เปย์ครั้งที่ ๑ (รีไรท์)
‘ชาติเสือต้องไว้ลาย ชาติชายต้องไว้ชื่อ’
ลูกผู้ชายที่ชื่อว่าตนมีความเก่งกล้าสามารถ จะต้องสำแดงวิชาความรู้และความสามารถให้ลือชาปรากฏแก่คนทั่วไป ดุจเสือ (ลายพาดกลอน) ก็ต้องมีลายฉะนั้น
ปีพุทธศักราช ๒๕๖๑ตุ๊บ! ตั๊บ! ตุ๊บ! ตั๊บ!
“ตายซะเถอะมึง เฮ้ย! เอามีดมา” ชาย 5 คน กำลังรุมกระทืบชายเพียงคนเดียวที่นอนหมดสภาพอยู่ในตรอกเล็กๆ แห่งหนึ่ง พวกเขาสวมเสื้อช็อปไม่ต่างกัน แต่หากอยู่ต่างสถาบันเพียงเท่านั้น ใครเห็นคงรู้ได้ไม่ยากว่าเป็นการรุมทำร้ายคู่อริต่างสถาบันของพวกวิศวะ
“อึก” ร่างที่นอนคว่ำอยู่ถูกกระชากคอเสื้อขึ้นมาจ้องหน้ากับฝ่ายตรงข้าม แต่สายตาของเขากลับเย็นชา ไม่มีความกลัวในนั้นแม้แต่น้อย
“ไง แค่แข่งบาสกระชับมิตรกันครั้งเดียว มึงก็กล้าคาบผู้หญิงของกูไปแดกแล้วเหรอวะ” ปากพูด มือก็ยื่นไปรับมีดจากเพื่อนด้านหลัง
“หึ” รอยยิ้มเยอะปรากฏขึ้นที่มุมปาก แต่หากสายตายังคงเหยียบเย็น รอยยิ้มนี้ไม่ได้มอบให้กับคนตรงหน้า แต่หากเขากำลังยิ้มเยาะตัวเอง ไม่ว่าจะกี่ครั้งต่อกี่ครั้งฝ่ายที่วิ่งเข้าหาจะเป็นอีกฝ่ายเสมอ เพียงเสนอ เขาก็พร้อมสนอง แต่มันก็มักมาพร้อมกับผลลัพธ์อันเลวร้ายเช่นทุกครั้งไป
“ยิ้มอะไรวะ หึ วันนี้กูจะกรีดหน้าหล่อๆ ของมึงให้เอง จะได้ไม่มีหน้าไปแย่งแฟนใครได้อีก” คมมีดคมกริบถูกยื่นเข้าไปใกล้ใบหน้าอันหล่อเหลา เสียงข่มขู่นั้นก็เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว เขาโดนแฟนบอกเลิกก็เพราะมัน วันนี้ต้องสั่งสอนให้หลาบจำ!
“สมเพทตัวเองน่ะ เงินก็จ่ายให้แล้วแท้ๆ ดันหาเรื่องมาให้ซะอย่างนั้น” คนโดนมีดจ่อกลับตอบกลับโดยไร้ความกลัว ทั้งถ้อยคำที่พูดออกไปก็ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ แต่หากใครได้ฟังก็คงตีความหมายได้ไม่ยากว่า เขาซื้อตัวผู้หญิงมานอนด้วย ไม่ได้แย่งของใครมา มันไม่ใช่การแย่งแฟน
เขาไม่ได้ใส่ใจ เพราะทุกครั้งที่ผู้หญิงวิ่งเข้าหาเขาจะชัดเจนเสมอว่าพวกเธออยู่ในสถานะไหน ถ้าใครรับได้ก็ตอบรับ แต่มันมักจบลงเช่นนี้ พวกเธอชอบหวังให้เขาจริงจัง เมื่อเขาตอบรับพวกที่มีแฟนก็จะกลับไปเลิกกับแฟนคนปัจจุบันทันที สุดท้ายถ้าไม่จบด้วยโดนกลั่นแกล้ง โดนด่า ก็จะโดนทำร้ายร่างกายเช่นนี้เสมอ
“ไอ้เวร มึงดูถูกแฟนกู”
อั๊ก!
