The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 44 ซาซากิ ฮาจิเมะ (29/08/2018)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: The Scalpel นักฆ่าสองโลก >>>ตอนที่ 44 ซาซากิ ฮาจิเมะ (29/08/2018)  (อ่าน 41246 ครั้ง)

ออฟไลน์ GreenHead(หัวเขียว)

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
    • Green Head - หัวเขียว
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


_____________________________________________________________________________


THE  SCALPEL  นักฆ่าสองโลก
[YAOI,Boy’s Love]


นิยาย Boy’s Love แนวแฟนตาซี

+++เปิดเรื่องเมื่อวันที่ 24/05/2016+++


[illustrator : W i w i i L]

ไม่ว่าจะโลกใบไหนๆ ผู้แข็งแกร่งย่อมรังแกผู้อ่อนแอกว่าตนเสมอ...และเมื่อผู้อ่อนแอค้นพบพลังที่ยิ่งใหญ่
จึงลุกขึ้นสู้เพื่อทวงความเป็นธรรม กับเหล่าพวกพ้องที่พร้อมจะมอบชีวิตให้
.......................................................
ชีวิตที่เคยตกต่ำในโลกเดิม เขาจะเปลี่ยนมันในโลกใบใหม่นี้
เมื่อชีวิตมีครั้งที่ 2 สำหรับเขา เขาจะรอรับมันไว้ แม้ผู้มอบให้จะกำหนดให้ชีวิตใหม่นี้เป็นชีวิตที่เจ็บปวดทรมาน
.......................................................
สองชีวิตที่เขาต้องปกป้อง คือตัวเขา และพี่ชาย แล้วใครล่ะ จะปกป้องผู้ถูกรังเกียจอย่างเขา ประสบการณ์สอนให้เขาไม่อาจเชื่อใจใคร อยู่ร่วมกับผู้อื่นเพียงเพื่อผลประโยชน์เท่านั้น  และใครกันจะมองเห็นหัวใจของคนเลือดเย็นที่เปราะบางนี้
.......................................................
S.P. หรือ The Scalpel นักฆ่าไร้หัวใจอาชญากรระดับโลก อายุ 30 ปี ต้องแบกรับชะตากรรมที่เจ็บปวดของ แร็กนาร์ คูฟฟ์   เด็กน้อยวัย  8 ขวบ เขาตั้งปฏิภาณกับตัวเองว่า  จะเปลี่ยนแปลงชะตากรรมนี้เพื่อตัวของเขาเอง!!
.......................................................
พบกับนิยายหลากอารมณ์ เรื่องแรก ของ Green Head (หัวเขียว)
และติดตามฮาเร็มเล็กๆของนักฆ่าผู้แสนฉลาด รอบครอบ พูดน้อย ซึน และเวอร์จิ้น!!
ที่ไม่อาจเข้าใจหัวใจตนเอง
และติดตามว่าใครกันจะเป็นผู้ทำลายกำแพงที่ถูกสร้างขึ้นมาปกป้องหัวใจแสนอ่อนแอดวงนี้
.......................................................
นิยายเรื่องแรก  ฝากตัวด้วยนะคะ
ผิดพลาดประการใดติชมกันได้จ้า
สามารถพูดคุย และทวงนิยายได้ที่
V
V
V
Green Head - หัวเขียว
หรือ twitter : greenheadzoro

ตัวละครหลัก

แร็กนาร์ คูฟฟ์ (ลูกครึ่ง)
[คิดเท่าขุนเขา กล่าวเพียงต้นหญ้า]
รูร์กัส คูฟฟ์ (มนุษย์ผู้ใช้ธาตุดิน)
 [ตงฉินโอนอ่อน นอบน้อมใจดี]
ยาฉะ ฮิเดโอะ (ปีศาจเผ่าพยัคฆ์)
[เก่งเรื่องวางแผน แต่แฝงไว้ด้วยความไม่มั่นใจ]
ยาฉะ ฮิโรกิ (ปีศาจเผ่าพยัคฆ์)
[เก่งเรื่องต่อสู้ สัญชาตญาณเป็นหนึ่ง]
เอลลูญ์ ริชแมน (มนุษย์ผู้ใช้ธาตุสายฟ้า)
[เชื่อใจหรือระแวง เพียงเพื่อสูจน์ใจตน]
โกยาตเลย์ เจอโรนีโม (ปีศาจเผ่าวิหค)
[รักที่สุดคือแร็กนาร์ รอวันพากลับบ้านเกิด]
หรง ชุนหลัน (ปีศาจเผ่ามังกรวารี)
[กล้าหาญดั่งบุรุษ เกลียดชังคนอ่อนแอ]
 



เรื่อง The Scalpel นักฆ่าสองโลก โครงสร้างที่ร่างไว้ มีทั้งหมด 6 ภาค
ปฐมบท จำนวน 6 ตอน
สยบแดนพยัคฆ์ ประมาณ 20-25 ตอน
พิทักษ์มังกรวารี ประมาณ  20-25 ตอน
ขย้ำฝูงวิหค ประมาณ 20-25 ตอน
ปลดแอกแดนมนุษย์ ประมาณ 20-25 ตอน
ปัจฉิมบท ประมาณ 6 ตอน

ในแต่ละภาคจะมีตอนพิเศษเพิ่มขึ้นมาตามความเห็นสมควรของเราค่ะ
เราได้ร่างโครงเรื่องของแต่ละภาคไว้แล้วเพื่อความเกี่ยวโยงกัน ดังนั้นไม่ต้องห่วงว่าเรื่องจะไม่ปะติดปะต่อกันนะคะ
อาจจะแพลนไกลไปหน่อย แต่จะแต่งให้ถึงค่ะ
ขอขอบคุณที่ทุกท่านที่สละเวลาเข้ามาอ่าน ช่วยอยู่เป็นเพื่อนเรานานๆนะคะ

เรื่องแยกของคู่หูแร็กนาร์ในโลกเดิม

EXECUTE ผู้ส่งสารแห่งความตาย

ใครสนใจเข้าไปช่วยกันรักช่วยกันหลงหนูคิลล์กันนะคะ

เรื่องอื่นๆของกรีน

= P A Y = เปย์ข้าด้วยบุฟเฟ่ต์สิ
#####################

#####################

@สารบัญ

Intro (รีไรท์)
#ปฐมบท
ตอนที่ 1 จุดเริ่มต้น
ตอนที่ 2 เรียนรู้
ตอนที่ 3 เรื่องราว
ตอนที่ 4 ช่วยเหลือ
ตอนที่ 5 แดนเถื่อน และ คำสาบาน
ตอนที่ 6 หวั่นไหว
#สยบแดนพยัคฆ์
ตอนที่ 7 มุ่งสู่แดนเหนือ
ตอนที่ 8 ลอบเข้าบ้านใหญ่
ตอนที่ 9 เหตุการณ์ไม่คาดฝัน
ตอนที่ 10 ค้นพบพลัง
ตอนที่ 11 หมอชรา
ตอนที่ 12 สับสน
ตอนที่ 13 รวมพล
ตอนที่ 14 ศัตรูใหม่
ตอนที่ 15 ยาแก้พิษ
ตอนที่ 16 ถ่วงเวลา
ตอนที่ 17 ตัดสินใจ
ตอนที่ 18 ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสอง
ตอนที่ 19 ฟักไข่
ตอนที่ 20 ผ่านประตู
ตอนที่ 21 เชื่อใจ
ตอนที่ 22 เค้าลางของอดีต 100%
ตอนที่ 23 จุดร่วม
ตอนที่ 24เคลื่อนไหว (ครึ่งแรก)
ตอนที่ 24 เคลื่อนไหว (ครึ่งหลัง)
ตอนที่ 25 พิสูจน์(ครึ่งแรก)
ตอนที่ 25 พิสูจน์(ครึ่งหลัง)
ตอนที่ 26 เจรจา (ครึ่งแรก)
ตอนที่ 26 เจรจา (ครึ่งหลัง)
ตอนที่ 27 การพบเจอ 60%
ตอนที่ 27 การพบเจอ 61-100%
ตอนที่ 28 ความรู้สึกกลัว (ครึ่งแรก)
ตอนที่ 28 ความรู้สึกกลัว (ครึ่งหลัง)
ตอนที่ 29 ความเป็นไป
ตอนที่ 30 สู้ และ หนี (ครึ่งแรก)
ตอนที่ 30 สู้ และ หนี (ครึ่งหลัง)
ตอนที่ 31 เปิดฉากฟาดฟัน
ตอนที่ 32 เปิดฉากฟาดฟัน 2 (ครึ่งแรก)
ตอนที่ 32 เปิดฉากฟาดฟัน 2 (ครึ่งหลัง)
ตอนที่ 33 เผชิญความจริง
ตอนที่ 34 เงาร้ายกล้ำกราย
ตอนที่ 35 ท่าไม้ตายสุดท้าย
ตอนที่ 36 ศัตรูตัวฉกาจ
ตอนที่ 37 รุกไล่
ตอนที่ 38 โต้วาที
ตอนที่ 39 ริษยา (ครึ่งแรก)
ตอนที่ 39 ริษยา (ครึ่งหลัง)
ตอนที่ 40 วิกฤติ
ตอนที่ 41 ผู้ยุติสงคราม (ครึ่งแรก)
ตอนที่ 41 ผู้ยุติสงคราม (ครึ่งหลัง)
ตอนที่ 42 ตัวตนที่แท้จริง
ตอนที่ 43 ศรัทธา
ตอนที่ 44 ซาซากิ ฮาจิเมะ


#ตอนพิเศษ
ตอนพิเศษที่ 1 ร่องรอยของความสุข NC18+ (เอจิXยาจิ)

**ยังไม่จบ**
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-08-2018 20:07:38 โดย GreenHead(หัวเขียว) »

ออฟไลน์ GreenHead(หัวเขียว)

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
    • Green Head - หัวเขียว
Intro


“อ้าก!”

‘เพิ่มระดับความรุนแรงอีก 10’

‘เพิ่มระดับ ตอนนี้ความรุนแรงอยู่ที่ 80 ครับ’

“อ้าก!”

‘เพิ่มอีก’

‘แต่ร่างทดลองจะตายเอานะครับ’

‘ไม่เป็นไร สำหรับอาชญากรการเสียสละเพื่อการทดลองนี้ถือเป็นประโยชน์สูงสุดแล้ว เพิ่มอีก!!’

“อ้าก!!”

‘ความแรงระดับ 90 ความดันเลือดพุ่งสูงขึ้น ร่างเกิดการไม่เสถียร ครับ’

‘ดี!! เพิ่มความแรงสูงสุด’

“อ้าก!!”

ตุบ!!

‘ความแรงระดับ 100 ความดันเลือดลดลง เกิดอาการช็อก ทำให้ร่างทดลองเสียชีวิตครับ’

‘พลาดอย่างนั้นเหรอ ชิ...สรุปผลการทดลอง ร่างทดลองหมายเลข 21 เกิดการผิดพลาด การทดลองไม่ประสบผลสำเร็จ’

บทสนทนาของชายร่วม 10 คน ในชุดคลุมสีขาว ที่ยืนห้อมล้อมเครื่องจักรขนาดใหญ่สีดำทะมึน โดยไม่สนใจร่างไร้วิญญาณของชายหนุ่ม ซึ่งมีสายระโยงรยางค์ นอนหลับใหลอยู่ภายในดังขึ้นไม่ขาดสายเพื่อสรุปผลการทดลองครั้งนี้ พวกเขาไม่สนใจร่างทดลองที่ผิดพลาดนี้อีกแล้ว สำหรับพวกเขาร่างนี้ไม่ต่างจากหนูทดลอง

          ..

          ..

          ..

เกิดอะไรขึ้น นี่ผมตายไปแล้วอย่างนั้นสินะ โลกถึงได้หมุนติ้วๆแบบนี้...เวียนหัวชะมัด จะอ้วก!!

อ๊ะ!! ทำไมยังรู้สึกตัวนะ แปลกชะมัด ขา กับ แขนก็ขยับไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็หายทรมานจากการทดลองบ้าๆของนักวิทยาศาสตร์โง่งมพวกนั้นล่ะนะ อยู่ดีๆไม่ชอบ อยากข้ามมิติเวลาซะอย่างนั้น เหอะ!! มันจะเป็นไปได้อย่างไร ถ้าทำได้แล้วมันจะได้อะไรขึ้นมา อยากย้อนกลับไปในอดีต บ้าชัดๆอะไรที่ผ่านมาแล้วจะกลับไปแก้ไขให้มันได้อะไรขึ้นมา สู้ยอมรับชะตากรรม แล้วเดินหน้าต่อมันไม่ดีกว่ารึไงนะ จะฝืนมันไปทำไมกัน...

เอ๊ะ นั่นมันแสงอะไรน่ะ

ดวงไฟดวงหนึ่งกำลังล่องลอยต่อหน้าผม มันห่างออกไปไม่ไกลนัก เป็นดวงไฟสีเหลืองนวล เหมือนกับดวงไฟวิญญาณที่เคยเห็นในหนังผีที่เคยดู ผมมองอยู่นานจนกระทั่ง...

‘มนุษย์ผู้โง่เขลา บังอาจคิดบิดเบือนมิติของเวลา เราจะลงโทษเจ้า! จงยอมรับชะตากรรมอันโหดร้ายยิ่งกว่าที่เจ้าเคยเจอมาซะ! ถ้าจะโทษโชคชะตา ก็จงโทษความละโมบของพวกเจ้าซะเถอะ!’ เมื่อเสียงนั้นจบลง ดวงไฟก็ค่อยๆลอยห่างออกไป ห่างออกไปเรื่อยๆ...

‘ไม่นะ พระเจ้า! คุณคือพระเจ้าสินะ ผมไม่ได้เป็นคนทำ เป็นเพียงผู้ถูกใช้เท่านั้น เฮ้!!ฟังกันก่อนสิ รอเดี๋ยว อย่าเพิ่งหายไป รอก่อนสิ พระเจ้า! โถ่โว้ย! บ้าอะไรวะเนี่ย!’  ดวงไฟนั้นลอยหายไปจนลับตา ผมพยายามที่จะตามไป แต่กลับขยับร่างไม่ได้ดังที่ใจคิด ไม่ทันเสียแล้ว หายไปแล้ว ผมจะทำอย่างไรดี ทั้งๆที่ทิ้งความกลัวไปหมดแล้ว ทำไมนะ ทำไมตอนนี้ผมถึงได้รู้สึกหวาดกลัวต่อสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นมากนัก ทำไม...

          ..

          ..

          ..

เมื่อผมตั้งสติได้ ถึงได้รู้สึกตัวว่า ตอนนี้ตัวผม ไม่มีทั้งแขน ทั้งขา ทั้งร่างกาย เป็นเพียงดวงไฟวิญญาณ ไม่ต่างจากดวงไฟที่ปรากฏออกมา พร้อมพูดประโยคที่โหดร้ายกับผม นี่ผมอยู่ในมิติเวลาแล้วจริงๆสินะ ถึงได้ทำให้พระเจ้าโกรธขนาดนั้น หึ! แต่พวกนักวิทยาศาสตร์บ้านั่นคงไม่รู้หรอกว่าการทดลองสำเร็จ เพราะก่อนจะหมดสติ ผมได้ยินว่าการทดลองล้มเหลวนี่นะ ถ้าพวกนั้นล้มเลิกไปซะคงจะดีไม่น้อย ถึงผมจะคิดเหมือนเป็นคนดี แต่จริงๆผมกับพวกนั้นก็ไม่ต่างกันนักหรอก...

          ..

          ..

          ..

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ วิญญาณของผมได้แต่ล่องลอยอยู่ในห้วงมิตินี้ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงปลายทางที่มีแสงสว่างอยู่ ผมพยายามเร่งให้ตัวเองไปให้ถึงแสงนั้นโดยเร็ว เร็วที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้

          ..

          ..

          ..

และแล้วก็ถึงปลายทาง...สู่โลกที่ช่างแตกต่างจากโลกของเรา โลกที่เหมือนกับนิยายแฟนตาซี...

 

 

To Be Continued...

 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-07-2017 11:17:13 โดย GreenHead(หัวเขียว) »

ออฟไลน์ GreenHead(หัวเขียว)

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
    • Green Head - หัวเขียว
ตอนที่ 1
จุดเริ่มต้น

“แร็ก...แร็กนาร์ ฮึก  แร็กนาร์! แร็กนาร์!” เสียงอะไร

“แร็กนาร์ตื่นสิ! ฮึก ตื่นสิ!  ฟื้นขึ้นมาสิ แร็กนาร์ ฮือออออ” เสียงตื่นตระหนกปนเสียงร้องไห้ ของเด็กชายที่ประคองกอดร่างของเด็กชายตัวเล็กอีกคนหนึ่งอยู่ ในน้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดและห่วงใย

ร่างเล็กในอ้อมกอดค่อยๆลืมตาขึ้นช้าๆ   ภาพแรกที่เห็นคือท้องฟ้าสีประหลาด  การตัดกันระหว่างสีฟ้ากับสีแดงอมส้ม ดวงอาทิตย์กลมโตสองดวง ดวงที่อยู่ในฝั่งของท้องฟ้าสีฟ้าเหมือนดวงอาทิตย์ที่เราเคยเห็นกันบนโลก แต่อีกดวงในท้องฟ้าสีแดงอมส้มนั้นกลับเป็นสีแดงเลือดอันน่าพรั่นพรึง และใบหน้าเคล้าน้ำตาของเด็กชายตัวเล็กอายุน่าจะไม่เกิน 12 ปี ที่กำลังประคองกอดร่างของเขาอยู่

เด็กชายตรงหน้ามีผมสีดำ ดวงตาสีน้ำตาลอ่อน ใบหน้าคมเข้มแต่กลับแลดูใจดี  แม้ในตอนนี้ใบหน้าของคนคนนี้จะเต็มไปด้วยคราบน้ำตา

“แร็กนาร์!   เจ้าฟื้นแล้ว...ฟื้นแล้ว”  เสียงตะโกนดังขึ้น และแผ่วลงกลายเป็นพึมพำ  ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มแห่งความปิติยินดีขึ้น  พร้อมกับโอบกอดร่างของเด็กชายตัวเล็กอีกครั้ง

พรึ่บ

“นายเป็นใคร” เสียงร่างที่โตกว่าเล็กน้อยของเด็กชายที่ประคองกอดร่างเล็กถูกผลักออก  พร้อมกับเสียงถามด้วยความสงสัยของร่างเล็ก

‘หมอนี่เป็นใครวะ?  ร้องไห้แล้วกอดเราทำไมกัน?  แล้วใครชื่อ  “แร็กนาร์”? และที่สำคัญนี่มันภาษาอะไร?  เราจำได้ว่าไม่มีภาษาแบบนี้บนโลกนี่ ที่น่าตกใจที่สุดคือ ทำไมเราฟังออกล่ะ?’

ร่างเล็กได้แต่คิดในใจด้วยความสงสัยในเรื่องต่างๆแต่กลับเอ่ยปากพูดเพียงประโยคสั้นๆแค่นั้น พร้อมกับทำหน้านิ่วคิ้วขมวด ส่งกลับไปยังเด็กชายตรงหน้า

“พูดอะไรของเจ้าแร็กนาร์ ข้าคือ พี่รูร์กัส ของเจ้า ข้าเป็นพี่ชายของเจ้า จำพี่ไม่ได้เหรอ?” คำตอบจากเด็กชายนามว่า รูร์กัส เอ่ยขึ้น  ทำให้ร่างเล็กนึกบางอย่างออก  บางอย่างที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ในความทรงจำอันแสนจะเลือนราง  ความทรงจำที่เขาได้พูดคุยกับดวงไฟวิญญาณดวงหนึ่ง

นึกได้ดังนั้นเขาก็เริ่มสำรวจตัวเอง   อย่างแรกยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาดู ปรากฏมือเล็กๆทั้งสองข้าง ทั้งขา ทั้งเท้า ทั้งลำตัวดูเล็กไปหมด หัวใจของเขาเต้นระรัว แข่งกับเสียงน้ำที่ไหลอยู่ไม่ไกล เขาตัดสินใจลุกวิ่งไปทางที่ได้ยินเสียงน้ำไหลทันที โดยไม่สนใจเสียงเรียกของรูร์กัสแม้แต่น้อย

เด็กชายร่างเล็กวิ่งไปได้ซักพักก็เจอกับลำธารกลางป่า ที่มีน้ำใสสะอาด ไม่รอช้าร่างเล็กวิ่งไปนั่งข้างลำธารพร้อมชะโงกดูภาพของตนที่สะท้อนในน้ำ

หัวใจแทบหยุดเต้นกับภาพที่สะท้อนอยู่   ในน้ำปรากฏร่างของเด็กชายตัวเล็ก อายุประมาณ 8 ปี ใบหน้าขาวซีด  ดวงตารีเล็กสีดำสนิทที่แสดงถึงความลึกลับและมืดมน ไม่เข้ากับใบหน้าที่น่ารักนี้เอาเสียเลย   แต่ผมสีดำตรงกลางมีสีแดงตรงปลายนั่น ช่วยขับให้มันเข้ากันอย่างลงตัว

หลังจากที่นั่งผ่อนคลายจนหัวใจที่เต้นระรัวกลับเป็นปกติ ก็นั่งพิจารณาสถานการณ์ตรงหน้า ภาพบางอย่างก็ปรากฏขึ้นในหัว มันรวดเร็ว และคลุมเครือ แต่เป็นความทรงจำที่หดหู่ใจระคนสงสารของเด็กชายตัวเล็กเจ้าของร่างกายนี้

ตั้งแต่จำความได้ก็ถูกพ่อของตนทุบตี ด่าทอสารพัด และถูกพี่ชายคนรองกลั่นแกล้ง บางวันต้องทำงานจนหมดสติ บางวันได้กินอาหารบูด บางวันก็ไม่ได้กินข้าวเลย ถูกเลี้ยงไม่ต่างจากทาสที่ต้องคอยรับอารมณ์  และก้มหน้าก้มตาทำงานตามที่สั่ง สิ่งเดียวที่ช่วยเยียวยาจิตใจ คือพี่ชายคนโต ซึ่งคอยช่วยเหลือตนจนต้องเดือดร้อนหลายต่อหลายครั้ง พี่ชายคนนี้คือ รูร์กัส คูฟฟ์  คนที่อยู่กับเขาก่อนหน้านี้ และตัวของร่างเล็กนี้ เป็นลูกชายคนเล็กชื่อ แร็กนาร์  คูฟฟ์

ชีวิตของทั้งสองวนเวียนอยู่ในวัฏจักรวันแล้ววันเล่าจนถึงปัจจุบัน ในความทรงจำที่เลือนรางไม่มีความทรงจำใดๆเกี่ยวกับแม่อยู่ แต่คนที่อยู่ข้างกายของร่างเล็กเสมอมามีเพียงพี่ชายคนนี้เท่านั้นที่ความทรงจำปรากฏชัดเจนที่สุด

‘แล้วสถานการณ์ก่อนหน้านี้คืออะไรกัน ทำไมร่างกายมีแต่บาดแผล แล้วทำไมเจ้าของร่างนี้ถึงตายกันนะ’

เหมือนความคิดนี้ไปกระตุ้นความทรงจำในร่างกาย ทำให้ความทรงจำก่อนที่เจ้าของร่างกายนี้จะสิ้นลมหายใจปรากฏขึ้น

..

..

..

3 วันก่อน

วันนั้นในเวลาที่ดวงอาทิตย์ยังไม่โผล่พ้นขอบฟ้า  แร็กนาร์ เด็กชายร่างเล็กวัย 8 ปี  ตื่นขึ้นมาหาบน้ำ   และผ่าฟืน อันเป็นงานที่ร่างเล็กต้องทำทุกเช้า  เพราะถ้าทำงานทั้งสองอย่างนี้ไม่เสร็จ ก็จะไม่มีอาหารให้เขากิน

ร่างเล็กจัดแจงแขวนถัง  2 ใบ ใส่ไม้หาบแล้วยกขึ้นพาดบนบ่าอันบอบบาง เดินมุ่งหน้าไปที่ลำธารซึ่งมีระยะทางไม่ไกลมากนัก ประมาณ  1 กิโลเมตรเห็นจะได้  พอไปถึงลำธารก็ตักน้ำ  หาบเดินกลับมาเทน้ำใส่ถังใบใหญ่ทำอยู่เช่นนั้นจนน้ำเต็มถัง  พอดีกับที่ดวงอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้า แร็กนาร์จึงเข้าไปในห้องเก็บฟืน ที่ใช้ซุกหัวนอนมาหลายปี หอบฟืนสำหรับใช้วันนี้ออกมายังด้านหน้า แล้วใช้ขวานอันใหญ่ที่แสนหนักผ่าครึ่งฟืนที่หอบมา ครั้งแล้วครั้งเล่าจนเสร็จงาน นั่งพักเพียงชั่วครู่ก็เดินเข้าไปหยิบเสื้อผ้า เดินมุ่งหน้าไปที่ลำธารอีกครั้ง  เพราะเขาต้องไปอาบน้ำหลังทำงานเสร็จจะได้กลับมากินข้าว ส่วนน้ำที่หาบมานั้นสำหรับพ่อ และพี่ๆเท่านั้น

ครอบครัวของแร็กนาร์มีทั้งหมด 4 คน ประกอบด้วย  พ่อ  พี่ชายคนโตรูร์กัส อายุ 12 ปี คนรองรูซ อายุ 11 ปี และเขาเป็นลูกคนเล็กของบ้าน อายุ 8 ปี   ทั้งพ่อ พี่รูร์กัส และพี่รูซ ต่างมีตาสีน้ำตาล และผมสีดำสนิททั้งหัว ต่างจากเขาอย่างสิ้นเชิง พี่รูซเคยเรียกเขาว่า “พวกลูกครึ่ง” ซึ่งร่างเล็กไม่เข้าใจ  ถามพี่รูร์กัสก็ได้คำตอบกลับมาว่า “เมื่อถึงเวลา พี่จะบอกเจ้าเอง” จึงได้แต่เก็บความสงสัยนี้ไว้ในใจรอให้ถึงเวลาเท่านั้น

พี่รูซชอบแกล้ง  ชอบด่าทอ และชอบมองด้วยสายตาแห่งความเกลียดชังเช่นเดียวกับท่านพ่อ และบอกว่าเขาไม่ใช่น้องชายของตน  ต่างจากพี่รูร์กัส ที่มองร่างเล็กด้วยความรัก คอยดูแล และช่วยเหลือเสมอ ในวันที่พี่รูซบอกว่าเขาไม่ใช่น้อง ไม่ใช่คนในครอบครัว พี่รูร์กัสก็บอกกับเขาว่า “ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แร็กนาร์จะยังเป็นน้องของพี่เสมอ” นั่นเป็นคำพูดที่เยียวยาจิตใจของร่างเล็กเสมอมา

หลังจากอาบน้ำเสร็จก็กลับมานั่งรอที่ห้องเก็บฟืน  รอให้พ่อและพี่ๆกินเสร็จ อาหารที่เหลืออยู่ก็จะมีคนยกมาให้ แร็กนาร์อยากให้คนที่ยกมาเป็นพี่รูร์กัส เพราะวันใดที่พี่รูร์กัสเป็นคนยกมา  จะเป็นวันที่เขาได้กินของดีๆ ซึ่งพี่รูร์กัสเป็นคนแอบเก็บแยกไว้ให้ ไม่ใช่ของที่กินเหลือทิ้ง

ร่างเล็กนั่งอยู่อย่างนั้นสักพัก ก็รู้สึกแน่นที่หน้าอก ทำให้หายใจไม่ออก รู้สึกทรมานแต่ก็พยายามฝืนลุกขึ้น แล้วเดินเข้าไปในบ้าน เพื่อขอความช่วยเหลือจากพี่รูร์กัส

บ้านที่เขาอาศัยอยู่เป็นบ้านสร้างจากปูน มีขนาดไม่เล็กมาก หรือใหญ่จนเกินไป มีขนาดกลาง เป็นบ้านสองชั้น ด้านล่างเป็นห้องโล่ง มีห้องแยกเป็นห้องครัว และห้องหนังสือ ด้านบนเป็นห้องนอนของคนในบ้าน ร่างเล็กจำสภาพในบ้านได้ไม่มากนัก ล่าสุดที่เข้ามาคือ เมื่อ 3 ปีก่อน ซึ่งพี่รูร์กัสแอบพาเขาเข้าไปบนห้องเพื่อทำแผล ที่ต้องแอบเข้ามานั้น เพราะพ่อสั่งห้ามไม่ให้เขาเข้ามาเหยียบในบ้านของตน

แร็กนาร์ค่อยๆเดินเกาะผนังไปที่ห้องสำหรับทานอาหาร แต่ก็พบเพียงความว่างเปล่า ในห้องมีเพียงอาหารวางอยู่เท่านั้น ด้วยความทรมาน จึงตัดสินใจที่จะเสี่ยงเดินขึ้นไปบนชั้นสองของบ้าน ถึงจะจำห้องของพี่รูร์กัสไม่ได้ ก็ต้องขึ้นไปดูเท่านั้น

มือเล็กพยุงตัวเกาะราวบันไดจนขึ้นมาถึงชั้นสอง แล้วมองห้องที่เรียงกัน 4 ห้อง จากนั้นก็เลือกห้องจากความคุ้นเคย เลือกห้องแรกที่ติดกับบันได มือที่สั่นระริกค่อยๆเปิดประตูเข้าไปในห้อง ในห้องว่างเปล่า แต่สิ่งที่สะดุดตา  เผลอไผลจนลืมอาการที่เป็นอยู่ คือ ภาพวาดผืนใหญ่ที่ติดอยู่บนผนังห้อง

ในภาพเป็นรูปของพ่อของตน และผู้หญิงแสนสวย ราวกับนางฟ้านางสวรรค์ที่เขาเคยอ่านในหนังสือ ผู้หญิงในภาพนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวใหญ่โดยมีพ่อของตนกอดจากด้านหลัง พ่อกำลังยิ้มอย่างมีความสุข เป็นรอยยิ้มที่เขาไม่เคยเห็น ที่มุมล่างฝั่งขวาของภาพมีตัวอักษรเขียนไว้ว่า ‘ด้วยรัก รูเฟรียส&ริเรน่า’ ผู้หญิงในภาพมีดวงตาสีน้ำตาลอ่อน และผมสีน้ำตาลเข้มทั้งหัว ไม่ต่างจากพ่อของเขามากนัก

แร็กนาร์ได้แต่คิดว่า ถ้าผู้หญิงในรูปคือแม่ของตน แล้วทำไมเขาถึงต่างจากคนอื่นๆ มันอาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้พ่อ และพี่รูซรังเกียจเขาก็เป็นได้

ในขณะที่คิด ร่างกายของเขาเหมือนต้องมนต์ จนใช้มือลูบไล้ภาพวาดด้วยความโหยหา

“ท่านแม่ท่านจะรังเกียจข้าเหมือนท่านพ่อกับพี่รูซ  หรือจะใจดีเหมือนพี่รูร์กัสกันนะ”คำถามที่ไร้คำตอบหลุดออกจากปากบาง แล้วก็เงียบไป ทำเพียงลูบไล้ และจ้องมองผู้หญิงในภาพเท่านั้น

ปึ้ง!

ประตูถูกเปิดออกเสียงดัง ด้วยมือของผู้ชายตัวใหญ่  ซึ่งมีใบหน้าเดียวกับชายในรูปวาด ใช่แล้วพ่อของแร็กนาร์เปิดประตูเข้ามาด้านในด้วยใบหน้าบิดเบี้ยวของคนโกรธจัด

“แกทำอะไรไอ้ปีศาจ!” เสียงตะคอกดังลั่นจนร่างเล็กสะดุ้งเฮือก จ้องมองพ่อของตนด้วยความหวาดกลัว

“แกกล้าดียังไง เอามือสกปรกๆนั่นมาแตะต้องริเรน่าของข้าฮะ!!” พูดจบก็เดินเข้ามาหาร่างเล็กด้วยความโกรธเกรี้ยว

“ขะ...ขอโทษ ฮึก! ท่านพ่อ ฮึก!ข้าขอโทษ” เสียงของแร็กนาร์ที่สะอื้นไห้ด้วยความหวาดกลัวดังขึ้นอย่างตะกุกตะกัก แล้วค่อยๆเดินถอยหลังจนชนเข้ากับภาพวาดนั้น มันยิ่งเป็นการเพิ่มความโกรธให้กับชายตรงหน้า

“แก!บังอาจนัก แกต้องตาย!”

ผลั่วะ

“โอ๊ย!!” ด้วยความโกรธที่เพิ่มเท่าทวีคูณ พ่อใช้มือตบไปที่ใบหน้าของเขาจนขึ้นรอยช้ำ เซล้มลงตามแรงเหวี่ยงจนทรุดลงไปกับ
พื้น

“มานี่!” คนเป็นพ่อฉุดกระชากลากถูร่างเล็กออกจากห้อง เพราะไม่ทันตั้งตัวจึงถูกลากไปกับพื้น กระทั่งตรงบันไดก็ถูกลากลงไปอย่างไร้ความปราณี

“ท่านพ่อ ฮึก...เจ็บ ข้าเจ็บ...ได้โปรดหยุด ฮือออ” เสียงร่ำไห้และขอร้องด้วยความเจ็บปวดของร่างเล็กยังมีต่อไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด แต่คนเป็นพ่อไม่คิดจะรับฟัง ไร้ซึ่งความเห็นใจใดๆในใจมีแต่ความขุ่นมัว ยังคงลากร่างของเด็กชายวัย 8 ปี ไปตามเส้นทางที่เป็นจุดหมาย

บนทางเดินที่มีทั้งก้อนกรวดเล็กใหญ่ ทั้งกิ่งไม้สารพัด  ทำให้รอยขีดขวนตามร่างกายเล็กเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆเสียงร้องไห้เองก็ยิ่งดังขึ้น เสียงอ้อนวอนขาดๆหายๆยังดำเนินต่อไป

..

..

..

แร็กนาร์ได้ยินเสียงตะโกนตามหลังมา เสียงของพี่รูร์กัสที่แสนใจดี พยายามตะโกนขอให้พ่อของเขาหยุดลากน้อง

“ท่านพ่อ! หยุดเถอะ ข้าขอร้องน้องยังเด็กไม่รู้สิ่งใดควรไม่ควร ได้โปรดหยุดความโกรธของท่านก่อนเถอะ” เสียงของพี่ชายที่วิ่งตามมาหลังจากได้ยินเสียงน้องร้องไห้ดังขึ้น แต่คนเป็นพ่อไม่เพียงไม่ตอบกลับ ยังคงลากร่างของเขาเดินต่อไป

สองพี่น้องขอร้องอ้อนวอนจนเสียงแหบแห้ง พ่อก็ยังไม่หยุด ยิ่งทวีความโกรธ ลากร่างเล็กให้เร็วขึ้นตามอารมณ์โกรธที่พุ่งขึ้นสูง
ร่างกายของแร็กนาร์ที่เสียดสีกับพื้นถนนยิ่งเจ็บปวดทรมานมากขึ้น  เลือดที่ไหลซึมออกมาก็เปรอะเปื้อนตามทางที่ถูกลากผ่าน เห็นแล้วยิ่งรู้สึกสงสาร และหดหู่ใจเกินจะบรรยาย

รูร์กัสรู้สึกสงสารน้องจับใจ จึงตัดสินใจวิ่งสุดแรงเกิดเพื่อมาดึงแขนของพ่อที่จับน้องไว้

“หยุดเถอะท่านพ่อ ข้าขอร้อง ฮึก...” คำขอร้องทั้งน้ำตาของลูกชายคนโตทำให้คนเป็นพ่อชะงักไปชั่วครู่ แต่แล้วก็ใช้มือข้างที่ว่างอยู่จับคอเสื้อของลูกชายคนโตดึงเข้ามาเผชิญหน้ากับตน

“แกคิดว่าที่พ่อทำมันผิดอย่างนั้นเรอะ! มันสมควรได้รับการลงโทษ มันสมควรตาย พ่อใจเย็นมามากพอแล้ว หลีกไป!!” ด้วยความคิดที่ว่าลูกชายคนโตเข้าข้างร่างเล็ก และแสดงความเห็นใจให้กับร่างเล็ก  ผู้เป็นพ่อจึงยิ่งโกรธจัดขึ้นไปอีก ตะคอกจบก็เหวี่ยงรูร์กัส จนถลาล้มลงไปกับพื้นโดยไม่ทันตั้งตัว

“โอ๊ย!”

“พี่รูร์กัส! ฮือออออออออ” แร็กนาร์ตะโกนเรียกอย่างตกใจจนลืมความเจ็บปวดของตน เมื่อแขนของพี่ชายมีเลือดไหลออกมา เพราะรูร์กัสบังเอิญล้มลงไปทับก้อนกรวดที่มีขนาดใหญ่และแหลม

เมื่อทั้งคู่หยุดชะงักกับเหตุการณ์ตรงหน้า  พ่อก็ลากร่างกายเล็กอันอ่อนปวกเปียกเดินต่อโดยไม่สนใจสิ่งใด  เสียงร้องของเด็กทั้งคู่เองก็ยังคงดังอยู่เรื่อยๆ รูร์กัสลุกขึ้นวิ่งตามพ่อกับน้องไปแม้เลือดไม่หยุดไหลเขาก็ไม่สนใจ แร็กนาร์เองก็เลิกอ้อนวอนพ่อของตน แต่ร้องขอให้รูร์กัสหยุดแทน ยิ่งเห็นเลือดของพี่ชายเขายิ่งเป็นห่วง เพราะตัวเขาเองต่อให้อ้อนวอนจนเสียงแหบแห้งพ่อก็คงไม่หยุดอารมณ์โกรธเกรี้ยวนี้ลงง่ายๆเป็นแน่

..

..

..

สิ่งที่เผยด้านหน้าของรูร์กัสคือ หน้าผาสูงชัน ซึ่งข้างล่างเป็นธารน้ำไหลเชี่ยวกราดจนน่าหวาดกลัว ห่างไปไม่ไกลก็เป็นน้ำตกที่ไหลลงสู่ด้านล่าง  ใครตกลงไปต้องไม่รอดเป็นแน่...

ซ่าๆๆ

เสียงน้ำไหลกระทบกับโขดหินดังขึ้นมาให้ทั้ง 3  คน  ได้ยิน  หัวใจของเด็กทั้งสองแทบหยุดเต้น เมื่อคาดการณ์ได้ว่าพ่อของตนจะทำสิ่งใด

รูร์กัสกัดฟันวิ่งสุดแรงเกิดอีกครั้ง วิ่งมาขวางหน้าพ่อของเขาไว้   รูร์กัสหันเผชิญหน้ากับพ่ออีกครั้ง พร้อมกางแขนออกเป็นการขวางพ่อของตนเอาไว้ 

พ่อ และลูกชายวัย 12 ปี กำลังยืนจ้องหน้ากันอย่างแน่วแน่ ไม่มีใครถอยจากสิ่งที่ตนเชื่อ และตัดสินใจทำลงไป แต่แล้วคนเป็นพ่อก็ค่อยๆหลับตาลงเพื่อระงับโทสะ   พร้อมปล่อยมือจากของลูกชายคนเล็ก  จนร่างนั้นทรุดนอนลงไปนอนร้องไห้กับพื้นด้วยความเจ็บปวดตามร่างกาย หมดแรงจากการร้องไห้และอ้อนวอนพ่อกับพี่ชาย

ผ่านไปเพียงชั่วครู่ พ่อก็ลืมตาขึ้นด้วยใบหน้าเรียบเฉย  ไม่บิดเบี้ยวด้วยความโกรธเหมือนก่อนหน้านี้  ทำให้รูร์กัสผ่อนคลายลง เขาคิดว่าพ่อของตนคงหยุดแล้ว  จากนั้นพ่อก็เดินเข้าไปหารูร์กัสอย่างช้าๆขณะเดินก็มองหน้าลูกชายด้วยใบหน้าเรียบเฉยปราศจากอารมณ์ใดๆ  ลูกชายทั้งสองมองการกระทำของพ่อด้วยความคาดหวัง

พ่อเดินเข้าไปหยุดอยู่ตรงหน้ารูร์กัส ริมฝีปากคลี่ยิ้มออกมาน้อยๆแล้วรั้งร่างของรูร์กัสเข้ามากอด เมื่อถูกพ่อโอบกอดรูร์กัสก็คลายกังวล จิตใจเต็มไปด้วยความปิติยินดีเมื่อพ่อเลิกคิดจะทำเรื่องเลวร้ายกับร่างเล็กของน้องชาย เขายกมือขึ้นมากอดตอบพ่อของตน ริมฝีปากเองก็คลี่ยิ้มออกมาอย่างดีใจ

“ท่านพ่อ  ฮึก! ขอบคุณที่ท่านยอมฟังข้า” รูร์กัสเอ่ยด้วยความรู้สึกขอบคุณจากใจ แร็กนาร์เองก็ดีใจไม่แพ้กัน  ถึงจะยังไม่คลายสะอื้นแต่ก็ระบายยิ้มน้อยๆออกมาด้วยความยินดี

ปึก!!

รอยยิ้มของแร็กนาร์หยุดชะงักลงเพราะความตกใจ เมื่อพ่อใช้สันมือฟันลงบนต้นคอของพี่รูร์กัสจนสลบ แล้วคลายอ้อมกอดปล่อยให้ร่างนั้นทรุดลงไปกองอยู่บนพื้น   จากนั้นหันมายิ้มอย่างเยือกเย็นสร้างความพรั่นพรึงให้กับร่างเล็กอย่างหาที่สุดไม่ได้

“ทะ...ท่านพ่อ  ท่านทำแบบนั้นทำไม   ฮึก พี่รูร์กัสเป็นอะไร ฮึก  พี่...พี่รูร์กัส!!”  ร่างเล็กส่งเสียงถามออกมาแม้ใจจะเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เพราะใจของเขาห่วงพี่ชายอันเป็นที่รักมากกว่าชีวิตของตนเองเสียอีก

“หึ  รูร์กัสไม่ตายหรอก แค่สลบไปเท่านั้น...แต่คนที่จะตายคือแก!!” เสียงหัวเราะในลำคอและน้ำเสียงที่เย็นยะเยือกจับขั้วหัวใจเอ่ยขึ้น ก่อนเอ่ยประโยคสุดท้ายด้วยเสียงดังลั่น  ใบหน้าแห่งความโกรธเกรี้ยวเผยขึ้นมาอีกครั้ง สองขาเดินเข้าหาร่างเล็กที่นอนหมดแรงอยู่บนพื้น

ความรู้สึกหวาดกลัวเกาะกุมหัวใจของเขาอีกครั้ง แร็กนาร์พยายามตะเกียกตะกายหนีคนตรงหน้าตามสัญชาตญาณ  ไม่เอ่ยเสียงใดอ้อนวอนมีเพียงเสียงสะอื้นไห้แทบขาดใจเปล่งออกมาเท่านั้น

“คิดว่าแกจะหนีพ้นรึไง หะ! ไอ้สัตว์ประหลาด ไอ้ปีศาจ แกพรากริเรน่าไปจากข้า เพราะแก  เพราะแก!  เพราะแก!!  แล้วยังกล้าเอามือสกปรกๆนั่นมาสัมผัสเธออีก   มืออันน่ารังเกียจ  ร่างกายที่น่าขยะแขยงนั่นอีก!   แกแกแกแกแกแก!!  แกไม่สมควรเกิดมาบนโลกใบนี้ด้วยซ้ำ...แกต้องตายตายตายตายตายตาย ฮ่าๆๆๆๆๆ”

เสียงหัวเราะอย่างคนเสียสติดังก้องไปทั่วบริเวณแข่งกับเสียงน้ำที่ซัดสาดโขดหินอยู่เบื้องล่วงที่ดูท่าว่าจะไม่หยุดลงง่ายๆ
ร่างเล็กของเด็กชายวัย  8  ปี   บอบช้ำทั้งร่างกายและจิตใจแทบไม่เหลือชิ้นดี ครั้งนี้มันรุนแรงกว่าทุกครั้งที่เขาเคยเจอมา  ร่างกายของเขามีแต่ก้อนกรวดเล็กๆฝังเข้าไปในเนื้อ ทั้งบาดแผลที่ถลอกตามร่างกายบริเวณที่ครูดไปกับพื้นขณะถูกลาก  ยิ่งคำพูดที่ทำร้ายจิตใจนั่น  ทำให้แร็กนาร์เฝ้าถามย้ำกับตัวเองว่า

‘เขาไม่ควรเกิดมาจริงหรือ’

แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังดิ้นรนที่จะมีชีวิตอยู่ต่อ   ร่างเล็กใช้มือตะเกียกตะกายตามพื้นขยับเอี้ยวตัวไปด้านข้าง ขยับจนร่างกายหันไปอีกฝั่งเพื่อหนีจากผู้เป็นพ่อ จากนั้นก็ค่อยๆใช้นิ้วจิกลงไปบนพื้นดินเพื่อดึงตัว  และใช้เท้าถีบไปที่พื้นเพื่อดันตัวไปข้างหน้า หมดทางร้องขอชีวิตมีแต่ต้องดิ้นรนเท่านั้น ต่อให้เป็นการกระทำที่เปล่าประโยชน์ก็ยังพยายามต่อไป

คนเป็นพ่อหยุดเสียงหัวเราะที่ดังก้องลง คงไว้แต่เสียงหัวเราะเบาๆในลำคอเท่านั้น  พร้อมจ้องมองร่างเล็กที่พยายามตะเกียกตะกายหนีอย่างสุดชีวิต  เผยรอยยิ้มแห่งความเย้ยหยันบนใบหน้า เขากำลังจะแก้แค้นให้หญิงอันเป็นที่รัก ใช่เขาทำถูกต้องแล้ว เขาให้มันมีชีวิตอยู่นานเกินไปแล้ว 8ปี ที่เขาทำตามคำขอของคนรักยอมให้มันมีชีวิตอยู่  มันมากเกินพอแล้วได้เวลาที่เขาจะลงโทษมันอย่างสาสมกับสิ่งที่มันทำกับริเรน่า แค่โยนลงจากหน้าผาก็ถือว่าเขาใจดีมากแล้วที่เลือกวิธีที่โหดร้ายน้อยที่สุด

“ฮึก...ฮึก...ฮืออออ...ฮือ...ฮึก!”  เสียงสะอื้นไห้ยังดังต่อไป อีกคนก็เดินเข้าหาช้าๆอย่างใจเย็น เพื่อชมการดิ้นรนของร่างเล็ก  เหมือนว่าภาพที่เด็กน้อยตะเกียกตะกายอยู่นี้  เป็นภาพที่แสนน่าชื่นชม อันเป็นภาพที่เขาจะทำลายมันลงอย่างช้าๆด้วยความหรรษา

เสียงหัวเราะและเสียงร้องไห้ที่สอดประสานกันประหนึ่งการบรรเลงดนตรีที่แสนน่าหวาดหวั่น  ภายใต้ท้องฟ้า  2 สี  ช่างเป็นภาพที่งดงามจนน่าตกใจ

ฟึ่บ!

