ตอนที่ 2
เรียนรู้
สวบ สวบ สวบ...
เสียงเดินจากเดินจากด้านหลังเรียกความสนใจของแร็กนาร์จากภวังค์ความคิดเมื่อครู่ให้หันหลังมองทางต้นเสียงที่อยู่ไม่ไกลนัก คงเพราะความสามารถของนักฆ่าทีสั่งสมมาทำให้หูของเขาดีกว่าคนทั่วไป มองอยู่อย่างนั้นสักพักรูร์กัสก็เดินออกมาจากพุ่มไม้ที่อยู่ห่างออกไปเล็กน้อย
รูร์กัสสบตากับแร็กนาร์เพียงชั่วครู่ก็คลายสีหน้าวิตกกังวลลง แล้วรีบวิ่งเข้ามาหาแร็กนาร์ที่มองเขาด้วยใบหน้าเปื้อนน้ำตา และยังไม่คลายสะอื้น กอดปลอบร่างเล็กของแร็กนาร์อีกครั้ง ร่างที่โตกว่าเล็กน้อยกระชับกอดร่างเล็กตรงหน้าให้แน่นขึ้น ไม่เอ่ยคำพูดใดๆออกมา ทำเพียงใช้ไออุ่นของร่างกายกอดปลอบโยนร่างเล็กของน้องชายอันเป็นที่รัก
“ขอโทษ” คำพูดขอโทษที่เอ่ยออกมาด้วยความรู้สึกผิดในใจที่เขาไม่สามารถช่วยเหลือแร็กนาร์ไว้ได้เอ่ยขั้นหลังจากที่ร่างเล็กในอ้อมกอดคลายสะอื้น และหยุดร้องให้ รูร์กัสหลับตารอถ้อยคำต่อว่าจากร่างเล็ก เขารู้สึกผิดและสมเพชตัวเองที่ไร้ซึ่งพลังไม่สามารถปกป้องคนสำคัญของเขาไว้ได้ ไม่ว่าร่างเล็กจะโกรธ จะเกลียด จะด่าทอเขาอย่างไร เขาก็จะยินดียอมรับมันด้วยความเต็มใจ ขอเพียงอย่าได้เหมือนเหตุการณ์เมื่อครู่ ที่แร็กนาร์ทำเหมือนจำเขาไม่ได้ เขาไม่สามารถทำใจได้จริงๆถ้าเป็นแบบนั้น
“รูร์กัส...พะ พี่รูร์กัส ปล่อยข้าก่อน” แร็กนาร์เผลอเรียกเพียงแค่ชื่อของรูร์กัส ก่อนนึกขึ้นได้ว่าตอนนี้ตนอยู่ในสถานะน้องชายของคนเด็กชายตรงหน้า เพราะถ้านับอายุจริงๆของร่างเดิม เขาอายุ 30 ปีแล้ว เด็กชายวัย 12 ปี เปรียบเหมือนลูกหลานของเขาเท่านั้นเอง ถึงจะกระดากปากไม่น้อยที่ต้องเรียกเด็กว่า พี่ แต่ในสถานะของเขาตอนนี้ คงมีทางเลือกให้ไม่มากนัก
รูร์กัสคลายอ้อมกอดตามที่แร็กนาร์ร้องขอ เขายิ้มอย่างดีใจที่ตอนนี้น้องชายจำเขาได้แล้ว จึงไม่นึกสงสัยสิ่งใด รูร์กัสยกมือทั้งสองข้างเช็ดน้ำตาให้ร่างเล็กตรงหน้าอย่างเบามือ
“พี่ขอโทษที่ไม่อาจช่วยเจ้าได้ และไม่มีความกล้าพอที่จะกระโดดตามเจ้าลงมา ข้ามันขี้ขลาด!” รูร์กัสเอ่ยคำขอโทษด้วยความรู้สึกผิด และโทษตัวเองอีกครั้ง
‘ไม่น่าเชื่อว่า คนที่ได้ชื่อว่านักฆ่าไร้หัวใจอย่างเรา จะอ่อนไหวกับพูดของเด็กตัวเล็กๆนี่ หรือเพราะความรู้สึกที่หลงเหลืออยู่ในร่างนี้กันนะ ในความทรงจำที่เหลืออยู่โลกของแร็กนาร์มีแค่พี่ชายอยู่เท่านั้น รูร์กัสคอยช่วยเหลือ คอยดูแลห่วงใย แม้บางครั้งต้องถูกลงโทษไปด้วยก็ไม่เคยปริปากเอ่ยโทษอะไรเลย ยังคอยช่วยเหลือแร็กนาร์แบบนี้ตั้งแต่จำความได้
