One Night
-BlackQueen-
คืนหนึ่ง...
____________
แสงสีและผู้คนเบียดเสียดกันแน่นจนผมรู้สึกเวียนหัว พอพาตัวเองออกมาพักที่เคาน์เตอร์บาร์ที่มีบาร์เทนเดอร์หนุ่มหน้าใสเป็นคนชงเหล้าเสิร์ฟก็ค่อยรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย ผมยกเหล้าซ็อตขึ้นกระดกลืมตายหลังจากที่ก่อนหน้านี้ก็ยกมั่วซั่วไปเยอะ แต่น่าเสียดายที่ผมเป็นพวกคอทองแดงพอสมควร ไอ้ความตั้งใจที่จะเมาให้เละนี่คงต้องตัดใจแล้วล่ะ
“เฮ้ย มึงจะเอาเหรอวะ” ผมกระดกเหล้าช็อตที่สองและสามขณะที่ตั้งใจว่าจะลงพนันข้างไหนดี เมื่อมีพี่กุ๊ยสมถุยสองคนกำลังหาเรื่องวางมวยกับคุณฝรั่งกล้ามโต
“พวกนั้นอีกแล้ว” ผมได้ยินเสียงบาร์เทนเดอร์หนุ่มคุยซุบซิบกับพี่สาวที่น่าจะเป็นคนของที่นี่เหมือนกัน แต่ก็ช่างมันเถอะ ผมไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องยิบย่อยของคนอื่นหรอก แค่ตัวเองตอนนี้ผมยังเอาไม่รอดเลย
“ผม..ขะ ขอโทดนะขรับ” ผมพยายามกลั้นขำเอาไว้แล้วกลืนเหล้าช็อตที่ห้าลงคออย่างยากลำบาก คุณฝรั่งกำลังพยายามขอโทษกุ๊ยสองคนนั้น ผมไม่รู้หรอกนะว่าเรื่องมันเป็นมายังไง แต่จากที่ดูผมตัดสินใจที่จะเชื่อว่ากุ๊ยสองคนนั้นพยายามหาเรื่องปลอกลอกพ่อฝรั่งตาน้ำข้าวอยู่
“คิดว่าขอโทษแล้วจะจบง่ายๆรึไง ห๊ะ” พวกมันเริ่มข่มขู่ ผมมองดูละครฉากนี้ต่อไปอย่างไม่อนาทรร้อนใจใดๆ จนกระทั่งเห็นแววตาตระหนกของพ่อหนุ่มตาฟ้า สีหน้าและท่าทางของเขามันเก้ๆกังๆแสดงความกังวลอย่างชัดเจน
และเป็นอีกครั้งที่ผมตัดสินใจที่จะทำอะไรสักอย่าง หรืออาจจะเป็นเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์มันเล่นงานผมเสียแล้ว ผมจึงวางแก้วช็อตที่เจ็ดลงบนเคาน์เตอร์ก่อนจะเดินอาดๆเข้าไปกลางวง คนรอบข้างดูเหมือนจะไม่ได้ใส่ใจกับปัญหาของคนอื่นที่เกิดขึ้นตรงนี้ ทำเพียงแค่เลี่ยงออกห่างจากพื้นที่ที่จะพลอยทำให้ตัวเองซวยไปด้วยเท่านั้น ผมกำลังทำบ้าอะไรอยู่กันแน่ แต่ก็ช่างมันเถอะ ผมจะคิดว่าผมเมาแล้วก็แล้วกันนะ
“Hey I’ve been waiting for you” ผมตีเนียนเข้าไปกอดคอพ่อคนต่างชาติแปลกหน้า เขาจะคิดว่าผมจำคนผิดหรือเปล่านะ หรืออาจจะคิดว่าผมเสร่อ
“อะไรวะ” พี่กุ๊ยที่ใส่สร้อยข้อมือและแหวนทองคำที่ดูแว๊นมากกว่าดูรวยเป็นคนถาม หน้าตาขึงขังเอาเรื่องเลยว่ะ แต่ผมเมานี่นะ เพราะฉะนั้นไม่เป็นไร