“ไม่...ฮึก ฮึก   ฮือออ  ท่านพ่อ...ท่านพ่อ ไม่นะ  ไม่!!!!”

“หึ  หึ หึ  มานี่!” มือหนาของคนเป็นพ่อกระชากลากถูร่างเล็กไปกับพื้นอีกครั้ง  แต่ครั้งนี้ต่างจากครั้งก่อนคือ ใบหน้าของพ่อปรากฏรอยยิ้มแห่งความดีใจ เพราะได้ทำในสิ่งที่ตนปรารถนา ไม่ใช่ใบหน้าโกรธขึงที่พร้อมจะอาละวาดเหมือนก่อนหน้านี้ แต่สำหรับเขาแล้วการที่พ่อโกรธคงจะดีซะกว่า

“ฮึก ฮึก...ทะ...ท่านพ่อ ปล่อย หะ...หายใจไม่ออก  ฮึก!” มือหนาเพียงข้างเดียวบีบลำคอของเขายกขึ้นแล้วยื่นออกไปตรงหน้าผา คนตัวเล็กกลัวจนหัวใจแทบจะหยุดเต้น

ทิวทัศน์สุดท้ายที่แร็กนาร์ได้เห็นคือ   หน้าผาสูงชันที่มีลมพัดเย็นสบายเพราะไอของธารน้ำด้านล่าง  เสียงน้ำไหลเชี่ยวที่กระทบกับโขดหินบริเวณชายฝั่ง แล้วไหลไปรวมกันยังน้ำตกสูงที่ไหลลงสู่เบื้องล่าง และ...รอยยิ้มแห่งความปิติของคนที่ได้ชื่อว่า ‘พ่อ’
ร่างเล็กสั่นเทาด้วยความกลัว  มือบางพยายามเกาะมือและแขนของพ่อไว้เพราะกลัวตกลงไป เสียงร่ำร้องอ้อนวอนเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เสียงที่เปล่งออกมากลับกระท่อนกระแท่น เพราะเขากำลังจะขาดอากาศหายใจ

เมื่อเชยชมวาระสุดท้ายของร่างเล็กจนพอใจ คนเป็นพ่อก็ปล่อยมือจากคอของเขา แล้วยืนมองร่างที่ตกลงไปด้านล่างด้วยความปิติยินดีเมื่อเขาได้ทำสิ่งที่ควรทำลุล่วงแล้ว

“ม่าย!!!!!!!” ร่างเล็กตะโกนสุดเสียงด้วยความกลัว

ตู้ม!

เมื่อร่างกายสัมผัสกับผิวน้ำ น้ำก็กระจายเป็นวงกว้างเสียงดังสนั่นมาถึงด้านบน

“ฮ่าๆๆๆๆเห็นหรือไม่ ริเรน่า ข้าแก้แค้นให้เจ้าสำเร็จแล้ว ฮ่าๆๆๆๆๆ” เสียงระเบิดหัวเราะดังขึ้นอีกครั้ง หลังจากได้ยินเสียงน้ำดังขึ้นมาจากเบื้องล่าง

และนั่นคือเสียงสุดท้ายก่อนที่ร่างเล็กจะหมดลมหายใจ...


..

..

..

ความทรงจำวาระสุดท้ายที่หวนคืนมาในหัวกระทบทั้งร่างกาย และวิญญาณดวงใหม่ในร่างนี้ ร่างเล็กนั่งคุกเข่าแล้วแหงนหน้าขึ้นฟ้าหลับตาเอาไว้ เสียงสะอื้นไห้จากเหตุการณ์นั้นหวนมาอีกครั้ง เป็นการบ่งบอกว่าจิตใจของทั้งสองเชื่อมต่อถึงกันผ่านร่างกายนี้ แม้วิญญาณของเจ้าของร่างกายจะจากไปแล้วก็ตาม

“ฮึก...ฮือออออ!”

เขาร้องไห้อยู่อย่างนั้นสักพักก็ปรับอารมณ์ แล้วเรียบเรียงเหตุการณ์ เขาเป็นนักฆ่าวัย 30 ปี ผู้ซึ่งสังหารผู้คนได้อย่างเลือดเย็น กลับต้องมาอยู่ในร่างของเด็กชายที่อายุเพียง 8 ปี อารมณ์ ความรู้สึก และความทรงจำของเด็กชายตัวน้อยค่อยๆหลอมรวมกับวิญญาณของเขา ถึงแม้ตอนนี้จะยังชัดเจนแค่ภาพฉากสุดท้าย  ไม่นานความทรงจำทั้งหมดต้องฉายขึ้นมาอีกเป็นแน่

ถึงแม้สมองจะคิดเรื่องอื่นแล้ว แต่ร่างกายกลับไม่ยอมฟังคำสั่ง   ทำได้เพียงสะอื้นและร้องไห้อยู่อย่างนั้น คงต้องรอไปก่อนซักพัก เขาคงควบคุมร่างกายนี้ได้

ตัวของเขาเองทำใจยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว เพราะไม่ว่าอย่างไรชีวิตของเขามันก็ไม่แน่นอนตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว ลองใช้ชีวิตในฐานะ ‘แร็กนาร์ คูฟฟ์’ ดูสักครั้ง  อาจมีเรื่องน่าตื่นเต้นรออยู่ก็เป็นได้

ชีวิตใหม่ที่ได้รับมา เขาขอรับไว้ด้วยความเต็มใจ และจะตอบแทนร่างนี้อย่างเต็มที่แน่นอน...



To Be Continued...

___________________________________________________________
*รีไรท์ 30/7/60*
ลงตอนที่ 1 แล้ว

อ่านแล้งรู้สึกยังไง ฝากติชมกันด้วยนะคะ

ฝากตัวด้วยค่าาา :impress2:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-07-2017 05:24:32 โดย GreenHead(หัวเขียว) »

ออฟไลน์ GreenHead(หัวเขียว)

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
    • Green Head - หัวเขียว
ตอนที่ 2
เรียนรู้


        สวบ สวบ สวบ...

        เสียงเดินจากเดินจากด้านหลังเรียกความสนใจของแร็กนาร์จากภวังค์ความคิดเมื่อครู่ให้หันหลังมองทางต้นเสียงที่อยู่ไม่ไกลนัก คงเพราะความสามารถของนักฆ่าทีสั่งสมมาทำให้หูของเขาดีกว่าคนทั่วไป มองอยู่อย่างนั้นสักพักรูร์กัสก็เดินออกมาจากพุ่มไม้ที่อยู่ห่างออกไปเล็กน้อย

        รูร์กัสสบตากับแร็กนาร์เพียงชั่วครู่ก็คลายสีหน้าวิตกกังวลลง แล้วรีบวิ่งเข้ามาหาแร็กนาร์ที่มองเขาด้วยใบหน้าเปื้อนน้ำตา และยังไม่คลายสะอื้น กอดปลอบร่างเล็กของแร็กนาร์อีกครั้ง ร่างที่โตกว่าเล็กน้อยกระชับกอดร่างเล็กตรงหน้าให้แน่นขึ้น ไม่เอ่ยคำพูดใดๆออกมา ทำเพียงใช้ไออุ่นของร่างกายกอดปลอบโยนร่างเล็กของน้องชายอันเป็นที่รัก

        “ขอโทษ” คำพูดขอโทษที่เอ่ยออกมาด้วยความรู้สึกผิดในใจที่เขาไม่สามารถช่วยเหลือแร็กนาร์ไว้ได้เอ่ยขั้นหลังจากที่ร่างเล็กในอ้อมกอดคลายสะอื้น และหยุดร้องให้ รูร์กัสหลับตารอถ้อยคำต่อว่าจากร่างเล็ก เขารู้สึกผิดและสมเพชตัวเองที่ไร้ซึ่งพลังไม่สามารถปกป้องคนสำคัญของเขาไว้ได้ ไม่ว่าร่างเล็กจะโกรธ จะเกลียด จะด่าทอเขาอย่างไร เขาก็จะยินดียอมรับมันด้วยความเต็มใจ ขอเพียงอย่าได้เหมือนเหตุการณ์เมื่อครู่ ที่แร็กนาร์ทำเหมือนจำเขาไม่ได้ เขาไม่สามารถทำใจได้จริงๆถ้าเป็นแบบนั้น

         “รูร์กัส...พะ พี่รูร์กัส ปล่อยข้าก่อน” แร็กนาร์เผลอเรียกเพียงแค่ชื่อของรูร์กัส ก่อนนึกขึ้นได้ว่าตอนนี้ตนอยู่ในสถานะน้องชายของคนเด็กชายตรงหน้า เพราะถ้านับอายุจริงๆของร่างเดิม เขาอายุ 30 ปีแล้ว เด็กชายวัย 12 ปี เปรียบเหมือนลูกหลานของเขาเท่านั้นเอง ถึงจะกระดากปากไม่น้อยที่ต้องเรียกเด็กว่า พี่ แต่ในสถานะของเขาตอนนี้ คงมีทางเลือกให้ไม่มากนัก

         รูร์กัสคลายอ้อมกอดตามที่แร็กนาร์ร้องขอ เขายิ้มอย่างดีใจที่ตอนนี้น้องชายจำเขาได้แล้ว จึงไม่นึกสงสัยสิ่งใด รูร์กัสยกมือทั้งสองข้างเช็ดน้ำตาให้ร่างเล็กตรงหน้าอย่างเบามือ

         “พี่ขอโทษที่ไม่อาจช่วยเจ้าได้ และไม่มีความกล้าพอที่จะกระโดดตามเจ้าลงมา ข้ามันขี้ขลาด!” รูร์กัสเอ่ยคำขอโทษด้วยความรู้สึกผิด และโทษตัวเองอีกครั้ง

          ‘ไม่น่าเชื่อว่า คนที่ได้ชื่อว่านักฆ่าไร้หัวใจอย่างเรา จะอ่อนไหวกับพูดของเด็กตัวเล็กๆนี่ หรือเพราะความรู้สึกที่หลงเหลืออยู่ในร่างนี้กันนะ ในความทรงจำที่เหลืออยู่โลกของแร็กนาร์มีแค่พี่ชายอยู่เท่านั้น รูร์กัสคอยช่วยเหลือ คอยดูแลห่วงใย แม้บางครั้งต้องถูกลงโทษไปด้วยก็ไม่เคยปริปากเอ่ยโทษอะไรเลย ยังคอยช่วยเหลือแร็กนาร์แบบนี้ตั้งแต่จำความได้

         ทั้งๆที่ทิ้งหัวใจไปแล้ว ทั้งๆที่คิดว่าไม่สามารถเชื่อใจใครได้อีกแล้วแท้ๆ ทั้งๆที่เพราะถูกหักหลังถึงได้ทิ้งความฝันมาเป็นนักฆ่า ทั้งๆที่เพราะถูกหักหลังถึงได้ถูกรัฐบาลจับไปเป็นหนูทดลอง โดนหักหลังมาแล้วถึงสองครั้ง แต่ทำไมกัน เพียงแค่เด็กคนนี้ถึงได้มีความคิดที่ว่า จะถูกหักหลังครั้งที่สามก็ไม่เป็นไร อยากจะเชื่อใจคนคนนี้ อาจจะเป็นเพราะความทรงจำในร่าง และดวงตาที่มองเราด้วยความบริสุทธิ์ใจนี่สินะ ถึงได้อยากจะลองเชื่อใจใครอีกครั้ง’


        “ไม่ใช่ความผิด...พี่รูร์กัสทำถูกแล้ว” แร็กนาร์ตอบพร้อมระบายรอยยิ้มอ่อนๆส่งไปให้รูร์กัส เพราะเขารู้สึกขอบคุณจริงๆที่รูร์กัสไม่กระโดดหน้าผาตามลงมา  มันคงไม่ต่างจากการฆ่าตัวตาย รูร์กัสก็คงไม่รอดเหมือนเจ้าของร่างนี้ และเขาเองคงจะไม่มีเหตุผลที่จะมีชีวิตอยู่ เขาคงไม่สามารถเชื่อใจใครอีกได้แบบนี้

        ‘ขอสาบานต่อฟ้าดิน ผมจะปกป้องเด็กชายตรงหน้านี้ เพื่อตอบแทนเจ้าของร่างกายนี้ และเพื่อตัวของผมเอง’

   .

   .

   .

        แร็กนาร์ หรือ S.P. (Scelpel) นักฆ่าไร้หัวใจ ผู้เป็นถึงอาชญาการระดับโลก มีนิสัยติดตัวที่แก้ไม่หาย คือ ชอบพูดออกมาสั้นห้วน แต่ในสมองกลับมีความคิดมากมาย เขาเป็นคนที่คิดเยอะ เพราะช่างสังเกต และชอบคิดวิเคราะห์ ชอบคำนวณสิ่งต่างๆ ที่พบเจอจนเป็นปกตินิสัย  เช่นเดียวกับตอนนี้

        ‘แผลที่แขนของรูร์กัสยังอยู่ แต่ก็พันแผลไว้แล้ว มีเลือดไหลซึมออกมาเล็กน้อย คงเพราะฝืนตัวเองออกตามหาเราสินะ ดวงตาเองก็คล้ำ แล้วยังบวมอีก ร้องไห้ แถมไม่ได้นอน ดูจากสภาพร่างกายแล้วเหตุการณ์นั้นคงผ่านมา 2-3 วันแล้ว ร่างเราเองก็มีแต่แผลเต็มไปหมด จะแปลกก็ตรงที่แผลเริ่มแห้งแล้ว ทั้งๆที่ผ่านมาแค่ 2-3 วัน เหมือนกับเวลาผ่านไปเป็นอาทิตย์อย่างนั้นแหละ ถ้าจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ในร่างนี้เราต้องรู้เรื่องของโลกใบนี้มากกว่านี้ เพราะความทรงจำที่เหลืออยู่ไม่มีรายละเอียดอะไรเลย เฮ่อ’
   
        “ไปทำแผลกันเถอะ” ความคิดมากมายนั้นไม่ถูกถ่ายทอดออกมา เสียงที่เอ่ยออกมามีเพียงประโยคสั้นๆตามฉบับของเจ้าตัวเท่านั้น

        “เจ้าไม่โกรธพี่เหรอแร็กนาร์?” รูร์กัสยังถามออกมาเพื่อความแน่ใจ

        “ไม่...ไปทำแผลเถอะ” ร่างเล็กของแร็กนาร์ลุกขึ้นเต็มความสูง พร้อมยืนมือออกไปให้รูร์กัสจับ รูร์กัสเห็นดังนั้นก็ยิ้มออกมาได้ในที่สุด สำหรับเขาแล้วรอยยิ้มของรูร์กัสช่างอบอุ่น รอยยิ้มที่เขาไม่เคยได้รับจากใครในร่างเดิม

        ‘ช่างน่าอิจฉาจริงๆ ที่ยังมีความสุขเล็กๆในชีวิตที่น่าสังเวชนี่ มันคงเป็นรอยยิ้มที่ผลักดันร่างเล็กนี้ให้อยากมีชีวิตอยู่ต่อสินะ’


       .

       .

       .

       รูร์กัสเดินจับมือของแร็กนาร์พาเดินไปตามทางเล็กๆมีร่องรอยที่แสดงให้เห็นว่า มีคนเคยใช้ทางนี้เป็นทางเดินประจำเมื่อนานมาแล้ว เพราะเริ่มมีหญ้าเล็กๆเกิดแทรกพื้นดินขึ้นมาเล็กน้อยเท่านั้น ทางที่รูร์กัสไปไม่ใช่ทางที่ใช้เดินกลับบ้านของพวกเขา ถึงแม้ความทรงจำที่เหลืออยู่จะปรากฏออกมาว่าทางที่เดินไปไม่ใช่ทางกลับบ้าน แร็กนาร์ก็ไม่ได้สนใจมากนัก เพราะเขาตัดสินใจที่จะเชื่อใจเด็กชายที่จูงมือเขาอยู่ไปซะแล้ว

       แร็กนาร์เริ่มมองสำรวจสิ่งรอบข้างอีกครั้ง
     
        ‘ต้นไม้บริเวณนี้ แล้วก็ที่เดินผ่านมา เป็นสภาพแบบป่าดิบชื้นไม่ต่างจากที่โลกเดิมมากนัก มีต้นไม้สูงขึ้นเต็มไปหมด ส่วนข้างล่างจะเป็นพุ่มไม้เล็กๆพวกไม้เลื้อย และมีดอกไม้ประปรายบางบริเวณเท่านั้น สิ่งที่ต่างคงจะเป็นพันธุ์ไม้ต่างๆที่เราไม่รู้จัก ต้องหาเวลามาเดินสำรวจดูสักหน่อยแล้ว เผื่อจะใช้ทำอะไรได้บ้าง ทำพวกยาพิษได้ด้วยคงดีไม่น้อย หึหึหึ’

       ปึก!!

       เพราะมัวแต่สนใจสภาพแวดล้อมของที่นี่ ทำให้แร็กนาร์เดินชนเข้ากับร่างของรูร์กัสที่หยุดเดินลงอย่างจัง

       “เป็นอะไรรึเปล่า เข้าไปข้างในกันเถอะ พี่ทำความสะอาดไว้แล้ว” รูร์กัสหันมาถาม แล้วมองดูร่างเล็ก เมื่อเห็นว่าน้องไม่เป็นไร จึงพูดชวนพร้อมรอยยิ้มที่ส่งมาให้ จากนั้นก็เดินนำแร็กนาร์เข้าไปในบ้านหลังเล็ก
       
       ด้านนอกของตัวบ้านมีต้นไม้เล็กๆขึ้นอยู่รอบตัวบ้านเท่านั้น ห่างออกไปเล็กน้อยจึงมีต้นไม้ต้นใหญ่ขึ้นอยู่ บ่งบอกว่าบ้านหลังนี้มีมานานมากแล้ว และเจ้าของบ้านหลังนี้ดูแลมันอย่างดี บ้านมีลักษณะเป็นทรงกลมที่ด้านหลังต่อเติมออกไปเล็กน้อยเป็นห้องครัว มีประตูอยู่หน้าบ้าน 1 บาน หน้าต่างที่ติดอยู่ทำให้เห็นได้ว่าเป็นบ้านแบบ 2 ชั้น บ้านทำจากอิฐและปูนดูแข็งแรง

       แร็กนาร์เดินตามรูร์กัสเข้าไปในบ้าน แล้วเริ่มมองสำรวจอีกครั้ง ด้านในมีชุดแบบโต๊ะรับแขกอยู่ 1 ชุด มีเก้าอี้ไม้ตัวยาว 1 ตัว เก้าอีกเล็ก 2 ตัว ล้อมโต๊ะไม้ตัวใหญ่ที่วางอยู่ตรงกลาง ข้างเก้าอี้ตัวยาวมีชั้นวางของเล็กๆที่ด้านบนตั้งโคมไฟแบบตะเกียงเอาไว้ข้างแจกันสีดำสนิท อีกฟากของประตูเป็นประตูอีกบานที่ใช้เปิดไปที่ห้องครัว ข้างซ้ายมือของเขามีบันไดเล็กๆที่เป็นทางเดินขึ้นไปบนชั้น 2

       แร็กนาร์อยากขึ้นไปสำรวจชั้นบนจึงหันหน้าไปมองหน้ารูร์กัสเชิงขออนุญาต รูร์กัสเห็นก็เข้าใจในทันที เขาจึงพาแร็กนาร์ขึ้นไปบนชั้น 2 ทันที ด้านบนเป็นห้องนอน มีเตียงขนาด 5 ฟุต 1 เตียง ตู้เสื้อผ้า 1 ตู้ โต๊ะวางโคมไฟเหมือนด้านล่างตั้งอยู่ข้างหัวเตียงด้านขวา ชั้นวางหนังสือ 1 ตู้ ที่ด้านในยังมีหนังสือวางอยู่ ทั้งๆที่ตู้เก่าจนโทรม หนังสือที่วางอยู่กลับมีสภาพดีจนน่าแปลกใจ
บ้านหลังนี้จัดว่าน่าอยู่ทีเดียว ถึงสภาพจะเก่าโทรม แต่เมื่อผ่านการทำความสะอาดแล้วก็กลับมาสวยงามอีกครั้ง

       “พี่เจอที่นี่เมื่ออาทิตย์ก่อน พี่ทำความสะอาดไว้ ของใช้ที่จำเป็นก็เตรียมมาไว้หมดแล้ว พี่คิดว่าจะพาเจ้ามาอยู่ที่นี่ พี่ไม่อาจทนเห็นเจ้าเจ็บปวดได้อีก แต่มันก็เกือบจะสายเกินไปแล้ว ถ้าพี่พาเจ้ามาเร็วกว่านี้คงดี เจ้าจะได้ไม่ต้องเจอกับเหตุการณ์ที่โหดร้ายนั่น”
 
       ‘ไม่ทันแล้วล่ะ’

       แร็กนาร์ได้แต่บอกรูร์กัสอยู่ในใจ ว่าคนที่เขาอยากให้มาอยู่จริงๆนั้น ได้จากไปแล้ว
 
       “ไม่เป็นไร แค่นี้ข้าก็ขอบคุณพี่รูร์กัสมากแล้ว เลิกคิดมากแล้วมาทำแผลเถอะ อุปกรณ์อยู่ไหน?” ประโยคที่ยาวที่สุด หลังจากที่ฟื้นขึ้นมาถูกเอ่ยขึ้น รูร์กัสยิ้มอย่างดีใจ และผ่อนคลายยิ่งขึ้น เพราะแร็กนาร์เป็นเด็กช่างพูด เขาเป็นห่วงร่างเล็กอยู่ไม่น้อย ที่พูดออกมาสั้นๆเท่านั้น ไม่ช่างฉอเลาะเหมือนแต่ก่อน
   
       ด้วยความที่แร็กนาร์ยังเด็ก และพึ่งเจอเหตุการณ์น่าหวาดกลัวมา นิสัยที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงของร่างเล็กจึงถูกปล่อยผ่านไปได้อย่างง่ายดาย
   
       รูร์กัสพาแร็กนาร์ไปนั่งที่เตียง จากนั้นเดินไปหยิบกล่องปฐมพยาบาลที่เขาเตรียมไว้ออกมาจากดูด้านล่างของชั้นวางหนังสือ แล้วกลับมานั่งที่เตียงตรงข้ามกับแร็กนาร์ เขาจับแขนของร่างเล็กขึ้นมาเพื่อจะทำแผลให้
   
       พรึ่บ!
   
       แร็กนาร์ดึงแขนออกจากมือรูร์กัสอย่างรวดเร็ว ทำให้รูร์กัสมองอย่างไม่เข้าใจ

       “ทำแผลของพี่รูร์กัสก่อน ยื่นแขนมา” คำพูดเรียบนิ่งเอ่ยขึ้น พร้อมยกแขนขึ้นมายื่นมือขอทำแผลให้พี่ชาย

       “ไม่ต้อง ทำของเจ้าก่อนเถอะ แผลพี่เล็กน้อยเท่านั้น” รูร์กัสไม่ยอมทำตามคำพูดของแร็กนาร์ แต่ยกแขนขึ้นมาแบมือขอทำแผลเหมือนกับร่างเล็ก
     
       ทั้งคู่มองหน้ากันอยู่อย่างนั้น ไม่มีใครยอมหลบสายตา จนกลายเป็นการเล่นเกมจ้องตากันไปเสียแล้ว

       ‘ไอ้เด็กดื้อ เห็นทำตัวว่าง่าย แต่ไม่ยอมใครซะอย่างนั้น หึ! ให้มันได้อย่างนี้สิ’

       “เฮ้อ! ก็ได้ๆข้ายอมแล้ว แต่พี่รูร์กัสต้องตอบคำถามของข้าหลังทำแผลเสร็จตกลงไหม?” เมื่อเห็นว่ารูร์กัสคงไม่ยอมง่ายๆแร็กนาร์จึงมุ่งประเด็นไปที่สิ่งที่ตนสงสัยแทน เขาต้องการข้อมูลของโลกใบนี้ แล้วก็กลัวตัวเองจะใช้สายตาของนักฆ่ากดดันรูร์กัส เขาไม่อยากให้รูร์กัสกลัวเขา จึงเลือกที่จะยอม

       “ได้ พี่ตกลง” รูร์กัสก็ไม่ได้ติดใจสงสัยอะไรในข้อตกลงของแร็กนาร์ เพราะเวลาที่เขากดดันร่างเล็กด้วยสายตาเรียบนิ่งและจริงจัง ร่างเล็กก็จะยอมอย่างว่าง่าย ถึงแม้ครั้งนี้มีข้อแลกเปลี่ยน รูร์กัสก็ไม่ได้สนใจมันมากนัก

       รูร์กัสทำแผลให้ร่างเล็กอย่างเบามือ และคล่องแคล่ว ถึงจะทำผิดไปบ้างก็ไม่ได้กวนใจแร็กนาร์มากนัก จึงไม่ได้ทักท้วงสิ่งใด แม้อดีตหมอเถื่อนที่ผันตัวมาเป็นนักฆ่าอย่างเขา จะเลิกช่วยชีวิตคนไปแล้ว แต่ก็ไม่เคยลืมมัน เขาเลือกที่จะไม่ทำเท่านั้นเอง
   
       .
   
       .
   
       .

       ไม่นานนักแผลตามแขน ขา และลำตัว ของแร็กนาร์ก็ถูกทำจนเสร็จ ตอนนี้เขารู้สึกว่าตัวเองไม่ต่างจากมัมมี่ในพีระมิดของอียิปต์ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้เจ็บมากเหมือนที่ตาเห็น แผลของเขาดูหายเร็วเกินกว่าปกติด้วยซ้ำ นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เขาค้างคาใจ
   
       แร็กนาร์ลุกขึ้นนั่งหลังจากที่ล้มตัวลงนอนบนเตียงเพื่อให้รูร์กัสทำแผลตามตัวให้ตน แล้วยกแขนขึ้นมาแบมืออีกครั้ง รูร์กัสเองก็ไม่ได้อิดออก ยกแขนข้างที่มีแผลขึ้นมาให้แร็กนาร์อย่างว่าง่าย ร่างเล็กแกะผ้าพันแผล แล้วพลิกแขนไปมาเพื่อเป็นการตรวจดูแผล จากนั้นก็ลงมือทำด้วยความชำนาญ รูร์กัสสงสัยเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรออกมา ปล่อยให้แร็กนาร์ทำแผลให้ตนจนเสร็จ

       ‘แผลของรูร์กัสก็ปกติดี ดูจากสภาพแผล ผ่านมาแล้ว 3 วัน แต่ทำไมแผลเราถึงเหมือนผ่านมาแล้วเป็นอาทิตย์แล้วกันนะ’

       “ทำไมเราไม่เหมือนกัน” ประโยคสั้นๆที่เอ่ยออกมาหลังจากไตร่ตรองสิ่งที่สงสัยอยู่สักพัก เขาเลือกจะถามแบบรวมๆเพราะต้องการคำอธิบาย

       “อะ...เอ่อ  คือ” แร็กนาร์จ้องหน้าของรูร์กัสเขม็ง เพื่อยืนยังสิ่งที่ตนอยากรู้ เมื่อเห็นที่ท่าร้อนรนและลำบากใจของคงตรงหน้า ความสงสัยก็ยิ่งเกาะกินหัวใจมากขึ้น

        “ตอบมา ท่านพี่ตกลงแล้วนะ” แร็กนาร์ยังคงจ้องหน้ารูร์กัสแบบกดดัน จนคนตรงหน้ารู้สึกถึงบรรยากาศแปลกๆที่ถูกปล่อยออกมา ถึงจะไม่เข้าใจ แต่เขาก็รู้สึกได้ว่า ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากตอบคำถามของร่างเล็ก

         “เฮ่อ...” รูร์กัสถอนหายใจออกมาเล็กน้อย เมื่อตัดสินใจได้ เขาคิดไว้อยู่แล้วว่าจะบอกแร็กนาร์ในสักวัน ถึงตอนนี้จะเร็วเกินไปเกินกว่าเด็ก 8 ขวบจะเข้าใจ แต่เหมือนมีอะไรบางอย่างในตานั่นบอกเขาว่าร่างเล็กเข้าใจทุกอย่างได้อย่างแน่นอน

         รูร์กัสบอกกับแร็กนาร์ว่า ถ้าจะให้ตอบคำถามนั้นก็คงต้องเล่าเรื่องทั้งหมดของโลกใบนี้ให้ฟังก่อน แร็กนาร์เองก็ดีใจไม่น้อย ที่ความสงสัยของเขาถูกตอบในคำถามเพียงข้อเดียว

         .

         .

         .

         โลกใบนี้ถูกแบ่งออกเป็นสองเช่นเดียวกับสีของท้องฟ้า แบ่งเป็นดินแดนของมนุษย์ และดินแดนของปีศาจ สีของท้องฟ้าเปรียบเสมือนเส้นแบ่งเขตที่ถูกสร้างขึ้นโดยธรรมชาติ นอกจากแยกดินแดนแล้ว มนุษย์กับปีศาจยังมีลักษณะและความสมารถเฉพาะตัวแต่งต่างกัน

          มนุษย์ เผ่าพันธุ์ที่มีความเชื่อว่าตนฉลาดกว่าเผ่าพันธุ์ใดๆ มนุษย์นั้นมีพลังที่เรียกว่า “พลังธาตุ” เด็กที่เกิดมาจะมีธาตุหลักติดตัวมา 1 ธาตุเสมอ แรกเกิดมนุษย์นั้นจะมีผมเป็นสีขาว ดวงตาสีน้ำตาลอ่อน ยังไม่สามารถระบุธาตุหลักได้ แต่เมื่อมีอายุได้ 5 ขวบ ผมจะเปลี่ยนสีไปตามธาตุหลักของตน แบ่งออกเป็น

          ธาตุดิน จะมีผมสีดำ มีพลังในการควบคุมดินได้อย่างใจนึก หากอยากชำนาญต้องหมั่นฝึกฝน เพราะดินแต่ละชนิดควบคุมยากง่ายแตกต่างกัน

          ธาตุน้ำ จะมีผมสีเทา มีพลังในการควบคุมน้ำได้อย่างใจนึก หากฝึกฝนถึงขั้นชำนาญจะสามารถกลั่นน้ำออกมาจากพื้นดินได้

          ธาตุลม จะมีผมสีน้ำตาล มีความสามรถในการควบคุมลม จะได้มากน้อยตามการฝึกฝน อาจสร้างได้กระทั่งพายุขนาดใหญ่ที่พัดหมู่บ้านให้หายไปได้ในครั้งเดียว

          ธาตุไฟ จะมีผมสีทอง ธาตุไฟถือว่าเป็นธาตุพิเศษ เพราะสามารถสร้างไฟขึ้นเองได้ ไม่ต้องอาศัยสภาพแวดล้อมเหมือนธาตุข้างต้น แต่จะได้มากน้อยตามพลังกายของผู้ใช้ ดังนั้นผู้ใช้ไฟต้องมีร่างกายที่สมบูรณ์พร้อม จึงจะใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากพลังกายหมด ก็ไม่สามารถใช้ไฟได้ ส่วนมากจึงเลือกที่จะยืมไฟจากสภาพแวดล้อมแทน

          ธาตุสายฟ้า จะมีผมสีเงิน ธาตุสายฟ้าเองก็ถือเป็นธาตุพิเศษที่คุณสมบัติการใช้เหมือนธาตุไฟ แต่หาได้ยากกว่า จะมีคนที่เกิดขึ้นมาพร้อมธาตุนี้เพียง 5 % ของประชากรทั้งหมดเท่านั้น

          ธาตุหลักที่มีมาแต่เกิดทุกคนสามารถใช้พลังได้อย่างอิสระ หากต้องการฝึกธาตุอื่นเพิ่มก็สามารถทำได้ แต่พลังที่ฝึกได้จะน้อยกว่าธาตุหลักเสมอ ซึ่งส่วนใหญ่เลือกฝึกฝนเพิ่มเพื่อช่วยเสริมความแข็งแกร่งของธาตุหลัก เช่น มีธาตุหลักเป็นธาตุไฟ ก็จะฝึกธาตุลมเพิ่ม เพื่อเพิ่มความแรงของไฟ และเพิ่มระยะเวลาการใช้พลัง

          ในบรรดาธาตุทั้ง 5 ธาตุสายฟ้า เป็นธาตุเดียวที่ไม่สามารถฝึกฝนได้ ต้องมีมาตั้งแต่เกิดเท่านั้น เรียกได้ว่าเป็นธาตุพิเศษของพิเศษเลยก็ว่าได้

           ปีศาจ  เผ่าพันธุ์ที่เชื่อว่าตนมีพลังแข็งแกร่งเหนือสิ่งใด การแบ่งแยกของปีศาจนั้นเข้าใจง่ายกว่ามนุษย์มาก แต่ละชนเผ่าจะมีผู้ปกครองแค่คนเดียวเท่านั้น คงเปรียบเสมือน เมืองๆหนึ่งของเผ่าพันธุ์มนุษย์เท่านั้น ถ้าดูจากสภาพภูมิศาสตร์ของโลกนี้ จะเห็นได้ว่าดินแดนของมนุษย์ใหญ่กว่าดินแดนของปีศาจ เนื่องจากปีศาจมีจำนวนน้อยกว่า และอาศัยในสภาพแวดล้อมที่ต่างกัน
ปีศาจมีพลังที่เรียกว่า “พลังแฝง” เป็นพลังที่มีติดตัวมาตั้งแต่เกิด เหมือนกับพลังธาตุของมนุษย์  ซึ่งจะแยกตามเผ่าพันธุ์ของตน ดังนี้

           เผ่าพยัคฆ์ อาศัยอยู่บนพื้นดิน สภาพที่อยู่อาศัยจะส่วนมากจะเป็นป่า เนื่องจากเผ่าพยัคฆ์จะมีลักษณะ รูปร่าง รวมถึงพละกำลังเหมือนเสือชนิดต่างๆ มีผมและตาเป็นสีแดง มีพลังมหาศาลตามแบบฉบับของนักล่า รวมถึงสามารถควบคุมสัตว์ชนิดต่างๆได้ด้วย

           เผ่าวิหก อาศัยบนท้องฟ้า ท้องที่เผ่าวิหาอาศัยอยู่เมฆจะจับกันเป็นก้อนแข็ง ซึ่งลอยอยู่ห่างออกไปไม่ไกลนักในทะเลด้านล่างสุดของแดนพยัคฆ์ มีความสามารถของนกชนิดต่างๆจึงทำให้มีปีกสำหรับบิน และสามารถควบคุมฝนฟ้าอากาศได้ เผ่าวิหกมีผมและตาสีเขียว

           เผ่ามังกรวารี อาศัยอยู่ในหมู่เกาะด้านตะวันตกของดินแดนพยัคฆ์ มีระยะห่างจากฝั่งมากทีเดียว เผ่ามังกรวารีนั้นจะมีลักษณะ รูปร่าง รวมทั้งความสามารถของมังกรวารีเหมือนกันทั้งเผ่าพันธุ์  สามารถควบคุมน้ำได้อย่างอิสระ ทำให้เปลี่ยนสถานะหรืออุณหภูมิ รวมทั้งสามารถสร้างน้ำจากพลังกายของตนได้ด้วย เผ่ามังกรวารีมีผมและตาสีฟ้า

           ปีศาจมีพลังมากกว่ามนุษย์ แต่ไม่สามารถฝึกฝนพลังของเผ่าพันธุ์อื่นได้ หากต้องการพลังของเผ่าอื่นในแดนปีศาจต้องครองคู่กันเท่านั้น แล้วลูกที่เกิดมาจะมีลักษณะและพลังหลักเป็นของพ่อ มีพลังของแม่เป็นตัวเสริม แต่ใช้ได้แค่ 50-80% เท่านั้น ขึ้นอยู่กับพลังของผู้ให้กำเนิด

            สิ่งพิเศษอีกอย่างหนึ่งของปีศาจคือ สามารถแปลงร่างได้ 3 ระดับด้วยกัน คือ ร่างสัตว์ซึ่งเป็นร่างต้นแบบของตน ร่างปีศาจเป็นร่างที่รวมลักษณะของปีศาจและมนุษย์เข้าด้วยกัน ร่างมนุษย์มีลักษณะของมนุษย์ทุกประการแต่จะคงสีผมกับสีตาไว้ไม่หายไป

            .

            .

            .

            สิ่งที่หลอมรวมแต่แปลกแยกของโลกใบนี้คือ “ลูกครึ่ง” ลูกครึ่งในที่นี้ไม่ใช่การข้ามเผ่าพันธุ์ของปีศาจกับปีศาจ แต่เป็นการผสมข้ามเผ่าพันธุ์ของปีศาจและมนุษย์

            ลูกครึ่งระหว่างมนุษย์และปีศาจนั้นส่วนมากจะเกิดมาแล้วไร้ซึ่งพลัง ทั้งพลังธาตุ และพลังแฝง มีสิ่งเดียวที่ติดตัวมาคือ ร่างกายที่ฟื้นฟูอย่างรวดเร็วเหมือนพวกปีศาจ มีส่วนน้อยที่เกิดมาแล้วจะได้รับพลัง แต่ถ้าหากมีพลังจะใช้ได้ทั้งพลังธาตุและพลังแฝง จึงเป็นเหตุให้ ทั้งในอดีตและปัจจุบันยังมีการผสมข้ามเผ่าพันธุ์อยู่

            พวกลูกครึ่งที่เกิดในแดนปีศาจจะถูกนำมาทิ้งไว้ที่เขตชายแดน ถ้าหากเกิดในแดนมนุษย์จะมีฐานะเป็นทาสในทันที ทำให้เกิดอาชีพที่ชื่อว่า “พ่อค้าทาส” ขึ้นอย่างแพร่หลาย พ่อค้าทาสจะจับลูกครึ่งในเขตชายแดนไปขายใช้แรงงาน

            ลักษณะของพวกลูกครึ่งที่โดดเด่นคือ มีผม 2 สี ตามลักษณะของพ่อแม่ ส่วนตาจะเป็นสีดำสนิทไร้ซึ่งสีใดปะปน

            ในเขตชายแดนจะมีหมู่บ้านเล็กๆกระจัดกระจายอยู่มากมายเป็นที่อาศัยของพวกลูกครึ่ง แต่สำหรับพวกพ่อค้าทาสคงไม่ต่างไปจากตลาดค้าทาส เพราะสามารถเข้ามาเลือกสรรทาสที่ตนถูกใจไปขายโดยไม่มีสิ่งใดขัดขวาง  ในโลกนี้พวกลูกครึ่งเป็นที่น่ารักเกียจ ดังนั้นจึงไม่มีใครคิดจะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ หรือปกป้องพวกเขาไว้เลย

            .

            .
 
            .

            แม่ของรูร์กัสและแร็กนาร์  เธอชื่อว่า “ริเรน่า” เป็นชนชั้นสูงของเผ่าพันธุ์มนุษย์ เธอจึงรู้ปัญหาในเรื่องนี้ดี อยากจะยื่นมือเข้าช่วยเหลือเหล่าเด็กน้อยที่ถูกขาย และทารุณอย่างไร้ความปราณี แต่เธอไม่มีพลังมากพอที่จะเปลี่ยนแปลงด้วยตัวคนเดียว
เมื่อเธอแต่งงานกับชายอันเป็นที่รัก “รูเฟรียส” เธอก็โน้มน้าวจนเข้าพาเธอย้ายมาอยู่ที่เขตชายแดน  แม้ครอบครัวของทั้งสองจะคัดค้าน หรือห้ามเพียงใด ถึงขั้นขู่จะตัดออกจากวงศ์ตระกูล เธอและเขาก็ไม่สนใจ จนในที่สุดความปรารถนาของเธอก็เป็นจริง ทั้งสองย้ายมาสร้างบ้านที่ขนาดไม่ใหญ่มากนักที่ใกล้ๆกับเขตชายแดน

            เธอตัดสินใจที่จะเริ่มเปลี่ยนแปลงจากสิ่งเล็กๆน้อยๆก่อน นั่นคือการช่วยเหลือและให้ความรู้แก่พวกเด็กที่เป็นลูกครึ่ง ตอนนั้นสำหรับพวกเด็กๆที่ได้รับการช่วยเหลือมองเธอเป็นพระแม่ที่แสนมีเมตตา พวกพ่อค้าทาสเองก็ไม่กล้าเข้าไปจับตัวเด็กในชุมชนที่เธอเข้าไปช่วยเหลือ เพราะเกรงกลัวอำนาจของชนชั้นสูง

            เธอใช้ชีวิตอย่างมีความสุขตามที่ใจปรารถนา และได้ให้กำเนิดทารกน้อยสองคน ที่มาอายุห่างกันแค่ 1 ปี รูร์กัส กับรูซ ลูกชายตัวน้อยๆที่น่ารักของเธอ ครอบครัวของเธอใช้ชีวิตอย่างมีความสุขจนกระทั้ง เมื่อตอนที่รูร์กัสมีอายุได้ 4 ขวบ ก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น เหตุการณ์ที่ทำให้ชีวิตที่เธอวาดฝันไว้จบลง...


To Be Continued...
   


___________________________________________

มาลงตอนที่ 2 แล้วค่ะ ผิดพลาดประการใดติชมกันได้นะคะ
ฝากตัวด้วยจ้าาา :impress:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-08-2016 16:49:54 โดย GreenHead(หัวเขียว) »

ออฟไลน์ Mynun

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-2
ชอบบบบบบบบ ห้ามดองงง หาอ่านยากเกิ๊นแฟนตาซีแบบนี้
ห้ามดองนะ ย้ำ เออ มีคำผิดด้วย.คนเขียนลองอ่านทวนๆเอานะ
 :hao3:

ออฟไลน์ darinsaya

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1

ออฟไลน์ GreenHead(หัวเขียว)

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
    • Green Head - หัวเขียว
ลองตรวจดูแล้ว เจอคำผิดเยอะเลยค่ะ  ถ้าพบอีกบอกเราด้วยนะคะ   ขอบคุณค่าาา

อีกสักพักตอนที่ 3 จะมาค่ะ รอหน่อยน้าาา :mew1:

ออฟไลน์ GreenHead(หัวเขียว)

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
    • Green Head - หัวเขียว
ตอนที่  3
เรื่องราว


        ในแดนมนุษย์นอกจากการแบ่งธาตุและสีผมแล้วมนุษย์ยังมีการแบ่งชนขั้นการปกครองเป็น กษัตริย์  ราชวงศ์ ชนชั้นสูง ชนชั้นกลาง ชนชั้นล่าง และทาส สิทธิพิเศษสำหรับผู้มีธาตุสายฟ้าคือจะถูกเลื่อนขั้นเป็นราชวงศ์โดยไม่มีข้อแม้ใดๆรวมทั้งพวกลูกครึ่งที่มีพลังด้วย
   
        กษัตริย์  ผู้มีอำนาจสูงสุดในทุกๆด้าน  ซึ่งปกครองชนชั้นต่างๆในอาณาจักรของตน   กษัตริย์อาศัยอยู่ในเมืองศูนย์กลางของจักรวรรดิโรฮัน

        ราชวงศ์ มีอำนาจปกครองรองจากกษัตริย์เท่านั้น  ราชวงศ์คือผู้ดูแลอาณาจักรน้อยใหญ่ที่ขึ้นตรงต่อจักรวรรดิโรฮัน ราชวงศ์จะเป็นตระกูลเก่าแก่  ทุกคนต่างช่วงชิงกันที่จะเป็นกษัตริย์  และปกครองเมืองต่างๆ ที่ขึ้นตรงต่อจักรวรรดิ นอกจากนี้ยังมีการแต่งงานกันในเครือญาติเพื่อรักษาสายเลือดที่ทรงพลัง

        ชนชั้นสูง เป็นพวกขุนนาง หรือข้าราชการระดับสูง เป็นผู้มีปากมีเสียงในสภาสูง มีหน้าที่ดูแลหน่วยย่อยลงมาของอาณาจักรต่างๆ รวมถึงมีอำนาจทางการทหารด้วย

        ชนชั้นกลาง มีสิทธิเรียนในสถานศึกษาเช่นเดียวกับพวกชนชั้นสูงและราชวงศ์ มีสิทธ์เป็นนายทหาร ข้าราชการเล็กๆ มีสิทธิเช่นคนธรรมดาสามัญ รวมถึงพวกที่ทำอาชีพค้าขายด้วย

         ชนชั้นล่าง คือพวกเกษตรกร ชาวไร่ ชาวนา มีโอกาสได้เรียนหากแสวงหา แต่อาจโดนชนชั้นอื่นๆดูถูกได้

         ทาส  คือ   ลูกครึ่งมนุษย์และปีศาจ  ไร้พลัง  ถูกใช้งานอย่างหนัก  และไม่มีกฎใดๆคอยคุ้มครอง

         ในโลกใบนี้ผู้มีพลัง และผู้ไร้พลังจึงถูกปฏิบัติแตกต่างกันอย่างชัดเจน 

         .
 
         .

         .