หมัดหนักๆ กระแทกเข้าใบหน้าอย่างจัง แต่กระนั้นก็ยังดูดีแม้มีบาดแผล ตัวเขาเองคิดว่าบางทีให้มีแผลเป็นบ้างก็คงจะลดความวุ่นวายพวกนี้ได้ไม่น้อยเหมือนกัน
“เฮ้ย เร็วๆ ดิวะ เดี๋ยวก็มีคนมาเห็นกันพอดี” หนึ่งในเพื่อนที่ยืนดูเหตุการณ์เร่งเร้าเพื่อนให้รีบจัดการธุระให้เรียบร้อย ถึงจะเป็นตอนกลางคืน แต่พวกเขาอยู่ในเมืองที่พลุกพล่าน ไม่ช้าต้องมีคนมาเห็นอย่างแน่นอน
“เออๆ ...หึหึ เริ่มจากตรงไหนดีล่ะครับ คุณหนูสิริน ฮ่าๆๆ” เสียงหัวเราะดังขึ้นอย่างพร้อมเพียง บรรดาผู้ลงมือทั้ง 5 คน กำลังหัวเราะกับความสำเร็จในครั้งนี้
เพียงคมมีดกดลึกลงไปบนแก้มสีขาว เลือดสีแดงก็ค่อยๆ ไหลอยากมา
“หยุดนะโว้ย พวกเอ็งทำอะไรกัน” เสียงเล็กๆ แต่หากแฝงด้วยความก้าวร้าวของเด็กคนหนึ่งดังขึ้น พาให้คนทั้งหกหันไปมอง พวกเขาพบกับเด็กผู้ชายที่คาดว่าอายุน่าจะประมาณมอต้น สวมใส่เสื้อผ้าที่เปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำเน่าแห้งเกรอะกัง ผมก็แห้งเกาะกันเป็นก้อน ร่างกายเต็มไปด้วยรอยเปื้อนโคลน
“คนบ้านี่หว่า...ไปไกลๆ เลยถ้าไม่อยากจมตีนอีกคน ชิ้วๆ ไอ้เด็กบ้า” ผู้ชายที่ยืนอยู่ออกปากไล่ มองจากสภาพแล้วคงตีความได้ไม่ยากว่าคนที่ถือไม้หน้าสามยืนจังก้าอยู่ไม่ไกลนี่เป็นคนบ้าอย่างแน่นอน
“ว่าใครบ้าวะ พวกเอ็งนั่นแหละหมาหมู่ ทำร้ายคนไม่มีทางสู้ ไอ้พวกขี้ขลาด!” เด็กบ้าส่งเสียงด่าอย่างบ้าคลั่ง คิดแล้วแค้นเพราะพวกหมาหมู่นั่นเขาถึงได้โผล่มาที่ประหลาดๆ เช่นนี้
“หนอย จัดการมันอีกคนเลยก็แล้วกัน” ชายที่จับคอเสื้อของสิรินอยู่ปล่อยมืออย่างหัวเสีย แล้วคิดจะจัดการไอ้เด็กบ้านี่อีกคน แส่หาเรื่องก็จัดการเพิ่ม กระทืบคนบ้าน่ะไม่มีใครมาเอาผิดอยู่แล้ว
“ย้าก! วันนี้ถึงต้องตายไอ้ดำก็จะทิ้งชื่อไว้ที่นี่ ไม่เหมือนพวกหน้าตัวเมียอย่างพวกเอ็งหรอก!” เด็กชายตัวเล็กพุ่งเข้าใส่กลุ่มชายฉกรรจ์ทั้งห้าอย่างไม่เกรงกลัว กระโดถีบคนที่อยู่หน้าสุด ก่อนจะหมุนตัวลงพื้นอย่างสวยงาม จากนั้นก็ใช้ไม้หวดไปที่ท้องของชายอีกคน หลบลูกเตะจากด้านหลังด้วยการกระโดดขึ้นสูงโดยใช้ขาที่เตะมาเป็นฐานกระโดด
แรงกระโดดถีบตัวขึ้นสูงพอๆ กับชายคนที่ 4 เขาจึงหมุนตัวเตะก้านคอของคู่ต่อสู้ พอชายคนนั้นล้มก็ใช้เป็นฐานเหยียบไปจัดการผู้ชายอีกคนที่ดูแล้วน่าจะเป็นหัวโจกของกลุ่ม
ตัวที่เล็กและเบาทำให้ดำไปนั่งบนบ่าของอีกฝ่ายได้ ใช้ขารัดคอจากนั้นก็ใช้ไม่ตีไปที่หัวสุดแรง
ปึก!
“ไปตายซะไอ้พวกหมาหมู่...อันธพาลของที่นี่อ่อนแอเกินไปแล้ว ทั้งที่ไอ้ดำเป็นพวกปลายแถวแท้ๆ ยังจัดการได้เลย หึ” เมื่อเรียบร้อยก็กระโดดตีลังกาลงพื้นจ้องมองศัตรู และกล่าวอย่างผู้เหนือกว่า
สิรินมองภาพเหล่านั้นด้วยความตะลึง เด็กตัวเล็กๆ เพียงคนเดียวแต่กลับจัดการชายตัวโตๆ ได้อย่างง่ายดาย เด็กบ้าคนนี้เป็นใครกันแน่
พึบ!
