขึ้นแล้ว




   “ชื่ออะไรอะ” เสียงทุ้มอย่างกับพระเอกหนักพากษ์ดังขึ้นพร้อมกับการปรากฏตัวของชายหนุ่มเสื้อเชิ้ตสีขาว เขาเท้าแขนกับคอกโต๊ะทำงานผมมองด้วยตางัวเงีย ผมเผ้ากระเจิดกระเจิงเหมือนคนนั่งวินมาทำงาน ดูจากองค์ประกอบโดยรวมแล้ว เขาคงเป็นคนไม่ค่อยใส่ใจรายละเอียดเท่าไหร่นักละมั้ง

   “ครับ?” ผมยังงงอยู่เพราะตกใจกับร่างกายที่สูงใหญ่ของเขา

   “ชื่อครับ?” หมอนั่นเลิกคิ้วมอง

   “เอ่อไม่ใช่ๆ” ผมโบกมือ “ผมชื่อโต๋นครับ”

   “ประหลาด”

   “ฮะ!?”

   “ชื่ออะ ประหลาด…”

   “แล้วต้องชื่ออะไรล่ะครับ” ผมถามเขากลับ

   “จะไปรู้เหรอ” เขายืดตัวบิดขี้เกียจ “เราเดียร์”

   “นั่นมันชื่อผู้หญิงไม่ใช่เหรอครับ”

   เวรแล้ว ไม่น่าพูดออกไปแบบนั้นเลย ไอ้คนตัวใหญ่นี่มองตาเขม็งเชียว

   “ปากดี”

   “เอ๊า ด่าผมทำไม”

   “ไม่ได้ด่า แค่บอกว่าปากดี”

   “นั่นแหละคำด่าครับ”

   “เลิกพูดครับเถอะ จะอ้วก”

   “เอ๊า” ผมเริ่มโมโหแล้วนะ “อะไรของนายเนี่ย”

   “ไม่เคยพูดคำหยาบเลยหรือไง”

   “ใครจะไม่เคย”

   “งั้นพูดคำหยาบกับกูสิ”

   “บ้า คำหยาบเขาไว้ใช้กับคนสนิทกัน” อยู่ๆ จะให้ใช้กับใครก็ไม่รู้ในที่ทำงานวันแรกเหรอ บ้าไปแล้ว

   “งั้นกูอยากสนิทกับมึง”

   “ฮะ!?” อะไรวะ งงไปหมดแล้ว

   “ไม่อยากมีเพื่อนหรือไง จะอยู่ตัวคนเดียวว่างั้น?”

   “นี่คือการผูกมิตรของนายเหรอ?”

   “มึง…”

   “เออ นี่คือการผูกมิตรของมึงหรือไง” ผมจ้องไปยังคนที่คุยด้วย

   “อืม”

   อะไรของเขาวะ อยากผูกมิตร แต่ความเป็นมิตรต่ำเหลือเกิน

   “คิกๆ เดียร์อย่าแกล้งลูกน้องพี่สิ” พี่ป่านที่นั่งฟังอยู่นานหัวเราะขำขันพร้อมกับเดินเข้ามา “โต๋นพี่ว่าเราไปเตรียมตัวถ่ายกันเถอะจ้ะ เข้มาแล้ว”

   ผมหูผึ่งทันทีเมื่อได้ยินชื่อนั้น ผมเลิกสนใจไอ้คนตรงหน้าไปโดยปริยาย

   “ได้เลยครับ” พี่ป่านจะสังเกตมั้ยวะว่าผมกระตือรือร้นเกินเหตุ

   “มึง…” ขณะที่ผมกำลังจะเดินตามพี่ป่านไปเสียงจากไอ้เดียรก็มาชะงักขาผมไว้ซะก่อน ไอ้กรังคนนั้นยื่นอะไรบางอย่างมาให้ มีจังหวะหนึ่งที่ผมกระตุกตัวหนี เพราะคิดว่ามันกำลังถือปืนจี้มา แต่ไม่ใช่ครับ

   “ให้” เมื่อเห็นชัดๆ ก็พบว่ามันคือซองลูกอม

   “หืม?” ผมงงนิดหน่อยแต่ก็รับมาโดยดี

   “ตั้งใจทำงานนะ” เสียงนั้นอ่อนลงกว่าแต่เดิมนิดหน่อย

   “เอ่อ…” ยังไงดีละวะ “ขอบคุณ”

   แต่ผมไม่รอให้มันพูดอะไรต่อ รีบวิ่งตามหัวหน้าให้ทันจะดีกว่าครับ




   สตูดิโออยู่คนละชั้นกับออฟฟิศ ที่นี่มีฉากของหลายรายการเลย แต่ที่ดูคึกคักและมีการจัดไฟอย่างเตรียมพร้อมมีอยู่จุดเดียว ผมเคยเห็นในทีวีจึงจำได้ว่านี่คือฉากของรายการทรมานบันเทิงซึ่งผมกำลังจะได้รับผิดชอบอย่างเต็มตัว

   ผมเดินตามพี่ป่านเข้าไปใกล้ฉากมากขึ้นกว่าเดิม และแทบจะหยุดหายใจเมื่อเห็นใครกำลังยืนอยู่ตรงนั้น

   พี่เข้ในชุดลำลองสบายๆ เดินไปเดินมาในฉาก แม้จะยังแต่งหน้าทำผมไม่เสร็จเขาก็ดูดีเกินพอแล้วสำหรับผม ในมือเขาถือสคริปต์เพื่อทบทวนสิ่งที่ต้องทำ แต่แล้วสายตานั้นก็ละขึ้นมาเห็นผมจนได้ เหี้ยยยยย เขามองผมแล้ว!

   “เฮ้ยมึงอะ!” เสียงตะโกนเล่นผมสะดุ้งจนต้องมองตัวเอง เวรเอ๊ย กูเดินเข้ามาในฉากตั้งแต่เมื่อไหร่

   ผมหันไปทางต้นเสียง แล้วผมก็พบว่านั่นคือตากล้องคนหนึ่งกำลังทำหน้าหงุดหงิดอยู่ ผมสั้นหนวดเครารุงรังนั้นคงจะดูสกปรกสำหรับใครบางคน (เหมือนไอ้เดียร์) แต่กับเขามันช่างขับให้ใบหน้านั้นคมเข้มแบบไทยๆ ให้ดูดีขึ้นไปอีก ซึ่งโอเค… ตัดเรื่องหูที่ไม่สวยออกไปหน่อย (คนบ้าที่ไหนมันมองหูเป็นอย่างแรกวะ) แต่ตา จมูก ปาก เมื่อรวมกันแล้วมันดีเหลือเกิน ลุคของเขาอย่างกับพวกเจ้าชู้ๆ ทำหน้ากรุ่มกริ่มในซีรีส์ยังไงยังงั้นเลยแหละ ทำไงกูจะหล่อได้ครึ่งของมันมั่งว้า

   “เอ๊า มองหน้ากูทำไมครับ! หลบ!”

   เชี่ยยยย ลืมไปว่าเขากำลังด่ากู

   โอ๊ย รีบออกจากฉากให้ไวเลย

   “ฮ่าๆ บังกล้องซะมิดเลยน้อง” พี่เข้เห็นว่าเป็นเรื่องตลกหรือไง

   เออ ก็โอเค ถ้าพี่เข้ขำผมให้อภัย

   “ไปทำอะไรตรงนั้นจ๊ะ คิกๆ” พี่ป่านเดินเข้ามาถาม

   “ขอโทษทีพี่ สงสัยผมจะเบลอ”

   “ช่างมันๆ นี่คือฉากรายการนะ ส่วนพวกนี้จะเป็นทีมตากล้องของเรา” พี่ป่านชี้ไปยังคนหลังกล้องสามตัว “คนเมื่อกี้ชื่อโปเต้ เป็นเซ็นเตอร์รับผิดชอบรายการนี้โดยตรง ส่วนอีกสองคนจะหมุนเวียนกันมาจ้ะ”

   ผมมองไปยังเจ้าของชื่อ โปเต้…ขนมอะนะ? กรอบเกลียวเคี้ยวโปเต้

   “ชื่อประหลาด” ผมเผลอพูดออกมา

   “แหม ไม่มีใครปกติเหมือนโต๋นแตร์หรอกจ้ะ” พี่ป่านแซว เล่นเอาผมเกาหัวเก้อๆ เอ๊าได้ยินด้วยเหรอเนี่ย “พอเราถ่ายเสร็จ โปเต้จะเอาการ์ดมาให้ โต๋นก็เอาไปให้ตัดต่อ พอลงฟุตเทจเสร็จแล้วก็รีบเอาการ์ดไปคืนที่เขานะ”

   “คนตัดต่อรายการเราคือใครเหรอครับ”

   “อ้าวก็เดียร์ไง คนที่โต๋นคุยด้วยนั่นแหละ”

   เยี่ยม…จะต้องร่วมกันกับพ่อกรังอีกนานเลย

   “เข้าใจแล้วครับ” ผมพยักหน้ารับ

   “ดีมากจ้ะ …เออ เข้!” พี่ป่านโบกมือเรียกชื่อพิธีกร พี่เข้คงรันคิวเสร็จพอดี

   “สวัสดีครับพี่ป่าน มีอะไรเอ่ย”

   “นี่ครีเอทีฟใหม่ของพี่จ้ะ ชื่อ…” ยังไม่ทันที่พี่ป่านพูดจบก็มีเสียงแทรกขึ้นมาซะก่อน

   “ไม่เห็นจะได้เรื่อง”

   ตากล้องที่ชื่อโปเต้พูดออกมาลอยๆ พอผมหันไปมองก็ทำเป็นตั้งค่าตัวกล้องอย่างกับว่าคำพูดเมื่อกี้ไม่ได้ออกจากปากเขา ไม่ได้โง่นะไอ้หนวด

   “ยินดีที่ได้รู้จักครับ อายุเท่าไหร่หว่า” พี่เข้ถาม

   เดี๋ยวนะ…

   เอาแล้วไง นี่พี่เข้จำผมไม่ได้เหรอเนี่ย!?

   “เอ่อ…” เอาไงดีวะ บอกดีมั้ย “ยี่สิบสองครับ”

   “โอ้โหยังเด็กอยู่เลย” พี่เข้ตบบ่าผมเบาๆ “สู้ๆ นะ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยครับ”

   เวร! เกมทวิสต์! ทำไมมันกลายเป็นแบบนี้ได้ล่ะเนี่ย

   “พี่ป่านครับ เข้อยากจะคุยเรื่องคิวถ่ายกับพี่หน่อย สะดวกมั้ยเอ่ย”

   “ได้เลยจ้ะ” พี่ป่านพยักหน้าก่อนจะหันมาบอกผม “เดินเล่นแถวนี้ไปก่อนนะจ๊ะ”

   หลังจากทั้งคู่เดินไปแล้ว ก็ยังเป็นผมที่ยืนงงแดกอยู่ตรงนี้ อะไรวะเนี่ย ทำไมเขาจำไม่ได้ล่ะ ผมก็ไม่ได้เปลี่ยนไปมากขนาดนั้นสักหน่อย

   แต่…พออยู่ใกล้ๆ เขายังน่ารักเหมือนเดิมเลย คิดถึงจังรู้มั้ยเนี่ยยย ฮึ่ยยยย

   “เมาเนื้อเหรอยิ้มอยู่ได้”

   ผมหุบปากลงทันทีเมื่อได้ยินเสียงนั้น เมื่อหันไปมองก็เห็นตากล้องที่ชื่อโปเต้อมจูปาจุ๊บพร้อมกับมองมาทางนี้อยู่ก่อนแล้ว

   อยากจะด่านะ แต่ช่างแม่ง วันแรกก็ผูกมิตรไปก่อนแล้วกัน

   “ขอโทษทีนะครับที่เข้าไปในฉาก”

   “หึ” คนตรงนั้นยักไหล่ “ดีนะแค่ลองไฟ ถ้าถ่ายจริงขึ้นมามึงซวยแน่”

   โอ๊ย คนที่นี่เขาชอบใช้ภาษาพ่อขุนรามกันหรือไงวะ

   ใจเย็น…เอาหน่า ต้องผูกมิตรๆ

   ผมเดินเข้าไปใกล้ตากล้องมากกว่าเดิม ดูมันทำท่าประหลาดใจแทบจะขยับตัวลุกหนีออกจากเก้าอี้

   “เราชื่อโต๋นแตร์” ผมแนะนำตัวพร้อมกับยื่นมือออกไปหวังจะทักทาย

   “ใครถาม” อีกฝ่ายตอบอย่างไม่แคร์ จนผมต้องชักมือกลับมา
   
   “อ่า…” แล้วกูก็เงิบอีกครั้ง

   ไม่คุยด้วยแล้วก็ได้วะ

   “จะไปไหน” โปเต้ถามเมื่อผมจะเดินหนี

   “อ้าว ก็คิดว่าไม่อยากคุยด้วย”

   “ตอนนี้อยากคุยแล้ว มีปัญหาอะไรมั้ย” มันทำหน้ากวนตีนพร้อมกับใช้มือล้วงเข้าไปในแจ็คเก็ตสีน้ำตาลอ่อน

   “แปลว่าอะไร” ตากล้องเอ่ยปาก

   “หือ… ชื่อเราอะเหรอ”

   “เอ๋อแดกจังวะ!” โปเต้หงุดหงิด เดี๋ยวนะ มึงมีสิทธิ์อะไรมาหงุดหงิดอะ

   “โต๋นแตร์แปลว่าโดดน้ำ”

   “ภาษาดาวอังคารเหรอ”

   “มันเป็นคำพื้นเมืองของคนแพร่”

   “เป็นคนเหนือหรือไง”

   “แพร่อยู่ภาคอีสานหรือเปล่าล่ะฮะ” นี่ไง มึงเจอกูกวนบ้างแล้วไอ้ตากล้องกาก

   ดูเหมือนโปเต้จะหน้าแหก แต่ทำเป็นนิ่ง ฮ่าๆๆ มึงแพ้แล้ว

   “โอเค งั้นกูจะเรียกมึงว่ากระโถน”

   “เดี๋ยว เราชื่อโต๋น” ผมกอดอก ไอ้บ้านี่มาเปลี่ยนชื่อผมทำไมวะ

   “เรียกยาก กระโถนดีสุดแล้ว”

   “แต่เราไม่ได้อยากชื่อกระโถนนะ”

   “กูอนุญาตให้มึงชื่อกระโถนเท่านั้น”

   “แล้วมีสิทธิ์อะไรมาตั้งชื่อให้เราอะ” ผมงงกับมัน

   โปเต้ลุกขึ้นยืน ทำให้ผมรู้ว่ามันก็สูงยักษ์ไม่ต่างจากไอ้เดียร์เลย

   “เดินหนีกูทำไม” มันบ่นเมื่อเห็นว่าผมตั้งท่าจะก้าวขาหนี เอ๊า ก็กูกลัวมึงเตะนิ “มาเป็นครีเอทีฟใช่มั้ย?”

   “อืม”

   “อย่าทำให้เสียเรื่องล่ะ ถ้ารายการเจ๊ง หมายความว่ากูก็ตกงานด้วย เข้าใจ๊?”