“มีอะไรเหรอครับพี่ พอดีนี่เพื่อนผมเอง” ผมทำตัวเป็นคนกรึ่มๆตาเยิ้มกอดคอคนที่สูงกว่าแน่นขึ้นไปอีก อิจฉาจริงๆเลย แค่โครงสร้างร่างกายก็ไม่เท่าเทียมกันแล้วนี่นะ “มันเพิ่งมาถึงเมื่อวานนี้เอง ยังไม่ค่อยรู้อะไรหรอก”
ผมยืนปะทะคารมกับพี่กุ๊ยสุดแว๊นทั้งสองอยู่สักพักพวกนั้นก็ยอมรามือไปเองเพราะความดูเหมือนคนเมาของผมมันทำให้พวกเขาต้องปวดหัว
ผมปล่อยคอเพื่อนรักหมาดๆที่ผมสร้างเรื่องใส่สีตีไข่ให้คนอื่นฟังไปเมื่อครู่ เขาเอ่ยขอบคุณผมอย่างที่ปัญญาชนควรจะทำ “Thank you”
“Not a big deal bro” ผมไม่รู้หรอกว่าตัวเองพูดภาษาเขาถูกไหม แต่ผมก็ไม่ได้แคร์เท่าไหร่หรอก ผมยิ้มให้เขาแล้วหันหลังเดินกลับไปสิงเคาน์เตอร์บาร์ที่มีหนุ่มน้อยน่าจรรโลงใจคนนั้นอีกครั้ง
“Let me treat you some drink” ผมมองหน้าเขายิ้มๆแต่ไม่ได้ตอบรับ เขาหล่อพอตัวเลยทีเดียว หรืออาจะเพราะเขาเป็นชาวต่างชาติ ผมถึงมองว่าเขาหล่อดี โดยเฉพาะดวงตาสีฟ้าเข้มที่ดูดึงดูดคู่นั้น “To say thank you, please”
ผมยักไหล่ด้วยท่าทางกวนๆ แต่ปากก็ตอบรับเป็นอย่างดี “Okay”
เขาสั่งเตกีล่าให้ผม ในขณะที่เขาเองสั่งเป็น on the rocks ที่ผมชอบมากกว่า แต่ช่างมันเถอะ ผมไม่ได้เกลียดเตกีล่าสักหน่อย
พวกเราดื่มกันเงียบๆ ไม่รู้ทำไมผมรู้สึกว่าพวกเราอยู่ผิดที่ เราควรนั่งจิบวิสกี้ดีๆสักขวดในบาร์เงียบๆที่มีเสียงดนตรีคลาสสิก ไม่ก็เพลงแจ๊สกล่อมอารมณ์ มากกว่าจะเป็นผับที่เปิดเพลงดังกระหึ่มและผู้คนที่เต้นแร้งเต้นกากันยั้วเยี้ย
“I think we shouldn’t be in here” ผมเปิดบทสนทนาด้วยภาษาอังกฤษป่วยๆของตัวเอง “I know a better place, shell we go?”
ผมต้องบ้าไปแล้วแน่ๆที่ชวนคนแปลกหน้าที่ยังไม่แม้แต่จะรู้จักกันไปต่อร้านที่สอง และเขาเองก็คงบ้ากว่าผมที่ยอมตามมาทั้งที่ผมตอนนี้ดูอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินของเขามากกว่ากุ๊ยพวกนั้นอีก
แต่ในท้ายที่สุดเราก็มานั่งข้างกันอยู่ในบาร์เล็กๆในซอยที่ไม่สะดุดตาคน ที่นี่เป็นที่โปรดของผม คนน้อย บรรยากาศดี เพลงยุค 70’ พาให้ผมย้อนกลับไปในวันเวลาเหล่านั้นทั้งที่ตัวเองก็ไม่เคยได้สัมผัส ไม่รู้สินะ คนอาจจะคิดว่าผมแปลก ผมรู้สึกว่ามันคือความโรแมนติกที่แท้จริง ผมชอบอะไรเก่าๆ รวมถึงวิธีจีบกันแบบเก่าๆที่มันอาจจะดูเชยในยุคนี้ไปแล้ว
“This is a nice place” เขาพูดออกมาหลังจากที่เรานั่งจิบแจ๊ค เดเนี่ยล กันมาได้สักพัก เหล้าแจ๊คอาจจะดูเด็กเกินไปแล้วสำหรับพวกเรา แต่ก็นะ ผมชอบของผมนี่