“เฮ้ย เป็นอะไรรึเปล่า” สิรินถามด้วยความตกใจ เพราะอยู่ๆ เด็กคนนั้นก็ล้มลง เมื่อไร้เสียงตอบรับเขาจึงพยุงตัวขึ้นเพื่อไปดูอาการของคนที่ช่วยชีวิตเขาไว้ ถึงจะเป็นคนบ้า แต่ก็ต้องตอบแทน อย่างน้อยคงต้องช่วยส่งไปรักษา
ชายหนุ่มที่ดูอย่างไรก็น่าจะเป็นคุณชายรักสะอาด แต่กลับเข้าไปพยุงคนบ้าที่ทั้งเปื้อน ทั้งเหม็นอย่างไม่คิดรังเกียจ หากใครได้มาเห็นคงหลงใหลผู้ชายคนนี้มากขึ้นไปอีก
“หะ...” สิรินได้ยินคำพูดอันแสนเบาหวิว จึงพยายามเงี่ยหูฟังอีกครั้ง เด็กคนนี้อาจจะบาดเจ็บตรงไหนอยู่ก็ได้
“หิว...หิวข้าว” เมื่อได้ฟังชัดๆ เขาก็ต้องตกใจอีกครั้ง มันต่างจากที่เขาคาดไว้มากเกินไป
“หึหึ ฮ่าๆ โธ่ เด็กบ้าเอ๊ย” เสียงหัวเราะดังขึ้นอย่างไม่เก็บอาการ รอยยิ้มพึงพอใจปรากฏขึ้นบนใบหน้า เสริมให้สิรินน่ามองมากขึ้นไปอีก เขามองเด็กตรงหน้าอย่างพิจารณา แล้วจึงตัดสินใจกดโทรศัพท์หาใครบางคน
“ไอ้ทิวขับรถมารับที” สิรินคิดว่าเขาคงต้องพาเด็กคนนี้ไปจัดการให้เรียบร้อย จะพากลับเองคงไม่สะดวก เพราะเขาเองขับมอเตอร์ไซค์มา จะให้คนที่สลบอยู่ซ้อนท้ายไปคงต้องหล่นลงไปแน่ๆ
“อะไรว้า กูขี้เกียจ ง่วงเว้ยยย ลูกรักของมึงหายไปไหน” ทิวคือเพื่อนไม่กี่คนของสิริน พวกเขามีฐานะไม่ต่างกันจึงเข้าใจกันได้เป็นอย่างดี ไม่ต้องมาระแวง ไม่ต้องสวมหน้ากากเข้าหากันเหมือนเพื่อนคนอื่นๆ
“วันนี้มีเรื่องอีกแล้ว พอดีมีคนเข้ามาช่วย ตอนนี้สลบอยู่ขับรถมารับหน่อยกลับเองไม่สะดวก” เสียงราบเรียบตอบกลับเพื่อน พร้อมจ้องมองคนที่อยู่ในอ้อมแขน เด็กคนนี้ผอมแห้งไปหมด คงจะไม่ค่อยกินอะไรสินะ
“ห๊ะ ทำไมพึ่งมาบอกวะ น่าน ไอ้น่านเว้ย ตื่นๆ มึงอยู่ที่ไหนว่ามา” ทิวเริ่มร้อนรน สิรินน่ะโดนอะไรแบบนี้บ่อยๆ พวกเขาเองก็ด้วย ปกติก็สู้ได้ แต่ถ้าถึงขั้นต้องให้คนมาช่วยจนหมดสติเนี่ยแปลว่าฝ่ายนั้นมีหลายคน ไม่ก็เล่นสกปรกแน่ๆ
“อยู่ที่XXX”
“มาช้า” เสียงเย็นชาเอ่ยขึ้น เมื่อเห็นเพื่อนนำรถมาจอดริมฟุตบาต เขาเดินออกมาจากตรอกนั้น แล้วยืนรอมาได้เกือบครึ่งชั่วโมง แถมยังอุ้มเจ้าเด็กผอมแห้งเอาไว้อีก ต่อให้ตัวเบาหวิว แต่อุ้มนานๆ มันก็เมื่อยจนอดบ่นไม่ได้
“โหๆ บ่นๆ มึงว่านี่กี่โมงกี่ยาม ตี 3 ครับ คุณชายสิริน กว่าเพื่อนจะลุกจากที่นอนได้แต่ละคนแทบฆ่ากันตายอยู่แล้วครับ” ทิวตอบเพื่อนกลับไปกวนๆ เมื่อเห็นว่าเพื่อนปลอดภัยดี ถึงมีแผลที่แก้มเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้สาหัสอะไร
“แล้วพวกมึงขนกันมาเพื่อ” กระจกเลื่อนลงต่ำเขาจึงเห็นเพื่อนอีก 2 คนนั่งทำหน้าสลอนอยู่ด้านใน
กลุ่มเขามี 4 คน นอกจากทิว ก็มีน่านซึ่งทำหน้าที่ขับรถกับก้องที่นั่งเบาะหลังพร้อมสื่อคำพูดผ่านสายตาว่าเร็วๆ เถอะกูง่วง หนอนหนังสือที่ไม่เหมาะจะเรียนวิศวะ แต่ก็คิดสอยห้อยตามกันมาจนได้
