#ทรมานบันเทิง
By theneoclassic
นิยายเรื่องนี้ไม่ได้มาจากประสบการณ์ตรงของคนเขียนแต่อย่างใด
ุทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนจินตนาการ ไม่มีตัวละใดๆ ที่มีตัวตนในชีวิตจริง
ส่วนมากแต่งเติมหมดแล้ว สบายใจได้
บทนำ [ได้งานยะแล้วก่อลูก] เสียงคุณปิ๋มผู้เป็นแม่ผมเองแว่วมาจากปลายสาย ได้งานทำแบบนี้ต้องโทรบอกคนที่บ้านสักหน่อยนะครับ
“อือ ได้ยะแล้วแม่ กะเริ่มวันจันทร์นี้ละ” อู้เมืองมาก็ต้องอู้เมืองกลับ
[ยะงานในกรุงเทพแบบนี้ กลายเป็นแม่ต้องห่างลูกอีกกี่ปีนี่]
“แม่อย่าโอเวอร์”
[บ่ได้โอเวอร์กะหยัง เรียนมหาลัยมาจ๊าดเมินละ แม่ใจจะขาดอยู่แล้ว นี่ใจคอจะเป็นคนกรุงเทพไปเลยก่อ]
“โอ๊ย บ่อู้กับแม่แล้ว แค่นี้เตอะ”
[เดี๋ยวๆ แล้วจะปิ๊กบ้านบ้างก่อ]
“ปิ๊กๆ แต่ขอเคลียร์เรื่องงานก่อน”
[ก็ตามใจ แม่ก็ดีใจโต้ยนะลูก เอาเตอะ อย่างน้อยแม่ก็จะได้อู้กับคนในหมู่บ้านว่าลูกชายทำงานทีวี ถึงจะเป็นเบื้องหลังก็เตอะนะ]
“แล้วแม่จะบอกปี้เมืองก่อ”
[เอ๊า แล้วทำไมไม่บอกปี้เขาเองล่ะ]
“ไม่กล้าอู้ด้วย เดี๋ยวรู้ว่าทำงานที่กรุงเทพก็โขดกั๋นอีก”
[ไร้สาระๆ ปี้เขาบ่คิดมากหือลูก โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว]
“น่า แม่ก็บอกให้ที”
[โต๋น ลูกยะอะหยังเป็นเด็กไปได้] แม่คงจะไม่เข้าใจในความกลัวพี่ชายของผมแน่ๆ [ก็ได้ๆ เดี๋ยวแม่บอกปี้เขาให้ แต่อย่าลืมโทรไปหาเขาบ้าง บ่ไจ้หายเงียบ]
“ฮู้แล้ว แค่นี้ก่อนนะแม่ จะไปอาบน้ำอาบท่าแล้ว”
[โชคดีลูก โทรหาแม่บ่อยๆ นา]
“ครับแม่ แค่นี้ก่อน อย่าลืมกินข้าวโตย”
หลังจากวางสายผมก็นอนแผ่หลาบนเตียงด้วยความสุขใจ
ฮ่าๆ คุณคงจะคิดใช่มั้ยครับ ว่าทำไมเด็กเหนือเมืองแพร่คนนี้ถึงระหกระเหินมาใช้ชีวิตที่กรุงเทพ
เรื่องมันเป็นอย่างนี้ครับ…
ก่อนอื่นต้องถามทุกคนก่อนว่าเคยมีความรักแรกพบใช่มั้ยครับ สำหรับผม รักแรกพบและรักครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อตอนเรียนมัธยมต้น
ในวันที่อากาศค่อนข้างร้อนอบอ้าวและชวนหงุดหงิด ผมนั่งกินไอติมรอเพื่อนที่เข้าห้องน้ำตรงโต๊ะม้าหิน อยู่ๆ ก็มีพี่ม.หกคนหนึ่งวิ่งเข้ามา
“น้องครับ” เสียงนั้นชวนให้ผมเงยหน้าขึ้นไปมอง ท่ามกลางแสงแดดที่ส่องเจิดจ้า ศีรษะของพี่เขาช่วยบังทำให้เกิดร่มเงาอย่างน่าประหลาด ใบหน้าคมๆ คิ้วเข้มๆ นั้นดูกึ่งขอร้องให้เห็นใจบวกกับเหนื่อยอ่อนซึ่งน่าจะเกิดจากการวิ่งตรงเข้ามาหา เหงื่อของเขาท่วมตัวจนเสื้อแนบชิดกับรูปร่างที่โคตรจะเพอร์เฟ็กต์จนน่าอิจฉา ผมทำหน้าประหลาดใจอยู่สักครู่เพราะตอนแรกไม่คิดว่าพี่เขาจะคุยกับผม
นี่มันพี่จระเข้ เน็ตไอดอลความภูมิใจของโรงเรียนเราเลยนะเว้ย คนนี้ยกให้เลย เป็นผู้ชายคนแรกที่ทำเอาคลั่งขนาดนี้!