         ริเรน่าเป็นชนชั้นสูงของตระกูล  ‘นารอฟ’  ซึ่งอาศัยอยู่ในเมืองศูนย์กลางของจักรวรรดิโรฮัน เมื่อมีอายุได้ 20 ปี เธอได้ก็ได้แต่งงานกับ “รูเฟรียส คูฟฟ์” ซึ่งเป็นเพียงชนชั้นกลาง แม้ชนชั้นจะต่างกัน แต่ด้วยนิสัยที่แน่วแน่ไม่มีทางจะเปลี่ยนใจของเธอ และด้วยความรักของคนทั้งคู่จึงทำให้สู้ฝ่าฟันอุปสรรคในเรื่องชนชั้นไปได้

         เธอซึ่งตัดสินใจที่จะเปลี่ยนแปลงจักรวรรดิโรฮันในเรื่องของทาสลูกครึ่งมนุษย์และปีศาจ เธอเกลี่ยกล่อมคนรักอยู่นานจนในที่สุดเขาก็ยอมช่วยเธอหนีออกมาจากครอบครัวของเธอมาตั้งรกรากอยู่ที่เมืองรูสม่า เมืองเล็กๆที่ตั้งอยู่ติดกับเขตชายแดนซึ่งกั้นระหว่างแดนมนุษย์และปีศาจ

         เธอใช้ชีวิตที่แสนสงบสุขอยู่ที่นั่น กับสามีและลูกน้อยอีก 2 คน แล้ววันนี้ก็เป็นอีก 1 วันที่เธอจะเข้าไปยังหมู่บ้านของลูกครึ่งมนุษย์ที่อยู่ไม่ไกลมากนัก เพื่อสอนหนังสือ  และดูแลรักษาอาการป่วยไข้ของเด็ก

         หมู่บ้านแห่งนี้ผู้อาศัยมีเพียงเด็กๆเท่านั้น เพราะเมื่อโตพอที่จะใช้งานได้ก็จะถูกพ่อค้าทาสจับตัวไป เธอจึงพยายามช่วยเหลือทุกด้านเท่าที่จะทำได้

         วันนี้ริเรน่า และลูกชายคนโต “รูร์กัส คูฟฟ์” เด็กน้อยวัย 4 ขวบ ได้เข้าไปในหมู่บ้านเพียง 2 คน ส่วนรูเฟรียสคนรักของเธอ  และรูซลูกชายคนเล็กวัย 3 ขวบ วันนี้ไม่ได้มาด้วยเพราะต้องเข้าไปซื้อยา  อาหาร และของใช้จำเป็นมาตุนเอาไว้  เพราะของที่มีอยู่ใกล้หมดแล้ว

         พวกเด็กๆเข้ามาต้อนรับเธอดังเช่นทุกครั้ง  เธอเป็นที่รักของเด็กๆเสมอ   และเพราะเธอสอนหนังสือให้กับเด็กๆ เด็กๆจึงนับถือเธอเป็นอาจารย์ ส่วนรูร์กัสเองก็จะมาเล่นกับลูกครึ่งที่อยู่ในวัยเดียวกัน
   
         วันนี้ควรจะเป็นวันที่แสนสงบสุขดังเช่นทุกวัน แต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น
   
         ในช่วงสายของวัน ริเรน่ากำลังสอนหนังสือให้เด็กๆในลานกว้าง  มีหลังคามุงจากกระเบื้องขนาดใหญ่  ซึ่งเธอสร้างไว้กันแดดกันฝนเวลาที่มาสอนหนังสือให้เด็กๆ
   
         ในขณะนั้นเองเธอก็ได้กลิ่นคราวเลือด   ด้วยความสามารถของธาตุลม ทำให้เธอได้กลิ่นของเลือดที่ลอยมาตามลม  แม้จะอยู่ไกลออกไปก็ตาม
   
          “เด็กๆนั่งรออยู่ที่นี่ก่อน   เดี๋ยวอาจารย์มา ...เรย์ นาฟ ไปกับเราหน่อย”  ริเรน่าเอ่ยขอ เด็กหนุ่มอายุ 18  ปี ซึ่งอายุมากที่สุดในบรรดาเด็กทั้งหมดในหมู่บ้าน เพราะอายุไม่ห่างกันมากจึงทำให้ริเรน่าทำตัวอย่างเป็นกันเองกับทั้งสองมากกว่าเด็กคนอื่นๆ 

          เธอตัดสินใจโดยไร้ความลังเล และเพราะความเมตตาที่มากเกินไปของเธอ  จึงไม่ทันระวังสิ่งที่จะตามมาให้ภายภาคหน้า
ริเรน่าให้เด็กทั้งสองวิ่งตามเธอเข้าไปในป่าซึ่งต้องข้ามเขตแดนไปยังแดนปีศาจ กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งรุนแรงมาขึ้น เมื่อเธอข้ามแดนไป พอไปถึงต้นเหตุของกลิ่นคาวนั้น ภาพที่ปรากฏตรงหน้าคือ   ปีศาจเพศชายที่ทั่วทั้งร่างถูกย้อมด้วยเลือดจนกลายเป็นสีแดงน่าสะพรึง ไม่รอช้าเธอรีบเข้าไปช่วยเหลือโดยไม่สนใจสิ่งรอบข้าง  ใช้มือบางกดวัดชีพจรบนข้อมือของปีศาจหนุ่ม เขายังไม่ตาย เธอจึงให้เด็กทั้งสองช่วยกันเคลื่อนย้ายปีศาจหนุ่มไปยังหมู่บ้าน

          ในตอนแรกนั้นเด็กทั้งสองห้ามปรามไม่ให้เธอช่วยเหลือปีศาจ แต่เธอก็ดื้อดึงเกินกว่าจะฟังใคร เด็กทั้งสองจึงต้องจำยอมพาปีศาจตนนั้นเข้าไปในหมู่บ้าน

          ริเรน่าให้เด็กทั้งสองพาปีศาจหนุ่มเข้าไปรักษาตัวในบ้านหลังเล็ก ที่ข้างในมีเพียงเตียงนอน และเก้าอี้ 1 ตัวเท่านั้น ห้องนี้เธอใช้สำหรับให้ลูกๆของเธอนอนพักผ่อนเวลาพามาเล่นที่หมู่บ้าน จากนั้นเธอก็จัดการเช็ดตัว และทำแผลให้ปีศาจหนุ่มจนเสร็จเรียบร้อย

           ริเรน่านั่งบนเก้าอี้ข้างเตียงพรางมองสำรวจปีศาจหนุ่มตรงหน้า นอกจากเลือดสีแดงที่ท่วมกายแล้ว สีผมของปีศาจตนนี้ก็เป็นสีแดงเลือดไม่ต่างกัน เธอคาดเดาว่าสีตาเองก็คงจะเป็นสีแดงเช่นกัน ถึงแม้ตอนนี้จะคงรูปร่างเป็นมนุษย์ แต่ลักษณะภายนอกที่เห็นนั้น เป็นปีศาจเผ่าพยัคฆ์ไม่ผิดแน่ ร่างกายเองก็มีขนาดใหญ่โตกำยำเกินมนุษย์ซึ่งเป็นบุรุษเพศ

           สำหรับเธอแล้วปีศาจตนนี้งดงามไม่น้อย ถึงแม้เธอจะไม่เคยเห็นปีศาจก็ตามที แต่ถ้าเป็นมนุษย์คงเป็นที่หมายปองของหญิงสาวอย่างเหลือล้น ถึงแม้เธอเองจะมีคนรักอยู่แล้ว ก็อดที่จะหวั่นไหวก็รูปลักษณะตรงหน้าไม่ได้

            .

            .
   
            .

            พรึ่บ!

            ปีศาจหนุ่มลืมตาขึ้นมามองรอบข้างอย่างสำรวจ เขานอนอยู่บนเตียงขนาดพอดีตัว ให้ห้องสีขาวสะอาด ข้างเตียงเองก็มีเพียงเก้าอี้ตัวเล็ก 1 ตัววางอยู่เท่านั้น

            แกร็ก

            เสียงเปิดประตูดังขึ้น พร้อมกับหญิงสาวที่มีใบหน้างดงามราวกับถูกเทพสวรรค์สรรสร้าง ช่างเข้ากับร่างกายอรชรสมส่วนนั่นเสียนี่กระไร เธอเปิดประตูเข้ามาแล้วชะงักมองเขาเล็กน้อย

            “ท่านฟื้นแล้ว...ร่างกายเป็นเช่นไรบ้างคะ” น้ำเสียงอ่อนหวานที่แสดงถึงความอ่อนโยนและห่วงใยเอ่ยออกมา พร้อมรอยยิ้มน้อยๆที่ดูจริงใจ จากนั้นก็เดินเข้ามาวางถาดอาหารบนที่ว่างบนเตียงนอน แล้วยกมือบางขึ้นมาทาบทับบนหน้าผากของเขาด้วยความนุ่มนวล เพื่อวัดอุณหภูมิของร่างกาย

            ปีศาจหนุ่มมองใบหน้าของเธอไม่วางตา เขาถูกใจเธอไม่น้อย ในใจของเขาเองก็ร่ำร้องอยากครอบครองผู้หญิงคนนี้

            “มีอะไรติดหน้าข้าอย่างนั่นหรือท่านปีศาจ” ริเรน่าเอ่ยออกมาเมื่อวัดอุณหภูมิร่างกายให้ปีศาจหนุ่มเสร็จ ร่างกายของปีศาจช่างน่าอัศจรรย์ การฟื้นฟูที่รวดเร็วกว่ามนุษย์ ทำให้เลือดหยุดไหลซึมออกมาแล้ว ร่างกายที่ร้อนผ่าวในตอนแรกก็กลับเป็นปกติแล้วเช่นกัน

            เมื่อเธอตรวจร่างกายของปีศาจหนุ่มเสร็จ จึงได้สังเกตว่าปีศาจตนนี้กำลังจ้องหน้าเธออยู่ ถึงแม้จะไม่เข้าใจความหมายของแววตาที่สื่อออกมา แต่เธอรู้สึกว่ามันไม่น่าไว้วางใจอย่างยิ่ง

            “มาเป็นผู้หญิงของข้าเถอะนะ” ปีศาจหนุ่มไม่ตอบคำถามของริเรน่า แต่เอ่ยความต้องการของเขาออกมาด้วยเสียงแหบพร่า

             “ท่านล้อข้าเล่น?” ริเรน่าถามด้วยความสงสัย ถึงแม้เธอจะคิดในแง่ดีว่าปีศาจตนนี้สติฟั่นเฟืองหรือไม่ก็เพียงล้อเล่นกับเธอ แต่เธอก็แอบหวั่นใจไม่ได้

             “ข้าพูดจริง” ปีศาจหนุ่มมองจ้องไปที่ดวงตาของริเรน่าเพื่อยืนยันในคำพูดของตน

             “ข้อคงต้องขอปฏิเสธ” ริเรน่าเองก็จ้องตากลับไปอย่างไม่หลบหลีกด้วยความจริงจังไม่แพ้กัน เธอคิดว่าการยืนยันอย่างจริงๆนี้ คงจะได้ผลกับปีศาจตรงหน้ามากกว่ามามัวอธิบาย

             “ทำไม” เสียงแห่งความไม่พอใจดังขึ้น แล้วจ้องมองเธอด้วยสายตาดุดันมากยิ่งขึ้น ทำให้ริเรน่าเองเริ่มหวาดกลัวปีศาจตนนี้

             “ข้ามีคนรัก และลูกๆอีก 2 คน นี่คงเป็นเหตุผลที่มากพอที่ข้าจะปฏิเสธท่านได้ ใช่หรือไม่”ถึงในใจจะหวั่นกลัว แต่เธอก็ไม่คิดจะหลบสายตา ยังคงมองต้องกลับด้วยสีหน้าแน่วแน่จริงจัง

             เธอไม่รู้เลยว่านั่นยิ่งทำให้ปีศาจหนุ่มถูกใจตัวเธอมากขึ้นไปอีก  ในตอนแรกเขาถูกใจเพียงรูปร่างหน้าตา แต่ตอนนี้เข้าถูกใจนิสัยที่เด็ดเดี่ยว และจริงจังของเธอเป็นอย่างยิ่ง ใครจะคิดเล่าว่าในรูปร่างที่บอบบางของหญิงสาวตรงหน้าจะแฝงไปด้วยความแข็งแกร่ง เกินกว่ามนุษย์คนไหนที่เขาเคยพบเจอมา มันทำให้เขายิ่งต้องการครอบครองเธอ โดยไม่สนใจเหตุผลใดๆ

              “ไม่! เจ้าต้องเป็นของข้า!” เสียงตะหวาดที่ดังก้องออกไปให้ได้ยินทั้งหมู่บ้าน ทำให้เด็กๆต่างแตกตื่นตกใจ บ้างวิ่งตามหาต้นเสียง บ้างรีบหาที่หลบซ่อน ขนาดข้างนอกยังเกิดความแตกตื่นจนเกิดความโกลาหล แล้วคนที่นั่งอยู่ด้านใน อยู่ตรงหน้าปีศาจร้ายจะไม่เกิดความหวาดกลัวได้อย่างไรเล่า 

              ริเรน่าหยุดชะงักด้วยความกลัวเล็กน้อย ก่อนจะตั้งสติได้แล้วลุกวิ่งไปเปิดประตูออกไปด้านนอก ตอนนี้ในใจของเธอรู้แค่ว่าไม่อยากอยู่ในห้องเพียงลำพังกับปีศาจตนนี้  เธอช่างโง่เขลายิ่งนักที่คิดว่าปีศาจจะฟังเหตุผลของเธอ ช่างโง่เขลาที่พา
ปีศาจร้ายเข้ามารักษาตัวในหมู่บ้าน ถ้าเธอเชื่อคำเตือนนั่นสักนิด  คงไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น

              เมื่อเธอวิ่งออกมาด้านนอกเธอก็เห็นรูร์กัส และเด็กคนอื่นๆต่างหลบอยู่ในบ้านและมองมาที่เธอด้วยความวิตกกังวล ตอนนี้ความเป็นห่วงพวกเด็กๆเข้ามาแทนที่ความหวาดกลัวเสียเกือบหมด เธอตั้งสติแล้วหันไปเผชิญหน้ากับปีศาจร้ายตนนั้นอีกครั้ง

              “เด็กๆเข้าไปในบ้านแล้วปิดประตูซะ ห้ามออกมาออกมาจนกว่าอาจารย์จะเรียก!”  ริเรน่าเอ่ยเสียงดัง ซึ่งเธอไม่เคยใช้น้ำเสียงนี้ต่อหน้าพวกเด็กๆมาก่อน ทำให้เด็กๆต่างตกใจกลัวมากขึ้น บางคนยอมปิดแต่โดยดี แต่บางคนก็ยังเปิดประตูอยู่เพื่อเฝ้ามองเหตุการณ์ตรงหน้า  พวกเขาเป็นห่วงอาจารย์จึงทำใจปิดหูปิดตาไม่รับรู้สิ่งใดไม่ได้

              รูร์กัสที่อยู่ในบ้านหลังเดียวกับ เรย์และนาฟ ก็ไม่ได้ปิดประตูแต่อย่างใด ยังคงเฝ้ามองผู้เป็นแม่ด้วยความเป็นห่วง

              “หึหึ” ปีศาจร้ายหัวเราะอย่างเยือกเย็น แล้วจ้องมองไปที่ริเรน่า ตอนนี้เขารู้จุดอ่อนของเธอแล้ว เขาคิดบางอย่างออก แต่ยังต้องทดสอบอีกเล็กน้อย รอยยิ้มอย่างมีชัยปรากฏขึ้นบนใบหน้าทันที ก่อนที่จะค่อยๆเดินเข้าไปหาริเรน่า เขาเดินย่างก้าวอย่างใจเย็น พร้อมแผ่รังสีแห่งการฆ่าฟันปกคลุมไปทั่วร่างอย่างพอเหมาะ เขาไม่อยากคุกคามเธอมากเกินไป

              ถึงแม้จะเป็นการแผ่รังสีฆ่าฟันที่เล็กน้อยสำหรับปีศาจ แต่กับริเรน่าและเด็กๆมันก็มากพอที่จะทำให้รู้ว่าปีศาจตนนี้น่ากลัวมากแค่ไหน ริเรน่าตระหนักถึงเรื่องนี้ดียิ่งกว่าใคร เพราะเพียงไม่กี่ชั่วยามบาดแผลมากมายบนร่างกายใหญ่โตนี้ก็เหลือเพียงร่องรอยของบาดแผลเท่านั้น มันบ่งบอกถึงพลังที่แฝงอยู่ของปีศาจร้ายตนนี้

              ทุกย่างก้าวที่เดินเข้ามาหาริเรน่านั้นช่างกดดัน พวกเด็กๆที่จ้องมองอยู่บางคนถึงกลับร้องไห้ออกมาเพราะทนความกดดันนี้ไม่ไหว มันยิ่งทำให้เธอกลัว กลัวว่าปีศาจตนนี้จะทำร้ายพวกเด็กๆ

              ริเรน่าตัดสินใจที่จะสู้เพื่อปกป้องพวกเด็กๆ เธอรวบรวมสายลมรอบด้านเข้ามาเป็นเกราะอยู่รอบกาย เพื่อความสะดวกในการควบคุมพลังให้ทันท่วงที สายตาของเธอเองก็จับจ้องปีศาจร้ายอย่างไม่วางตา

              ด้านปีศาจหนุ่มเองก็ไม่ได้ลงมือทำสิ่งใด ยังคงเดินเข้าไปหาริเรน่า อย่างไร้ซึ่งความกังวลใดๆ ทั้งสองยังคงจ้องหน้ากันอย่างแน่วแน่ ไม่มีใครยอมสยบต่ออีกฝ่ายก่อน

             ...

ออฟไลน์ GreenHead(หัวเขียว)

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
    • Green Head - หัวเขียว
              ...     
       
              พรึ่บ!

              “อย่าทำอะไรท่านแม่นะ!” ร่างเล็กของเด็กน้อยรูร์กัสวิ่งเข้าไปขวางตรงหน้าของปีศาจหนุ่ม หวังจะช่วยเหลือแม่ของตน บนหน้าของเด็กน้อยมีคราบน้ำตาที่เช็ดออกอย่างลวกๆหลงเหลืออยู่ รูร์กัสกลัวปีศาจตนนี้จับใจ แต่ก็กลัวท่านแม่ถูกทำร้ายมากกว่า การกระทำนี้สร้างความตกตะลึกให้ทั้งสองไม่น้อย

              “หึหึ นี่ลูกของเจ้าสินะ ช่างเหมือนเจ้าซะจริง” ปีศาจหนุ่มยกยิ้มที่มุมปากอย่างพอใจ แล้วเดินเข้าไป ยื่นมือหนาหมายจะจับตัวของรูร์กัส

              “หยุดนะ” ริเรน่าร้องห้ามปีศาจร้าย แต่ก็ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ฟังเสียงของเธอเลย ความกลัวบังเกิดมากล้น เธอกลัวเหลือเกินว่าปีศาจตนนี้จะทำร้ายลูกของเธอ เธอจึงรวบรวมพลังลมที่อยู่รอบตัวให้เป็นกลุ่มก้อนบนฝ่ามือทั้งสอง แล้วเพิ่มแรงบีบอัดอากาศรอบด้านก้อนพลังนั้น จนกลายเป็นกระสุนอากาศขนาดย่อม เธอเล็งไปที่ตัวของปีศาจอย่างแน่วแน่ ไร้ซึ่งความลังเล เพราะถ้าพลาดแม้แต่นิดเดียวลูกน้อยของเธออาจจะบาดเจ็บได้ เมื่อเล็งจนได้ตามที่ใจต้องการแล้ว เธอก็ปล่อยพลังออกไป

              ฟุ่บ!ปึก!...ปึ้ง!

              เหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เกินกว่าปีศาจหนุ่มจะทันระวัง เพราะมัวแต่สนใจเด็กน้อยตรงหน้า ทำให้กระสุนอากาศที่ปล่อยออกมากระแทกใส่ที่ลำตัวอย่างจัง จนกระเด็นไปชนกับผนังบ้านหลังเล็กที่มันพึ่งเดินออกมา

              “รูร์กัส” เมื่อเห็นว่าปีศาจหนุ่มกระเด็นออกไปแล้ว ริเรน่าจึงวิ่งเข้าไปกอดรูร์กัสเอาไว้ รูร์กัสเองก็ปล่อยโฮออกมาทันที่เมื่อรับรู้ถึงไออุ่น เด็กน้อยหวาดกลัวจับใจ แต่ก็ฝืนเก็บมันไว้ แต่ตอนนี้เขาเก็บมันไว้ไม่ไหวแล้ว

              “ท่านแม่ ฮึก ฮือออ ท่านแม่” รูร์กัสได้แต่พร่ำร้องเรียกแม่ของตน ริเรน่าเองก็กอด และพูดปลอบโยนลูกชายอยู่ไม่ห่าง
ทั้งสองกอดปลอบกันโดยไม่ได้สนใจปีศาจหนุ่มที่ลุกขึ้นมานั่งมองพวกเขาด้วยสายตาเรียบนิ่ง บนร่างกายนั้นไร้ซึ่งรอยขีดข่วนใดๆ ปีศาจหนุ่มไม่ได้ตอบโต้สิ่งใด มันไม่ต้องการให้ร่างกายที่แสนบอบบางของหญิงสาวมีบาดแผล มันจึงคิดอย่างหนักที่จะทำให้หญิงสาวจำยอมไปกับมันแต่โดยดี

              ปีศาจหนุ่มกลัวว่า หากเกิดการต่อสู้ขึ้น มันจะพลั้งมือสังหารเธอลงได้ เพราะเมื่อเริ่มต่อสู้เลือดในกายของมันจะเดือดพล่าน มองเห็นเพียงศัตรูเท่านั้น นั่นเป็นเหตุที่ก่อนหน้านี้ร่างกายเขาสะบักสะบอมจากการถูกทำร้าย  สหายของเขาต่างช่วยกันหยุดไม่ให้เขาอาละวาด จึงต้องรุมทำร้ายอย่างไม่ออมมือ โดยไม่ต้องคำนึงถึงอาการบาดเจ็บ เนื่องจากร่างกายของเขาฟื้นฟูได้เร็วกว่าปีศาจทั่วๆไป

              ถ้าการต่อสู้เกิดขึ้นจริงหมู่บ้านแห่งนี้คงราบเป็นหน้ากอง ปีศาจหนุ่มจึงพยายามใจเย็น ละทิ้งความโกรธเกรี้ยวต่อหญิงสาว เมื่อจุดอ่อนของเธอคือจิตใจที่เมตตา มันจึงเลือกวิธีการใช้เด็กๆเป็นเครื่องมือ

              ปีศาจหนุ่มยืนขึ้นแล้วเดินออกไปจากตรงนั้น แต่คราวนี้ไม่ได้เดินตรงไปที่ที่ริเรน่าอยู่ มันเดินไปบ้านหลังใหญ่ที่มีเด็กๆหลายคน ยืนเกาะกุมขอบประตูมองดูเหตุการณ์ตรงหน้าอยู่ เด็กๆชะงักงันตกใจกลัวที่ปีศาจเดินเข้าไปหาพวกตน พากันวิ่งหนีเข้าไปหลบในมุมต่างๆภายในตัวบ้าน แม้จะอยู่ห่างกัน แต่เพียงชั่วพริบตา  ปีศาจร้ายก็ปรากฎตัวในบ้านเสียแล้ว

              “อ้าก!!! ปล่อยข้าๆ ท่านอาจารย์ช่วยด้วย” เด็กคนหนึ่งถูกมือหนาคว้าไปที่ต้นคอ แล้วยกขึ้น เด็กน้อยพยายามร้องขอความช่วยเหลือจากอาจารย์ของตน ริเรน่าเองเมื่อได้ยินเสียงดังโวยวายก็คลายความสนใจจากลูกน้อยมาสนใจเหตุการณ์ตรงหน้าแทน

              “หยุดนะ!” ริเรน่าตะโกนสุดเสียงด้วยความโกรธ ตอนนี้เธอแทบจะคิดอะไรไม่ออกแล้ว ปีศาจร้ายช่างชั่วช้า ทำร้ายได้กระทั่งเด็กตัวเล็กๆนั่น สายลมรอบตัวก็พัดแรงขึ้นด้วยแรงอารมณ์ สายตาจ้องเขม็งไปที่ปีศาจตนนั้น

              “ฮึกๆ...อึก ปล่อย...ช่วย...ด้วย” เด็กน้อยที่กำลังกอบโกยอากาศหายใจ พร้อมทั้งร้องขอความช่วยเหลือ มีสีหน้าที่แสนทรมาน ใบหน้าเองก็แดงก่ำ เพราะขาดอากาศหายใจ เสียงสะอื้นไห้ก็ดังออกมาขาดๆหายๆ ดูแล้วช่างน่าเวทนายิ่งนัก หากไม่รีบช่วย เด็กน้อยต้องขาดอากาศตายแน่อย่างแน่นอน

              “ถ้าอยากให้ข้าหยุด...ก็ไปกับข้าซะ!”  ปีศาจหนุ่มเอ่ยประโยคแรกด้วยเสียงที่ราบเรียบ ก่อนจะตะหวาดดังก้องขึ้นพร้อมส่งสายตากดดันไปที่ริเรน่า

              เด็กๆที่มองดูเหตุการณ์แม้จะหวาดกลัวแต่ก็วิ่งออกมาแล้วเข้าไปกอด เข้าไปดึง ขวางไม่ให้ริเรน่าไปกับปีศาจร้าย

              “ไม่”

              “อย่านะ”

              “ไม่เอา”

              “อย่าไป”

              “ฮืออออ”

              “ไม่นะท่านแม่ ฮือออ”

              เสียงร้องไห้ งอแง และเสียงห้ามดังขึ้นอย่างเจื้อยแจ้ว แม้รูร์กัส และเด็กคนอื่นจะไม่เข้าใจสถานการณ์ตรงหน้ามากนัก แต่ถึงอย่างนั้นก็พอจะเดาได้ว่า ปีศาจที่แสนน่ากลัวนี้กำลังจะพรากหญิงสาวไปจากพวกเขา เด็กๆจึงขัดขวางอย่างเต็มที่

              เหตุการณ์นี้สร้างความขุ่นมัวให้ปีศาจหนุ่มไม่น้อย มันจึงเพิ่มแรงบีบที่คอของเด็กน้อยมากขึ้น

              “อั๊ก...อึก” ร่างเด็กน้อยบิดเกร็งด้วยความทรมาน ใบหน้าเหยเกบิดเบี้ยว เสียงที่ส่งออกมาก็ติดขัด เพราะขาดอากาศหายใจ

              “หยุด พวกเจ้าปล่อยข้า!” ภาพตรงหน้าแทบจะทำให้ริเรน่าทนไม่ได้ เธอจึงตวาดก้องให้พวกเด็กๆปล่อยมือจากตัวเธอ พวกเด็กๆเองก็ตกใจจนเสียงที่ร้องไห้งอแงอย่างเซ็งแซ่นั้นเงียบลง

              “ข้าจะไปกับท่านเอง...เพราะฉะนั้นปล่อยเด็กคนนั้นเถอะ แล้วท่านก็ต้องสัญญากับข้าด้วย ว่าจะไม่แตะต้องเด็กๆอีก...แม้แต่ปลายนิ้ว!” ริเรน่าเอ่ยด้วยเสียงที่แน่วแน่ และจริงจังดูทรงพลังเกินกว่าหญิงสาวทั่วไป ปีศาจหนุ่มเองก็ยกยิ้มอย่างยินดีเขาวางเด็กน้อยลงไปนอนบนพื้นแล้วคลายมือออก สายตาก็มองริเรน่าอย่างผู้ชนะ

              “ไม่นะท่านแม่ ข้าไม่ให้ไป ฮือๆๆๆ” รูร์กัสเข้าไปกอดริเรน่าที่ยืนอยู่ แล้วร้องไห้สะอึกสะอื้น เขาไม่อยากสูญเสียแม่ไป ริเรน่ารู้ดีว่าการทิ้งลูกๆไว้ให้คนรักเลี้ยงตามลำพังไม่ใช่เรื่องที่จะอภัยให้ได้ง่ายๆ แต่เธอทนให้เด็กตัวเล็กตายต่อหน้าไม่ได้ ถึงแม้จะทุกข์ทรมาน ขอแค่มีชีวิตอยู่ต่อไปได้ก็เพียงพอแล้ว ริเรน่านั่งลงกอดตอบลูกชายก่อนจะจับใบหน้าเล็กให้มองตาของเธอ

              “รูร์กัสฟังแม่นะ ถ้าชีวิตหนึ่งชีวิตสามารถช่วยชีวิตคนมากมายไว้ได้ มันก็มีค่ามากพอแล้วมิใช่หรือ ถ้าแม่ไม่ยอม ลูกและเด็กคนอื่นๆก็ต้องถูกทำร้ายอีก  เจ้าเข้าใจใช่ไหมรูร์กัส” เสียงอ่อนโยนเอ่ยบอกลูกชายให้เข้าใจในสิ่งที่ตนตัดสินใจ แม้จะยังเด็กแต่ริเรน่าเชื่อว่าต่อให้ไม่เข้าใจตอนนี้ เมื่อโตขึ้นรูร์กัสก็จะเข้าใจเอง เธอสูดหายใจเข้าลึกๆเพื่อเก็บความเสียใจ ก่อนจะเอ่ยต่อไป

              “แม่ฝากเจ้าบอกกับพ่อและรูซด้วยว่า อย่าได้โทษ หรือโกรธเคืองใครเลย เพราะคนที่ตัดสินใจเลือกทางนี้คือแม่เอง” กล่าวจบริเรน่าก็ผละออกแล้วยืนขึ้น แม้จะเสียใจมากเพียงใด แต่เธอขอรับผิดชอบเรื่องทั้งหมดที่ตนก่อขี้นเอาไว้เอง

              “แต่ท่านแม่ ข้า...”

              “เรย์ นาฟ จับรูร์กัสไว้ซะ แล้วก็ดูแลน้องๆด้วย...พวกเจ้าคงเข้าใจข้านะ” ริเรน่าไม่อาจทนฟังเสียงของลูกชายได้อีก ถ้าได้ฟังอีกนิดเธอคงต้องร้องไห้ออกมาแน่ๆ ใช่ว่าเธอจะเข้มแข็งในทุกเรื่องเสียเมื่อไหร่ เธอก็ไม่ต่างจากมนุษย์ทั่วไป ที่มีช่วงเวลาที่อ่อนแอบ้างเป็นปกติ ริเรน่าจึงเรียกให้คนที่เธอคิดว่าเข้าใจทุกอย่างได้ดีกว่าคนอื่นช่วยจัดการเรื่องต่อจากนี้

              “ครับ ท่านอาจารย์!” สองเสียงสอดประสานตอบรับคำอย่างฉับไวแทบจะไม่ต้องคิด เพราะทั้งสองเข้ามายืนอยู่ด้านหลังริเรน่าตั้งแต่รูร์กัสวิ่งออกมาแล้ว เพียงแต่ยืนเฉยๆเพื่อรอคำสั่งจากริเรน่าเท่านั้น พวกเขาโตพอที่จะเข้าใจว่านี่เป็นทางออกเดียวที่พวกเขามี มิเช่นนั้นเด็กทั้งหมู่บ้านอาจถูกปีศาจสังหารจนหมดสิ้น

               เรย์เข้าไปจับตัวของรูร์กัสที่ดิ้นรนพยายามจะเข้าไปหาแม่ของตน ส่วนนาฟก็เข้าไปจับตัวของน้องๆที่พยายามยื้อยุดริเรน่าไว้
               
               เมื่อคลายสถานการณ์เรียบร้อยแล้ว ริเรน่าก็เดินเข้าไปหาปีศาจหนุ่มแล้วไม่หันกลับมามองเด็กๆอีก เธอไม่อยากให้เด็กๆเห็นใบหน้าที่เคล้าน้ำตาของเธอตอนนี้ และเหมือนปีศาจหนุ่มจะเข้าใจเธอ  เขาจึงเข้ามาอุ้มตัวเธอพาดบ่าด้วยแขนข้างเดียว แล้ววิ่งหายไปในป่ามุ่งตรงไปยังแดนปีศาจอย่างรวดเร็ว

               .

               .

               .

               หลังจากเหตุการณ์นั้นรูเฟรียส และรูซ ที่รู้เรื่องจากคำบอกเล่าของเรย์ เพราะรูร์กัสไม่อยู่ในสภาพที่พร้อมจะพูดอะไรได้  ทั้งสองต่างก็โกรธเกี้ยวปีศาจเป็นอย่างมาก รูเฟรียสที่เอาแต่โทษตัวเอง และก่นดาปีศาจ ก็เริ่มคิดย้อนไปในอดีต ยิ่งพลางทำให้เริ่มที่จะเกลียดชังพวกลูกครึ่ง ที่เป็นสาเหตุของทุกๆเรื่อง

               พวกลูกครึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ริเรน่าทิ้งความสุขสบายมาใช้ชีวิตที่ยากลำบากที่นี่ ทั้งยังถูกตัดออกจากตระกูลไม่สามารถกลับไปที่นั่นได้อีกแล้ว ทั้งยังมาเป็นต้นเหตุให้ริเรน่าสละตัวเพื่อช่วยชีวิตพวกมันอีก รูเฟรียสที่เอาแต่เมามายได้แต่ก่นด่า
พวกลูกครึ่งหนักขึ้นทุกวัน จนทำให้รูซวัย 3 ขวบ จดจำและเกลียดชังพวกลูกครึ่งไปด้วย

               มีเพียงรูร์กัสเท่านั้นที่ไม่คิดโกรธเคืองใคร หลังจากร้องไห้อยู่นานหลายชั่วโมง เขาก็ทบทวนสิ่งที่แม่บอกอยู่ซ้ำๆจนเข้าใจในที่สุด เขาจึงทำตามคำสั่งของแม่ที่ไม่ให้เขาโกรธแค้นใคร รูร์กัสพยายามอธิบายเรื่องต่างๆและคำสั่งเสียของริเรน่าให้พ่อและน้องเข้าใจ แต่ก็ไม่มีใครฟังเขาเลยสักคน

               รูเฟรียสเลิกช่วยเหลือลูกครึ่งในหมู่บ้าน รวมทั้งสั่งห้ามไม่ให้ลูกๆของตนเข้าไปช่วยเหลือหรือยุ่งเกี่ยวกับพวกลูกครึ่งอีก แต่รูร์กัสก็ยังหาโอกาสหลบออกไปเยี่ยมเด็กๆที่หมู่บ้านอยู่เสมอ

               หนึ่งปีผ่านไปหลังจากเหตุการณ์นั้นสิ่งไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อริเรน่ากลับมาที่บ้านของเธอ แต่เธอไม่ได้มาคนเดียว ริเรน่าอุ้มเด็กชายร่างเล็กวัยแบเบาะมาด้วย เด็กน้อยเป็นลูกครึ่งมนุษย์  เธอตั้งชื่อเด็กคนนั้นว่า “แร็กนาร์”

               เมื่อเธอเจอกับคนรักและลูกๆเธอก็ไม่ยอมเล่าสิ่งใดที่เกิดขึ้นในช่วง 1 ปีที่หายไปให้ฟัง เธอบอกเพียงว่าเด็กคนนี้เป็นลูกของเธอ และเธอถูกปล่อยตัวมา ริเรน่าขอโทษสามี และขอโอกาสให้เธออยู่ร่วมกับเขาอีกครั้ง รูเฟรียสไม่รอช้าเขาให้อภัย และให้เธอกลับมาอยู่เป็นครอบครัวเดียวกันอีกครั้ง แม้ในใจจะยังรังเกียจเด็กน้อยลูกครึ่งอยู่ก็ตามที

               พวกเขาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ริเรน่าเองก็กลับไปช่วยเหลือเด็กๆในหมู่บ้านอีกครั้ง เพราะรูเฟรียสไม่ได้ห้ามอะไร จนเวลาล่วงเลยไป เด็กน้อยแร็กนาร์อายุได้ 3 ขวบ ก็มีโรคระบาดเกิดขึ้นในเขตชายแดน ผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก รวมทั้งเด็กๆในหมู่บ้านด้วย  ริเรน่าพยายามหาทางรักษาพวกเด็กๆและนั่นก็เป็นสาเหตุให้เธอติดโรคนี้ไปด้วย

               คำขอร้องก่อนสิ้นใจของเธอคือ “ได้โปรดอย่ารังเกียจแร็กนาร์เลยรูเฟรียส ช่วยดูแลลูกต่อไปด้วย ข้ารักท่าน...รูเฟรียส” ริเรน่าตระหนักดีว่ารูเฟรียสรู้สึกรังเกียจลูกครึ่งมากแค่ไหน เธอจึงได้เอ่ยขอก่อนที่จะสิ้นใจ เธอกลัวเหลือเกินว่ารูเฟรียสจะทำเรื่องโหดร้ายกับลูกชายคนเล็กของตน

               รูเฟรียสเองก็รับคำของริเรน่าแต่โดยดี แต่ยิ่งเวลาผ่านไปไฟแห่งความแค้นก็ยิ่งสุมใจมากขึ้นเท่าทวีคูน เขาเริ่มทำร้ายร่างกายของแร็กนาร์ ระบายความโกรธทั้งหมดไปที่ร่างเล็กของเด็กน้อย และตัดขาดความสัมพันธ์ของหมู่บ้านอย่างสิ้นเชิง

               .

               .
 
               .

               หลังจากเล่าทุกอย่างจบ ทั้งห้องก็ตกอยู่ภายใต้ความเงียบ

               ตึก...ตึก...ตึก

               เมื่อทุกอย่างเงียบสงบลงก็ทำให้ได้ยินแม้กระทั่งเสียงเต้นของหัวใจ ของแร็กนาร์ที่เต้นแรงตั้งแต่เริ่มเล่าถึงปีศาจร้ายตนนั้น ทำให้แร็กนาร์เกิดความสงสัย และเริ่มคิดอย่างหนัก

               ‘ตอนนั้นแร็กนาร์ยังไม่เกิดด้วยซ้ำ ทำไมหัวใจถึงเต้นแรงเหมือนหัวใจสูบฉีดเลือดไม่พอ จนทำงานอย่างหนักแบบนี้ล่ะ เรื่องของปีศาจนั่นมีผลกระทบกับร่างนี้ขนาดนั้นเชียว หรือว่าในช่วง 1 ปีนั้นจะมีอะไรเกิดขึ้นกับร่างนี้

               โลกนี้มีพลังที่เหมือนเวทมนตร์ หรือว่าจะมีไอ้ที่เรียกว่า  “การผนึกความทรงจำ” กันนะ มันเดาได้อย่างเดียวแล้ว เพราะตอนที่เห็นรูปวาดผืนนั้นก็รู้สึกเหมือนต้องมนตร์จนลืมกระทั่งอาการแน่นหน้าอก จนหายใจไม่ออกนั่นอย่างสิ้นเชิง

               ข้อมูลเกี่ยวกับโลกนี้ก็ได้มามากพอควรแล้ว แต่สิ่งที่เป็นปัญหาที่สุดคงจะเป็นปริศนาเกี่ยวกับร่างนี้สินะ โอ้! พระเจ้าจะให้ร่างใหม่ทั้งที ขอร่างที่มันเข้าใจง่ายกว่านี้ไม่ได้หรือไงกัน งงไปหมดแล้วเนี่ย เพราะคนอย่างเราที่เชื่อในวิทยาศาสตร์มาตลอด จะให้มาเข้าใจเรื่องเหนือธรรมชาติแบบนี้มันก็แย่เอาการแฮะ’


               จอก...

               “แหะ” แร็กนาร์หัวเราะ และยิ้มออกมาเล็กน้อยด้วยความเขินอาย เพราะท้องดันร้องประท้วงออกมาด้วยความหิว คงเพราะใช้ความคิดมากเกินไป และร่างกายนี้ก็ขาดอาหารมาหลายวัน จึงทำให้ท้องของเขาร้องออกมาอย่างปิดไม่อยู่

               “ฮ่าๆๆๆๆ ข้านึกว่าเจ้าจะเศร้ากว่านี้เสียอีก แต่เรื่องเล่าของข้ากลับทำให้ท้องเจ้าหิวเสียอย่างนี้ หึหึ” เสียงหัวเราะจนน้ำตาเล็ดของรูร์กัสดังขึ้น หลังจากที่นั่งทำหน้าเคร่งเครียดเพราะความหนักใจอยู่นาน เขากลัวเหลือเกินว่าร่างเล็กจะทุกข์ใจ และน้อยใจในชะตากรรมของตน แต่เมื่อได้เห็นรอยยิ้มที่ดูเขินอายนั่นแล้ว รูร์กัสก็สบายใจขึ้น

               “อย่าหัวเราะ...ข้าหิวแล้ว” ถึงแม้น้ำเสียงจะดูเย็นชา แต่สีหน้ากับเก็บไม่มิด คงเป็นเพราะนิสัยติดตัวของร่างกายนี้มันแสดงออกมาอย่างควบคุมไม่ได้ แร็กนาร์ไม่ได้รู้สึกโกรธที่รูร์กัสหัวเราะเขา เพียงแค่รู้สึกเสียหน้า และเขินอายที่ท้องดันมาร้องต่อหน้าเด็กน้อยอย่างรูร์กัสเท่านั้นเอง

               “ฮ่าๆๆๆได้ๆ พี่เตรียมเสบียงไว้แล้ว ตามลงไปข้างล่างได้เลย” เมื่อสบายใจแล้วรูร์กัสก็ลุกขึ้น แล้วลุกเดินลงบันได้ แร็กนาร์เองก็ตามลงไปเช่นกัน

               หลังจากลงมาด้านล่างก็เข้าไปในครัวด้านในมีเตาสำหรับทำอาหาร ตู้เก็บวัตถุดิบ เตาผิงขนาดใหญ่ที่ถูกใช้เป็นที่เก็บฟืน และโต๊ะกินข้าวขนาดเล็กกับเก้าอี้ขนาดเล็ก 2 ตัว แร็กนาร์พาตัวเองไปนั่งที่บนเก้าอี้ 1 ตัว ส่วนรูร์กัสก็ไปจัดแจงทำอาหาร เมื่อเรียบร้อยก็นำมาวางบนโต๊ะ แล้วนั่งบนเก้าอี้อีกตัว
               
                หนึ่งเด็กน้อย และหนึ่งนั่งฆ่าวัย 30 ปี ในร่างของเด็กน้อยอายุ 8 ขวบ ก็นั่งกินข้าวด้วยกันอย่างมีความสุข ผ่อนคลายความเครียดทุกอย่าง เสียงคุย เสียงหัวเราะก็ดังขึ้นอย่างไม่ขาดช่วง แม้คนตัวเล็กว่าจะเอ่ยพูดเพียงสั้นๆบ้างบางครั้งเท่านั้น
วันนี้ทั้งสองเหนื่อยกันมากเกินพอแล้ว คงต้องพักผ่อนบ้าง เรื่องอื่นๆคงต้องขอเริ่มต้นในวันพรุ่งนี้....


To Be Continued...