ทั้งๆที่ทิ้งหัวใจไปแล้ว ทั้งๆที่คิดว่าไม่สามารถเชื่อใจใครได้อีกแล้วแท้ๆ ทั้งๆที่เพราะถูกหักหลังถึงได้ทิ้งความฝันมาเป็นนักฆ่า ทั้งๆที่เพราะถูกหักหลังถึงได้ถูกรัฐบาลจับไปเป็นหนูทดลอง โดนหักหลังมาแล้วถึงสองครั้ง แต่ทำไมกัน เพียงแค่เด็กคนนี้ถึงได้มีความคิดที่ว่า จะถูกหักหลังครั้งที่สามก็ไม่เป็นไร อยากจะเชื่อใจคนคนนี้ อาจจะเป็นเพราะความทรงจำในร่าง และดวงตาที่มองเราด้วยความบริสุทธิ์ใจนี่สินะ ถึงได้อยากจะลองเชื่อใจใครอีกครั้ง’ “ไม่ใช่ความผิด...พี่รูร์กัสทำถูกแล้ว” แร็กนาร์ตอบพร้อมระบายรอยยิ้มอ่อนๆส่งไปให้รูร์กัส เพราะเขารู้สึกขอบคุณจริงๆที่รูร์กัสไม่กระโดดหน้าผาตามลงมา มันคงไม่ต่างจากการฆ่าตัวตาย รูร์กัสก็คงไม่รอดเหมือนเจ้าของร่างนี้ และเขาเองคงจะไม่มีเหตุผลที่จะมีชีวิตอยู่ เขาคงไม่สามารถเชื่อใจใครอีกได้แบบนี้
‘ขอสาบานต่อฟ้าดิน ผมจะปกป้องเด็กชายตรงหน้านี้ เพื่อตอบแทนเจ้าของร่างกายนี้ และเพื่อตัวของผมเอง’ .
.
.
แร็กนาร์ หรือ S.P. (Scelpel) นักฆ่าไร้หัวใจ ผู้เป็นถึงอาชญาการระดับโลก มีนิสัยติดตัวที่แก้ไม่หาย คือ ชอบพูดออกมาสั้นห้วน แต่ในสมองกลับมีความคิดมากมาย เขาเป็นคนที่คิดเยอะ เพราะช่างสังเกต และชอบคิดวิเคราะห์ ชอบคำนวณสิ่งต่างๆ ที่พบเจอจนเป็นปกตินิสัย เช่นเดียวกับตอนนี้
‘แผลที่แขนของรูร์กัสยังอยู่ แต่ก็พันแผลไว้แล้ว มีเลือดไหลซึมออกมาเล็กน้อย คงเพราะฝืนตัวเองออกตามหาเราสินะ ดวงตาเองก็คล้ำ แล้วยังบวมอีก ร้องไห้ แถมไม่ได้นอน ดูจากสภาพร่างกายแล้วเหตุการณ์นั้นคงผ่านมา 2-3 วันแล้ว ร่างเราเองก็มีแต่แผลเต็มไปหมด จะแปลกก็ตรงที่แผลเริ่มแห้งแล้ว ทั้งๆที่ผ่านมาแค่ 2-3 วัน เหมือนกับเวลาผ่านไปเป็นอาทิตย์อย่างนั้นแหละ ถ้าจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ในร่างนี้เราต้องรู้เรื่องของโลกใบนี้มากกว่านี้ เพราะความทรงจำที่เหลืออยู่ไม่มีรายละเอียดอะไรเลย เฮ่อ’ “ไปทำแผลกันเถอะ” ความคิดมากมายนั้นไม่ถูกถ่ายทอดออกมา เสียงที่เอ่ยออกมามีเพียงประโยคสั้นๆตามฉบับของเจ้าตัวเท่านั้น
“เจ้าไม่โกรธพี่เหรอแร็กนาร์?” รูร์กัสยังถามออกมาเพื่อความแน่ใจ
“ไม่...ไปทำแผลเถอะ” ร่างเล็กของแร็กนาร์ลุกขึ้นเต็มความสูง พร้อมยืนมือออกไปให้รูร์กัสจับ รูร์กัสเห็นดังนั้นก็ยิ้มออกมาได้ในที่สุด สำหรับเขาแล้วรอยยิ้มของรูร์กัสช่างอบอุ่น รอยยิ้มที่เขาไม่เคยได้รับจากใครในร่างเดิม
‘ช่างน่าอิจฉาจริงๆ ที่ยังมีความสุขเล็กๆในชีวิตที่น่าสังเวชนี่ มันคงเป็นรอยยิ้มที่ผลักดันร่างเล็กนี้ให้อยากมีชีวิตอยู่ต่อสินะ’
.
