Poor Boy 5
สไมล์นั่งหลบสายตาคมที่จ้องมาที่เขาอย่างไม่ลดละด้วยอาการตัวสั่นนิดๆเหตุการณ์เมื่อตอนกลางวันยังคงวนเวียน
เข้ามาในหัวของเขาไม่ลดละ พอร่างสูงรู้ว่าเขาเป็นใครก็ผละออกจากเขาแล้วทิ้งเขาไว้ในหัวน้ำแบบนั้นเขาที่ทำอะไรไม่ได้
นอกจากคลานเข้ามาในห้องแล้วเอาผ้าห่มห่อหุ้มตัวให้ร่างกายอบอุ่นเท่านั้นจนแม่บ้านเข้ามาแล้วบอกว่าคุณสองลืมเขาสนิทแล้ว
เป็นฝ่ายแต่งตัวให้เขาแทน
“นี่สามนะสไมล์เป็นลูกชายคนเล็กของลุง” นทีพูดขึ้นขณะอาหารมื้อเย็นซึ่งวันนี้พิเศษกว่าทุกวันเพราะเป็นการเลี้ยง
ต้อนรับลูกชายคนเล็กกลับจากอังกฤษ
“ครับ” สไมล์พยักหน้ารับนิ่งๆโดยที่ใบหน้าหวานก็ยังคงไม่กล้าเงยขึ้นมามองหน้าอีกคนจนหนึ่งสังเกตเห็นได้แต่ก็ไม่ได้
ถามอะไรออกมา สามกระตุกยิ้มมุมปากกับท่าทางของอีกคน ก็ดี...กลัวเขาจนตัวสั่นแบบนี้ก็ดีจะได้จัดการได้ง่ายๆ เพราะเขาจะ
ไม่มีวันให้ไอ้กาฝากนี่ลอยหน้าลอยตาอยู่ในคฤหาสน์ของเขาอย่างสุขสบายแน่ ถ้ามีเขามันก็ต้องเหมือนตกนรกทั้งเป็น
“สไมล์กินนี่เยอะๆนะ” หนึ่งว่าพร้อมกับตักอาหารใส่จานร่างบาง สไมล์หันไปส่งยิ้มให้หนึ่งอย่างขอบคุณซึ่งสามก็นึกหมั่น
ไส้ไม่ใช่น้อย อ่อยพี่ชายเขาสินะ
“รู้สึกว่ามันจะแค่ขาพิการมือไม่ได้พิการนะ” คุณหญิงของบ้านแขวะขึ้นซึ่งนั่นก็ทำให้สไมล์หน้าซีดไปทันที
“คุณหญิง” นทีหันไปปรามผู้เป็นภรรยา
“เฮอะ แตะต้องไม่ได้เลยสินะคะ ฉันอิ่มละกินไม่ลง” คุณหญิงของบ้านว่าก่อนจะวางช้อนซ้อมแล้วลุกออกจากโต๊ะอาหาร
ไป
“ผมก็กินไม่ลงเหมือนกัน ขอตัวนะครับป๊า” สามว่าก่อนจะลงตามผู้เป็นแม่ไปสไมล์รู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกกับ
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เขาเป็นคนทำให้บรรยากาศของคนในครอบครัวเสียสินะ เขามันก็แค่คนนอกเป็นแค่กาฝากสำหรับครอบครัวนี้
เท่านั้น
“สไมล์ไม่ต้องคิดมากนะ” หนึ่งว่าพร้อมกับลูบหัวร่างบางเบาๆอย่างปลอบโยนจนสองที่นั่งอยู่อีกฝั่งอดแขวะไม่ได้
“รู้สึกพี่หนึ่งจะรักเด็กนี่มากกว่าน้องแท้ๆอย่างพวกผมอีกคน”
“อยากมาแดกดันน้องอีกคนน่ะสอง” นทีบอกกับลูกชายคนรอง
“ผมไม่ได้แดกดันเสียหน่อย” สองยักไหล่พร้อมกินข้าวต่อ ก็อย่างที่เคยบอกว่าเขาไม่ได้เกลียดเด็กนี่แต่แค่ไม่ชอบใจว่า