**************************************************
ตอนนี้แบ่งลง  2  กระทู้ค่ะ เพราะว่ามันยาวมากกกก จนเว็บแจ้งว่าเกิน 20,000  ตัวอักษร

อ่านตอนนี้แล้วรู้สึกยังไงบ้างค่ะ

เราอ่านทวนของตัวเองแล้วรู้สึกแบบ...'ตัวเอกเรื่องนี้คือใครกันแน่นะ  แร็กนาร์ หรือ รูร์กัส' 555

ขอบคุณคนที่เข้ามาอ่านต่อ และคนที่ผ่านทางมานะคะ ฝากนิยายเรื่องนี้ไว้ด้วยน้าาาา
 :-[



ออฟไลน์ buathongfin

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1244
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-3
อั๊ยย่ะะะะ ชอบๆ ขอเทพๆนะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ cheyp

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1536
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +49/-0
เรื่องน่าสนใจดีค่ะ

ออฟไลน์ GreenHead(หัวเขียว)

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
    • Green Head - หัวเขียว
ตอนที่ 4
ช่วยเหลือ


          1 เดือนผ่านไป

          แร็กนาร์ใช้ชีวิตในบ้านหลังเล็กเพียงลำพัง รูร์กัสจะแวะมาบ้างถ้าหากว่าหลบออกมาได้ ในตอนแรกนั้นรูร์กัสบอกว่าจะมาทุกวัน เพราะเป็นห่วงแร็กนาร์ที่ต้องอยู่ตัวคนเดียว แร็กนาร์จึงห้ามเอาไว้ หาเหตุผลต่างๆนาๆมาโน้มน้าวจนในที่สุดรูร์กัสก็ยอมรับ แร็กนาร์อยากอยู่เพียงลำพังเขาอยากเข้าไปในป่า เพื่อเข้าไปศึกษาพันธุ์พืชของที่นี่ว่าใช้ประโยชน์อะไรได้บ้าง

          เมื่ออยู่คนเดียวแร็กนาร์ก็ทำอย่างใจต้องการ เขาเข้าไปในป่าและสำรวจบ้านอย่างละเอียดอีกครั้ง และเมื่อสองอาทิตย์ก่อนเขาได้ค้นพบช่องทางลับลงไปยังห้องใต้ดินที่อยู่ในบ้านหลังนี้

          ทางเข้าของทางลับนี้อยู่ในเตาผิงขนาดใหญ่สร้างไว้ในห้องครัว ซึ่งดูแล้วไม่เข้ากับบ้านหลังเล็กนี้เอาเสียเลย มันจึงถูกเปลี่ยนสภาพเป็นที่เก็บฟืนสำหรับทำอาหาร ดูเหมือนมันจะถูกใช้เก็บฟืนมานาน ก่อนที่รูร์กัสจะเจอเสียอีก และเมื่อลองมองสำรวจดีๆจะพบว่าเตาผิงนี้ไม่เคยถูกใช้งานมาก่อนเลย

          หากคนมีประสบการณ์ ช่างสังเกต และเฉลียวฉลาดมองสำรวจดูก็จะคาดเดาได้ทันทีว่าต้องมีสิ่งใดซ่อนอยู่อย่างแน่นอน เขาจึงจัดแจงขนฟืนทั้งหมดออกมาก็พบแผ่นเหล็กบางๆที่รองพื้นเตาผิงอยู่ เมื่อเปิดมันขึ้นก็พบกับประตูบานเล็กๆที่อยู่บนพื้นของเตาผิงนี้ ไม่แปลกใจเลยที่รูร์กัสจะไม่สังเกตเห็นเนื่องจากมีแผ่นเหล็กวางทับอยู่ก่อน

          ด้านหลังประตูเป็นบันไดเล็กๆที่เข้าไปได้เพียงทีละคนทอดยาวลงไปด้านล่าง แร็กนาร์จึงกลับไปจุดไฟตะเกียงที่วางอยู่บนโต๊ะทานข้าว แล้วถือมันเข้าไปในเส้นทางลับนั้น เพื่อใช้เป็นแสงส่องสำหรับสำรวจรอบด้าน เดินไปสักพักก็ถึงบันไดขั้นสุดท้าย ด้านหน้าของเขาเป็นประตูเหล็กขนาดเท่ากับช่องทางพอดี เว้นเพียงพื้นที่สำหรับเปิดประตูเท่านั้น

          เมื่อแร็กนาร์เปิดประตูเข้าไป ตะเกียงที่อยู่ภายในห้องก็ค่อยๆสว่างขึ้นทีละดวงจนครบทุกอัน เขาจึงสันนิษฐานว่า เจ้าของเดิมของที่นี่คงเป็นมนุษย์ที่มีพลังธาตุไฟจึงสามารถสร้างกลไกแบบนี้ได้ เพราะโลกนี้เชื่อ และอาศัยความสามารถของเวทมนต์ซะส่วนใหญ่ ดูได้จากการที่อุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องใช้ต่างเกิดจากการใช้พลังธาตุ มีเพียงสิ่งของที่ใช้ในชีวิตประจำวันเท่านั้นที่มนุษย์สร้างขึ้นเองนี่ก็เป็นเรื่องที่เขาสอบถามเพิ่มเติมจากรูร์กัส ถึงได้รู้เรื่องราวของแดนมนุษย์มากขึ้น

          โลกใบนี้ที่เขารู้จักมากขึ้น ให้ความรู้สึก และใกล้เคียงกับยุคโรมัน มีสิ่งของต่างๆที่พัฒนาเกินกว่ายุคนั้นเล็กน้อย แต่ก็ไม่ก้าวหน้าเท่าในยุคปัจจุบันของโลกเดิม

          นั่นเป็นสิ่งที่แร็กนาร์รู้ได้จากคำบอกเล่าของรูร์กัส ทำให้เขาตกใจไม่น้อยที่ห้องนี้เต็มไปด้วยกลิ่นอายของวิทยาศาสตร์ ขวดที่เหมือนกับหลอดทดลอง อุปกรณ์ในการทดลองอย่างง่ายถูกวางเรียงรายอยู่บนโต๊ะขนาดใหญ่กลางห้องสี่เหลี่ยมมุมฉากขนาดพอเหมาะกับการใช้งานนี้ มีเก้าอี้วางอยู่ข้างโต๊ะตัวนั้น 1 ตัว ผนังรอบด้านก็มีตู้หนังสือ และชั้นวางขวดโหลเรียงรายอยู่เต็มไปหมด ในห้องนี้มีเพียงเท่านี้ ไม่มีสิ่งใดที่เกี่ยวข้องอีก

          ‘ของใช้พวกนี้แม้จะล้าหลังไปหน่อยแต่ก็พอใช้ได้ จำได้ว่ากล่องปฐมพยาบาลก็ใกล้เคียงกับที่โลกเดิมมากเลย หมายความว่าโลกนี้ก็มีการพัฒนาทางด้านการแพทย์ไม่น้อยสินะ

          ขวดโหล หลอดทดลอง มีดผ่าตัดแบบต่างๆ อา...ช่างชวนคิดถึงความหลังเสียจริง หึหึ...นึกถึงสมัยฝึก และทดลองผสมยาพิษเลย ตัดสินใจแล้ว! เอาห้องนี้ไว้ใช้ทดลองเลยละกัน แบบนี้คงชดเชยเรื่องที่ไร้พลังได้บ้างล่ะ

          น่าเศร้าซะจริง ทั้งๆที่เข้ามาในโลกที่มีพลังเหนือธรรมชาติแต่กลับใช้ไม่ได้ เฮ้ออออ ช่างเถอะ ไหนๆก็ไหนๆแล้ว  ตามน้ำไปแล้วกัน’

          หลังจากใช้ความคิดอยู่นาน   แร็กนาร์ก็จัดการหาอุปกรณ์มาทำความสะอาดห้องลับนี้  พร้อมกับสำรวจสิ่งต่างๆด้วย  เมื่อมาดูมีดผ่าตัดก็ต้องรู้สึกเสียดายนิดๆ  เมื่อพอเทียบกับมีดผ่าตัดที่เขาเคยใช้เป็นอุปกรณ์ในการช่วยชีวิต และใช้เป็นอาวุธเมื่อต้องสังหารเหยื่อแล้ว มันต่างกันมากโข ทั้งความคม ทั้งวัสดุที่ใช้  คงไม่สามารถใช้อย่างคล่องมือได้เป็นแน่  แต่พอคิดดูแล้วในบ้านหลังเก่านี้มีอุปกรณ์ที่ไม่ได้ล้าหลังมากมาย ถ้าเข้าไปในเมืองใหญ่เขาอาจเจอมีดแบบที่เขาต้องการก็ได้  คงต้องหาทางเข้าไปสำรวจในเมืองบ้างเสียแล้ว

          หลังจากวันนั้นแร็กนาร์ก็เข้าไปสำรวจ  และเก็บพืชพันธุ์ต่างๆ รวมทั้งจับสัตว์เล็กๆมาใช้ทดลอง  เพราะก่อนหน้านี้เพียงเข้าไปสำรวจเท่านั้น แต่เมื่อมีเครื่องมือพร้อมจึงไม่รอช้าที่หาทางใช้ประโยชน์จากมัน นอกจากจะทดลองกับสัตว์แล้ว มีบางครั้งที่แร็กนาร์ทดลองกับร่างกายของเขาเอง ทำให้เขาเข้าใจระยะการฟื้นฟูร่างกายของลูกครึ่งมากขึ้น แล้วยังค้นพบว่า ร่างกายของเขาสามารถต้านพิษบางชนิดได้ด้วย

           จนถึงเวลานี้ แร็กนาร์สร้างพิษได้ถึง  16  ชนิดแล้ว ส่วนยารักษานั้นไม่จำเป็นต้องนับเลย เพราะหนังสือที่วางอยู่ในชั้นวางในห้องนอนของเขาเป็นตำราสมุนไพร  และตำราปรุงยาทั้งหมด จึงไม่จำเป็นต้องทดลองให้มากมาย  เขาทำเพียงแค่ทดสอบยาชนิดที่เขาสนใจเท่านั้น ส่วนหนังสือที่อยู่ในห้องลับเป็นหนังสือเกี่ยวกับร่ายกายมนุษย์ และพลังธาตุ มีหนังสือบางส่วนที่ว่างไป  เจ้าของบ้านหลังนี้อาจจะนำมันติดตัวไปด้วยก็เป็นได้ ถึงแม้จะสงสัยว่าเจ้าของบ้านที่ใช้ห้องนี้เป็นใคร และทดลองเกี่ยวกับสิ่งใด แต่ร่องรอยที่พบกับแทบจะไม่หลงเหลือ ข้อมูลการทดลองก็หาไม่พบ เขาจึงได้แต่เก็บความสงสัยนั้นไว้เท่านั้น

           วันนี้รูร์กัสไม่ได้มาหาแร็กนาร์ เพราะเมื่อวานพึ่งนำเสบียงของอาทิตย์นี้มาให้ เขาเคยปฏิเสธในเรื่องนี้ไปแล้ว แต่รูร์กัสก็ยังดื้อดึงอยากจะดูแลในเรื่องอาหารอยู่ดี จึงได้แต่จำยอม เขาไม่อยากโต้เถียงกับเด็กน้อย

           .

           .

           .

           แร็กนาร์ข้ามไปยังเขตแดนของปีศาจ เพราะบ้านหลังเล็กนี้อยู่ไม่ห่างจากเส้นเขตแดนมากนัก และนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาข้ามไป ในแดนปีศาจนี้มีพืชและสัตว์มากมายที่แตกต่างจากแดนมนุษย์ ทั้งยังมีจำนวนและชนิดที่มากกว่า เน้นย้ำให้เห็นถึงความอุดมสมบูรณ์ของแดนปีศาจที่มีบรรยากาศอึมครึม สวนทางกับธรรมชาติที่สวยงาม

           คราวก่อนแร็กนาร์ไม่ได้เข้าไปลึกมามาก เขาเข้าไปสำรวจรอบๆเพียงเท่านั้น แต่วันนี้เขาตัดสินใจที่จะเข้าไปให้ลึกกว่าเดิม ยิ่งเดินเข้าไปลึกขึ้นก็มีพืชและสัตว์แปลกตามากขึ้น สร้างความสำราญแก่แรกนาร์ไม่น้อย

           ‘อ๊ะ พืชที่ดูอันตรายนั่นมันอะไรกัน ในหนังสือไม่มีเขียนไว้นี่ จะว่าไปแล้วต้นไม้ที่ไม่ได้บันทึกไว้ก็เยอะแยะเลยแฮะ อา...การทดลองรอบนี้ต้องสนุกกว่าที่ผ่านมาแน่ๆคงต้องเขามาบ่อยๆแล้ว หึหึ’

           เมื่อเจอสิ่งที่น่าสนใจ แร็กนาร์ก็ตกอยู่ในภวังค์ของตัวเองทันที แต่ถึงอย่างนั้นหูเล็กก็ยังคอยฟังเสียงรอบๆเพื่อระวังภัยไปด้วย หลังจากที่เก็บพืชที่มีลักษณะสีม่วงคล้ำคล้ายพืชพิษเข้ากระเป๋าเป้สะพายหลังซึ่งทำจากหนังสัตว์อย่างลวกๆที่เขาทำขึ้นเอง ทั้งยังคิดว่าจะนำพืชชนิดนี้ไปทดลองกับงูสีขาวจุดแดง หรือกบสีฟ้าสดใสดี ก็ทำให้คิดเพลิดเพลินจนเดินเข้ามาลึกกกว่าที่ตนคิดไว้ แต่แล้วความคิดก็หยุดชะงักเมื่อสัมผัสได้ถึงบางอย่าง

          ‘กลิ่นเลือด...แล้วก็เสียงคนวิ่ง...3...4 ไม่สิ 5 คน ชักจะไม่ดีซะแล้วสิ กลับเลยดีไหมนะ แต่ก็อยากรู้ แฮะ ชิ บ้าเอ้ย’

           กลิ่นเลือดที่ลอยมาตามลม เสียงฝีเท้า และเสียงของร่างกายที่เสียดสีไปกับต้นไม้เวลาวิ่งผ่านดังมาจากที่ไกลออกไป แต่แร็กนาร์กลับได้ยินมันอย่างชัดเจน เพราะการฝึกฝน และความสามารถเฉพาะตัวที่มีมาแต่กำเนิดของวิญญาณที่อยู่ในร่าง ความสามารถต่างๆที่มีติดตัวมายังใช้ได้ เพราะร่างกายนี้หลอมรวมเข้ากับวิญญาณได้อย่างพอดี หรือไม่ร่างนี้เองก็มีความสามารถพิเศษที่ประสาทสัมผัสทั้ง 5 ดีกว่าคนทั่วไปเช่นเดียวกัน

           แม้ในบางส่วนร่างเนื้อกับวิญญาณจะขัดแย้งด้านความรู้สึก และความคล่องแคล่วของร่างกายไปบ้างแต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคมากนัก หากฝึกฝนเพิ่มในร่างนี้ ในไม่ช้าความสามารถทั้งหมดต้องถูกขัดเกลาจนใช้งานได้ดังเดิมเป็นแน่

           แร็กนาร์ลังเลอยู่เล็กน้อย แต่ร่างกายที่ขาดการสังหารมนุษย์มานานนั้นกลับร่ำร้องให้เขาไปยังที่แห่งนั้น แม้หลายวันมานี้เขาจะสังหารสัตว์เล็กๆไปเป็นจำนวนไม่น้อย แต่มันก็ยังไม่เพียงพอที่จะดับความกระหายเลือดที่เขามี ร่างกายยังคงเรียกหากลิ่นคราวเลือด และเสียงกรีดร้องของเหยื่อ สัญชาตญาณของนักฆ่ายังคงฝังลึกลงไปในจิตสำนักของเขา

          ‘ชิ...บ้าเอ๊ย! ทั้งๆที่อยู่ในร่างใหม่ ทั้งๆที่มีคนที่เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจแล้ว ทั้งๆที่เป็นอย่างนั้น ทำไมความกระหายเลือดของเรายังไม่หายไปนะ...เอาวะ เป็นไงเป็นกัน ไปดูสถานการณ์ก่อนแล้วค่อยตัดสินใจอีกครั้งก็แล้วกัน’

           ร่างกายไวกว่าความคิด เมื่อความคิดตอบสนองต่อมัน ขาเล็กก็ออกวิ่งไปตามเส้นทางที่ได้ยินเสียงอย่างรวดเร็วและแผ่วเบา เท้าเล็กที่เหยียบลงบนพื้นนั้นแทบจะไร้เสียง ทำให้ผู้ที่กำลังปะทะกันหลังจากวิ่งไล่ตามกันมาไม่รู้สึกตัวถึงการมาเยือนของร่างเล็ก ซึ่งแอบอยู่หลังพุ่มไม้ไม่ห่างจากพวกเขามากนัก เพื่อจะได้สังเกตการณ์เหตุการณ์ตรงหน้าอย่างชัดเจน

           กลุ่มคนที่อยู่ตรงหน้าของแร็กนาร์ไม่ใช่มนุษย์ ไม่ต้องดูจากสีผมก็รู้ได้ว่าทั้งหมดเป็นปีศาจเผ่าพยัคฆ์ที่คงรูปร่างแบบปีศาจเอาไว้อย่างไม่ต้องสงสัย

           ปีศาจที่อยู่ในเหตุการณ์ตรงหน้ามีทั้งหมด 5 ตนด้วยกัน ปีศาจหนุ่มหนึ่งตนที่สวมชุดสีดำสนิทเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นโคลนหนึ่งตน จับปีศาจเด็ก 2 ตน ที่มีหน้าตาเหมือนกันจนแยกไม่ออก หากไม่มองที่สีผิว เพราะตนหนึ่งผิวคล้ำเข้ากับผมสีแดงอย่างยิ่ง แต่อีกตนหนึ่งกลับมีผิวสีขาวสว่างตัดกับผมสีแดงนั้นอย่างสิ้นเชิง เอาไว้เป็นตัวประกัน มันจับตัวเด็กแล้วล็อกไว้ด้วยแขน และมือข้างละคนเท่านั้น

           ส่วนปีศาจอีก 2 ตน ที่ไล่ตามมานั้นมีร่างกายใหญ่โต และสวมเพียงกางเกงแบบทหารโบราณที่มีผ้าคาดทับอีกชั้นหนึ่งเท่านั้น ตนหนึ่งวิ่งตาม ส่วนอีกตนวิ่งอ้อมไปดักข้างหน้า จนตอนนี้ปีศาจชุดดำต้องหยุดอยู่ตรงกลางอย่างหนีไปไหนไม่พ้น

           “เจ้าหมดทางหนี้แล้วเจ้าคนขี้ขลาด!  ปล่อยเด็กทั้งสอง  แล้วยอมจำนนซะ” ปีศาจที่อ้อมไปดักด้านหน้าพูดขึ้น ทั้งยังแสดงพลังข่มขู่อีกฝ่ายออกไป

           “หึหึ  พวกแกคิดว่าข้าเข้าไปสร้างความวุ่นวายในบ้านใหญ่ แล้วจับตัวประกันหนีเท่านั้นสินะ ฮ่าๆพวกเจ้าช่างโง่เขลา คิดว่าข้าไม่รู้หรือไรว่าเด็กสองคนนี้เป็นใคร” ปีศาจชุดดำเอ่ยขึ้นก่อนจะเหยียดยิ้มอย่างเย้ยหยัน

           “แก!” ปีศาจร่างใหญ่ทั้งสอง กัดฟันพูดขึ้นพร้อมกันอย่างเดือดดาล

           “ปล่อย” เด็กปีศาจผิวคล้ำพูด

           “ปล่อยข้า...เข้าจะฆ่าเจ้า” เด็กปีศาจผิวขาวเองก็พูดขึ้นเช่นกัน

           เด็กปีศาจทั้งสองเอ่ยขึ้นด้วยความโกรธเคือง ไร้ซึ่งความกลัวใดๆ ไม่แม้แต่จะเอ่ยคำร้องขอชีวิตของตน ช่างเป็นเด็กที่แปลกประหลาดเสียจริงๆ

           หนึ่งชายชุดดำ  และสองชายร่างใหญ่ยังคงส่งสายตา และจิตสังหารกดดันอีกฝ่าย ไม่แม้แต่จะสนใจเด็กปีศาจทั้ง 2 ตนนั้นด้วยซ้ำไป และเมื่อทุกอย่างเงียบสงบลง ไร้ซึ่งเสียงรบกวนใดๆ ตอนนี้ที่ตรงนี้คงมีเพียงพวกเขาแค่ 5 ตนเท่านั้น นั่นคือสิ่งที่ปีศาจหนุ่มทั้ง 3 คิด โดยไม่รู้เลยว่ามีร่างเล็กของเด็กลูกครึ่งแอบดูพวกเขา ทั้งยังได้ยินทุกอย่างอย่างชัดเจน

           แร็กนาร์ที่หลบซ่อนตัวอยู่มั่นใจในความสามารถนี้ของตน  แม้จะอยู่ในร่างใหม่แล้วก็ตาม สายตาของเขาก็ยังสอดส่องอย่างระแวดระวังอย่างรอบด้านโดยไม่คิดจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเหตุการณ์ตรงหน้า ทั้งยังต้องลบจิตสังหาร รวมถึงความกระหายเลือดของตนเอาไว้ด้วย

           .

           .

           .

         
 

ออฟไลน์ GreenHead(หัวเขียว)

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
    • Green Head - หัวเขียว
           ...       

           “ฮ่าๆๆๆๆ  สุดยอดเลยว่ะ หึหึ ฮ่าๆๆ” เสียงระเบิดหัวเราะของปีศาจหนุ่มทั้ง 3 ดังขึ้น พร้อมๆกัน  หลังจากที่รอจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครตามมา หรืออยู่บริเวณใกล้ๆนี้

           แร็กนาร์คาดเดาได้ทันทีว่าทั้ง 3 ร่วมมือกัน หรือไม่ก็เป็นพวกเดียวกันตั้งแต่ต้น ต่างจากปีศาจเด็กทั้งสองที่ยังคงงงงวยกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

           “ฮ่าๆเจ้าเล่นได้เนียนไม่เบานี่ เจ้าคนชอบสร้างความปั่นป่วน” ชายร่างใหญ่ที่เป็นผู้ไล่ตามพูดขึ้นอย่างหยอกล้อ

           “เจ้าเองก็เล่นเป็นพวกมันได้เนียนจริง ข้านี่แทบจะหลุดขำท่าทีที่ดูจริงจัง ขึงขังของเจ้า ช่างไม่เข้ากับเจ้าเอาเสียเลย ฮ่าๆๆๆๆ” ชายชุดดำก็ตอบกลับมาเช่นกัน

           “จะไม่ให้เนียนได้อย่างไรเล่า ก็พวกข้าเข้าไปแฝงตัวอยู่ตั้ง 2 เดือนแล้วนี่ ถ้าถูกจับได้คงขายหน้าแย่ หึหึ” ชายร่างใหญ่อีกคนตอบออกมาด้วยท่าทีนิ่งๆแต่ดวงตาฉายแววแห่งความโอ้อวด

           ความสงสัยทุกอย่างกระจ่างชัดเมื่อทั้ง 3 เปิดปากพูดคุยกัน แต่ที่แร็กนาร์ยังสงสัยคือ เด็กปีศาจทั้งสองตนนั้นมีความสำคัญอย่างไรกับพวกมันถึงได้วางแผนจับตัวที่ต้องอาศัยระยะเวลาขนาดนี้ เด็กทั้งสองคงต้องเป็นคนสำคัญเป็นแน่ แต่สำหรับเด็กปีศาจทั้งสองยังคงงงกับเรื่องนี้อยู่ พวกเขาไม่เข้าใจสิ่งที่ปีศาจหนุ่มทั้งสามพูด

           “พวกเจ้าหมายความว่าอย่างไร” เด็กปีศาจผิวเข้มถามออกไปด้วยสีหน้าที่แสดงถึงความหวาดหวั่นเล็กน้อย

           “ปล่อยข้านะ พวกเจ้าเป็นคนของท่านพ่อ ทำไมถึงกล้าหักหลังกัน!” เด็กปีศาจผิวขาวเองก็ตวาดออกไปอย่างสุดเสียงเช่นเดียวกัน

           แม้เด็กทั้งสองจะไม่เข้าใจบทสนทนาของปีศาจหนุ่มทั้งสามมากนัก แต่ก็พอคาดเดาได้ว่า ตอนนี้พวกตนตกอยู่ในอันตราย ที่ไม่อาจมีใครเข้ามาช่วยเหลือได้

           “โถๆๆๆ นายน้อยผู้โง่เขลา ท่านช่างไม่เข้าใจสิ่งใดเลย หึหึ” ชายชุดดำที่เปลี่ยนท่าทางจากกอดเด็กเอาไว้ในแขนข้างละคน เปลี่ยนมาใช้มือล็อกที่ต้นคอ แล้วยื่นออกห่างจากตัวเล็กน้อย เพื่อให้ทั้งสองเผชิญหน้ากับตน จากนั้นก็แกว่งเด็กไปมา พร้อมพูดด้วยน้ำเสียงขำขันปนเย้ยหยันเล็กน้อย

           “เจ้าบอกให้นายน้อยฟังหน่อยสิ เคอรี่” แล้วก็พูดประโยคถัดมาโดยยังคงจ้องหน้ากับเด็กปีศาจทั้งสองอยู่

           “ทำไมต้องเป็นข้า ทำภารกิจให้จบแล้วกลับกันได้แล้ว” เจ้าของชื่อคือ ปีศาจหนุ่มร่างใหญ่ที่เป็นฝ่ายไล่ตามมา เขาพูดตอบด้วยความเบื่อหน่าย เพราะอยากกลับเต็มที การต้องทนอยู่ภายใต้คนอื่นที่ไม่ใช่เจ้านายตนถึง 2 เดือนนี้ เขาก็ใช้ความอดทนไม่น้อย

           “หน่าๆๆ ก่อนตายก็ให้ฟังเหตุผลก่อนสิ เดี๋ยวจะตายตาไม่หลับเอานา” ปีศาจชุดดำพูดขึ้นอีกครั้ง ด้วยท่าทางยียวน ก่อนจะหันไปมองเพื่อนของตนด้วยสายตาบังคับ ไม่ใช่ร้องขอ

           “เจ้า...เฮ้อ ก็ได้ เจ้าจะใจดีกับมันไปทำไมกัน หึ...ฟังนะนายน้อยของกลุ่มยาฉะ พวกเราทั้ง 3 ไม่ใช่คนของท่าน พวกข้ามาจากกลุ่มโนบุ นายท่านของเราต้องการที่จะครอบครองอาณาเขตของกลุ่มยาฉะอย่างไรเล่า พวกข้าถึงต้องลงทุนวางแผนการครั้งนี้

           เป็นเพราะกลุ่มของเรามีจำนวนคนเท่าๆกันหากเกิดการต่อสู้ขึ้นก็คงจะคาดเดาฝ่ายที่จะชนะได้ยาก การใช้วิธีสกปรกจึงเป็นทางออกที่ดีทีเดียว เราต้องการให้หัวหน้าของกลุ่มยาฉะ ซึ่งก็คือพ่อของท่าน อ่อนแอลง การเข้าไปโจมดี หรือลอบสังหารคนๆนั้นมันยากมากทีเดียว

           หึหึ เพราะอย่างนั้นการสังหารพวกท่านทั้งสองซึ่งเป็นลูกชายสุดที่รัก ก็จะทำให้เขาอ่อนแอลงอย่างไรเล่า หัวหน้าจิตใจอ่อนแอแล้ว ลูกน้องคงไม่อาจสู้อย่างเต็มที่ได้ พวกข้าต้องได้รับชัยชนะอย่างแน่นอน” หลังจากรับปากที่จะเล่า เจ้าปีศาจเคอรี่ก็เล่าด้วยน้ำเสียงอวดโอ้ความคิดของพวกตนทันที

           “ท่านพ่อของข้า ไม่มีทางอ่อนแอจนแพ้พวกที่ใช้วิธีขี้ขลาดอย่างพวกเจ้าหรอก!” ทั้งสองตะโกนประสานเสียงกันออกมา เมื่อเข้าใจเรื่องทั้งหมดอย่างชัดเจน  สายตานั้นก็ไม่มีแม้แต่ความลังเลใดๆปนอยู่ พวกเขาเชื่อในความคิดของตน ช่างบริสุทธิ์ และไร้เดียงสาเสียจริงๆ

           “หึหึ ถ้าอย่างนั้นก็คงต้องลองพิสูจน์ดู เอ้า! จัดการจบภารกิจสิ เคอรี่” ปีศาจชุดดำที่จับล็อกคอของปีศาจเด็กทั้งสองอยู่ จับทั้งสองหันหน้าไปเผชิญกับเจ้าปีศาจเคอรี่ในทันที

           ฉึก ฉึก

           ไม่รอช้าให้ใครได้เอ่ยคำพูดใดออกมาอีก ปีศาจหนุ่มเคอรี่บังคับร่างกายให้เล็บทั้งสองข้างยาวออกมาแล้วใช้มันทะลวงเข้าไปที่ลำตัวของเด็กปีศาจทั้งสองอย่างไร้ความปรานี

           “อึก  แค่กๆ...อึก”

           “แก...อึก”

           ปีศาจเด็กทั้งสองเอ่ยขึ้นได้เพียงเท่านั้นก่อนที่ดวงตาจะปิดลง แล้วหมดสติไป

           “แล้วเราจะทำอะไรต่อ” เมื่อทำหน้าที่ของตนเสร็จ เคอรี่ก็เอ่ยถามเพื่อนทั้งสอง พร้อมปลดผ้าที่ออกแบบให้พาดเฉียงไปกับกางเกงออกมาเช็ดมือ

           ตุบ!

           ร่างเล็กทั้งสองถูกโยนลงไปบนพื้นอย่างไม่แยแส

           “กลับ...วางพวกมันไว้นี่แหละ หึหึ ให้พวกโง่มันได้เห็น” ปีศาจชุดดำที่โยนร่างของเด็กทั้งสองลงก็พูดออกมาด้วยความสะใจในการกระทำของตน

           “ฮ่าๆเจ้านี่ชั่วได้ใจข้าจริงๆ ไปๆข้าหิวข้าวแล้ว ไปฉลองชัยชนะที่จะมาถึงในไม่ช้าของพวกเรากัน” ปีศาจเคอรี่เองก็ตอบรับอย่างง่ายได้ ก่อนที่ปีศาจอีกตนที่เงียบขรึมมานานพยักหน้ารับ และเพียงชั่วพริบตา ปีศาจทั้งสามก็วิ่งหายไปในป่าอีกด้าน

           แร็กนาร์ที่สังเกตการณ์เหตุการณ์ตรงหน้าอยู่ก็มองทุกอย่างอย่างชั่งใจ

           ตึก

           ‘อึก เอาอีกแล้วร่างนี้จะใจดีไปไหนนะ หรือเพราะยังเด็กจิตใจก็เลยบริสุทธิ์เกินไปนะ ทั้งๆที่โดนทำเรื่องโหดร้ายมาตลอดแท้ๆเชียว ชิ บ้าที่สุดเลย ทั้งๆที่เราละทิ้งความรู้สึกทั้งหมดแล้ว แต่พอมาอยู่ร่างนี้ความรู้สึกต่างๆมันเหมือนกับค่อยฟื้นคืน ความสงสารนี่ เรารู้สึกสงสารไปซะแล้ว

           สงสารเด็กปีศาจทั้งสองตนนั่นที่ไม่ต่างไปจากเรา ที่ถูกทำให้มีความหวัง ทำให้เชื่อใจ แล้วก็เขี่ยทิ้งอย่างไม่มีชิ้นดี เราต้องการเหตุผลในการช่วยเหลือมากกว่าความสงสาร

           จริงสิถ้าเราช่วยแล้วแลกเปลี่ยนกับข้อมูลในแดนปีศาจก็ได้นี่นะ แต่มันก็เสี่ยงไม่เบา ประวัติศาสตร์คงไม่ซ้ำรอยหรอกมั้ง มันอาจจะฆ่าเราก็ได้ เอาไงดีวะ

           เฮอะ! นี่มันเด็กนะเว้ย เราไม่มีทางโดนเด็ก 2 คนนี้ฆ่าได้หรอก คิดให้มันมากไปทำไมกันวะ เราก็แค่รับความรู้สึกของร่างนี้ แล้วได้ประโยชน์ไปพร้อมๆกันก็พอแล้ว’

 
           หลังจากไตร่ตรองอยู่นานแร็กนาร์ก็ตัดสินใจได้ ร่างเล็กเดินออกจากที่ซ่อนแล้วมุ่งตรงไปหาร่างที่นอนสลบไสลอยู่ที่พื้น เมื่อเดินไปถึงแร็กนาร์ก็นั่งลงตรงกลางระหว่างปีศาจเด็กทั้งสอง จากนั้นก็วางมือลงบนลำคอเพื่อวัดชีพจรให้ทีละคน เมื่อรู้ว่าชีพจรยังเต้นอยู่ ก็ตรวจสอบแผลต่อไป

          ‘แผลลึกมาก ทะลุไปถึงด้านหลังเลยด้วย แต่ก็นับว่าโชคดีมากทีเดียว ที่มันเฉือนอวัยวะสำคัญไปแค่เล็กน้อยเท่านั้น ถ้ารีบช่วยต้องรอดแน่

           ไอ้พวกประมาทเอ๊ย! ไม่เช็คสภาพเหยื่อให้ดีก่อน พวกที่โง่นี่คงเป็นพวกมันมากกว่า หึหึ นี่ถ้าเป็นเรา เด็กตัวแค่นี้แค่ตัดเส้นเลือดใหญ่ที่ลำคอทีเดียวก็ไม่รอดแล้ว’


           เพี๊ยะ!

           เสียงตบลงไปบนใบหน้าของปีศาจเด็กผิวคล้ำดังขึ้น เมื่อตรวจสอบว่าพวกเขาปลอดภัยหากรีบช่วยเหลือ แร็กนาร์ก็เริ่มทำตามสิ่งที่ตนต้องการ เขาต้องทำข้อตกลงกับเด็กทั้งสองก่อน

           “เฮ้...ถ้าไม่อยากตาย ก็ลืมตาขึ้นมา” แร็กนาร์ตบไปที่ใบหน้าอย่างต่อเนื่อง เมื่อเห็นท่าทางเริ่มมีสติของอีกฝ่ายเขาก็เอ่ยคำพูดออกมา

           “อึก ช่วย...” เด็กปีศาจผิวคล้ำมองเห็นแร็กนาร์เป็นภาพเบลอๆเท่านั้น แต่ก็พอคาดเดาได้ว่าไม่ใช่คนพวกนั้น ดูได้จากขนาดตัวที่ดูโตกว่าเขาไม่มากนัก เขาจึงพยายามจะขอความช่วยเหลือ แต่เสียงของตนก็ขาดหายไป

           “ถ้าอยากให้ข้าช่วย เจ้าต้องตกลงก่อนว่าจะตอบคำถามทุกข้อที่ข้าถาม” แร็กนาร์พูดช้าๆชัดๆเพื่อให้อีกฝ่ายที่สติเหลือน้อยเต็มทีเข้าใจ ปีศาจผิวคล้ำเองก็ทำเพียงผงกหัวเป็นการตอบรับ แล้วหลับไปอีกครั้ง

           เมื่อถามคนแรกเสร็จ แร็กนาร์ก็ถามอีกคนด้วยคำพูดเดียวกัน เมื่อปีศาจน้อยทั้งสองตอบตกลงมือเล็กก็เริ่มทำหน้าที่ในทันที

           แร็กนาร์วางกระเป๋าที่สะพายหลังอยู่ลงแล้วล้วงเข้าไปในช่องเล็กๆข้างกระเป๋า ก็เจอกับยาสมุนไพร 2 ห่อ มันคือยาห้ามเลือด และยาระงับความเจ็บปวด ที่เขาเตรียมเอาไว้ในยามฉุกเฉิน

           จากนั้นก็เทยาสมุนไพรลงไปที่บาดแผลทั้งด้านหน้า และด้านหลัง เมื่อเทลงไปในปริมาณที่เหมาะสมเลือดก็หยุดไหล เขาจึงล้วงมีไปที่ช่องเล็กๆข้างกระเป๋าอีกด้าน ในนั้นมีผ้าสีขาวสะอาดสำหรับพันแผล แร็กนาร์ทำการฉีกแบ่งครึ่ง แล้วพันมันไปที่บาดแผลของเด็กปีศาจ เมื่อทำให้คนหนึ่งเสร็จ ก็ไปทำให้อีกคน

           เมื่อแร็กนาร์ปฐมพยาบาลเบื้องต้นให้เด็กทั้งสองเสร็จก็จัดการแบกร่างของปีศาจผิวขาวขึ้นไปบนหลัง เพราะปีศาจเด็กทั้งสองดูแล้วคงจะเด็กกว่าเขา ทั้งยังตัวเล็กว่าอีก ทำให้มันไม่ยากเลยที่จะย้ายพวกเข้าไปที่บ้านเพื่อทำการรักษา แต่ก็พาไปได้ทีละคนเท่านั้น

           เมื่อพาปีศาจเด็กผิวขาวไปถึงบ้านก็นำไปวางบนเก้าอี้ตัวยาวในห้องรับแขกด้านล่าง จากนั้นก็กลับไปแบกอีกคนมาเช่นกัน แร็กนาร์จัดแจงให้ทั้งสองนอนอย่างสบายตัวบนเก้าอี้ไม้ตัวใหญ่ ที่เด็กสามารถนอนได้ถึง 3 คน

           ร่างเล็กขะมักเขม้นเข้าไปเอายาสมุนไพรและอุปกรณ์ในห้องลับออกมา แล้วจัดการรักษาบาดแผลเหวอะหวะบนตัวปีศาจน้อยทั้งสองจนเสร็จ

           .

           .

           .

           เวลาผ่านไป 4 ชั่วโมง ตอนนี้ก็เกือบเที่ยงแล้ว เรื่องเวลาของโลกนี้ดีไม่น้อยที่ไม่ต่างจากโลกเดิมมากนัก และร่างกายนี้เองก็ชินกับสภาพแวดล้อมของที่นี่จึงไม่เป็นปัญหาสำหรับแร็กนาร์เลย

           ก่อนหน้านี้เขาเดินเข้าไปตรวจบาดแผลของเด็กปีศาจก็ต้องตกตะลึงไม่น้อย เขาคิดว่าร่างกายของลูกครึ่งมีพลังฟื้นฟูอย่างน่าทึ่งแล้ว ร่ายกายของปีศาจเต็มตัวกลับฟื้นฟูได้เร็วกว่าถึง 2 เท่า บาดแผลเริ่มสมานกันบ้างแล้ว เหลือเพียงร่างกายที่ยังร้อนอยู่เท่านั้น

           พรึ่บ

           “โอ๊ย”

           “อึก...เจ็บ”

           เมื่อเสียงของเด็กปีศาจผิวขาวดังขึ้น ก็เป็นการปลุกให้ปีศาจผิวคล้ำฟื้นขึ้นมาเช่นกัน เพียง 4 ชั่วโมงเท่านั้น ร่างกายที่เจ็บอย่างหนักกลับฟื้นฟูได้ถึงขั้นนี้เชียว ปกติต้องใช้เวลาเกือบอาทิตย์แท้ๆ

           แร็กนาร์ที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ที่บันไดได้ยินเสียงของเด็กปีศาจทั้งสองก็หันไปมอง แล้ววางหนังสือลง ขยับตัวเดินเข้าไปหาร่างที่เล็กกว่าเขาในทันที

           “ฟื้นแล้วสินะ” เสียงของแร็กนาร์ทำให้เด็กปีศาจทั้งสองตกใจเล็กน้อย จึงหันมามอง เมื่อจำเหตุการณ์ที่แร็กนาร์เอ่ยถามพวกเขา ก็เข้าใจในทันทีว่าคนตรงหน้าเป็นคนช่วยเหลือพวกเขาทั้งสอง ทั้งสองยังคงนอนมองแร็กนาร์ที่ยืนมองพวกเขาอย่างไม่วางตา แร็กนาร์เองก็ไม่พูดอะไร เพียงยื่นมือไปสัมผัสหน้าผากของทั้งสองเพื่อวัดอุณหภูมิเท่านั้น เมื่อตรวจสอบแล้วร่างกายของทั้งสองอุณหภูมิคงที่ก็ทำท่าจะเดินออกไป

           “เอ่อ...คือ” เด็กปีศาจผิวขาวส่งเสียงอึกอักเล็กน้อย แร็กนาร์จึงหันไปมองด้วยสายตาและสีหน้านิ่งๆ

           “ขอบคุณมากครับ” เมื่ออีกคนทำท่าทางลังเล อีกคนก็พูดออกมาก่อนในทันที

           “ขอบคุณฮะ” เมื่อเห็นว่าแฝดของตนพูดออกไปแล้ว อีกตนก็พูดตามออกมา

           “หึ...ไม่ต้องขอบคุณข้าหรอก ข้าทำเพื่อประโยชน์ของตนเองเท่านั้น เตรียมตัวตอบคำถามด้วย...นอนพักซะ ข้าจะเตรียมอาหารเที่ยงให้” แร็กนาร์ตอบออกมาห้วนๆแบบไม่ใส่ใจอะไรมากนัก แล้วก็เดินตรงไปที่ห้องครัว

           “ครับ พี่สาว!” ทั้งสองตอบแบบประสานเสียงกันด้วยความดีใจ ตอนแรกพวกเขากังวลเรื่องที่ถูกช่วย แต่ตอนนี้ก็โล่งอกแล้ว เพราะว่าคนที่ช่วยเขาช่างใจดีเสียจริงๆ แร็กนาร์ที่ได้ยินประโยคตอบรับ สมองแทบจะประมวลผลคำพูดของเด็กปีศาจทั้งสองไม่ทัน เขาได้แต่คิดว่า

           .

           .

           .

           ‘หนอย!..ไอ้เด็กเวรเดี๋ยวพ่อก็จับแยกชิ้นส่วนซะหรอก!’

 

 

 

To Be Continued...

***********************************
 

มาแล้วจ้า ตอนที่ 4 (เกินอีกแล้วค่ะ  แบ่งเป็น 2  กระทู้เช่นเคย)

ใครที่สงสัยว่าทำไมชื่อญี่ปุ่นโผล่มาก็รออ่านตอนต่อไปนะคะ
ตอนต่อไป>>> แดนเถื่อน และคำสาบาน (เอาชื่อตอนมายั่วเล่น หุหุหุ)

คอมเมนต์ติชมกันได้เลย ขอบคุณนะคะ


 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-08-2016 09:12:10 โดย GreenHead(หัวเขียว) »

ออฟไลน์ Celestia

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 833
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
ถถถถถ กลายเป็นพี่สาวซะงั้นอะนะ

ออฟไลน์ GreenHead(หัวเขียว)

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
    • Green Head - หัวเขียว
 
ตอนที่ 5
แดนเถื่อน   และคำสาบาน


          “ครับ พี่สาว!!”

          .

          .

          .

          “พวกเจ้า!...เรียกข้าว่าอะไรนะ?” ร่างเล็กของแร็กนาร์กัดฟันพูดอย่างข่มอารมณ์ พยายามคิดในแง่ดีว่าตนนั้นอาจจะหูฝาดไปก็ได้

          “พี่สาว!” สองเสียงเจื้อยแจ้วยังคงตอบออกมาเสียงดังฟังชัด แล้วพยุงตัวลุกขึ้นนั่งมองสำรวจร่างของผู้มีพระคุณอย่างถี่ถ้วนอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่รู้ว่าตนคิดสิ่งใดผิด

          “ท่านไม่ใช่พี่สาวหรอกหรือ?” ปีศาจน้อยผิวขาวพูดพร้อมเอียงคอน้อยๆอย่างใช้ความคิด ได้แต่สงสัยว่าอีกคนไม่พอใจสิ่งใด

          “หรือท่านไม่ได้อายุมากกว่าพวกข้าอย่างนั้นหรือ?” ปีศาจผิวคล้ำถามต่อ แล้วมองสำรวจร่างของแร็กนาร์อีกครั้ง ดูอย่างไรคนตรงหน้าก็อายุมากกว่า ทั้งร่างกายที่โตกว่าแม้จะบอกบางก็ตาม ทั้งยังมีความรู้มากถึงขั้นรักษาพวกเขาที่บาดเจ็บเจียนตายจนฟื้นเป็นปกตินั่นอีก ทำไมถึงไม่พอใจที่พวกเขาเรียกว่าพี่สาวกันนะ

          ‘ไอ้พวกเด็กเวรนี่ ถ้าไม่เห็นว่าใช้ประโยชน์ได้ พ่อจับเชือดทิ้งไปนานแล้ว  หนอย! พูดมาได้ว่า พี่สาว เรอะ ไอ้พี่มันก็คงถูก ดูจากขนาดตัวล่ะนะ  แต่คิดได้ยังไงว่าเราเป็นผู้หญิงวะ  ไม่ว่าจะร่างเดิม  หรือร่างใหม่เราก็เป็นผู้ชายทั้งคู่  แบบนี้มันหยามกันชัดๆ ร่างนี่ถึงจะบางไปหน่อยแต่ก็เป็นผู้ชายนะโว้ย!  มันน่าควักลูกตาออกมาผ่าดูจริงๆเลย’

 
           ในใจของแร็กนาร์ยังคงโต้เถียงเด็กน้อยปีศาจทั้งคู่ แม้จะไม่ได้เอ่ยปากพูดออกมา แต่ก็หันกลับมามองหน้าของเด็กน้อยทั้งสองด้วยสายตาแห่งความไม่พอใจ แล้วเดินมาหยุดข้างเก้าอี้ตัวยาวที่ทั้งสองนั่งอยู่อย่างรวดเร็ว

           “ยื่นมือมา” เด็กน้อยปีศาจทั้งสองหันไปมองหน้าถามความเห็นกันด้วยความงุนงงเล็กน้อย แล้วปีศาจผิวคล้ำก็ตัดสินใจขยับตัวนั่งหย่อนขาลงจากเก้าอี้ เพื่อให้ปีศาจผิวขาวขยับมานั่งข้างๆตนได้ ปีศาจผิวขาวเองก็รู้ใจของแฝดตนขยับตัวนั่งตามอย่างว่าง่าย จนทั้งสองนั่งหันหน้าเผชิญกับแร็กนาร์ตรงๆ จากนั้นทั้งสองก็ยื่นมือคนละข้างไปให้แร็กนาร์ตามที่อีกคนบอก

           แร็กนาร์เองเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำตามที่ตนบอกก็ยื่นมือไปคว้าข้อมือทั้งสองอย่างรวดเร็ว จนเด็กปีศาจทั้งสองไปแต่มองตามมือของตนที่เคลื่อนไป

           พรึบ!

           “อ๊ะ!”

           “เฮ้ย!”

           เด็กปีศาจทั้งสองร้องด้วยความตกใจเมื่อแร็กนาร์คว้ามือพวกเขาไปจับบริเวณหน้าอกของตนด้วยใบหน้าที่เรียบเฉย ต่างกับเด็กปีศาจทั้งสองที่ไม่รู้จะแสดงสีหน้าออกไปอย่างไร พวกเขาทั้งตกใจ ทั้งเขินอายไปพร้อมๆกัน จนใบหน้าแดงซ่านไปหมด

           “พะ...พะ พี่สาว” เด็กปีศาจผิวขาวคิดสิ่งใดไม่ออกจึงได้แต่เรียกอีกคนด้วยความตกใจ

           “ปะ...ปล่อยมือข้าเถอะครับพี่สาว” เด็กปีศาจผิวคล้ำที่ดูท่าจะตั้งสติได้เร็วกว่าเอ่ยขึ้น

           ทั้งสองเสียงตะกุกตะกัก แต่ก็พยายามส่งสายตาร้องขอให้แร็กนาร์ปล่อยมือพวกเขา ที่ไม่กล้าจะดึงออกเอง แม้ว่าตอนนี้จะมีเรี่ยวแรงมากพอที่จะทำได้แล้วก็ตาม

           แร็กนาร์มองปฏิกิริยาน่ารักน่าเอ็นดูของเด็กปีศาจทั้งสองด้วยใบหน้าเรียบเฉย จนอีกฝ่ายไม่รู้เลยว่าเขาคิดสิ่งใดอยู่ แล้วไม่เขินอายกับสิ่งที่ตนกระทำบ้างหรืออย่างไร
 
           “ตั้งสติ...แล้วคิดดีๆ” เสียงราบเรียบถูกส่งออกไปอีกครั้งเพื่อเตือนสติเด็กทั้งสอง แร็กนาร์ไม่ใช่คนช่างพูด หรือชอบอธิบายสิ่งใดที่มันยุ่งยาก เขาจึงมักจะลงมือทำมากกว่ามานั่นอธิบายเสมอ แต่การจะให้จับด้านล่างเลยก็รู้สึกกระดากอายอยู่บ้าง จึงเลือกให้จับด้านบนแทน มันคงไม่ต่างกันมากนัก

           “อะไร ข้าไม่เข้าใจพี่สาว” เด็กปีศาจผิวขาวพูดขึ้น ถึงแม้จะควบคุมสติได้บ้างแล้วแต่เขาก็คิดไม่ออกอยู่ดี

          ‘พี่สาว พี่สาว พี่สาว ถ้าพูดอีกคำเดียวนะ จับเชือดทิ้งซะเลยดีไหม?’