“You bet” ผมโชว์เหนือด้วยวลีที่มีความหมายว่า ‘แน่นอน’ ที่ผมคิดว่ามันดูเจ๋งดีไป
“Your English is very good” เขาชมผม นั่นเป็นเรื่องที่ดีทีเดียว เพราะมันไม่ใช่เรื่องดีๆที่จะเกิดในสังคมแห่งการค่อนแคะอย่างที่เราเติบโตและได้เจอมา ผมค่อนข้างจะแหยงพวกชอบแซะเวลามีคนพูดภาษาที่สองสามสี่ เพราะถึงคนพูดจะไม่ได้เก่งมากมาย แต่มันก็แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของเขาที่ก้าวหน้าไปอีกขั้น
“Just quite good” ผมไม่ได้ถ่อมตัว แต่ผมไม่ค่อยแน่ใจที่จะบอกว่าตัวเองเก่ง ผมแค่พูดได้พอประมาณ ผมคิดว่าอย่างนั้นนะ
“It’s pretty good” เขายังยืนยันอย่างนั้น ผมเองก็ไม่ได้อยากโต้เถียงอะไร เราจึงนั่งจิบวิสกี้ในแก้วตัวเองไปเงียบๆ ปล่อยให้เพลงช่วยคลายความเหินห่างระหว่างเรา และมันทำหน้าที่ได้ค่อนข้างดีทีเดียว เขาฮัมทำนองเพลง Love Song to A Stranger ในช่วงจังหวะเดียวกับที่ผมเปิดปากขมุบขมิบเนื้อเพลงออกมาเบาๆ
‘Don’t tell me of love everlasting and other sad dreams
I don’t want to here
Just tell me of passionate strangers who rescue each other
Form a lifetime of care’
ผมกับเขาหันมามองหน้ากัน และไม่นานก็หลุดหัวเราะออกมา
หลังจากนั้นเราพูดคุยเรื่องจิปาถะมากมายกันอย่างถูกคอ ทั้งเรื่องเจ้าหมาพลูโต หมาพันธ์เยอรมัน เชพเพิร์ดตัวโตที่เขาเคยเลี้ยงตั้งแต่เมื่อตอนยังเป็นเด็กประถม เล่าถึงทะเลสาบใกล้บ้านที่พ่อของเขาพาไปฝึกว่ายน้ำและตกปลา ชีวิตของเขาเต็มไปด้วยชีวิตชีวา และดูเหมือนจะยังมีอีกหลายๆเรื่องที่ผมจะได้ฟังไปจนถึงเช้า แตกต่างจากผมที่มีเรื่องเล่าน้อย ชีวิตอันน่าเบื่อจำเจที่มีแค่เรียนกับเรียน เรื่องน่าภาคภูมิใจสมัยเด็กๆของผมที่พอจะอวดได้ก็คงมีแค่เรื่องฝีมือการเล่นเปียโนที่ถูกบังคับให้ไปเรียนนั่นเสียกระมัง ดีจริงๆที่เขาไม่รังเกียจที่จะเป็นฝ่ายเล่าเรื่องให้ผมฟังด้วยแววตาเป็นประกายและใบหน้าสดใส จนผมลืมที่จะถามว่าเขาชื่ออะไร แต่ไม่เป็นไร ไว้มีโอกาสผมค่อยถามก็ได้
พวกเราใช้เวลาในบาร์เล็กๆแห่งนั้นกันอย่างยาวนาน ขวดวิสกี้ว่างเปล่าเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างไม่รู้ตัว รู้ตัวกันอีกทีก็ตอนที่ถูกบาร์เทนเดอร์ที่ควบตำแหน่งเจ้าของร้านนี้ด้วยสะกิดบอกว่าถึงเวลาปิดร้าน เราถึงได้หอบกันออกมาจากซอยเล็กที่เงียบสงบนั้น สู่เมืองใหญ่ที่ยังไม่หลับใหลเสียทีเดียว