“ก็ไอ้ทิวไง แม่ง พูดยังกับว่ามึงปางตาย ปลุกพวกกูที่เมาค้างมาด้วยเนี่ย” น่านฟ้องสิรินในทันที ในกลุ่มเขาก็สิรินนี่แหละที่ดูพึ่งได้มากกว่าคนอื่น
“เออๆ กูผิดก็ได้ แล้วนั่น” ทิวรับผิดอย่างขอไปที ตอนนั้นเขาตกใจเกินเหตุไปนิดหน่อยเองล่ะนะ ตอนนี้รับๆ ไปก่อนขี้เกียจฟังไอ้คนปากมากบ่น จึงชี้เป้าหมายของหัวข้อสนทนาใหม่ทันที
“ขอขึ้นรถก่อนได้ไหม” คนถูกถามตอบกลับเป็นคำถามเช่นเดียวกัน ทั้งยังพูดด้วยเสียงเบื่อหน่าย แต่ปากก็ขยับยิ้มบางๆ เขารู้ว่าถึงจะบ่นกันไปแต่ทุกคนก็เป็นห่วงเขา แล้วถ้าหนึ่งในพวกนี้เป็นอะไรไปเขาก็คงเป็นห่วงไม่ต่างกัน
“อุ๊บ เหม็น” ก้องที่นั่งเบาะหลังอยู่ก่อนแล้วพูดขึ้น พร้อมจ้องมองวัตถุประหลาดที่อยู่ในอ้อมแขนของสิรินด้วยความสงสัย
“ก็นะ คนบ้าน่ะ น่าจะไปลงน้ำเน่ามา” สิรินตอบพร้อมกระชับอ้อมแขน พอเขามาในรถคนตัวเล็กก็สั่นเล็กน้อย คงจะหนาวสินะ
“ห๊ะ” ทั้งสามคนตะโกนลั่น สิรินเป็นคุณหนูที่ถูกเลี้ยงดูมาอย่างดี เขาจึงติดความเรียบร้อย การเข้าไปยุ่งกับคนบ้าที่ทั้งไม่เรียบร้อยทั้งยังสกปรกมอมแมมจึงทำให้พวกเขาแปลกใจ
จากนั้นทั้งสามก็ขยี้ตาอย่างพร้อมเพียง
“กวนตีน...เด็กคนนี้ช่วยกูไว้น่ะ ก็เลยอยากช่วย อย่างน้อยก็คงต้องพาไปรักษา” หลังจากมองภาพนั้นด้วยสายตาเอือมระอา สิรินก็ไขข้อข้องใจให้เพื่อนทันที
“อ๋อ แล้วเด็กนี่เป็นไงบ้าง โดนพวกมันอัดพร้อมมึงเหรอวะ” ทิวถามขึ้น เด็กนี่ตัวเล็ก แถมเตี้ยกว่าเขาหลายเซน ทั้งยังดูผอมแห้ง ถ้าโดนซ้อมจนสลบคงอาการหนักเอาการ
“เปล่า หิวจนสลบน่ะ ไม่ได้โดนอะไร” จากนั้นคนทั้งรถก็เงียบกริบ รู้สึกว่าวันนี้จะมีเรื่องไม่น่าเชื่อมากเกินไป เลิกเดาอะไรไปเองท่าจะดีกว่า
“แล้วจะให้กูพาไปไหน สั่งมาเลยครับคุณชาย” ทิวทำลายความเงียบด้วยน้ำเสียงยียวน เอาไว้เคลียร์ปัญหานี้ให้เรียบร้อยอย่างอื่นค่อยว่ากัน
“คอนโด”
“กูค้างนี่นะ” ประโยคนี้ไม่ใช่คำขอ แต่หากเป็นประโยคบอกเล่าของก้อง พอพูดจบเจ้าตัวก็เดินไปนอนห้องพักแขกอย่างไม่เกรงใจ
เพราะมาค้างที่นี่บ่อย จนความเกรงใจน่ะเก็บใส่กรุไปนานแล้ว
“เฮ้ยๆ ก้องรอด้วย” แล้วทิวก็เป็นรายต่อไปที่หายเข้าไปในห้อง
“มึงจะทำอะไรก่อนวะ ให้ช่วยไหม” น่านเกาหัวแกรกๆ อย่างคิดอะไรไม่ออก ก็เลยตัดสินใจถามเจ้าของห้องแทน
“จะพาไปอาบน้ำ อย่างแรกคงต้องให้หายเหม็นก่อน มึงไปนอนเหอะ เมาค้างอยู่ไม่ใช่เหรอ เดี๋ยวไปเรียนไม่ไหวซะเปล่า”
“โอเค ถ้ามีอะไรก็ปลุกได้ พวกมันด้วย” สิรินพยักหน้าตอบรับก่อนจะหายเข้าไปในห้องนอนของตัวเอง น่านมองด้วยความแปลกใจ เพราะห้องนอนเป็นพื้นที่ส่วนตัวที่แม้แต่พวกเขาก็ต้องขออนุญาตก่อนเข้า
“มันคงกลัวเสียงดังมั้ง ช่างเหอะๆ” เมื่อคิดได้ดังนั้น และปวดหัวเกินบรรยาย น่านก็เดินเข้าไปนอนกับอีก 2 คน ที่เข้าไปก่อนแล้ว