   “ครับ”

   “มึงพูดครับเล่นซะทำให้กูเถื่อนอย่างกับอันธพาล” มันก้าวขายาวๆ เข้ามา “หลบทางหน่อยกระโถน จะออกไปดูดบุหรี่”

   ผมหันตัวหนีมัน มองตามไปยังหลังไวๆ ที่กำลังเดินไปยังระเบียงด้านนอกซึ่งเอาไว้เก็บพวกของประกอบฉาก หึ พวกสิงอมควันอีกตัวแล้วสินะ

   พี่ป่านคุยกับพี่เข้เสร็จพอดีตอนผมหันไปมอง ผมรอให้ฝ่ายชายเดินขึ้นไปยังห้องแต่งตัวก่อนถึงจะเดินเข้าไปหาเจ้านาย

   “พี่ป่านครับ”

   “ว่าไงจ๊ะ”

   “ผมมีเรื่องอยากจะขอนิดหน่อย” ผมว่า

   “อะไรจ๊ะ”

   “อย่าเพิ่งบอกพี่เข้ได้มั้ยครับว่าผมชื่ออะไร”

   “เอ๋? ทำไมล่ะ” พี่ป่านทำหน้าสงสัย

   “นะครับ…” ผมไม่บอกเหตุผล เพียงแต่ขอร้องเจ้านายไปอีกที

   “อืม งั้นก็ได้จ้ะ” พี่ป่านตอบรับแต่โดยดี

   ในเมื่อเขาจำผมไม่ได้ ผมจะใช้โอกาสนี้แหละค่อยๆ เข้าหาเขาและใกล้ชิดกับเขาอย่างแนบเนียนที่สุด ทำทีไม่รู้จักกันแบบนี้อาจจะทำให้มีเรื่องอะไรดีๆ เกิดขึ้นก็ได้ เพราะทุกครั้งที่พี่เข้เอ็นดูผมในฐานะ ‘น้องโต๋นแตร์แปลว่าโดนน้ำ’ มักจะมีเรื่องทำให้เราต้องคลาดกันเสมอเลย

   ผมยังรู้สึกดีกับพี่เหมือนเดิมนะ ขอให้ครั้งนี้สำเร็จทีเถอะ


จบตอน


 :o8: :o8: :o8: :o8: :o8: :o8: :o8: :o8:

มาต่อตอนแรกไว้เลยแล้วกันนะครับ
ฮูเร่ ขอบคุณมากครับผมมมม #ทรมานบันเทิง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-12-2018 01:30:40 โดย theneoclassic »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Hamzholic

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-2
อินกับกระโถนมาก เอ้ย โต๋น!
ฮือออออออ อะไรวะ ชอบเขาเขาก็ไม่ชอบ แถมตอนที่พี่เข้กับภูมิเจอกันก็ปวดใจอีก
พอกลับมาเจอเขาก็จำไม่ได้ แถมมีแต่คนหัวร้อนเต็มไปหมด โต๋นเอ้ยยยย โดดน้ำเถอะลูก
โดดแล้วจมหายไปเลย จะได้หมดเวรหมดกรรม
ว่าบาป เอาใจช่วยนางต่อไป ฮืออออออ

โปเต้เป็นพระเอกปะ?

เดาๆ

ป.ล. ชอบภาษาเหนือ อยากให้พูดบ่อยๆ

 :katai4:

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4
นี่ถ้าเราเป็นโต๋นนี่เฟลหนักมากกกกกกกก 
ได้วิ่งไปแอบร้องไห้ในห้องนำ้แน่   :hao5: :hao5: :hao5:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
เราชอบเรื่องนี้

ออฟไลน์ theneoclassic

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 219
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +217/-3
2
เป็นหยังถึงฉุนเฉียวแท้



   “เรียบร้อยแล้ว” เสียงทุ้มๆ ยานๆ ของเดียร์เล่นเอาผมตกใจ หนุ่มตัดต่อยื่นการ์ดที่บรรจุฟุตเทจของรายการซึ่งถ่ายทำไปได้ด้วยดีคืนมาให้ผม

   “ขอบใจนะ” ผมเอื้อมแขนไปรับ

   “อะ” แล้วมืออีกข้างของเดียร์ก็ยื่นแก้วน้ำมาให้

   “อะไรเหรอ”

   “ชามะนาว” เดียร์เขย่าแก้วบรรจุน้ำสีน้ำตาลเข้มในมือ “อร่อยดีนะ”

   “ให้เรา?”

   “อื่อ”

   ถึงจะงงๆ แต่ก็รับมาโดยดี

   “ขอบใจนะ” ผมยิ้มให้อีกฝ่าย

   “แหมไอ้เดียร์ กูอยู่มานานไม่มีอะไรให้แดกบ้างหรือไง” พี่ป่านเงยหน้าขึ้นมาแซว

   “เจ๊ก็ไปซื้อเองสิ” คนตัวสูงตอบหน้าตาย

   “กูว่าแล้ว” พี่ป่านส่ายหัว จากนั้นก็ชี้นิ้วมาที่ผม “อย่าลืมเอาการ์ดไปคืนทีมตากล้องที่ชั้นยี่สิบนะจ๊ะ”

   “งั้นผมไปเดี๋ยวนี้เลยครับ” ผมผงกหัวให้เจ้านาย แต่เห็นว่าเดียร์ยังคงจ้องอยู่ “เดี๋ยวเราขึ้นมากินนะ”

   “อื่อ”

   เฮ้อ นี่กูคุยกับสลอตอยู่หรือไงเนี่ย

   ผมวิ่งขึ้นไปชั้นยี่สิบตามที่เจ้านายบอก ไม่นานนักก็พบกับออฟฟิศของตากล้อง ในนี้มีผ้าห่มหมอนมุ้งเต็มไปหมด อย่างกับมาเข้าค่ายแหนะ

   “มาหาใครครับ” พี่ผู้ชายดูมีอายุลงพุงหน่อยๆ เอ่ยถาม เขาเป็นคนเดียวที่อยู่ในห้องนั้น

   “ผมเอาการ์ดมาคืนครับ”

   พี่คนนั้นแค่พยักหน้าก่อนจะหันไปเล่นเกมในมือถือต่อ อ้าว ไม่คิดจะบอกเลยเหรอว่าต้องทำยังไง

   ผมจึงถือวิสาสะหาโต๊ะของโปเต้ คนที่ผมต้องนำการ์ดมาคืน ซึ่งตอนนี้เจ้าตัวไปอยู่ไหนก็ไม่รู้ ทิ้งโต๊ะทำงานแบบนี้ไปได้ยังไง แล้วโต๊ะไหนคือของมันล่ะ

   ความสงสัยของผมหายไปเมื่อเห็นกรอบรูปบนโต๊ะมุมห้อง มันเป็นภาพของโปเต้ที่ยังดูวัยรุ่นและ…ดูดีกว่าตอนนี้ ตายห่า มันเคยหน้าตาดีขนาดนี้เลยเหรอวะเนี่ย อะไรทำให้มันเปลี่ยนใจมาเซอร์หว่า ใสๆ สะอาดๆ แบบแต่ก่อนก็ดีอยู่แล้ว

   ผมสังเกตรูปนั้นต่อ ข้างๆ กันเป็นผู้หญิงที่หน้าตาละม้ายคล้ายคลึงกับเขาแต่ตัวเล็กกว่า ซึ่งน่าจะเป็นน้องสาว แหม เกลียดที่รูปนี้มีความพี่ชายที่แสนดีเหลือเกิน

   เฮ้ย หรือว่าลูกสาววะ สภาพอย่างมันนี่ก็เหมาะกับการเป็นพ่อคนก่อนวัยอันควรซะด้วย

   ผมเผลอยิ้มออกมาเพราะความน่ารักของรูปนั้น ดีนะไม่มีใครเห็นเลยกระตุกมุมปากกลับมาได้ทัน จัดการวางการ์ดไว้บนโต๊ะข้างๆ กับรูปที่ว่า ถ้าไม่ว่าวนัก หวังว่ามันจะเห็นนะ



   
   “โต๋น ไปกินข้าวกันมั้ยลูก” พี่ป่านเอ่ยปากชวน ในมือถือกระเป๋าเตรียมตัวเต็มที่แล้ว

   จริงสิ นี่ก็เที่ยงกว่าแล้ว แหม่ พอมองนาฬิกาก็รู้สึกหิวขึ้นมาเลยกู

   “ได้ครับพี่” ผมทำท่าจะลุกตาม

   “พี่ไม่ชวนผมบ้างอะ” ไอ้เดียร์ส่งเสียงมาจากในคอก ดูก็รู้ว่ามันตั้งใจกวนเจ้านายที่แซวมันก่อนหน้านี้

   “มึงจะฝากซื้ออาหารหมามั้ยล่ะ” พี่ป่านตะโกนไปหา

   “เอา โฮ่งโฮ่ง” ซึ่งอีกฝ่ายก็กวนตีนด้วยการเห่าซะงั้น เฮ้ย อะไรของมัน คนที่นี่ประหลาดแฮะ

   “ปกติเขาไปกินข้าวที่ไหนกันเหรอครับ”

   “ตลาดฝั่งตรงข้ามนี่เองจ้ะ” พี่ป่านยินดีตอบคำถามผมอย่างเต็มใจ รักเจ้านายขึ้นมาหลายเลเวลเลย ถามอะไรตอบทุกเม็ด

   “รู้สึกแปลกๆ จัง ได้กินข้าวในฐานะพนักงานออฟฟิศ ครั้งแรกเลยนะเนี่ย”

   “หวิวๆ ใช่มั้ยล่ะ สมัยพี่ก็เป็นจ้ะ เออ…เอาจริง เราก็เป็นรุ่นพี่รุ่นน้องกันนะ เพราะพี่ก็จบที่เดียวกับโต๋นเลย”

   “จริงเหรอครับ?”

   “ใช่แล้ว เป็นทวดรหัสของไอ้เข้มันเลยล่ะ”

   โอ้โห สายสัมพันธ์แน่นแฟ้นกันจริงๆ

   เราไม่ได้คุยกันต่อ เพราะอยู่ๆ ก็มีเสียงโทรศัพท์ดังมาจากพี่ป่าน

   RRRRRRRR

   “ไงคะคุณโปเต้”

   ได้ยินชื่อผมถึงกับเบือนหน้าหนีเลยครับ

   “หืม? เดี๋ยวนะ” พี่ป่านแนบโทรศัพท์ไว้กับหน้าอก “โต๋นได้เอาการ์ดไปคืนโปเต้หรือยังจ๊ะ”

   “เรียบร้อยแล้วครับ”

   พี่ป่านพยักหน้าก่อนจะพูดกับคนในสายต่อ “โต๋นบอกว่าเอาไปให้แล้วจ้ะ”

   เกิดอะไรขึ้นอีกล่ะเนี่ย…

   พี่ป่านหันมาอีกรอบ “เอาไว้ตรงไหนลูก”

   เห็นท่าคุยกันอย่างนี้คงจะไม่รู้เรื่อง สงสัยต้องเจอหน้ากันหน่อยแล้วล่ะ

   “เดี๋ยวผมวิ่งขึ้นไปหาเขาเองครับพี่ป่าน”

   “ให้พี่ไปด้วยมั้ยจ๊ะ”

   “ไม่ต้องหรอกครับ” ผมส่ายหัวตั้งท่าจะวิ่ง “พี่ป่านไปกินข้าวเถอะ”

   ผมหันหลังและพุ่งไปยังบันไดหนีไฟเพื่อขึ้นไปชั้นยี่สิบ ทันทีที่เปิดประตูเข้าไปในออฟฟิศตากล้องก็พบว่าไอ้หนวดทมิฬยืนกอดอกทำหน้าเป็นขี้รออยู่ก่อนแล้ว

   ไอ้วอกเอ๊ย เห็นแล้วใค่ฮ้าก (จะอ้วก)

   “ไหน?” มันแบมืออย่างกวนๆ

   “เราวางไว้บนโต๊ะให้แล้ว”

   “ไม่มี!” เฮ้ย จะตวาดทำไมเนี่ย คุยกันดีๆ ก็ได้ไม่เห็นต้องฉุนเฉียวตลอดเวลา

   “มีสิ เราวางไว้เอง” ผมเดินไปยังโต๊ะของเขา “อ้าว…”

   เชี่ยแล้วไง หายไปไหนวะเนี่ย

   “มีคนหยิบไปแล้วแน่ๆ เลย” ผมพูดขึ้นมา ใช่มันต้องเป็นแบบนั้นแน่ อยู่ดีๆ การ์ดมันจะเดินได้หรอวะ

   “ไอ้กระโถนกูไม่ตลกนะ” ไอ้โปเต้เดินแผ่ความอำมหิตมาทางนี้แล้ว

   “เราเอามาวางไว้แล้วจริงๆ” ผมมองเห็นพี่คนที่เล่นเกมก่อนหน้านี้กำลังพิมพ์อะไรสักอย่างที่หน้าจอคอมโต๊ะตัวเอง เขาน่าจะเป็นพยานได้นะ “ถามพี่เขาสิ”

   ไอ้โปเต้เดินไปหาคนที่ผมพูดถึง

   “พี่โป้งเห็นมั้ยตอนมันเอาการ์ดมาคืน"

   พี่คนนั้นเงยหน้าขึ้นมามอง ส่งสายตาอย่างกับว่าไม่เคยเห็นผมมาก่อน

   “ไม่นะ”

   อ้าว!?

   อ้าว!!! อะไรวะเนี่ยยยยย?

   “มึงตลกใหญ่แล้วล่ะ” ไอ้ตากล้องหันกลับมา

   “สาบานได้เลย เราเอาวางไว้แล้ว อยู่ใกล้ๆ รูปนายกับผู้หญิงคนเนี้ย”

   อยู่ๆ ไอ้โปเต้ก็ถลึงตาดูเกรี้ยวกราดมากกว่าเดิม

   “นี่มึงมายุ่งกับโต๊ะกูขนาดรู้เลยเหรอว่าใครกูถ่ายรูปกับใคร”

   เวร… ท่าทีแบบนี้ ไม่ดี ไม่ดีแน่ๆ อันนี้มันโกรธจริงจังแล้วล่ะ

   “เฮ้ย เราไม่ได้ตั้งใจ แค่อยากเช็คว่าโต๊ะไหนกันแน่”

   เสียงอ่อยด้วยความกลัวล้วนๆ เลยครับ

   “กูจะต้องไปออกกอง ไปหาการ์ดมาให้กูเดี๋ยวนี้”

   “แล้วเราจะไปหาที่ไหน”

   “มึงเลิกทำให้กูหงุดหงิดใจสักทีได้มั้ย!?” มันกระแทกเท้าเข้ามาใกล้ “ไปซื้อสิครับ!!”

   เหี้ยยย อะไรกันวะเนี่ย มึงทำกูหงอยเป็นจิ้งเหลนหนีหมาแล้ว

   “โปเต้ อีกห้านาทีเรียกออกกองแล้ว” เสียงจากพี่ผู้ชายอีกคนทำให้ห้องนี้คลายความเงียบจากการตะโกนก่อนหน้านี้ขึ้นมาได้

   “ถ้าไปถ่ายไม่ทัน กูเอามึงตายแน่”

   อะ…อะไรมันจะขนาดนี้วะ ที่นี่ไม่มีการ์ดสำรองหรือไง ทำไมต้องเกิดเรื่องแบบนี้กับกูด้วยวะ

   “ยืนอยู่ทำไม ไปซื้อสิ!”