           แร็กนาร์ขมวดคิ้วด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อย ความอดทนของเขาแทบจะหมดอยู่แล้ว

           “ท่านไม่ใช่พี่สาว...สินะ” เด็กปีศาจผิวคล้ำที่ตั้งสติได้แล้วคิดทบทวนสิ่งต่างๆดีๆจึงได้เข้าใจในที่สุด เด็กน้อยมองสำรวจทั่วร่างกายของแร็กนาร์อีกครั้งด้วยความที่ไม่อยากจะเชื่อในบทสรุปของตน ก็คนๆนี้มีร่างกายที่บอบบาง ทั้งยังผิวขาวซีด ทั้งปากบางที่สีชมพูระเรื่อ ดวงตาสีดำที่เรียวเล็ก จมูกทีโด่งเป็นสันอย่างพอเหมาะเข้ากับใบหน้าที่ถึงแม้จะเรียบเฉยแต่กลับดูหวานหยด ราวกับถูกเทพสรรค์สร้างนั่น มันช่างลงตัวจนไม่อาจทำใจเชื่อในสิ่งที่ตนคิดได้

            แร็กนาร์เองเมื่อได้คำตอบที่พอใจแล้วจึงคลายมือออก ปล่อยให้มือของเด็กทั้งสองเป็นอิสระในที่สุด จากนั้นก็พยักหน้าตอบรับน้อยๆเพื่อเป็นการยืนยันสิ่งที่อีกคนสงสัย เขาเลือกที่จะเดินเข้าครัวไปเงียบๆเพื่อระงับความหงุดหงิดของตน เขาไม่อยากมานั่งต่อล้อต่อเถียงกับเด็กน้อย ที่เด็กกว่าร่างนี้ของเขาด้วยซ้ำ

            แม้จะทำเหมือนไม่สนใจเด็กปีศาจทั้งสองแล้ว แต่หูที่ดีเกินไปก็ยังคงได้ยินเสียงพูดคุยด้านนอก

            “ทำไมไม่ใช่พี่สาวล่ะ ฮิเดโอะ” เสียงของเด็กปีศาจผิวขาวดังขึ้น

            “ก็ไม่ใช่ผู้หญิงอย่างไรเล่า” เจ้าของชื่อก็ตอบกลับมาด้วยเสียงเรียบนิ่ง

            “เอ๊ะ!!!...ไม่ใช่หรอกหรือ ทำไมล่ะ” คนสงสัยยังคงถามต่อ

            “ไม่มีหน้าอก...เอ่อ...ไม่เหมือนซาโนะอย่างไรเล่า” เสียงตอบจากเด็กน้อยฮิเดโอะดังออกมาอีก เมื่อคิดว่าแฝดของตนคงไม่อาจเข้าใจ จึงได้ยกตัวอย่างให้ดูง่ายขึ้น แร็กนาร์เองก็พยักหน้าอย่างพอใจในความฉลาดเฉลียวของผู้ตอบ

            “อ้าว...แต่ว่า แต่ว่างดงามกว่าซาโนะอีกนะ ไม่ใช่ผู้หญิงหรอกหรือ” เสียงถามอย่างไร้เดียงสาดังขึ้นอีก ทำให้คนที่อยู่ในครัว ทำคิ้วเรียวขมวดเข้าหากันด้วยความไม่พอใจเป็นอย่างมาก มือที่กำลังหั่นผักอยู่ก็หยุดลง เขากำลังข่มอารมณ์โกรธของตัวเองอยู่ เพราะไม่อยากถือสาเด็กน้อย

            “งดงามกว่า แต่ก็ไม่ใช่...เขาเป็นผู้ชายเหมือนข้า กับเจ้าอย่างไรล่ะ ฮิโรกิ” ผู้ตอบก็ตอบอย่างชาญฉลาดอีกครั้ง จนคนที่ยืนระงับอารมณ์อยู่ค่อยๆคลายปมที่คิ้วออกช้าๆ

            “เอ๋...อย่างนั้นก็เป็นพี่ชายหรอกหรือ” แล้วก็เป็นคำตอบที่ทำให้คนสงสัยเข้าใจในที่สุด แร็กนาร์พยักหน้าพอใจ พร้อมยิ้มน้อยๆจากนั้นก็ลงมือหั่นผักต่อ ฮิเดโอะเองก็พอใจในผลลัพธ์ที่ตนอธิบายจนฮิโรกิเข้าใจ จนกระทั่ง

            “ไม่เอา! ข้าจะเรียกพี่สาว ก็คนๆนั้นน่ะ  ทั้งบอบบาง ทั้งงดงาม ทั้งเก่ง...ข้าตัดสินใจแล้ว ข้าจะเรียกว่าพี่สาว!” ฮิโรกิพูดด้วยเสียงที่ดังกว่าเดิมด้วยความดื้อดึง โดยไม่สนใจความรู้สึกของผู้ที่ได้ยินเอาเสียเลย

            ‘ฆ่า  ฆ่า ฆ่า ฆ่าสถานเดียว โถ่จะทนไม่ไหวแล้วเว้ย ไอ้เด็กเวร’


            ไม่เพียงแค่ความคิด แร็กนาร์ยังปล่อยรังสีแห่งการฆ่าฟันออกมาอย่างปิดไม่มิด จนเด็กน้อยปีศาจทั้งสองที่นั่งอยู่ด้านนอกสัมผัสความน่ากลัวนี้ได้ ขนของพวกเขาลุกเกรียวทั้งยังหวั่นกลัวในใจไม่น้อย

            “จะเอาอย่างไรฮิโรกิ” เพื่อแก้สถานการณ์ ฮิเดโอะจึงถามแฝดของตนอีกครั้ง เข้ามั่นใจว่าคนถูกพูดถึงต้องได้ยินการพูดคุยของพวกเขาเป็นแน่ แม้จะยังสงสัยอยู่บ้างว่าเหตุใดคนที่อายุต่างจากตนไม่มากนักถึงแผ่รังสีที่น่าหวั่นกลัวนี้ออกมาได้ แต่ก็ได้แต่เก็บความสงสัยไว้เท่านั้น

            “ข้า...เรียกพี่ชายก็ได้” ฮิโรกิที่แม้จะไม่รู้สิ่งใดมากนัก แต่ใจที่สื่อถึงกันได้ของแฝดตนจึงเข้าใจได้ว่าตนไม่มีทางเลือกนอกจากเรียกตามสิ่งที่ควรจะเป็น

            พอฮิโรกิตอบรับ รังสีน่าหวั่นกลัวก็ค่อยๆเบาบางลง จนหายไปในที่สุด ตอนนี้แร็กนาร์ผ่อนคลายตนเอง จนหายหงุดหงิดไปบ้างแล้ว

            หลังจากนั้นเด็กปีศาจทั้งสองก็พูดคุยกันเรื่องสัปเพเหระ  ที่แร็กนาร์ไม่สนใจฟังเท่าไหร่นัก เขาฟังเพียงผ่านหูเท่านั้น แร็กนาร์จัดการหั่นผักต่อจนเสร็จ แล้วจัดการทำอาหารอย่างอื่นไปพร้อมๆกัน ในระหว่างทำอาหารเสียงด้านนอกก็ดังไปเรื่อยๆอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงเลย

            ‘คุยไม่หยุดเลยแฮะ ไม่เหนื่อยบ้างเลยรึไงกัน  แต่อาการคงดีขึ้นมากแล้วถึงได้ส่งเสียงได้มากขนาดนี้นี่นะ

            แต่ที่น่าแปลกใจก็คงจะเป็นชื่อที่เราได้ยิน ทั้งๆที่ชื่อที่เราเคยได้ยินมามันเป็นชื่อออกไปทางยุคโรมันแท้ๆ ทำไมชื่อของเด็กพวกนั้น รวมทั้งชื่อกลุ่มนั่นถึงออกไปทางญี่ปุ่นกันนะ ทั้งกลุ่มยาฉะ กลุ่มโนบุ ทั้งฮิเดโอะ ทั้งฮิโรกิ แบบนี้มันญี่ปุ่นชัดๆเลย มันชักจะแปลกเกินไปแล้ว มันอะไรของโลกนี้กันนะ หรือจะเหมือนโลกเดิมที่แบ่งแยกดินแดนเป็นประเทศ หลายหลายความเชื่อ หลายหลายวัฒนธรรม แต่กลับใช้ภาษาเดียวกัน แบบนี้คงเป็นโลกในอุดมคติของใครหลายๆคนเลยล่ะ โลกนี้มันช่างน่าสนใจซะจริงๆ

            หึหึ คงต้องสอบสวนเด็กน้อยพวกนั้นอย่างจริงจังซะแล้ว ถึงจะเด็กไปหน่อย แต่คงพอมีข้อมูลให้เราบ้าง ไม่มากก็น้อยล่ะ ตอนนี้ข้อมูลสำคัญที่สุด ไม่ใช่แค่ของมนุษย์ ของปีศาจเองเราก็ต้องรู้ให้มากที่สุด จะได้เตรียมพร้อมรับมือถูก มันคงจะพอชดเชยกับคนไร้พลังอย่างเราได้ล่ะนะ’


            หลังจากนั้นแร็กนาร์ก็คิดเรื่องต่างๆไปเรื่อยๆทั้งเรื่องปรุงยา ทั้งเรื่องข้อมูลต่างๆ รวมทั้งเรื่องจะจัดการอย่างไรกับเด็กทั้งสอง จนเวลาล่วงเลยไปอาหารก็เสร็จสรรพพร้อมจะตั้งโต๊ะ

            แร็กนาร์จัดของบนโต๊ะอาหารเสร็จก็ออกมาด้านนอกเห็นเด็กปีศาจทั้งสองกำลังเดินสำรวจสิ่งของที่มุมต่างๆในห้องนั่งเล่น

            ‘เฮ้ออออ นี่เราเอาตัววุ่นมาดูแลรึเปล่านะ เด็กก็ไม่เคยเลี้ยงซะด้วย จะรับมือถูกไหมนะเรา ดื้อนักฆ่าให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลยก็คงจะดี’

            “หยุดเดินแล้วมากินข้าว” แร็กนาร์พูดด้วยเสียงราบเรียบเช่นเคย เด็กปีศาจทั้งสองก็สะดุ้งน้อยๆที่ถูกเรียก พวกเขาไม่รู้เลยว่าแร็กนาร์เข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ หลังจากเลิกตกใจก็หันมายิ้มกว้างส่งไปให้แร็กนาร์ แล้วเดินตามหลังของเจ้าของเสียงเข้าไปในห้องครัวทันที

            โต๊ะกินข้าวเป็นแบบตัวยาว ที่นั่งได้ทั้งหมด 6 คน ห้องครัวเล็กๆแต่กลับมีโตะกินข้าวตัวใหญ่ อาจจะเป็นความชอบของเจ้าของบ้านหลังนี้ เพราะโต๊ะ และเก้าอี้ล้วนทำจากไม้เนื้อดีทั้งนั้น  แร็กนาร์เดินไปนั่งลงที่เก้าอี้หัวโต๊ะในทันที ส่วนเด็กปีศาจจอมซนทั้งสองก็ไปนั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งหนึ่งซึ่งแร็กนาร์วางจานอาหารไว้ที่ฝั่งขวามือของเขาทั้งสองจาน

            “อาหารแปลกประหลาด” ฮิเดโอะพูดออกมาเสียงเบาๆแต่สายตากับจับจองอาหารในจานของตนอย่างสำรวจ และตื่นเต้นกับอาหารที่แปลกตา

            “พี่สะ...เอ้ย พี่ชายทำอาหารแปลกๆแต่น่าอร่อยสุดๆเลย” ฮิโรกิออกเสียงเรียกแร็กนาร์ในตอนแรก ก็ถูกสายตาของคนถูกเรียกจับจ้องอย่างกดดันเล็กน้อย จึงเปลี่ยนการเรียกในทันที แต่ก็ไม่ได้ทำให้สีหน้าตื่นเต้นที่จะได้ทานอาหารแปลกใหม่เปลี่ยนไปมากนัก

            อาหารที่แร็กนาร์ทำวันนี้เป็นชุดสเต็กที่ในจากมีเนื้อของสัตว์ที่ลักษณ์คล้ายหมูป่าที่เขาจับได้เมื่อวาน ตอนนี้มันถูกบดจนไม่เหลือเคล้าเดิม แล้วนำมาคลุกเคล้าเครื่องเทศที่ได้มาจากรูร์กัสจนเป็นแผ่นกลมหนาขนาดพอเหมาะกับอาหาร 1 มื้อ นอกจากเนื้อก็มีไข่ดาวที่วางบนขนมปังปิ้ง และสลัดที่รวมผักสดต่างๆซึ่งได้มาจากรูร์กัสเมื่อวานเช่นเดียวกัน ในโลกนี้นับว่าอาหารการกินใกล้เคียงกับโลกเดิม การทำอาหารจึงไม่เป็นอุปสรรคกับแร็กนาร์มากนักเขาจึงเลือกทำอาหารแบบง่ายๆให้คนละจานเท่านั้น

            แร็กนาร์เริ่มตักอาหารใส่ปาก เด็กน้อยทั้งสองก็เริ่มทานเช่นดียวกัน แม้จะใช้มีดหั่นเนื้อไม่เป็นนักแต่ก็พยายามทำตามแร็กนาร์ และพอชำนาญก็กินอาหารอย่างเอร็ดอร่อยไม่พูดไม่จาอีก แร็กนาร์เองเมื่อเห็นว่าเด็กทั้งสองทานอาหารที่เขาทำได้ ก็นั่งทานเงียบๆอย่างพอใจ พร้อมมองสำรวจพฤติกรรมของเด็กปีศาจทั้งสองในขณะทานอาหารไปด้วย

            .

            .

            .
           

ออฟไลน์ GreenHead(หัวเขียว)

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
    • Green Head - หัวเขียว
   

             “ไปนั่งรอ” แร็กนาร์ทานของตนหมดก่อนจึงนั่งรอเงียบๆ ไม่นานนักเด็กปีศาจทั้งสองก็ทานอาหารของตนจนหมด ทั้งยังดื่มน้ำที่วางไว้จนเสร็จเรียบร้อย หลังจากนั้นเสียงเรียบของแร็กนาร์ก็เอ่ยขึ้นอีกครั้งทั้งยังชี้มือไปทางห้องนั่งเล่น เป็นการบอกให้ทั้งสองไปนั่งรอในนั้น

             “ครับ!!” เด็กปีศาจทั้งสองก็ว่าง่ายขึ้นหลังจากทานอาหารเสร็จ ตอบรับคำสั่งแล้ววิ่งออกไปรอที่ห้องนั่งเล่นในทันที

             แร็กนาร์นำจานทั้งหมดไปล้างในอ่างสำหรับล้างจานจนเสร็จ แล้วจึงเดินตามเด็กปีศาจทั้งสองออกไปที่ห้องนั่งเล่น

             “นั่งนิ่งๆ” เสียงเรียบของแรกนาร์ถูกส่งออกไป หลังจากเดินมาหยุดอยู่ข้างเก้าอี้ตัวยาว เด็กน้อยปีศาจทั้งสองก็หยุดขยับไปมาตามที่แร็กนาร์บอก จากนั้นเขาก็ตรวจบาดแผลด้วยสายตา และสัมผัสด้วยมืออย่างแผ่วเบา เพราะตอนนี้เด็กทั้งสองไม่ได้ใส่เสื้อ ใส่เพียงกางเกงสีดำที่ยาวไปถึงข้อเท้า ซึ่งแร็กนาร์ถอดเสื้อของเด็กทั้งสองออกตอนที่รักษาบาดแผล การตรวจจึงเป็นไปได้โดยง่าย ผ่านไปไม่นานนักแร็กนาร์ก็ตรวจจนเสร็จเรียบร้อย เขาจึงได้เดินไปนั่งที่เก้าอี้ตัวเล็กสำหรับนั่งคนดียวที่ตั้งอยู่ด้านข้าง

              “ข้าชื่อ แร็กนาร์ คูฟฟ์ อายุ 8 ปี” หลังจากนั่งลงบนเก้าอี้แร็กนาร์ก็แนะนำตัวด้วยท่าทีนิ่งๆ ประหนึ่งตนกำลังนั่งคุยกับเด็กน้อยที่อายุห่างกันหลายปี

              “ข้า ยาฉะ ฮิเดโอะ” อิเดโอะพูดขึ้นเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายหยุดพูดเพื่อให้เขาแนะนำตัวเองบ้าง

              “ข้า ยาฉะ ฮิโรกิ” ฮิโรกิเห็นฮิเดโอะแนะนำชื่อของตน เขาจึงแนะนำตามอย่างแฝดของตน

              “พวกเราอายุ 7 ปี พี่ชายอายุห่างจากข้าแค่เพียง 1 ปี ทำไมถึงรักษาบาดแผลของพวกเราได้” ฮิเดโอะถามในสิ่งที่ตนสงสัยทันทีเมื่อได้ยินอายุจริงของผู้มีพระคุณ

              “เรียกข้าว่า แร็กนาร์” แร็กนาร์ได้ยินเรื่องนี้อยู่ก่อนแล้วตั้งแต่เด็กปีศาจทั้งสองพูดคุยกันในขณะที่เขาทำอาหาร แต่เขาก็ไม่คิดจะอธิบายสิ่งใด

              “มาเริ่มตอบคำถามตามข้อตกลงของเราได้แล้ว” จากนั้นก็เริ่มต้นเข้าสู่เรื่องที่ตนต้องการทันที

              “แค่ตอบคำถามของพี่ เอ้ย เจ้าเท่านั้นหรือ แร็กนาร์” ฮิโรกิถามขึ้น ทั้งยังเปลี่ยนการเรียกอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว แบบนี้ดีกว่าให้มานั่งเรียกว่าพี่ชาย ทั้งๆที่ในใจของเขาไม่อยากเรียกเลย 

              “ใช่” แร็กนาร์ตอบเพียงสั้นๆด้วยเสียงราบเรียบ ทำให้เด็กปีศาจทั้งสองอดคิดไม่ได้ว่า คนๆนี้มีความคิดโตเกินอายุ หรือมนุษย์เป็นแบบนี้ทั้งหมดทุกคนกันแน่

              “ตกลง ข้าพร้อมแล้ว” ฮิเดโอะตอบรับอย่างว่าง่าย แล้วจ้องมองแร็กนาร์เพื่อรอคำถาม

              “ข้าก็พร้อม” ฮิโรกิตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้มมองไปที่แร็กนาร์เช่นเดียว

              “เจ้าคนที่ชื่อ เคอรี่ พูดว่ากลุ่ม มันคืออะไร?” แร็กนาร์มองตอบกลับด้วยสายตาจริงจังในคำถามเช่นเดียวกัน

              “เอ๊ะ!! เจ้าได้ยินอย่างนั้นหรือ!!” เด็กปีศาจทั้งสองต่างกะโกนออกมาพร้อมกันด้วยความตกใจ เพราะในตอนนั้น ไม่เพียงปีศาจร้ายทั้งสามที่สัมผัสถึงแร็กนาร์ไม่ได้ พวกเขาทั้งสองก็สัมผัสถึงคนอื่นนอกจากนั้นไม่ได้เช่นกัน

              “ใช่...ตั้งแต่ต้น” แร็กนาร์ยังคงตอบด้วยท่าทีนิ่งเรียบตามแบบฉบับของตน แล้วจ้องมองทั้งสองอย่างคาดคั้นให้ตอบคำถามของเขา

              “ทำไมข้าถึงสัมผัสถึงแร็กนาร์ไม่ได้กัน ฮิเดโอะเจ้าล่ะรู้รึเปล่า” ฮิโรกิถามในสิ่งที่ตนสงสัยออกมาในทันที แล้วหันไปถามแฝดของตนเพื่อยืนยันว่าไม่ใช่เพียงแค่เขาที่สัมผัสตัวตนของแร็กนาร์ไม่ได้

              “ข้าก็ด้วย” ทั้งสองมองหน้ากันก่อนจะหันมามองหน้าของแร็กนาร์เพื่อขอคำตอบ

              “เฮ้ออออ พวกเจ้าไม่ต้องรู้หรอก แค่ตอบคำถามของข้าก็พอ” ผู้ถูกส่งสายตาแห่งคำถามไปให้ยังคงไม่คิดจะตอบคำถาม เขาคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องจำเป็นที่จะต้องมานั่งอธิบาย

              ‘ไอ้เด็กฮิดะนี่จะขี้สงสัยเกินไปแล้ว นั่งนิ่งๆแล้วตอบคำถามอย่างว่าง่ายหน่อยไม่ได้รึไงนะ ตอนนี้เราเป็นคนถาม ทำไมต้องมาถูกถามเองด้วย ชิ อุตส่าห์ช่วยมาทั้งทีก็ทำตัวให้มีประโยชน์หน่อยเถอะ เฮอะ มีแต่เรื่องน่าหงุดหงิดทั้งนั้นเลยเว้ย!’

              ไม่เพียงความคิด แร็กนาร์ยังแผ่รังสีแห่งความขุ่นมัวด้วยอารมณ์หงุดหงิดออกไปด้วย แม้ใบหน้าจะยังเรียบเฉยอยู่ก็ตาม จนเด็กปีศาจทั้งสองแอบหวั่นใจเล็กน้อย

              “เลิกสงสัย...แล้วตอบข้า” น้ำเสียบราบเรียบถูกส่งออกไปอีกครั้ง แต่ครั้งนี้กลับดูเรียบเฉยยิ่งกว่าในยามปกติจนน่าหวั่นใจ อารมณ์ที่ครุ่กรุ่นกำลังถูกข่มเก็บไว้ ดังเช่นภูเขาไฟก่อนเกิดการประทุครั้งใหญ่

              “เจ้าตอบ” พูดพรางชี้นิ้วไปที่ฮิเดโอะ เจ้าตัวปัญหาที่ชอบสร้างความหงุดหงิดให้ แต่การเลือกให้ฮิเดโอะเป็นผู้ตอบคำถามนับว่าถูกต้อง แม้จะอายุเพียง 7 ปี แต่คำพูดกลับดูเป็นผู้ใหญ่เกินอายุ ทั้งยังช่างสังเกตุ ช่างสงสัย ถ้าอยู่ในโลกเดิมของเขา เด็กคนนี้คงกลายเป็นอัจฉริยะทางด้านใดด้านหนึ่งเป็นแน่

              เจ้าของชื่อพยักหน้าน้อยๆเพื่อตอบรับ แล้วพ่นลมหายใจไล่ความสงสัยของตนออกมา ฮิเดโอะทำใจยอมรับในที่สุด เขาคิดว่าถึงแม้จะถามอะไรไปแร็กนาร์คงไม่ตอบเขาเป็นแน่ คงทำได้แต่เก็บความสงสัยนี้ไว้แล้วตอบคำถามของแร็กนาร์ตามข้อตกลงเท่านั้น

              ฮิโรกิเองก็เหมือนจะเอนเอียงตามฮิเดโอะโดยง่าย เมื่อเห็นแฝดของตนตอบรับก็นั่งฟังเงียบๆให้อีกคนจัดการ

              “แดนพยัคฆ์ของเรามีชื่อเรียกอีกชื่อว่า ‘แดนเถื่อน’ เป็นชื่อที่เรียกกันในบรรดาปีศาจทั้ง 3 ดินแดน เจ้าจึงอาจจะไม่เคยรู้ เพราะดูจากลักษณะแล้วเจ้าคงไม่ใช่ปีศาจ ในบรรดาปีศาจที่ข้าเคยพบเจอมาไม่มีปีศาจตนใดเลยที่ลักษณะเหมือนเจ้า ถ้าอย่างนั้นเจ้าคงเป็นมนุษย์สินะแร็กนาร์ ถึงข้าเองจะไม่เคยเห็นมนุษย์แต่ก็คิดว่าไม่ผิดแน่นอน

              ปีศาจและมนุษย์ตัดขาดออกจากกันอย่างสิ้นเชิง มนุษย์จึงไม่อาจล่วงรู้เรื่องราวของแดนปีศาจ เจ้าแน่ใจแล้วหรือที่อยากจะรู้เรื่องของเรา” ฮิเดโอะบอกเล่าสาเหตุที่คิดว่าจำเป็นก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องราวต่างๆ แม้จะไม่ใช่เรื่องที่ต้องมาปิดบัง แต่เขาก็กลัวว่าถ้าแร็กนาร์รับรู้เรื่อราวเกี่ยวกับแดนปีศาจแล้ว อาจจะเป็นการดึงผู้มีพระคุณเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องวุ่นวายภายในดินแดนของตน

              “เล่าต่อ” แร็กนาร์ตอบรับ  แม้ฮิเดโอะจะเข้าใจผิดในเรื่องที่แร็กนาร์เป็นมนุษย์ และเขาก็ยังสงสัยว่าทำไมฮิเดโอะไม่พูดถึงลูกครึ่งก็ตาม มันอาจจะเป็นเหตุผลง่ายๆอย่างคิดไม่ถึงก็เป็นได้

              “ครับ...ดินแดนของเราต่างจากดินแดนอื่น  อาจจะต่างจากแดนมนุษย์ของเจ้าด้วย  ต่างกันตรงที่ดินแดนของเราไม่มีผู้ปกครองสูงสุด แบ่งแยกเขตแดนครอบครองโดยกลุ่มใหญ่ 4 กลุ่มโดยมีกลุ่มเล็กๆขึ้นตรงต่อกลุ่มใหญ่ทั้งสี่ ร่วมกันควบคุมดูแลพื้นที่ของตนด้วยกฎของตนเอง

              แดนพยัคฆ์ปัจจุบันแบ่งเป็น เขตเหนือ เขตใต้ เขตตะวันออก และเขตตะวันตก อาณาเขตที่เจ้าเข้าไปคือเขตเหนือ ซึ่งครอบครองโดยกลุ่มยาฉะของเรา กลุ่มโนบุครอบครองเขตตะวันตกซึ่งมีพื้นที่เล็กที่สุด แต่กลับอุดมสมบูรณ์และมีประชากรเทียบเท่ากลุ่มยาฉะของเรา เรามีข้อตกลงแบ่งผลประโยชน์กับกลุ่มโนบุอยู่แล้ว ทำให้ที่ผ่านมาอยู่ร่วมกันอย่างสันติ แต่เมื่อไม่นานมานี้กลุ่มโนบุกลับเริ่มทำการขยายอาณาเขตของตน และต้องการยึดเขตเหนือเป็นของตน ข้าเองก็ไม่รู้ถึงสาเหตุ ท่านพ่อไม่บอกให้ข้ารู้แม้จะถามไปแล้วก็ตาม

              สิ่งที่ข้ารู้มีเพียงเท่านี้ มันอาจจะไม่มีประโยชน์กับเจ้ามานัก...ข้าขอโทษนะแร็กนาร์” เมื่อเล่าเรื่องราวที่ตนรู้จบฮิเดโอะก็ก้มหัวลงขอโทษแร็กนาร์ ยิ่งเล่าเขาก็ยิ่งรู้สึกว่าสิ่งที่ตนรู้มันช่างน้อยนิดเสียเหลือเกิน มันไม่อาจทำประโยชน์ใดๆได้เลย

              “ขอโทษ” ฮิโรกิเห็นแฝดของตนขอโทษก็ก้มหน้าลงขอโทษตามไปด้วย แม้จะไม่ค่อยเข้าใจนักก็ตาม

              “มีประโยชน์มาก หรือ น้อย ข้าเป็นคนตัดสิน” เสียงราบเรียบของแร็กนาร์เอ่ยขึ้น เพื่อเป็นการบอกเป็นความนัยไม่ให้เด็กน้อยทั้งสองคิดมาก

              แร็กนาร์จะไม่ได้พูดออกมาตรงๆแต่ก็ทำให้ฮิเดโอะเข้าใจ และยิ้มออกมาได้ในที่สุด ตอนนี้ฮิเดโอะรู้สึกได้ว่าคนตรงหน้านั้นแสนจะใจดี ที่ช่วยพูดให้เขารู้สึกดีขึ้น ถึงแม้คำพูดจะเย็นชาไปเสียหน่อยก็ตาม

              ฮิโรกิก็เป็นเช่นเดิมยังทำตามฮิเดโอะอยู่ไม่ขาด  เห็นแฝดตนยิ้มก็ยิ้มตาม   หรืออาจจะเป็นแฝดกัน ทั้งใจ  และความคิด   จึงสื่อถึงกันก็เป็นได้    เพราะท่าทีที่ฮิโรกิแสดงล้วนแสดงออกมาด้วยความจริงใจ   ไม่ใช่เสแสร้งแกล้งทำแต่อย่างใด

              “พวกเจ้ารู้เรื่องแดนอื่นอีกหรือไม่”  เสียงราบเรียบที่แสดงถึงการเมินเฉยต่อรอยยิ้มของเด็กปีศาจทั้งสองเอ่ยขึ้นอีกครั้ง

              “ข้าเคยเห็นปีศาจแดนอื่นบ้าง เมื่อพวกเขามายังบ้านของเราเพื่อทำการเจรจาบางอย่างกับท่านพ่อ   และได้พูดคุยบ้างบางครั้งหากท่านพ่อไม่ได้ห้ามสิ่งใด   ข้าจึงรู้เพียงว่า   ทั้งการแต่งกาย  ทั้งชื่อล้วนต่างจากเรา  ข้ารู้เพียงเท่านี้จริงๆ” ฮิเดโอะตอบด้วยความรู้สึกผิดอีกครั้ง  เขายังเด็กเกินกว่าที่จะได้รับรู้เรื่องราวของผู้ใหญ่

              “ข้าเคยถามเยอะแยะเลย  แต่ท่านพ่อบอกว่าให้รอโตกว่านี้ก่อน แล้วเจ้าจะได้รับรู้เองทุกทีเลย” ฮิโรกิพูดขึ้นมาบ้างหลังจากที่นั่งเงียบอยู่นาน เข้ารู้ว่าฮิเดโอะไม่สบายใจ จึงคิดจะช่วยพูดแก้ตัวให้

              แร็กนาร์นั่งเงียบจนเด็กทั้งสองที่แสดงท่าทางสำนึกผิด  ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ จึงได้แต่ถอนหายใจออกมาเบา ให้กับอารมณ์ที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาของเด็กทั้งสอง เขาไม่ได้โกรธเคือง เพียงแต่ตอนนี้ไม่รู้จะรับมือกับสถานการณ์ตอนนี้อย่างไรดี ไม่รู้ควรถามต่อดีหรือไม่

              “ข้าเข้าใจและไม่ได้โกรธหรือไม่พอใจ...พวกเจ้าหายจากอาการบาดเจ็บแล้ว กลับไปเถอะ”  ในเมื่อไม่รู้จะรับมืออย่างไร แร็กนาร์จึงเลือกที่จะให้เด็กทั้งสองกลับบ้านไป เขาไม่ชอบการคลุกคลีอยู่กับเด็กๆแบบนี้ ที่ไม่ว่าจะน้ำเสียง สีหน้า และแววตา การกระทำต่างๆล้วนไร้เดียงสาจนเขารับมือไม่ถูก ไม่รู้จะโต้ตอบไปอย่างไรให้เหมาะสมไม่ให้รุนแรงจนเกินไป...นี่เขาเป็นพวกใจอ่อนกับเด็กอย่างนั้นหรือ?

              “เจ้าไม่ถามต่อแล้วหรือ แร็กนาร์”  ฮิเดโอะถามออกมาด้วยความรู้สึกผิดที่เพิ่มขึ้นอีก เขารู้ว่าแร็กนาร์กำลังไล่พวกเขา เขาคงหมดประโยชน์กับคนตรงหน้าแล้วจริงๆ

              “ใช่” แร็กนาร์ตอบเพียงสั้นๆก่อนจะลุกขึ้นเดินไปที่ข้างโต๊ะที่ตั้งไว้ตรงกลาง เพื่อหยิบยาที่ผสมเสร็จแล้วไปให้เด็กปีศาจทั้งสอง

              “ถ้ารู้สึกไม่สบายตัวเพราะแผลอักเสบก็กินซะ” แร็กนาร์พูดขึ้นอีกขณะยื่นห่อยาไปให้กับฮิเดโอะ

              “ให้พวกเราตอบแทนเจ้ามากกว่านี้ไม่ได้หรือ” ฮิเดโอะยื่นมือไปรับห่อยาจากแร็กนาร์มาถือไว้ แล้วถามต่อ เขายังอยากทำประโยชน์ให้กับผู้มีพระคุณที่แม้จะมีร่างกายโตกว่าพวกเขา แต่กลับดูบอบบางกว่าอย่างเห็นได้ชัดนี้

              “ไม่...ข้าไม่มีสิ่งใดจะถาม หรือให้พวกเจ้าทำ” พูดจบแร็กนาร์ก็เดินไปที่ประตูบ้าน จากนั้นมองมาที่เด็กปีศาจทั้งสองเป็นเชิงไล่ให้ออกไปได้แล้ว

              ทั้งฮิเดโอะ และฮิโรกิต่างมองหน้ากัน ก่อนที่จะหันไปมองทางแร็กนาร์ แม้ในตอนแรกนั้นพวกเขาทั้งสองกลัวว่าจะถูกใช้ประโยชน์มากเกินไป หลังจากถูกช่วยชีวิตเอาไว้ แต่ตอนนี้กลับรู้สึกลำบากใจที่ผู้มีพระคุณใช้ประโยชน์จากพวกเขาน้อยจนเกินไปเสียได้   ตอนนี้ทั้งสองต่างรู้สึกผิดในใจ ในขณะเดียวกันก็รู้สึกซาบซึ้งในการกระทำของแร็กนาร์  ที่เรียกร้องเพียงสิ่งเล็กๆน้อยๆจากพวกเขาเท่านั้น แล้วยังมอบยาให้แบบไม่ขอสิ่งใดตอบแทนอีก คนๆนี้ช่างน่ายกย่องเสียจริงๆ

              ในตอนนี้เด็กทั้งสองมีเรื่องลังเลอยู่ในใจ พวกเขาไม่รู้ว่าจะยอมทำตามแร็กนาร์อย่างว่าง่าย  หรือจะทำสิ่งใดเพื่อตอบแทนแร็กนาร์ดี

              ที่แร็กนาร์ช่วยเอาไว้คือชีวิตพวกเข้าทั้งสองชีวิต ถ้าหากแร็กนาร์เลือกที่จะเมินเฉย พวกเขาคงไม่อาจมีลมหายใจอยู่ได้จนถึงตอนนี้ ฮิเดโอะและฮิโรกิต่างมองหน้ากันเงียบๆเพื่อขอคำตอบจากอีกคน  ต่างจากแร็กนาร์ที่ตอนนี้ยืนคิดเงียบๆอยู่ที่บานประตู

              ‘อะไรของเด็กพวกนั้นกันนะ   เราก็ให้กลับออกไปง่ายๆยังไม่ยอมกลับไปอีก  ทั้งๆที่ปกติคนที่เราเจอมาต่างรีบออกไป หลังจากเราอนุญาตเลยแท้ๆ  ชิ แล้วยังทำหน้ารู้สึกผิดอีก วุ้ย   รับมือไม่ถูกจริงๆล่ะนะ

              ถึงเรื่องที่เล่ามาดูเหมือนจะไม่มีประโยชน์อะไร ก็ใช่ว่าจะไม่ได้อะไรเลยล่ะนะ  อย่างน้อยก็ได้รู้โครงสร้างการปกครองของแดนพยัคฆ์แล้ว   เราแค่พยายามไปไม่เกินเขตเหนือก็น่าจะพอแล้ว  จะได้หลีกเลี่ยงปัญหาที่ตามมาด้วย 

              เราเป็นลูกครึ่งขืนเข้าไปสุ่มสี่สุ่มห้าต้องถูกจัดการง่ายๆแน่ ถ้าหากไม่รู้อะไรเลย  อ๊ะ!  จะว่าไปเด็กพวกนี้ยังไม่รู้เลยนี่ว่าเราเป็นลูกครึ่ง ถ้าบอกไปคงจะยอมออกไปทันทีแน่ๆยังไงก็ต้องถูกรังเกียจแน่อยู่แล้ว’

              “ข้าเป็นลูกครึ่ง...ลูกครึ่งมนุษย์กับปีศาจ  พวกเจ้าไม่ควรมายุ่งเกี่ยวกับข้า...กลับไปได้แล้ว” แร็กนาร์ตัดสินใจพูดออกไปหลังจากคิดอยู่นาน

              “เอ๊ะ!!!  ไม่จริงน่า!!” เด็กทั้งสองตะโกนออกมาด้วยความตกใจ และประหลาดใจในสิ่งที่ตนได้ยิน

              “ข้ารู้ว่าพวกลูกครึ่งต่างถูกรังเกียจ ในแดนเหนือเองก็นำลูกครึ่งมาทิ้งไว้ที่เขตชายแดนบริเวณรอยต่อกับแดนมนุษย์เช่นเดียวกัน ข้ารู้มาว่าพวกลูกครึ่งนอกจากถูกรังเกียจแล้วยังถูกทำร้าย ทั้งยังไร้พลัง   ไร้ความคิด ถูกใช้เป็นแรงงานเท่านั้น...เจ้าไม่เหมือนอย่างนั้นเลย” ฮิเดโอะพูดสิ่งที่ตนรู้ออกมา นั่นทำให้แร็กนาร์เข้าใจสาเหตุที่ฮิเดโอะคิดว่าเขาเป็นมนุษย์ในทันที

              “ข้าใช่...พวกเจ้าพึ่งรู้จักข้า ยังไม่รู้จักข้าอย่างแท้จริง...กลับไปได้แล้ว” เสียงเรียบถูกส่งออกไปอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่เพียงแค่เสียง สายตากดดันที่ไล่ให้เด็กทั้งสองออกจากบ้านไปก็ถูกส่งไปอย่างไม่ปิดบัง

              แร็กนาร์ไม่รู้เลยว่าทั้งคำพูด และการกระทำของตนไปกระตุ้นการตัดสินใจบางอย่างของเด็กทั้งสอง...

              ในที่สุดฮิเดโอะกับฮิโรกิก็ยอมลุกจากเก้าอี้ที่นั่งแล้วเดินตรงไปที่ประตู แต่แทนที่จะเดินออกไป กลับไปหยุดอยู่ตรงหน้าของแร็กนาร์ จากนั้นก็นั่งคลุกเข่าลง ชันเข้าด้านขวาขึ้นมาแล้วยกแขนข้างขวาขึ้นมาวางบนเข่าขวาพร้อมกำมือมือแน่น  ก้มหน้าลง ลักษณะเหมือนกันพวกทหารที่พร้อมจะรับคำสั่ง หรือกล่าวปฏิญาณตน

              “ข้า ยาฉะ ฮิเดโอะ”

              “ข้า ยาฉะ  ฮิโรกิ”

              “พวกเราขอสาบานว่าจะปกป้อง ‘แร็กนาร์  คูฟฟ์’ ด้วยชีวิต!!”

 


 

To Be Continued...


____________________________________________________________________________________

 

แผนที่โลกใหม่  (แบบคร่าวๆ)


 

*อ้างอิงแผนที่จากประเทศอิตาลี แต่ภูมิทัศน์ด้านต่างๆเกิดจากจิตนาการของผู้แต่ง และอาจจะมีการนำสถานที่มาเกี่ยวเนื่องกันบ้างแล้วความเห็นชอบของเราค่ะ  (ที่เลือกประเทศนี้เพราะ  เป็นประเทศที่อยากไปสักครั้งในชีวิต ขอมโนก่อน หุหุ)

 

#ตอนนี้ขอลงแค่การแบ่งเขตของแดนพยัคฆ์ก่อนนะคะ หลังจากนี้เมื่อพูดถึงแดนอื่นๆจะอัพเดทไปเรื่อยๆ

 

____________________________________________________________

ลงตอนที่ 5 แล้วค่าาาา

อย่าแปลกใจที่อัพเร็วนะคะ พอดีลงเว็บอื่นได้หลายตอนแล้วพึ่งจะเอามาลงในนี้ก็เลยจะอัพให้ทันกันค่ะ

แต่ถ้าทันแล้วก็จะอัพช้าเหมือนเดิม ฮ่าๆๆ

พอว่างจะรีบมาลงทันทีเลยนะคะ ฝากนิยายเรื่องนี้ไว้ด้วยจ้า :mew1:

พูดคุย และทวงนิยายได้ที่>>>  https://www.facebook.com/greenheadzoro/
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-08-2016 08:19:59 โดย GreenHead(หัวเขียว) »

ออฟไลน์ buathongfin

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1244
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-3

ออฟไลน์ GreenHead(หัวเขียว)

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
    • Green Head - หัวเขียว

ตอนที่ 6
หวั่นไหว



          5 วันล่วงเลยมาแล้ว หลังจากเหตุการณ์ในวันที่ฮิเดโอะ กับฮิโรกิ ให้สัตสาบานต่อแร็กนาร์ ซึ่งผู้ได้รับคำสานนั้นกลับไม่เพียงไม่ยอมรับเท่านั้น ยังออกปากไล่พวกเขาอีกครั้ง จนพวกเขาจำต้องยอมกลับไปอย่างเสียไม่ได้

          แต่ก่อนจากไปก็ยังไม่ลืมที่จะยืนยันคำพูดของตนอย่างหนักแน่น ทั้งในน้ำเสียง และแววตา จนแร็กนาร์แอบหวั่นไหวอยู่ภายในใจลึกๆ เขาต้องหาเหตุผลมากมายมาลบล้างคำพูดของเด็กทั้งสอง เพื่อเขาจะได้ปิดกั้นความรู้สึกนี้ได้อย่างสมบูรณ์

          แร็กนาร์ได้แต่คิดว่า เพียงเพราะฮิเดโอะกับฮิโรกิยังเด็กมาก จึงได้กล่าวคำพูดแบบนั้นออกมาโดยไม่คิดติตรองให้ดีก่อน ไม่คิดว่าประโยคที่เอ่ยออกมานั้นจะผูกมัดพวกเขาทั้งสามเข้าด้วยกันอย่างเลี่ยงไม่ได้ หากเวลาผ่านไปเมื่อเด็กทั้งสองเติบโตขึ้น ก็คงจะลืมเลือนสิ่งที่ตนกล่าวไว้อย่างแน่นอน

          ด้วยความคิดเช่นนั้นแร็กนาร์จึงเก็บความหวั่นไหวนี้ไว้ในส่วนที่ลึกที่สุดของจิตใจ เขาไม่อยากคาดหวังกับใคร หรือเชื่อใจใครอีก เขาไม่อยากรู้สึกเจ็บปวดกับความรู้สึกผิดหวังอีกแล้ว

          .

          .

          .

          วันนี้เป็นอีกหนึ่งวันที่รูร์กัสต้องมาหาแร็กนาร์ แต่วันนี้ตั้งแต่ดวงอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้า จนลับขอบฟ้าไป ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของพี่ชายแสนใจดีเลย แม้ว่าแร็กนาร์จะยังใช้ชีวิตตามปกติของตน แต่ก็มีบ้างบางครั้งคราวที่เขาจะหันไปมองทางเดินทางด้านหน้าที่รูร์กัสมักจะใช้เดินมาเสมอ

          แร็กนาร์รู้สึกร้อนใจจากความผิดปกตินี้ ทั้งที่ปกติรูร์กัสจะมาหาเขาอย่างกระตือรือร้นตั้งแต่เช้าแท้ๆวันนี้กลับเงียบหายไปอย่างสิ้นเชิง แร็กนาร์อยากจะกลับไปที่บ้านหลังนั้นที่เขาเคยอาศัยอยู่ แต่เพราะธารน้ำที่พัดพาเขาไหลมาไกล จึงทำให้ไม่รู้ทางที่จะกลับไปที่นั่นเสียแล้ว และการแกะรอยตามทางที่รูร์กัสใช้เดินทางมาในตอนกลางคืนของโลกใบใหม่นี้มันไม่ง่ายเลย

          แร็กนาร์นั่งทำใจให้สงบ พร้อมจิบชาร้อนหอมกรุ่น แล้วพยายามคิดในแง่ดี รูร์กัสอาจจะเพียงแค่มีธุระสำคัญจนไม่อาจหลบออกมาก็เป็นได้ จนเวลาผ่านไปพักใหญ่แร็กนารที่ใจยังไม่สงบดีนักก็วางแก้วชาลง นำหนังสือที่วางกระจัดกระจายอยู่บนโต๊ะมาวางไว้ด้วยกันอย่างเป็นระเบียบ แล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้ตัวยาวในห้องนั่งเล่น เดินขึ้นไปบนห้อง เปิดตู้เสื้อผ้า เลือกชุดสำหรับใส่นอนเป็นกางเกงขาสั้นสีดำยาวถึงเข่า และเสื้อแขนสั้นสีขาว พร้อมทั้งผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่ ปิดตู้แล้วเดินไปหยิบตะเกียงที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียงเดินลงไปด้านล่าง จากนั้นก็เปิดประตู และไม่ลืมที่จะปิดมันให้เรียบร้อย ก่อนเดินออกไปตามทางที่มืดสนิท

          เพราะบ้านหลังนี้เล็กมากจึงมีเพียงห้องน้ำเล็กที่ต่อออกไปจากห้องครัว ไม่มีห้องสำหรับอาบน้ำ แม้มันจะมีถังน้ำวางอยู่ แต่แร็กนาร์ที่ไม่ชอบความยุ่งยากจึงเลือกที่จะไปอาบน้ำที่ลำธารมากกว่าหาบน้ำมาไว้ใช้สำหรับอาบทุกวัน อีกทั้งลำธารที่เขาพบมันโดยบังเอิญในตอนที่สำรวจป่า เป็นลำธารเล็กๆที่ไหลแยกออกมาจากลำธารขนาดใหญ่ที่แร็กนาร์ตกลงมา อีกทั้งอยู่กลางพุ่มไม้ที่ขึ้นทึบและร่มรื่นไร้สิ่งรบกวนใดๆ

          เดินไม่นานนักแร็กนาร์ก็มาถึงลำธารที่ตนจะอาบน้ำ เขาจัดแจงวางของทั้งหมดไว้บนโขดหินที่อยู่ข้างๆลำธาร แล้วถอดเสื้อผ้าที่ตนสวมอยู่ออก ทั้งเสื้อสีน้ำตาลแขนสั้นขนาดพอดีตัว ทั้งกางเกงสีดำที่ยาวถึงหน้าแข้ง เหลือเพียงกางเกงซับในตัวบางเท่านั้น

          ผ้าของที่นี่แม้จะมีความนุ่มแต่ไร้ซึ่งความยืดหยุ่นเป็นผ้าแบบหยาบที่ต้องใส่แบบพอดี หรือใหญ่กว่าร่างกายของตนเท่านั้น แร็กนาร์สวมใส่เสื้อผ้าเก่าของรูร์กัสที่ใส่ไม่ได้แล้วเสมอ จนตอนนี้ก็ยังคงใส่เสื้อผ้าของรูร์กัสเช่นเดิม แต่จากที่เขาสังเกตุเสื้อบางตัวยังไม่ผ่านการใช้งานด้วยซ้ำ รูร์กัสคงแอบเก็บมันไว้ให้กับเขาเป็นแน่ ยิ่งแยกมาอยู่ด้วยตัวคนดียว รูร์กัสก็ยิ่งนำเสื้อผ้าของตนมาให้แร็กนาร์มากขึ้นไปอีกจนมันอันแน่นเต็มตู้เสียแล้ว

          แร็กนาร์ถอดรองเท้าออกก่อนจะลงไปแช่น้ำในลำธารหลังจากถอดเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว น้ำในลำธารเล็กนี้มีอุณหภูมิที่พอเหมาะตามที่แร็กนาร์ต้องการ อีกทั้งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ เต็มไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่นานาพันธุ์ มันทำให้จิตใจที่ว้าวุ่นของแร็กนาร์สงบลง เขาจึงขยับตัวไปนั่งลงบนโขดหินที่อยู่ไม่ลึกมาก พอนั่งลงไปน้ำลึกถึงแค่ส่วนคอของแร็กนาร์เท่านั้น พอนั่งได้อย่างพอเหมาะ แร็กนาร์ก็เอนหลังพิงกับโขดหินที่โผล่พ้นน้ำซึ่งอยู่ใกล้ๆก่อนจะหลับตาลงซึมซับบรรยากาศ และกลิ่นอายของธรรมชาติที่แสนสงบของโลกใบนี้

          สวบ สวบ สวบ

          เสียงรองเท้าที่กระทบลงบนพื้น และเสียงเสื้อผ้าเสียดสีกับต้นไม้ดังขึ้น ทำให้แร็กหน้าหยุดชะงักการผ่อนคลาย แล้วไปหลบหลังโขดหินที่ตนพิงอยู่ เสียงฝีเท่า 2 คู่เดินอย่างเร่งรีบ ทั้งยังดังขึ้นเรื่อยๆเป็นสัญญาณบอกว่าเจ้าของเสียงฝีเท้ากำลังมุ่งตรงมายังลำธารนี้

          พรึ่บ!!