สิรินพาคนตัวเล็กเข้าไปในห้องน้ำ เปิดน้ำในอ่าง ระหว่างรอให้น้ำเต็มก็จัดการพยุงให้ร่างเล็กยืน แล้วถอดเสื้อผ้าออกจนหมด จ้องมองร่างกายสีน้ำผึ่งอย่างพิจารณา
“ผอมแห้งขนาดนี้ ไปเอาแรงมาจากไหนนะ” นั่นเป็นเรื่องที่เขาแปลกใจที่สุด ตอนอุ้มรู้สึกว่าเบา และผอม พอยิ่งเห็นชัดๆ แบบนี้ถึงรู้ว่าผอมมากกว่าที่คิด มีซี่โครงโผล่ออกมาให้เห็น ใช้ยืนยันคำพูดว่า “หิว” ได้เป็นอย่างดี
สิรินวางร่างนั้นลงในอ่างอาบน้ำ แล้วจึงหันไปถอดเสื้อช็อป และกางเกงยีนส์ เหลือไว้เพียงเสียยืดสีดำกับบ็อกเซอร์ตัวบางเท่านั้น จากนั้นเข้าไปนั่งบนขอบอ่างอาบน้ำ จัดแจงให้หัวของคนในอ่างพาดลงที่ขา แล้วเริ่มต้นการสระผม ตามด้วยการอาบน้ำ ทำความสะอาดไปทั่วร่าง เรียกได้ว่าทำความสะอาดทุกซอกทุกมุมเลยทีเดียว
ในระหว่างนั้นเขาก็ได้ยินเสียงคางฮึมฮัมของคนที่ตัวเองกำลังบริการอยู่เรื่อยๆ ส่งเสียงว่ากวนใจบ้าง พอใจบ้าง แต่ก็ไม่มีท่าทีว่าจะลืมตาขึ้นมาเลย
“นี่ๆ นี่ตื่นเถอะ ต้องแปรงฟันแล้วนะ” สิรินพาร่างเล็กออกมายืนหน้ากระจกในสภาพที่ใช้ผ้าผืนใหญ่ห่อเอาไว้ทั่วร่าง เหลือไว้เพียงหัวกับเท้าเท่านั้น
“อื้อ” แต่ดูเหมือนจะยังไม่ได้รับความร่วมมือ คนตัวเล็กก็ส่งเสียงอย่างรำคาญ สิรินไม่อยากบังคับจึงหยุดคิดสักพักแล้วก้มไปกระซิบข้างหูของคนในอ้อมกอดแทน
“อ้าปากเร็ว เดี๋ยวจะพาไปกินข้าว” ได้ผลทันที เจ้าคนหิวยอมอ้าปาก แถมยังกว้างจนสิรินอดที่จะยิ้มเอ็นดูไม่ได้
เขาจัดการแกะแปรงฟันอันใหม่ บีบยาสีฟันลงไป แต่พอเอาเข้าปากเท่านั้น
งับ! แจ๊บๆ
“เฮ้ย ห้ามกิน อันนี้ไม่ใช้ของกิน หยุดๆ”
สุดท้ายการแปรงฟันก็เต็มไปด้วยความทุลักทุเล กว่าจะแปรงฟันเสร็จก็ใช้เวลาไปมากกว่าอาบน้ำเสียอีก
สิรินวางคนที่เขาจัดแจงใส่ชุดให้เรียบร้อยลงบนเตียง ร่างนั้นใส่เพียงเสื้อยืดของเขา เพราะว่าตัวเล็กเกินกว่าที่จะใส่อะไรของเขาได้ แล้วห่มผ้าให้ พอหันไปมองนาฬิกาก็พบว่าเวลาเลยตี 5 ไปแล้ว เขาอาบน้ำให้คนตัวเล็กราวๆ 2 ชั่วโมงได้ ทั้งเหนื่อยทั้งง่วง ข้าวเอาไว้ค่อยหาให้พรุ่งนี้ก็แล้วกัน
จากนั้นเขาก็เข้าไปอาบน้ำแล้วออกมานอน พอล้มตัวลงถึงได้เห็นว่าคนข้างๆ กำลังสั่น
“หนาวเหรอ ฉันไม่ชอบนอนร้อนๆ ด้วยสิ” สุดท้ายสิรินก็ดึงคนตัวเล็กเข้ามากอดเอาไว้ เจ้าตัวพอได้รับความอบอุ่นก็ซุกหาทีเหมาะๆ จนเลิกสั่นแล้วหลับสนิทไป
จะบอกว่าไม่เพียงน่านที่แปลกใจ เขาเองก็แปลกใจตัวเองเหมือนกัน พาคนบ้ามานอนด้วยเนี่ย แล้วยังรู้สึกดีที่นอนกอดเด็กผู้ชายอีก...ดูท่าเขาจะเพี้ยนไปแล้วจริงๆ
ตี๊ด ตี๊ด ตี๊ด ตี๊ด
แป๊ก!
“อือ” สิรินกดปิดนาฬิกาปลุกข้างหัวเตียง ก่อนจะควานหาคนตัวเล็กที่เขาโอบกอดเอาไว้เมื่อคืน
“เฮ้ย! หายไปไหน” เขาลุกพรวดขึ้นมาด้วยความตกใจ คนที่นอนข้างๆ หายไปไหนซะแล้ว คงไม่ใช่หนีไปแล้วหรอกนะ คิดได้ดังนั้นก็รีบลุกออกไปดูด้านนอก
ตุ๊บ! เพล้ง! ซู่
“แหวะ อ้วก!”