.
.
รูร์กัสเดินจับมือของแร็กนาร์พาเดินไปตามทางเล็กๆมีร่องรอยที่แสดงให้เห็นว่า มีคนเคยใช้ทางนี้เป็นทางเดินประจำเมื่อนานมาแล้ว เพราะเริ่มมีหญ้าเล็กๆเกิดแทรกพื้นดินขึ้นมาเล็กน้อยเท่านั้น ทางที่รูร์กัสไปไม่ใช่ทางที่ใช้เดินกลับบ้านของพวกเขา ถึงแม้ความทรงจำที่เหลืออยู่จะปรากฏออกมาว่าทางที่เดินไปไม่ใช่ทางกลับบ้าน แร็กนาร์ก็ไม่ได้สนใจมากนัก เพราะเขาตัดสินใจที่จะเชื่อใจเด็กชายที่จูงมือเขาอยู่ไปซะแล้ว
แร็กนาร์เริ่มมองสำรวจสิ่งรอบข้างอีกครั้ง
‘ต้นไม้บริเวณนี้ แล้วก็ที่เดินผ่านมา เป็นสภาพแบบป่าดิบชื้นไม่ต่างจากที่โลกเดิมมากนัก มีต้นไม้สูงขึ้นเต็มไปหมด ส่วนข้างล่างจะเป็นพุ่มไม้เล็กๆพวกไม้เลื้อย และมีดอกไม้ประปรายบางบริเวณเท่านั้น สิ่งที่ต่างคงจะเป็นพันธุ์ไม้ต่างๆที่เราไม่รู้จัก ต้องหาเวลามาเดินสำรวจดูสักหน่อยแล้ว เผื่อจะใช้ทำอะไรได้บ้าง ทำพวกยาพิษได้ด้วยคงดีไม่น้อย หึหึหึ’ ปึก!!
เพราะมัวแต่สนใจสภาพแวดล้อมของที่นี่ ทำให้แร็กนาร์เดินชนเข้ากับร่างของรูร์กัสที่หยุดเดินลงอย่างจัง
“เป็นอะไรรึเปล่า เข้าไปข้างในกันเถอะ พี่ทำความสะอาดไว้แล้ว” รูร์กัสหันมาถาม แล้วมองดูร่างเล็ก เมื่อเห็นว่าน้องไม่เป็นไร จึงพูดชวนพร้อมรอยยิ้มที่ส่งมาให้ จากนั้นก็เดินนำแร็กนาร์เข้าไปในบ้านหลังเล็ก
ด้านนอกของตัวบ้านมีต้นไม้เล็กๆขึ้นอยู่รอบตัวบ้านเท่านั้น ห่างออกไปเล็กน้อยจึงมีต้นไม้ต้นใหญ่ขึ้นอยู่ บ่งบอกว่าบ้านหลังนี้มีมานานมากแล้ว และเจ้าของบ้านหลังนี้ดูแลมันอย่างดี บ้านมีลักษณะเป็นทรงกลมที่ด้านหลังต่อเติมออกไปเล็กน้อยเป็นห้องครัว มีประตูอยู่หน้าบ้าน 1 บาน หน้าต่างที่ติดอยู่ทำให้เห็นได้ว่าเป็นบ้านแบบ 2 ชั้น บ้านทำจากอิฐและปูนดูแข็งแรง
แร็กนาร์เดินตามรูร์กัสเข้าไปในบ้าน แล้วเริ่มมองสำรวจอีกครั้ง ด้านในมีชุดแบบโต๊ะรับแขกอยู่ 1 ชุด มีเก้าอี้ไม้ตัวยาว 1 ตัว เก้าอีกเล็ก 2 ตัว ล้อมโต๊ะไม้ตัวใหญ่ที่วางอยู่ตรงกลาง ข้างเก้าอี้ตัวยาวมีชั้นวางของเล็กๆที่ด้านบนตั้งโคมไฟแบบตะเกียงเอาไว้ข้างแจกันสีดำสนิท อีกฟากของประตูเป็นประตูอีกบานที่ใช้เปิดไปที่ห้องครัว ข้างซ้ายมือของเขามีบันไดเล็กๆที่เป็นทางเดินขึ้นไปบนชั้น 2