อยู่ๆพ่อของเขาก็พาใครๆไม่รู้เข้ามาอยู่ในบ้านและพี่หนึ่งก็ดูจะรักและเอ็นดูเด็กนี่เสียเหลือเกินแต่เรื่องเมื่อกลางวันที่เขาลืมเด็กนี่
ไว้ในห้องน้ำก็แอบรู้สึกผิดเหมือนกัน ไม่รู้ว่าเด็กนี่ลงจากอ่างมาได้ยังไงแต่ดีที่ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรไม่อย่างนั้นเขาคงโดนพ่อกับ
พี่หนึ่งดุแน่ๆ...หลังจากที่มื้ออาหารเย็นผ่านไปหนึ่งก็เข็นรถเข็นสไมล์มาที่สนามหญ้าหน้าบ้านแบบทุกวันเมื่อมารับลม สไมล์ต้อง
อุดอู้อยู่ภายในห้องสี่เหลี่ยมทั้งวันทำให้ร่างบางต้องรู้สึกอึดอัดมากแน่ๆ ดังนั้นการออกมาสูดอากาศข้างนอก รับลมเย็นๆในช่วง
เย็นแบบนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีเลยทีเดียว
“เดี๋ยวสไมล์รอพี่อยู่นี่แปบนะเดี๋ยวพี่ไปเอาผลไม้มาให้” หนึ่งว่า
“ไม่ต้องก็ได้ครับพี่หนึ่ง สไมล์ไม่หิว พึ่งทานข้าวมาเอง” สไมล์ว่า
“แต่กินผลไม้เยอะๆดีนะ รออยู่นี่ล่ะ” หนึ่งว่าก่อนจะรีบวิ่งกลับเข้าไปในคฤหาสน์ทันที สไมล์มองตามอีกคนไปนิดๆก่อน
จะหันกลับมา ตากลมมองไปที่นกตัวน้อยๆที่บินมาเกาะสายไฟแล้วก็บินออกไปทำให้เขารู้สึกอิจฉา นกตัวนี้มีอิสระที่จะสามารถ
ทำอะไร ไปไหนมาไหนก็ได้ตามแต่ใจของมันต่างจากเขา เขาเหมือนนกตัวน้อยๆในกรงทองซึ่งต่อให้มีใครมาเปิดกรงเขาก็ไม่รู้
เหมือนกันว่าเขาควรจะบินไปที่ไหนดี เขาไม่มีที่ไป มืดมนทั้งแปดด้าน
“มึงสินะไอ้เป๋ที่มาเป็นกาฝากอยู่ในบ้านของกู” เสียงทุ้มดังขึ้นทำให้สไมล์หันไปมองทันที
“ผมชื่อสไมล์ ไม่ได้ชื่อเป๋” สไมล์พูดขึ้น
“กูจะเรียกไอ้เป๋มีอะไรมั้ย” สามว่าอย่างกวนๆ สไมล์มองหน้าอีกคนอย่างไม่พอใจแต่ก็ไม่ได้โต้ตอบอะไรออกมา เขาไม่ได้
อยู่ในสถานะที่จะมาต่อปากต่อคำกับอีกคนอยู่แล้ว
“มึงจะเป็นกาฝากเกาะครอบครัวของกูนานแค่ไหนวะ พูดตรงๆเลยว่ากูไม่พอใจมากที่พ่อเอามึงเข้ามาอยู่ในบ้าน” สาม
ว่า สไมล์ก็ยังคงนิ่ง
“ไม่สมเพชตัวเองบ้างหรือไงที่ต้องมาเป็นภาระให้คนอื่นแบบนี้ ถ้ากูเป็นมึงหนีตายไปนานแล้ว” สไมล์น้ำตาคลอกับคำ
พูดของอีกคนแต่ก็พยายามสะกดกั้นเอาไว้ไม่ให้ไหลออกมา เขารู้ว่าเขามันเป็นตัวภาระแต่เขาก็คิดว่าการตายก็ไม่ใช่ทางออกที่ดี