เสียงอึกกระทึกดังมาจากห้องครัว ตามด้วยเสียงน้ำไหล และเสียงอ้วกของใครบางคน สิรินจึงรีบวิ่งเข้าไปดู
เขาชะงักอยู่ด้าน หน้า เพราะตกใจกับสภาพห้องครัวที่พังเละแทบไม่เหลือเคล้าเดิม เครื่องครัวกระจัดกระจายไปทั่ว และเสียงที่แตกเมื่อครู่คือบรรดาแก้วที่เรียงรายเอาไว้ในชั้นด้านบน จากความเป็นห่วงแปรเปลี่ยนเป็นโกรธแทบจะปะทุในทันที
“นายทำอะไร” เสียงเย็นทรงอำนาจดังขึ้นขัดจังหวะคนที่กำลังอ้วกหน้าดำหน้าแดง
“อ๊ะ” ดำชะงักแล้วหันมามอง น้ำตาที่คลออยู่ก็เริ่มไหลออกมาจนคนมองตกใจ
“ฮือ หิวอะ หิว หิว ฮือๆ อึกหิว” มือกุมท้อง ปากก็ร้องบอกว่าหิว ทั้งยังร้องไห้โฮเหมือนเด็กตัวเล็กๆ น้ำตา น้ำมูกเกรอะกังจนน่าสงสาร
“ฮะ...เฮ้ยๆ อย่าร้องสิ อย่าร้องๆ” กลายเป็นว่าสิรินลืมความโกรธไปในทันที เห็นอาการนั้นแล้วแม้แต่คนอย่างเขาเองก็ทำอะไรไม่ถูก
“แง โฮๆ หิว หิว อึก ข้าว อ่า ฮือ” เสียงร้องยังคงดังลั่น จนคนอื่นๆ ก็พลอยตื่นไปด้วยเพราะได้ยินเสียงร้อง
“เป็นไรวะ” น่านถามอย่างสงสัย ถึงจะรู้ว่าเป็นคนบ้า แต่ถ้าจะร้องไห้คงมีสาเหตุบ้างล่ะนะ
ก้องเดินเข้าไปหาพร้อมกับล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง เพราะไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้าจากเมื่อคืน ของที่เอาใส่ไว้ก็เลยยังอยู่
“อ๊ะ กินสิ” ก้องยื่นช็อกโกแลตห่อสีแดงที่พกติดตัวเอาไว้แก้ง่วงไปให้ พร้อมรอยยิ้มกว้างจนตาหยีอย่างเป็นมิตร เพื่อหวังว่าอีกฝ่ายคงสงบลงถ้ารู้ว่าเขาไม่ได้อันตราย
เสียงร้องไห้หยุดลง แล้วเจ้าของเสียงร้องก็มองอย่างลังเล
พึ่บ!
พอแน่ใจแล้วถึงดึงช็อกโกแลตไปแกะกินคำโต
ส่วนคนที่เหลือก็ได้แต่มองก้องด้วยสายตานับถือ เจ้าง่วงก้องผู้สยบคนบ้า บันไซ!
“อินอีก อออีก” คนมูมมามพยายามสื่อสารกับคนใจดี ตั้งแต่โผล่มาที่นี่มีแต่คนไล่เขาเหมือนหมูเหมือนหมา หลายวันที่ผ่านมาจึงได้ต้องคุ้ยขยะกินประทังชีวิต ทำตามพวกคนจรจัดแถวนั้น ซึ่งมันมีของเน่าซะส่วนใหญ่จนเขากินแล้วอ้วก กินแล้วท้องเสียจนผอมแห้งลงกว่าแต่ก่อนมากขนาดนี้
“กินให้หมดแล้วพูดดีๆ สิ” สิรินเดินเข้ามาใกล้แล้วพูดขึ้นอย่างปลงๆ เอาเถอะก็อย่างที่ว่าไปถือคนบ้ามันจะได้อะไรขึ้นมา
อึก
“ขอบใจเอ็งมากนะ แต่ขออีกได้ไหม ไอ้ดำยังไม่อิ่มเลย” เจ้าคนหิวก็ว่าง่ายยอมกลืนช็อกโกแลตลงคอแล้วพูดรัวเร็วจากนั้นก็ส่งสายตาหมาน้อยมาให้ สายตานั้นสื่อว่า นะ นะ ไอ้ดำขอกินอีกนะ จนคนมองจะอดเอ็นดูไม่ได้
ตอนนี้สภาพที่กลับมาเป็นผู้เป็นคนแล้วดูน่ารักไม่น้อย ถึงจะดูขี้ก้างไปบ้าง แต่ดวงตากลมโตกลับทอประกายอย่างดึงดูดชวนมองอย่างน่าประหลาด
“ขอโทษนะ มันหมดแล้วล่ะ” ก้องตอบโดยไม่สนใจคำขอบคุณที่ไม่คำนึงถึงอายุของตัวเองนั่น แล้วยังไอ้คำว่าเอ็งนั่นอีก ก็นะจะไปถือคนบ้าได้อย่างไร