แร็กนาร์อยากขึ้นไปสำรวจชั้นบนจึงหันหน้าไปมองหน้ารูร์กัสเชิงขออนุญาต รูร์กัสเห็นก็เข้าใจในทันที เขาจึงพาแร็กนาร์ขึ้นไปบนชั้น 2 ทันที ด้านบนเป็นห้องนอน มีเตียงขนาด 5 ฟุต 1 เตียง ตู้เสื้อผ้า 1 ตู้ โต๊ะวางโคมไฟเหมือนด้านล่างตั้งอยู่ข้างหัวเตียงด้านขวา ชั้นวางหนังสือ 1 ตู้ ที่ด้านในยังมีหนังสือวางอยู่ ทั้งๆที่ตู้เก่าจนโทรม หนังสือที่วางอยู่กลับมีสภาพดีจนน่าแปลกใจ
บ้านหลังนี้จัดว่าน่าอยู่ทีเดียว ถึงสภาพจะเก่าโทรม แต่เมื่อผ่านการทำความสะอาดแล้วก็กลับมาสวยงามอีกครั้ง
“พี่เจอที่นี่เมื่ออาทิตย์ก่อน พี่ทำความสะอาดไว้ ของใช้ที่จำเป็นก็เตรียมมาไว้หมดแล้ว พี่คิดว่าจะพาเจ้ามาอยู่ที่นี่ พี่ไม่อาจทนเห็นเจ้าเจ็บปวดได้อีก แต่มันก็เกือบจะสายเกินไปแล้ว ถ้าพี่พาเจ้ามาเร็วกว่านี้คงดี เจ้าจะได้ไม่ต้องเจอกับเหตุการณ์ที่โหดร้ายนั่น”
‘ไม่ทันแล้วล่ะ’ แร็กนาร์ได้แต่บอกรูร์กัสอยู่ในใจ ว่าคนที่เขาอยากให้มาอยู่จริงๆนั้น ได้จากไปแล้ว
“ไม่เป็นไร แค่นี้ข้าก็ขอบคุณพี่รูร์กัสมากแล้ว เลิกคิดมากแล้วมาทำแผลเถอะ อุปกรณ์อยู่ไหน?” ประโยคที่ยาวที่สุด หลังจากที่ฟื้นขึ้นมาถูกเอ่ยขึ้น รูร์กัสยิ้มอย่างดีใจ และผ่อนคลายยิ่งขึ้น เพราะแร็กนาร์เป็นเด็กช่างพูด เขาเป็นห่วงร่างเล็กอยู่ไม่น้อย ที่พูดออกมาสั้นๆเท่านั้น ไม่ช่างฉอเลาะเหมือนแต่ก่อน
ด้วยความที่แร็กนาร์ยังเด็ก และพึ่งเจอเหตุการณ์น่าหวาดกลัวมา นิสัยที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงของร่างเล็กจึงถูกปล่อยผ่านไปได้อย่างง่ายดาย
รูร์กัสพาแร็กนาร์ไปนั่งที่เตียง จากนั้นเดินไปหยิบกล่องปฐมพยาบาลที่เขาเตรียมไว้ออกมาจากดูด้านล่างของชั้นวางหนังสือ แล้วกลับมานั่งที่เตียงตรงข้ามกับแร็กนาร์ เขาจับแขนของร่างเล็กขึ้นมาเพื่อจะทำแผลให้
พรึ่บ!