ของชีวิต แม้ว่าตอนที่รู้ว่าเขาไม่เหลือใครแล้วเขาก็เคยคิดที่จะฆ่าตัวตายตามพ่อกับแม่ไปแต่พอนึกถึงยามที่เขาเกิดมา พ่อกับแม่
ดีใจแค่ไหน พ่อกับแม่มีความสุขขนาดไหนที่มีเขาเขาก็ทำไม่ลง เขาต้องสู้ ต้องมีชีวิตอยู่ต่อเพื่อให้พ่อกับแม่มีมองมาจากบน
สวรรค์ภาคภูมิใจในตัวเขา
“ผมไม่คิดที่จะหนีปัญหาโดยการตาย” สไมล์พูดขึ้นพร้อมกับมองหน้าสามแม้ว่าดวงตากลมจะยังสั่นๆเพราะตื่นกลัวอีก
คนอยู่ก็ตาม
“แต่ก็ไม่มีใครอยากจะให้มึงอยู่” สามว่า
“มีสิ...” สามเลิกคิ้ว
“...พ่อกับแม่ผมไง” สามร้องเฮอะออกมาทันที
“แล้วไหนล่ะพ่อกับแม่ของมึง ไม่ใช่หนีตายไปแล้วหรือไง” สไมล์กำมือแน่นอย่างไม่พอใจกับคำพูดของอีกคน
“อย่ามาพูดถึงพ่อกับแม่ผมแบบนี้” สไมล์ว่า
“กูจะพูด เพราะมันคือความจริง ความจริงที่กาฝากอย่างมึงต้องสำเหนียกตัวเองไว้ซะว่าบนโลกใบนี้ไม่มีใครต้องการ
กาฝากอย่างมึงอีกแล้ว” สามว่าก่อนจะผลักรถเข็นของสไมล์อย่างแรงโดยที่ไม่ได้สังเกตเห็นว่าที่ที่รถเข็นอยู่เป็นที่ลาดลงทำให้
พอสามออกแรงผลักรถเข็นก็เคลื่อนที่อย่างแรงยังสามเองยังตกใจ
พลั้ก!!
โครม!!
สไมล์ร้องโอดโอยออกมา แขนบางและขาเรียวเต็มไปด้วยรอยถลอกและเลือดซิบๆสามมองภาพตรงหน้าอย่างตกใจไม่คิดว่าจะ
ทำให้อีกคนเจ็บตัว เขาแค่หมั่นไส้ในใบหน้าที่หยิ่งทะนงตัวของมันเลยกะจะผลักรถเข็นมันแรงๆเฉยๆไม่คิดว่าจะทำให้รถเข็น
เคลื่อนที่แล้วไปชนกับก้อนหินจนมันล่วงรถเข็นแบบนี้
“สไมล์!!” หนึ่งเรียกอีกคนเสียงดังก่อนจะรีบวิ่งเข้ามาทันที
“นายทำอะไรของนายฮะสาม!” หนึ่งหันไปตะหวาดน้องชายทันทีเมื่อเห็นสภาพของสไมล์
“ก็อย่างที่พี่เห็น” สามยักไหล่ ในเมื่อพี่ชายเขาดูเหมือนจะรักจะเอ็นดูมันเสียเหลือเกินต่อให้เขาพูดอะไรไปก็คงจะไม่มี
ประโยชน์ จะหาว่าแก้ตัวเปล่าๆ สู้ยอมรับหน้าด้านๆแบบนี้ไปเลยสะใจกว่าเอยะ
“เดี๋ยวเรามีเรื่องต้องคุยกัน” หนึ่งว่าก่อนจะเข้าไปจับรถเข็นให้ตั้งขึ้นและพยุงสไมล์กลับไปนั่งบนรถ สไมล์มองที่สามด้วย
ความโกรธ ไม่คิดว่าอีกคนจะใจร้ายถึงขั้นทำร้ายร่างกายของเขาแบบนี้แต่สามก็หาได้สนใจไม่ ก็ดี...จะได้ถือเป็นการประกาศ
ศึกกันไปเลย...เสียงทะเลาะกันเสียงดังของหนึ่งกับสามทำให้ผู้เป็นพ่อและแม่ลงมาดูทันที สามถูกพ่อต่อว่าไม่น้อยเรื่องที่ทำ