   ผมจ้องไปที่ตาอันดุดันของคนตรงหน้า นี่มันชักจะเกินไปแล้วก็จริง แต่ถ้ามันหายไปแปลว่าเป็นความผิดของผมล้วนๆ ยังไงก็ยินดีรับผิดชอบอยู่แล้ว แต่จะพูดกันดีๆ ไม่ได้เลยหรือไงวะ

   “ถอย” ผมกระแทกอีกฝ่ายที่ยืนขวางเดินออกไปจากประตู

   โอเค กูจะยอมให้มึงเป็นครั้งสุดท้าย

   ในคราวหน้า กูจะไม่เป็นขี้ตีนของมึงอีกบักห่าโปเต้




   ผมวิ่งกลับมาในตึกด้วยความเหนื่อยหอบ สาบานได้เลยว่าครั้งสุดท้ายที่ได้ออกกำลังกายแบบนี้คือวิชาพละตอนมัธยม เตือนผมไปปั้มกล้ามที่ฟิตเนสด้วยนะ

   เหงื่อท่วมตัวผมจนต้องยืนห่างจากคนอื่นๆ ในลิฟต์ และเมื่อมันทะยานสู่ชั้นยี่สิบ ผมก็ไม่ลังเลที่จะผลักประตูเข้าไปด้านในนั้น

   โปเต้ยืนเท้าเอวหันหลังให้ผมอยู่ก่อนแล้ว แวบแรกแววตาเกรี้ยวกราดอย่างกับเสือนั้นยังคงอยู่ แต่เมื่อมันเห็นสภาพของคนที่เพิ่งเข้ามาใหม่อย่างผมก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา ทั้งๆ ที่ก่อนนั้นผมคิดว่ามันก็เตรียมขยับปากจะสวดชุดใหญ่รออยู่แล้ว

   “เอาไปสิ” ผมยื่นกล่องการ์ดให้คนตรงหน้า

   “มึงอย่ามาตายในนี้นะ” มันพูดขณะที่รับของไป

   “ไม่เป็นไร” ผมพูดแข่งกับความถี่ของหน้าอกที่ขึ้นลงเพราะต้องการอากาศหายใจ “ไม่มีอะไรแล้วใช่มั้ย”

   “ไม่มี” เสียงที่ตอบมานั้นอ่อนลงกว่าเดิม

   “อืม” ผมก้มหน้า ไม่อยากจะมองหน้ามันด้วยซ้ำ เพราะว่ามะ…

   เดี๋ยวนะ… อะไรอยู่ใต้โต๊ะข้างๆ รองเท้าออดิดาสของมันวะนั่น

   ผมก้มลงและคลานไปหาของปริศนานั้นทำให้คนอื่นๆ ตกใจ ไอ้โปเต้หลีกทางให้ผมพร้อมกับร้องเฮ้ย ผมใช้นิ้วชี้เขี่ยวัตถุต้องสงสัยออกมาจากซอกโต๊ะ และมันก็คือ

   การ์ด

   “เหอะ” ผมพ่นลมออกมาโดยอัตโนมัติ รู้สึกสมเพชตัวเองขึ้นมาตงิดๆ แล้ว

   ผมลุกขึ้นพร้อมกับยื่นมันให้คนข้างๆ โปเต้ยืนนิ่งมองของในมือผมด้วยสายตาที่เรียบเฉย ไร้แววความรู้สึกผิด

   “เอาคืนไปสิ”

   “…”

   “เอาไปสิ!!” ผมตะโกนสั่นจนคนตัวใหญ่กว่ากระตุกไหล่เล็กน้อย คงเพราะตกใจแต่คุมสติได้ดี

   “เดี๋ยวจะเบิกค่าใช้จ่ายให้…” เสียงนั้นพูดเบาๆ ด้วยความประหลาดใจ นี่คงอยู่เหนือความคาดหมายของมันสินะ

   “ไม่ต้อง” ผมสวนทันควัน แถมไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายพูดจบ “ถือว่ากูเสียค่าโง่แล้วกัน”

   “…”

   “มีอะไรจะว้ากใส่กูอีกมั้ย”

   “คือกู…”

   “มีมั้ย!!”

   โปเต้นิ่ง เขาพยายามมองมาที่ผม ซึ่งผมก็กล้าพอที่จะไม่หลบตาด้วย

   “ไม่มี” คนตรงหน้าตอบ

   “งั้นขอตัว” ผมตั้งใจจะเดินกระแทกไหล่มันอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มันหลบได้ทัน โดยผมก็ไม่ได้ใส่ใจที่จะหันไปมองห้องนั้นอีกครั้งอยู่แล้ว




   หิวจัง… ยังไม่ได้กินข้าวเลย

   ผมยืนอยู่หน้าร้านก๋วยเตี๋ยวเรือในตึกออฟฟิศฝั่งตรงข้าม ได้ยินว่าที่นี่ก็มีร้านอร่อยๆ เยอะเหมือนกัน แถมแอร์เย็นไม่ต้องไปทนร้อนเหมือนตลาดข้างๆ ด้วย

   “อ้าวน้อง” ใครบางคนเดินออกมาทัก เล่นเอาความหิวของผมหายไปเป็นปลิดทิ้งเลยทีเดียว

   เชี่ยแล้ว… ในร้านก๋วยเตี๋ยวเรือแบบนี้ยังต้องมาเจอพี่เข้อีกเหรอเนี่ย ดวงดีแท้ๆ เลยกู

   “ครับ…” ก็ยอมรับว่ามีเขินนิดหน่อย

   “น้องครีเอทีฟคนใหม่ใช่มั้ย”

   เยี่ยม รู้สึกดีจังที่เขาทักผมในฐานะ ‘น้องครีเอทีฟคนใหม่’ จิ๊กกะลิ้งแท้ (จั๊กจี้)

   “ครับพี่”

   “มากินข้าวคนเดียวเหรอ”

   “ใช่ครับ”

   “เสียดายกินเสร็จพอดี พี่ก็มากินคนเดียวเหมือนกัน พอดีมีงานในตึกต่อ” ว่าแล้วพี่เขาก็มองนาฬิกา “แต่ยังพอมีเวลา งั้นพี่นั่งเป็นเพื่อนนะ”

   “จะดีเหรอครับ”

   นั่งเลย นั่งเลย อยู่ด้วยกันนี่แหละเปิ้น

   “ยังมีเวลาน่า …น้องขอเมนูหน่อยครับ” พี่เข้เรียกพนักงาน ทำไม…เขาเท่จังวะ ไอ้วอกเอ๊ย แค่คนสั่งก๋วยเตี๋ยวมึงก็ชื่นชมเขาได้เนอะ

   “น้องผมชอบพี่เข้มากเลยครับ”

   อะไอ้โต๋น มึงก็อู้ไปเรื่อย มึงมีน้องที่ไหนละ โอ๊ยยย ก็มันอยากหาเรื่องคุยนี่ครับ

   “ฝากขอบใจด้วยนะ”

   ไม่นานนักก๋วยเตี๋ยวน้ำตกก็ถูกนำมาเสิร์ฟ ผมตักเครื่องปรุงตามใจต้องการโดยไม่พยายามไม่มองคนตรงข้ามเลยเพราะเขิน

   “กินเผ็ดนะเรา”

   ฮึ่ยยยย สังเกตด้วยเหรอวะ

   “ใครๆ ก็บอกครับ ทั้งๆ ที่บ้านเป็นคนเหนื…” เวรละ เกือบหลุดปาก “ทั้งๆ ที่บ้านไม่มีใครกินเผ็ดสักคน”

   “พี่ก็ไม่กินเผ็ด เรียนที่แพร่ตั้งแต่เด็กจนโต สงสัยจะติดกินแต่รสพอดีๆ”

   อ่า…เรื่องนั้นผมรู้อยู่แล้วครับ

   “พี่เป็นคนเหนือเหรอครับ” ขอแกล้งทำเป็นไม่รู้นิดหน่อย

   “จริงๆ พี่เป็นคนเพชรบูรณ์ พี่แค่ไปเรียนที่นั่นเฉยๆ” พี่เข้สังเกตที่มุมปากผม “กินดีๆ สิ เลอะหมดแล้วน่ะ”

   “อ่า…” ผมตั้งใจจะมองหาทิชชู่ แต่ทว่ามีผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งถูกยื่นเข้ามาซะก่อน

   “ร้านนี้อร่อย แต่ข้อเสียคือไม่มีทิชชู่ เอานี่ไปเช็ดซะ”

   “แต่นี่มันผ้าของพี่นะครับ”

   แถมยังดูราคาแพงอีกต่างหาก

   “เอาไปเถอะ พี่ก็แอบเช็ดไปแล้วเหมือนกัน รังเกียจเปล่าล่ะ?”

   ใครจะรังเกียจ ดีใจซะอีก… ฮึ่ยยย โรคจิตขนาดเลยกู

   “พี่ไม่ต้องนั่งดูผมกินก็ได้นะ”

   “ไม่เป็นไร ว่างๆ พอดี”

   ผมยิ้มตอบคนตรงหน้า โอเค ถ้างั้นผมจะกินช้าๆ แล้วกันเนอะ

   แต่… ไม่นานความอิ่มเอมใจของผมก็หมดเร็วเหลือเกิน

   RRRRRRRRR

   “ขอรับก่อนนะ” พี่เข้มองมาทางผม

   เอ๊า ทำไมต้องขอล่ะ อย่าทำให้ผมเป็นคนสำคัญแบบนี้สิเดี๋ยวเหลิง

   “ครับ ได้เลยครับ… ว่างแล้วครับ” พี่เข้ยิ้มให้เมื่อวางสาย “สงสัยพี่ต้องไปก่อนแล้วว่ะ”

   “ไม่เป็นไรครับ ตามสบายเลย” ผมพูดจบพร้อมกับทำท่าจะคืนผ้าเช็ดหน้าให้

   “เอาไปเถอะ ไว้เช็ดเวลามากินก๋วยเตี๋ยวร้านนี้ไง” คนเป็นไอดอลของผมยกมือห้ามไว้ “พี่ไปก่อนนะ”

   “ครับผม”

   จากนั้นพี่เข้ก็เดินออกไป

   ในมือผมกำผ้าเช็ดหน้าไว้แน่น ของชิ้นแรกที่ได้จากพี่เข้… โอ๊ยยยย จาฮ้องไห่ คืนก็บ้าแล้ว แกล้งฟอร์มไปงั้นแหละหน่า…




   และแล้วการทำงานวันแรกของผมก็ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี คนที่นี่พอถึงเวลาก็เด้งจากเก้าอี้เหมือนเซ็ตไว้ พี่ป่านกับคนอื่นๆ ไปหมดแล้ว เหลือแต่ผมที่ตั้งใจจะเคลียร์พวกเอกสารนิดหน่อย กว่าจะเสร็จก็เลยเวลาออกงานมาตั้งครึ่งชั่วโมงแหนะ

   ตึง!

   ประตูลิฟต์เปิดออก ทว่าผมชะงักขาเมื่อเห็นใครกำลังยืนหนีบหมวกกันน็อกพิงอยู่ในมุมด้านในเพียงคนเดียว

   โปเต้มองออกมา และเมื่อรู้ว่าเป็นผม เขาเด้งกลับมายืนตัวตรง และแอบเหล่มองอยู่เป็นระยะๆ เมื่อเห็นว่าผมไม่เข้าไปสักที

   ใครจะอยากเข้า เห็นแบบนี้ขอเลือกลิฟต์ตัวอื่นดีกว่า

   “อย่าทำให้บริษัทเปลืองไฟจะได้มั้ยวะ” เสียงนั้นดังออกมา

   โอ๊ย ทำไมลิฟต์ตัวอื่นมันช้าจัง

   “เร็วโต๋นแตร์ กูกดลิฟต์รอมึงนานแล้วนะ”

   เอ่อ…เมื่อกี้เขาเรียกชื่อผมจริงๆ ใช่มั้ย ไม่ใช่กระโถนเนอะ

   หึ ก็ได้วะ นี่เห็นว่ามันยอมพูดชื่อจริงๆ หรอกนะ

   ลิฟต์ปิดประสานกันไม่นานหลังจากที่ผมก้าวข้าเข้าไป ขณะนี้เราเป็นแค่สองคนที่อยู่ในนี้

   เงียบ…แบบต่างคนต่างเงียบ ไม่มีใครพูดอะไร ผมสัมผัสได้ถึงเสียงหายใจของไอ้ตากล้องคนนี้มันถี่ๆ หนักๆ ผิดปกติ

   “ไม่กดชั้นหรือไง” เสียงนั้นทำให้ผมมองไปยังแผงควบคุม เออว่ะ ต้องลงชั้น L นี่หว่า ไอ้นี่มันคงลงไปชั้นใต้ดิน ที่นั่นคงเป็นลานจอดรถละมั้ง

   แต่ไม่ทันจะเอื้อมมือไปกดปุ่ม ร่างใหญ่ก็กระแทกหลังผมไปกดให้ ทันที่ตัว L เรืองแสง โปเต้ก็ไม่ได้กลับไปยืนพิงลิฟต์เหมือนตอนแรก

   “กลับบ้านเหรอ” เสียงนั้นทำลายความเงียบอีกรอบ

   “อื่อ”

   “บ้านอยู่ไหน”

   “คอนโด…แยกหน้านี่เอง”

   เฮอะ ค่อนข้างตลก…พูดกันโดยไม่มองหน้าด้วยซ้ำ

   “ติดรถกูไปปะ” โปเต้ยื่นหมวกกันน็อกมาไว้ตรงหน้าพร้อมกับเขย่ามันให้ผมดู

   “แม่ไม่ให้นั่งมอเตอร์ไซด์”

   ผมแอบได้ยินเสียงกลั้นขำ

   มีอะไรตลกวะ…

   “หึๆ …เออก็ได้! กูให้มึงเย็นชาได้แค่วันนี้วันเดียวนะ ยังไงพรุ่งนี้กูจะด่ามึงเหมือนเดิม”

   “เหรอ กูจะได้อะไรจากการที่มึงทำอย่างนั้นน่ะ”

   “ได้รับเกียรติไงครับ”

   ฮะ!? ไอ้เซอร์นี่พูดครับ แผ่นดินไหวจะเกิดขึ้นในอีกห้านาทีหรือเปล่าเนี่ย

   “โต๋นแตร์…”

   “เรียกโต๋นก็ได้”

   “หึ ไม่อะ เพราะพรุ่งนี้กูก็เรียกมึงกระโถนอยู่ดี” ไอ้ตากล้องว่า “กูแค่จะทดสอบว่าถ้าเรียกชื่อเต็มๆ มึงจะปฏิกิริยายังไง …ชอบคนเรียกชื่อเต็มๆ ว่างั้น?”

   “บ้าบอคอแตก”

   “แล้วจะบอกว่าคราวหน้าคราวหลัง อย่าฝากใครทำอะไรอีก ไม่มีใครไว้ใจได้ทั้งนั้นเข้าใจหรือเปล่า?”

   “อืม…ก็ว่าอย่างนั้นแหละ”

   “เพราะฉะนั้นทางที่ดี ต่อจากนี้ถ้ามีอะไรมึงต้องมาคุยงานกับกูเอง ต่อหน้ากูเท่านั้น”

   “…”

   “คือกูเป็นคนปากหมากูรู้ มันเป็นข้อเสียของกูเอง” มันว่า “แต่ไม่ได้หมายความว่ากูจะไม่มีเหตุผล”

   “…”

   “เอาจริงๆ ไอ้คนเก่าก็โดน แต่มันเป็นผู้หญิงห้าว ไม่ติ๋มน่าแกล้งแบบมึง มันก็เลยเถิดไปใหญ่”

   เดี๋ยวนะ กูควรดีใจใช่มั้ยเนี่ย

   “อืม”

   ตึง!