แร็กนาร์ดึงแขนออกจากมือรูร์กัสอย่างรวดเร็ว ทำให้รูร์กัสมองอย่างไม่เข้าใจ
“ทำแผลของพี่รูร์กัสก่อน ยื่นแขนมา” คำพูดเรียบนิ่งเอ่ยขึ้น พร้อมยกแขนขึ้นมายื่นมือขอทำแผลให้พี่ชาย
“ไม่ต้อง ทำของเจ้าก่อนเถอะ แผลพี่เล็กน้อยเท่านั้น” รูร์กัสไม่ยอมทำตามคำพูดของแร็กนาร์ แต่ยกแขนขึ้นมาแบมือขอทำแผลเหมือนกับร่างเล็ก
ทั้งคู่มองหน้ากันอยู่อย่างนั้น ไม่มีใครยอมหลบสายตา จนกลายเป็นการเล่นเกมจ้องตากันไปเสียแล้ว
‘ไอ้เด็กดื้อ เห็นทำตัวว่าง่าย แต่ไม่ยอมใครซะอย่างนั้น หึ! ให้มันได้อย่างนี้สิ’ “เฮ้อ! ก็ได้ๆข้ายอมแล้ว แต่พี่รูร์กัสต้องตอบคำถามของข้าหลังทำแผลเสร็จตกลงไหม?” เมื่อเห็นว่ารูร์กัสคงไม่ยอมง่ายๆแร็กนาร์จึงมุ่งประเด็นไปที่สิ่งที่ตนสงสัยแทน เขาต้องการข้อมูลของโลกใบนี้ แล้วก็กลัวตัวเองจะใช้สายตาของนักฆ่ากดดันรูร์กัส เขาไม่อยากให้รูร์กัสกลัวเขา จึงเลือกที่จะยอม
“ได้ พี่ตกลง” รูร์กัสก็ไม่ได้ติดใจสงสัยอะไรในข้อตกลงของแร็กนาร์ เพราะเวลาที่เขากดดันร่างเล็กด้วยสายตาเรียบนิ่งและจริงจัง ร่างเล็กก็จะยอมอย่างว่าง่าย ถึงแม้ครั้งนี้มีข้อแลกเปลี่ยน รูร์กัสก็ไม่ได้สนใจมันมากนัก
รูร์กัสทำแผลให้ร่างเล็กอย่างเบามือ และคล่องแคล่ว ถึงจะทำผิดไปบ้างก็ไม่ได้กวนใจแร็กนาร์มากนัก จึงไม่ได้ทักท้วงสิ่งใด แม้อดีตหมอเถื่อนที่ผันตัวมาเป็นนักฆ่าอย่างเขา จะเลิกช่วยชีวิตคนไปแล้ว แต่ก็ไม่เคยลืมมัน เขาเลือกที่จะไม่ทำเท่านั้นเอง
.
.
.
ไม่นานนักแผลตามแขน ขา และลำตัว ของแร็กนาร์ก็ถูกทำจนเสร็จ ตอนนี้เขารู้สึกว่าตัวเองไม่ต่างจากมัมมี่ในพีระมิดของอียิปต์ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้เจ็บมากเหมือนที่ตาเห็น แผลของเขาดูหายเร็วเกินกว่าปกติด้วยซ้ำ นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เขาค้างคาใจ
แร็กนาร์ลุกขึ้นนั่งหลังจากที่ล้มตัวลงนอนบนเตียงเพื่อให้รูร์กัสทำแผลตามตัวให้ตน แล้วยกแขนขึ้นมาแบมืออีกครั้ง รูร์กัสเองก็ไม่ได้อิดออก ยกแขนข้างที่มีแผลขึ้นมาให้แร็กนาร์อย่างว่าง่าย ร่างเล็กแกะผ้าพันแผล แล้วพลิกแขนไปมาเพื่อเป็นการตรวจดูแผล จากนั้นก็ลงมือทำด้วยความชำนาญ รูร์กัสสงสัยเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรออกมา ปล่อยให้แร็กนาร์ทำแผลให้ตนจนเสร็จ
‘แผลของรูร์กัสก็ปกติดี ดูจากสภาพแผล ผ่านมาแล้ว 3 วัน แต่ทำไมแผลเราถึงเหมือนผ่านมาแล้วเป็นอาทิตย์แล้วกันนะ’ “ทำไมเราไม่เหมือนกัน” ประโยคสั้นๆที่เอ่ยออกมาหลังจากไตร่ตรองสิ่งที่สงสัยอยู่สักพัก เขาเลือกจะถามแบบรวมๆเพราะต้องการคำอธิบาย
“อะ...เอ่อ คือ” แร็กนาร์จ้องหน้าของรูร์กัสเขม็ง เพื่อยืนยังสิ่งที่ตนอยากรู้ เมื่อเห็นที่ท่าร้อนรนและลำบากใจของคงตรงหน้า ความสงสัยก็ยิ่งเกาะกินหัวใจมากขึ้น
“ตอบมา ท่านพี่ตกลงแล้วนะ” แร็กนาร์ยังคงจ้องหน้ารูร์กัสแบบกดดัน จนคนตรงหน้ารู้สึกถึงบรรยากาศแปลกๆที่ถูกปล่อยออกมา ถึงจะไม่เข้าใจ แต่เขาก็รู้สึกได้ว่า ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากตอบคำถามของร่างเล็ก
“เฮ่อ...” รูร์กัสถอนหายใจออกมาเล็กน้อย เมื่อตัดสินใจได้ เขาคิดไว้อยู่แล้วว่าจะบอกแร็กนาร์ในสักวัน ถึงตอนนี้จะเร็วเกินไปเกินกว่าเด็ก 8 ขวบจะเข้าใจ แต่เหมือนมีอะไรบางอย่างในตานั่นบอกเขาว่าร่างเล็กเข้าใจทุกอย่างได้อย่างแน่นอน
รูร์กัสบอกกับแร็กนาร์ว่า ถ้าจะให้ตอบคำถามนั้นก็คงต้องเล่าเรื่องทั้งหมดของโลกใบนี้ให้ฟังก่อน แร็กนาร์เองก็ดีใจไม่น้อย ที่ความสงสัยของเขาถูกตอบในคำถามเพียงข้อเดียว
.