ทั้งผมทั้งเขา เราต่างยังไม่อยากกลับ เราเดินต้านลมเย็นของฤดูหนาวที่พัดมาเป็นระลอกให้เสียดผิวเล่นบ้างจนถึงสวนกลางเมืองแห่งหนึ่ง ประตูถูกปิดไปแล้ว แต่นั่นไม่ใช่อุปสรรค์เลย ผมพาเขาปีนข้ามรั้วเหล็กกั้นเข้าไป
“Are you sure you want to do this?” เขาถามอย่างลังเลใจ
“Why not?” ผมหรี่ตาลงเมื่อเขาถามคำถามโง่ๆ เท้าของผมเหยียบอยู่บนผืนหญ้านุ่มๆฝั่งนี้เรียบร้อยแล้ว ยังต้องถามหาอะไรอีกเหรอ ผมกรอกตาก่อนจะกวักมือเร่งเขา “Com’on”
เขาทำตาม อาจจะเพราะเราเมากันแล้วจริงๆนั่นแหละ ผมกับเขาเดินเคียงกันไปตามทางเดิน เขาถามนู่นนี่มากมาย ปกติผมจะรำคาญ แต่ตอนนี้ผมกลับตอบทุกคำถามของเขาโดยไม่หงุดหงิดสักนิด แปลกดีเหมือนกัน
เรามาหยุดกันที่ม้านั่งที่หันหน้าเข้าสู่บึงกลางสวน ผมซุกมือลงในกระเป๋ากางเกง ส่วนเขานั่งด้วยท่าทีสบายๆ ผมเดาว่าสภาพอากาศช่วงหน้าหนาวที่บ้านเขาคงเย็นกว่าหน้าหนาวของที่นี่แน่ๆ
“You cold?” อยู่ๆเขาก็ถามขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยทั้งที่สายตายังจับจ้องไปที่เจ้าสิ่งมีชีวิตที่ว่ายน้ำอย่างสบายใจอยู่กลางบึง ซึ่งเขาถามผมไปก่อนหน้านี้แล้วว่ามันคือตัวอะไร ที่นี่เรียกว่าอะไร และคำตอบที่ผมบอกไปก็คือ ‘เหี้ย’
“A little” ผมถูจมูกตัวเองที่มันเริ่มจะแสบนิดๆ ในสวนมีต้นไม้เยอะ รวมถึงบึงยักษ์ตรงหน้านี่ด้วย ความชื้นกับอากาศเย็นๆเล่นงานผมเข้าแล้วไง
เขาหันมามองผมด้วยสายตาที่บอกไม่ถูก ผมกำลังคิดว่าเขาจะทำยังไงกันนะถ้าผมบอกว่า ผมหนาว
เขาไม่มีเสื้อนอกที่จะให้ผมใช้ใส่ทับกันอากาศหนาวได้ หรือเขาจะใช้ร่างกายทำให้ผมอบอุ่น อย่างเช่นอ้อมกอดนั้น หรืออาจจะเป็นอะไรที่วูบวาบกว่านั้น... อย่างการจูบ ก็ดูน่าสนใจดี
แต่เขาไมได้เป็นเกย์ ผมค่อนข้างมั่นใจในข้อนี้
...น่าเสียดายจริงๆ
เรานั่งกันอย่างเลื่อนลอยจนมีเสียงตะโกนมาจากไกลๆ ผมเดาว่าเป็นลุงยามของที่นี่แน่ๆเลย ผมจึงฉุดเขาลุกขึ้น
“Hey, we gotta go now” และผมก็นึกอะไรสนุกๆขึ้นมาได้ “Let’s see who’s the winner”
ตลกดีที่เขาเข้าใจสิ่งที่ผมต้องการจะสื่อ และตอบรับคำท้านั้นโดยการออกวิ่ง สองขายาวๆนั่นแซงนำผมไปแล้ว แต่ผมก็ไม่ได้คิดที่จะยอมแพ้หรอกนะ ผมเร่งฝีเท้าวิ่งตามเขาไป มีบ้างที่แซงเขาได้ แต่ไม่นานก็ถูกแซงคืน และสุดท้ายก็จบลงที่เขากระโดดข้ามรั้วเหล็กสีเขียวลอกๆนั่นออกไปได้ก่อน แล้วยังแสดงน้ำใจในการยื่นมือมาช่วยผมที่กำลังปีนข้ามอย่างทุรักทุเร