   ประตูลิฟต์เปิดออกที่ชั้น L ผมตั้งจะท่าก้าวขาออกไปข้างนอก

   “เดี๋ยว”

   คนข้างหลังใช้นิ้วเกี่ยวคอเสื้อผมไว้ทำให้ตัวเด้งกลับเข้าไปด้านในอีกครั้ง ผมมองหน้าโปเต้อย่างสงสัย นี่มันจะเอาให้ผมตายหรือยังไง

   แต่ไม่ทันจะได้พูดอะไร…

   “วันนี้ขอโทษละกัน”

   ผมเห็นแววตาแสนเก้อเขินจากคนเซอร์ๆ ตรงหน้าเมื่อพูดคำนั้นจบ

   “…”

   “กูแม่งไม่รอบคอบเอง”

   “อ่า…” ผมกลอกตาลอกแล่กไปมา

   “อยากจะบอกแค่นี้แหละ…” ไอ้คนตัวสูงลูบหมวกกันน็อกเล่น “กลับบ้านดีๆ”

   ผมพยักหน้าให้อย่างงๆ จากนั้นก็เดินออกไปข้างนอก ก่อนประตูลิฟต์จะปิด ยังพอมีเวลาให้ผมได้มองเข้าไปเห็นเขาอีกครั้ง

   เหอะ บ่าฮ่ากิ๋นตับเอ๊ย

   “ยกโทษให้ก็ได้”

   คนด้านในยิ้มมุมปากประมาณว่ารู้ทันอยู่แล้ว แต่จริงๆ ก็ไม่ใช่ยิ้มหรอกครับ แค่กระตุกมุมปากขึ้นข้างนึงเหมือนคนเหยียดๆ แต่ไม่เลเวลนั้น

   “เพราะเห็นแก่สัตว์โลกหรอกนะ” ผมเอียงคอตั้งใจกวนตีน ซึ่งดูเหมือนว่าจะได้ผล เพราะคนกำลังจะอ้าปาก แต่ไม่ทันที่คนด้านในจะได้ตะโกนอะไรกลับมา ประตูลิฟต์ก็ปิดซะก่อน หึหึ

   แต่ผมก็หมายความตามที่พูดจริงๆ นะ มาคิดๆ ดูแล้ว ก็ไม่รู้จะโกรธทำไมนี่หว่า เข้าใจแหละว่ามันเป็นเรื่องไม่คาดคิด

    อีกอย่างไม่ใช่มึงมีเหตุผลคนเดียว กูก็มีโว้ยยยยยยยบักห่า



จบตอน


 :o8: :o8: :o8: :o8: :o8: :o8: :o8: :o8:
ออฟฟิศอะไรวะเนี่ยมีแต่คนฉุนเฉียว
ละอ่อนโต๋นจะไปรอดมั้ยลูก กลับมาปลูกชาเขียวที่ไร่ป้อแม่ดีกว่าบ่

ฝากด้วยนะคร้าบบบบ จุ้บ #ทรมานบันเทิง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-12-2018 01:31:04 โดย theneoclassic »

ออฟไลน์ theneoclassic

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 219
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +217/-3
3
เอาคืนไป





   “มาแล้ว เข้ามาสิโต๋น” พี่ป่านเรียกผมให้เดินเข้าไปในห้องประชุมหลังจากที่ทุกคนคุยกันเสร็จเรียบร้อย ทุกคนในห้องนี้ล้วนเป็นแต่ผู้ใหญ่ทั้งนั้น ไม่แปลกที่ผมจึงมีอาการเกร็งทำตัวไม่ถูกแบบนี้

   “โอ้โหคุณป่าน คราวนี้รับคนหล่อเชียวนะ” พี่ผู้หญิงอีกฝั่งของโต๊ะใหญ่พูดแซว ผมยิ้มรับอย่างนอบน้อมทันที แหม เขาชมว่าหล่อเชียวนะ

   “อยู่แล้วค่ะพี่” พี่ป่านสะดีดสะดิ้งตามสไตล์ของเธอ “ทุกคนคะนี่โต๋นแตร์ ครีเอทีฟคนใหม่ของรายการเราค่ะ”

   “สวัสดีครับ” ผมยกมือไหว้ทุกคนรอบโต๊ะ และมันก็ทำให้เพิ่งสังเกตเห็นว่าโปเต้กำลังเท้าคางมองอยู่ที่สุดปลายโต๊ะ เอ๊า มาอยู่ในห้องนี้ด้วยเหรอเนี่ย

   “นี่คือพี่ๆ เออีกับทีมงานที่ทำงานร่วมกันกับเราบ่อยๆ นะจ๊ะ”

   “ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ”

   บรรดาพี่ๆ ชายหญิงส่งเสียงครางอย่างชื่นชม คงตื่นเต้นที่นานๆ ทีจะมีเด็กๆ หลุดเข้ามาในแผนกสักคนละมั้ง

   “พี่ป่านครับ” เสียงโปเต้จากมุมห้องเรียกหัวหน้าผมไปมอง “เดี๋ยวผมขออนุญาตคุยเรื่องทิศทางการทำงานในครึ่งปีหลังหน่อยได้มั้ยครับ”

   “ตายจริง พี่ต้องไปประชุมต่อสิเนี่ย” พี่ป่านยกนาฬิกาขึ้นมาดู จากนั้นก็หันมาทางผม “เอางี้ โต๋นอยู่คุยกับโปเต้หน่อยนะจ๊ะ อะไรไม่แน่ใจจดมาคุยกับพี่ก่อนก็ได้ แล้วเราค่อยมาสรุปกัน”

   “อ่า...” ผมหันไปมองคนที่ต้องคุยด้วย โอ๊ยยยย “พี่อยู่ก่อนไม่ได้เหรอครับ”

   “พี่ก็บอกอยู่ว่ามีประชุม แหม ตลกใหญ่แล้วนะจ๊ะ” พี่ป่านทำขัน ยกมือขึ้นมาหยิกแก้ม “โอเค วันนี้จบแค่นี้นะคะทุกคน ...โปเต้พี่ฝากน้องด้วยนะ"

   “ได้ครับ” เจ้าของชื่อเอ่ยเสียงเรียบ ...เรียบเหมือนสีหน้ามันตอนนี้แหละ

   แล้วทุกคนก็ออกไป ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะเดินไปนั่งเก้าอี้ตัวไม่ใกล้ไม่ไกลจากจากไอ้ตากล้อง อยากจะชมมันว่าวันนี้แต่งตัวเท่อยู่หรอกนะ ถ้าไม่ติดว่านิสัยปากหมาของมันทำเอาเสียอารมณ์

   “โอเค จะคุยเรื่องอะไรครับ” ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดแอพฯ โน้ต

   “หายโกรธกูยัง”

   ผมขมวดคิ้ว “เรื่องไหน เมื่อวานน่ะเหรอ?”

   “อืม” ตากล้องมาดเซอร์กอดอกพลางเอนตัวพิงเก้าอี้

   “กูตั้งใจจะคุยเรื่องงานครับ” ผมยิ้มกวนๆ ใส่คู่สนทนา

   “แค่อยากเช็คให้แน่ใจ เดี๋ยวมองหน้ากันไม่ติด”

   ดูมันใช้คำ...

   “ก็บอกแล้วไม่ใช่เหรอว่ายกโทษให้”

   “หึ” ไอ้โปเต้กระตุกมุมปาก “ถ้านั่นไม่ได้ล้อเล่นงั้นก็โอเค”

   พูดอะไรของมัน

   “จะเริ่มคุยได้หรือยัง”

   “รีบจังวะมึงอะ” คนข้างๆ เปิดสมุดจดบานๆ ดูเก่าๆ แทบจะไม่มีหน้าว่าง อี๋ เดี๋ยวบริจาคให้สักเล่มนึงแล้วกัน

   ระหว่างที่ผมกำลังคิดอะไรเพลินๆ  จังหวะนั้นเองเขาก็ปรายตาขึ้นมามอง

   “ทำไมสั่นเป็นสันนิบาตขนาดนั้นวะ”

   ผมตกใจเมื่อเห็นว่ามันก็สังเกต คือ...ผมลูบเสื้อลูบตัวมาตั้งแต่เช้าแล้วล่ะครับ ไม่รู้ทำไมวันนี้รู้สึกร้อนๆ หนาวๆ ผิดปกติ

   “วันนี้แอร์แม่งโคตรเย็นเลย” ผมบ่น

   “กูว่าแล้ว” มันปิดสมุดทันที “ก็ดูมึงใส่เสื้อยืดบางๆ แบบนั้น ไม่หนาวมึงก็เก่งเท่าชาวเอสกีโมเลยล่ะ”

   “ใครมันจะคิดว่าเย็นยะเยือกขนาดนี้ล่ะวะ”

   “ไม่มีเสื้อคลุมเลยหรือไง”

   ผมส่ายหน้า

   “เฮอะ” โปเต้ทำท่าจะถอดแจ๊กเก็ตหนังสีดำของมันออก ผมรีบยกมือห้ามทันที

   “เดี๋ยวๆ มึงจะทำเหี้ยอะไรเนี่ย”

   “หรือมึงอยากหนาว?” ไอ้หนวดเลิกคิ้วถาม

   “หนาวอะกูหนาว แต่กูไม่โอเคกับการที่มึงจะถอดเสื้อให้แบบนี้นะปะวะ?”

   “หึ ทำไม กลัวจะเหมือนนางเอกซีรีส์ในช่องเหรอ?” ในที่สุดมันก็ถอดแจ๊กเก็ตที่ว่านั้นออกมาจนได้ “กูแค่จะให้มึงยืม กูมีอีกตัวที่โต๊ะ”

   พรึ่บ!

   ไอ้ตากล้องโยนแจ๊คเก็ตหนาคลุมหัวผมจนมืดตึ๊ดตื๋อไปหมด

   “โอ๊ย”

   ได้ยินเสียงหัวเราะขณะที่ผมทุลักทุเลหาทางโผล่หัวออกมาจากมัน

   “ทีหลังมึงก็เอาเสื้อหนาๆ ไว้ที่นี่สักตัว จะได้ไม่ต้องใส่ไปใส่กลับ”

   “แฮ่ก” อ่า...ในที่สุดหัวผมก็หลุดพ้น “เออรู้แล้วน่า”

   ผมกอดเสื้อสีดำนั้นไว้ในมือ โปเต้คงเห็นว่าไม่ใส่สักทีเลยทักขึ้น

   “เอ๊า กูให้มึงใส่ไม่ใช่เอามากอด"

   “เออ เดี๋ยวใส่เองแหละ ยุ่งขิงยุ่งข่า”

   ใส่ตอนนี้กูก็เหมือนสาวน้อยที่ได้รับความช่วยเหลือน่ะสิ ขนลุก

   “มองอะไรวะ” ผมชักหงุดหงิดที่มันชอบทำหน้าเหม็นขี้ใส่ผมตลอดเวลา

   “มึงติ๋มอะ เห็นแล้วกูถอดใจ” ไอ้ตากล้องพูดพร้อมกับส่ายหัว “จะไปรอดมั้ยวะเนี่ย”

   “ดูถูกกูเกินไปแล้ว เห็นแบบนี้งานจะหนักแค่ไหนก็สู้หมดแหละ” ผมเผลอทำท่าการ์ดมวยขึ้นมาโชว์มัน อีกฝ่ายมองเหยๆ เหมือนเห็นเด็กปัญญาอ่อน ผมเลยรีบกลับมาตั้งท่าให้ดูปกติ ยอมรับว่าเสียเซลฟ์มากเลยทีเดียว “โอเค จะคุยงานได้ยัง”

   “คนเหนือเป็นแบบนี้ทุกคนปะวะ”

   “ยังไง? หล่อ?”

   “เพี้ยน!”

   ผมไม่ตอบมัน แค่ยักไหล่ให้เท่านั้น

   บางทีผมอาจจะเป็นคนเหนือที่เพี้ยนคนเดียวก็ได้ ตอนเด็กๆ เอ๋อจนได้ฉายา ‘โต๋นต่อนยอน’ เชียวนะ ภูมิใจจะตาย




   “เอ๋...” อยู่ๆ พี่ป่านก็หยุดอยู่ข้างๆ เก้าอี้ผม เจ้านายสาวหรี่ตามองพร้อมกับสำรวจรอบกาย “เมื่อเช้าไม่ได้ใส่เสื้อตัวนี้ใช่หรือเปล่าจ๊ะ”

   ผมก้มลงมองแจ๊คเกตตัวเอง

   แหงะ…

   “ยืมเพื่อนมาครับ”

   มีพิรุตเปล่าวะ มีมั้ย!? ไม่น่าจะมี…

   “หือ? เพื่อนคนไหนจ๊ะ” พี่ป่านยิ้มมุมปากเหมือนจะพูดอยู่ในใจว่า ‘ชั้นรู้ทันเธอ!’

   “เพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัย…”

   “จริงเหรอ ทำอยู่แผนกอะไรล่ะ?”

   เยี่ยม มีพิรุตจริงๆ ด้วย พี่ป่านซักอย่างกับกำลังจะสัมภาษณ์ผมอีกรอบ ฮือออ ปล่อยผมไปปปปปป

   “ไหน…”

   ทว่าเสียงหนึ่งขัดบทสนทนาของเรา เดียร์ลุกจากคอกตัวเองพร้อมเดินโยกเยกมาทางนี้เช่นกัน สายตาของมันก็สำรวจผมไม่ต่างจากเจ้านาย

   “นี่มัน…” ไอ้เดียร์หรี่ตาพร้อมกับถอดแว่นที่ผมมักจะเห็นมันใส่ตอนอยู่หน้าจอคอม “เหมือนเสื้อของพี่โปเต้เลย”

   “…” เวรแล้วไง!

   โอ้โห บักห่าเดียร์ มึงวิเคราะห์เก๊งงงงเก่ง

   “โปเต้?” พี่ป่านทวนคำ “โปเต้ทีมกล้องน่ะเหรอ?”

   “เอ่อคือ…” ผมตั้งใจจะอ้าปากอธิบาย (แถนั่นแหละ)

   “ใช่พี่ ผมจำได้ ก็ตอนที่เขาเดินเข้ามาประชุมกับพี่ผมยังทักพี่โปเต้อยู่เลยว่าเสื้อสวย”

   “คนละตัวมั้งครับ”

   ก๊อกแก๊ก ก๊อกแก๊ก

   นี่ เคาะคีย์บอร์ดหลีกหนีสถานการณ์ซะ

   “อ๋อ!” พี่ป่านร้องเสียงสูง “จริงด้วย จำได้แล้ว ก็ว่ามันคุ้นๆ”

   “…”

   พี่ป่านเดินเข้ามาใกล้ๆ พร้อมกับแยกเขี้ยว “ตัวเดียวกันหรือเปล่าเอ่ย”

   ผมเอนตัวหนี เก้าอี้เอนจนแทบจะกลายเป็น 180 องศา

   “คนละตัวแล้วครับ ผมจะเอาเสื้อมันมาใส่ทำไม”

   “เออนั่นสินะ” พี่ป่านเริ่มมีสติและพยักหน้าเห็นด้วย “พวกเธอดูไม่ค่อยถูกกันอยู่ไม่ใช่เหรอ”

   “ใช่ครับ แฮะๆๆ เกลียดกันมากเลยด้วย” นี่ ผสมโรงมันเข้าไป หึหึ

   “แต่เหมือนจริงๆ นะ” ไอ้เดียร์ยังไม่หยุด แถมทำท่าจะเข้ามาดูป้ายที่ท้ายทอยด้วย “ไหนดูสิว่ายี่ห้อเดียวกันหรือเปล่า เมื่อเช้าขอพี่เขาดูอยู่เหมือนกัน”

   ม่ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย

   “สวัสดีทุกคนนะครับ” เสียงหนึ่งทำลายความชุลมุนของพวกเรา พี่จระเข้ พิธีกรและนักแสดงชื่อดังยืนหราอยู่หน้าทางเข้า ในมือมีของกินเพียบซึ่งมันเรียกความสนใจจากใครได้หลายคน รวมถึงเจ้านายผมด้วย

   “ว๊าย อย่าบอกนะว่าทาร์ตชีสของโปรด” แหมะพี่ป่าน ตะโกนลั่นแถมพุ่งปรี๊ดไปก่อนใครเลย

   ฟู่ววววว รอดตัวไป

   “ไหนดูดิ”

   “เหวอ!!” ผมตัวเซเมื่ออยู่อยู่ๆ ไอ้เดียร์ก็มาดึงคอเสื้อผมอย่างแรง

   “หึ ยี่ห้อเดียวกัน” ไอ้ตัดต่อมองทะลุมาด้วยสายตาตัดสิน

   “ยะ…อย่ามายุ่งได้มั้ยฮะ!?” ผมกระโดดหนี

   “อ้าว แค่บอกว่ายี่ห้อเดียวกัน ทำไมต้องโวยวายแบบนี้ด้วย” ไอ้เดียร์ขยับแว่น “หรือว่า…”

   “…”

   “หรือว่านี่คือเสื้อของพี่โปเต้”

   แฉ่งงงง!

   เสียงฉาบดังอยู่ข้างหัวผมเลย ช่วยโต้ยยยยยย

   “บ้าเหรอ กูจะเอาเสื้อมันมาใส่ทำไมเล่า”

   “โต๋น…ความจริง” เดียร์เดินเข้ามาใกล้ขึ้น

   “จริงๆ นี่ไม่ใช่เสื้อของมัน”

   “เอาดีๆ…”

   “ไม่ใช่โว้ยยยยย”

   “กูคงต้องโทรถาม….”

   “อย่านะโว้ยยยย”

   “เสื้อใคร!?”

   “เออ!!” ยอมแพ้ “เสื้อ…”

   “เสื้ออะไรเหรอ” พี่จระเข้เดินเข้ามาจากด้านหลังพอดีทำให้ไอ้เดียร์ชะงักไป โอ๊ยยยยย ขอบคุณมากเลยนะพี่ ระฆังช่วยชีวิตของแท้

   “เอ่อ…” ไอ้เดียร์อ้ำอึ้ง ลนลานยกมือขึ้นมาไว้ “หวัดดีพี่”

   “ไปกินขนมสิ” พี่เข้บอกมัน

   “ครับ” ไอ้โยกเยกพยักหน้า มันทิ้งสายมาหาผมก่อนจะพุ่งตัวไปรวมกับคนอื่นๆ

   “เราด้วย” พี่เข้สะกิดไหล่ สัมผัสของนิ้วทำให้ผมคลายความตื่นเต้นไปได้บ้าง

   “ครับ?”

   “ไปกินขนมสิ เดี๋ยวโดนแย่งหมดไม่รู้ด้วยนะ” พี่เข้ยกมุมปากขณะพูด

   โอ้โห… รอยยิ้มแห่งการให้ รอยยิ้มแห่งการแบ่งปัน

   “ดูท่าผมคงไม่ทันแน่ๆ” ผมมองกลุ่มนกแร้งแล้วถอนใจ อะไรจะหิวกันขนาดนั้นปี้ๆ

   “เสื้อสวยดีนะ”

   “แฮะๆ ขอบคุณนะครับ”

   “ซื้อที่ไหน”

   โอ๊ยยยยยยยยยยยยย เสื้อเลี่ยมทองหรือไงวะ ทำไมมีแต่คนถาม

   “คือ…”

   “แต่พี่ว่ามันไม่ค่อยเหมาะกับเราเท่าไหร่” พี่เข้พูดต่อทำให้ผมมีจังหวะเงียบได้ทัน

   “ก็ว่างั้นแหละครับ แฮะๆ”

   “เข้!! ลืมถ่ายรูป กินกันจนจะหมดแล้ว!!” พี่ป่านตะโกนเข้ามา

   “ปะ ไปถ่ายรูปกัน” พี่เข้พงกหัวชวน

   “ผมท้องเสียว่าจะไปเข้าห้องน้ำ พี่ไปถ่ายเถอะครับแฮะๆ”

   “โอเคหรือเปล่า”

   “ก็…”

   “เอายามั้ย” ดีเจหนุ่มผู้เป็นไอดอลจับไหล่ผมอย่างกับหมอกำลังวินิจฉัยโรค

   “ไม่เป็นไรครับ ปวดท้องปกติเฉยๆ”

   “เข้!” ฝั่งพี่ๆ ตะโกนเรียกอีกครั้ง

   “พี่ป่าน ครีเอทีฟพี่ปวดท้องเนี่ย!” พี่เข้ตะโกนกลับไป

   “เอ๊า เป็นอะไรอะตะ...” พี่ป่านเหมือนจำขึ้นมาได้ว่าผมขอไว้ว่าห้ามให้พี่เข้รู้เรื่องชื่อ “เป็นอะไรมากมั้ยลูก"

   “ไม่เป็นไรมากครับ ปวดท้องปกติ”

   “โอเค….” พี่ป่านพยักหน้า แอบส่งสัญญาณมาด้วยว่าเมื่อกี้ขอโทษที่เกือบจะหลุดปากไป “ไอ้เข้! กูบอกให้มึงมาถ่ายรูป!”

   “มาแล้วๆ” พี่ทำท่าจะเดินไป แต่ยังไม่วายหันมาเป็นห่วง “โอเคแน่นะ”

   “ครับ สบายมาก” โอ๊ยยย ใจจริงก็อยากให้เป็นห่วงนานๆ นะพี่

   และหลังจากพี่เข้เดินไป ผมก้อวิ่ง! วิ่งงงงงง ไม่คิดชีวิต ขึ้นบันไดหนีไฟมาชั้นยี่สิบ ทะลุเข้าไปในออฟฟิศของตากล้อง ซึ่งในขณะนี้มีไอ้โปเต้นอนเหยียดอยู่บนโซฟาคนเดียว

   ผมไม่รอช้า

   พรึ่บ!!

   “เฮ้ย!!”

   ผมถอดเสื้อหนังและโยนมันไปให้เจ้าของ โปเต้สะดุ้งที่อยู่ๆ ผมก็พรวดพราดมาทำกริยาอย่างนี้

   “อะไรมึงเนี่ย”

   “ไม่เอาแล้ว” ผมบอกแค่นั้น

   “แล้วมาคืนดีๆ ไม่ได้หรือไง”

   “เอาไปเหอะน่า”

   “เดี๋ยว!” เสียงมันเรียกเมื่อเห็นว่าผมกำลังจะหนีออกจากห้อง “ไม่หนาวแล้ว?”

   “เปล่า”

   “แล้วรีบมาคืนมาทำไม กูบอกว่าให้ยืมก่อน”

   “เออ ไม่เอาแล้ว กูกอดตัวเองแบบนี้แหละ” ผมจะหนีอีกรอบ คราวนี้มันเล่นมุกเดิม รีบกระโดดลุกมาใช้นิ้วเกี่ยวคอเสื้อผมไว้ โอ๊ยยยยยยย เสื้อกูยืดหมดแหม ไอ้วอก

   “มีอะไรหรือเปล่า?” มันพูดอยู่เหนือหัว

   “คนข้างบนเขารู้ว่ามันเป็นเสื้อมึง”

   สิ้นประโยคที่ผมพูด ไอ้โปเต้ก็ขำก๊ากออกมาเลยครับ

   “อะไร!? อย่าบอกนะว่ามึงกลัวโดนแซว”

   “เอ๊า! แล้วถ้ามึงโดนแซวบ้างล่ะ”

   “ทำไม มึงเขินเหรอ!?”

   “ป้อเอ็งซี่ กูอาย!”

   “อายทำไมวะ กูงง” อีกฝ่ายเค้นหัวเราะ “ทำอย่างกับว่ามึงกับกูชอบกัน”

   “กูไม่ได้ชอบมึง!” ผมสวนทันควัน

   “เออ กูก็ไม่ชอบมึงเหมือนกันไง!” อีกฝ่ายก็พูดซ้ำด้วยประโยคเดิม “สบายใจยัง เอาไปเหอะ กูแค่ไม่อยากให้มึงป่วยตายมาทำงานไม่ได้”

   “นี่กูขอร้องเหอะนะ มึงเก็บไว้ กูไม่อยากได้แล้วจริงๆ” ผมแทบจะกราบแนบเท้า

   “อายอะไรของมึงวะ” ไอ้ตากล้องเกาหัวแกรกๆ “ถ้าแอบได้กันแล้วเค้าแซวนั่นอะสมควรอาย”

   “พูดห่าอะไรเนี่ย”

   “ช่างแม่ง ไม่เอาก็ไม่ต้องเอา” ไอ้โปเต้โยนเสื้อไว้บนโซฟา “หมดธุระยัง กูจะนอน”

   “งานการไม่มีทำหรือไง”

   “ไม่มี” มันสวน “หรือจะสั่งให้ทำอะไรหรือเปล่าละคุณครีเอทีฟ”

   “ไม่ แค่นี้แหละ” ผมหันหลัง

   “เดี๋ยว”

   โอ๊ยยยย เรียกกูเก่งจังวะ เจ้าชายแห่งวงการนักเรียกหรือไง

   “อยากได้แบบไหน”

   “แบบไหนอะไรวะ” ผมหรี่ตาด้วยความสงสัย

   “เสื้ออะ มึงอยากได้แบบไหน”

   “ทำไม มึงจะซื้อให้กูรึไง๊?” ผมกอดอก ยิ้มมุมปากแบบท้าทาย หลอกหรอยเสื้อฟรีดีกว่า

   “เปล่า กูจะไปเอาของเก่าๆ ที่ไม่ค่อยได้ใช้ในตู้มาให้ พวกผ้าขี้ริ้ว...”

   “ถ้างั้นเก็บไว้เช็ดขี้เวลาทิชชู่มึงหมดเถอะ” คนปกติที่ไหนเอาผ้าขี้ริ้วมาให้คนอื่น

   “แหม แล้วเรื่องอะไรกูต้องซื้อให้มึงวะ”

   “เอ๊า กูก็นึกว่าจะแน่”

   “ปัญญาอ่อน ท้าให้ซื้อเสื้อให้ คนเหนือเขาเล่นกันแบบนี้เหรอ”

   “เอาเถอะ กูรู้มึงคนไม่จริงอยู่แล้ว” ผมหันหลังเป็นคร้งสุดท้าย “ไว้เจอกันคราวหน้านะ แต่ขอแบบเว้นสักอาทิตย์สองอาทิตย์ เบื่อหน้า”

   “ทำกะกูอยากเจอมึงตาย”

   ผมหัวเราะทิ้งท้ายก่อนจะเดินท่านักเลงออกจากห้องไป หึหึ กวนตีนคนนี่มีความสุขจริงๆ เลย

   “เฮ้ย!”

   ผมกำลังใจลอยผลักประตูทางหนีไฟออกไป แต่ก็ต้องตกใจเมื่อเห็นว่าใครยืนพิงราวจับรออยู่ข้างหน้านั้นแล้ว

   ไอ้เดียร์มองลอดแว่นออกมา ...เฮ้ย ถามจริงนี่นักตัดต่อหรือโคนัน

   “ไหน เล่าให้ฟังหน่อยสิ”

   นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมเห็นอีกฝ่ายยิ้ม ยิ้มแบบอยากรู้อยากเห็น…


จบตอน


 :o8: :o8: :o8: :o8: :o8: :o8: :o8: :o8:

ตอนมันสั้นก็เลยลงต่อกันเลยดีกว่า
วันนี้หนีงานก็เลยมาลงได้ครับอิอิ #ทรมานบันเทิง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-12-2018 01:31:29 โดย theneoclassic »

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4
สนุกอะ อ่านเพลินมาก  :katai2-1: :katai2-1:

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8

ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
มาต่ออออ

ออฟไลน์ t2007

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2400
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-5
น่าร้าก

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
จะเป็นใครดีนะ

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ไม่เข้าใจโต๋น  :mew2:
เรื่องชอบเข้ น่ะช่างมัน เพราะชอบไปแล้ว
เข็มขัดไม่คืน ชื่อที่เซนต์บนเสื้อตอนจบว่าให้ยืมเข็มขัด
อุปสรรคเยอะที่จะสื่อสารกัน ตั้งแต่บอกเบอร์โทรศัพท์ที่รร.เก่า
เจอกันตอนมาจีบภูมิ
ไปหาตอนรับปริญญา ซื้อตุ๊กตาจรเข้ให้
เข้ ถ่ายเซลฟี่  ส่งข้อความบอกจบ
เจอกันจำไม่ได้อีก ทั้งที่ชื่อประหลาดโดดเด่น
ยังปลื้มเขาไม่เลิก คนที่ประหลาดน่ะคือนาย โต๋นแตร์ยอน

อีกเรื่องที่ประสาท ประหลาด แค่ใส่เสื้อของโปเต้
อายที่จะบอกว่าเป็นของโปเต้ แต่แถๆๆๆ ไปจนสีข้างถลอกแล้วถลอกอีก
เพิ่งมาทำงาน ทำไมกลัวว่าถ้าบอกคนฟังจะคิดอะไร งง กับโต๋นจริงๆ
แต่อ่านแล้วโต๋น เป็นสาย sm ช่างทรมานบันเทิงตัวเองจริงๆ
รอทรมานของโต๋น ตอนใหม่นะ
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
ปล. คนที่กองก็ประหลาดๆนะ เดียร์งี้ โปเต้งี้ ไอ้คนที่เล่นเกมตอนที่ไปคืนการ์ด

ออฟไลน์ แม่น้องเปา

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 209
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
สนุกกกกกก..มาต่ออีกนะคะ  ขอบคุณค่ะ :mew1: :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ Hamzholic

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-2
กลัวเจ็บตัวมาก แต่เดาไปก่อนว่าโปเต้นี่พระเอก
แต่สงสัยว่าทำไมพี่เข้จำโต๋นไม่ได้อะ?

ออฟไลน์ theneoclassic

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 219
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +217/-3
4
ผอมแบบไม่ได้ตั้งใจ




   “เรคคอร์ดครับ ห้า… สี่… สาม… สอง…” ผมนับถอยหลัง และเมื่อเสร็จก็ทำมือส่งสัญญาณให้เริ่มการอัดเทปได้

   โอเค เรื่องราวก่อนหน้านี้อาจจะโดดไปหน่อย แต่ดูตรงนั้นก่อนสิครับ… ไอ้เดียร์ยืนกอดอกพิงเสาในสตูฯ พร้อมทั้งยิ้มกรุ้มกริ่มมองลองแว่นมา อะไรของมัน พี่ป่านยังบอกเลยว่าแต่ก่อนมันไม่เคยลงมาดูอัดเทป วันนี้นึกคึกอะไรถึงอยากจะตามผมลงมาด้วย

   คือมันเป็นอย่างนี้…




   วันก่อน

   แชะ!
   ไอ้เดียร์จุดบุหรี่เพื่อเผาปอดอยู่ตรงระเบียงสตูฯ ที่วันนี้ไม่มีใครเพราะไม่มีการถ่ายรายการ ไอ้ตัดต่อมองมาที่ผมพร้อมกับส่งซองบุหรี่ให้ แต่ผมปฏิเสธ

   “จะถามอะไรอีกก็ถามสักทีซิ ให้กูมาดมควันอยู่ได้” ผมพูดกับมัน ก่อนหน้านี้ผมเล่าเรื่องที่ยืมเสื้อมาจากไอ้โปเต้แล้วแบบหมดเปลือก แต่ดูท่ามันก็ไม่ปล่อยผมไปสักที

   “เรื่องนั้นหายสงสัยแล้ว” มันยักคิ้ว “มีอีกเรื่อง”

   “ถ้าอยากสอบสวนทำไมไม่ขอที่บ้านไปเป็นตำรวจวะ” โอ๊ยหงุดหงิด

   “กูชอบจับผิด มันสนุกดี”

   ประสาทแดก

   “มีอะไรก็ว่ามา”

   “กูแอบเห็นตอนที่พี่เข้เข้ามาคุยกับมึง มึงดูมีท่าทีแปลกๆ”

   ไอ้บ้าเอ๊ยยยย กูเชื่อแล้วว่ามึงชอบจับผิดจริงๆ ตอนเด็กๆ นี่ไปนั่งจิ้มตู้เกมหลังเลิกเรียนบ่อยๆ หรือเปล่าวะ

   “แปลกไรของมึง คิดไปเอง”

   “เหรอ” สีหน้าคนข้างๆ ดูเหมือนไม่เชื่อ “มึงดูเบิกบานดีนะตอนคุยกับเขา”

   เบิกบาน… คำเหี้ยไรเนี่ย เทรนด์ใหม่เหรอ จะเอาไปใช้บ้าง

   “รู้จักกันมาก่อนเหรอ?” มันถามอีกรอบ

   “ก็…”

   “อย่าโกหกเลย กูได้ยินพี่ป่านบอกว่าเป็นรุ่นพี่มหาลัยมึง แปลว่า…มึงก็ต้องรู้จักพี่เข้ด้วย เพราะพี่เข้เป็นหลานรหัสพี่ป่าน ถูกมั้ย?”