.
.
โลกใบนี้ถูกแบ่งออกเป็นสองเช่นเดียวกับสีของท้องฟ้า แบ่งเป็นดินแดนของมนุษย์ และดินแดนของปีศาจ สีของท้องฟ้าเปรียบเสมือนเส้นแบ่งเขตที่ถูกสร้างขึ้นโดยธรรมชาติ นอกจากแยกดินแดนแล้ว มนุษย์กับปีศาจยังมีลักษณะและความสมารถเฉพาะตัวแต่งต่างกัน
มนุษย์ เผ่าพันธุ์ที่มีความเชื่อว่าตนฉลาดกว่าเผ่าพันธุ์ใดๆ มนุษย์นั้นมีพลังที่เรียกว่า “พลังธาตุ” เด็กที่เกิดมาจะมีธาตุหลักติดตัวมา 1 ธาตุเสมอ แรกเกิดมนุษย์นั้นจะมีผมเป็นสีขาว ดวงตาสีน้ำตาลอ่อน ยังไม่สามารถระบุธาตุหลักได้ แต่เมื่อมีอายุได้ 5 ขวบ ผมจะเปลี่ยนสีไปตามธาตุหลักของตน แบ่งออกเป็น
ธาตุดิน จะมีผมสีดำ มีพลังในการควบคุมดินได้อย่างใจนึก หากอยากชำนาญต้องหมั่นฝึกฝน เพราะดินแต่ละชนิดควบคุมยากง่ายแตกต่างกัน
ธาตุน้ำ จะมีผมสีเทา มีพลังในการควบคุมน้ำได้อย่างใจนึก หากฝึกฝนถึงขั้นชำนาญจะสามารถกลั่นน้ำออกมาจากพื้นดินได้
ธาตุลม จะมีผมสีน้ำตาล มีความสามรถในการควบคุมลม จะได้มากน้อยตามการฝึกฝน อาจสร้างได้กระทั่งพายุขนาดใหญ่ที่พัดหมู่บ้านให้หายไปได้ในครั้งเดียว
ธาตุไฟ จะมีผมสีทอง ธาตุไฟถือว่าเป็นธาตุพิเศษ เพราะสามารถสร้างไฟขึ้นเองได้ ไม่ต้องอาศัยสภาพแวดล้อมเหมือนธาตุข้างต้น แต่จะได้มากน้อยตามพลังกายของผู้ใช้ ดังนั้นผู้ใช้ไฟต้องมีร่างกายที่สมบูรณ์พร้อม จึงจะใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากพลังกายหมด ก็ไม่สามารถใช้ไฟได้ ส่วนมากจึงเลือกที่จะยืมไฟจากสภาพแวดล้อมแทน
ธาตุสายฟ้า จะมีผมสีเงิน ธาตุสายฟ้าเองก็ถือเป็นธาตุพิเศษที่คุณสมบัติการใช้เหมือนธาตุไฟ แต่หาได้ยากกว่า จะมีคนที่เกิดขึ้นมาพร้อมธาตุนี้เพียง 5 % ของประชากรทั้งหมดเท่านั้น
ธาตุหลักที่มีมาแต่เกิดทุกคนสามารถใช้พลังได้อย่างอิสระ หากต้องการฝึกธาตุอื่นเพิ่มก็สามารถทำได้ แต่พลังที่ฝึกได้จะน้อยกว่าธาตุหลักเสมอ ซึ่งส่วนใหญ่เลือกฝึกฝนเพิ่มเพื่อช่วยเสริมความแข็งแกร่งของธาตุหลัก เช่น มีธาตุหลักเป็นธาตุไฟ ก็จะฝึกธาตุลมเพิ่ม เพื่อเพิ่มความแรงของไฟ และเพิ่มระยะเวลาการใช้พลัง
ในบรรดาธาตุทั้ง 5 ธาตุสายฟ้า เป็นธาตุเดียวที่ไม่สามารถฝึกฝนได้ ต้องมีมาตั้งแต่เกิดเท่านั้น เรียกได้ว่าเป็นธาตุพิเศษของพิเศษเลยก็ว่าได้