“หิว” เจ้าหมาน้อยดูสลดลงทันตา ไม่เพียงเท่านั้นยังลงไปนอนขดอย่างน่าสงสาร คนทั้ง 4 ก็ได้แต่จ้องมองอย่างจนใจ มึนๆ งงๆ ตามไม่ทันอารมณ์แสนแปรปรวนนั่นเลย
สิรินเห็นว่าถ้าไม่ทำอะไรสักอย่างพวกเขาคงไม่เป็นอันไปเรียนแน่ก็เลยคิดจะลองคุยดีๆ ด้วย อาจจะรู้เรื่องกว่าที่คิดก็ได้ เขาเดินไปหยิบบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป แล้วไปกดน้ำที่ตู้เย็นอัตโนมัติแสนสะดวกสบาย มันมีทั้งช่องน้ำร้อนและน้ำเย็นอย่างครบครัน
กลิ่นหอมๆ ของบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปรสหมูสับทำให้เจ้าหมาตัวโตลุกขึ้นนั่งมามองตามอย่างมีความหวัง น้ำลายก็ไหลออกมาอย่างไม่อาย
“รออีก 3 นาที ก็กินได้แล้ว มานั่งสิ” สิ้นเสียงของสิริน เจ้าลูกหมาก็วิ่งหางกระดิกไปนั่งโต๊ะอย่างว่าง่าย นั่งมองเจ้ากระป๋องกลมๆ ที่ว่างอยู่บนโต๊ะอย่างไม่วางตา
3 นาที 3 นาทีไอ้ดำก็จะได้กินแล้วสิรินมองภาพนั้นยิ้มๆ ก่อนจะหยิบทิชชู่มาเช็ดน้ำลายของเจ้าหมาอย่างเบามือ เจ้าหมาเองก็นั่งนิ่งไม่หือไม่อือตาจ้องเพียงของกินตรงหน้า ตอนนี้ความสนใจทั้งหมดคงอยู่ที่ตรงนั้นไปแล้ว
“ถ้าอย่างนั้นกูไปเรียนก่อนนะ มีเรียนเช้าว่ะ” ก้องเห็นว่าสิรินจัดการสถานการณ์ได้จึงขอตัว พวกเขาเรียนคณะเดียวกันก็จริงแต่กลับเรียนกันคนละสาขา บางวิชาก็เลยเรียนไม่ตรงกัน
เขาเรียนวิศวกรรมเคมี ทิวกับน่านเรียนวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ ส่วนสิรินเรียนวิศวกรรมโยธา และปีนี้พวกเขาอยู่ปี 3 แล้ว ปีหน้าคงต้องฝึกงาน วิชาที่เรียนจึงขาดไม่ได้ ต่อให้เมาค้างขนาดไหนก็ต้องฝืนสังขารไปเรียน อาจารย์แต่ละคนก็โหดๆ ทั้งนั้น เสี่ยงไทร์กันเป็นแถว
“เออ กูกับไอ้ทิวด้วย ไปนะมึง เจอกันพักเที่ยง” จากนั้นเพื่อนๆ ทั้ง 3 ของสิรินก็กลับออกไปเหลือไว้เพียงเจ้าหมาจอมหิวกับนายสิรินผู้เก็บน้องหมากลับบ้านเท่านั้น
“นี่ๆ 3 นาทีรึยัง ไอ้ดำหิว” เจ้าหมาส่งสายตาอย่างออดอ้อน เห็นแบบนั้นเขาก็พยักหน้ารับ จ้องมองคนกินที่แทบจะกินเข้าไปในคำเดียว
“แค่นี้คงไม่อิ่มสินะ แต่นายทำครัวเละไปหมดแล้ว วัตถุดิบคงใช้ไม่ได้ รออีก 30 นาทีก็แล้วกัน” พูดจบก็ถอนหายไปอย่างปลงๆ
“ของพวกนั้นไม่เห็นอร่อยเลย แข็งก็แข็ง เอ็งกินของแบบนั้นเหรอ” ดำถามอย่างสงสัย พร้อมชี้ไปที่เส้นสปาเก็ตตี้เกลื่อนพื้น มันไม่เข้าใจคนพวกนี้เลย
“มันต้องทำให้สุกก่อนถึงจะอร่อย ไม่รู้รึไง” คำถามประหลาดๆ ของดำทำให้สิรินละความสนใจจากโทรศัพท์ที่พึ่งกดสั่งพิซซ่าไป
“สุก แต่ไม่มีเตา เอ็งจะบ้าเรอะ” ไม่เพียงคำพูดประหลาดๆ สายตาที่ส่งไปให้สิรินก็เต็มไปด้วยความสงสาร เหมือนจะบอกว่า สิรินนี่ช่างโง่จริงๆ
โป๊ก!
“โอ๊ย เขกหัวไอ้ดำทำไม หาเรื่องกันเรอะ” มือกุมหัว แต่สายตากับเข่นเขี้ยว พร้อมสู้ทุกเมื่อ
“เฮ้อ ช่างเถอะ อธิบายไปนายก็คงไม่เข้าใจ” สิรินละความสนใจจากเจ้าหมา แล้วเดินไปยกเตาไฟฟ้าที่พื้นกลับไปไว้ที่เดิม
“เฮ้ยๆ อย่าจับนะมันร้อน ดูสิมือไอ้ดำพองหมดเลย” ดำลุกขึ้นมาห้ามสิริน ถึงเมื่อครู่จะถูกทำร้ายร่ายกายไปเล็กน้อย แต่สิรินก็เลี้ยงข้างเขา ไอ้ดำน่ะรู้จักบุญคุณคนนะ หลวงตาสอนมาดี
“ไปนั่งรอที่โซฟา จะทายาให้” อารมณ์ของสิรินขุ่นมัวอีกครั้ง เมื่อเห็นว่ามือเล็กๆ นั่นแดงแจ๋ คงจะเสียบปลั๊กแล้วกดเล่นเข้าถึงได้ถูกไปลวกแบบนี้ มันน่าจับตีก้นจริงๆ เลย เขาจึงยกเตาขึ้นวางด้านบนก่อนจะออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด
“โซฟา โซฟาคืออะไร” คำถามประหลาดๆ ถูกถามอีกครั้ง สิรินจึงเริ่มสงสัยความเป็นมาของเด็กคนนี้มากขึ้น ถึงเป็นคนบ้าก็ต้องรู้จักของใช้ทั่วไปได้บ้าง แต่แบบนี้เหมือนกับไม่เคยเห็นสิ่งของพวกนี้มาก่อนเสียมากกว่า
“ตามมา” คงต้องลองคุยกันดูจริงๆ สินะ การพูดคุยที่ดูมีสติ กับคำถามประหลาดๆ พวกนี้ เขาคงต้องลองค้นหาคำตอบดูสักครั้ง
ไอ้ดำก็ว่าง่ายเดินตามไปนั่งลงบนเก้าอี้นุ่มที่เรียกว่า โซฟา อย่างตื่นเต้น มันไม่เคยนั่งของแบบนี้มาก่อน มันนุ่มพอๆ กับที่นอนที่ได้นอนเมื่อคืนเลย
พวกคนมีตังค์นี่สบายกันจริงๆ เลย โอ๊ย ไอ้ดำอิจฉาสิรินทายาแก้ไฟลวกในดำจนเสร็จ แล้วจึงเปิดปากพูดคุย
“นี่ เรามาเล่นเกมกันไหม” สิรินถามเจ้าคนที่หันไปหันมาไม่ยอมอยู่นิ่งเรียกความสนใจให้เจ้าตัวมามองเขาในทันที
“เกม อืม...ได้สิ จะเล่นอะไร บอกไว้ก่อนนะว่าถ้าเป็นเกมทอยลูกเต๋าไอ้ดำเก่งมาก ไม่เคยแพ้ใครเลยนะ” มือทุบอกบึกๆ อย่างอย่างอวดๆ แถมยังยิ้มอวดเขี้ยวขาวอย่างน่ารัก สิรินมองแล้วรู้สึกอารมณ์ดี ความขุ่นมัวจากเหตุการณ์เมื่อครู่หายไปชั่วพริบตา เจ้าเด็กคนนี้จะทำให้อารมณ์เขาเปลี่ยนไปมาง่ายดายเกินไปแล้ว
อาจจะเพราะความตรงไปตรงมาที่ไร้การแต่งแต้มนี่ล่ะมั้ง เขาซึ่งอยู่ท่ามกลางคนใส่หน้ากากเข้าหากันถึงได้รู้สึกเอ็นดูคนตรงหน้ามากขนาดนี้
“หึหึ ไม่ใช่หรอก เกมถามตอบน่ะ” จบคำตอบดำก็หน้าเสีย ส่ายหน้าระรัวปฏิเสธหัวชนฝา
“ไม่ๆ ไอ้ดำโง่ คำถามยากๆ ไอ้ดำตอบไม่ได้หรอก เปลี่ยนเกมเถอะนะ...นะ”
“อุ๊ป ฮ่าๆๆๆ ไม่ยากหรอก สัญญาเลย” สิรินหัวเราะเสียงดังอย่างที่ยากจะได้เห็น เด็กคนนี้ทำเขาอารมณ์ดีได้ขนาดนี้เชียว
“ก็ได้ สัญญาแล้วนะ” ดำไม่เข้าใจท่าทีของสิริน แต่เห็นว่าอีกฝ่ายยอมให้สัญญาก็เลยตอบรับอย่างง่ายดาย
ก็คนคนนี้ให้ข้าวไอ้ดำกิน คนที่ให้ข้าวให้น้ำคนอื่นกินน่ะต้องเป็นคนดีมากๆ แน่นอน
ไอ้ดำเชื่ออย่างนั้น...โปรดติดตามตอนต่อไป...
________________________________________
สวัสดีค่ะ เปิดเรื่องใหม่อีกแล้ว
ใครอยากได้นิยายสายฮิลจิตใจ เก็บเรื่องนี้เข้าลิสต์ได้เลยจ้า
มาร่วมเชียร์ไอ้ดำ กับ คุณสิน ไปพร้อมๆกันนะค้าาา
ฝากตัวด้วยค่ะ 
*แก้ไข 28/10/62