“ครับ?” ผมเอ๋อไปทันที
“น้องพอจะให้พี่ยืมเข็มขัดหน่อยได้มั้ย”
“หา?” ผมอ้าปากเหวอ จะไปหาของแบบนั้นให้เขาได้ที่ไหนกัน
“ผมมีแค่อันนี้อะ” ว่าแล้วก็ชี้ไปยังเอวของตัวเอง
“นั่นแหละ พี่ขอยืมก่อนได้มั้ย” เหมือนพี่เขาจะแอบหัวเราะกับความซื่อของผมนะ
“แต่ว่า…”
แล้วผมจะใส่อะไรอะ!?
“นะๆ พอดีพี่ต้องรายงานตัวที่ห้องปกครอง ไม่ได้เข็มขัดของน้องพี่แย่แน่ๆ เลย”
คำพูดนั้นทำให้ผมรู้สึกว่าข้างตัวมีสายรุ้งลอยละล่องอยู่โดยรอบ นี่ผมกลายเป็นความหวังของผู้ชายคนนี้งั้นเหรอเนี่ยยยย อ๊ากกกก จะดิ้นนนน
“ก็ได้ครับ” ผมยืนขึ้น ทำท่าจะปลดเข็มขัดแต่ทว่ามือที่ถือไอติมทำให้ทุลักทุเลเหลือเกิน
“มา พี่ช่วย” พี่จระเข้คงเห็นว่าลำบากก็เลยจะอาสา
แต่ไอ้เราก็นึกว่าเขาจะถือไอติมให้ แต่เปล่าครับ พี่ม.หกคนหล่อเดินเข้ามาใกล้ๆ พร้อมกับใช้มือปลดเข็มขัดผมออกไปอย่างรวดเร็วโดยที่ผมไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ โห…คงถนัดเรื่องแบบนี้มากสินะเนี่ย
“ขอบคุณนะครับ” พี่เขาวางกระเป๋าพร้อมกับสอดเข็มขัดของผมอย่างทะมัดทะแมง ก่อนจะหันมาพูดด้วยอีกรอบ
“ขอเบอร์หน่อยสิ เดี๋ยวจะคืนแล้วพี่โทรหา” พี่จระเข้หยิบโทรศัพท์ฝาพับขึ้นมาทำท่าจะกดเบอร์
“ไม่มีครับ”
“ฮะ!?” คนคิ้วเข้มทำหน้าไม่อยากเชื่อ
“พี่…” เฮ้ย ไม่ได้สิ บอกว่าพี่ชายไม่ให้ใช้ดูอ่อนหัดเกินไป “เอ่อ… แม่ยังไม่ให้ใช้ครับ”
“อ่า…” พี่เขาเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋ากางเกง “น้องชื่ออะไรนะ”
“เอ่อ…” ผมรู้สึกว่านิ้วหัวแม่เท้ากำลังจิกลงพื้นรองเท้าผ้าใบแน่น “ตะ…โต๋นครับ”
“โต๋น?”