          ร่างเล็กของเด็กปีศาจผิวคล้ำ และเด็กปีศาจผิวขาวเจ้าของใบหน้าที่แสนจะคุ้นเคยปรากฎออกมาให้เห็น เมื่อเจ้าตัวเดินแหวกพุ่มไม้พุ่มสุดท้ายออกมา

          “ฮิโรกิ แฮ่กๆ ข้า แฮ่ก ข้าเหนื่อย เราถึงกันรึยัง?” ฮิเดโอะส่งเสียงพูดเมื่อคนนำทางอย่างฮิโรกิหยุดฝีเท้าลงทั้งที่เสียงยังหอบเหนื่อยอยู่

          “เอ่อ...มาผิดทางอย่างนั้นหรือเนี่ย แต่ข้าได้กลิ่นของแร็กนาร์จริงๆนะ”ฮิโรกิที่ท่าทางเหนื่อยหอบอยู่บ้าง แต่ไม่เท่าฮิเดโอะได้แต่พึมพัมตอบเบาๆก่อนมองหาร่างของคนที่ตนตามหาอยู่

          “อีกแล้วนะ เจ้าพาข้าหลงทางรอบที่ 3 แล้ว...ประสาทสัมผัสเจ้ามันตายด้านแล้วหรืออย่างไร” ทั้งที่ยังเหนื่อยหอบ แต่ฮิเดโอะก็ยังเอ่ยคำพูดกระทบแฝดของตนที่มีประสาทรับรู้เป็นเลิศ แม้จะไม่ค่อยพูดจากับคนรอบข้าง แต่ฮิเดโอะจะพูดจาอย่างสนิทสนมเพียงแต่คนในครอบครัวเท่านั้น

          ในครั้งนี้ฮิโรกิทำหน้าที่เป็นผู้นำทาง เพราะฮิเดโอะเป็นผู้วางแผนหลบหนีออกมาจากบ้านของตนที่บัดนี้ถูกคุมเข้ม จากเหตุการณ์ต่างๆที่เด็กทั้งสองบอกเล่าแก่พ่อของตน ทั้งยังขอกลับมาพบแร็กนาร์ แต่กลับถูกสั่งห้าม และยังถูกสั่งให้จับตามองไม่ให้พวกเขาคาดสายตาอีก การหลบหนีครั้งนี้จึงใช้เวลาเตรียมการ ทั้งจับตาดูเวรยามที่เฝ้า ทั้งหาลู่ทางหลบหนี กว่าจะวางแผนสำเร็จเวลาจึงผ่านมา 5 วันเสียแล้ว

          อีกทั้งฮิโรกินั้นแม้จะคล้อยตามฮิเดโอะง่ายๆ แต่จะมีความสามารถในด้านพลัง และมีพรสวรรค์ในการต่อสู้ อีกทั้งประสาทรับรู้ทั้ง 5 ที่ดีเกินกว่าเด็กในวัยเดียวกัน แต่อย่างไรก็ยังขาดการฝึกฝนอย่างจริงจังจึงทำให้การจับทิศทางคลาดเคลื่อนอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้

          “ข้าขอโทษ ทั้งๆที่ครั้งนี้ข้ามั่นใจมากแท้ๆ...ขอโทษนะ” ฮิโรกิขอโทษออกไป ด้วยความรู้สึกผิดที่ฮิเดโอะวางแผนตั้งมายมายกว่าจะออกมาได้ แต่เขาทำหน้าที่เพียงนำทางไปยังบ้านของแร็กนาร์เท่านั้นกลับทำไม่ได้ ทั้งๆที่มั่นใจในความสามารถมากแท้ๆ

          “ช่างเถอะ พวกเราก็ไม่ต่างกัน ข้าก็ใช้เวลามากเกินกว่าที่คิดไว้เช่นกัน ไปทางอื่นกันเถอะ” ฮิเดโอะเห็นฮิโรกิรู้สึกผิดจึงได้ปลอบใจ แต่ก็ทำให้คิดถึงความผิดพลาดของตนไปด้วยเช่นกัน...พวกเขาคงมั่นใจในความสามารถของตนจึงเอาแต่เที่ยวเล่นมากเกินไป จนขาดการฝึกฝนผลลัพธ์ถึงได้ออกมาเป็นเช่นนี้

          “พวกเจ้ามาทำอะไรที่นี่” แร็กนาร์เอ่ยออกมาหลังจากที่หลบหลังโขดหินอยู่นานจนมั่นใจว่าเป็นเด็กน้อยปีศาจทั้งสองแน่ๆจึงได้ออกมา เพราะในป่าแห่งนี้หากไม่ระวังให้ดีจะกลายเป็นเหยื่อของสัตว์มายา ที่สามารถเลียนเสียง และสร้างภาพลวงตาหลอกล่อผู้คนให้ตกตายไปได้หากประมาทจนเกินไป

          “เอ๊ะ! เสียงของแร็กนาร์” ฮิเดโอะคลายหน้าสำนึกผิดของตนทันที่เมื่อได้ยินเสียงของแร็กนาร์ ถ้าเชื่อง่ายเช่นนี้เห็นทีพวกสัตว์มายาคงได้เหยื่อง่ายดายเป็นแน่

          “เจ้าอยู่ตรงไหน ข้าไม่เห็นเจ้า” ฮิเดโอะที่มีสติมากกว่าพูดขึ้นหลังจากมองโดยรอบแล้วไม่พบเจ้าของเสียงแต่อย่างใด

          แร็กนาร์ค่อยๆลุกขึ้นยืนจนตอนนี้น้ำอยู่ในระดับเอวของเขาเท่านั้น แต่ก็ไร้ซึ่งเสียงตอบใดๆจากเจ้าตัวอีกเช่นเคย เขาทำเพียงแค่มองเด็กทั้งสองด้วยใบหน้านิ่งเรียบเท่านั้น

          ส่วนฮิเดโอะกับฮิโรกินั้นได้แต่ยืนตะลึกงัน เหมือนต้องมนต์สะกด ใบหน้าแดงซ่านไปถึงหู เลือดสูบฉีดอย่างรุนแรงเพราะหัวใจเต้นเร็วระรัว พวกเขาทั้งสองยังเด็กจึงไม่เข้าใจความรู้สึกของตน แต่สายตาก็ยังจับจ้องใบหน้างดงาม และร่างกายขาวเนียนบอบบางประดับด้วยหยดน้ำชุ่มฉ่ำที่เกาะตามลำตัวของแร็กนาร์อย่างหลงไหลจนไม่อาจละสายตาได้

          ฮิเดโอะกับฮิโรกิพยายามหาเหตุผลให้ตนแต่ก็ไม่พบ พวกเขาทั้งสองล้วนเคยเปลือยเปล่าอาบน้ำกับเด็กชายอายุรุ่นราวคราวเดียวกันมาหลายครั้ง แต่ครั้งนี้ความรู้สึกของพวกเขากลับต่างออกไป

          “พวกเจ้าจะมองข้าอีกนานหรือไม่...แล้วจะตอบข้าได้รึยังว่ามาทำไม” แม้สีหน้าจะนิ่งเรียบ แต่เสียงที่ส่งออกไปกลับปนด้วยอาการหงุดหงิดเล็กน้อย แร็กนาร์รู้สึกไม่ชอบใจสายตาของเด็กทั้งสองเอาเสียเลย

          ‘ชิ สายตาแบบนั้นมันหมายความว่ายังไงกัน เด็กอยู่แท้ๆแต่กลับมองเราด้วยสายตาโลมเลียแบบนั้น น่าหงุดหงิด มันน่าหงุดหงิดจริงๆ ทั้งโดนเข้าใจผิดว่าเป็นผู้หญิง ทั้งยังมาถูกมองด้วยสายตาแบบผู้ชายหื่นกามที่มองเด็กสาววัยละอ่อนอย่างโลมเลียนี่อีก ถึงจะไม่เคยถูกมองก็เถอะ แต่เราก็รับรู้ได้เพราะเคยเห็นมาหลายต่อหลายครั้ง จากเหยื่อที่เราฆ่าไป

          แล้วนี่มันอะไร ความรู้สึกหวั่นไหวแปลกๆต่อสายตาของพวกนั้น...หรือเรากำลังอยู่ในสถานะเดียวกับเด็กสาวพวกนั้นกันนะ พวกนั้นรู้สึกแบบนี้รึไง ไม่รู้สึกขยะแขยงงั้นเหรอ...บ้าไปกันใหญ่แล้ว ทำไมต้องรู้สึกร้อนๆที่หน้าด้วยเนี่ย ไม่เข้าใจเลย ฮึ่ย’


          เพื่อปกปิดความหงุดหงิด และสับสนในใจแร็กนาร์จึงเดินไปหยิบชุดที่วางอยู่บนโขดหินขึ้นมาเตรียมจะเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่นั่นทำให้ฮิเดโอะกับฮิโรกิจ้องมองเขาได้มากกว่าเดิม เพราะตอนนี้แร็กนาร์เผยร่างกายที่มีเพียงกางเกงขาสั้นตัวบางให้ทั้งสองได้เห็นอย่างชัดเจน จนพวกเขาไม่อาจเรียบเรียงคำพูดที่จะตอบกลับไปได้

          แร็กนาร์ที่รู้สึกถึงสายตาเหล่านั้นจึงรีบหยิบผ้าเช็ดตัวมาคลุมไหล่เอาไว้เพื่อปกปิดร่างกาย และซ่อนใบหน้าที่ร้อนผ่าวของตน

          “พะ...พวก พวกเรามาหาเจ้า” ฮิเดโอะเป็นคนตอบออกไปก่อน หลังจากที่ร่างกายของแร็กนาร์ถูกปกปิด เขาก็กลับมามีสติบ้างแล้ว

          “หันหน้าไป...ห้ามมอง” แร็กนาร์ชั่งใจอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะออกเสียงสั่งให้เด็กทั้งสองหันหลังกลับไปอีกทาง แม้จะยังสงสัยในสายตาของเด็กทั้งสอง และความรู้สึกแปลกๆของตนอยู่บ้าง แต่แร็กนาร์ก็เลือกที่จะไม่สนใจมัน เขาไม่อยากมาใส่ใจกับเรื่อเล็กๆน้อยๆให้รำคาญใจ

          ฮิเดโอะกับฮิโรกิก็ทำเพียงพยักหน้าคนละสองสามครั้งดังต้องมนต์สะกดก่อนจะหันหลังไปอีกทางหนึ่งตามที่แร็กนาร์สั่ง

          .

          .

          .

          “เสร็จแล้ว...ตามข้ามา” เสียงเรียบเอ่ยออกมาอีกครั้งหลังจากที่แต่งตัวเรียบร้อย และใจสงบลงบ้างแล้ว แร็กนาร์เดินไปตามทางที่ใช้กลับบ้านของตนพร้อมผ้าที่เปียก และตะเกียงอันเดิม

          แร็กนาร์เรียบเรียงเรื่องราวจากบทสนทนาก่อนหน้านี้ของเด็กทั้งสองก็เข้าใจ และคาดเดาสถานการณ์ได้ เขาจึงเลือกที่จะให้เด็กทั้งสองตามกลับไปที่บ้านด้วย หากยังมายืนออกปากไล่ให้กลับคงเสียเวลาไม่น้อย อีกทั้งตอนนี้ก็เริ่มดึกมากแล้ว เข้าไม่อยากพบสัตว์มายามากนัก การรีบกลับไปยังบ้านของตนให้เร็วที่สุดจึงเป็นทางเลือกที่เหมาะควร

          “ครับ!!”ฮิเดโอะกับฮิโรกิตอบรับพร้อมกัน ก่อนจะเดินตามหลังไปอย่างเงียบงัน พร้อมใบหน้าที่แดงระเรื่อ แม้ตอนนี้แร็กนาร์จะแต่งตัวเรียบรอยแล้ว แต่ภาพก่อนหน้านี้ยังคงฉายซ้ำอยู่ในหัวของพวกเขาไปมาอยู่อย่างนั้น เมื่อไม่เข้าใจ และไม่รู้จะพูดสิ่งใด การเงียบจึงเป็นทางออกเดียว

          ผ่านไปไม่นานนักพวกเขาทั้งสามก็เดินมาถึงบ้านหลังเล็ก ภาพแรกที่ปรากฎแก่สายตาคือ ร่างของพี่ชายที่ไม่ได้เจอมาทั้งวัน ยืนอยู่ด้านหน้าของประตูบ้าน พร้อมตะเกียงหนึ่งอัน ซึ่งเตรียมพร้อมจะออกไปตามหาแร็กนาร์ รูร์กัสมองมายังพวกเขาด้วยสีหน้าฉงนสงสัย ก่อนเปลี่ยนสีหน้าเมื่อมองเห็นหน้าของคนที่เดินนำอยู่

          “เจ้าไปที่ใดมา พี่เป็นห่วงแทบแย่ วันนี้ทั้งวันพี่ต้องเข้าไปในเมืองกับท่านพ่อจึงมาหาไม่ได้ พี่เป็นกังวลมากพอมาเจอสภาพบ้านที่ว่างเปล่าพี่ยิ่งตกใจ นี่ก็กำลังจะออกไปตามอยู่แล้วเชียว” รูร์กัสพูดด้วยความเป็นห่วงก่อนจะวางตะเกียงลงแล้วเดินเข้ามาหาแร็กนาร์ แล้วจับแขน จับตัว พลิกไปพลิกมาเพื่อสำรวจว่ามีสิ่งผิดปกติหรือไม่

          แร็กนาร์ไม่ได้ขัดขืนแต่อย่างใด ปล่อยให้รูร์กัสสำรวจตามใจชอบจนพอใจแล้วหยุดลงเอง ส่วนฮิเดโอะกับฮิโรกิก็สนใจคนแปลกหน้าที่มีลักษณะผิดแปลกไปจากพวกเขาจนลืมนึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ไปได้

          “ข้าไปอาบน้ำที่ลำธาร...เราเข้าบ้านก่อนเถอะ”  พอรูร์กัสหยุดการสำรวจร่างกายของตน แร็กนาร์ก็ตอบคำถามของรูรกัส และชวนเข้าไปในบ้านทันที ตรงที่พวกเขายืนอยู่นั้นมืดมาก มีเพียงแสงจากตะเกียงส่องสว่างเท่านั้น แร็กนาร์จึงอยากเข้าไปนั่งคุยในบ้านมากกว่า

          การกระทำของแร็กนาร์และรูร์กัสอยู่ในสายตาของสองเด็กปีศาจอยู่ตลอด สิ่งหนึ่งที่ทำให้พวกเขาสงสัยคือ คนๆนี้สำคัญกับแร็กนาร์ขนาดไหนกัน ทำไมน้ำเสียงของแร็กนาร์ที่พูดโต้ตอบจึงได้อ่อนลงไม่ดูหยาบกระด่างเหมือนพูดกับพวกเขา ทั้งใบหน้าที่ประดับรอยยิ้มบางๆนั่นอีก มันทำให้พวกเขาเกิดความรู้สึกอิจฉาขึ้นอย่างที่ไม่ควรจะเป็น...เขาอยากได้รับรอยยิ้มจากแร็กนาร์บ้าง

ออฟไลน์ GreenHead(หัวเขียว)

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
    • Green Head - หัวเขียว


          “แล้วนั่น...ปีศาจนี่” เมื่อละจากแร็กนาร์ รูร์กัสก็หันไปสนใจเด็กอีก 2 คน ที่ตามแร็กนาร์มา พอมองดีๆแล้วจึงได้รู้ว่าเด็กเหล่านั้นเป็นปีศาจเต็มตัว

          “เข้าบ้านแล้วค่อยคุยนะ...พี่รูร์กัส” แร็กนาร์พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนอีกครั้ง ก่อนจะเดินเข้าบ้านไปโดยไม่สนใจว่าจะมีคนตอบรับหรือไม่ พวกเขาทั้งสามที่ยืนอยู่จึงจำต้องเดินตามเข้าไปในบ้านเท่านั้น

          พอเข้าไปในบ้านแร็กนาร์ก็ไปนั่งบนเก้าอี้ตัวยาว ตามด้วยรูร์กัส ฮิเดโอะกับฮิโรกิจึงจำต้องไปนั่งบนเก้าอี้ตัวเล็กคนละฝั่ง

          “นี่ฮิเดะ ส่วนทางนี้ฮิโระ...แล้วก็คนๆนี้พี่ชายของข้า พี่รูร์กัส” พอคนทั้งหมดนั่งลงบนเก้าอี้เรียบร้อย แร็กนาร์ก็แนะนำคนทั้งสามให้รู้จักกัน แต่ก็ไม่ได้เป็นทางการแต่อย่างใด เขาแนะนำตามสะดวกของตน พร้อมผายมือไปยังเจ้าของชื่อเท่านั้น

          “ข้าชื่อ ฮิโรกิต่างหาก ส่วนนั้นฮิเดโอะ ยินดีที่ได้รู้จักครับ” ฮิโรกิรีบแก้อย่างรวดเร็วเมื่อแร็กนาร์แนะนำชื่อเขาแบบผิดๆ เขาไม่ได้รู้สึกไม่ชอบใจที่แร็กนาร์เรียกชื่อเขาแบบนั้น เพียงแต่เขาแค่อยากให้แร็กนาร์เรียกเขาแบบนี้แค่เพียงคนเดียว ฮิโรกิไม่ได้คิดอะไรยุ่งยากซับซ้อน เพียงทำไปตามสัญชาตญาณของตนเท่านั้น

          “ยินดีที่ได้รู้จักครับ” ฮิเดโอะพูดออกมาบ้าง เขาไม่ได้คิดคัดค้านสิ่งใด แต่ก็ดีใจอยู่ไม่น้อยที่แร็กนาร์เรียกชื่อของเขา แม้มันจะไม่ตรงตามชื่อจริงๆแต่ก็ดีกว่าที่อีกฝ่ายจะไม่เรียกชื่อของเขาเลยเหมือนครั้งก่อนที่ได้เจอกัน

          “อืม...ยินดีที่ได้รู้จัก ว่าแต่...พวกเจ้าเป็นปีศาจเผ่าพยัคฆ์สินะ” รูร์กัสตอบรับ แม้ในตอนนี้จะยังระแวงสงสัยไปบ้าง แต่เขาก็ไม่ได้รับรู้ถึงภัยคุกคามจากเด็กทั้งสองเลย จึงเบาใจลงแล้วถามสิ่งที่ตนสงสัยในทันที

          “ครับ แล้วท่านล่ะ...ท่านเป็นพี่ชาย แต่กลับไม่เหมือนแร็กนาร์ ท่านไม่ใช่ลูกครึ่งอย่างนั้นหรือ” ฮิเดโอะเองก็ตอบรับ และถามกลับไปในทันทีเช่นเดียวกัน

          “ข้าเป็นมนุษย์” รูร์กัสตอบกลับไปอย่างไม่ปิดปัง แต่ก็ยังไม่เปิดใจให้เด็กทั้งสองมากนัก แม้จะยังเด็กแต่ปีศาจก็คือปีศาจ เขาไม่อาจไว้ใจได้และยังกลัวว่าจะเป็นดังเช่นในอดีต

          “แล้วทำไมท่านถึงเป็นพี่ชายแร็กนาร์ได้ล่ะ” ฮิโรกิถามออกมาบ้างตาก็มองสำรวจคนคู่ ทั้งรูร์กัส และแร็กนาร์สลับไปมา ส่วนคนที่ถูกกล่าวถึง และถูกจ้องมองอยู่อย่างแร็กนาร์ กลับดื่มชาเงียบๆนั่งฟังอย่างใจเย็นเท่านั้น

          “ก็...”

          “พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องรู้...ว่าแต่พวกเจ้ามาหาข้าทำไม” รูร์กัสที่กำลังจะเอ่ยปากพูดด้วยสีหน้าลำบากใจ ไม่รู้ว่าจะเรียบเรียงคำพูดอย่างไรดี กลับถูกแร็กนาร์พูดแทรกขึ้น ตอนนี้แร็กนาร์อยากพักผ่อนเต็มทีจึงอยากทำให้เรื่องจบแบบง่ายๆและยังช่วยรูร์กัสที่มีท่าทางลำบากใจได้ด้วย

          “อีกแล้ว เจ้าก็เป็นเช่นนี้ตลอดเลยนะแร็กนาร์” อิโรกิคร่ำครวญเล็กน้อยอย่างเหนื่อยใจที่แร็กนาร์แทบจะไม่เคยตอบคำถามของพวกเขาเลยด้วยน้ำเสียงตัดพ้อเล็กน้อย แต่มีหรือที่แร็กนาร์จะใส่ใจ เขายังคงนั่งจิบชาด้วยสีหน้านิ่งเรียบเช่นเดิม

          “พวกเรามาทำตามคำสาบานที่ให้ไว้!!” หลังจากทั้งหมดเงียบอยู่ชั่วอึดใจ ฮิเดโอะกับฮิโรกิแฝดที่สามารถสื่อความรู้สึกถึงกันได้ จึงพูดออกมาพร้อมกันด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง

          “หึ...ข้ามีอะไรให้พวกเจ้าต้องปกป้อง...แล้วเด็กอย่างพวกเจ้าจะปกป้องอะไรข้าได้” พูดจบแร็กนาร์ก็วางถ้วยชาที่ว่างเปล่าลง ก่อนจะหันหน้าไปจ้องมองเด็กทั้งสองสลับไปมาด้วยใบหน้าราบเรียบเช่นเคย แม้ในจะรู้สึกหวั่นไหวไปบ้างก็ตาม

          เมื่อไม่มีการตอบรับใดๆแร็กนาร์จึงลุกขั้นเดินไปที่บันไดในทันที ส่วนฮิเดโอะ กับฮิโรกินั้นพอได้สติหลังจะตะลึงงันกับคำพูดของแร็กนาร์ก็วิ่งตามไปขวาง แล้วคุกเข่าลงด้วยท่าทางไม่ต่างจากเดิมมากนักที่แตกต่างก็คงจะเป็นที่พวกเขาไม่ได้ก้มหน้าลงเหมือนครั้งก่อน ครั้งนี้ทั้งสองเงยหน้าขึ้นสบตากับแร็กนาร์เพื่อยืนยันในคำพูด และความคิดของตน

          แร็กนาร์เองก็หยุดเดินก่อนจะมองภาพตรงหน้าด้วยท่าทางนิ่งๆแต่ในใจกลับเริ่มร้อนรุ่ม ภาพการสาบานตนครั้งก่อนของเด็กทั้งสองกำลังกลับมาตอกย้ำความหวั่นไหวของเขาอีกครั้ง

          “พวกเราสาบานแล้วว่าจะปกป้องแร็กนาร์ด้วยชีวิต” คราวนี้ฮิโรกิเป็นผู้เอ่ยขึ้นก่อนหลังจากจ้องหน้าแร็กนาร์อยู่ไม่นานนัก

          “ลูกผู้ชาย พูดแล้วไม่กลืนน้ำลายตนเองอย่างแน่นอน” ฮิเดโอะก็พูดยืนยันออกมาบ้างเพื่อยืนยันให้แร็กนาร์เชื่อใจ

          รูร์กัสที่นั่งมองเหตุการณ์นี้อยู่เงียบๆ ก็ตกตะลึงกับสิ่งที่ตนได้ยิน และได้เห็น เขาไม่คิดว่า เด็กอายุเพียงเท่านี้จะมีความคิดที่มุ่งมั่นขนาดนี้ได้ช่างน่าเหลือเชื่อเสียจริงๆ มันทำให้เขาถูกใจเด็กน้อยปีศาจทั้งสองไม่น้อย ความเคลือบแคลงใจในตอนแรกนั้นก็จางหาย ยิ่งมองดวงตาที่ไม่สั่นไหวต่อท่าทีเมินเฉยของแร็กนาร์ก็ยิ่งรู้สึกชื่นชม ต่างจากแร็กนาร์ที่ตอนนี้ในหัวมีแต่ความคิดที่สับสนวุ่นวาย

          ‘เราไม่สามารถเชื่อใจใครได้อีกแล้ว ใช่แล้วมันเป็นแค่ลมปากของเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม ไม่นานก็คงต้องลืมมันไปแน่นอน ไม่มีอะไรเป็นเครื่องยืนยันได้ ไม่มีทั้งความสามารถ ไม่มีทั้งพลัง ไร้ประโยชน์สิ้นดี...ช่างไร้สาระ’

          ตอนนี้ทั้งสามยังคงมีท่าทางเช่นเดิม พวกเขากำลังรอฟังคำตอบของแร็กนาร์ ที่ยังคงยืนเงียบงันหันหน้าไปด้านข้างไม่ยอมสบตาเด็กทั้งสอง

          “หึหึ...ทำให้ตนเองแข็งแกร่งกว่านี้ก่อน แล้วจึงคิดจะมาปกป้องข้า ข้าไม่สนใจแมวตัวจ้อยไร้พลังที่กล่าวได้แต่เพียงลมปากอย่างพวกเจ้า!!” เสียงราบเรียบที่แสนเย็นชาดังกว่าครั้งไหนๆถูกส่งของไปจากปากบางของแร็กนาร์พร้อมด้วยหน้าทีหันกลับมามองด้วยท่าทีเย้ยหยัน จนทั้งสามที่ได้ยินและได้เห็น ทำได้เพียงนิ่งเงียบตะลึงงัน ต่างคนต่างความคิด เมื่อได้ฟังคำพูดของแร็กนาร์ แต่สิ่งหนึ่งที่พวกเขาตะหนักถึงคือ...คนๆนี้ช่างโดดเดี่ยว และปิดกั้น จนมีความรู้สึกอยากจะปกป้องเพิ่มมากขึ้นไปอีก

          หลังกล่าวจบแร็กนาร์ก็เดินขึ้นบันไดไปในทันที ปล่อยให้คนทั้งสามจมอยู่กับความคิดของตนเองอยู่อย่างนั้น

          .

          .

          .

          “ฮ่าๆๆ อย่างนั้นหรือ พวกเจ้านี่แสบใช่เล่นเลย”

          “กว่าจะหนีออกมาได้ ต้องวางแผนตั้งนาน ก็ต้องทำมันให้สุดๆไปเลย ฮ่าๆๆ แต่แผนการนี้ฮิเดโอะเป็นคนคิดทั้งหมดเลยล่ะ”

          “จริงหรือนี่ เจ้าที่ดูท่าทางนิ่งๆแต่กลับเป็นตัวแสบเลยสินะ ฮ่าๆๆๆ”

          “มันแค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น”

          “ฮ่าๆๆๆนั่นสินะ”

          เสียงพูดคุยจากคนทั้งสามในห้องนั่งเล่นดังขึ้นมาให้คนที่หลับใหลอยู่บนเตียงเล็กได้ยิน เมื่อคืนหลังจากขึ้นมาแล้ว แร็กนาร์ก็นอนทันทีเขาเลิกสนใจเสียงใดๆ หยุดความคิดที่สับสนของตน แต่กว่าจะข่มให้ตาหลับได้ก็ดึกมากแล้ว เขาจึงหลับสนิทจนถึงเช้า

          วันนี้ก็เป็นเช้าที่อากาศแจ่มใสอีกหนึ่งวัน แสงของดวงอาทิตย์ยามเช้าตกกระทบกับหน้าต่างบานเล็กจนเล็ดลอดเขามาในห้องพาดผ่านไปถึงร่างของคนบนเตียงที่ยังคงนอนอยู่แม้จะลืมตาขึ้นมาแล้วก็ตาม เขาตื่นเพราะเสียงพูดคุยที่ดังขึ้นมาจากด้านล่าง เป็นเสียงพูดคุยของรูร์กัสและเด็กน้อยปีศาจทั้งสองนั่นเอง

          ‘เด็กพวกนี้มันอะไรกันนะ เมื่อวานยังระแวงกันขนาดนั้นแท้ๆ แถมเรายังพูดจนสลดไปแล้ว ยังร่าเริงได้อีก...เป็นเด็กนี่สบายจังนะ ไม่ต้องคิดอะไรให้มาก...แต่ก็น่ารำคาญ’

 
          แร็กนาร์ลุกขึ้นนั่งบิดตัวไปมาเพื่อไล่ความเมื่อยขบ แล้วลุกขึ้นไปเปลี่ยนกางเกงตัวใหม่ ไม่ได้คิดจะอาบน้ำแต่อย่างใด เพราะอากาศของที่นี่ร่มรื่นอยู่ตลอด ทำให้เขาแทบจะไม่มีเหงื่อเลยจึงไม่จำเป็นต้องอาบน้ำในตอนเช้าแต่อย่างใด หลังจากเปลี่ยนกางเกงเสร็จแร็กนาร์ก็เดินลงไปด้านล่าง

          เด็กทั้งสามในสายตาของแร็กนาร์นั้น กำลังพูดคุยกันอย่างสนุกสนานจนไม่ทันสังเกตเห็นเขา แร็กนาร์จึงเดินไปในห้องครัว ซึ่งมีประตูด้านข้างอีกหนึ่งบานใช้เปิดไปถึงห้องน้ำขนาดเล็ก ที่ด้านในมีเพียงโถสำหรับขับถ่ายซึ่งเป็นแบบนั่งยองๆเข้ากับยุคสมัยนี้ได้เป็นอย่างดี และถังน้ำสูงถึงคอของแร็กนาร์หนึ่งถังเท่านั้น

          แร็กนาร์จัดแจงตักน้ำมาล้างหน้า และแปรงฟันด้วยแปรงที่มีรูปร่างแปลกตาขนาดเล็ก พอทำทุกอย่างเรียบร้อยก็เดินออกมาแล้วเข้าไปในห้องนั่งเล่นอีกครั้งก็ยังคงเห็นเด็กทั้งสามพุดคุยกันอยู่พียงแต่เปลี่ยนเรื่องที่พูดคุยกันแล้วเท่านั้น

          “ถ้าเช้าแล้วก็กลับไป แอบออกมาแบบนี้คงมีแต่คนเป็นห่วงพวกเจ้า” แร็กนาร์พูดออกมาหลังจากยืนมองอยู่ไม่นานนัก แม้จะได้ยินแต่ช่วงหลังของบทสนทนาก็พอจะประติดประต่อเรื่องราวคร่าวๆได้ว่า เด็กปีศาจทั้งสองวางแผนแอบหนีพ่อของตนออกมาทั้งๆทีเป็นช่วงที่ต้องระวังตัวให้มากที่สุด

          ‘ดื้อรั้นจริงๆเลย ถ้าอยากทำขนาดนั้นก็ทำให้ตลอดละกัน ฉันจะคอยดูเองว่าจะทำได้ตามที่พูดรึเปล่า ถ้ามาให้ใช้ประโยชน์ถึงที่ ก็ขอเก็บไว้เป็นหมากอีกสักสองตัวคงไม่มีปัญหาอะไร แต่ฉันไม่คิดจะเชื่อใจหรอกนะ ถ้าหมดประโยชน์ก็จะเขี่ยทิ้งทันทีเลย’

          แร็กนาร์ก็ยังคงเป็นแร็กนาร์ เขายังคงปิดกั้นหัวใจตัวเองดังเดิม

          “แต่ว่า...พวกเราขอทานอาหารเช้าฝีมือเจ้าก่อนได้หรือไม่...ทานเสร็จจะกลับทันทีเลย” ฮิโรกิต่อรองออกมา หลังจากฟังคำพูดของแร็กนาร์เมื่อคืนพวกเขาทั้งสามก็นั่งปรึกษากันในเรื่องนี้ ฮิเดโอะกับฮิโรกิเองก็ตะหนักดีว่า พวกตนนั้นอ่อนแอ ทั้งถูกทำร้ายเจียนตายจนแร็กนาร์ต้องช่วยรักษา ทั้งเรื่องที่พวกเขาทำเพื่อหลบหนีออกมา ทั้งตามหาบ้านหลังเล็กของแร็กนาร์ พวกเขาล้วนทำมันอย่างยากลำบาก มันเป็นการตอกย้ำว่าพวกเขาอ่อนแอแค่ไหน

          ฮิเดโอะกับฮิโรกิคิดว่าพวกเขาต้องกลับไปตั้งใจเรียนรู้สิ่งที่ท่านพ่อของพวกเขาเพียรสอน ไม่ดื้อรั้น ไม่แอบซ่อน ไม่เกียจคร้านที่จะเรียนรู้อีก หากทำได้พวกเขาต้องแข็งแกร่งจนปกป้องแร็กนาร์ได้อย่างแน่นอน

          ส่วนรูร์กัสก็เป็นคนคอยพูดเตือนเมื่อเด็กทั้งสองเป็นห่วงแร็กนาร์มากเกินไป และยังให้คำมั่นว่าจะมาที่นี่ให้บ่อยขึ้นไปอีก จนเด็กทั้งสองสบายใจ

          แร็กนาร์ยืนคิดอยู่นานก่อนจะพยักหน้าเป็นการตกลงแล้วเดินเข้าครัวไปเพื่อเตรียมอาหารเช้า ฮิเดโอะกับฮิโรกิก็เดินตามเข้าไปเช่นกัน แล้วตามด้วยรูร์กัสที่เดินรั้งท้าย

          “ข้าช่วยทำสิ่งใดได้บ้าง” ฮิเดโอะพูดขึ้นหลังจากยืนมองอยูด้านหลังของแร็กนาร์ที่กำลังเตรียมอุปกรณ์ขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะ

          “ข้าด้วยๆข้าช่วยด้วยนะ” ฮิโรกิก็นึกสนุกอยากจะลองทำอาหารบ้างจึงเอ่ยขอ

          “ฮิเดะเจ้าไปล้างผักที่อยู่ตรงนั้น ส่วนฮิโระ...ไปช่วยฮิเดะก็แล้วกัน” แร็กนาร์คร้านจะต่อปากต่อคำจึงให้เด็กทั้งสองช่วยแต่โดยดี เพราะเขาเองก็รู้สึกได้ว่าเด็กทั้งสองเหมือนคน ที่ตัดสินใจบางอย่างได้แล้ว จึงไม่คิดจะห้ามแต่อย่างใด

          “ให้พี่ช่วยด้วยได้หรือไม่” รูร์กัสถามขึ้นบ้างหลังจากยืนมองเด็กน้อยร่างเล็กทั้งสามช่วยกันทำหน้าที่ของคนอย่างขยันขันแข็ง

          “พี่รูร์กัสไปหุงข้าวก็ได้” แร็กนาร์ไม่ได้ตอบรับ แต่มองหาสิ่งที่รูร์กัสจะช่วยได้ ก่อนจะชี้ไปที่หม้อใบใหญ่ที่ใช้สำหรับหุงข้าวซึ่งวางอยู่บนเตาถ่านแล้ว

          “อืม ได้” รูร์กัสตอบรับแล้วเดินไปทำหน้าที่ของตนในทันที

          ภาพตอนนี้คือเด็กทั้งสี่กำลังช่วยกันทำอาหาร ต่างคนต่างทำหน้าที่ของตน มันเป็นภาพที่แปลกตา แต่กลับงดงามและอบอุ่น เหมือนช่วงเวลาจะหยุดลงแค่เพียงภาพเหล่านี้ ช่างเป็นภาพแห่งความทรงจำที่อบอวนไปด้วยไออุ่นอย่างแท้จริง

          พวกเขาไม่รู้เลยว่าความสงบสุขนี้กำลังจะหมดลงหากผ่านช่วงเวลานี้ไป นี่เป็นเพียงปฐมบทของเรื่องราวเลวร้ายเท่านั้น เป็นดังทะเลที่ยามคลื่นลมสงบก่อนเกิดพายุลูกใหญ่...

 


จบภาคปฐมบท

 

 

 

To Be Continued...

____________________________________________________________________________________________

 

จบตอนที่ 6 แล้วจ้า จบภาคแรกพอดี

พึ่งมาคิดได้ว่าแบ่งภาคดีกว่าก็ตอนที่แต่งตอนที่แล้ว ขอใส่ไว้แบบนี้เลยก็แล้วกันนะคะ

เราแต่งอีกยาวแน่นอน ตอนหน้าจะพยายามมาอัพให้เร็วกว่าเดิมน้าาาา

ฝากติดตามด้วยค่ะ ภาคต่อไป>>>ภาคสยบแดนพยัคฆ์

พูดคุยและทวงนิยายได้ที่>>>https://www.facebook.com/greenheadzoro/

ออฟไลน์ cheyp

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1536
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +49/-0
ชอบค่ะ
เรื่องน่าติดตามดี
รอภาคต่อไปคร่าาา

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ GreenHead(หัวเขียว)

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
    • Green Head - หัวเขียว
สยบแดนพยัคฆ์

ตอนที่ 7
มุ่งสู่แดนเหนือ

 

             “ณ เวลานี้อาณาเขตของเรากำลังถูกแทรกแซง ทั้งภายนอกและภายใน ดังนั้นข้าจึงอยากให้พวกเจ้าระวังตัวให้ดี อย่าตกหลุมพรางหรือกลอุบายศัตรูโดยง่าย และจงจดจำใบหน้าพวกพ้องของตนให้ดี เพราะอาจมีศัตรูแฝงเข้ามาดังเช่นคราก่อนก็เป็นได้

             ส่วนเรื่องบริเวณอาณาเขตที่ติดกับเขตตะวันตกที่กำลังถูกรุกรานอย่างหนัก ข้าคิดไตร่ตรอง และปรึกษากับซาดาโอะแล้วว่า ทางเราจะต้องส่งคนไปเพิ่ม ข้าจะเลือกหน่วยที่มีจำนวนคนมาก และมีความสามารถในการต่อสู้ เราอาจจะเหลือคนเพียงน้อยนิด แต่ข้าคงต้องให้พวกเจ้าเพิ่มอาณาเขตที่ต้องดูแลของแต่ละหน่วย และตรวจตราอย่างเข้มงวดมากขึ้น!!” ชายวัย 40 ที่มีใบหน้าภูมิฐาน แม้จะมีรอยเหี่ยวย้นบ้างแล้วตามอายุที่มากขึ้น แต่ยังคงหล่อเหลา และน่าเกรงขามเอ่ยขึ้นอย่างดังกังวาลและเฉียบขาด

              ชายผู้นี้มีผมและดวงตาสีแดงเลือด และยังคงรูปร่างปีศาจเผ่าพยัคฆ์ไว้ดังตนอื่นๆ ร่างกายนั้นใหญ่โตกำยำล่ำสัน ผิวสีน้ำตาลอมเหลือง มีลายสีดำพาดผ่านอยู่ทั่วลำตัว และมีหางยาวสีเดียวกับสีผิว แต่ลายสีดำคลาดผ่านเป็นลายขวาง มีลักษณะเป็นข้อปล้องสลับไปมา มันถูกพันไว้ที่รอบเอวหนาของเจ้าตัว มองรวมๆแล้วลักษณะของชายคนนี้มีพื้นฐานมาจากเสือโคร่ง เสือที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในหมู่เสือทุกพันธุ์

              เขานั่งอยู่บนพักที่สูงขึ้นจากพื้นเล็กน้อย ด้านขวาของเขามีที่ปรึกษาที่กล่าวถึงมื่อครู่นั่งอยู่ และด้านล่างของพักนั้น มีการจัดที่นั่งไว้ 12 ที่นั่ง โดยเรียงเป็นแถวยามสองฟากฝั่ง เว้นที่ว่างตรงกลางไว้ดังฉากการประชุมของเหล่ายากุซ่าของญี่ปุ่น ที่นั่งทั้งหมดนี้สำหรับเหล่าหัวหน้าหน่วย 12 หน่วย ที่ถูกแบ่งให้ดูแลบริเวณต่างๆภายในเขตเหนือ แต่ที่นั่งนั้นกลับถูกจับจองประจำที่ของตนเพียง 9 ตนเท่านั้น ที่นั่ง 3 ที่ถูกเว้นว่างเอาไว้ เป็นการบ่งบอกถึงหัวหน้าหน่วยที่ไม่อาจเข้าร่วมได้

              การประชุมในครั้งนี้เริ่มในช่วงสายของวัน โดยปกตินั้นการประชุมจะถูกจัดขึ้นในเวลากลางคืน เพราะเป็นเพียงการมาพบปะสังสรรค์ ร่วมงานรื่นเริงเพียงเท่านั้น และโดยปกติเหล่าหัวหน้าหน่วยจะเลือกลูกสมุนของตนมาด้วยเพื่ออวดฝีมือ แต่ครั้งนี้เป็นการประชุมวางแผนเพื่อป้องกัน และแก้ใขปัญหาการรุกรานของเขตตะวันตก จึงมีเพียงหัวหน้าหน่วยเท่านั้นที่จะเข้าร่วมได้

              “หน่วย 6 กับหน่วย 8  จงไปรวมกับหน่วย 1 หน่วย 4 และหน่วย 9 ที่เขตชายแดนอันติดกับเขตตะวันตก ส่วนหน่วย 12 ข้าต้องการให้พวกเจ้าไปเฝ้าระวังอาณาเขตที่ติดกับเขตตะวันออก เราต้องเฝ้าระวังรอบด้าน เพื่อป้องกันการถูกแทรกแซงจากบุคคลที่ 3 ...ข้าฝากพวกเจ้าด้วย ริคุ ชิเงรุ โกวโบ” เสียงทุ้มต่ำดังกังวานถูกส่งออกไปอีกครั้ง แต่ในคราวนี้มุ่งไปยังปีศาจเผ่าพยัคฆ์ทั้ง 3 ตน ที่นั่งก้มหน้า คุกเข่ารอรับคำสั่งเมื่อได้ยินคำกล่าวถึงหน่วยของตน

              “รับคำสั่งครับท่านหัวหน้าใหญ่!!!” เสียงสามเสียงประสานกันดังก้อง ตอบรับคำสั่งตามหน้าที่ที่ตนได้รับมอบหมาย แล้วเงยหน้าขึ้น

              “ส่วนหน่วย 2 มีหน้าที่ดูแลบ้า...นใหญ่ อึก! แค่กๆๆ” คำกล่าวที่ยังไม่จบ ถูกหยุดชะงักลงด้วยการไอของเจ้าตัว พร้อมยกขึ้นมาปิดปากเอาไว้เมื่อรู้สึกถึงปากสิ่ง

              “ท่านหัวหน้าใหญ่!!” หัวหน้าหน่วยที่นั่งอยู่ต่างตะโกนเรียกหัวหน้าของตนด้วยความตกใจระคนเป็นห่วง ทั้งห้องประชุมตกอยู่ในความชุลมุนในทันทีพวกเขาต่างสงสัยว่าเกิดสิ่งใดขึ้น ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้หัวหน้าของตนยังคงแข็งแรงสมบูรณ์ เหตุใดในขณะนี้จึงมีอาการเช่นนี้ได้

              “แค่กๆ ข้า...ข้าไม่เป็นไร เลิกตื่นกระหนกเสียที!!” แม้อาการจะทรุดหนักจนคุมสติแทบไม่อยู่ แต่น้ำเสียงนั้นยังคงดูเกรงขามไม่ตกลงไปเลย

              “ข้าจะไปพักผ่อน...ซาดาโอะฝากเจ้าสั่งการแทนข้าด้วย” หลังเอ่ยฝากฝังหน้าที่กับที่ปรึกษาของกลุ่ม ผู้เป็นหัวหน้าก็ลุกขึ้นยืนอย่างองอาจไม่ยอมให้ใครได้เห็นความอ่อนแอของตน

              “ครับ ท่านหัวหน้า” ซาดาโอะเองก็รับคำโดนง่ายก่อนจะละสายตาจากร่างของหัวหน้าตนมามองไปที่กลุ่มของหัวหน้าหน่วย

              พรึ่บ!!ตุ๊บ!!