โง่จริงๆเลย ทั้งผมทั้งเขา เมื่อผ่านรั้วออกมาผมก็อ้วกแตกทันที การวิ่งสุดฝีเท้าหลังจากการดื่มที่หนักหน่วงไม่ใช่ความคิดที่ดีจริงๆด้วย แต่สิ่งที่ทำให้ผมยังอารมณ์ดีอยู่ได้ก็คงจะเป็นเพราะไม่นานหลังจากที่ผมปล่อยของออกจากกระเพาะ เขาเองก็เผชิญกับชะตากรรมเดียวกันตามไปติดๆ
พวกผมเดินร่อนเร่ไปตามถนนใหญ่ที่นานๆทีจะมีรถวิ่งผ่านสักคัน แสงไฟถนนสีส้มย้อมให้คำคืนนี้ดูแตกต่าง แต่ผมรู้ว่าไฟถนนมันไม่ได้ทำให้อะไรพิเศษขึ้นมาหรอก มันเป็นเพราะคืนนี้ ผมไม่ได้เดินคนเดียว และอาจจะเพราะเป็นเขาคนนี้ โลกของผมถึงได้ดูมีชีวิตขึ้นมาหน่อยแล้ว
สุดท้ายเราก็ตัดสินใจเรียกแท็กซี่ที่บังเอิญผ่านมาพอดีเพื่อไปลงแถวๆชุมชนคนจีนที่ไม่ใช่ตลาดขึ้นชื่อ แต่เป็นย่านที่อยู่อาศัยและขายพวกชิ้นส่วนโลหะต่างๆ กลิ่นน้ำมันเครื่องลอยอบอวล แต่ไม่ได้แรงจนทนไม่ไหว ผมพาเขาเดินลัดเข้าซอยนั้นออกตรอกนี้จนเรามาถึงศาลเจ้าแห่งหนึ่ง ประตูศาลเจ้าปิดแล้ว ผมไม่แปลกใจเลยในเวลาใกล้ตีสี่แบบนี้
ถัดจากลานตรงด้านหน้าของศาลเจ้า มีท่าเรือเล็กๆอยู่ แม่น้ำสายหลักที่ขึ้นชื่อเรื่องความไม่ใสสะอาดในตอนกลางคืนที่ทุกอย่างถูกย้อมด้วยสีดำปกปิดเศษขยะไม่น่ามองจนกลายเป็นภาพที่ดูสวยงามขึ้นมา อีกฝั่งของแม่น้ำส่วนใหญ่เป็นตึกสูงที่เปิดไฟสว่าง รวมถึงเรือครูซที่ประดับประดาด้วยแสงไฟหลากสี และเงาเหล่านั้นก็สะท้อนอยู่บนผิวน้ำ
“Beautiful.. quiet and beautiful” ใบหน้าของเขาที่มีแค่ไฟจากอีกฝั่งสะท้อนให้เห็นแววตาวาววับคู่นั้น ดวงตาสีฟ้าเข้มแบบที่ผมสามารถมองเห็นได้ชัดเจนแม้จะอยู่ในที่มืดมิดแค่ไหน ชัดเจนราวกับภาพที่ผมฝังเก็บไว้ในความทรงจำไปแล้ว
ผมไม่ได้พูดอะไรออกไป เรานั่งแบ่งปันความเงียบที่ไม่ได้ทำให้รู้สึกอัดอัดกันไปอย่างนั้น คลื่นที่พัดเข้าหาฝั่งทำให้ทุ่นลอยน้ำนี่โคลงไปมา ผมต้องอ้วกอีกรอบแน่ๆ แต่ตอนนี้ผมก็ยังไม่อยากลุกไปไหน ไออุ่นจากร่างกายของคนที่นั่งอยู่ข้างกันล่ามผมไว้ด้วยโซ่ที่มองไม่เห็นเสียแล้ว
คงจะเป็นเรื่องแย่จริงๆถ้าผมจะต้องยอมรับ ...ว่าผมให้ครึ่งหนึ่งของหัวใจตัวเองกับคนที่ผมยังคงลืมถามชื่อจนกระทั่งตอนนี้
“Do you like it?” ผมไม่ค่อยแน่ใจว่าตัวเองพูดอะไรออกไป หรืออาจจะไม่แน่ใจว่าสิ่งที่พูดออกไปมันหมายความถึงอะไร
“What?”
“This view”
“Oh, yeah. I love it”
“So, let’s call it ‘Our little secret’ ”
ผมหัวเราะกับสิ่งที่ตัวเองโพล่งออกไป น่าอายชะมัดเลย แต่เขาไม่ได้หัวเรากับประโยคน่าอายเมื่อครู่ของผม เขาจ้องมองผมอย่างจริงจังจนผมเริ่มกลัว เขาอาจจะตะหงิดใจขึ้นมาแล้ว แต่เขาไม่ได้น่ากลัวอย่างที่ผมคิดหรอก เขาจ้องตาผม และพูดด้วยน้ำเสียงที่นุ่มทุ้มและเรียบง่าย
“Okay”
พวกเราหัวเราะออกมาประสานกัน สายลมเย็นๆพัดเอาไอน้ำมาปะทะผิวให้รู้สึกเหนียวตัวไปหมด แต่ระหว่างพวกเราก็ยังไม่มีใครอยากจากไปไหน
“You came for travel?”
“No”
“What? Can I ask?”
“You already did” เขาตอบกวนพร้อมกับยิ้มทะเล้น ผมส่ายหัวพร้อมกับยิ้มน้อยๆ “I came for marry”
ผมนิ่งค้างไปเล็กน้อย ในหัวกำลังประมวลผมจากสิ่งที่ได้ยิน รู้สึกเหมือนสมองจะหยุดทำงานไปชั่วขณะเลยยังรับสารได้ไม่ถูกต้องนัก แต่ก็เปล่าหรอก ความจริงคือผมรู้ความจริง ที่ไม่อยากให้มันเป็นจริง และตอนนี้ผมพร้อมจะหนีไปจากความจริง ถ้ากระโดดลงน้ำไปผมจะตื่นขึ้นมาบนเตียงในห้องตัวเองแล้วทำให้ทั้งหมดนี่เป็นแค่ความฝันได้หรือเปล่านะ
คำตอบคือ..ไม่
ผมไม่ได้ถามอะไรเขาต่อ เขาเองก็เปลี่ยนเรื่องคุยเป็นอย่างอื่นแทน ผมได้ฟังเรื่องปาร์ตี้บาร์บีคิวบนชายหาดของเมืองที่ถัดจากเมืองของเขาไปหน่อย ได้ฟังเรื่องการซ่อมบ้านนกในสวนหลังบ้านของเขา ผมฟังไปยิ้มไป อย่างน้อยตอนนี้ก็มีความสุขดี
ผมอกหัก.. แต่ไม่ยักจะเจ็บตรงไหน
อาจจะเพราะในสายตาของเขาที่มองมาตอนนี้สะท้อนภาพของผมอยู่
อาจจะเพราะผมไม่รู้ชื่อของเขา เช่นเดียวกับที่เขาไม่รู้ชื่อของผม
และก็อาจจะเพราะผมตีความความรู้สึกของเราตอนนี้ไปว่า
ไม่มากก็น้อย ..เรารู้สึกเหมือนกัน..
น่าเสียดายที่เราเพิ่งเจอกัน แต่บางทีเรื่องราวที่เก็บไว้ในความทรงจำก็สวยงามกว่าสิ่งที่ควรจะเกิดขึ้นจริง พรุ่งนี้เช้า วันถัดไป อาทิตย์ถัดไป เดือนต่อๆไป ปีที่จะผ่านพ้นไป ผมจะมีเรื่องหนึ่งคืนไว้ให้คิดถึง ตลอดไป...
ผมนั่งฟังเขาเล่าเรื่องอีกมากมายอย่างไม่รู้เบื่อ เก็บเกี่ยวเอาห้วงเวลาที่คล้ายกับความฝันนี้ไว้ และร่วมกันแบ่งปันความรู้สึกที่จะไม่มีวันหลุดออกจากปากเราสองคนด้วยกันไปเรื่อยๆ
END