“ครับ โต๋น”
“มันแปลว่าอะไร ภาษาเหนือใช่มั้ย พอดีพี่ย้ายมาจากเพชรบูรณ์ไม่ค่อยรู้คำเมือง”
“เอ่อ…ตะ …โต๋น ย่อมาจากโต๋นแตร์ครับ”
“…”
“โต๋นแตร์แปลว่าโดดน้ำ”
ผมเห็นรอยยิ้มจากปากสีชมพูรูปกระจับนั้นระบายบนหน้า มันเป็นประกายของความเอ็นดูอย่างแท้จริง
“โอเค ถ้าน้องเห็นพี่ที่ไหน มาทวงเข็มขัดได้เลยนะ”
“ครับ”
“พี่ชื่อจระเข้ เรียกพี่ว่าเข้ก็ได้นะ”
“คะ…ครับ” ผมก้มหน้างุด ฮึ่ยย จะบอกว่ารู้อยู่แล้วน่า
“งั้นพี่ไปก่อนนะเดี๋ยวโดนครูด่า” พี่เข้โบกมือตั้งท่าจะวิ่งออกไป “โต๋นแตร์”
“ครับ”
“ชื่อน่ารักดีนะ”
แล้วพี่เข้ก็ทิ้งผมไว้อยู่ตรงนั้น รู้สึกได้ว่ากำลังมีฮอโมนส์หรืออะไรบางอย่างเดือดพล่านอยู่ในตัว ผมเผลอยิ้มออกมาอย่างไม่รู้เหตุผล ไม่รู้ตัวจนกระทั่งไอติมละลายจนเอ่อล้นมาโดนนิ้วเรียบร้อยแล้ว
▀██▀─▄███▄─▀██─██▀██▀▀█
─██─███─███─██─██─██▄█
─██─▀██▄██▀─▀█▄█▀─██▀█
▄██▄▄█▀▀▀─────▀──▄██▄▄█
แต่ถ้าคุณคิดว่าหลังจากนั้นจะมีแต่ความสุขแล้วละก็ คุณคิดผิดครับ
เพราะนั่นเป็นครั้งแรกและเป็นครั้งรองสุดท้ายที่ผมได้คุยกับพี่จระเข้อย่างจริงจังขณะที่เรียนมัธยม ในเย็นวันนั้นผมเห็นเขานั่งอยู่หน้าห้องสมุด ไอ้เราก็ตั้งท่าจะเข้าไปหาเพราะเห็นเขาบอกถ้าเห็นเมื่อไหร่ให้เข้าไปทวงเข็มขัด แต่ฉับพลันกันนั้นเองก็มีพี่ผู้หญิงม.ห้าเดินเข้าไปเสียก่อน พี่เข้มอบรอยยิ้มที่น่าอิจฉาให้เธออย่างจริงใจ แล้วทั้งคู่ก็พากันเดินออกไปจากโรงเรียน
ความรู้สึกตอนนั้นทั้งโกรธทั้งอกหัก ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมผู้ชายที่เราชื่นชอบเห็นเป็นไอดอลถึงหักหลังเราได้ (ทั้งๆ ที่เขาไม่รู้กับมึงด้วยซ้ำ) จากนั้นมาผมก็ไม่กล้าคุยกับเขาอีก ผมไม่เคยได้เข็มขัดคืนเลย จนต้องไปขอเงินแม่ซื้อใหม่ด้วยเหตุผลที่ว่าลืมไว้ในห้องล็อกเกอร์มาดูอีกทีก็ไม่เจอแล้ว
นานวันเข้า ก็ถึงวันสุดท้ายของภาคเรียน ผมได้ยินมาว่าพี่เข้ไปเรียนต่อยังมหาลัยที่กรุงเทพ วันอำลาทุกคนต่างเอาดอกไม้ไปให้เขา ซึ่งผมก็มีความคิดนั้นนะ แต่นอกจากดอกไม้ ผมมีของที่ตั้งใจให้เป็นพิเศษด้วย นั่นก็คือสมุดเล็กเชอร์สีน้ำตาลอ่อน มีรูปจระเข้สีเขียวทำหน้าตาเด๋อด๋าอยู่บนปก
“พี่ครับ” ผมอาศัยจังหวะที่ไม่มีใครเพื่อเดินเข้าไปหาเขา
พี่เข้หันมามองผม รอยยิ้มที่เคยได้ถูกมอบมาให้อีกครั้ง “อ้าวน้อง”
“โชคดีนะครับ” ผมยื่นของทั้งสองสิ่งไปให้
พี่เข้รับมันไปวางข้างๆ ของอีกร้อยอย่างที่ได้รับ แต่ก็ยังกลับมาสนใจผมอยู่
“ไง ไม่เห็นมาทวงเข็มขัดพี่เลย”
อ้าว! เขาก็ยังจำได้เหรอเนี่ย
“เอ่อ… ผมลืมครับ” ใช่ที่ไหนล่ะโว้ยยยย
“วันนี้พี่ไม่ได้ใส่มาซะด้วยสิ อยู่ที่บ้านน่ะ”
“ครับ ไม่เป็นไรครับ ผมให้”
“เท่ากับว่าให้พี่ตั้งสามอย่างนะเนี่ย” เขาคว้าสมุดจระเข้ขึ้นมาสำรวจ “อันนี้น่ารักดี”
โอย….
“ผมไปนะครับ” ไม่เอาแล้ว รีบหนีดีกว่า
“เดี๋ยวครับน้องโต๋น”
“ครับ?” ผมหันมามองอย่างกล้าๆ กลัว ทว่าเห็นพี่เข้ยิ้มหราให้อยู่ก่อนแล้ว ในมือถือปากกาเมจิกสีดำ
“เซ็นต์เสื้อให้พี่หน่อยสิ”
“จะดีเหรอครับ”
“ดีสิ เขียนไว้ด้วยนะว่าเราเคยให้พี่ยืมเข็มขัด”
ผมเดินไปรับปากกานั้นมา สำรวจดูพื้นที่บนเสื้อพี่คนนี้ว่ามีตรงไหนที่ยังว่าง
“เอาตรงนี้” พี่เข้จับมือผมไปไว้ที่ชายเสื้อ ตรงนั้นยังมีที่ว่างพอเขียนได้อยู่ ผมเลยดึงมันไว้ให้ตึงเพื่อจะให้เขียนได้ง่ายๆ
“เรียบร้อยครับ” ผมยื่นปากกาคืนเจ้าของ
“ขอบคุณนะ”
“พี่เข้…” อยู่ๆ ก็อยากชวนเขาคุยขึ้นมาซะงั้น
“หือ?”
“พี่เก่งมากเลย สอบติดที่กรุงเทพด้วย”
“เก่งอะไรกัน นี่ยังไม่อยากเชื่อเลยว่าคนเรียนๆ เล่นๆ อย่างพี่จะสอบติดกับเขาด้วย แต่คะแนนก็เกือบอันดับสุดท้ายแหนะ”
“แค่นี้ก็เก่งแล้วครับ”
ภายใต้หน้านิ่งๆ จริงๆ แล้วแก้มผมแดงฉานเลยนะครับพี่ชาย
“ขอบใจนะ มาเรียนด้วยกันสิ”
“ครับ?”
“ถ้าชอบนิเทศก็มาเรียนด้วยกัน”
“ผมอยู่แค่ม.สาม ยังไม่รู้เลยว่าจะไปสายไหนต่อ”
“เดี๋ยวก็คิดได้เอง ใช้เวลาให้คุ้มค่านะ”
“ครับ”
“ลองดูว่าชอบอะไรก็เลือกไปอย่างนั้น แต่ถ้าไม่เปลี่ยนใจ มาเรียนนิเทศกับพี่นะ”
นี่เขากำลังชี้แนะผมใช่มั้ยเนี่ย เขากำลังบอกว่าให้ผมเลือกเขาใช่มั้ย!!??
“ขอบคุณมากครับพี่”
“เออ แม่ให้ใช้โทรศัพท์ยังอะ”
“ให้แล้วครับ”
“ใช้บีบีใช่มั้ย ขอพินหน่อย”
“เอ่อ…ผมใช้ไอโฟนครับ”
เนี่ยยยยย ขอบีบีที่บ้านก็ไม่ให้ อดแชตกับเพื่อนไม่พอ ยังเสียโอกาสแชตกับพี่เข้ด้วยเลย
“โห…รวยนี่หว่า งั้นเอาเบอร์มาหน่อย” พี่เข้ตั้งท่าจะกดโทรศัพท์
“ครับ ศูนย์แปดสอง…”
กริ๊งงงงงงงงงง [นักเรียนชั้นม.หกทุกคน กรุณาเข้าแถวร้องเพลงพร้อมกันที่กลางสนามค่ะ] “ไปโว้ยไอ้เข้!”
ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมาก เพื่อนกลุ่มใหญ่มาล็อคคอพี่เข้ไปก่อนที่ผมจะบอกตัวเลขหมดด้วยซ้ำ ผมถอนใจแต่ก็เข้าใจ พร้อมกับมองแผ่นหลังไวๆ นั้นจากไปด้วยความอาวรณ์ ผมยกมือขึ้นมาโบกลาพร้อมกับกระชับเป้บนบ่า เขาไม่แม้จะหันกลับมามองด้วยซ้ำ
โอเคคงถึงเวลากลับบ้านแล้ว
▀██▀─▄███▄─▀██─██▀██▀▀█
─██─███─███─██─██─██▄█
─██─▀██▄██▀─▀█▄█▀─██▀█
▄██▄▄█▀▀▀─────▀──▄██▄▄█
และนั่นก็ทำให้เราไม่ได้เจอกันนานหลายปี ผมตัดสินใจเรียนสายสามัญ และใช้เวลาช่วงชั้นมัธยมปลายตั้งใจเรียน จนสุดท้ายก็ได้เป็นที่หนึ่งของชั้นและสามารถเลือกเรียนได้ทั้งสายวิชาการและสายบันเทิง
คำเชื้อเชิญของพี่เข้ยังดังอยู่ในหู แต่เวลานั้นผมก็ต้องเลือกเชื่อตัวเอง
ผมใช้สิทธิ์ยื่นเรียนคณะศิลปกรรมศาสตร์สาขาการแสดง แต่ผมก็ยังเลือกเรียนที่มหาวิทยาลัยเดียวกับเขา
ในวันเปิดเทอมวันแรก ผมได้เจอกับเพื่อนสนิทที่เป็นเด็กต่างจังหวัดเหมือนกัน เราสองคนดูแลกันได้ดี มันชื่อภูมิ และเป็นคนหน้าตาดี มันจึงมีคนเข้ามาหาไม่ขาดสาย ชื่อเสียงของมันทำให้ใครต่อใครรู้จักและต้องการชื่นชม ซึ่งหนึ่งในนั้นคือคนที่เป็นสาเหตุให้ผมมาที่กรุงเทพ
“ไง” ผมเงยหน้ามองคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ตอนนั้นผมอยู่ในโรงอาหารและกำลังจะตักข้าวเข้าปากอยู่แล้วแท้ๆ
พี่เข้…
นี่เป็นการเจอกันอีกครั้ง
“อ้าวพี่” มาไม่ทันให้ตั้งตัวเลย
“สวัสดีครับน้องโต๋นแตร์แปลว่าโดดน้ำ”
“หวัดดีครับพี่” ผมยกมือไหว้ ทะ…ทำไมพี่เขาหล่อขึ้นแบบนี้ ออร่าอย่างกับดาราแหนะ แถมหุ่นก็ดีขึ้นด้วย
“นึกว่าจะมาเรียนนิเทศกับพี่ซะอีก” พี่เข้บอกหลังจากสำรวจชุดระเบียบคณะที่ผมใส่อยู่
“พี่บอกให้ผมเชื่อใจตัวเองนี่นา”
“นั่นสินะ” พี่เข้มองซ้ายมองขวา เหมือนกำลังหาอะไรบางอย่าง แถมยังทำหน้าแปลกใจที่ผมอยู่คนเดียว “เพื่อนเราคนนั้นไปไหนซะล่ะ?”
“ภูมิเหรอครับ”
“อื้อ” พี่เข้ยิ้ม ยิ้มเหมือนที่เขาเคยยิ้มให้ แต่ในบริบทนี้ รอยยิ้มนั้นไม่ใช่ของผมครับ
ผมรู้สึกขายหน้า อาจคงจะเป็นเพราะหวังมากไป
“ซื้อข้าวครับ” ผมตอบ เขี่ยใบกระเพราในจานเล่น “นั่นไงมาแล้ว”
จังหวะนั้นพอดีที่ภูมิเดินแผ่รังสีที่เจิดจ้าไม่แพ้คนที่ยืนอยู่ก่อน เพื่อนของผมขมวดคิ้วประหลาดใจเมื่อเห็นว่าผมกำลังคุยกับคนแปลกหน้า ซึ่งดูท่าผมคงต้องแนะนำให้เขารู้จักกัน
“ภูมิ นี่พี่เข้ พี่โรงเรียนเรา"
“อ๋อ สวัสดีครับ” เพื่อนคนหล่อของผมโค้งหัวให้ก่อนจะนั่งฝั่งตรงข้าม
วินาทีที่เขาสองคนมองตากัน มันเหมือนกับวงกลมสองวงที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้ข้องเกี่ยวกันเลยถูกเชื่อมกันอย่างไร้เหตุผล ผมรู้สึกหดหู่ ความรู้บางอย่างกำลังดันทุกอย่างในท้องออกมาเหมือนอยากจะอ้วก
“หาตัวอยู่พอดีเลย”
“…” ผมถึงกับกลืนน้ำลายเมื่อได้ยินแบบนั้น
“หาตัวผมเหรอพี่?” ภูมิยังคงมองด้วยความสงสัย
“พี่อยู่คณะนิเทศ ธีสิสของพี่กำลังขาดนักแสดง พี่อยากให้น้องลองมาแคสติ้งหน่อยจะโอเคมั้ยครับ”
แล้วภูมิก็หันมามอง ทำท่าทางเหมือนกับผมเป็นผู้จัดการส่วนตัว นี่มันกำลังขอให้ช่วยตัดสินใจเหรอเนี่ย
“มึงว่าไง”
“ก็ช่วยพี่กูหน่อย” อยากตีปากตัวเองจัง
“ทำดีมากโต๋น” พี่เข้ขยิบตามาให้ผม ยิ่งเพิ่มความหงุดหงิดของตัวเองเข้าไปอีก
“ผมจะเหมาะเหรอพี่?”
“พี่รู้ว่าเหมาะตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นแล้ว”
“ผมขอไปซื้อน้ำก่อนนะครับ” ผมลุกขึ้นจากเก้าอี้อย่างดื้อๆ ไม่อยากทนฟังทนเห็นอะไรอีกต่อไป มันหงุดหงิดดดดด
“เดี๋ยวกูไปด้วย” ภูมิทำท่าจะลุกตาม แต่ผมห้ามไว้
“มึงคุยกับพี่เขาไปเหอะ” ผมยิ้ม เอาจริงคือไม่ได้โกรธภูมินะ และผมก็ไม่ได้โกรธพี่เข้ด้วย แต่ผมโกรธตัวเอง ทำไมต้องมารู้สึกแบบนี้ทั้งๆ ที่ไม่มีสิทธิ์อะไรเลย
“มึงเอาน้ำอะไรล่ะ” ผมถามเพื่อน
“โค้กแล้วกัน”
ผมพยักหน้ารับ ทำท่าจะเดินออกไปแต่ก็…
“เอาน้ำอะไรมั้ยครับพี่เข้”
“ไม่เป็นไรเดี๋ยวพี่ไปซื้อเอง”
“ไม่เป็นไรครับ ผมต้องไปซื้ออยู่แล้ว พี่จะได้คุยกับภูมิด้วย”
“งั้น กาแฟมอคค่าก็ได้ครับ” พี่เข้พงกหัวขอบคุณ