   “ก็…ถูก” ผมยอมแพ้ “แต่คนละคณะกัน”

   “แล้วมึงก็ชอบเขา…” มันจ้องเค้นเอาคำตอบ “ถูกมะ?”

   “ทำไมมึงมโนลมเก่งจังวะ”

   “ถูกมั้ย…”

   เอาเหอะ ผมถอดใจ บอกก็บอก

   “เออ”

   “ว่าแล้ว” ไอ้เดียร์พ่นควันอีกรอบ “เป็นเกย์ว่างั้น”

   “ใคร? กูหรือเขา?”

   “มึงดิ”

   “ป้อมึงซี่” ผมเท้าคาง

   “แปลว่ามึงก็เคยมีแฟนผู้หญิง?”

   ผมนึก

   มีปะวะ

   เออ ไม่มี

   “เหอะ” ผมส่ายหัว

   “อ่า… แล้วชอบพี่เข้ที่เป็นผู้ชาย?”

   “มึงคุยเรื่องอะไรที่จรรโลงใจกูหน่อยได้มั้ยวะ” ผมกัดกระพุ้งแก้มตัวเอง รู้สึกหงุดหงิด “แม่งก็เป็นคนเดียวที่กูชอบเหมือนกัน”

   “คนอื่น?”

   “ก็บอกอยู่ว่าไม่เคยมีแฟน” ผมถอนหายใจ “แต่ก็มีชอบบ้าง แต่ไม่เคยเท่าคนนี้เลยว่ะ”

   “แล้วไม่บอกไปล่ะ รู้จักกันมาตั้งแต่มหาลัยแล้วนี่?”

   “เหอะ” อยากจะขำ มึงไม่รู้อะไรซะแล้วไอ้แว่นเซ็กซ์ “เรื่องมันยาวกว่านั้น กูรู้จักกันมาตั้งแต่สมัยมัธยมแล้วครับ”

   “อ้าว เรียนโรงเรียนเดียวกันเหรอ”

   “อืม” ผมพยักหน้า “แต่เหี้ยเนอะ อยากจะบอกเขากี่ทีก็มีอะไรมาขัดตลอด”

   “ก็บอกตอนนี้สิ”

   “มีอีกเรื่องที่ตลกกว่า แม่งจำกูไม่ได้”

   “ฮะ!?” มันทำตาโต “ตลกแล้ว มัธยม มหาลัยจนมาถึงตอนนี้มันไม่ได้ห่างกันเลยนะ”

   “กูก็ไม่รู้ทำไมแม่งจำไม่ได้ หรือกูเปลี่ยนไปเยอะวะ”

   “มึงทันเขาตอนไหน มหาลัยอะ”

   “ตอนเขาอยู่ปีสี่ กูเพิ่งเข้าไปหนึ่ง” ผมอธิบาย

   “ไหนขอดูรูปตอนมัธยมหน่อย”

   ผมขมวดคิ้ว จะดูทำไมวะ

   สงสัยไปอย่างนั้นแหละครับ ตอนนี้ผมรู้สึกสบายใจอย่างประหลาดพอได้เล่าเรื่องนี้ให้คนอื่นได้รู้บ้าง แต่ทำไมต้องเป็นไอ้เดียร์ด้วยวะ มึงนี่ได้รับเกียรติเลยนะ

   ผมเปิดอัลบั้มสมัยมัธยมปลายในโทรศัพท์พร้อมกับยื่นให้คนข้างๆ มันพิจารณาอยู่นานด้วยการลากไปดูทุกๆ รูป

   “เหี้ย…”

   “อะไร?” ผมสงสัยเลยชะโงกไปดูหน้าจอ “หน้ากูเหี้ยเหรอ”

   “ยิ่งกว่านั้น”

   “หน้าเหี๊ย…เหี้ยเหรอ”

   ไอ้เดียร์หันมามองผมด้วยสายตาละเหี่ยใจกับมุกควายนั้น แต่ผมก็ปล่อยผ่านไปเค้นมันกลับมาตอบให้ฟัง

   “อะไรล่ะพูดมาสิ!”

   “นี่มึงไม่รู้ตัวเลยเหรอ?” มันว่าพร้อมกับเปิดรูปหนึ่งมาให้ “ไอ้โต๋น แต่ก่อนมึงอ้วนมาก อ้วนแบบแถมโรค ใครจะจำมึงได้”

   “ฮะ!?” ผมหยิบโทรศัพท์มาดูชัดๆ มันเป็นรูปผมเองถ่ายกับเพื่อนหน้าห้องสมุด แต่ผมไม่เห็นว่าอ้วนเลย นี่มัน…ก็เป็นผมอะ ผมไม่ได้คิดว่ามันต่างจากตอนนี้เท่าไหร่เลยนะ

   “มึงไม่เคยชั่งน้ำหนักเลยหรือไง”

   “เคย” ผมบอก “แต่ก็ไม่ได้สังเกตเปล่าวะ ตอนเด็กๆ กูไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้”

   “ไม่แต่งตัวเลยเหรอ”

   “แค่ทาแป้งพ่อก็ไล่เตะแล้ว ขนาดแป้งเด็กนะ”

   “แล้วทำไมมึงผอมได้วะ?” ไอ้เดียร์สงสัยจนขอสำรวจรูปพวกนั้นอีกรอบ

   “ไม่รู้เหมือนกันว่ะ” ผมส่ายหน้า “แล้วตอนนี้กูโอเคมั้ยอะ”

   ผมส่งสายตาไม่มั่นใจให้คนข้างๆ ไอ้เดียร์เหลือบมามองผมแวบหนึ่งก่อนจะเบนสายตากลับไปที่มือถือต่อ

   “อืม… ก็ดีมั้ง” มันส่งเสียงในลำคอ

   “เอาดีๆ มึงอย่าทำให้กูเหลิง”

   “ตอนนี้มึงน่ารักมากโต๋น สบายใจเถอะ”

   ผมอึ้งเล็กน้อยเมื่อได้ยินอย่างนั้น แอบมองหน้ามันแต่ก็ไม่เห็นว่าอีกฝ่ายจะสนใจกับสิ่งที่พูดเท่าไหร่ ผมก็เลยเลิกสนใจ

   “แล้วมึงจะบอกเขามั้ย” ไอ้เดียร์ถามอีกรอบ

   “อืม…ไม่รู้ว่ะ แต่พอเขาไม่รู้จักกู แม่งก็ดีเหมือนกันนะ ได้ทำความรู้จักกันใหม่ ดูมีความหวังมากกว่าแต่ก่อนอีก”

   “หึ” อีกฝ่ายคืนโทรศัพท์ให้พร้อมกับกระตุกยิ้ม “แบบนี้พี่โปเต้อกหักแย่ดิวะ”

   “สัสเดียร์ อย่าแซวเรื่องนี้อีกนะโว้ย กูไม่อยากทำตัวไม่ถูกกับมันอะ ต้องทำงานด้วยกันอีกยาว”

   “เออ” มันว่า “แล้วเรื่องพี่เข้อะ…ให้กูบอกให้มั้ย?”

   “ไม่ต้องนะ!” ผมแทบสะดุ้ง “อย่าเพิ่งบอก ขออยู่แบบนี้ไปก่อน”

   “ทำไม…”

   “นะ!” ผมกระโดดเข้าไปกอดคออีกฝ่าย พูดกับมันชัดๆ ข้างๆ หู “นะกูขอร้องเหอะ กูยอมให้มึงแซวเรื่องไอ้โปเต้มากกว่าเรื่องนี้อีก”

   “อ่า…” มันเบือนหน้า “ก็ได้วะ”

   “ขอบใจมาก” ผมเขย่าวงแขนจนเราทั้งคู่ตัวสั่นไปพร้อมกัน “กูยอมเล่าเรื่องนี้ให้มึงฟังคนเดียวเลย เพราะงั้นมึงต้องช่วยกูเรื่องนี้ เข้าใจมั้ย”

   “เออ รู้แล้วน่า ไม่บอกใครทั้งนั้น” มันทำท่าสะบัดตัวหนี “ออกไปได้ละ คอกูจะหัก นี่มึงผอมจริงเปล่าวะเนี่ย”

   ผมยิ้มหลังจากที่มันยอม เย่! ผมอ้อนวอนคนได้สำเร็จ ต้องใส่ไว้ในช่องความสามารถพิเศษส่วนตัวซะแล้ว

   เอาจริง วันนี้ก็ทำให้ผมสนิทกับไอ้เดียร์มากขึ้นนะ รู้สึกดีด้วยแหละที่มันก็รับฟัง เรียกได้ว่ามันคงเป็นเพื่อนคนแรกในแผนกแล้วล่ะมั้ง โอเค...ทำงานอย่างสบายใจไปได้หนึ่งเปราะ

   “ขอบุหรี่หน่อยดิ” ผมแบมือไปทางคนข้างๆ

   ไอ้เดียร์คว้าซองสีเขียวหนี “ไหนบอกไม่เอา”

   “ตอนนี้อยากดูดและ”

   “ไม่ให้”

   “อ้าว ไหนเมื่อกี้ยังคะยันคะยอให้กูอยู่เลย” ผมทำท่าจะว้า “ขอมั่ง!”

   “ไม่!” ไอ้แว่นลุกขึ้น “เปลือง”

   พอพูดจบมันก็ทิ้งก้นบุหรี่ หลังจากบี้มันด้วยรองเท้าก็เดินกลับเข้าไปในสตู ทิ้งผมให้รับลมอยู่ตรงนั้นคนเดียว




อะ…กลับมา

   “คัท!” เสียงไอ้โปเต้ดังซะผมสะดุ้ง ไอ้ห่านี่นิ

   “ตกใจอะไรมึง” มันเห็นผมเป็นอย่างนั้นก็เลยทัก “โอเคหรือเปล่า ต้องแก้ส่วนไหนมั้ย”

   ผมอ่านใบสคริปต์ก่อนจะส่ายหัว “ไม่มี เดี๋ยวถ่ายเบรกต่อไปได้เลย”

   “เออ” มันถอยออกจากกล้องอุปกรณ์ประจำตัว “อ้าวไอ้เดียร์!? มาทำไมวะ”

   ผมหันควับไปมองสองคนนั้นทันทีเมื่อเห็นว่าพวกเขากำลังทักทายกัน

   ไอ้เดียร์อมยิ้มพร้อมกับเหลือบมาทางนี้

   “อยู่ข้างบนเบื่อๆ อะพี่” คนถูกถามตอบ “ไปดูดบุหรี่กันปะ”

   “เอาดิ มึงมีปะ”

   “เย็นนะพี่”

   “เออ เวลานี้ได้หมดแหละ” แล้วทั้งคู่ก็พากันหายตัวออกไปนอกระเบียง

   ฉิบหายแล้วไง…

   ผมทำท่าจะเดินตาม ทว่าเสียงหนึ่งกลับเรียกผมซะก่อน

   “น้องครับ” พี่เข้เดินเข้ามาหา “เปลี่ยนชุดเลยใช่มั้ย?”

   “เอ่อ…” ผมอ้ำอึ้ง “ครับ เปลี่ยนเลย”

   “ได้เลย”

   “พี่เข้อยากดื่มน้ำหรือเปล่าครับ” ผมถามเขา

   “ถ้าได้ก็ดีนะ”

   “กาแฟมอคค่าหรือเปล่าครับ?”

   “หืม” พี่เข้ชะงักไป ทั้งๆ ที่กำลังจะเดินออกไปแล้วก็ต้องเหลียวกลับมามอง “ทำไมรู้ล่ะ?”

   เชี่ยแล้วไง…

   “ผมเดาอะครับ พอดีผมจะไปซื้อของตัวเองอยู่แล้ว มันก็เลยติดปากพูดไป”

   “บังเอิญจัง พี่ชอบมอคค่ามาก” พี่เข้ยิ้ม “ขอบคุณนะครับ”

   พี่เข้ทิ้งรอยยิ้มหวานก่อนจะเดินกลับขึ้นไปห้องแต่งตัว หือออออออ ใจมันมาพี่เอ๊ยยยย ใจมันมา

   “น้อง!!” ทีมตากล้องตะโกนเรียก ผมหันซ้ายหันขวาไม่มีใครจึงรู้ว่าเขาหมายถึงผม

   “ครับ?”

   “ช่วยพี่ๆ เขาเปลี่ยนฉากหน่อย!”

   หา!?

   “ผมต้องทำหน้าที่นี้ด้วยเหรอครับ”

   “น้ำใจครับ!”

   เอ๊า! พูดกันดีๆ ไม่ได้หรือไงวะ

   โอเค… ไม่เป็นไรๆ หายใจเข้าลึกๆ

   ผมเข้าไปช่วยพี่ๆ ทีมพร็อบหลายๆ คนเคลื่อนย้ายฉาก วันนี้พี่ป่านมีประชุมผมเลยต้องจัดการคนเดียว บางทีนี่อาจจะเป็นหน้าที่หนึ่งที่ต้องช่วยกันละมั้ง

   แต่ผมงงว่าตากล้องคนที่ตะโกนเรียกผมไปช่วย ตอนนี้ยังนั่งอยู่กับที่เล่นเกม เปิดลำโพงเสียงดังอย่างสนุกสนาน อ้าว อะไรวะเนี่ย

   “น้องยกตัวนี้เสร็จก็ไปซื้อน้ำให้พิธีกรเถอะ เดี๋ยวที่เหลือพี่จัดการกันเอง” พี่ฝ่ายพร็อบคนหนึ่งพูด

   “อ่า…โอเคครับ”

   ผมพยักหน้าขอบคุณพี่ๆ ระหว่างที่ช่วยประคองป้ายขนาดใหญ่ ซึ่งในขณะนั้นเอง ด้วยความเก้งก้างของมันทำท่าจะไปกระแทกขาตั้งกล้องตัวของโปเต้เข้า ผมเลยพุ่งตัวออกไปรับ ดีที่จังหวะขากล้องมันล้มมือของผมก็คว้าเอาไว้ได้ทัน แต่ด้วยความความที่ทรงตัวยากกลายเป็นว่าตอนนี้ทั้งขาตั้งและตัวกล้องราคาร่วมแสนกระแทกโดนอกผมอย่างจังจนนอนราบลงไปกับพื้น

   “เฮ้ย!” เสียงของตากล้องคนเดิมดังขึ้นมา พร้อมกับมาคว้าของสองสิ่งนั้นไป

   โดยไม่ได้สนใจผมที่นอนอยู่…

   “ระวังหน่อยสิวะ พังขึ้นมามึงมีปัญญาจ่ายเหรอ!!” เขาตะโกนลั่น สีหน้าเดือดดาลเหมือนจะฆ่าผมให้ได้

   “แต่ผม…”

   คือกูคว้าไว้ทันไง…

   “เหี้ยเอ๊ย… แม่งไม่ได้เรื่องเลยจริงๆ ไอ้ควาย”

   ผมอึ้ง…ในสิ่งที่ออกมาจากปากคนตรงหน้า แต่ผมไม่ตอบโต้อะไรเพราะช็อก ช็อกที่…ใครคนหนึ่งไม่คิดจะฟังคำอธิบายใดๆ ทั้งสิ้น และใช้คำพูดคำจาแบบ…

   “ขอโทษครับ” ผมพยุงตัวขึ้น โดยมีพี่ๆ ทีมพร็อบช่วย

   “เฮ้ย!” เสียงหนึ่งทำลายความเดือดดาลนั้น

   โปเต้เดินเข้ามาพร้อมกับชี้ตากล้องอีกคนอย่างหาเรื่อง

   “มึงอย่าทำเป็นกร่าง” น่าแปลกที่ตากล้องคนนั้นเงียบกริบ ไม่ตอบโต้ใดๆ “กูเห็นว่ามันคว้าไว้ได้ทัน แถมมันล้มหัวจะฟาดพื้นอยู่แล้ว”

   ผมเหลือบมองโปเต้เมื่อจบประโยคนั้น และพบว่ามันมองมาก่อนแล้ว

   “กูไม่แปลกใจเลยทำไมกองอื่นๆ ชอบบอกว่าไม่อยากทำงานกับทีมเรา” โปเต้เดินไปคว้าอุปกรณ์ของตัวเองออกมา “เพราะมีคนอย่างมึงไง”

   “แต่ว่า…” อีกฝ่ายทำท่าจะเถียง

   “ครั้งนี้มึงแถกูไม่ได้แล้วไอ้สันต์ กูเห็นเต็มๆ ตา”

   “…”

   “มึงไม่ได้ใหญ่สุดที่นี่ กูต่างหาก”

   โห… เงียบกริบ ไม่มีใครพูดกันทั้งนั้น ไอ้โปเต้มันโชว์พาวแล้วครับพี่น้อง!!

   “ไป! ขึ้นไปเปลี่ยนตัวใครก็ได้ลงมาถ่ายแทน ก่อนที่กูจะแจ้งฝ่ายบุคคล”

   พอได้ยินดังนั้น ตากล้องที่ชื่อสันต์ก็กระแทกกระทั้นเดินออกจากสตูฯ ไป

   ไอ้โปเต้หันมาทางนี้อีกรอบ ด้วยความกลัวว่ามันอาจจะอารมณ์ยังไม่คงที่ผมก็เลยถอยหลังหนีไปหลายก้าว

   “โอเคใช่มั้ย?” หัวหน้าตากล้องถาม

   “อือ” ผมพยักหน้า

   “ขอโทษแทนแม่งด้วย เป็นงี้ประจำ”

   “ไม่เป็นไร”

   “เจ็บหรือเปล่า”

   ผมนวดหน้าอก จากที่ตอนแรกรู้สึกหน่วงๆ ดูเหมือนตอนนี้ไม่เป็นอะไรแล้ว

   “ไม่เลย” ผมว่า

   “เออ” มันพยักหน้า แต่ทว่าก็เหลือบมาทางผมอีกครั้ง “ขอบใจ”

   ผมดีใจจนเกือบยิ้มออกมาเมื่อมันพูดแบบนั้น ไม่รู้ทำไม รู้สึกภูมิใจเหมือนได้ช่วยชาติทำนองนั้นเลย

   “จะลงไปซื้อกาแฟ เอาอะไรเปล่า?” ผมถามมัน

   ไอ้โปเต้ลังเล “มีน้ำเปล่าอยู่นี่”

   “ไม่เป็นไร อยากซื้อให้”

   “งั้นจัดมาให้กูแดกเลย ขออย่างเดียว ไม่เอาน้ำล้างตีน”

   “โอ้โห รู้ทันกูอีก” ผมพูดขำๆ มันช่วยเปลี่ยนบรรยากาศในกองได้ ก่อนจะเดินจากมันมา

   ผมเห็นไอ้เดียร์ยืนเคี้ยวหมากฝรั่งอยู่ใกล้ๆ กับลิฟต์ทางออกจากสตูพอดิบพอดี มันยิ้มมุมปากเมื่อเห็นผม

   “ไปไหน ซื้อน้ำให้แฟนเหรอ” ไอ้เปรตแซว

   “ทำไม อิจฉาไง?” ผมหันไปจ้อง “แล้วเมื่อกี้ไปทำไรกัน”

   “แค่ดูดบุหรี่”

   “แน่ใจนะ”

   “กลัวกูเล่าเรื่องของมึงเหรอ” ไอเดียร์ทำท่าจะขำ “มึงอุตส่าห์เล่าให้กูฟังเก็บไว้รู้คนเดียวดีกว่า ดูมึงระแวงแบบนี้แหละสนุกดี"

   “ขอให้มันจริงเหอะ”

   ผมบอกมัน จังหวะนั้นเองที่ลิฟต์เปิดออก ผมเดินนำเข้าไปก่อนจากนั้นก็เป็นเดียร์ที่เดินตามมา

   “มึงจะไปซื้อน้ำไม่ใช่เหรอ”

   “อือ ทำไม? จำเอาอะไร?”

   “เปล่า” ไอ้เดียร์หลุดขำออกมาพร้อมกับส่ายหัว “นี่ลิฟต์ขึ้น”

   ผมมองตัวเลข… เยี่ยม เสียเวลากูจริงๆ พับผ่าสิ



จบตอน


 :o8: :o8: :o8: :o8: :o8: :o8: :o8: :o8:

สวัสดีเย็นวันเสาร์นะครับบบบบ <3 #ทรมานบันเทิง

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-12-2018 01:32:22 โดย theneoclassic »

ออฟไลน์ theneoclassic

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 219
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +217/-3
5
ฝนตก





   “กลับได้แล้วมั้ง” ไอ้เดียร์โผล่หัวออกมาจากคอก ไหล่สะพายกระเป๋าเป้พร้อมสรรพ เตรียมกลับบ้านเต็มที่

   “เดี๋ยวสักพักขอเคลียร์งานก่อน กลับก่อนเลยไม่ต้องรอกู”

   “ใครรอมึง” มันว่าพร้อมกับทำท่าจะเดินไป “แค่จะบอกว่าระวังด้วยอยู่คนเดียว”

   “…”

   “ชั้นนี้ผีดุ”

   “อ้าวไอ้วอก งั้นมึงรอกูแหม”

   “บาย ไว้เจอกัน บอกแล้วว่าไม่ได้รอมึง”

   แล้วมันก็เดินออกไปดื้อๆ ไอ้บ้าเอ๊ยยยยยยยย กูกลัวผีนะ ช่วยด้วยยย

   ไอ้คอมนี่ก็โหลดเร็วๆ สิ ช้าเป็นเต่าติดสตั๊นท์เลยโว้ยยย

   ผมทำใจดีสู้ด้วยการเปิดเพลงดังๆ ระหว่างรอโหลดไฟล์ที่พี่ป่านขอไว้ พอเสร็จผมก็รีบปิดคอม วิ่งไปปิดไฟ จากนั้นก็เผ่นแนบออกจากออฟฟิศไปหน้าลิฟต์โดยเร็ว

   ตึง!

   เชี่ย ตกใจเสียงลิฟต์เลยเนี่ย! ไอ้เดียร์นะไอ้เดียร์

   “เฮ้ย!” ผมร้องลั่นตอนวิ่งเข้ามาในลิฟต์ เพราะไม่ทันได้เห็นว่ามีคนอยู่ก่อนแล้ว

   “สัสตกใจเหี้ยไร กูตกใจตามเลยเนี่ย” ไอ้โปเต้นั่นเองครับที่เป็นคนโดยสารอยู่ก่อนแล้ว มันสะดุ้งเช่นกันตอนผมร้องลั่นออกมา

   “ขอโทษ ไอ้เดียร์มันหลอกว่ามีผีเลยกลัว”

   ไอ้คนตัวสูงหรี่ตา “แล้วเจอมั้ย?”

   “ไม่เจอ… ทำไมวะ”

   “ก็มันมีผีจริงๆ อะดิ”

   “โอ๊ยยยย กูไม่อยู่ทำงานดึกๆ อีกแล้ว”

   “ฮ่าๆ มึงกลัวผีเหรอ”

   “เออดิ” ผมบอกมัน “ผีกับงู กลัวสุดๆ”

   “ทำไมเพิ่งกลับวะ” มันถาม เพิ่งเห็นว่าตอนนี้มันใส่แจ๊คเก็ตหนังที่เคยให้ผมยืมด้วย

   “เพิ่งเคลียร์งานเสร็จ”

   “หน้ามึงไม่ไหวแล้วอะ” ไอ้โปเต้ชี้นิ้วมา

   “เออ ทำคนเดียวไม่สลบก็บุญฉิบเป๋ง

   “แต่ก็เก่งแล้ว”

   “อะไรนะ” ผมทำเป็นไม่ได้ยิน แกล้งเป็นเงี่ยหูประมาณว่าฟังไม่ถนัด

   “อะไร กูพูดจริง มึงเก่งกว่าที่กูคิด”

   โอ้โห เหมือนพ่อชม อยากจะไหว้ด้วยพวงมาลัยสักพวง

   “มึงลืมกดลิฟต์อีกแล้ว” อีกฝ่ายบอกตอนที่ผมกำลังเผลออยู่ แต่ไม่ทันแล้วครับ ตอนนี้ลิฟต์แซงชั้น L ไปจอดที่ชั้นใต้ดินเรียบร้อย

   “ไม่เป็นไร” ผมพูดขณะที่ประตูเลื่อนออก “เดี๋ยวขึ้นไปใหม่”

   “มาดิ ติดรถกูไป” มันกวักมือเรียก

   “ไม่เอาอะ ก็บอกอยู่ว่าแม่ไม่ให้นั่งมอเตอร์ไซด์”

   “แม่มึงอยู่ตั้งเชียงใหม่ จะรู้ได้ยังไงวะ”

   “แม่กูอยู่แพร่โว้ย” ผมกอดอก “ไม่เป็นไร มึงกลับไปก่อนเหอะ”

   “ไอ้สัสอย่าลีลาดิ มากับกูเหอะน่า”

   คราวนี้มันลากคอเสื้อผมเลยครับ ไม่ใช้นิ้วเกี่ยวอีกต่อไปแล้ว

   “โอ๊ย”

   “ลีลา” มันพูดไปลากไป

   “อ๊าก ปล่อย คอฮาเจ๊บบบ” เจ็บจนหลุดภาษาถิ่น

   “พูดภาษาต่างดาวอะไรของมึง”

   “ปล่อยกูสิ!”

   แล้วมันก็ปล่อย “เร็ว เดินตามกูมา เสียเวลา”

   “บ่ได้ขอหื้อเอ็งไปโตยเนอะอิควายสตวง”

   “มึงเลิกบ่นแล้วตามกูมาได้มั้ย” มันหยุดเดินพร้อมกับทำหน้าเตรียมฉุนเฉียวใส่ อะไรวะ คนแผนกนี้ดุดันตลอดเวลาเลยหรือไง

   ผมจำยอมเดินตามมันไปอย่างไม่มีทางเลือก ลานจอดรถก็มืดเชียว เรตติ้งช่องดีขนาดนี้ก็เพิ่มหลอดไฟให้หน่อยเซ่

   แล้วไอ้โปเต้ก็พาผมมาหยุดอยู่ตรงหน้ารถของมัน เอ่อ…นี่มันไม่ใช่มอเตอร์ไซด์แล้ว นี่มันบิ๊กไบค์ชัดๆ

   “กูจะนั่งยังไง ที่จับข้างหลังก็ไม่มี” ผมบ่นเมื่อสำรวจรถตรงหน้า

   “กอดเอวกูมั้ง” มันขึ้นไปคร่อมคนแรก “ถ้าจะโง่ถึงขนาดตกมอเตอร์ไซด์ก็คือมึงโชคไม่ดีแล้วล่ะ ขึ้นมา!”

   ผมถอนหายใจ แต่ก็ทำตามมันว่า

   “ไม่มีหมวกเหรอ” ผมถามตอนมันสตาร์ทรถ

   “อะ” มันยื่นหมวกกันน๊อคสีดำด้านในมือมาให้ แต่มันก็ทำให้ผมงงเหมือนเดิม

   “แล้วของมึงอะ”

   “กูมีอันเดียว”

   “เดี๋ยวๆ แล้วมึงจะทำไงล่ะทีนี้”

   “ก็กูให้มึงใส่แล้วนี่ไง เลิกบ่นสักทีสิวะ คนเหนือเหี้ยไรพูดมากจัง”

   “ไอ้สัส คนภาคไหนก็พูดมากได้อย่ามาโบ้ยกู” ผมเอาหมวกเคาะไหล่มันไปที “ให้กูใส่แน่นะ”

   “เออใส่ไปเหอะ อีกแปบมึงก็ลงแล้ว” เมื่อพูดจบมันก็ขับออกไป




   รถมอเตอร์ไซด์คันสวยแล่นออกจากตึกยักษ์ใหญ่ใจกลางเมือง ซึ่งถึงมันจะดึกแล้วแต่รถก็ยังเยอะอยู่ เราติดไฟแดงที่ใช้เวลาร้อยกว่าวินาที เล่นเอาเบื่อเลย แอบเป็นห่วงไอ้คนข้างหน้านิดหน่อย ไม่ใส่หมวกแล้วดมกลิ่นไอเสียรถเต็มๆ แบบนั้นมันจะไหวหรือเปล่า

   “โอเคปะ”

   “หะ!” มันพูดแข่งกับเสียงเครื่องยนต์รอบๆ ที่ดังกลบ “โอเคไรวะ”

   “เปล่า” เลิกเป็นห่วงดีกว่า “ถามเฉยๆ”

   “มึงอะ จะตกปะ?”

   “ไม่”

   “เห็นมั้ย ไม่เห็นจะน่ากลัว”

   “กูอะไม่เป็นไร อย่าลืมว่ามึงอะไม่ใส่หมวก” ผมใช้นิ้วเคาะไปที่หัวคนขับเล่นๆ แปลกใจที่มันไม่ว่าอะไร

   “ทำไมวะ เป็นห่วงกูเหรอ”

   “เออ แต่ไม่มีอะไรแฝงนะ เป็นห่วงเพราะกลัวมึงตาย” ผมตัดสินใจพูดไป ไอ้ห่านี่ก็ชอบทีเล่นทีจริงอยู่เรื่อย คุยแบบปกติไม่ได้หรือไง

   “ไว้วันหลังเอาหมวกกันน๊อคมาสองใบ”

   “เอามาทำไม กูไม่ได้จะกลับกับมึงทุกวันซะหน่อย”

   “ก็เอาไปทิ้งไว้ที่ออฟฟิศไง ถ้าวันไหนมึงกลับด้วยจะได้ไม่บ่น กูรำคาญ”

   อ่า…

   อ่า… จะพูดอะไรดีน้า เบรกกูขนาดนี้

   “ไฟเขียวแล้ว” ผมชี้ไปที่สัญญาณไฟ

   “หือ? ฝนตกปะวะ” มันถามขึ้นมา

   ผมแบมือยกขึ้นมาเหนือหัว สัมผัสได้ถึงหยดน้ำเล็กๆ ที่เริ่มจะถี่ขึ้นเรื่อยๆ

   “เออ ตกหวะ มึงน่า…. แว๊กกกกกก!!”

   ยังไม่ทันพูดจบ ไอ้ห่าโปเต้ก็บิดรถออกตัวแรงชนิดที่ผมแทบจะหงายไปไหว้คนขับวีออสด้านหลัง ด้วยความตกใจผมเลยคว้าไหล่คนขับไว้ได้ทัน เล่นเอาใจหายวาบ

   “มึงจะรีบไปไหนเนี่ย!!” ผมพูดแข่งกับเสียงลม มันเริ่มขับเร็วขึ้นอีกแล้ววววว

   “เดี๋ยวฝนตกหนัก!!”

   “ไม่เป็นไร! ชีวิตกูยังอยากตากฝนอยู่!”

   “จับดีๆๆ!”

   “ให้จับอะไร!?” ยังไม่ทันถามจบ ไอ้โปเต้ก็ดึงแขนผมอีกข้างไปเกี่ยวเอวหนาๆ ของมันไว้ เออ เอาวะ เวลานี้กลัวตาย จับก็จับ ไม่สนแล้วโว้ยยยยย

   “เดี๋ยวแยกหน้าเลี้ยวซ้าย”

   “โอเค!”

   “เฮ้ย!! มึงไม่ต้องรีบ รอไฟแดงก่อนก็…”

   บรื้นนนนนนน

   แล้วมันก็เร่งเครื่องเลี้ยวทันที ชนิดที่เส้นยาแดงผ่าแปด

   โอเค… อย่าสนคำพูดกูเลย

   “คอนโดข้างหน้าเนี่ย!”

   เอี๊ยดดดดดด

   เสียงเบรกดังสนั่นลั่นทุ่ง ผมเกือบหัวใจวายตอนที่มันจอดหน้าคอนโดแล้วล้อหยุดได้สนิท

   ผมถอดหมวกกั้นน็อคออกมา สูดอากาศบริสุทธิ์อยากแรงเพื่อปลอบใจตัวเองว่ายังไม่ตาย

   “อ่ะ” ผมคืนหมวกมันไป “ขอบใจมาก”

   แต่แล้วก็…

   ซู่…

   อยู่ๆ ฝนเทกระหน่ำลงมาแบบต้องใช้คำว่าห่าฝน เราทั้งสองคนตกใจแต่ก็ไม่ทันได้ตั้งตัว ตอนนี้เปียกยันไข่เลยครับ

   “เหี้ยเอ๊ย…” ไอ้โปเต้บ่นกับตัวเอง “อย่าเพิ่งลง”

   แล้วมันก็ขับรถเข้ามาส่งผมถึงทางเข้าด้านใน โชคดีที่ตรงนี้ตัวอาคารยื่นออกมาช่วยบังฝนไว้ได้

   ผมกระโดดลงจากรถทันที สภาพตอนนี้ไม่ต่างจากลูกหมา ไม่ต้องพูดถึงคนขับ เปียกพอๆ กัน

   ผมยื่นหมวกคืน และมันก็ยังตั้งท่าจะขับออกไป

   “เดี๋ยวๆ”

   “อะไร?”

   “มึงจะขับไปทั้งๆ ที่ฝนตกแบบนี้ไม่ได้นะ” ผมเดินเข้าไปหามัน

   “แล้วให้กูทำยังไง ไม่รีบกลับเดี๋ยวหนักกว่าเดิม”

   “มึง… นี่แหละหนักสุดแล้ว รอมันซาก่อนค่อยกลับ”

   ไอ้ตากล้องมองหน้าผมพร้อมกับครุ่นคิด ซึ่งผมเดาว่ามันก็คงเห็นด้วย

   “งั้นกูรอตรงนี้แหละ ขึ้นห้องไปเหอะ” ว่าแล้วมันก็กอดหมวกของตัวเองมองสายฝนที่เทกระหน่ำ

   ตอนนั้นผมเกือบตัดสินใจแล้วว่าจะทำอย่างที่มันว่า หันหลังแล้วเดินขึ้นห้องไป แต่เอาจริงคงจะเหี้ยอยู่หน่อยๆ ถ้าจะทิ้งคนที่มาส่งไว้อย่างนี้ แม้ว่าคนที่จะมาส่งไม่ใช่มันแต่เป็นพี่วินก็เหอะ ผมก็ต้องทำแบบเดียวกัน

   “มึง” ผมเดินกลับมาและส่งเสียงเรียกมัน

   “หืม” มันเอี้ยวตัวมามองด้วยสีหน้าเซ็งๆ

   “ไปรอห้องกูมั้ย”

   “ทุเรศ ชวนคนขึ้นห้อง”

   “อะ งั้นมึงอยู่ตรงนี้ก็ได้ไอ้สัส” ผมอยากจะกระโดดถีบให้ล้มทั้งคนทั้งมอเตอร์ไซด์เลยจริงๆ

   “ล้อเล่น” มันพูดก่อนที่ผมจะเดินหนี “มีอะไรให้แดกปะ”

   “ให้ใช้เป็นที่หลบฝน ไม่ใช่ใช้เป็นโรงอาหาร เร็วๆ จอดรถไว้นี้แหละ เดี๋ยวบอกพี่ยามให้”

   “เออ” มันลุกจากลูกรักก่อนจะหิ้วหมวกกันน็อกตามมา






   “ห้องมึงกว้างจัง อยู่คนเดียวเหรอวะ” คนที่มาส่งผมสั่งเสียงเมื่อเห็นสภาพห้องเต็มๆ หลังจากผมเปิดไฟ

   “เออดิ”

   “ไม่เหงาหรือไง” มันลูบน้ำที่ไหลจากผมลงมาที่คอ

   “กูอยู่มาตั้งแต่เรียนปีหนึ่งแล้ว” ผมบอกขณะที่ถอดรองเท้า เสื้อ รวมถึงกางเกงจนตอนนี้เหลือแต่กางเกงใน

   ผมตั้งใจจะหันมาคุยกับโปเต้ต่อ แต่เห็นว่ามันทำตาโตมองผมอย่างอึ้งๆ

   และผมก็นึกได้ว่าตอนนี้ไม่ได้อยู่คนเดียว

   เยี่ยม โทงเทงเชียวกู

   ผมรีบวิ่งไปคว้าผ้าเช็ดตัวมาพันรอบเอว พร้อมกับหยิบผืนสำรองมาให้แขกด้วย

   “อะ” ผมโยนของที่ว่าใส่มัน

   “ขอบใจ” หน่อวววววว มีขอบจงขอบใจ

   “จะเปลี่ยนเสื้อผ้ามั้ย มีชุดของพี่ชายกูอยู่ หุ่นน่าจะพอๆ กับมึง”

   “มึงมีพี่ชายด้วยเหรอ?”

   “เออ ทำไมวะ?”

   “หึ” มันแยกเขี้ยว “แน่ใจนะว่าพี่ชาย มีเสื้อผ้าในห้องแบบนี้…”

   “พอเลยไอ้สัสกูไค่ฮาก” ผมยกขาทำท่าจะเตะอีกฝ่าย “พี่โว้ยยยยย เขามานอนห้องกูบ่อย”

   ไอ้โปเต้พยักหน้า แต่ดูท่าแล้วมันคงยังไม่เชื่อผมอยู่ดี

   “นี่ที่บ้านมึงเหรอ” มันชี้ไปที่กรอบรูปใกล้ๆ จอโทรทัศน์ มันเป็นภาพที่ผมพี่ชายพ่อกับแม่อยู่ร่วมกัน ในไร่ชาอู่หลง ธุรกิจของที่บ้านเรา

   “เออ” ผมหยิบมันขึ้นมาดู “นานแล้วแหละ”

   “ไหนมึงอะ”

   ผมขมวดคิ้วด้วยความสงสัย พร้อมกับชี้คำตอบให้คนถาม “อ้าว ก็นี่ไง”

   “โอ้โห” มันทำท่าจะหัวเราะ “มึงเหมือนโก๊ะตี๋เวอร์ชั่นขาวเลยอะ”

   “อ้าวไอ้นี่…”

   แต่ดูท่าอีกฝ่ายยังตกใจไม่เลิกครับ “มึงทำไงถึงผอมได้ขนาดนี้วะ”

   “ยุ่งน่า…”

   “แล้วนี่รูปใคร…” ไอ้ตากล้องทำท่าจะเอื้อมมือไปยังกรอบรูปอีกอัน แต่ทว่าผมกระโดดไปคว้ามันได้ทันซะก่อน

   “อย่ายุ่ง!”

   “อะไรวะ… แฟนมึงไง!?”

   “มึงเลิกเสือกซะที แล้วก็ไปถอดเสื้อผ้าซะ น้ำนองห้องกูหมดแล้ว!”

   “หึ ก็ได้… อย่าให้รู้นะ”

   ผมรีบวิ่งหลบเข้าไปในห้องนอน ฟู่ววววว รอดไป มันเกือบหยิบรูปพี่เข้ไปดูซะแล้ว

   ผมจับกรอบรูปนั้นยัดไปใต้เตียง อยู่ในนี้ไปก่อนนะพี่นะ…

   หลังจากนั้นผมก็เปิดประตูออกมา แล้วพบว่าไอ้โปเต้ใส่ผ้าขนหนูผืนเดียวนั่งเล่นโทรศัพท์อยู่บนโซฟารออยู่ก่อนแล้ว

   เอ่อ…เอาจริงนะ ถึงผมจะเป็นผู้ชาย แต่ถ้ามีคนเพศเดียวกันอีกคนมาอยู่ในห้องเดียวกัน และมีสภาพกึ่งเปลือยแบบนี้ผมก็กระอักกระอ่วนเหมือนกันอะ… แถมหุ่นยังดีกว่าผมร้อยเท่า ทำยังไงถึงจะผิวแทนเท่ากันทั้งตัวแบบนั้นมั่งวะ อิจฉา

   “มองอะไร” ไอ้โปเต้เงยหน้าขึ้นมาถาม

   “เปล่า”

   “แอบดูเหรอ”

   “กูจะแอบดูไปทำไม” ผมหงุดหงิดกระแทกเท้าเตรียมจะเข้าห้องน้ำ “เดี๋ยวกูอาบน้ำก่อนแล้วจะหยิบเสื้อผ้ามาให้ อย่าสาระแนเข้าห้องกูตอนนี้นะ”

   “ไม่รับประกัน” อีกฝ่ายแยกเขี้ยว

   ใครๆ ก็บอกว่าผมใช้เวลาในห้องน้ำนาน… แต่ผมก็ไม่เคยเชื่อ

   ดูท่าแล้วสงสัยจะจริง เพราะเมื่อผมอาบเสร็จ ออกมาก็พบว่าไอ้คนที่ให้ติดรถมาด้วย เอนตัวนอนหลับตาพริ้มกับโซฟาไปเรียบร้อยแล้ว

   “มึง” ผมเรียก ตั้งใจจะไม่เสียงดังมาก เพราะลึกๆ ก็กลัวมันตื่น

   เพราะดูสิครับ สภาพตอนนอนเหมือนคนเหนื่อยมากๆ และต้องการการพักผ่อนแบบสุดๆ เลยทีเดียว

   “มึง…”

   “…”

   “โปเต้”

   “หือ” มันปรือตาลืมขึ้นมาเพราะน้ำจากตัวผมหยดลงไปโดนแก้ม

   “ง่วงเหรอ จะนอนนี่มั้ย”

   อยากเอารองเท้าตีปากตัวเอง จะชวนมันไมวะ

   “ไม่…” เสียงนั้นอู้อี้ “เดี๋ยวกลับ ขอพักห้านาที”

   “โอเค” ผมว่า แล้วอีกฝ่ายก็เริ่มกรนอีกรอบ

   ผมค่อยๆ ย่องกลับห้องนอนตัวเอง เปิดตู้เสื้อผ้าพร้อมกับหยิบชุดที่พี่เมืองทิ้งไว้ออกมา อืม… มันต้องใส่กางเกงในปะวะ ช่างแม่ง หยิบติดไปก่อนแล้วกัน

   ตากล้องยังคงหายใจสม่ำเสมอกันเมื่อกลับออกไป ผมวางชุดนั้นไว้บนโต๊ะรับแขก เป็นเสื้อยืดกับกางเกงวอร์ม (พร้อมกางเกงใน)

   เห็นมันแล้วก็เหมือนจะง่วงตาม ผมสวมเสื้อผ้าพร้อมกับสอดตัวเข้าไปในผ้าห่ม หัวเหอไม่เป่า ขี้เกียจแบบขอนอนงี้แล้วกันนะ

   ผมคว้ารีเทนเนอร์มาใส่ พยายามข่มตาหลับก็ไม่สำเร็จสักทีทั้งๆ ที่ง่วงมากๆ

   ผมชะโงกออกไปที่ประตูยังเห็นแสงจากหลอดไฟนีออนส่องเข้ามา คนข้างนอกไม่มีทีท่าว่าจะตื่นเลย ผมตัดสินใจลุกขึ้นไปอีกรอบ แต่คราวนี้ แขนขาของคนบนโซฟาชี้มั่วสะเปะสะปะจนเห็นอะไรต่อมิอะไรที่ไม่น่ามองโผล่ออกมาทักทาย (ผมหมายถึงกางเกงในคาลวิน ไคลน์สีดำ) พอดูแล้วมันก็เห็นใจ ผมจนใจจนต้องต่อสายเข้าส่วนกลาง

   [มีอะไรให้ช่วยคะ?]

   “ช่วยมาเอากุญแจไปจอดรถให้หน่อยครับ” ผมส่งเสียงไปตามสาย

   [ได้ค่ะ รอสักครู่นะคะ]

   หลังจากวางสาย ผมก็ตัดสินใจเข้าไปสะกิดคนหลับลึกอีกครั้ง

   “มึง”

   “หือ…” มันโงหัวขึ้นมามอง “อือ จะกลับแล้วๆ”

   “ไม่ต้องกลับหรอก นอนมันที่นี่แหละ”

   “หือ?”

   “ใส่เสื้อผ้าแล้วไปนอนในห้องดีๆ”

   “…” ไอ้ตากล้องจ้องมาด้วยสายตาอันแสนจะงัวเงีย ผมคิดว่ามันคงงงที่ผมพูดแบบนั้น

   “เร็วๆ เดี๋ยวกูเปลี่ยนใจ”

   โปเต้ลุกขึ้นกอดเสื้อผ้าที่ผมวางไว้ให้ก่อนจะเข้าไปยังห้องนอนของผม จังหวะนั้นเองที่คนจากส่วนกลางกดออดเรียกพอดี

   “ผมวานฝากกุญแจไว้ที่กล่องจดหมายด้วยนะครับ” ผมบอกพี่ยามที่ได้รับมอบหมายให้มาช่วย คนนี้เห็นหน้ากันบ่อย พอไว้ใจได้

   ผมกลับมาที่ห้องนอนอีกครั้ง เห็นคนเข้ามาก่อนหน้าหลับปุ๋ยพร้อมกรนสนั่นไปเรียบร้อยแล้ว แถมยังใส่แต่กางเกงไม่ยอมใส่เสื้ออีก ลำบากผมที่ต้องผ้านวมออกมาอีกผืนแล้วโยนคลุมตัวเขาไว้

   เดี๋ยวนะ… ทำไมกูต้องมาทำอะไรแบบนี้ให้มึงด้วยวะ

   ผมมองคนข้างๆ

   เฮ้อ พอเห็นมันหลับแล้วสงสาร เหมือนหมาเลยอะ

   คราวนี้ถึงเวลาที่ผมจะขอเอนตัวหนุนหมอนบ้าง ถึงแม้เสียงกรนที่ดังสนั่นนั้นทำให้ผมข่มตานอนได้ยากจริงๆ ก็เหอะ

   ฮืออออออ อยากร้องไห้ ถ้าป้อแม่ฮู้ด่าเปิ้นตายแหมเลย



จบตอน


 :o8: :o8: :o8: :o8: :o8: :o8: :o8: :o8:

ฮู้ววว สองตอนเลยแล้วกัน ฝากติชมด้วยนะคร้าบบบบบบ <3 #ทรมานบันเทิง

ออฟไลน์ insomniac

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1482
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
สนุกจังครับ ดูเป็นออฟฟิศที่มีสีสันมาก แต่ท่าทางมีคนนิสัยไม่ดีอยู่เยอะจัง
รอลุ้นกับความรักของโต๋นในตอนต่อไป จะเป็นเข้หรือเต้กันแน่

ออฟไลน์ kunt

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +42/-1
ขอซับไตเติ้ลค่ะ ศัพย์เทคนิคคำเมืองเยอะนะ เดาไม่ค่อยออก ฮ่าฮ่า

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4
ลุ้นว่าจะเป็นเข้หรือเต้ แต่เดียร์ก็หน้าสนนะ

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
ฮาดี

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด