ผมเดินมาเรื่อยๆตามที่ใจปรารถนา หยุดที่ร้านกาแฟร้านเล็กๆข้างทาง ดูคนไม่มากนัก ผมก้าวเข้าไป สั่งกาแฟดำหนึ่งถ้วย แต่พอมันมาวางอยู่ที่โต๊ะผมกลับไม่แตะ เพราะผมไม่ดื่มกาแฟดำ ผมเพียงแค่สั่งให้เขา...
ผมมักจะมองเขาดื่มอย่างละเมียดละไม
แล้วเขาจะเหลือบตามามองผม
เขามักจะวางแก้ว แล้วยื่นหน้ามาจูบผม
พอผมรับรสของกาแฟดำอย่างพอใจ เขาจะถอนปากออกไป
ใบหน้าเหยเกของผม ลิ้นที่ขมปร่า ทำให้เขาพอใจทุกครั้ง
ทำไมผมต้องจำเรื่องราวของเขาด้วย สิบปีมาแล้ว ผมพยายามใจแข็ง แต่เขาก็กลับทำให้ผมจำได้ ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น บางทีมันอาจจะผิดตั้งแต่ที่ผมไปงานแต่งเขา ร่วมยินดีกับเขา เขาถึงคิดว่าผมอภัยให้เขา....
กริ๊ง กริ๊ง
เสียงกระดิ่งหน้าประตูยามมีลูกค้าเข้ามาในร้าน ผู้หญิงคนหนึ่งจูงเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ นั่งลงที่โต๊ะข้างๆ โต๊ะผม ผมจำได้ทันทีว่าเธอคือใคร ผมอยากจะลุกขึ้น แต่บางอย่างก็ดูอ้อยอิ่งเกินกว่าจะทำอะไรได้ เสียงเพลงของนักร้องสมัยใหม่เปิดคลอในร้าน เสียงของเธอช่างเศร้าหมองจนผมอยากร้องไห้ ผมว่าเธอร้องแต่เพลงเศร้ามากเกินไป ผมจึงอยากร้องไห้ให้กับเธอเหมือนกัน
But i won't cry myself to sleep, like a sucker.
I won't cry myself to sleep, if i do, i'll die.
Now you fall asleep with another, damn you, damn you.**
ผมยิ้มให้กับตัวเอง เป็นเพลงที่แรงจริงๆ และหยุดความคิดอยากร้องไห้ของผมได้ชะงัดนัก แต่สักพักใครบางคนก็ก้าวเข้ามา เสียงกระดิ่งก้องกังวานอยู่ในหูผม ผมเสหน้าไปทางอื่น ทำเหมือนกับว่าไม่เห็นเขา เขาเดินมาหาและเบี่ยงตัวไปนั่งโต๊ะข้างๆ ที่ๆมีภรรยาของเขานั่งอยู่ ผมว่าผมควรออกไป
ผมเดินออกมาจากร้าน ขณะที่เดินมาเรื่อยๆ ผมก็นึกได้ว่ากาแฟที่ตัวเองสั่งนั้นมันยังวางอยู่ที่โต๊ะ เขาคงสังเกตเห็นแน่ๆ ทำไมผมไม่ฝืนดื่มมันให้หมดนะ
RRRR RRR
มือถือเครื่องเล็กสั่นอยู่ในกระเป๋ากางเกง เป็นเบอร์ใหม่ ผมลองกดรับ
“นายอยู่ที่ไหนเหรอ” เขานั่นเอง
“ทำงานอยู่”
“เมื่อกี๊ฉันว่าฉันเห็นนายด้วยแหละ โทรมาจะขอบคุณอ่ะ นี่จะให้คุยกับลูกสาวฉันด้วยนะ พิมพ์บอกว่าอยากขอบคุณเพื่อนของปะป๊า คุยหน่อยนะ” เสียงเงียบหายไป มีเพียงเสียงกุกกัก
“คุณอา”
“ครับ”
“ขอบคุณคะ ป๊ากับม้าดีกันแล้ว คุณอาพูดไฟท์โต้ดิ๊”
ผมอึกอัก แต่เด็กคนนี้พูดไฟท์โต้ซ้ำไปซ้ำมา “ฟะ ไฟท์โต้” ผมพูดให้ตัวเองฟัง
“บอกรักฉันหน่อยดิ” เขาก้มลงจูบผม แล้วพร่ำบอกฉันรักนายไม่หยุด
“บอกบ่อยๆจะสำคัญมั้ย”
“นายน่ะมันปากแข็ง ถ้าไม่บอกก็ไม่รู้ดิ” จมูกของเขาซุกไซ้อยู่ที่ติ่งหู
“อยากบอกเดี๋ยวจะบอกเอง”
“น่านะ สู้ๆหน่อยสิ ไฟท์โต้” เขาขบเม้มที่ต้นคอ
“ไม่บอกหรอก”
“อืม” แล้วเขาก็หยุด จากนั้นก็ออกจากห้องไปผมเดินกลับมาที่ห้องของตัวเอง ไม่มีของๆเขาอีกต่อไปแล้ว....
.........................
ผมกลับมาเป็นมนุษย์เงินเดือนอีกครั้ง ผมพยายามลืมเรื่องเมื่ออาทิตย์ก่อนโดยการกินแต่กาแฟดำ รสชาติของมันขมปร่า พอผมดื่มมัน ผมจะรู้สึกแต่ความขม ผมจะคิดแค่ว่ามันขม และทำยังไงผมจึงจะหายขม วิธีนี้ช่วยการลืมเขาได้มาก แต่สิ่งเดียวที่มันช่วยไม่ได้คือเรื่องที่เขาชอบดื่มกาแฟดำ
วันนี้เป็นวันหยุด ผมมักจะหมกตัวอยู่แต่ในบ้าน ผมไม่เคยมีใครมาปลอบโยน ผมอยู่กับตัวเองมาสิบปีจนชิน
เสียงข้อความเข้า ผมกดอ่าน ‘เปิดประตูห้องหน่อย’
“ขออยู่ด้วยสักพักนะ” ชายร่างสูง หนวดเคราเฟิ้มยิ้มให้ผม เขาก้าวเข้ามาในห้องโดยที่ผมยังไม่อนุญาต เขาวางกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ลง ก่อนจะหันมาหาผม กอดผม จูบผมแผ่วเบา
“ทะเลาะกันอีกแล้วเหรอ”
“ช่าย ครั้งนี้แรงไปหน่อย ว่าจะหย่าเลยอ่ะ” เขายังคงคลอเคลียผม
“นายไม่น่าทำแบบนี้นะ” ผมเริ่มขืนตัว
เขาไม่สนใจ “รู้มั้ยว่าครั้งนี้เมียฉันเจอฉันนอนกับผู้ชายแหละ”
“นายเป็นโรคขาดเซ็กส์ไม่ได้เหรอ”
“เปล่า”
“แล้วนายทำเหมือนอยากนอนกับฉันทำไม”
“ฉันนอนได้กับทุกคนนั่นแหละ” เขาผลักผมลงกับเตียง
“นายยังรักฉันใช่ไหม” เขาถาม ถอดเสื้อผ้าของตัวเองออกทีละชิ้น ขณะที่ผมตัวแข็งทื่อ
“ตั้งสิบปี นายยังอยู่ที่เดิม ทำงานที่บริษัทพ่อ” เขาเลิกเสื้อผมขึ้น ดูดดุนตุ่มไตเล็กที่มีไม่เท่าผู้หญิง มืออีกข้างเลื่อนต่ำลง ดึงกางเกงบอลออกอยากง่ายดาย
“ทำไมนายไม่ลืมฉัน?” เขาดึงชิ้นส่วนปกปิดสุดท้ายบนร่างกายผมออกไป เดินไปหยิบโลชั่นทาตัวธรรมดาๆมาจากโต๊ะเครื่องแป้ง ป้ายมันลงที่จุดต่ำสุด
“ทำไมนายถึงอยากเอาฉัน” ผมลุกขึ้นนั่ง
“ตอบคำถามฉันก่อนสิ” เขาผลักผมลงไปแบบเดิม หยิบถุงยางมาจากกระเป๋าเดินทาง ยกขาผมขึ้น แล้วสอดแก่นกายเข้ามาสุดลำ ผมรู้ว่ามันจะต้องเจ็บมาก มันไม่เคยถูกใช้งานมาตั้งสิบปี ผมจึงกัดปากตัวเองเอาไว้ ผมจะไม่ปล่อยให้ตัณหาของเขามาครอบงำผม ถึงผมจะเจ็บ แต่ผมจะจำแค่ว่าผมเจ็บปากเท่านั้น
“ร้องเซ่! นายไม่เคยร้องไห้ให้ฉันเห็นเลยนะ” เขากระแทกเข้ามาซ้ำๆ รุนแรงเหมือนสัตว์ป่า เขาไม่ช่วยผมให้รู้สึกดีไปกับเขา เขาปลดปล่อยความต้องการของตัวเองหลายครั้ง ขณะที่ปากผมมีแต่เลือด เขาจึงไม่คิดจะจูบ
จวบจนครั้งที่สี่ เขาเสร็จสม เขาเข้าห้องน้ำเพื่ออาบน้ำ
เขาเดินออกมาพร้อมผ้าชุบน้ำเปียกๆ เช็ดลงที่ปากผม เลือดเต็มผ้านั้น
เขาใช้ผ้าผืนเดิมเช็ดที่หว่างขา มันมีแต่คราบน่ารังเกียจ
เขาผ่อนแอร์ ก่อนเอาผ้าห่มผืนบางมาห่มให้
ผมหลับตาลง
“นายมันก็น่าเบื่อเหมือนเดิมนั่นแหละ”
.....................
ผมจับไข้
ผมตื่นเช้ามาโดยที่เขากำลังเช็ดตัวให้
“อยากกินอะไร” เขาถาม
“โจ๊ก” ผมตอบไปส่งๆ เป็นอาหารเช้าอย่างเดียวที่ผมนึกออก แล้วเขาก็ออกไป
ผมเคลิ้มหลับอีกครั้ง จนเมื่อตื่นขึ้นมาก็สิบโมงกว่าแล้ว เขายังไม่กลับมา
ผมเดินออกไป หวังรับลม แต่ก็เห็นถุงโจ๊กกับยาแขวนไว้หน้าประตู
ผมกลับไปที่ห้อง กระเป๋าเขาหายไปแล้ว
.....บางทีผมก็รู้สึกว่าสักวันหนึ่งผมอาจจะทิ้งตัวเองลงจากอพาร์ทเม้นท์ก็ได้ ดังนั้นผมควรจะไปจากที่นี่จริงๆจังๆสักที
ผมกำลังเก็บข้าวของลงกล่องลัง ยังไม่ได้ขอลาออกจากงาน ลูกน้องโทรมาหาผมสิบกว่าสาย แต่ผมก็ไม่ได้รับ ผมแค่ไม่อยากถูกอะไรรบกวน เพราะการที่เราเก็บของไม่เสร็จ ก็เท่ากับว่าเราจะออกไปจากที่นี่ไม่ได้
เสียงเคาะประตูดังขึ้น ผมลุกไปเปิด
“ขอเข้าไปหน่อยนะ” เขาเข้ามา ไม่มีกระเป๋าเดินทาง มีแต่ตัวเปล่า
“ทำอะไรอ่ะ หายไข้แล้วเหรอถึงลุกมาเก็บของแบบนี้” เขาเดินมาแตะหน้าผาก
“กินยาหรือยัง”
“กินแล้ว” ผมนั่งลงแพ็คกล่องต่อ
“จะไปไหน?”
“จะย้ายแล้ว”
เขาไม่พูดอะไรต่อ แค่นั่งลงที่โซฟา เปิดทีวี ช่องเคเบิลสรรหาเพลงเก่าๆมาเปิด แต่ทำไมต้องเป็นเพลงนี้
You are my sunshine, my only sunshine
You make me happy when skies are gray
You'll never know dear, how much I love you
Please don't take my sunshine away
I'll always love you and make you happy,
If you will only say the same.
But if you leave me and love another,
You'll regret it all some day.
“นายไม่รู้หรอกว่าฉันเคยรักนายมากแค่ไหน” นายต่างหากที่ไม่รู้...
“นายเคยเสียใจมั้ยที่เลิกกับฉัน” ผมถาม
“ไม่นะ” เขาตอบแทบจะทันที
“นายเขียนที่รูปของเราว่าขอโทษทำไม”
เขาทำท่าคิด “ขอโทษที่ทำให้นายเสียเวลากับคนอย่างฉัน”
“เพลงเพราะนะ” ผมอมยิ้ม
“แต่สุดท้ายเนื้อเพลงมันเศร้านะ”
“ฉันก็ว่างั้น”
You told me once, dear, you really loved me
And no one else could come between.
But now you've left me and love another;
You have shattered all of my dreams.....
“นายจะไปแล้วจริงๆเหรอ?” เขาเอ่ยขึ้นหลังจากเราเงียบอยู่นาน
“อื้ม ฉันจะขายที่นี่”
“ฉันซื้อต่อนะ เอาไว้อยู่หลังเลิกกับเมีย”
“นายไม่สงสารลูกเหรอ” ผมแพ็คของเสร็จแล้ว
“ก็สลับกันเลี้ยงสิ ง่ายจะตาย”
“นายนี่ใช้ชีวิตเรียบง่ายจังนะ”
“ใครจะน่าเบื่อเหมือนนายล่ะ”
บางทีผมก็รู้สึกอยากกระโดดลงจากที่นี่จริงๆ
“นายจะไปไหน?” เขาคว้ามือผมไว้ และผมก็เพิ่งรู้ว่าตัวเองกำลังเปิดประตู
“เอ่อ นั่นสิ” ผมยิ้มเจื่อน เดินกลับมานั่งโซฟา เปลี่ยนช่องทีวี
“ฉันนึกว่านายจะไปกระโดดตึก”
“นั่นสิ”
ผมว่าผมจะทำจริงๆนะ
...................
สุดท้ายแล้ว เพราะเขายังไม่ยอมออกจากห้อง นั่นทำให้ผมไปจากที่นี่ไม่ได้ ผมอดคิดไม่ได้ว่าเขาอาจจะอยากให้ผมอยู่ แต่ผมไม่อยากเข้าข้างตัวเองขนาดนั้น ผมไม่อยากเป็นคนแบบนั้น
ตีหนึ่งสิบนาที ผมรู้สึกเวียนหัว รู้สึกว่าของในกระเพาะกำลังเคลื่อนที่มาจุกคอหอย ผมวิ่งอย่างไม่คิดชีวิตไปที่ห้องน้ำ โก่งคออาเจียน พยายามกลั้นเสียงอาเจียนอย่างยากลำบาก ผมกลัวเขาจะตื่น
ผมทรมาน เหมือนหัวจะแตกเป็นล้านๆชิ้น รสขมปร่าจนอยากอาเจียนใหม่อีกรอบ ผมเกลียดอาเจียนที่สุด เกลียดการที่ต้องโก่งคอ เกลียดกลิ่นของมัน ผมกดชักโครก นั่งหอบแฮ่กอยู่ในห้องน้ำ
“ทำไมต้องฝืนตัวเองล่ะ เสียงแม่งฟังแล้วทรมาน” เขาเดินเข้ามาหาผม ผมกระเถิบหนี ผมกลัวว่าเขาจะได้กลิ่นอาเจียน ผมรู้ว่าเขาไม่ชอบ แต่เขาก็นั่งลงข้างๆ ลงมือขยี้หัวผม หัวเราะเหมือนสะใจ
“ตอนที่เราเจอกันครั้งแรกนายก็อ้วกนะ”
มันน่าสมเพช ผมเห็นอาเจียนของใครก็ไม่รู้กองกระจายอยู่เต็มพื้น ผมตกใจจนตัวสั่น พยายามวิ่งหนี แต่ผมชนเข้ากับใครบางคนจนล้ม มื้อเปื้อนอาเจียน แล้วผมก็อาเจียนออกมา
“นายกลัวอ้วกเหรอ”
“ใครไม่รังกียจบ้าง”
เขาพาผมมาล้างมือล้างหน้าที่ห้องน้ำ เขาทะนุถนอมผม เขาดูแลผม เพียงแค่ไม่กี่นาที ก็ทำให้ผมใจสั่นได้
“ฉันก็เกลียดมันนะ” เขายิ้มปลอบ ผมจึงยิ้มตามแต่ครั้งนี้ต่างออกไป เขาไม่สนใจผมอีกแล้ว เขาก็แค่นั่งข้างๆ ฟังผมหอบ คล้ายจะร้องไห้ แต่ก็ไม่ร้อง ผมเหนื่อย เหนื่อยมาก ผมอยากนอน
“อยากนอนมั้ย”
“อื้ม”
เขาพยุงตัวผม วางลงบนเตียง สาบเสื้อเลิกขึ้น ผมเห็นสายตาของเขา
“นายจะเอาฉันก็ได้นะ”
แล้วเขาก็โน้มตัวลงมา
เขาไม่จูบผม คงเพราะกลิ่นอ้วก เขารักษาระยะห่างระหว่างใบหน้าของผมกับหน้าเขาไว้ เขาแค่ทำแบบเดิม หยิบโลชั่น หยิบถุงยาง กระแทกกระทั้นเข้ามา ทำเหมือนผมเป็นไอ้ตัวคนหนึ่ง เป็นโถส้วม เป็นที่ปลดปล่อย
แค่นั้นก็พอ
อย่าให้ผมรู้สึกอะไรกับเขาอีก .... แค่นั้นก็พอ....
ตีสามสามสิบเจ็ดนาที ผมลืมตาขึ้นมามองดูนาฬิกาที่กำเอาไว้ เขากำลังนอนกอดผมอยู่จากด้านหลัง ลมหายใจสม่ำเสมอ ผมอยากหันหน้าไปมองเขา แต่กลัวเขาตื่นและได้กลิ่นอ้วก
“The other night dear, as I lay sleeping
I dreamed I held you in my arms~”
ผมฮัมเพลงเบาๆ ถึงผมจะไม่ได้กอดเขา แต่ท่อนนี้ก็เหมาะที่สุดแล้ว ผมไม่เคยร้องเพลง ไม่เคยหาความสุขใส่ตัวเอง แต่ตอนนี้ผมรู้สึกหัวใจพองโต นึกถึงวันเก่าๆ เมื่อสิบปีก่อน
“เพราะดีนี่” จู่ๆเขาก็พูด ผมตกใจ ผมไม่อยากให้เขาได้ยินเลย
“ทำไมนายไม่ลืมฉันสักที....” เขากล่าว แล้วเงียบไป
ฉันอยากลืมจะตาย แต่นายนั่นแหละกลับเข้ามาเอง....
ตีสี่ เขาลุกไปเข้าห้องน้ำ แล้วกลับมานอนกอดผมต่อ
“ฉันเคยรักนายมากนะ” เขาพูดเสียงแผ่วเบา
เขาจะตอกย้ำผมทำไม
“นายบอกว่าฉันน่าเบื่อ แต่นายคบกับฉันทำไมเหรอ?” ผมนอนไม่หลับแล้ว
“ฉันชอบคนน่าเบื่อ”
ผมหัวเราะแห้งๆ
“ทำไมนายถึงกลับมา”
“ฉันอยากเห็นหน้านาย”
“อยากเห็นว่ายังเป็นคนอยู่รึเปล่าเหรอ”
คราวนี้เขาหัวเราะแห้งๆบ้าง
“ตั้งสิบปีนะกันต์” ผมไม่อยากพูดอะไรต่อแล้ว ตั้งสิบปี เขาเพิ่งคิดได้เมื่อสิบปีผ่านไปหรือยังไง
“เราสามสิบกว่ากันแล้วนะ ฉันรู้ แต่คนบางคนก็ต้องให้เวลาเขาบ้าง” เขาจูบไหล่ผม
“ฉันเคยรักนายมากนะ แต่นายอ่ะ รักฉันน้อยไป”
คนบางคน....นายก็ต้องให้เวลาเขาทบทวนหัวใจด้วยนะ
..........................
ตัวผมร้อนผ่าว ผมแทบไม่มีแรงพยุงหัวตัวเองขึ้นมามองเขาแกะข้าวของของผมออกจากลัง จัดมันกลับเข้าที่เดิม เขาทำอยู่ทั้งวัน ทั้งดูแลผมไปด้วย ผมอาเจียนไปสองรอบหลังอาหาร รู้สึกว่าท้องโล่ง แต่ไม่อยากกินอะไรแน่นอน ผมไม่อยากไปหาหมอ พูดง่ายๆคือกลัวหมอ ไม่อยากให้ใครเห็นสีหน้าตอนป่วย มันคงน่าสมเพช ผมอยากรู้ว่าเขาจะจากไปอีกเมื่อไหร่ จะทิ้งผมไปอีกเมื่อไหร่ จะเบื่อผมอีกเมื่อไหร่
“กินข้าวซะเอ้า” เขายื่นช้อนสีเงินมาให้ แต่ผมไม่อ้าปาก หัวผมหนักอึ้ง ผมอยากกระโดดลงไปให้มันกระแทกพื้นซะให้รู้แล้วรู้รอด
“นายอ้วกไปสองครั้งแล้ว นายต้องกินข้าวแล้วกินยาสิ”
“นายไม่ต้องดูแลฉันหรอก” ผมตอบอย่างเหม่อลอย
“แต่ฉันทำนายไม่สบายนะ”
“ถ้านายไม่ได้เป็นคนทำ นายจะไม่ดูแลฉันใช่มั้ย”
“บ้าน่า เป็นไข้แล้วเพ้อรึเปล่าเนี่ย ดราม่าว่ะ”
“เมื่อไหร่ที่นายจะทิ้งฉันไปอีกเหรอ”
เขายกมือกุมขมับ
“สิบปีที่ผ่านมา นายนึกถึงฉันตอนทะเลาะกับแฟน นายกลับมา แล้วก็ทำให้ฉันเจ็บทั้งกาย ทั้งใจ ฉันรู้ว่าถ้าฉันหาย นายก็จะหายไปด้วย”
เขาวางข้าวลงกับพื้น ถอนหายใจเฮือกใหญ่
“นี่ตั้งสิบปี ฉันทะเลาะกับเมียทุกปีนั่นแหละ”
“แล้วทำไมต้องรอถึงสิบปี”
“ไม่รู้”
“นายจะรอจนฉันแก่ตายก็ได้นะ ค่อยมาหาฉัน”
“อย่าประชดน่า กินข้าวเถอะ” เขาเปลี่ยนเรื่อง
“นายช่วยฉันหน่อย” ผมยื่นมือไปจับมือเขา
“จับฉันโยนลงไปจากที่นี่ที”
เขาสะบัดมือทิ้ง ยัดช้อนเข้ามาในปากอย่างแรง ผมไม่มีแรงแม้แต่จะร้องโอย ปากที่บวมอยู่แล้ว โดนช้อนกระแทก โดนข้าวอุ่นๆ ผมอยากจะอาเจียน
น้ำอุ่นไหลเป็นทาง ตกลงสู่หมอน
เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นน้ำตาของผม เขาเบิกตาโพลง รีบเอามือมาปาดมันออก
“นายเอาฉันที”
“ไม่เอาแล้ว”
“เพราะนายจะทิ้งฉันอีกแล้วใช่มั้ย”
“นายไม่เคยพูดมากขนาดนี้เลยนะ” เขายัดข้าวเข้ามาอีกคำ
กินข้าวกับน้ำตามันเป็นอย่างนี้นี่เอง ไม่อร่อย ขมขื่นยิ่งกว่ากินมะระเข้าไปทั้งลูก แรงเคี้ยวก็ไม่ค่อยมี ปากบวมเป่ง จนรู้สึกรสเลือด ไม่อร่อยสักนิด
.......................
สองวันให้หลัง ผมหายดีเป็นปลิดทิ้ง ผมมองดูเขากำลังเปิดประตูออกไป ผมอยากรั้งเขาไว้ แต่ก็เหมือนๆเดิม ผมไม่มีความกล้ามากพอ ในเมื่อเขาไม่ได้รักผมอีกแล้ว เราก็ไม่ควรรั้งเขาไว้ ถูกไหม?
ประตูปิดลง เอาแสงสว่างออกไปจากห้อง เสียงฝีเท้าของเขาจางหายไป จางหายไป
“นายทิ้งฉันอีกแล้วนะ”
ผมกลับมาเป็นหุ่นยนต์ ตื่นเช้าไปทำงาน ตกเย็นกลับบ้าน แล้วก็นอน ทำอย่างนี้ซ้ำไปซ้ำมา บางทีผมอาจจะเป็นหุ่นยนต์จริงๆก็ได้ แต่สิ่งที่เตือนผมเสมอว่าตัวเองไม่ใช่หุ่นยนต์ ก็คงจะเป็นเสียงหัวใจกระมัง
ตอนที่เคยคบกัน ผมรู้ตัวว่าผมค่อนข้างเก็บความรู้สึกมากไป แต่เขามักจะยิ้มและหัวเราะเวลาที่ผมแสร้งเก็บอารมณ์ เขาเข้าใจผม และผมก็เข้าใจเขา
วันนี้วันหยุด ผมนอนอยู่บ้านเช่นเคย ส่วนลึกข้างใน ผมก็อยากให้เขากลับมา แต่ใครจะทนกับคนน่าเบื่อละ เขาหน้าตาดี มีมนุษย์สัมพันธ์ อยากคบกับใครก็สมหวังไปเสียหมด
ผมเฝ้ารอแต่เสียงเคาะประตู ......... ทุกวัน
บางวันผมก็หลอนตัวเอง ว่าได้ยินเสียงนั้น ผมเดินไปเปิด และพบกับความว่างเปล่า ดังนั้นเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู ผมจะไม่เปิดทันที ผมต้องรอ รอให้มีเสียงอีก จึงจะเปิด
ก๊อก.ๆ...
ผมไม่สนใจ
“เปิดหน่อย”
หุ่นยนต์อย่างผมทำตามคำสั่งอย่างว่าง่าย
ชายร่างสูง ใบหน้าไร้หนวด ผมก็ดูสั้นลง ก้าวเข้ามาในห้องพร้อมกับกระเป๋าเดินทางใบใหญ่
“ขอเช่าสักห้องสิ” เขานั่งลงบนโซฟา วางกระเป๋าลง
“ไม่เปิดให้เช่า”
“แต่นี่มันอพาร์ทเม้นท์นะ”
“ฉันกำลังปรับปรุง” ผมนั่งลงข้างเขา
“ทำไมนายรอฉันล่ะ”
“ใครบอก”
“นายบอกว่าจะย้าย จะขาย แต่ก็ยังอยู่” เขายิ้ม จับมือผมไปนวดคลึง
“นายแค่เคยรักฉันจริงๆเหรอ” ผมหันไปถาม
“รสนิยมชอบคนน่าเบื่อของฉันยังไม่เปลี่ยนหรอกนะ” เขาวางมือผมลง
“นายมีอะไรจะพูดมั้ย”
มีสิ....แต่ไม่กล้า
“นายน่ะ ไม่เหนื่อยเหรอ”
เหนื่อยสิ
“สิบปีแล้ว นายยังคิดไม่ได้อีกเหรอ”
ขอโทษนะ...
“ฉันหย่าแล้วนะ ฉันว่าบางทีคนเราสัญญาอะไรไว้ก็ต้องทำตามสัญญา แล้วนายล่ะ?”
แหวนสีเงินเกลี้ยงถูกสวมที่นิ้วนางข้างซ้าย
“ถ้ามีกฎหมายเพศเดียวกันแต่งงานกันได้เมื่อไหร่ เราต้องแต่งงานกันนะ”
ผมพยักหน้า ตื้นตันจนพูดไม่ออก
“พรุ่งนี้นายไปเลือกแหวนให้ฉันนะ”
“อื้ม”
“รู้รึเปล่าว่าฉันอ่ะ อยากอยู่กับนายจนตายเลย เราจะมีบ้าน มีลูก ถ้ามีได้อ่ะนะ” เขากอดผมแน่นและหัวเราะกับสิ่งที่ตัวเองพูด
ผมเดินไปหยิบกล่องไม้เก่าๆที่อยู่บนชั้นหนังสือมาเปิด ข้างในมีแหวนสีเงินกลมเกลี้ยงวงหนึ่ง เขาหยิบมันขึ้นมา ไม่ทำอะไรไปมากกว่านั้น ผมหลุบตาต่ำลง มองเท้าตัวเอง ฝ่ามือมีแต่เหงื่อ กำกล่องไม้
“สวยดีนะ” เขาเอ่ย
“ฉันขอได้มั้ย” ผมพยักหน้าให้
เขาจับกระเป๋า ลากมันออกไปที่ประตู ผมเหมือนจะตัวสั่น แต่ผมก็ยังคงนั่งอยู่ที่โซฟา เขามองผมอนู่นาน แสงสว่างค่อยๆหายไป
“กันต์!!!”
ประตูหยุดชะงัก ผมล้มลงอยู่ตรงหน้าเขา
“ฉันยังรักนายนะ อยู่กับฉันเถอะ”
เขาหัวเราะแผ่วเบา ทิ้งตัวลงมาโอบกอดผม ผมร้องไห้ในอ้อมอกเขา
เป็นครั้งแรก และครั้งเดียวที่ผมร้องไห้มากที่สุดในชีวิต
In all my dreams, dear, you seem to leave me
When I awake my poor heart pains.
So when you come back and make me happy
I'll forgive you dear, I'll take all the blame.
......
*You’re My Sunshine-Johny Cash
**Damn You-Lana Del Rey
เป็นนิยายที่แต่งไว้นานนนนนนแล้ว
เคยลงมาแล้ว
และน่าจะถูกลบไปแล้ว
เสียดายคอมเม้นท์เก่ามากๆ