ผมยิ้มให้กับทั้งคู่ก่อนจะเดินออกไป
แต่ผมไม่ได้ไปซื้อน้ำ… ผมเดินหลบมาอยู่หลังเสาต้นหนึ่งใกล้ๆ กับที่เก็บจาน มองดูคนทั้งสองคุยกันด้วยหัวใจที่กำลังเต้นรัว รู้สึกได้ว่าตัวเองกำลังเบะปากอยากจะร้องไห้ แต่พอคิดได้ว่าแม่งโคตรไร้สาระก็เลยเลิกสะอึกสะอื้นไป ทว่าไม่มีใครกลั้นน้ำตาไว้ได้อยู่แล้ว ผมยกแขนเสื้อขึ้นมาเช็ดของเหลวใสๆ ที่เกิดจากความรู้สึกภายในที่จุดเสียดอย่างกับเด็กอนุบาล
ผมสะอึกอีกครั้งเมื่อพี่เข้นั่งลงยังฝั่งตรงข้ามกับภูมิ ที่นั่งของผม…
แบบนี้สินะที่เขาเรียกว่า ‘อกหัก’ ของแท้
▀██▀─▄███▄─▀██─██▀██▀▀█
─██─███─███─██─██─██▄█
─██─▀██▄██▀─▀█▄█▀─██▀█
▄██▄▄█▀▀▀─────▀──▄██▄▄█
[ฮัลโหลมึง เป็นอะไรหรือเปล่า] ภูมิโทรมาในคืนนึง หลายสัปดาห์ต่อจากนั้น
“ก็ไม่ได้เป็นอะไรนิ ทำไมอะ” แหม เรื่องโกหกความรู้สึกตัวเองนี่โคตรเก่งเลย
[กูโทรมาบอกว่ากูตกลงเล่นหนังของพี่เข้แล้วนะ]
“อ้าว นึกว่าตกลงไปตั้งนานแล้วซะอีก”
[ยัง… เขาก็เพิ่งส่งบทผ่าน]
“อื่อ ดีแล้ว”
[ไม่เป็นอะไรแน่นะ กูแคร์มึงนะโว้ย] ผมพูดได้เลยว่าจากน้ำเสียงแบบนั้น ไอ้ภูมิคงจะแคร์ผมจริงๆ ผมไม่ควรคลางแคลงใจกับมันนะ เพราะเรื่องนั้นมันก็ไม่รู้เรื่อง
“เออ ไม่เป็นไร”
[งั้น กูจะขอถามมึงตรงๆ นะ มึงไม่ได้เคยเป็นแฟนพี่เข้ใช่มั้ย]
“บ้าเหรอ!” ผมสวนทันควัน
[แล้วมึงเคยแอบชอบพี่เข้หรือเปล่า?]
ผมเงียบทันที เงียบจนได้ยินเสียงหายใจ
“ไอ้วอก! ไม่เคยโว้ย” ผมกลั้นใจตอบ
[แน่นะ]
“แน่ดิ”
ไม่แน่หรอก….
[คือที่ถามมึงเนี่ยเพราะกูจะบอกว่า…] เสียงหายใจของอีกฝ่ายก็ได้ยินชัดไม่แพ้กัน [พี่เข้เขาจะขอคุยกับกูว่ะ]
ผมช็อค แต่ก็น้อยกว่าที่คิด อาจจะเป็นเพราะลึกๆ ก็รู้อยู่แล้วละมั้งว่ามันจะเป็นแบบนี้
“เหรอ”
เจ็บฉิบหาย
[มึงโอเคมั้ย]
เฮ้ย จะให้กูตอบว่ายังไงอะ แค่นี้ก็เจ็บจะแย่อยู่แล้ว
“กูไม่ใช่พ่อมึงนะ จะคุยกับใครมึงก็คิดเองสิวะ"
[ก็มึงเงียบไป กูใจหายนะเนี่ย]
“กูแค่แปลกใจ ตอนมัธยมกูเห็นเขาคบกับผู้หญิงนะ”
[นั่นน่ะสิ เขาก็บอกว่ากูเป็นผู้ชายคนแรกที่เขาจีบ]
เออ อิจฉาจัง
“เอาเถอะ กูยังไงก็ได้ เอาที่มึงสบายใจเลย”
[ถ้ามึงไม่โอเคมึงบอกกูได้นะ เข้าใจปะ?]
“กูไม่ใจร้ายขนาดนั้นหรอก”
[เออ เดี๋ยวกูขอคิดดูอีกที] ท่าทีของภูมิดูสงบลง [พรุ่งนี้มึงอย่าลืมเอากางเกงวอร์มมานะ]
“เออ เอาเอนะมึง”
[สอบคู่กับกูเด็ดอยู่แล้ว ไม่มีปัญหา]
“แค่นี้แหละ”
ผมร้องไห้อีกครั้งหลังจากวางสาย มันทรมานเหลือเกินที่ต้องมารับรู้อะไรแบบนี้ ทางเดียวที่ผมทำได้คือต้องหาอะไรแก้ฟุ้งซ่าน ผมตัดสินใจซื้อตั๋วเครื่องบินกลับบ้านในวันหยุดยาว อยากจะหนีไปไหนไกลๆ สักหน่อยเผื่อจะทำใจง่ายขึ้น
ผมโทรหาคนที่ผมอยากคุยด้วยมากที่สุดตอนนี้
[มีหยังวะ?] เสียงเข้มของพี่หน่อเมือง พี่ชายของผมดังมาจากปลายสาย
“ฮาจะโทรหาคิงบ่ได้เลยก่อ” ผมพยายามกลั้นเสียงสะอื้น
[ฮะ!?] เสียงนั้นพูดแข่งกับดนตรีที่ดังสนั่น
“อยู่ผับแม่นก่อ”
[เออ เสียงมันดังบ่ได้ยิน]
“งั้นแค่นี้ก็ได้ ฮาจะบอกคิงว่าสิ้นศุกร์นี้จะปิ๊กบ้าน คิงได้ปิ๊กเหมือนกันบ่”
[ปิ๊กๆ …โต๋นนี่เอ็งร้องไห้อยู่ก่อวะ]
“บ่ได้ร้อง” ผมเช็ดน้ำตาตัวเอง พยายามตั้งสติใหม่ “คิงอย่าลืมซื้อของไปฝากป้อกะแม่โตย ฮาบ่มีตังค์แล้ว”
[เออๆ เดี๋ยวข้าจัดการเอง] พี่เมืองว่า [ไอ้โต๋น เอ็งอย่าคิดมาก ปิ๊กบ้านจะได้สบายใจ ฮาเป็นห่วงนะแต่ตอนนี้มันคุยบ่สะดวก]
“เออ คิงเที่ยวให้สนุกเตอะ ไว้คุยกัน”
[กูฮักเอ็งเน้อ อย่าน้อยใจ เดี๋ยวป๊ะกันแหม]
ผมวางสายจากพี่ชาย พี่เมืองเป็นพี่ชายแท้ๆ ของผมเลยล่ะครับ แต่ดุยิ่งกว่าพ่อแม่ซะอีก ซึ่งตอนนี้เขาทำงานเป็นวิศวกรแถวๆ ภาคใต้ นานๆ ทีถึงจะได้กลับบ้านเหมือนกัน
โอเค หวังว่าการอยู่กันพร้อมหน้าทั้งครอบครัวแบบนี้จะช่วยให้ผมสบายใจขึ้นมาได้บ้างนะ
▀██▀─▄███▄─▀██─██▀██▀▀█
─██─███─███─██─██─██▄█
─██─▀██▄██▀─▀█▄█▀─██▀█
▄██▄▄█▀▀▀─────▀──▄██▄▄█
[อ่านต่อด้านล่าง] เกิน 2000 ตัวอักษรครับ