สไมล์เจ็บตัวซึ่งนั่นก็ทำให้สามไม่พอใจเป็นอย่างมาก พ่อของเขารักมันมากอย่างที่แม่ของเขาเคยบอกจริงๆ
“สามเห็นแล้วใช่มั้ยว่าป๊ารักมันแค่ไหน ม๊าเกลียดมัน เกลียดมันที่สุด” จินดาพูดกับลูกชายสุดที่รักด้วยความเครียด
แค้น ยิ่งมองใบหน้าไอ้เด็กนั่นที่คล้ายกับแม่ของมันเท่าไหร่เธอก็ยิ่งเกลียด
“ม๊าไม่ต้องห่วง ผมจะจัดการไอ้กาฝากนั่นเอง” สามว่าอย่างจริงจัง
“สามคิดจะทำอะไรลูก” จินดาถาม สามแสยะยิ้มร้ายกาจ
“ก็ทำให้มันเหมือนตกนรกทั้งเป็นตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่ไงครับม๊า”...อาหารมื้อเช้ามีผู้ร่วมโต๊ะเพียงสี่คนเท่านั้นเพราะคุณ
ผู้ชายของบ้านและลูกชายคนโตของบ้านมีประชุมแต่เช้า สไมล์รู้สึกอึดอัดใจไม่น้อยที่ต้องมาเผชิญหน้ากับคนที่เกลียดเขาแบบ
นี้
“เอ่อ...ผมขอตัวนะครับ” สไมล์พูดขึ้นพร้อมกับรวบช้อนและส้อม สามเลิกคิ้วมองหน้าอีกคน
“เดี๋ยว” สไมล์ที่กำลังจะเข็นรถกลับก็ชะงัก
ซ่า!
น้ำเปล่าจากแก้วไหลลงจากหัวของสไมล์โดยฝีมือของร่างสูง
“กินข้าวแล้วก็ต้องกินน้ำด้วยสิ” สามว่าก่อนจะกระตุกยิ้มมุมปาก สไมล์มองหน้าอีกคนด้วยความไม่พอใจแต่ก็ไม่ได้
โต้ตอบอะไรออกมา
“มองหน้า? หรือจะเอาอีกแก้ว” ว่าแล้วสามก็เทน้ำรดหัวของสไมล์อีกครั้งท่ามกลางเสียงหัวอย่างสะใจของคุณผู้หญิงของ
บ้าน
“สองแก้วก็พอแล้วค่ะลูก เปลืองน้ำบ้านเราเปล่าๆ กาฝากอย่างมันน้ำล้างห้องน้ำท่าจะเหมาะกว่า น้ำแร่แบบนี้มันราคา
แพงเกินไป” จินดาว่า สไมล์มองสองแม่ลูกน้ำตาคลอ เขาไม่รู้ว่าอะไรทำให้สองคนนี้เกลียดเขานักหนาแต่เขาก็ทำได้เพียงแต่
นิ่งเท่านั้น มือบางยกขึ้นมาปาดน้ำออกจากใบหน้าก่อนจะเข็นรถเข็นตัวเองไปหาสาวใช้เพื่อให้พาเขากลับไปยังห้องนอน
“ทำเกินไปหรือเปล่า” สองที่นั่งอยู่ถามขึ้น
“แกสงสารมันหรือไงฮะตาสอง” จินดาหันไปพูดด้วยความไม่พอใจ
“เปล่าครับม๊า” สองตอบ
“พี่ไม่ต้องไปสงสารกาฝากอย่างมันหรอกแค่นี้มันยังน้อยไป มันต้องเจออะไรอีกเยอะ” สามแสยะยิ้มร้าย
เกลียดๆๆๆ มีแต่ความเกลียดสองแม่ลูกคู่นี้!!! นี่พระเอกจริงๆใช่มั้ย? หรือนางร้ายละครหลังข่าว? 555555 ด่าได้ค่ะ ด่าแรงๆ
ด่ารัวๆๆๆ
___จางบิวตี้___