ปีศาจ เผ่าพันธุ์ที่เชื่อว่าตนมีพลังแข็งแกร่งเหนือสิ่งใด การแบ่งแยกของปีศาจนั้นเข้าใจง่ายกว่ามนุษย์มาก แต่ละชนเผ่าจะมีผู้ปกครองแค่คนเดียวเท่านั้น คงเปรียบเสมือน เมืองๆหนึ่งของเผ่าพันธุ์มนุษย์เท่านั้น ถ้าดูจากสภาพภูมิศาสตร์ของโลกนี้ จะเห็นได้ว่าดินแดนของมนุษย์ใหญ่กว่าดินแดนของปีศาจ เนื่องจากปีศาจมีจำนวนน้อยกว่า และอาศัยในสภาพแวดล้อมที่ต่างกัน
ปีศาจมีพลังที่เรียกว่า “พลังแฝง” เป็นพลังที่มีติดตัวมาตั้งแต่เกิด เหมือนกับพลังธาตุของมนุษย์ ซึ่งจะแยกตามเผ่าพันธุ์ของตน ดังนี้
เผ่าพยัคฆ์ อาศัยอยู่บนพื้นดิน สภาพที่อยู่อาศัยจะส่วนมากจะเป็นป่า เนื่องจากเผ่าพยัคฆ์จะมีลักษณะ รูปร่าง รวมถึงพละกำลังเหมือนเสือชนิดต่างๆ มีผมและตาเป็นสีแดง มีพลังมหาศาลตามแบบฉบับของนักล่า รวมถึงสามารถควบคุมสัตว์ชนิดต่างๆได้ด้วย
เผ่าวิหก อาศัยบนท้องฟ้า ท้องที่เผ่าวิหาอาศัยอยู่เมฆจะจับกันเป็นก้อนแข็ง ซึ่งลอยอยู่ห่างออกไปไม่ไกลนักในทะเลด้านล่างสุดของแดนพยัคฆ์ มีความสามารถของนกชนิดต่างๆจึงทำให้มีปีกสำหรับบิน และสามารถควบคุมฝนฟ้าอากาศได้ เผ่าวิหกมีผมและตาสีเขียว
เผ่ามังกรวารี อาศัยอยู่ในหมู่เกาะด้านตะวันตกของดินแดนพยัคฆ์ มีระยะห่างจากฝั่งมากทีเดียว เผ่ามังกรวารีนั้นจะมีลักษณะ รูปร่าง รวมทั้งความสามารถของมังกรวารีเหมือนกันทั้งเผ่าพันธุ์ สามารถควบคุมน้ำได้อย่างอิสระ ทำให้เปลี่ยนสถานะหรืออุณหภูมิ รวมทั้งสามารถสร้างน้ำจากพลังกายของตนได้ด้วย เผ่ามังกรวารีมีผมและตาสีฟ้า
ปีศาจมีพลังมากกว่ามนุษย์ แต่ไม่สามารถฝึกฝนพลังของเผ่าพันธุ์อื่นได้ หากต้องการพลังของเผ่าอื่นในแดนปีศาจต้องครองคู่กันเท่านั้น แล้วลูกที่เกิดมาจะมีลักษณะและพลังหลักเป็นของพ่อ มีพลังของแม่เป็นตัวเสริม แต่ใช้ได้แค่ 50-80% เท่านั้น ขึ้นอยู่กับพลังของผู้ให้กำเนิด
สิ่งพิเศษอีกอย่างหนึ่งของปีศาจคือ สามารถแปลงร่างได้ 3 ระดับด้วยกัน คือ ร่างสัตว์ซึ่งเป็นร่างต้นแบบของตน ร่างปีศาจเป็นร่างที่รวมลักษณะของปีศาจและมนุษย์เข้าด้วยกัน ร่างมนุษย์มีลักษณะของมนุษย์ทุกประการแต่จะคงสีผมกับสีตาไว้ไม่หายไป
.
.
.
สิ่งที่หลอมรวมแต่แปลกแยกของโลกใบนี้คือ “ลูกครึ่ง” ลูกครึ่งในที่นี้ไม่ใช่การข้ามเผ่าพันธุ์ของปีศาจกับปีศาจ แต่เป็นการผสมข้ามเผ่าพันธุ์ของปีศาจและมนุษย์
ลูกครึ่งระหว่างมนุษย์และปีศาจนั้นส่วนมากจะเกิดมาแล้วไร้ซึ่งพลัง ทั้งพลังธาตุ และพลังแฝง มีสิ่งเดียวที่ติดตัวมาคือ ร่างกายที่ฟื้นฟูอย่างรวดเร็วเหมือนพวกปีศาจ มีส่วนน้อยที่เกิดมาแล้วจะได้รับพลัง แต่ถ้าหากมีพลังจะใช้ได้ทั้งพลังธาตุและพลังแฝง จึงเป็นเหตุให้ ทั้งในอดีตและปัจจุบันยังมีการผสมข้ามเผ่าพันธุ์อยู่
พวกลูกครึ่งที่เกิดในแดนปีศาจจะถูกนำมาทิ้งไว้ที่เขตชายแดน ถ้าหากเกิดในแดนมนุษย์จะมีฐานะเป็นทาสในทันที ทำให้เกิดอาชีพที่ชื่อว่า “พ่อค้าทาส” ขึ้นอย่างแพร่หลาย พ่อค้าทาสจะจับลูกครึ่งในเขตชายแดนไปขายใช้แรงงาน
ลักษณะของพวกลูกครึ่งที่โดดเด่นคือ มีผม 2 สี ตามลักษณะของพ่อแม่ ส่วนตาจะเป็นสีดำสนิทไร้ซึ่งสีใดปะปน
ในเขตชายแดนจะมีหมู่บ้านเล็กๆกระจัดกระจายอยู่มากมายเป็นที่อาศัยของพวกลูกครึ่ง แต่สำหรับพวกพ่อค้าทาสคงไม่ต่างไปจากตลาดค้าทาส เพราะสามารถเข้ามาเลือกสรรทาสที่ตนถูกใจไปขายโดยไม่มีสิ่งใดขัดขวาง ในโลกนี้พวกลูกครึ่งเป็นที่น่ารักเกียจ ดังนั้นจึงไม่มีใครคิดจะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ หรือปกป้องพวกเขาไว้เลย
.
.
.
แม่ของรูร์กัสและแร็กนาร์ เธอชื่อว่า “ริเรน่า” เป็นชนชั้นสูงของเผ่าพันธุ์มนุษย์ เธอจึงรู้ปัญหาในเรื่องนี้ดี อยากจะยื่นมือเข้าช่วยเหลือเหล่าเด็กน้อยที่ถูกขาย และทารุณอย่างไร้ความปราณี แต่เธอไม่มีพลังมากพอที่จะเปลี่ยนแปลงด้วยตัวคนเดียว
เมื่อเธอแต่งงานกับชายอันเป็นที่รัก “รูเฟรียส” เธอก็โน้มน้าวจนเข้าพาเธอย้ายมาอยู่ที่เขตชายแดน แม้ครอบครัวของทั้งสองจะคัดค้าน หรือห้ามเพียงใด ถึงขั้นขู่จะตัดออกจากวงศ์ตระกูล เธอและเขาก็ไม่สนใจ จนในที่สุดความปรารถนาของเธอก็เป็นจริง ทั้งสองย้ายมาสร้างบ้านที่ขนาดไม่ใหญ่มากนักที่ใกล้ๆกับเขตชายแดน
เธอตัดสินใจที่จะเริ่มเปลี่ยนแปลงจากสิ่งเล็กๆน้อยๆก่อน นั่นคือการช่วยเหลือและให้ความรู้แก่พวกเด็กที่เป็นลูกครึ่ง ตอนนั้นสำหรับพวกเด็กๆที่ได้รับการช่วยเหลือมองเธอเป็นพระแม่ที่แสนมีเมตตา พวกพ่อค้าทาสเองก็ไม่กล้าเข้าไปจับตัวเด็กในชุมชนที่เธอเข้าไปช่วยเหลือ เพราะเกรงกลัวอำนาจของชนชั้นสูง
เธอใช้ชีวิตอย่างมีความสุขตามที่ใจปรารถนา และได้ให้กำเนิดทารกน้อยสองคน ที่มาอายุห่างกันแค่ 1 ปี รูร์กัส กับรูซ ลูกชายตัวน้อยๆที่น่ารักของเธอ ครอบครัวของเธอใช้ชีวิตอย่างมีความสุขจนกระทั้ง เมื่อตอนที่รูร์กัสมีอายุได้ 4 ขวบ ก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น เหตุการณ์ที่ทำให้ชีวิตที่เธอวาดฝันไว้จบลง...
To Be Continued...
___________________________________________
มาลงตอนที่ 2 แล้วค่ะ ผิดพลาดประการใดติชมกันได้นะคะ
ฝากตัวด้วยจ้าาา