              เดินได้เพียงไม่กี่ก้าว  ไม่แม้แต่จะพ้นประตูห้องไปเสียด้วยซ้ำ  ร่างของผู้เป็นหัวหน้าก็ล้มหมดสติลง มือที่ปิดปากอยู่ก็ล่วงหล่นลงปรากฏเลือดแดงฉานบนฝ่ามือ  และเมื่อมองไปที่ใบหน้านั้นก็พบกับเลือดที่ปากและจมูกไม่ต่างกัน เลือดนั้นไหลเปราะเปื้อนไปทั่วบริเวณ

              “ท่านหัวหน้า!!!!!!”

              .

              .

              .

              “แฮ่กๆๆ”

              ตุบๆๆๆ

              เสียงฝีเท้าของสัตว์สี่เท้า  2 ตัว  วิ่งเหยียบย่ำลงไปบนผืนดิน ลำตัวก็เสียดสีไปกับใบไม้รอบด้าน มันทั้งสองวิ่งด้วยความร้อนรน ดังเช่นกำลังรีบร้อนที่จะไปที่ใด

              เสือตัวหนึ่งมีสีขาวโพนไปทั้งตัว ทว่าอีกตัวกลับมีสีดำตั้งแต่หัวจรดหาง ทั้งที่ดูแตกต่างแต่มันทั้งคู่กลับวิ่งตามกันไปอย่างสนิทสนม

              เสือขาววิ่งนำ เสือดำวิ่งตาม เมื่อเสือขาวเปลี่ยนทิศทางไปอีกด้านหนึ่ง เสือดำก็เปลี่ยนทิศทางตามอย่างรวดเร็ว มันทั้งสองวิ่งอยู่ได้พักใหญ่  ก็เริ่มวิ่งเพิ่มฝีเท้าขึ้นอีกเมื่อแน่ใจในทิศทางที่ตนมุ่งไปยังจุดหมายปลายทางที่ตนหมายตาไว้

              ด้านหน้าไม่ไกลนักปรากฏบ้านหลังเล็กมีลักษณะเป็นทรงกลมที่แสนคุ้นตา นั่นยิ่งทำให้มันเพิ่มฝีเท้าเร็วขึ้นไปอีกด้วยความดีใจ

              โฮกกกกก!!

              เสียงเสือทั้งสองคำรามขึ้นพร้อมกัน ดังเช่นต้องการเรียกคนที่อาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็กนั้น

              มันคำรามครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งยังเร่งฝีเท้าขึ้นอีก แต่ยังไม่ทันจะถึงประตู ประตูบานเล็กก็ถูกเปิดออกด้วยฝีมือของคนร่างเล็กผู้เป็นเจ้าของบ้าน

              “แร็กนาร์ อย่าเปิด!!” เสียงของใครอีกคนที่อยู่ด้านในของตัวบ้านดังขึ้นด้วยความตกใจ  พร้อมทั้งตะโกนร้องห้ามไม่ให้อีกคนเปิดประตู

              แต่ผู้ถูกร้องเตือนนั้นก็ยังคงมีสีหน้าเรียบเฉยเช่นเดิม เขามองภาพตรงหน้า ดังเช่นมองลูกแมวสองตัวที่วิ่งเข้ามาหมายจะเล่นด้วย

              พรึ่บ!

              โฮกกกกก!!

              เพียงชั่วพริบตาที่ผงสีดำถูกโปรยออกไปมันก็กระจายไปทั่วบริเวณใบหน้าของเสือทั้งสองที่อยู่ห่างไปเพียงไม่กี่ก้าว มันดิ้นทุรนทุรายในทันที ทั้งยังร้องคำรามด้วยความเจ็บปวด ส่วนผู้กระทำนั้นก็เดินออกมาจากบ้านด้วยความเรียบเฉยเพื่อดูผลงานของตน  ภายใต้สีหน้าเรียบเฉยนั้น หากมองให้ดีจะปรากฎรอยยิ้มแห่งความพอใจเล็กๆที่มุมปาก

              “แร็กนาร์ แค่กๆๆ แสบ โอ๊ย!! ฮืออออ”

              “เจ้าทำ แค่กๆๆ ทำอะไร แร็กนาร์ แค่กๆๆ ฮืออ”

              และอีกครั้งที่ทุกคนยังไม่ทันกระพริบตา เสือทั้งสองตัวก็แปรเปลี่ยนร่าง เป็นเด็กปีศาจสองตนผู้ที่มีผม และตาสีแดง ตนหนึ่งผิวสีขาว อีกตนหนึ่งผิวสีคล้ำ เด็กทั้งสองนอนดิ้นบิดไป บิดมาบนพื้น มือปัดป่ายไปทั่วบริเวณใบหน้าของตนที่แสบร้อน ทั้งยังไอเพราะแสบไปทั่วลำคออีก บริเวณใดที่โดนผงสีดำนั่นร่วงใส่เป็นต้องเจ็บแสบไปทั่วบริเวณ หากยิ่งเข้าไปในร่างกายยิ่งเจ็บปวด ทั้งในปาก ลำคอ จมูกและดวงตา

               “ฮิเดโอะ ฮิโรกิ อย่างนั้นหรือนี่ แย่แล้ว!! แร็กนาร์เมื่อครู่เจ้าทำสิ่งใด” รูร์กัสที่ตั้งสติได้แล้ว หลังจากตกใจจากเหตุการณ์เมื่อครู่ รีบวิ่งไปเข้าไปหาเด็กปีศาจทั้งสองเพื่อช่วยเหลืออย่างรวดเร็ว

               “มันก็แค่สมุนไพร พวกเจ้ารีบเข้าไปล้างหน้าล้างตาในห้องน้ำเสียสิ” แร็กนาร์ยังคงพูดเสียงเรียบนิ่งดังเดิม ก่อนจะบอกทางแก้ให้เด็กปีศาจทั้งสอง ทั้งยังเบี่ยงตัวหลบให้เด็กทั้งสองผ่านไปได้โดยง่าย

               ฮิเดโอะ กับฮิโรกิเองก็ไม่รอข้ารีบลุกขึ้นวิ่งตรงไปทางห้องน้ำอย่างรวดเร็ว

               ‘ว้าว! ยอดเลยแฮะ สมุนไพรแปลกๆที่ขึ้นเหมือนดอกเห็ดที่พึ่งเจอเมื่อวาน มันมีฤทธิ์เหมือนพริกไทยจริงๆด้วย ไม่สิ...ประสิทธิภาพรุนแรงกว่าเป็นไหนๆ หึหึ ยอดเยี่ยมจริงๆ’

               .

               .

               .

               ตอนนี้รูร์กัสและแร็กนาร์นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวยาวในห้องนั่งเล่น คนหนึ่งนั่งจิบชาเงียบๆอย่างสบายใจ  ส่วนอีกคนมีสีหน้ากังวลอย่างเห็นได้ชัด รูร์กัสรู้สึกเป็นห่วงเด็กทั้งสองที่เข้าไปล้างหน้าในห้องน้ำเสียเหลือเกิน เพราะเขายังได้ยินเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นดังออกมาไม่หยุด

               “ฮือๆๆเจ้าใจร้ายมากแร็กนาร์ ฮึก อึก ฮืออ” เสียงฮิโรกิที่พยายามกลั้นไม่ให้ตนร้องไห้ดังขึ้นเมื่อเดินออกมาจากห้องน้ำ  เขายังคงรู้สึกแสบร้อนไปทั่วใบหน้า

               “ข้าก็แค่ป้องกันตัว ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรว่าเสือสองตัวนั้นคือพวกเจ้า” แร็กนาร์ก็ไม่รอช้ารีบพูดแก้ต่างให้ตนทันที

               “ใช่แล้ว  ข้าเองยังตกใจแทบแย่ ที่มีเสือวิ่งเข้ามาแบบนั้น...มานั่งเถอะ” รูร์กัสออกความคิดเห็นของตนบ้าง ก่อนจะเรียกให้เด็กทั้งสองมานั่ง

               ฮิเดโอะกับฮิโรกิก็ไม่รอช้า  รีบเดินไปนั่งประจำที่เดิมของตนในทันที่ ก่อนจะบอกเหตุผลของตนบ้าง

               “ข้าแค่ดีใจมากที่เจอแร็กนาร์ ฮึก แล้วร่างนั้นพวกเราใช้หลบนี้ออกมา แล้วตอนวิ่งเองก็เร็วกว่าด้วย ก็เลยไม่ทันคิด ข้าขอโทษ” ฮิโรกิยังตอบด้วยเสียงปนสะอื้นเล็กน้อย เขาดีใจเป็นอย่างมากที่ครานี้เข้าไม่หลงทางเช่นครั้งก่อนหน้านี้  ทำให้ไม่ทันได้คิดถึงร่างของตนจึงกล่าวขอโทษที่ทำให้คนทั้งสองหวาดกลัว

               “ข้าเข้าใจพี่รูร์กัส แต่แร็กนาร์...เจ้าโกหก” ฮิเดโอะที่เงียบอยู่นาน  พอคลายสะอื้นก็พูดสวนขึ้นในทันที่  ทั้งยังมองไปที่แร็กนาร์อย่างจับผิด

               “ฮิโรกิก่อนที่ผงสีดำนั่นจะถูกโปรยออกมา  เจ้าเห็นเหมือนข้าใช่หรือไม่...รอยยิ้มแห่งความพึงพอใจของแร็กนาร์” ฮิเดโอะถามฮิโรกิ แต่คำถามนี้หาได้เป็นการถามเพื่อยืนยันสิ่งที่ตนเห็น เขาเพียงต้องการหาแนวร่วมเพื่อกดดันไม่ให้แร็กนาร์เลี่ยงที่จะตอบคำถามเท่านั้น

               “ใช่ ข้าเห็น มันทำให้คิดว่าแร็กนาร์รู้อยู่แล้วจึงไม่ทันได้คิดถึงเรื่องเปลี่ยนร่างกลับ” ฮิโรกิเองก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีเช่นเดียวกัน

               ‘เจ้าเด็กฮิเดะตัวแสบ เอาอีกแล้วสินะ  ฉลาดเกินเด็กจริงๆ เรากะว่าจะเงียบๆให้มันปล่อยผ่านไปง่ายๆ แต่กลับถูกดูออก  หึหึ

               ใช่สิ ใครเดาตัวตนของเสือนั่นไม่ได้ก็แปลกแล้ว ทั้งๆที่รู้ว่าปีศาจมี 3 ร่าง แล้วเสือพวกนั้นดันสะดุดตาขนาดนั้นอีก เฮ้อออ แล้วที่สำคัญสัตว์แถวนี้เองก็ไม่เคยเข้ามาโจมตีบ้านหลังนี้เลยสักครั้ง คงมีสาเหตุของมันอยู่ ถึงเรายังไม่รู้สาเหตุของเรื่องนี้ก็เถอะ เพราะแบบนั้นการคาดเดาก็เลยง่ายขึ้น เราก็กำลังอยากทดลองพืชตัวใหม่ ก็ถือโอกาสทดลองซะเลย  หึหึ อยากมาทำให้เราตกใจดีนัก’


                “หึหึ แล้วมันทำไมอย่างนั้นหรือ” แร็กนาร์ยังคงยกถ้วยชาขึ้นมาจิบอย่างไม่ทุกร้อนที่ตนโดนไล่ต้อน แล้ววางมันลงก่อนจะมองหน้าฮิเดโอะด้วยรอยยิ้มน้อยๆ

                “เจ้ารู้อยู่แล้วว่าเป็นพวกเรา ก็ยังจะโปรยผงนั่นออกมาอีกอย่างนั้นหรือ แล้วตอนนี้เจ้าก็ยังมานั่งยิ้มพอใจในผลงานของตนอีก เจ้าใจร้ายมาก แร็กนาร์” ฮิเดโอะเอ่ยปากต่อว่าการกระทำของแร็กนาร์ในทันที ดวงตาก็จ้องเขม็งไปที่แร็กนาร์ เขาไม่ได้โกรธเคืองแร็กนาร์ เขาเพียงแค่รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเพียงเท่านั้น

                “หึๆ...ข้าเพียงแค่คาดเดาเท่านั้น แต่มันกลับถูกต้องเสียได้” แร็กนาร์ยังคงตอบกลับด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ และยกชาขึ้นมาจิบอีกครั้ง

                “แร็กนาร์...พี่เห็นเจ้าเดินไปหยิบห่อผ้าที่มีผงสีดำอยู่ด้านใน ก่อนจะได้ยินเสียงคำรามเสียอีก หมายความว่าเจ้ารู้อยู่แล้ว และตั้งใจจะทำแบบนั้นตั้งแต่ต้นอย่างนั้นหรือ” รูร์กัสเองที่พอจะประติดประต่อเรื่องราวได้บ้าง หลังจากฟังฮิเดโอะว่ากล่าวแร็กนาร์ ก็ถามข้อสงสัยของตนด้วยน้ำเสียงคาดคั้นในทันที

                “ข้าไม่ได้รู้มากขนาดนั้น...ข้ารู้เพียงว่ามีสัตว์สี่เท้าสองตัวกำลังวิ่งตรงมาที่นี่เท่านั้น ส่วนเรื่องเด็กสองคนนี้ข้าก็แค่คาดเดาเท่านั้นเอง” แร็กนาร์ยังคงอธิบายให้รูร์กัสฟังด้วยสีหน้ายิ้มเล็กน้อย ไม่ใช่สีหน้ากระวนกระวายต่อความผิดของตนที่โดนจับได้เลย

                “ถ้าเจ้าคาดเดาได้ เหตุใดยังทำอีกเล่า” ฮิโรกิที่นั่งเงียบฟังบทสนทนาของคนทั้งสามก็เอ่ยขึ้นบ้างหลังจากที่ทั้งหมดเงียบลง

                “คาดเดาก็คือคาดเดา...หากไม่ใช่พวกเจ้าเล่า ข้าไม่ถูกเสือขย้ำคอจนตายไปแล้วรึ” แม้ความเป็นไปได้ที่เสือทั้งสองตัวจะเป็นเด็กทั้งสองจะมีมากกว่า  หรือเรียกได้ว่าเขามั่นใจว่าต้องเป็นเด็กทั้งสองอย่างแน่แท้ แต่แร็กนาร์ก็ยังไม่คิดจะยอมรับสิ่งใด ในเมื่อพวกเขาอยากทำตัวเป็นประโยชน์ การเป็นตัวทดลองนี้ก็มีประโยชน์ไม่ต่างกัน

                “...ข้าเข้าใจแล้ว” ฮิเดโอะกับฮิโรกิตอบด้วยเสียงแผ่วเบา ยอมรับข้อแก้ตัวของแร็กนาร์แต่โดยดี เพราะถ้าหากเสือทั้งสองตัวนั้นไม่พวกตน แร็กนาร์ก็อาจจะตกอยู่ในอันตรายอย่างที่ว่ามา

               
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-12-2016 20:33:04 โดย GreenHead(หัวเขียว) »

ออฟไลน์ GreenHead(หัวเขียว)

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
    • Green Head - หัวเขียว
               
                “ว่าแต่พวกเจ้าบอกกับข้าว่า  จะไม่มาพบแร็กนาร์อีกจนกว่าตนจะแข็งแกร่งขึ้นไม่ใช่หรือ นี่ผ่านมาเพียงแค่ 2 วันเท่านั้น  เหตุใดพวกเจ้าจึงรีบกลับมาเร็วนักล่ะ” รูร์กัสที่ต้องการเปลี่ยนบรรยากาศที่หดหู่นี้ จึงได้คิดที่จะเปลี่ยนเรื่องคุย เมื่อมีเรื่องติดใจสงสัยจึงเอ่ยถามในทันที

                “ฮืออออ ฮึก อึก  ฮือออ  ท่านพ่อ...ท่านพ่อ...ฮือออ” คำถามนั้นเหมือนไปกระตุ้นความทรงจำ และจุดประสงค์ที่แท้จริงของเด็กทั้งสองเข้า  ฮิโรกิจึงร้องออกมาในทันที

                ส่วนฮิเดโอะนั้นก็ไม่ต่างกันทั้งร้องไห้ ทั้งพร่ำรำพันถึงพ่อของตน ฮิเดโอะนั้นแม้จะฉลาดเกินเด็กวัยเดียวกัน แต่เด็กก็คือเด็ก หากเสียใจ คงไม่อาจเก็บความรู้สึกไว้ได้

                รูร์กัสลุกขึ้นไปกอดปลอบโยนฮิโรกิในทันที ก่อนลุกก็ไม่ลืมที่จะกระซิบบอกให้แร็กนาร์ไปปลอบฮิเดโอะด้วย

                “อย่าร้องไปเลย ไม่ว่าเรื่องที่เจ้าเจออยู่จะเลวร้ายเพียงใด เจ้าจะต้องข้ามผ่านมันไปได้อย่างแน่นอน” รูร์กัสรั้งตัวของฮิโรกิมากอด แล้วใช้มือลูบหัวลงไปยังหลังอยู่อย่างนั้นครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อให้คนในอ้อมกอดของตนคลายสะอื้น แต่พอเขามองไปที่แร็กนาร์ เจ้าน้องตัวเล็กกลับยังนั่งเฉย  รูร์กัสจึงสั่งสายตาร้องขอปนออกคำสั่งไปให้อีกครั้ง แร็กนาร์เองก็จำต้องลุกขึ้น เพราะไม่อยากขัดใจพี่ชายแสนดีของเขาเท่าไหร่นัก

                “เลิกร้องฮิเดะ...เจ้ามาที่นี่เพราะต้องการความช่วยเหลือไม่ใช่หรือ ถ้าเจ้าเอาแต่ร้องไห้ข้าจะช่วยเจ้าได้อย่างไร” แร็กนาร์ไม่ได้ปลอบโยน เขาเพียงลุกไปยืนตรงหน้าของฮิเดโอะ แล้วมองฮิเดโอะอย่างจริงจัง พร้อมออกคำสั่งและบอกเหตุผลเพียงเท่านั้น ใจจริงแร็กนาร์ไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับปัญหาของเด็กปีศาจทั้งสอง  แต่หากถูกรูร์กัสร้องขอ เข้าก็ไม่อาจปฎิเสธได้

                “ฮึกๆ ฮึก ข้า...เข้าใจ  แต่ท่านพ่อ...ฮือออออ”  แม้จะเข้าใจสิ่งที่แร็กนาร์ต้องการสื่อออกมา  แต่ฮิเดโอะกลับไม่อาจหยุดร้องได้

                หลังจากนั้นก็ไม่มีใครกล่าวสิ่งใดอีก มีเพียงเสียงสะอื้นไห้ของเด็กน้อยปีศาจต่างสีผิวเท่านั้น  พวกเขาเก็บความรู้สึกนี้ไว้ไม่อาจปล่อยออกมาให้ใครเห็น   เพราะพวกเขาเป็นถึงลูกชายของหัวหน้ากลุ่ม จึงไม่อาจแสดงความอ่อนแอออกมาได้ แต่ตอนนี้เมื่ออยู่ต่อหน้าคนที่เขาวางใจว่าตนสามารถแสดงความอ่อนแอออกมาได้  พวกเขาจึงไม่อาจเก็บความรู้สึกเหล่านี้ไว้ได้อีก ทำได้เพียงแสดงความรู้สึกทั้งหมดออกมาเท่านั้น

                .

                .

                .

                ในตอนนี้ทุกอย่างกลับมาสงบดังเดิม ฮิเดโอะกับฮิโรกิก็หยุดร้องไห้แล้ว แม้จะยังคงมีเสียงสะอื้นอยู่บ้างก็ตาม  ส่วนแร็กนาร์กับรูร์กัสนั้นก็กลับไปนั่งที่เก้าอี้ประจำของตนดังเดิม  เพื่อรอฟังเรื่องราวของเด็กปีศาจทั้งสอง

                “พวกเจ้ามีเรื่องใดให้พวกพี่ช่วยก็พูดมาเถอะ”  รูร์กัสซึ่งถือว่าตนอายุมากกว่าใครในที่นี้จึงเปิดปากกล่าวซักถามเป็นคนแรก

                “เจ้าเล่าเถอะ...ฮิเดโอะ อึก” ฮิโรกิบอกปัดที่จะเล่าเรื่องราวของพวกตน  เขายังสะอื้นมากกว่าฮิเดโอะ และไม่รู้จะเริ่มเล่าจากส่วนไหนดี

                “ได้...เมื่อวานขณะที่ประชุมกับเหล่าหัวหน้าหน่วยต่างๆเรื่องการแก้ไขปัญหาการรุกรานของเขตตะวันตกที่เกิดขึ้น ท่านพ่อก็ล้มป่วยลง  มีเลือดไหลออกจากปากและจมูก ผู้คนทั้งห้องประชุมนั้นต่างตกตะลึง ได้แต่กระวนกระวายใจ พวกเราที่ได้รู้เรื่องทั้งหมดจากท่านซาดาโอะ  จึงไม่อาจแสดงความอ่อนแอร้องไห้เสียใจออกมาได้    เพราะหากเป็นเช่นนั้นทั้งท่านพ่อและคนอื่นๆอาจจะเป็นกังวลมากไปกว่านี้ได้

                หลักจากนั้นพวกเราได้เข้าไปดูอาการของท่านพ่อ ร่างกายที่ดูแข็งแรงกำยำนั่นเริ่มซีดเซียวขึ้นที่ละน้อย  เลือดไหลออกมาไม่หยุด ทั้งยังค่อยๆกลายเป็นสีดำ หมอประจำกลุ่มของเราได้ตรวจพบยาพิษอยู่ในกระแสเลือด แต่ไม่อาจรักษาได้ เพราะไม่ทราบแน่ชัดว่าเป็นยาพิษชนิดใด แต่จากการสันนิษฐานท่านหมอบอกว่า อาจจะไม่ใช่พิษที่มีในเขตเหนือ  เพราะตนไม่เคยพบอาการเช่นนี้มาก่อน

                 และเมื่อช่วงเย็นของวันนั้นมีหมออีกคนที่เป็นลูกศิษย์ของท่านหมอบอกกับพวกเราว่า อาการเช่นนี้เขาเคยเห็นเมื่อตอนที่ยังอาศัยอยู่ในเขตตะวันตกและเขตใต้ แต่ไม่ทราบวิธีรักษา ดังนั้นถ้าหากต้องการรักษาต้องขอให้หมอในเขตตะวันตกหรือเขตใต้เข้ามาช่วยเหลือ

                 เขตตะวันตกนั้นจากสภาพการจึงไม่อาจขอความช่วยเหลือได้ ส่วนเขตใต้เองเราได้ส่งคำร้องขอไป แต่ก็ยังปิดเงียบจนถึงตอนนี้ ท่านซาดาโอะบอกให้พวกเรารอการตอบรับของเขตใต้เพราะนั่นคือทางเดียวที่สามารถทำได้

                 พวกเราทำได้แค่รอ  ฮึก...มันไม่ต่างจากการรอความตายของท่านพ่อเลย พวกเราจึงตัดสินใจที่จะกลับมาขอความช่วยเหลือจากแร็กนาร์ที่เคยช่วยชีวิตพวกเราไว้” ฮิเดโอะที่หยุดร้องไห้ไปแล้วในคราแรก  กลับเริ่มร้องไห้อีกครั้งเมื่อเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ เขาพยายามที่จะเข้มแข็งแต่เมื่อยู่ต่อหน้าแร็กนาร์เขากลับไม่สามารถปิดปังความรู้สึกเหล่านี้ได้

                  “เจ้าอยากให้แร็กนาร์ช่วยสิ่งใด” รูร์กัสเป็นฝ่ายถามขึ้นหลังจากนั่งฟังเรื่องราวทั้งหมดจนจบลง แม้ไม่รู้ว่าแร็กนาร์ หรือเขาเองจะช่วยเหลือสิ่งใดเด็กทั้งสองได้ แต่หากมีคนขอความช่วยเหลือ จะแล้งน้ำใจเมินเฉยได้หรือ

                  “ข้าอยากให้แร็กนาร์ไปรักษาอาการของท่านพ่อ” แม้จะตอบคำถามของรูร์กัส แต่ฮิเดโอะกลับมองไปที่แร็กนาร์ จับจ้องดวงตานั้น  ทั้งยังส่งสายตาอ้อนวอนร้องขอไปให้

                  “ไม่” คำสั้นๆที่หลุดออกจากริมฝีปากบางของแร็กนาร์ ทำให้คนทั้งหมดตกตะลึง น้ำเสียงนั้นช่างเย็นชาไร้ซึ่งความเห็นใจใดๆอย่างสิ้นเชิง

                  “ทำไมล่ะแร็กนาร์ เจ้าช่วยท่านพ่อของข้าเถอะนะ ข้าขอร้อง” เสียงอ้อนวอนนี้ไม่ใช่เสียงของฮิเดโอะ แต่กลับเป็นเสียงของฮิโรกิที่กล่าวแทรกขึ้น เขาไม่ใช่คนที่จะมานั่งขบคิดทบทวนสิ่งต่างๆด้วยเหตุผลอย่างฮิเดโอะ เมื่อสงสัยก็ถาม เมื่อต้องการสิ่งใดก็ทำอย่างถึงที่สุด สิ่งที่แสดงออกมาล้วนมาจากสัญชาตญานเท่านั้น

                  “ข้าเข้าใจว่าข้าขอเจ้ามาเกินไป แต่ถ้ายังมีทางที่พอจะช่วยท่านพ่อของข้าได้ แม้จะน้อยนิด หรือริบหรี่เพียงใด  ข้าก็อยากจะลองดู...ข้าขอร้องนะแร็กนาร์ ช่วยไปตรวจอาการของท่านพ่อข้าด้วย แค่สักครั้งก็ยังดี” ก่อนกล่าวประโยคนี้ฮิเดโอะลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วไปคุกเข่าลง  ใช้มือแตะลงไปที่พื้นด้านหน้า  และก้มหัวลงจนหน้าผากแตะพื้น อยู่อีกฟากหนึ่งของโต๊ะกลางห้อง  ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับแร็กนาร์ แล้วกล่าวขอร้องออกมา

                  “ข้าก็ขอร้อง” ฮิโรกิเห็นแฝดของตนทำเช่นนั้น ก็รีบทำตามในทันทีแม้จะไม่เข้าใจนักก็ตาม

                  “เฮ้อ...ข้าเป็นเด็กที่อายุเพียง 8 ปี ขนาดหมอประจำกลุ่มของเจ้าที่มีอายุมากแล้ว  และยังมีประสบการณ์มากกว่าข้ายังไม่อาจรักษาได้  แล้วพวกเจ้าคิดว่าข้าจำทำได้อย่างไร” แร็กนาร์ยังคงนั่งนิ่งมองไปที่เด็กทั้งสองไม่วางตา แล้ววางถ้วยชาลง เพื่อเป็นการเตรียมพร้อมที่จะปฏิเสธเด็กปีศาจทั้งสองอย่างจริงจัง

                  ‘เฮ้อ หาเรื่องยุ่งยากมาให้เราอีกแล้ว เพราะแบบนี้แหละถึงไม่อยากยุ่งด้วย  เรามันบ้าเองไม่น่าช่วยมาตั้งแต่แรกเลย

                  ไม่ใช่ว่าเราอยากยอมรับเรื่องที่เป็นเด็ก  แต่มันก็เป็นข้ออ้างที่ดีที่สุดในตอนนี้แล้ว  ถ้าปฏิเสธต่อไปยังไงเด็กฮิเดะนี่ก็ต้องเข้าใจอยู่แล้ว ปัญหาจริงๆมันอยู่ที่รูร์กัสจอมเห็นใจนี่มากกว่า  ต้องทำให้เห็นด้วยกับเรา  ถ้าขืนโดนขอร้องเข้า เราต้องปฏิเสธไม่ได้แน่  ฮึ่ย บ้าเอ้ย!’


                  “แร็กนาร์พูดถูก ขนาดหมอที่เก่งกาจยังไม่อาจรักษาได้ แล้วแร็กนาร์ที่ยังเด็กจะทำได้อย่างไร” เมื่อรูร์กัสพูดออกมา เสียงร้องตะโกนแห่งความดีใจในใจของแร็กนาร์ก็ดังขึ้นในทันที เขากำลังลิงโลดแม้สีหน้าจะยังคงเรียบเฉยอยู่ก็ตาม

                  “ไม่ครับพี่รูร์กัส...มันมีทางเป็นไปได้ แร็กนาร์สามารถรักษาพวกเราที่ถูกแทงทะลุตัวจากด้านหนึ่งไปอีกด้านหนึ่งให้หายได้โดยใช้เวลาไม่นาน...ข้าเล่าเรื่องนี้ให้ท่านหมอฟัง ท่านหมอยังตกตะลึกและชื่นชมแร็กนาร์ไม่หยุดเลย” ฮิเดโอะยังคงยืนยันความคิดของตน ทั้งยังให้เหตุผลที่น่าเชื่อถือมากขึ้น...เขาจะรู้หรือไม่ว่ากำลังทำให้คนที่ถูกกล่าวถึงไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง

                  “จริงหรือ แร็กนาร์” รูร์กัสได้ฟังดังนั้นก็เกิดความลังเลขึ้นทันที ก่อนหน้านี้เขารู้เพียงว่าแร็กนาร์ได้ช่วยชีวิตเด็กทั้งสองไว้ แต่ไม่ทราบรายละเอียดแน่ชัด ไม่ทราบว่าจะช่วยเด็กทั้งสองจากอาการสาหัสขนาดนั้น

                  รูร์กัสยอมรับว่าตั้งแต่แร็กนาร์ฟื้นขึ้นมานั้นก็มีท่าทีแปลกไป บางครั้งที่เขามาที่นี่ก็จะไม่พบแร็กนาร์ ทั้งยังพอรอจนแร็กนาร์กลับมา แร็กนาร์ก็จะเก็บพืชหรือจับสัตว์แปลกๆมาด้วยเสมอ ทั้งคำพูดนั้นก็จะดูโตจนเกินเด็ก  บางครั้งเขายังรู้สึกได้ว่าแร็กนาร์มีความคิดที่ดูโตกว่าเขาด้วยซ้ำ มันทำให้รูร์กัสสับสนไม่น้อย แต่ก็ไม่คิดจะซักถามสิ่งใด เขารอให้แร็กนาร์เอ่ยปากบอกกับเขาเอง

                  “ข้าก็แค่รักษาบาดแผล  แต่นั้นมันเรื่องยาพิษ...หาได้เกี่ยวกันไม่”  แร็กนาร์ยังคงปฏิเสธเช่นเดิม  เขาไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับเรื่องครั้งนี้ เพราะลางสังหรณ์ของเขาบอกว่า หากเข้าไปยุ่งเกี่ยวแล้ว จะไม่อาจถอยหลังกลับได้อีกอย่างแน่นอน

                  “เจ้าโกหกอีกแล้วแร็กนาร์...ข้ามั่นใจในจมูกของเผ่าพยัคฆ์ ตัวของเจ้านั้นอบอวลไปด้วยกลิ่นของสมุนไพร เจ้าจะไม่รู้เรื่องยาพิษได้อย่างไร”  ฮิเดโอะยังคงไม่ยอมแพ้ เขาอยากพยายามให้ถึงที่สุด เพื่อช่วยคนสำคัญของตน เขาไม่คิดจะยอมแพ้ง่ายๆ

                  “ช่วยพวกเราด้วยเถอะแร็กนาร์!!” เสียงแฝดทั้งสองประสานกันขึ้นดังลั่น น้ำเสียงนั้นทั้งจริงจังและแน่วแน่จนคนฟังเริ่มลำบากใจ

                  “ช่วยลองดูสักครั้งเถอะนะแร็กนาร์ พี่ก็ขอร้องเจ้าด้วยอีกคน” เมื่อตัดสินใจได้ รูร์กัสก็ช่วยเด็กปีศาจทั้งสองขอร้องแร็กนาร์อีกแรงหนึ่ง เขาคิดว่าหากเป็นดังที่ฮิเดโอะว่ามา การลองเสี่ยงสักครั้งมันไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร

                  “แต่...”

                  “พี่ขอร้องนะแร็กนาร์” แร็กนาร์พูดยังไม่จบประโยคก็ถูกรูร์กัสขัดขึ้นอีก เขาตัดสินใจแล้ว และเชื่อว่าหากแร็กนาร์พูดสิ่งใดอีกเข้าอาจจะใจอ่อนได้จึงจำต้องขัดขึ้นอย่างเสียไม่ได้

                  “ได้โปรดแร็กนาร์!!” เหมือนฮิเดโอะกับฮิโรกิรู้จังหวะที่เหมาะสม จึงเอ่ยปากร้องขอพร้อมกันอีกครั้ง

                  ‘ชิ แย่สุดๆไปเลย ถ้าเข้าไปยุ่งล่ะก็ต้องถอนตัวออกมายากแน่ๆงานนี้คงไม่ใช่ปัญหาภายใน ต้องเกี่ยวข้องกับการรุกรานแน่ๆ เรื่องใหญ่สุดๆเลยนี่หว่า...แต่รูร์กัสดันขอร้องซะได้ จิตสำนึกที่ติดอยู่ในร่างนี่ก็น่ารำคาญ ทำเราใจอ่อนทุกทีสิน่า

                  เฮ้อ...ขอให้เป็นครั้งเดียวจริงๆด้วยเถอะ’


                  แร็กนาร์พ่นลมหายใจจากปากอย่างปลงๆเขาไม่อาจปฏิเสธสิ่งใดได้อีก ไหนจะเด็กปีศาจสองตนที่ก้มหัวอ้อนวอนอยู่ ไหนจะพี่ชายที่ร้องขอด้วยสายตา เป็นแบบนี้เขาจะใจร้ายต่อไปอีกได้อย่างไร

                  “เงยหน้าขึ้น...”เสียงเรียบเอ่ยออกไปเมื่อตัดสินใจได้ เด็กทั้งสองก็ว่าง่ายเงยหน้าขึ้นมานั่งมองแร็กนาร์ตรงๆ เพราะรอฟังคำพูดต่อไปของแร็กนาร์

                  “พวกเจ้าจะให้ข้า...เริ่มเดินทางเมื่อไหร่กัน” เพียงประโยคเดียวที่หลุดจากปากบางของแร็กนาร์ ก็เรียกรอยยิ้มกว้างจากเด็กทั้งสามได้อย่างง่ายดาย

                  “วันนี้!!”

 

 

 

 

To Be Continued...

 

________________________________________________________________

ตอนที่ 7 มาแล้วค่าาาา
หายไปนานเลยรอบนี้  ช่วงนี้ค่อนข้างวุ่นๆนิดหน่อยนะคะ
แต่ก็จะมาลงให้เรื่อยๆเน้อ จะไม่หายไปนานแบบนี้อีกจ้า
พูดคุยและทวงนิยายได้ที่ >>>  https://www.facebook.com/greenheadzoro/



  :katai5:

 

ออฟไลน์ chouxcream59

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 38
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0

ออฟไลน์ cheyp

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1536
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +49/-0
เย่ มาต่อแล้ว

ออฟไลน์ darinsaya

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
 :o8: :o8: :o8: :o8: จะดราม่าขนาดไหนกันนะ

ออฟไลน์ loveBoyoll

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 6
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0

ออฟไลน์ ราตรีสีน้ำเงิน

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 121
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0

ออฟไลน์ GreenHead(หัวเขียว)

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
    • Green Head - หัวเขียว

 
ตอนที่ 8
ลอบเข้าบ้านใหญ่


            “พวกเจ้าจะให้ข้า...เริ่มเดินทางเมื่อไหร่กัน”

            “วันนี้!!”

            “เฮ้อ เข้าใจแล้ว ถ้าเช่นนั้นเราคงต้องมาวางแผนกันก่อน” แร็กนาร์พ่นลมหายใจออกมาเบาๆกับเรื่องที่ไม่อาจเลี่ยงได้นี้

            “ทำไมเราต้องวางแผนด้วยเล่า” ฮิโรกิกล่าวถามออกมาเมื่อไม่เข้าใจสิ่งที่แร็กนาร์กล่าวบอก

            “พวกเจ้าลุกขึ้นมานั่งบนเก้าอี้ดีๆก่อนเถอะ แล้วจึงพูดคุยกัน” รูร์กัสเห็นว่าเหตุการณ์สงบลงแล้วจึงเรียกให้เด็กปีศาจทั้งสองที่ยังคุกเข่าอยู่บนพื้นให้มานั่งบนเก้าอี้เช่นเดิม

            “ครับ!!” เด็กปีศาจทั้งสองตอบตกลงพร้อมกันก่อนที่จะลุกขึ้นมานั่งบนเก้าอี้แต่โดยดี

            “แล้วตกลง เราต้องวางแผนสิ่งใดแร็กนาร์” เมื่อนั่งบนเก้าอี้เรียบร้อย ฮิโรกิก็ทวนคำถามขอตนทันที

            “ก็วางแผนเข้าไปรักษาพ่อของพวกเจ้าอย่างไรเล่า” แร็กนาร์ตอบกลับพร้อมมองหน้าหน้าของฮิโรกิตรงๆขณะตอบ

            “ทำไม ข้ายังไม่เข้าใจอยู่ดี เหตุใดเจ้าตองวางแผนเข้าไปด้วยเล่า” ฮิโรกิยังคงไม่อาจเข้าใจแร็กนาร์จึงถามย้ำออกมาอีก ทำให้แร็กนาร์พ่นลมหายใจออกมาอีกครั้ง...นี่เขาต้องมานั่งอธิบายยืดยาวอีกแล้วหรือนี่

            “เจ้าจะให้ข้าเดินเข้าไปบอกคนของพวกเจ้าว่าจะมารักษาหัวหน้ากลุ่มยาฉะตรงๆอย่างนั้นหรือ” สิ่งที่แร็กนาร์กล่าวหาใช่คำถาม แต่เป็นคำพูดที่ต้องการให้อีกคนค่อยๆคิดตาม

            “ใช่ มันก็ต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว” แต่เสียงที่ตอบกลับมา กลับทำให้แร็กนาร์แทบอยากจะเอาหัวโขลกโต๊ะแรงๆ เพราะคนที่ตอบกลับมาไม่ใช่ฮิโรกิ แต่เป็นฮิเดโอะที่เขาคิดว่าต้องเข้าใจในสิ่งที่ตนต้องการสื่อออกมาเป็นแน่

          ‘เฮ้อออออออ ขอถอนหายใจยาวๆหน่อยเถอะ ไอ้เราก็คิดว่าคนที่ไม่เข้าใจมีแต่ฮิโระ แต่ฮิเดะก็ไม่เข้าใจเนี่ยนะ อยากจะบ้าตาย มันจะมีอะไรที่เลวร้ายกว่านี้อีกไหม

            โถ่ ช่วยทำเรื่องให้มันง่ายกว่านี้หน่อยไม่ได้รึไงกัน คนที่เราเคยทำงานด้วยแค่พูดสั้นๆก็เข้าใจแท้ๆ แต่พวกเด็กๆนี่รับมือยากจริงๆให้ตายเถอะ เรายิ่งเป็นพวกขี้เกียจอธิบายซะด้วย เฮ้อออออ’


            “เฮ้อออ พวกเจ้าฟังข้านะ พวกเจ้าเป็นปีศาจเต็มตัว ส่วนข้าเป็นลูกครึ่งที่ถูกรังเกียจ และที่สำคัญข้าเป็นเด็ก พวกเจ้าคิดว่าจะมีใครกล้าเสี่ยงให้ข้าเข้าไปแตะต้องหัวหน้าของตนได้ง่ายๆกัน” แร็กนาร์พ่นลมหายใจออกมาเป็นครั้งที่เท่าไหร่ของวันก็ไม่อาจทราบ เพราะวันนี้มีเรื่องวุ่นวายเข้ามาโจมตีมากเสียเหลือเกิน ก่อนที่เขาจะจะอธิบายออกมาง่ายๆสั้นๆให้พวกเด็กๆคิดตาม

            “พวกข้าจะยืนยันให้เอง ไม่ต้องกังวล อีกอย่างท่านพ่อไม่ได้รังเกียจลูกครึ่ง” ฮิเดโอะยังคงยืนยันดังเดิม เพื่อให้แร็กนาร์สบายใจ ฮิเดโอะเข้าใจในสิ่งที่แร็กนาร์พูดแต่ก็ยังคงคิดว่าไม่มีเหตุจำเป็นใดที่จะต้องลอบเข้าไป

            “ไม่...ข้าจะทำเพียงลอบเข้าไปรักษาเท่านั้น...และถึงแม้พ่อของเจ้าจะไม่รังเกียจ แต่ก็ใช่ว่าจะยอมรับใช่หรือไม่ ไม่เช่นนั้นพวกปีศาจคงไม่นำลูกครึ่งมาทิ้งไว้เขตชายแดนเช่นนี้” แร็กนาร์ยังคงยืนยันหนักแน่ และอีกหนึ่งเหตุผลที่เขาไม่อยากเข้าไปรักษาโดยตรง เพราะไม่ชอบความวุ่นวาย ทั้งมันยังเป็นอีกหนึ่งหนทางที่เขาพอจะเลี่ยงการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับความขัดแย้งในแดนพยัคฆ์ที่กำลังเกิดขึ้นอีกด้วย แม้จะเตรียมใจยอมรับ แต่หากเลี่ยงได้ก็อยากจะเลี่ยงมัน

            “อึก ข้า...ข้าเข้าใจแล้ว ข้าคงไม่อาจปฏิเสธเรื่องนี้ได้” ฮิเดโอะไม่อาจโต้แย้งในความจริงข้อนี้ได้ จึงได้แต่ทำใจยอมรับเสียแต่โดยดี

            “ดี ถ้าเช่นนั้น ข้าขอแผนที่บ้านของเจ้าด้วย ข้าจำเป็นต้องใช้มัน เจ้ามีใช่หรือไม่?”เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยอมรับ แร็กนาร์ก็ออกปากขอสิ่งที่จำเป็นต้องใช้ในการวางแผนในทันที

            ฮิเดโอะไม่ตอบสิ่งใด แต่กลับทำเพียงนำกระดาษสีขาวหนึ่งแผ่นที่พับเป็นสี่เหลี่ยมเล็กๆออกมาจากกระเป๋าเสื้อของตน แล้วนำไปวางบนโต๊ะพร้อมคลี่เปิดออก บนกระดาษแผ่นนั้นปรากฏแผนผังบ้านขนาดใหญ่ที่ถูกวาดไว้อย่างละเอียด แผนผังนี้เขาทำมันขึ้นในตอนที่หลบหนีออกมาจากบ้านของตนในคราวก่อนนั่นเอง

            หลังจากเห็นแผนผังบ้านอย่างเต็มตาแร็กนาร์ก็อดที่จะตกตะลึงไม่ได้ เพราะแผนที่นี้ไม่ได้มีเพียงแผนผังของบ้าน มันยังมีตำแหน่งการตรวจตรา และช่วงเวลาเปลี่ยนเวรยามกันอย่างละเอียดอีกด้วย มันทำให้แร็กนาร์รู้สึกชื่นชมในความสามารถของเด็กคนนี้เพิ่มขึ้นมากไปอีก

             “เดี๋ยวข้ามา รออยู่ที่นี่ อย่าตามไป” แร็กนาร์ออกคำสั่งเช่นนั้นหลังจากพิจารณาแผนที่ และเวรยามอย่างละเอียด เขาเดินเข้าไปยังส่วนของห้องครัว ก่อนจะมีเสียงดังของแผ่นโลหะหนึ่งครั้ง และอีกไม่กี่อึดใจก็ได้ยินอีกครั้ง จากนั้นแร็กนาร์ก็เดินออกมาจากห้องครัวพร้อมกับหนังสือหนึ่งเล่ม

             แร็กนาร์เดินกลับมานั่งที่เดิมก่อนจะเปิดหนังสือไปยังหน้าที่ตนต้องการ แล้วชี้นิ้วไปที่รูปพืชชนิดหนึ่งที่ปรากฎรูปบนหน้าหนังสือนั้น

             “พวกเจ้าเคยเห็นมันหรือไม่” คำถามนี้ถูกเอ่ยขึ้นโดยไม่อธิบายว่าตนไปได้หนังสือนี้มาจากที่ใด และกำลังจะทำสิ่งใด เขาทำเพียงถามสิ่งที่ตนต้องการเท่านั้น

             “ข้าเคยเห็น คราวก่อนข้าหลงทาง มันมีกลิ่นฉุนจนแสบจมูกข้าจึงจำมันได้ดี” ฮิโรกิเป็นผู้ตอบออกมาเมื่อมองเห็นภาพให้หนังสือ มันเป็นภาพของดอกไม้ที่มีกลับดอกสีม่วงและมีขอบกลีบสีแดง เกสรสีดำ ดูสะดุดตา เขาจึงจำมันได้เป็นอย่างดี และเมื่อเห็นเช่นนี้แล้วก็พลอยทำให้นึกถึงกลิ่นมันไปด้วย ฮิโรกิจึงตอบด้วยท่าทีสยองกลิ่นของมัน

             “ดี พวกเจ้าไปนำมาให้ข้า 3 ดอก ข้าจะปรุงยาล่องหนสำหรับเราทั้ง 3 คน” แร็กนาร์เอ่ยขึ้นอย่างยินดีเมื่อตนจะได้ปรุงยาตัวใหม่ ที่อยากทำมานาน แต่หาส่วนประกอบสุดท้ายไม่พบเสียที โดยไม่สนใจสีหน้าที่ตื่นตกใจ และพยายามปฏิเสธของฮิโรกิแม้แต่น้อย

             ‘ยาล่องหน หึหึ ถึงจะเสี่ยงไปหน่อย แต่ก็น่าสนุกล่ะนะ’

 
             แร็กนาร์ยังไม่อาจทิ้งนิสัยเดิม การทดลองที่มาพร้อมกับความเสี่ยงช่างล่อลวงให้เขาเข้าไปยุ่งเกี่ยวได้เสียทุกครั้งไป

             “พี่เล่า พี่ก็จะไปกับเจ้า” แร็กนาร์หลุดจากห้วงความคิดของตนทันทีเมื่อรูร์กัสเอ่ยสิ่งที่เขาไม่อยากได้ยินขึ้นมา

             “ไม่” แร็กนาร์รีบปฏิเสธในทันที อย่างไม่ต้องคิดสิ่งใด

             “พี่จะไป” รูร์กัสก็ยังยืนยันสิ่งที่ตนต้องการ

             “แต่มันอันตรายพี่รูร์กัส” แร็กนาร์ตอบกลับไปอีก

             “เพราะมันอันตรายพี่จึงต้องไปดูแลเจ้า” ถึงอย่างนั้นรูร์กัสก็ยังดื้อดึงจะตามไปให้ได้อยู่ดี

             “แต่...”

             “ต่อให้เจ้าปฏิเสธเช่นไร พี่ก็ไม่คิดเปลี่ยนใจ” แร็กนาร์จะออกปากคัดค้านอีกครั้ง แต่กลับถูกรูร์กัสขัดขึ้นมาก่อน พร้อมจ้องมองแร็กนาร์อย่างไม่หวั่นไหว แน่วแน่ และไม่คิดจะฟังคำทัดท้านของแร็กนารอีก

             “เฮ้อออ ข้าเข้าใจแล้ว...พวกเจ้าไปหามา 4 ดอก” แร็กนาร์รู้สึกขัดใจอยู่บ้าง แต่เมื่อคิดได้ว่ารูร์กัสเป็นคนเช่นไร จึงยอมแพ้แค่โดยดีได้แต่ตอบตกลงทำนั้น แล้วจึงหันหน้าไปออกคำสั่งแก่เด็กน้อยปีศาจทั้งสองอีกครั้ง

             “เย้!” เสียงสองเสียงที่ร้องตะโกนออกมาอย่างดีใจดังขึ้นอีก ก่อนจะวิ่งออกจากบ้านไปอย่างรวดเร็ว ฮิเดโอะกับฮิโรกิลุ้นกับการถกเถียงของพี่น้องทั้งสองอยู่นาน พวกเขาอยากให้รูร์กัสไปด้วย เพราะแร็กนาร์ยอมฟังเพียงรูร์กัสเท่านั้น หากเกิดสิ่งใดขึ้นก็ต้องให้รูร์กัสคอยห้ามปรามแร็กนาร์ ผู้ที่ไม่สนใจสิ่งใดนอกจากความต้องการของตน

             หลังจากที่จากที่เด็กปีศาจทั้งสองวิ่งออกจากบ้านไป คนที่เหลืออยู่ได้แต่นิ่งเงียบไม่กล่าวสิ่งใดอีก เพราะไม่รู้ว่าจะเริ่มกล่าวจะส่วนใดดี คนหนึ่งยังค้างคาใจกับพฤติกรรมที่ผิดแปลกของน้องชาย อีกคนหนึ่งยังคงไม่อยากกล่าวสิ่งใดเพราะควบคุมอารมณ์หงุดหงิดในการตัดสินใจของพี่ชายไม่ได้ ทำให้บรรยายการภายในห้องนั่งเล่นตกอยู่ในความอึมครึม และเข้าสู้ความเงียบในที่สุด

             “แร็กนาร์...หนังสือเล่มนั้นเจ้าได้มาจากที่ใด” รูร์กัสที่เป็นฝ่ายหมดความอดทนกับความคับข้องใจนี้ก่อนจึงเป็นผู้เปิดปากเริ่มบทสนทนาขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้

             “ถ้าข้าตอบพี่รูร์กัส พี่จะยกเลิกการตัดสินใจเมื่อครู่หรือไม่” แร็กนาร์ไม่ตอบคำถาม แต่เลือกที่จะต่อลองกับรูร์กัสแทน เพราะแร็กนาร์เป็นห่วงรูร์กัส ทั้งยังไม่พร้อมที่จะเปิดเผยความจริงเรื่องห้องลับในตอนนี้

             หลังจากกล่าวจบแร็กนาร์ก็หันหน้าจ้องมองเข้าไปในดวงตาของรูร์กัสในทันที สายตาที่แน่วแน่เกินเด็กปรากฏให้รูร์กัสเห็นอีกครั้ง ทำให้เขาชะงักคำพูดของตนไว้ เพราะรูร์กัสรู้ดีว่า แม้แร็กนาร์จะยอมอ่อนข้อยอมรับฟังตนเสมอ แต่หากเรื่องที่ตนร้องขอมันไม่สมควร หรือไม่สามารถให้ได้แร็กนาร์ก็จะปฏิเสธโดยไม่ลังเลเลย

              การตัดสินใจที่แน่วแน่เช่นนี้ ไม่เพียงแร็กนาร์ที่สัมผัสได้จากรูร์กัส แต่ทางฝั่งรูร์กัสเองก็จะสัมผัสถึงมันจากแร็กนาร์ได้ในบางครั้งบางครา และทุกครั้งมันจะมาในรูปแบบของดวงตาที่สื่อความรู้สึกของคนที่มองโลกผ่านตาคู่นั้นมาหลายสิบปี

              “พี่เข้าใจแล้ว แต่เจ้าต้องบอกพี่นะ...พี่จะรอให้เจ้าพร้อมที่จะเล่า แร็กนาร์” รูร์กัสเลือกที่จะรอ หากแร็กนาร์ต้องการ เขาก็เพียงเพิ่มเรื่องเคลือบแครงสงสัยนี้เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ต้องรอคำตอบจากแร็กนาร์คงไม่ยากอะไร อย่างไรเขาก็มั่นใจว่าแร็กนาร์ต้องบอกเล่าเรื่องราวที่ตนสงสัยทั้งหมดให้ฟังอย่างแน่นอน...อาจจะไม่นานเท่าที่คิดก็เป็นได้

              ‘เฮ้ออออออ บ้าจริง เราไม่ใช่คนโกหกไม่เป็น แต่มีแค่รูร์กัสเท่านั้นที่โกหกไม่ได้เด็ดขาด รูร์กัสเป็นพี่ชายที่สำคัญที่สุดของเจ้าของร่างกายที่ได้รับมานี้ แล้วก็ไม่ใช่แค่นั้น รูร์กัสยังช่วยประคับประคองจิตใจของวิญญาณเดิม และวิญญาณของเราตอนนี้ด้วย คนที่สำคัญขนาดนั้น เราโกหกไม่ได้...

              ขอบคุณนะรูร์กัส เมื่อถึงเวลาฉันจะบอกเธอแน่นอน’

 
              แร็กนาร์ไม่ได้พูดสิ่งใดออกมาอีก เขาเพียงแค่ผงกหัวลงน้อยๆเพื่อตอบรับคำขอของรูร์กัสเท่านั้น

              “ข้าจะเข้าไปเตรียมอุปกรณ์สำหรับปรุงยา...พี่รูร์กัสตามเข้าไปทำอาหารรอฮิเดะ กับฮิโระเถอะ...กลับมาคงหิวแย่” แร็กนาร์กล่าวเพียงแค่นั้นก็จะเดินเข้าไปยังห้องครัวอีกครั้ง รูร์กัสยิ้มน้อยๆเมื่อรับรู้ถึงความใส่ใจของแร็กนาร์ แม้จะทำเรื่องร้ายกาจ แต่แร็กนาร์ก็ยังอ่อนโยนและใจดีเสมอ ถึงเจ้าตัวจะไม่รู้นิสัยข้อนี้ของตนก็ตาม

              รูร์กัสเองก็รู้ว่าตนต้องทำสิ่งใด จึงรอให้แร็กนาร์เดินเข้าไปยังห้องครัว และเมื่อได้ยินเสียงแผ่นโลหะหนึ่งครั้ง รูร์กัสจึงลุกขึ้นยืนแล้วเดินตรงไปยังห้องครัวทันที

              แร็กนาร์ไม่ได้กังวลหากรูร์กัสไม่ยอมแพ้ แล้วเลือกจะเดินตามเข้าไปอย่างกระชั้นชิด หากรูร์กัสทำเช่นนั้น เขาก็ทำเพียงเร่งฝีเท้า แล้ววิ่งหายไปในห้องครัวก็ทำได้ เพราะหลังจากที่ค้นพบห้องลับนี้ แร็กนาร์ก็คิดไตร่ตรองหาทางป้องกันไม่ให้ใครพบเห็นห้องนี้ได้โดยง่ายดังที่ตนพบเจอ

              แร็กนาร์พบหนังสือที่บันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับสัตว์มายาชนิดต่างๆ และได้เลือก “กิ้งก่าสภาพแวดล้อม” สัตว์มายาที่สามารถจำลองสภาพแวดล้อมที่เคยพบเห็นได้อย่างยอดเยี่ยม แม้การตามหา และการทำตามเงื่อนไขการใช้งานสัตว์เลี้ยงจะยากลำบากเพียงใด แร็กนาร์ก็ทำสำเร็จจนได้

              เขาเลี้ยงมันไว้ในเตาผิงขนาดใหญ่นี้ โดยสร้างรังที่ไม่ต่างจากรังเดิมของมันมากนักเพื่อเป็นการเอาใจสัตว์เลี้ยงตัวสำคัญ ทั้งยังตั้งชื่อให้ว่า “เคลตี้” กว่าจะหาชื่อที่ถูกใจเจ้ากิ้งก่ามากเรื่องนี้ได้เวลาก็ผ่านไปเกือบครึ่งวัน เพราะการตั้งชื่อที่ถูกใจให้สัตว์เลี้ยงก็เป็นหนึ่งในเงื่อนไขการใช้งานเจ้าสัตว์จอมเอาแต่ใจตัวนี้ด้วย

              แม้จะยากลำบาก ก็นับว่าประสบผลสำเร็จเป็นที่น่าพอใจอย่างมาก เพราะในตอนนี้ภายในเตาผิงนั้นว่างเปล่าไม่มีฟืนกองพะเนินดังเช่นก่อนหน้านี้ หากแต่ถ้าใครมองก็จะยังคงมองเห็นเป็นภาพเช่นเดิม ไม่เพียงภาพการมองเห็น แต่ทั้งสัมผัส และกลิ่น ล้วนแต่ไม่ต่างจากเดิม เพราะมันไม่เพียงสร้างภาพลวงตา มันยังสามารถปล่อยกลิ่นเฉพาะตัวแทรกเข้าไปในส่วนลึกของสมองที่เป็นส่วนประสาทสัมผัส และบิดเบียนมันให้เป็นดังที่ต้องการได้อีกด้วย

              แร็กนาร์เข้าไปนั่งเตรียมกันทดลองผสมยาสูตรใหม่เงียบๆภายในห้อง ส่วนรูร์กัสก็เข้ามาทำอาหารไว้รอเด็กปีศาจทั้งสองที่ไปหาดอกไม้ประหลาด และแร็กนาร์ก็ไม่กลัวว่ารูร์กัสจะนั่งรอจนตนออกมา เพราะหากรูร์กัสทำเช่นนั้นจริงๆแร็กนาร์ก็รับรู้ได้จากเสียงฝีเท้า เขาเพียงรอจนรูร์กัสทนไม่ไหวไปเองคงไม่ใช่เรื่องยาก...ถ้าจะแข่งความอดทนแร็กนาร์เชื่อว่าตนชนะขาดอย่างแน่นอน

              .

              .

              .

              แกร็ก!!

              เสียงเปิดประตูหน้าบ้านดังขึ้น จนเสียงนั้นเล็ดลอดเข้ามาในหูของแร็กนาร์ เขาจึงหยุดชะงักการจดบางอย่างลงในกระดาษแล้วเงี่ยหูฟัง เสียงนั้นจะเป็นเสียงใครไม่ได้เลย นอกจากเสียงฝีเท้าของเด็กปีศาจทั้งสองที่กลับมาแล้ว และเสียงพูดคุยกับรูร์กัสที่ลุกเดินเข้าไปหาหลังจากที่นั่งรออยู่บนเก้าอี้ในห้องนั่งเล่นเมื่อทำอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว

              แร็กนาร์เดินออกมาจากห้องลับ ผ่านห้องครัว และมายังห้องนั่งเล่น ภาพที่เห็นตอนนี้คือ รูร์กัส ฮิเดโอะ และฮิโรกิ กำลังมองสำรวจดอกไม้ที่แร็กนาร์ให้ไปหามา พร้อมทั้งเอามือปิดจมูกเพราะทนกลิ่นของมันไม่ไหว

              “เหม็น” เสียงเบาๆของแร็กนาร์เรียกความสนใจของคนทั้งสามให้ละสายตาจากดอกไม้ หันมามองแร็กนาร์แทน

              ฮิเดโอะกับฮิโรกิต่างตกตะลึง ภาพตรงหน้าจะมองว่ามันน่าชมก็คงโต้แย้งสิ่งใดไม่ได้ เพราะตอนนี้เสื้อสีขาวของแร็กนาร์เปียกไปด้วยเหงื่อจนเสื้อแนบลู่ไปกับลำตัวจนเห็นร่างกายนั้นอย่างชัดเจน ทั้งยังใบหน้าที่มีเหงื่อซึมน้อยๆ และหน้าแดงระเรื่อเพราะอากาศร้อนอบอ้าวภายในห้องลับ ขับให้ใบหน้า และดวงตาที่โดดเด่นนั้น งดงามขึ้นไปอีก

              “ระ...แร็ก แร็กนาร์ดอกไม้นี้ถูกต้องหรือไม่”  ฮิโรกิตั้งสติได้ก่อนจึงถามตะกุกตะกักขึ้นเพื่อเลี่ยงอาการแปลกประหลาดของตน

              “ใช่” แร็กนาร์รับรู้ถึงสายตาของทั้งสอง จึงเกิดหวั่นไหวเช่นคราวก่อน หน้าจึงเพิ่มความแดงระเรื่อเข้าไปอีก ก่อนจะแปลเปลี่ยนเป็นสีหน้าไม่พอใจเพราะความหงุดหงิดที่ไม่เข้าใจความรู้สึกของตัวเอง และยังขุ่นมัวเรื่องของรูร์กัสอยู่ จึงทวีความหงุดหงิดอย่างที่ไม่เคยเป็น

              “พวกเจ้าทานข้าวไปก่อน ข้าจะไปปรุงยา...ไม่ต้องรอ” แร็กนาร์อยากหลีกเลี่ยงที่จะระบายอารมณ์ใส่เด็กทั้งสองจึงเลือกที่จะออกคำสั่งเช่นนั้น และกลับไปสงบสติอารมณ์เงียบๆขณะปรุงยาในห้องลับ

              เมื่อแร็กนาร์เดินตรงไปยังห้องครัว ฮิเดโอะกับฮิโรกิก็ก้าวเท้าเข้าไปด้วย แต่ถูกรูร์กัสแตะไหล่เบาๆเป็นเชิงห้าม  พวกเขาก็ว่าง่ายยอมทำตามรูร์กัสแต่โดยดี

              หลังจากนั้นพวกเขาก็ไปทานข้าว แล้วมานั่งคุยเรื่องสัพเพเหระรอแร็กนาร์ที่ปรุงยาอยู่ภายในห้องลับ ที่พวกเข้าไม่อาจรู้ได้เลยว่าอยู่ที่ใดของห้องครัวเล็กๆนั้น

              .

              .

              .

             

ออฟไลน์ GreenHead(หัวเขียว)

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
    • Green Head - หัวเขียว
             
              ณ หมู่บ้านเฮียวจินคุระ ในคืนฟ้าโปร่ง ดวงจันทร์สีแดงเลือดเฉิดฉายอยู่บนท้องนภาอันมืดครึ้ม เหล่าสัตว์ที่ออกหากินยามค่ำคืนก็ส่งเสียงดังอื้ออึงไปทั่วบริเวณ ภายในหมู่บ้านแห่งนี้มีบ้านหลังใหญ่ที่ล้อมรอบด้วยกำแพงสูงตระหง่านตั้งอยู่ใจกลางของหมู่บ้าน บ้านหลังนี้เป็นที่อยู่อาศัยของ “ยาฉะ เบียกโกะ” ชายผู้เป็นหัวหน้าใหญ่ของกลุ่มยาฉะ ผู้ครอบครองเขตเหนือในแดนพยัคฆ์อันไร้กฎเกณฑ์นี้ โดยทั่วไปแล้วปีศาจทั้งหลายจะเรียกขานบ้านหลังนี้ว่า “บ้านใหญ่กลุ่มยาฉะ” หรือ "บ้านใหญ่ของเหล่าปีศาจ"

              บัดนี้มีเสียงอึกกระทกครึกโครมของเหล่าลูกสมุนที่มีหน้าที่ในการตรวจตราหมู่บ้าน เพราะตอนนี้พวกมันมีหน้าที่เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งอย่าง นั่นคือการตามหานายน้อยทั้งสองที่หายไปจากบ้านใหญ่ แต่ว่าพวกมันค้นหาตั้งแต่เช้าจรดเย็นก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะพบผู้ที่พวกมันตามหาเลย

              หากเหตุการณ์เป็นเช่นนี้พวกมันรู้ดีว่า ตามปกตินายน้อยของพวกมันจะไปแอบหลบซ่อนอยู่ในฐานลับ ที่ชอบกล่าวโอ้อวดว่า หากตนไปซ่อนอยู่ในฐานลับ คนที่หาพบคงมีแต่หัวหน้าใหญ่เท่านั้น ทุกครั้งพวกมันจะหัวเราะขำขันกับการพูดโอ้อวดนี้ของนายน้อย แต่ตอนนี้พวกมันกลับตระหนักได้ว่าสิ่งที่นายน้อยกล่าวนี้เป็นความจริงอย่างไม่ต้องสงสัย

              “พวกเจ้ามารับคำสั่งเพิ่มเติม!” เสียงดังก้องอันทรงพลังดังขึ้น แม้จะไม่แสดงถึงอำนาจเทียบเท่ากับหัวหน้าใหญ่ แต่มันก็แสดงให้เห็นว่าปีศาจตนนี้ต้องอยู่ในระดับหัวหน้าหน่วยเป็นแน่

              พรึ่บ พรึ่บ พรึ่บ

              เสียงเหล่าลูกสมุนของมันรีบร้อนวิ่งมารวมตัวกันแล้วเรียงแถวเป็นแถวตอนลึกอย่างเป็นระเบียบเพื่อรอรับคำสั่งเพิ่มเติมจากหัวหน้าของมัน

              “ในเวลานี้พวกเจ้าคงหานายน้อยไปทั่วบริเวณหมู่บ้านแล้ว แต่ก็ไม่อาจพบ ข้าคิดว่าฐานลับของนายน้อยคงไม่ได้อยู่ภายในหมู่บ้านเป็นแน่ และจากคราก่อนที่นายน้อยหนีออกไป นายน้องกลับมาจากทางทิศเหนือของหมู่บ้าน มีความเป็นไปได้อย่างมากที่ฐานลับของนายน้อยจะอยู่ทางทิศเหนือ ดังนั้นข้าจะแบ่งกำลังส่วนหนึ่งมุ่งหน้าขึ้นเหนือ ส่วนพวกที่เหลือก็จัดการตรวจตราที่หมู่บ้านดังเดิม

               เง็น เจ้าพากองของเจ้าทั้งหมดมุ่งหน้าขึ้นเหนือไปค้นหานายน้อยให้ทั่วบริเวณ” หลังจากกล่าวถึงการคาดการณ์ของตนให้ลูกสมุนของตนฟัง มันก็กวาดสายตาไปที่หัวหน้ากองของมันทีละคน จนเลือกได้หนึ่งกองตามที่มันต้องการ แล้วจึงออกคำสั่งกับคนที่มันหมายมาดไว้

               “รับคำสั่งครับท่านเคียวจิ” ชายผู้เป็นเจ้าของชื่อก็ขานรับอย่างทันท่วงทีโดยไม่ถามสิ่งใดกลับไป

               “ดีมาก แยกย้ายไปทำหน้าที่ของตนได้แล้ว!” หลังจากหมดธุระของตน มันก็สั่งการให้ลูกสมุนของมันแยกย้ายไปทำหน้าที่ในทันที ลูกสมุนของมันก็ไม่รอช้าออกวิ่งไปทำหน้าที่ของตนเช่นกัน

               ชายผู้มีนานว่า “เคียวจิ” มีร่างกายใหญ่โต ทั้งยังมีบาดแผลอยู่ทั่วลำตัว เป็นการบอกได้เป็นอย่างดีว่าเจ้าของร่างกายนี้มีประสบการณ์การต่อสู้มากมายเพียงใด แต่มันกลับมีหน้าที่เพียงดูแลตรวจตราภายในหมู่บ้านเท่านั้น ทำให้มันไม่พอใจอยู่บ้าง แต่ก็พยายามทำผลงานเพื่อให้หัวใหญ่พิจารณาหน้าที่ของมันใหม่อีกครั้ง

               นอกจากเสียงอึกกระทึกคึกโครมของเหล่าสมุนแล้ว ถัดไปจากหน้าหมู่บ้านที่หันหน้าไปทางทิศตะวันออกก็มีเด็กน้อย 4 คน นั่งซุ่มดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในหมู่บ้านอย่างเงียบเชียบอยู่บนต้นไม้ใหญ่ที่มีกิ่งก้าน และใบหนาทึบ เป็นกำบังอย่างดีที่ยากจะมองเห็น

               “เมื่อไหร่เราจะเริ่มแผนการกัน แร็กนาร์” ผู้ที่หมดความอดทนคนแรกจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากฮิโรกิเอ่ยขึ้น เมื่อเขาต้องรออยู่เช่นนี้มาเกือบชั่วยามแล้ว

               “ยัง...พวกเจ้าสร้างความวุ่นวายไว้ไม่น้อย เราต้องรอให้เหตุการณ์สงบก่อน” แร็กนาร์เอ่ยตอบด้วยเสียงแผ่วเบา แต่ก็เพียงพอให้พวกเขาทั้งหมดได้ยิน

               “ทำไม่เล่า ยิ่งวุ่นวายยิ่งดีไม่ใช่หรือ เราจะลอบเข้าไปนะ” ฮิโรกิไม่ยอมแพ้ ยังเถียงอย่างดื้อดึงออกไป

               “ไม่ เจ้าลืมแผนของข้าแล้วหรืออย่างไร แผนนั้นยิ่งเหตุการณ์สงบเท่าใด มันยิ่งได้ผลมากเท่านั้น ต้องให้พวกเขาวางใจว่าคืนนี้จะไม่มีเหตุร้ายใดๆเกิดขึ้น” แร็กนาร์กล่าวตำหนิฮิโรกิด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อย เพราะตนมีอารมณ์ขุ่นมัวอยู่บ้างแล้ว เมื่อไม่อาจห้ามไม่ให้รูร์กัสตามมาได้ ฮิโรกิก็สัมผัสน้ำเสียงปนอารมณ์หงุดหงิดของแร็กนาร์ได้ จึงเลือกที่จะเงียบลงและไม่ตอบสิ่งใดกลับมาอีก

               .

               .

               .

               “เอาล่ะ...เริ่มได้แล้ว” เสียงแร็กนาร์เป็นสัญญาณให้พวกเขาทั้ง 4 กระโดดลงจากต้นไม้ ต่างคนต่างทำหน้าที่ตามที่ตกลงกันไว้

               ผังบ้านที่ได้มาจากฮิเดโอะ บ้านใหญ่ของกลุ่มยาฉะนั้นตั้งอยู่กลางหมูบ้านพอดี มีกำแพงสูงตระหง่านที่ปิดล้อมตัวบ้านอยู่  กำแพงนั้นมีทางออกถึง 4 ทาง โดยอยู่ตรงตามทิศต่างๆ 4 ทิศ และประตูที่มีเวรยามหละหลวมที่สุดคือประตูตะวันออก ซึ่งเป็นประตูที่หันออกมาตรงกับทางเข้าหมู่บ้านพอดี การที่ประตูด้านนี้มีเวรยามอย่างหละหลวมเพราะพวกมันวางใจว่าไม่มีผู้ใดบุกเข้ามาได้อย่างแน่แท้ ซึ่งสิ่งที่น่ากังวลใจสำหรับพวกที่บุกเข้ามาทางด้านหน้าคงหนีไม่พ้นเหล่าเวรยามที่เฝ้าทางเข้าหมู่บ้าน แม้หมูบ้านจะมีกำแพงล้อมรอบไม่ต่างกัน แต่กำแพงหมู่บ้านกลับต่ำกว่ากำแพงที่ปิดล้อมบ้านใหญ่ ตัวกำแพงทำมาจากปูน แต่บ้านเรือนที่อยู่ภายในกลับทำจากไม้ดังเช่นเดียวกับบ้านเรือนของชาวญี่ปุ่นในยุคเอโดะ

               เวรยามที่เฝ้าทางเข้าหมู่บ้านมีจำนวน  25 ตน หน้าที่ของฮิเดโอะกับฮิโรกิคือหลอกล่อพวกเวรยามทางเข้าหมู่บ้านให้หายไปให้ได้มากที่สุด เนื่องจากทางเข้าหมู่บ้าน และบ้านใหญ่ห่างกันมาก พวกมันต้องไม่ทันสังเกตเป็นแน่

               ฮิเดโอะกับฮิโรกิปรากฏตัวให้พวกเวรยามเห็นแล้ววิ่งหนีให้เร็วที่สุด เมื่อหนีพ้นระยะสายตาก็ดื่มยาล่องหนที่แร็กนาร์ปรุงขึ้นมา ยานี้ต้องใช้ทั้งภายนอกและภายใน นั่นคือทั้งดื่ม และอาบ แต่ถ้าอาบต้องมีน้ำหยดไหลเป็นทางให้พวกปีศาจเห็นเป็นแน่ แร็กนาร์จึงให้ทุกคนถอดรองเท้าออก แล้วนำผ้าผืนใหญ่คนละผืนชุบน้ำยาเตรียมไว้และบิดให้พอหมาดๆไม่ให้มีน้ำหยดออกมา เมื่อถึงเวลาก็ดื่มยาที่เหลือ แล้วนำผ้าออกมาคลุมตัวเอาไว้ การวิเคราะห์เพิ่มเติมของแร็กนาร์ที่จำลองลงในกระดาษดูเหมือนจะได้ผลอย่างดี

               เหล่าเวรยามที่เห็นนายน้อยทั้งสองของตนก็วิ่งตามอยากไม่ลังเล เพราะในเวลานี้ดึกมากแล้ว อีกไม่กี่ชั่วยามดวงอาทิตย์ก็โผล่พ้นขอบฟ้า มันสงบเสียจนคลายความตึงเครียดลง ทำให้ไม่ทันระแวงระวังต่อสิ่งที่เกิดขึ้น พวกมันต่างรีบร้อน ไม่ได้ตกลงกันก่อนก็ออกวิ่ง จึงไม่ทันได้ฟังเสียงร้องเตือนของพวกพ้องที่ยังคงมีสติอยู่ พวกมันคิดแต่ว่าหากจับนายน้อยได้ หัวหน้าเคียวจิต้องพอใจ และตบรางวัลให้มันอย่างงามเป็นแน่แท้

               จากปีศาจที่เฝ้าทางเข้าหมูบ้าน 25 ตน ขณะนี้เหลือเพียง 5 ตน เท่านั้น การคาดการณ์ของแร็กนาร์เกินความคาดหมายที่คิดไว้ แร็กนาร์คำนวณไว้ว่าเวรยามจะเหลือ 10 ตน แต่กลับหายไปมากเกินคาด...พวกโลภมากช่างมากมายยิ่งนัก

               แร็กนาร์กับรูร์กัสก็มองหน้ากันก่อนจะดื่มยาและนำผ้าออกมาคลุมร่างกายของตนไว้ และที่แร็กนาร์ลงทุนวิเคราะห์เพิ่ม เพราะมีหมายเหตุสั้นๆในหน้าหนังสือว่า ‘หากอยากหายไปอย่างสิ้นเชิง ต้องเปลือยเปล่าจึงได้ผลดีที่สุด’

               แร็กนาร์เข้าใจประโยคนั้นเป็นอย่างดี มันสื่อถึงว่า หากอาบฉาบไปกับเสื้อผ้าด้านนอกตามที่เขียนไว้ ก็จะมีบางส่วนไม่ทั่วถึง และถึงแม้ทั่วถึงก็ต้องใส่เสื้อผ้าเปียกชื้นเป็นเวลานาน ร่างกายของผู้ใช้นั้นอาจจะทรุดลงก่อนยาจะหมดฤทธิเป็นแน่ ยาล้วนมีประโยชน์และโทษ หากสัมผัสมากจนเกินไปจะทำให้ภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง

               ที่สำคัญ...หากเปลือยเปล่าแล้วยาหมดฤทธิ์ในเวลาที่ฉุกละหุก จะไม่กลายเป็นพวกวิตถารไปเลยหรือ?

               ในตอนแรกแร็กนาร์ลังเลที่จะให้เด็กทั้งสองสร้างความวุ่นวายเพิ่ม อาจทำให้คนเฝ้าน้อยลง แต่เมื่อคำนึงถึงผลลัพธ์ของยา ที่แม้แต่พวกเดียวกันก็มองไม่เห็น ทั้งหากสร้างความวุ่นวาย แล้วพวกปีศาจที่แข็งแกร่งไล่ตาม เพียงไม่นานพวกเขาที่เป็นเด็กต้องถูกจับได้โดยง่าย ยิ่งวุ่นวายคนก็ยิ่งมากพวกเก่งๆก็เข้ามาร่วมมากขึ้น พวกมันต้องสัมผัสถึงพวกเขาได้เป็นแน่ หากเขาคนเดียวคงเอาตัวรอดได้ แต่รูร์กัสคงรอดยาก เมื่อคิดได้เช่นนั้น แร็กนาร์จึงทำให้เรื่องนี้เงียบเชียบ และให้พวกมันตายใจที่สุด

               หลังจากที่แร็กนาร์หายไปจากสายตารูร์กัส พวกเขาก็ไม่มีเสียงพูดคุยใดอีก รูร์กัสยืนรอแร็กนาร์หลังต้นไม้ใหญ่ที่พวกตนเคยซ่อนอยู่ตามที่ตกลงเอาไว้ เขาจ้องมองไปที่ทหารยามทั้ง 5 ที่เหลืออยู่ ก่อนที่ไม่กี่อึกใจต่อมา พวกมันก็เริ่มหน้าแดง บางตนล้มพับลง บางตนเพ้อรำพันดังเช่นคนที่เสพสุราจนเมามายขาดสติสัมปชัญญะอย่างสิ้นเชิง

               สิ่งที่รูร์กัสเห็นนั้นเกิดจากที่แร็กนาร์เดินอย่างแผ่วเบาตาบแบบของนักฆ่า เขาล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าใบเดิมที่เคยสะพายเอาไว้ของตน ในนั้นไม่ต่างจากเดิมนัก ยังคงมียาและของที่จำเป็นต้องใช้ใส่อยู่มากมาย แร็กนาร์หยิบห่อผ้าสีขาวที่ภายในมีผงละเอียดสีขาวเช่นเดียวกับผืนผ้าถูกห่ออยู่ภายใน เมื่อได้ระยะที่ใกล้พอแร็กนาร์ก็โปรยผงเหล่านั้นไปที่ทหารยามทั้ง 5 จนพวกมันเริ่มมึนงง และเมามายดังภาพที่รูร์กัสเห็น ยานี้แม้ดูไร้ประโยชน์ แต่หากใช้ให้ถูกต้องก็จะพบประโยชน์สูงสุดของมันเอง

               เมื่อยาออกฤทธิ์ตามที่คิดเอาไว้ แร็กนาร์ก็เดินกลับมาแตะเบาๆที่ตัวของรูร์กัส  แร็กนาร์นั้นแม้ตาจะมองไม่เห็นก็รับรู้ถึงตัวตนของคนอื่นๆได้ด้วยประสาทสัมผัสที่เหลืออยู่

               รูร์กัสรีบคว้ามือของแร็กนาร์ในทันที สองพี่น้องไร้เสียงพูดคุย ทำเพียงเดินผ่านเวรยามที่เมามายไปที่ประตูทางเข้าอย่างไม่รีบร้อน...ในครั้งนี้แร็กนาร์ไม่คิดจะฆ่าใคร เขาจึงต้องไตร่ตรองวางแผนให้รอบครอบกว่าที่เคยเป็น เพราะเมื่อการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าอย่างสังหารคนที่จับพวกเขาได้นั้นต้องลบทิ้งไปอย่างเสียไม่ได้  ตามคำขอของเด็กน้อยปีศาจทั้งสอง

               ในที่สุดพวกเขาก็เดินมาถึงทางเข้าบ้านใหญ่กลุ่มยาฉะทางฝั่งประตูทิศตะวันออก แร็กนาร์เดินไปหลังพุ่มไม้ที่เด็กปีศาจทั้งสองบอก และตกลงกันไว้ให้เป็นจุดนัดพบในครั้งนี้ทันที

               เพียงไม่นานเสียงฝีเท้า และเสียงแหวกพุ่มไม้เบาๆก็ดังขึ้น เป็นสัญญาณบอกว่าเด็กปีศาจทั้งสองมาถึงที่หมายแล้ว แร็กนาร์จึงยื่นมาไปสัมผัสเบาๆที่ไหล่ของหนึ่งในนั้น พวกนั้นก็รู้กันเพราะจับมือกันอยู่ เพียงกระตุกเบาๆอีกฝ่ายก็เข้าใจแล้ว  หลังจากรวมตัวกันครบพวกเขาก็เริ่มแผนการอีกครั้ง

               แร็กนาร์ทำเช่นเดิมอีกดังเช่นเมื่อครั้งที่ทำกับเวรยามเฝ้าทางเข้าหมู่บ้าน แต่คราวนี้แร็กนาร์ไม่ได้กลับมาหา เขาเพียงยืนรอให้คนที่เหลือเดินตามออกมาเมื่อเห็นพวกเวรยามสิ้นฤทธิ์  แล้วพวกเขาทั้ง  4 ก็เดินเข้าประตูไปอย่างง่ายดาย  จนฮิเดโอะอดที่จะตกตะลึงไม่ได้ เขาหาทางหลบหนีอยู่นานกว่าจะคิดแผนต่างๆได้  แม้จะมีผังบ้าน และพวกเขาเองก็อาศัยมาตั้งแต่เกิด แต่แร็กนาร์กลับใช้เวลาวางแผนเพียงชั่วอึดใจ และยังลอบเข้ามาอย่างง่ายดายถึงเพียงนี้ ช่างเป็นคนที่สุดยอดเสียจริง

               เมื่อเข้ามาได้พวกเขาทั้ง 4 ก็จับมือกันเอาไว้โดยมีฮิเดโอะเป็นผู้นำทาง ตามด้วยแร็กนาร์ รูร์กัส และปิดท้ายด้วยฮิโรกิ ที่ให้ฮิเดโอะนำทางเพราะที่นี่ไม่ใช่ป่า การเดาสุ่มตามสัญชาติญาณอย่างไร้แบบแผนของฮิโรกิจึงใช้ประโยชน์ไม่ได้ ต้องให้ฮิเดโอะเป็นผู้พาเดินเลี่ยงเวรยามเท่านั้น

               เพียงไม่นานพวกเข้าก็เลี้ยวพ้นหัวมุมทางเดินที่เลี้ยวไปยังห้องของหัวหน้าใหญ่กลุ่มยาฉะ ภาพตรงหน้าทำให้พวกเขาหยุดชะงัก เดินกลับไปหลบตรงหัวมุมเพื่อสังเกตการณ์อีกครั้ง

               เคียวจินั่งเป็นยักษ์ปักหลักขวางประตูเลื่อนบานใหญ่แบบญี่ปุ่นอยู่อย่างไม่ขยับเขยื้อน มันไม่ได้หลับแต่กลับจ้องมองโถงทางเดินตรงหน้าอย่างไม่วางตา

               แร็กนาร์กระตุกมือเบาๆทั้งสองข้าง พวกเขารู้ดีว่าแร็กนาร์ต้องการให้พวกเขารออย่างเงียบๆ แร็กนาร์จะเป็นผู้จัดการปัญหาที่เป็นอยู่นี้เอง ปัญหานี้ไม่ได้อยู่เหนือความคาดหมายของแร็กนาร์ เพราะหัวหน้าล้มป่วย แม้ในเวลาปกติจะไม่มีคนเฝ้า แต่หากเป็นช่วงวุ่นวายเช่นนี้ คงไม่มีใครอยู่เฉย ปล่อยให้หัวหน้าของตนนอนรอความตายอยู่อย่างเงียบๆเป็นแน่

               อุปสรรคตรงหน้าเป็นถึงหัวหน้าหน่าย แร็กนาร์จึงทำให้ตนตื่นตัวขึ้นเล็กน้อย รวมทั้งปรับลมหายใจ และเสียงย่ำเท้าให้เบาลงไปอีก

               มือหนึ่งกำผงยาที่มีฤทธิ์ทำให้เมา อีกมือหนึ่งเตรียมมีดผ่าตัดขนาดเล็กที่ตามแข็งที่สุดที่เขามีออกมา เมื่อได้ระยะที่ต้องการ  แม้จะเข้าใกล้เท่าพวกลูกสมุนของมันไม่ได้แต่ก็เป็นระยะที่เพียงพอจะให้ผงสีขาวนั้นโดนจมูกของเคียวจิ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังนั่งเฉย ไม่มีอาการมึนเมาอย่างพวกก่อนๆ

               เป็นไปดังคาด แม้จะไม่ได้ออกฤทธิ์ถึงขั้นเมามาย แต่เคียวจิก็สัมผัสถึงความมึนงงเล็กน้อย พอที่จะให้แร็กนาร์เข้าประชิดตัวได้มากขึ้น แร็กนาร์ไม่กังวลเรื่องเด็กทั้งสามที่ดูอยู่ เพราะอย่างไรพวกเขาคนไม่เห็นเป็นแน่ ดังนั้นจึงเร่งลงมืออย่างเฉียบขาด  เคียวจิที่รับรู้ถึงแร็กนาร์ได้ในระยะประชิดพยายามจะปิดมือไปที่แร็กนาร์ แต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว  แร็กนาร์ใช้ด้ามของมีดผ่าตัดกระแทกไปที่เส้นสัมผัสของสติสัมปชัญญะที่บริเวณท้ายทอยอย่างรุนแรง

               บริเวณท้ายทอยนั้นมีเส้นของประสาทสัมผัสอยู่มากมาย การใช้ด้ามมีดกระแทกลงไปก็ไม่ต่างจากกันใช้สันมือฟันมากนัก เพียงแต่จะหนักหน่วง และแม่นยำกว่า

               ในตอนที่แร็กนาร์รักษาเด็กปีศาจทั้งสองจึงพบว่าร่างกายของปีศาจไม่ต่างจากมนุษย์มากนัก เพียง แข็งแรง และทนทานมากกว่าเท่านั้น  การใช้สันมือฟันจึงไม่มีผลอย่างที่เคยเป็นแน่ จึงใช้ด้ามมีดกระแทกลงไปแทน

               เคียวจิคว้าได้แต่ลมที่ด้านหลังมือเขาเฉียดร่างของแร็กนาร์ไปเล็กน้อยก่อนที่จะล้มลงหมดสติไปในที่สุด พวกรูร์กัสเห็นแบบนั้นก็ได้แต่ตกตะลึง ที่พวกเขาสังเกตเห็นมีเพียงแสงแวววับของอาวุธบางอย่างที่แร็กนาร์ใช้เท่านั้น พวกเขาไม่รู้ว่ามันคือสิ่งใด

               ครืด

               แร็กนาร์เลื่อนประตูออกเป็นสัญญาณให้พวกเด็กทั้งสามเดินเข้าไปในห้อง เมื่อเข้าไปจนครบแร็กนาร์ก็นำร่างของเคียวจิมานั่งพิงประตูไว้ดังเดิม เพื่อไม่ให้เป็นที่ผิดสังเกตุ

               พวกเขาต่างไปนั่งห่างร่างของคนเจ็บเล็กน้อย เพื่อเปิดทางให้แร็กนาร์ได้เข้าไปตรวจ  แร็กนาร์วางผ้าคลุมลงจากร่างกาย ตอนนี้พวกเขาจึงเห็นเป็นเสื้อผ้าขยับไปมาไม่ต่างจากถูกภูตผีปีศาจหลอกมากนัก พวกเขานั่งเงียบๆรอแร็กนาร์ตรวจหัวหน้ากลุ่มยาฉะเท่านั้น

               แร็กนาร์ใช้ไฟฉายเล็กๆที่พบในห้องลับส่องไปที่ดวงตา  แต่สิ่งที่คนอื่นเห็นก็คือดวงตาของหัวหน้ากลุ่มยาฉะเลิกออก และไฟฉายก็ลอยขึ้นมาก่อนส่องสว่างไปที่ดวงตา ช่างเป็นภาพที่น่าฉงน หากพวกเขาไม่รู้ว่านั่นคือแร็กนาร์ ในยามนี้คงคิดว่ามีภูตผีมาหลอกหลอนไปแล้ว จึงได้แต่กลืนน้ำลายข่มความรู้สึกที่ตีกันไปมานี้เอาไว้ ทั้งความกลัว ความตกตะลึง  ความสงสัยใคร่รู้ และความขำขันในการตรวจที่แปลกประหลาดของแร็กนาร์ ทั้งเปิดเปลือกตา ทั้งบีบและสำรวจโพรงจมูก รวมทั้งทั้งเปิดปากของคนป่วย ช่างเป็นการกระทำที่อุกอาจพาให้พวกเขาขำขันไปกับสีหน้าบิดเบียวตามการตรวจของแร็กนาร์นี้เป็นอย่างยิ่ง แต่ก็ได้แต่เก็บไว้เพียงเงียบๆเพื่อไม่ให้รบกวนแร็กนาร์เท่านั้น

               “มีคนมา...ไปยืนติดผนังฝั่งซ้ายของประตู” แร็กนาร์หยุดชะงักการตรวจด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อย เมื่อพบข้อสงสัยบางอย่างภายในร่าง ซึ่งมันยังไม่แน่ชัดมากนัก ต้องตรวจเพิ่มเติมอีกเพื่อยืนยันสิ่งที่ตนสงสัย แต่กลับถูกขัดจังหวะด้วยเสียงฝีเท้าของปีศาจหนึ่งตนที่กำลังเดินตรงมาที่ห้องนี้

               เสียงฝีเท้านั้นไม่ได้ผ่านเลยไป แต่กลับหยุดชะงักไว้ที่หน้าประตูห้อง แร็กนาร์ที่ตอนนี้ได้นำผ้ามาคลุมตัวเช่นเดิม พร้อมเดินไปอยู่ข้างผนังตามที่สั่งพวกเด็กๆรู้สึกทั้งหงุดหงิด ทั้งกังวล คนที่เดินตรงมานั้น เสียงฝีเท้าเบาบางเป็นการบอกได้อย่างดีว่าคนๆนี้มีฝีมือไม่น้อย อาจจะเก่งกาจเหนือกว่าเคียวจิที่เขาใช้กลโกงล้มลงไปก่อนหน้านี้เสียอีก

               แม้จะอยู่ในการคาดการณ์ของแร็กนาร์ แต่เขากลับอดที่จะกังวลไม่ได้  จากการบอกเล่าของเด็กปีศาจจึงรู้ว่าหัวหน้าหน่วยที่เก่งกล้าถูกส่งไปที่ชายแดน และมีบางส่วนกลับบ้านของตน และส่งมาเพียงลูกน้องเท่านั้น ไม่ได้มาด้วยตนเอง จึงไม่ได้คิดแผนสำรองสำหรับคนที่เก่งกาจถึงเพียงนี้ ฝีเท้าที่เบาจนแทบไร้เสียงนี้ ไม่ต่างจากเขาในตอนที่อยู่ในร่างเดิมเลย...เจออุปสรรคชิ้นใหญ่เสียแล้ว

               ‘บ้าเอ้ย!  ตรวจพบเรื่องผิดปกติแล้วแท้ๆ   แต่ยังยืนยันไม่ได้  แล้วไอ้ที่โผล่มาอีก  ถ้าเก่งระดับเราในร่างเดิม แล้วยังเป็นปีศาจที่มีพลังสุดยอดนี่อีก...เราต้องสู้ไม่ไหวแน่ คิดสิ คิด คิด ใจเย็นๆแล้วคิดแผนซะ S.P.’

 
               แร็กนาร์วิตกกังวลในคราแรกแต่ก็พยายามใจเย็นรอฟังความเคลื่อนไหวของผู้มาเยือนที่เก่งกาจผู้นี้ แล้วเริ่มจำลองวางแผนเอาตัวรอดในนาทีวิกฤตนี้อีกครั้ง

               “ท่านเคียวจิ...เกิดสิ่งใดขึ้น” เสียงของชายคนนั้นดังขึ้นอย่างตกใจเมื่อเห็นเคียวจินั่งหมดสติอยู่ที่หน้าประตู

               ครืดดดด!!

               “ท่านหัวหน้า!!” เสียงเปิดประตู และเสียงตะโกนที่ดังขึ้นพาให้หัวใจของเด็กทั้ง 4  แทบหยุดเต้น

 



To Be Continued...


__________________________________________________________________

 
มาต่อแล้ววววว  ขอบคุณทุกคอมเมนต์นะคะ 
เราจะขยันๆแต่งต่อไป
ฝากตัวอีกครั้ง  และขอบคุณที่รออ่านค่าาาาา
สามารถพูดคุย และทวงนิยายได้ที่>>>  https://www.facebook.com/greenheadzoro/


 :m1:

ออฟไลน์ rinny

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 517
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
เราจำได้ว่าเคยอ่านเรื่องนี้จากเด็กดี อ่านแล้วชอบมาก สนุกสุดๆเลย
พอเห็นว่ามาลงเล้านี่คือ อ่านใหม่อีกรอบเลยค่า มาต่ออีกไวๆน้า รออ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด