บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 34 (25/04/11) [END]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 34 (25/04/11) [END]  (อ่าน 245651 ครั้ง)

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
****************************************************

ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้

1.ห้ามละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2. ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์  และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด
โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอม

เวปไซต์ แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่าง ประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0


****************************************************


สวัสดีค่ะทุกท่าน วันนี้เซียร์ก็มาขอใช้พื้นที่บอร์ดอีกแล้ว
ครั้งนี้เปิดจองสองเรื่องนะคะ เนื่องจาก สัตยาธิษฐาน ยังคงมีคนถามหาอยู่เป็นระยะ เลยตัดสินใจอย่างหนักแน่นว่า จะรีปรินท์รอบสุดท้ายแล้วค่ะ ใครพลาดครั้งนี้ก็พลาดไปเลยนะคะ

งั้นมาดูรายละเอียดกันนะคะ ^ ^


บัลลังก์ปีกหงส์

ภาพปก





ของแถม (ที่คั่น)




เรื่องย่อ

เมื่อพญาหงส์แห่งฮ่องกงทิ้งบัลลังก์ไว้เบื้องหลังแล้วหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย เด็กหนุ่มคนหนึ่งได้ถูกเลือกขึ้นมาแทนที่ท่ามกลางการคัดค้านของคนในและการต่อต้านจากคนนอก ชายผู้หนึ่งได้ถูกส่งมาเพื่อให้ความช่วยเหลือโดยคนที่ไม่น่าไว้ใจมากที่สุดและชายคนนั้นก็มีเลศนัยในทุกย่างก้าว แล้วเซินเฟยจะเชื่อใจใครได้ในโลกที่ทุกสิ่งต้องแลกมาด้วยผลประโยชน์เช่นนี้

สำหรับใครที่ยังตัดสินใจไม่ได้เชิญทดลองอ่านได้>>>ที่นี่<<<


ข้อมูลหนังสือ

ผู้แต่ง+ภาพ+everything : Ziar
ราคา : 550 บาท (รวมค่าส่งแล้ว)/ชุด (ชุดละ2เล่ม)
ระยะเวลาการจอง : 1 พฤษภาคม 2554 - 30 มิถุนายน 2554
หมายเหตุ : ขอสงวนวิธีการส่งไปรษณีย์เป็นการส่งแบบลงทะเบียนเท่านั้นนะคะ


=================================



สัตยาธิษฐาน

ภาพปก



ของแถม (ที่คั่น)




เรื่องย่อ
เมื่อนาคตนหนึ่งหนีจากการล่าสังหารของครุฑมาได้ เขาก็จำศีลในถ้ำของตัวเองและเฝ้ารอจนกระทั่งวันหนึ่งจึงคืบคลานขึ้นมาบนบกแล้วจำแลงร่างเข้าสู่ครรภ์ของหญิงสาว ก่อนจะเกิดเป็นมนุษย์ ซึ่งเ้ป็นเวลาเดียวกับที่ครุฑมาจุติเช่นเดียวกัน เป้าหมายของนาคคือการแก้แค้นครุฑ แต่เป้าหมายของครุฑกลับเป็นการไถ่โทษแก่นาค เป้าหมายที่คู่ขนานนี้จะบรรจบอย่างไร ติดตามได้ภายในเล่มค่ะ

สำหรับใครที่ยังตัดสินใจไม่ได้เชิญทดลองอ่านได้>>>ที่นี่<<<


ข้อมูลหนังสือ

ผู้แต่ง+ภาพ+everything : Ziar
ราคา : 250 บาท (รวมค่าส่งแล้ว)/เล่ม
ระยะเวลาการจอง : 1 พฤษภาคม 2554 - 30 มิถุนายน 2554
หมายเหตุ : ขอสงวนวิธีการส่งไปรษณีย์เป็นการส่งแบบลงทะเบียนเท่านั้นนะคะ




พิเศษ
: สำหรับใครที่จองทั้งสองเรื่อง จะมีส่วนลดให้ 50 บาท จาก 800 บาทเหลือ 750 บาทนะคะ (อย่าโอนเกินมานะคะ XD)



สำหรับผู้ที่ตัดสินใจจะสั่งจองแน่แล้ว ขอให้เลื่อนลงไปดูรายละเอียดการโอนเงินและสั่งจองได้เลยค่ะ


อ้างถึง
รายละเอียดการโอนเงิน

บัญชีออมทรัพย์
ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาซอยประชาสงเคราะห์ 30
ชื่อบัญชี นางสาว อลิสา เทพนะ
เลขบัญชี 102-234896-9

หลังจากโอนเงินแล้ว ขอให้ส่งรายละเอียดการจองมาที่ tsuki_himeแอทhotmail.com โดยระบุข้อมูลตามนี้นะคะ

หัวข้อ : [สั่งจอง] บัลลังก์ปีกหงส์ / สัตยาธิษฐาน (สั่งเรื่องไหนก็พิมพ์ชื่อเรื่องนั้นนะคะ)

รายละเอียด
ชื่อ-นามสกุล(ผู้สั่ง) :
ที่อยู่ :
หลักฐานการโอน : (สแกนมาจะดีที่สุดค่ะ หรือถ้าสแกนไม่ได้ก็ขอเลขที่สลิปค่ะ)
วัน+เวลาโอนตามสลิป :


สำคัญ! ผู้ที่แจ้งทางเมลล์แล้ว เซียร์จะมีการแจ้งตอบกลับไป ดังนั้นใครที่เซียร์ำไม่ตอบกลับภายใน 1 อาทิตย์อย่าชะล่าใจ เพราะมันหมายความว่าเซียร์ไม่ได้รับเมลล์ของท่านนะคะ



**********************************************************



สารบัญ

ตอนที่ 1 ตอนที่ 2 ตอนที่ 3 ตอนที่ 4 ตอนที่ 5 ตอนที่ 6 ตอนที่ 7 ตอนที่ 8 ตอนที่ 9 ตอนที่ 10
ตอนที่ 11 ตอนที่ 12 ตอนที่ 13 ตอนที่ 14 ตอนที่ 15 ตอนที่ 16 ตอนที่ 17 ตอนที่ 18 ตอนที่ 19 ตอนที่ 20
ตอนที่ 21 ตอนที่ 22 ตอนที่ 23 ตอนที่ 24 ตอนที่ 25 ตอนที่ 26 ตอนที่ 27 ตอนที่ 28 ตอนที่ 29 ตอนที่ 30
ตอนที่ 31 ตอนที่ 32 ตอนที่ 33 ตอนที่ 34 จบ

-------------------------------------------
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-01-2013 22:18:16 โดย ZIar »

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 1 (13/02/11)
«ตอบ #1 เมื่อ13-02-2011 16:00:41 »

-1-



ในฮ่องกง อำนาจมืดถูกแบ่งออกเป็นสี่ส่วนนับแต่มีการก่อตั้งสมาคมขึ้นมาภายในเกาะเล็ก ๆ ที่เป็นหนึ่งในรากฐานเศรษฐกิจของโลก เพื่อคานอำนาจของผู้หิวกระหายจึงต้องมีผู้กุมอำนาจสูงสุด ชิงหลง จูเชว่ ไป๋หู่ และเสวียนอู่ คือตำแหน่งของตระกูลใหญ่สี่ตระกูลซึ่งเปรียบเสมือนเสาหลักสี่ต้นค้ำอำนาจฟ้าให้ยังคงตั้งตระหง่านเหนือผืนดิน หากเพียงเสาหลักทั้งสี่ยังคงแข็งแกร่ง อำนาจมืดทั้งหมดในฮ่องกงจะอยู่ในกำมืออย่างไม่มีวันสั่นคลอน เช่นนั้นแล้วหากจะเปรียบเสาหลักทั้งสี่เป็นดังผู้อยู่เหนือบัลลังก์ราชาก็คงไม่ผิด

โดยปกติแล้ว เพื่อการสืบทอดตำแหน่งอย่างไร้ข้อกังขา ผู้มีสายเลือดตรงเท่านั้นจึงจะมีสิทธิสืบทอดตำแหน่ง สายรองของตระกูลแทบจะไม่มีสิทธิใด ๆ กับการปกครอง แต่แล้ว....กลับมีเสาหลักต้นหนึ่งล้มข้อปฏิบัตินั้น จูเชว่คนล่าสุดหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยโดยไร้ทายาท ทิ้งไว้เพียงมรณบัตรและงานศพที่ไร้ร่างกลบฝัง

ในช่วงเวลาแห่งความวุ่นวายที่ไม่อาจหาผู้สืบทอดได้นั้น พินัยกรรมลับที่จูเชว่มอบให้กับภรรยาชาวญี่ปุ่นที่สมรสกันทางกฏหมายก็ถูกเปิดออก

ในพินัยกรรมนั้นระบุให้ผู้เป็นภรรยารับหลานชายสายรองคนหนึ่งเป็นลูกบุญธรรม และให้เป็นผู้รับช่วงต่ออย่างถูกต้อง

แน่นอนว่ากระแสคัดค้านย่อมเกิดขึ้นจากหลายฝ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในหมู่ญาติพี่น้องที่จ้องจะขึ้นมาเป็นสายหลักของตระกูลแทน เพราะการที่จูเชว่รับคนในสายรองมาเป็นบุตรบุญธรรมนั้นแสดงว่าแม้แต่พ่อแม่ที่แท้จริงของเจ้าตัวก็จะไม่ได้ประโยชน์ใด ๆ จากตำแหน่งที่ถูกมอบให้บุตรชายของตนเอง

ส่วนทางด้านชิงหลง ไป๋หู่ และเสวียนอู่เมื่อได้รับรู้เรื่องนี้กลับไม่ได้เคลื่อนไหวอะไร พวกเขาเพียงแต่เฝ้าดูอย่างเงียบ ๆ ว่าเด็กอายุ 12 ปีที่ไม่รู้เรื่องราวในโลกมืดเลยจะสามารถไปได้ไกลสักแค่ไหน หากพลาดพลั้งจนทำให้ฐานอำนาจสั่นคลอน พวกเขาก็พร้อมจะเข้าควบคุมการมอบอำนาจของจูเชว่ได้ในทันที

นับแต่วันนั้น เซินเฟย ก็ถูกนำตัวเข้าบ้านใหญ่และห้ามพบกับครอบครัวที่แท้จริงโดยสิ้นเชิง เขาได้รับการดูแลโดยภรรยาของจูเชว่คนเก่าที่เป็นทั้งแม่บุญธรรมและผู้แทนอำนาจจนกว่าเขาจะอายุครบ 18 ปี

------------------>

เวลา 6 ปีผ่านไปอย่างรวดเร็วกว่าที่ใครจะทันคาดคิดแม้แต่เซินเฟย พอรู้ตัวอีกครั้ง เขาก็ผ่านพิธีมอบอำนาจและกลายเป็นจูเชว่ไปเสียแล้ว

และตอนนี้....เขาก็กำลังนั่งอยู่ในห้องทำงานของจูเชว่ มีกล้องโทรศัพท์จ่อหน้า ไมค์ตัวหนี่งติดอยู่ที่ปกเสื้อสูท และมีนักข่าวสาวสวยกำลังป้อนคำถามให้เขาราวกับเขาเป็นดาราชื่อดัง

“....ตอนนี้คุณเซินรู้สึกอย่างไรบ้างคะ?”

ดูเหมือนก่อนคำถามนี้จะมีอารัมภบทร่ายยาวมาก่อนแต่เขาไม่ทันได้ฟังเพราะมัวแต่นึกกังวลกับชายคนหนึ่งที่ยืนรออยู่หน้าประตู

วันนี้มีคนของไป๋หู่มาหาเขาแต่เช้า แจ้งว่าไป๋หู่จะมาเยี่ยมในตอนบ่าย

โดยปกติแล้วชิงหลง ไป๋หู่ และเสวียนอู่ แทบจะไม่เคยติดต่อกันมากเกินความจำเป็น แม้แต่กับเขาก็ได้พบกันเพียงตอนงานศพของเสวียนอู่คนก่อนเมื่อ 3 ปีที่แล้วเท่านั้น การมาหาถึงที่เช่นนี้ อาจมองได้ว่าเป็นความห่วงใย หรือท้าทายก็ได้ทั้งนั้น เซินเฟยรู้ได้ว่าไม่ใช่เรื่องธรรมดาเป็นแน่

“คุณเซินคะ?” นักข่าวสาวเอ่ยเรียกเมื่อนักธุรกิจหนุ่มที่เธอให้สัมภาษณ์ยังคงนั่งเงียบไม่หือไม่อือ

“ครับ หากจะถามว่าผมรู้สึกยังไงผมก็คงตอบได้ยาก แต่ผมก็ตั้งใจว่าจะสืบทอดสิ่งที่คุณอา....พ่อบุญธรรมของผมคาดหวังเอาไว้” เซินเฟยตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบลื่นไม่ได้แสดงอาการตระหนกหรือประหม่าแม้สักน้อย

“เอ่อ....ถ้าอย่างนั้น...คุณพอจะบอกได้ไหมคะว่าอะไรคือสิ่งที่พ่อบุญธรรมของคุณคาดหวัง?”

“เรื่องอย่างนี้คอยดูเอาเองจะไม่สนุกกว่าหรือครับ?”

แน่นอนว่าสิ่งที่ตอบออกไปเป็นเพียงการพูดสร้างภาพเท่านั้น เซินเฟยไม่เคยได้สนทนากับพ่อบุญธรรมของตัวเองเลยแม้สักครั้งจะรู้ได้อย่างไรว่าฝ่ายนั้นคาดหวังอะไรเอาไว้ แม้แต่เหตุผลที่รับคนสายรองอย่างเขาเข้ามาอยู่ในสายหลัก เขาก็ยังไม่สามารถหาเหตุผลมารองรับได้ ดังนั้น การพูดเลี่ยงด้วยการบอกให้รอลุ้นหรือรอเฝ้าดูถือเป็นกลยุทธิ์อย่างหนึ่งสำหรับการหลีกหนีคำถามเจาะลึกของพวกชอบสอดรู้สอดเห็น

“แหม ถ้าอย่างนั้นก็คงต้องดูต่อไปสินะคะ” นักข่าวสาวฝืนหัวเราะตามหน้าที่ “แล้วคุณคิดอย่างไรคะที่คนอื่น ๆ จะมองว่าคุณเป็นลูกบุญธรรม แต่กลับได้ทุกอย่างมาครอง”

มุมปากของเซินเฟยกระตุกน้อย ๆ ด้วยอารมณ์ที่เริ่มกรุ่นขึ้นมา

ความจริงแล้วผู้หญิงคนนี้คงอยากจะถามเขาว่า ‘คุณคิดยังไงที่คนอื่น ๆ มองว่าคุณเป็นแค่ลูกบุญธรรมเท่านั้น แต่กลับได้ทุกอย่างมาครอง’ เสียมากกว่า

“เรื่องเล็กน้อยแบบนั้นผมไม่ใส่ใจหรอกครับ” เซินเฟยตอบด้วยคำพูดสร้างภาพตามแบบฉบับนักธุกิจต่อไป

เรื่องที่เขาเป็นแค่ลูกบุญธรรมนี้ เขาก็ถูกเสียดสีลับหลังอยู่ตลอดเวลานับแต่ก้าวเข้าบ้านใหญ่ ทั้งจากคนในเองและจากสายรองทั้งหลายที่ไม่พอใจ แม้แต่พ่อแม่ของเขาที่ภายนอกเหมือนห่วงใยแต่ทุกครั้งที่โทรมาก็ชอบย้ำว่า ‘อย่าลืมพ่อกับแม่นะ’ ก็บอกให้เขารู้แล้วว่าอีกฝ่ายต้องการอะไรจากเขา บางทีมันก็จริงอย่างที่คนอื่นว่ากัน ยิ่งอยู่สูงขึ้นเท่านั้นก็ยิ่งมองเห็นรอบข้างชัดเจนขึ้นเท่านั้น ญาติ ๆ ที่เขาเคยมองว่าดีแสนดี ตอนนี้ยังต้องคอยระวังคมเขี้ยวที่พร้อมจะขย้ำคอเขาแทบทุกเวลา

แม่บุญธรรมของเขาก็ใช่จะปกป้องเขาได้ตลอดไป เพราะในสายตาคนในบ้านต่างก็รู้กันทั้งนั้นว่าเธอเพียงแค่แต่งงานตามกฏหมาย ที่ยังสงบอยู่ทุกวันนี้ก็เพราะทุกคนยังยำเกรงต่อจูเชว่ที่หายตัวไปเท่านั้น

หลังจากสัมภาษณ์มาได้ 1 ชั่วโมงเต็ม เซินเฟยก็สังเกตเห็นคนในทีมข่าวเริ่มให้สัญญาณว่าหมดเวลา

“ตายจริง เวลาผ่านมาขนาดนี้แล้วหรือคะเนี่ย” หญิงสาวทำเสียงตกอกตกใจอย่างมีจริตจะก้าน “ยังไงก็ขอขอบคุณคุณเซินมากนะคะที่เสียสละเวลาให้สัมภาษณ์”

หลังจากนั้นนักข่าวสาวก็สาธยายรายการข่าวและโฆษณาก่อนที่กล้องจะตัดไป

เซินเฟยลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วดึงไมค์ออกจากปกเสื้อก่อนเดินไปที่ประตู ทันใดนั้นหัวหน้าทีมข่าวก็เดินนอบเข้ามาหา

“ต้องขอขอบคุณคุณเซินมากนะครับ” ฝ่ายนั้นดูประหม่าอย่างเห็นได้ชัดเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา ศีรษะที่ล้านไปเสียครึ่งปรากฏเหงื่อเม็ดเล็ก ๆ ซึมออกมา

เซินเฟยไม่นึกแปลกใจในท่าทีของอีกฝ่าย หากเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ในวงการใดวงการหนึ่งย่อมรู้จักผู้มีอิทธิพลเป็นอย่างดี หัวหน้าทีมคนนี้คงจะถูกสั่งมาให้คุมทีมเป็นพิเศษเป็นแน่

“หลังจากนี้ผมมีธุระต่อ มีอะไรก็ฝากไว้ที่เลขาของผมก็แล้วกัน” เซินเฟยกล่าวแล้วเดินออกมา หน้าประตูนั้นมีคนรอเขาอยู่นานแล้ว “ไป๋หู่มาถึงหรือยัง?”

“ท่านไป๋หู่รออยู่ในห้องรับแขกครับ” ผู้ชายท่าทางขึงขังกล่าวตอบ

เซินเฟยไม่ได้พูดอะไรต่อ เขาเดินนำบอดี้การ์ดส่วนตัวของไป๋หู่ที่มารอเฝ้าเขาแต่เช้าไปยังห้องรับแขกของอาคารหลักในบริษัท

เพียงแค่มายืนอยู่หน้าห้อง เซินเฟยก็รู้สึกได้ว่าหัวใจตนเองกำลังเต้นเป็นรัวกลอง อาจเพราะไป๋หู่ที่เขาได้พบเมื่อ 3 ปีก่อนนั้นแสดงท่าทางไม่แยแสไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา ต่างจากชิงหลงที่ดูจะให้ความสนใจเขามากกว่าคนอื่นอยู่เล็กน้อย การที่ไป๋หู่มาพบจะอนุมานเป็นอะไรได้บ้างก็ยากจะคาดเดา

ชายที่ตามหลังเขามาเปิดประตูอย่างรู้หน้าที่

ห้องรับแขก VIP ของบริษัทมีชายคนหนึ่งจับจองโซฟาตัวยาวอยู่ เยื้องไปด้านหลังมีบอดี้การ์ดชุดดำยืนคุมเชิงด้วยสีหน้านิ่งสนิท เซินเฟยเดินเข้าไปนั่งที่โซฟายาวฝั่งตรงข้ามโดยไม่แสดงอาการประหม่าออกมาให้เห็น

“แปลกจังนะครับที่คนอย่างคุณมาเยี่ยมผมถึงที่นี่” น้ำเสียงของเซินเฟยค่อนจะกระด้างอยู่เล็กน้อย มีน้อยคนนักที่จะรู้ว่าไป๋หู่และจูเชว่มีความขัดแย้งส่วนตัวกันในสมัยก่อน แม้เรื่องนั้นจะไม่ได้เกี่ยวพันกับเซินเฟยเลยแม้สักนิด แต่เมื่อมาอยู่ในฐานะจูเชว่จะว่าไม่เกี่ยวก็คงไม่ได้ กระนั้นด้วยความรู้สึกส่วนตัว เซินเฟยก็ยังไม่ค่อยชอบผู้ชายคนนี้อยู่ดี

“เธอเป็นน้องใหม่ของวงการ มันก็ต้องดูแลกันหน่อยจริงไหม?” ไป๋หู่ว่าพลางเสยผมที่หงอกตั้งแต่เด็กด้วยผลจากพันธุกรรมของตนเอง

ดูแล?

ความหมายที่แท้จริงน่าจะเป็น....จับตาดู....

“คุณคิดดีแล้วหรือครับที่จะเข้ามาแทรกแซงฐานะจูเชว่ของผม” เซินเฟยหรี่ตาลงอย่างคลางแคลง

“อย่ามองแบบนั้นสิ ฉันก็แค่คิดเหมือนกับคนอื่น ๆ ก็เท่านั้น”

“คนอื่น ๆ ?”

“ก็ชิงหลงกับเสวียนอู่ไง” ไป๋หู่ว่าแล้วหัวเราะในคอ “พวกเขาก็คิดว่าเธอควรจะมีคนดูแล แต่ก็แค่ไม่พูดออกมา ส่วนฉันมันพวกไม่ชอบคิดเฉย ๆ แต่ชอบลงมือทำ”

เซินเฟยเม้มปากจนเป็นเส้นตรง แน่นอนเขารู้ว่าสำหรับทั้งสามคนนั้นแล้ว เขาเป็นเพียงเด็กอมมือที่ไร้ประสบการณ์ จะเรียกว่าผู้สืบทอดโดยชอบธรรมก็เรียกไม่เต็มปาก มันก็สมควรอยู่หรอกที่จะนึกระแวง แต่มาพูดกันตรง ๆ เช่นนี้นอกจากจะไม่ใช่การรักษามารยาทแล้ว ยังเป็นการตอกกันซึ่ง ๆ หน้าว่าในสายตาของผู้ชายคนนี้แล้ว เขาเป็นเสาหลักที่มีรอยร้าวพร้อมจะล้มได้ทุกเมื่อหากไร้คานพยุง

จะดูถูกกันก็ให้มันน้อย ๆ หน่อยเถอะ!

แม้จะคิดในใจเช่นนั้นแต่ก็พูดออกมาไม่ได้ เซินเฟยเก็บอารมณ์ไว้หลังใบหน้าเรียบเฉยก่อนจะพูดต่อ

“แล้วคุณคิดว่าควรจะทำยังไง?”

“คิดอยู่แล้วว่าเธอต้องเป็นเด็กดี” ไป๋หู่ยิ้มกว้าง แต่ฟังอย่างไรก็ไม่ได้รู้สึกเลยว่านั่นคือคำชม “ฉันจะให้คนของฉันกับเธอคนหนึ่ง เขาเป็นคนมีความสามารถ ทำงานกับฉันมานานจนรู้ว่าอะไรเป็นอะไร เขาจะเป็นผู้ช่วยที่ดีได้แน่นอนฉันขอรับรอง”

คิดจะแทรกแซงจริง ๆ งั้นสินะ.....

“คนของผมมีความสามารถพออยู่แล้ว หรือคุณไม่ไว้ใจกระทั่งคนของจูเชว่รุ่นก่อน” เซินเฟยไม่ยอมให้อีกฝ่ายกินง่ายนัก เขาเองก็ใช่จะต่อรองเจรจาไม่เป็น การใส่หน้ากากเข้าหากันเป็นเรื่องปกติของมนุษย์ปุถุชนและปกติยิ่งกว่าสำหรับคนที่เป็นทั้งมาเฟียและนักธุกิจอย่างพวกเขา

“แน่นอน ฉันไว้ใจ แต่ยังไงฉัน....กับอีกสองคนก็ต้องการความแน่นอน บอกตามตรงว่าเธอยังไม่ได้แสดงอะไรให้พวกเราเห็นเลยแม้แต่นิดเดียวว่าเธอเหมาะสมและพร้อมจะทำหน้าที่ด้วยตัวเอง มันก็ไม่แปลกเพราะเธอเพิ่งดำรงตำแหน่ง แต่ก็ถือซะว่าเป็นหลักประกันความไว้ใจ ว่าไงล่ะ?” ดูเหมือนการพูดอ้อมค้อมไปมาจะทำให้ไป๋หู่รู้สึกรำคาญไม่น้อยที่ต้องมาต่อปากต่อคำกับเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม จึงเลือกที่จะพูดอย่างตรงไปตรงมาแต่ก็ยังมีการรักษาน้ำใจตามมารยาทอยู่บ้าง

“หลักประกันความไว้ใจ? นั่นคือคำพูดที่คุณใช้กับผมซึ่งเป็นจูเชว่หรือครับ?” น้ำเสียงของเซินเฟยกดต่ำลงตามอารมณ์ที่คุกรุ่น “เอาอย่างนั้นก็ได้ แต่ผมมีข้อแม้”

“ว่ามาเลย”

“คนของคุณไม่มีสิทธิยุ่งกับสิ่งที่ผมไม่ได้สั่ง และระหว่างที่ทำงานกับผม คำสั่งของคุณต้องไม่มีผลกับเขา”

รอบคอบดี...

ไป๋หู่นึกชมในใจ แต่ก็นึกขันกับความระแวดระวังเกินเหตุนั่นด้วยเช่นกัน

“ฉันจะบอกกับเขาตามนั้น อีกสามวันฉันจะให้เขามาแนะนำตัวกับเธอด้วยตัวเอง” ไป๋หู่ว่าพลางโคลงศีรษะเหมือนนึกอะไรขึ้นได้ “พอดีฉันมีธุระต้องไปทำต่อ เธอคงไม่ว่าอะไรถ้าฉันจะขอตัวกลับก่อน”

“ไม่ครับ ผมจะให้คนไปส่งที่รถ” เซินเฟยพูดแล้วลุกขึ้นแต่แล้วอีกฝ่ายกลับยกมือปราม

“ช่างเถอะ ๆ ฉันลงไปเอง แล้วเจอกันใหม่นะ ขอให้สนุกกับตำแหน่งจูเชว่นะ” หลังกล่าวจบ ไป๋หู่ก็เดินออกไปจากห้อง ทิ้งให้เซินเฟยนั่งอยู่เพียงลำพัง

เขาลุกขึ้นจากโซฟา เอามือไพล่หลังแล้วเดินไปที่หน้าต่าง ทอดสายตามองลงไปและรออยู่ไม่นานร่างสูงใหญ่ของผู้ดำรงตำแหน่งไป๋หู่คนปัจจุบันก็ปรากฏขึ้นก่อนที่จะหายไปใต้หลังคารถสีดำสนิท เซินเฟยหงุดหงิดใจอย่างบอกไม่ถูก การมาเยือนของอีกฝ่ายไม่ใช่เรื่องดีเลยแม้แต่น้อยดังที่คาดไว้

ในความคิดของเขา มันออกจะไม่ยุติธรรมอยู่มาก ทั้งที่เสวียนอู่คนปัจจุบันอายุมากกว่าเขาไม่เท่าไหร่ซ้ำยังเป็นผู้หญิง แต่กลับได้รับความไว้วางใจและความเคารพมากกว่าอย่างเทียบไม่ติด

แต่จะแปลกอะไร ข่าวลือหลายสายต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าผู้หญิงคนนี้เจ้าเล่ห์ร้ายกาจราวกับงูพิษ ในตอนอายุยังน้อยถึงกับขายพี่ชายฝาแฝดตัวเองให้เป็นคนรักลับ ๆ ของไป๋หู่และขึ้นเป็นทายาทแทนเมื่อพี่ชายฝาแฝดตัดสินใจออกจากตระกูล แม้จะไม่รู้ตื้นลึกหนาบางในเรื่องนี้ แต่มันก็มากพอที่จะทำให้ผู้คนยำเกรง ส่วนเขาที่เพิ่งจะเข้าตระกูลหลักตอนอายุ 12 จะเทียบอะไรได้กับคนสายตรงที่ถูกเลี้ยงดูมาเพื่อเป็นนายเหนือคน

ทุกวันนี้ก็มีเรื่องยุ่งยากใจมากพออยู่แล้ว ไป๋หู่กลับมาสร้างปัญหาให้เขามากยิ่งขึ้น

คนในควบคุมยากก็จริง แต่ยังใช้อำนาจสยบได้ คนนอกที่ถูกหยิบยื่นให้จะใช้สิ่งใดมาสยบกัน?

“คุณเซิน” เสียงเลขาหนุ่มซึ่งเป็นคนในตระกูลคนรับใช้บ้านตระกูลเซินกล่าวเรีย ทำให้เซินเฟยหลุดจากภวังค์

“นักข่าวไปหมดแล้วใช่ไหม?”

“ครับ”

“อืม” เซินเฟยเพียงรับในคอแล้วหมุนตัวกลับมา “แล้วมีอะไรอีกหรือเปล่า?”

“พวกบอร์ดบริหารบอกว่าการประชุมเช้าวันพรุ่งนี้ พวกเขาต้องการฟังความเห็นของคุณเซินในที่ประชุมเกี่ยวกับนโยบายของบริษัท” เลขาแซ่หวางตอบกลับด้วยท่าทางเหมือนไม่อยากจะพูด ตัวเขานั้นไม่ได้อคติอะไรกับเซินเฟย พ่อและปู่ของเขามักเสี้ยมสอนจนจำขึ้นใจว่าให้ทำหน้าที่ของตนอย่างดีที่สุดก็พอ เรื่องนอกเหนือจากนั้นเป็นเรื่องของนาย บ่าวเช่นพวกเขาไม่มีสิทธิยุ่งเกี่ยว

เซินเฟยได้ฟังแล้วก็อดจะถอนใจไม่ได้

พวกผู้อาวุโสในบริษัทก็จ้องจะขย้ำเขาอยู่เช่นกัน การอยู่ท่ามกลางเสือ สิงห์พวกนี้ทำให้เขารู้สึกเหนื่อยหน่ายใจเป็นที่สุด

“เรื่องที่ผมสั่งให้พวกหัวหน้าแผนกไปจัดการเรียบร้อยหรือยัง?” เซินเฟยเอ่ยถามต่อขณะเดินกลับห้องทำงาน

“พวกเขาขอเวลาอีก 2-3 วันครับ”

“แล้วเรื่องแก๊งค์ที่มาก่อความวุ่นวายในระยะนี้ล่ะ?”

“ผมสั่งให้คนลงไปจัดการแล้วครับ คิดว่าอีกไม่นานคงจะสงบเหมือนเดิม”


ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 1 (13/02/11)
«ตอบ #2 เมื่อ13-02-2011 16:00:59 »

การเป็นคนควบคุมธุรกิจทั้งด้านหน้าและหลังไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เซินเฟยต้องแบ่งแยกทั้งสองอย่างออกจากกันและดูแลทั้งคู่พร้อม ๆ กัน มันอาจจะง่ายกว่าถ้ามีคนน่าไว้ใจช่วยดูแลฝั่งหนึ่ง ทว่าด้วยอำนาจล้นเหลือที่มีในมือแล้วยากนักจะหาคนที่ไว้ใจมาทำงานแทนได้ ยิ่งอำนาจยิ่งใหญ่เท่าไหร่ ก็ยิ่งเย้ายวนมากเท่านั้น แม้แต่สุนัขที่สัตย์ซื่อที่สุดก็อาจกลายเป็นจิ้งจอกได้ในพริบตา

ที่วุ่นวายที่สุดเห็นจะเป็นธุรกิจเบื้องหลัง เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่มีการผลัดเปลี่ยนมือ ก็จะต้องมีพวกไม่กลัวตายออกมาก่อกวนอยู่ร่ำไป

“ทุกอย่างเรียบร้อยดีไหมครับ?” เลขาหนุ่มเอ่ยถามเมื่อเห็นจ้านายของตนยังคงขึงหน้าตึง เขาเดาว่าไป๋หู่จะต้องพูดอะไรไม่ถูกหูเข้าแน่ ๆ

“อีกเดี๋ยวคุณจะมีผู้ช่วยเพิ่ม” เซินเฟยว่าพลางเคาะปลายนิ้วกับโต๊ะอย่างครุ่นคิด

“ผู้ช่วย? ผมทำหน้าที่บกพร่องหรือครับ!?” ชายหนุ่มผู้เป็นเลขาเบิกตากว้าง แม้แต่สวรรค์ยังรู้ว่าเขาเป็นเลขาที่ยอดเยี่ยมไร้ข้อบกพร่อง จูเชว่รุ่นก่อนเอ่ยชมเขาแทบไม่เว้นแต่ละวัน แล้วทำไมจูเชว่คนนี้ถึงได้จะหาคนมาช่วยเขา หากเรื่องนี้ถึงหูปู่ของเขาที่เป็นหัวหน้าพ่อบ้านตระกูลเซินอยู่ ท่านคงจะลมจับเป็นแน่!

“คิดมากไปแล้วอาซิง” มีหรือที่เซินเฟยจะมองไม่ออกว่าอีกฝ่ายกำลังตื่นตูมขนาดไหน ก็มันบ่งบอกทางสีหน้าถึงขนาดนั้น

“แล้ว...แล้วทำไม....”

“ไป๋หู่เสนอมาผมก็ต้องรับ” เขาว่าพลางประสานมือบนโต๊ะ

“ไป๋หู่หรือครับ?” หวางซิงมุ่นคิ้ว ผู้ชายคนนั้นดูไม่ใช่คนที่จะห่วงใยคนอื่นถึงขนาดยอมสละคนมาช่วยเหลือสักนิด

“อืม” เซินเฟยรับในคอโดยไม่ได้อธิบายอะไรต่อ หวางซิงซึ่งรู้ขอบเขตหน้าที่ตนเองดีจึงปิดปาดเงียบเช่นกัน เมื่อผู้เป็นนายไม่ได้สั่งการอะไรต่อ เขาก็เดินจึงถอยออกไปยืนห่าง ๆ และปล่อยให้เซินเฟยได้สำรวจเอกสารที่กำลังกองรอลายเซ็นอนุมัติบนโต๊ะ

-------------------->

เสียงรถแล่นเข้ามาในบริเวณบ้านใหญ่ของตระกูลเซิน คนรับใช้ที่มีหน้าที่เปิดประตูรีบวิ่งออกมารับอย่างนอบน้อม เมื่อประตูรถเปิดออก เรือนร่างสูงโปร่งของเจ้าบ้านคนปัจจุบันก้าวออกมาพร้อมกับเลขาหนุ่มที่ถือกระเป๋าเอกสารอยู่ในมือ

“ทำไมวันนี้ถึงกลับค่ำขนาดนี้ล่ะเสี่ยวเฟย” หญิงสาวคนหนึ่งเดินออกมาจากบ้านแล้วดึงเสื้อสูทจากแขนเจ้าของไปถือเสียเอง

“งานยุ่งนิดหน่อยครับ ว่าแต่...วันนี้พวกญาติ ๆ มาวุ่นวายที่บ้านหรือครับ?” เซินเฟยดึงเสื้อกลับไม่ทันจึงได้แต่ปล่อยให้แม่บุญธรรมทำตามใจต้องการแม้จะนึกเหนื่อยใจอยู่เล็กน้อยที่อีกฝ่ายยังเห็นเขาเป็นเด็กอยู่ร่ำไป

“จะกล้ามาวุ่นวายอะไรมากมายกันล่ะ ก็มาอย่างเคยนั่นแหละ บอกว่าลำบากอย่างนั้นอย่างนี้ อาก็เคยส่งคนไปดูอยู่นะ ก็เห็นสุขสบายกันดีจะตายไป” หญิงสาวลูกครึ่งญี่ปุ่นอเมริกาตอบ เธอเป็นถึงลูกสาวของนักธุรกิจชาวญี่ปุ่น แม้จะไม่ใช่ลูกในไส้แต่เป็นลูกของภรรยากับชู้ ถึงอย่างไรก็เป็นลูกสาวคนเดียวที่เป็นทายาท ดังนั้นเรื่องทำนองนี้เธอจึงคุ้นชินกับมันตั้งแต่ก่อนแต่งงานกับจูเชว่คนก่อนเสียอีก

“งั้นหรือครับ....” เซินเฟยได้แต่ทอดถอนใจ นึกสมเพชคนพวกนั้นอย่างอดไม่ได้ เห็นแม่บุญธรรมของเขาเป็นผู้หญิงตัวคนเดียวก็มาเลียแข้งเลียขาให้ใจอ่อน นี่ถือว่ายังน้อย เคยถึงขั้นยุให้แต่งงานใหม่กับคนในตระกูลสักคนหนึ่งเสียด้วยซ้ำ

“วันนี้มีเรื่องเหนื่อยใจล่ะสิ?” หญิงสาวมีสามารถมองคนออกได้อย่างทะลุปรุโปร่งนับประสาอะไรกับเด็กที่ตนเองเลี้ยงมากับมือ เธอคาดเดาอารมณ์ของเซินเฟยได้ไม่ยากเลยสักนิด

“เปล่านี่ครับ”

“อาซิง”

“ครับนายหญิง?”

เมื่อเห็นว่าหลานชายไม่ยอมตอบ หญิงสาวจึงหันไปหาเลขาผู้ใกล้ชิดแทน

“วันนี้ที่บริษัทเป็นยังไงบ้าง?”

“เอ่อ.....” เมื่อถูกถามเช่นนี้หวางซิงก็รู้ได้ทันทีว่านายหญิงของเขาต้องการถามอะไร แต่เมื่อมองหน้าเซินเฟยเขาก็ได้แต่อ้ำอึ้งไม่รู้ว่าควรจะตอบหรือไม่

“คุณอาครับ เรื่องของบริษัทผมจัดการเองได้ ไม่ต้องห่วงหรอกครับ” เซินเฟยตัดบทแล้วพาหญิงสาวผู้เป็นอาสะใภ้เดินเข้าไปในห้องอาหารซึ่งพ่อบ้านหวางผู้ชรากำลังทำหน้าที่อย่างขันแข็ง

“เคยบอกให้เรียกว่าแม่ตั้งหลายหนแล้วนะ” เธออดจะงอนเรื่องนี้ไม่ได้ ไม่ว่ายังไงเซินเฟยก็ไม่ยอมเรียกเธอเป็นแม่เสียที

“นายหญิงซากุระ นายน้อย” พ่อบ้านหวางเอ่ยพลางโค้มให้ทั้งสอง “โต๊ะอาหารเตรียมกำลังจะเสร็จแล้วล่ะครับ วันนี้ผมทำไก่ตุ๋นที่นายน้อยชอบเอาไว้ด้วย เดี๋ยวผมไปยกมาให้นะครับ” พ่อบ้านหวางกล่าวก่อนจะกวักมือเรียกให้หวางซิงผู้เป็นหลานเข้าไปช่วยงานในครัว

เมื่อพ่อบ้านกับเลขาลับหลังไปแล้ว ซากุระจึงหันมาหาหลานชายแล้วกุมมืออีกฝ่ายอย่างห่วงใย

“บอกอาไม่ได้หรือ?”

เซินเฟยถอนหายใจเฮือกใหญ่ ทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงชอบใช้ความใจอ่อนของเขาให้เป็นประโยชน์ในสถานการณ์อย่างนี้เสมอนะ

“ผมคิดว่าคงไม่มีอะไรหรอกครับ”

เมื่อเซินเฟยยืนยันเช่นนั้น ซากุระก็ทำได้เพียงพยักหน้ารับ เธอรู้ว่าจะต้องมีบางสิ่งเกิดขึ้นแต่ในเมื่อเซินเฟยไม่ยอมบอกเธอก็ไม่อยากจะคาดคั้นให้มากเกินไป ในตอนนี้ลูกบุญธรรมของเธอก็โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว เริ่มมีความคิดอ่านอยากพึ่งพาตนเอง ซึ่งนั่นก็เป็นข้อดีสำหรับคนที่ดำรงตำแหน่งที่ยิ่งใหญ่อย่างนี้ ซึ่งทำให้ซากุระอดไม่ได้ที่จะเปรียบเซินเฟยกับสามีของเธอ เซินหมิงเฟิ่ง นิสัยชอบเก็บเรื่องยุ่งยากไว้ในใจนั้น สองคนนี้เหมือนกันราวกับแกะเลยทีเดียว

หลังมื้ออาหารผ่านไปอย่างเงียบ ๆ พวกเขาก็ย้ายมานั่งด้วยกันในห้องหนังสือ

เซินเฟิงมองดูรูปพ่อบุญธรรมที่ประดับอยู่บนกำแพง เขาไม่เคยเจอหน้าอีกฝ่าย แต่พวกเขาสองคนดูไม่ค่อยจะเหมือนกันสักเท่าไหร่ ก็ไม่น่าแปลก พวกเขาแทบจะไม่มีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดเสียด้วยซ้ำ พ่อบุญธรรมของเขาผมสีน้ำตาล ตากลมโต แม่บุญธรรมก็ผมสีน้ำตาลม้วนเป็นลอน ส่วนเขานั้นผมสีดำสนิทยืดตรง ซ้ำรูปตายังเรียวรี หางตาชี้ มองแล้วไม่ต่างกับคนจีนแผ่นดินใหญ่ อย่างนี้ก็ไม่น่าแปลกที่มองมุมไหนคนก็ดูออกว่าเขาเป็นลูกที่ถูกรับมาเลี้ยง

เขาเคยถามแม่บุญธรรมว่าอาของเขายังไม่ได้ตายไปจริง ๆ ใช่ไหม เธอก็เพียงยิ้มให้โดยไม่ได้พูดอะไร เขาอยากจะรู้จริง ๆ ว่าที่อาของเขาทิ้งตระกูลไปแล้วรับเขาเป็นลูกบุญธรรมนั้นเป็นเพราะอะไรและทำไม แต่ถึงอย่างนั้นนั่นก็เป็นเรื่องอดีต ตัวเขาในตอนนี้เลิกที่จะสงสัยอะไรที่ไร้สาระอย่างนั้น เพราะแต่ละวันก็มีเรื่องให้คิดมากเกินกว่าจะไปนึกสงสัยในสิ่งที่ไม่มีวันได้คำตอบ

“คุณอาไม่คิดจะแต่งงานใหม่จริง ๆ หรือครับ?” เซินเฟยเพียงถามขึ้นมาลอย ๆ โดยไม่ได้คาดหวังอะไรมากมาย

“ไม่ล่ะ ชีวิตอาตอนนี้ก็มีความสุขดี เสี่ยวเฟยก็เป็นลูกที่ดี อาจะยังต้องการอะไรอีกล่ะ?” ซากุระตอบพลางหัวเราะ เรื่องของตระกูลเซินและเซินเฟยเป็นสิ่งที่เซินหมิงเฟิ่งฝากฝังเอาไว้ก่อนที่จะจากไป แม้จะน่าปวดหัวแต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ทำให้ทุกข์ทรมานเธอจึงพึงพอใจและไม่หวังอะไรไปมากกว่านี้

เซินเฟยไม่ได้พูดอะไรต่อ บางครั้งเขาก็รู้สึกว่าแม้ไม่ต้องพูดก็สามารถเข้าใจได้

เมื่อนาฬิกาบอกเวลา 4 ทุ่ม เซินเฟยจึงขอตัวขึ้นนอนเพราะตอนเช้ามีประชุมใหญ่ที่เขาต้องไปยืนให้บอร์ดบริหารหาเรื่องสับจนละเอียด ถ้าสมองไม่พร้อมเห็นจะต่อกรได้ยาก

-------------------------->

การประชุมดูเหมือนจะผ่านไปได้ด้วยดี อาจเพราะผู้บริหารพวกนั้นยังจำได้ว่านอกจากตำแหน่งประธานเครือตระกูลเซินแล้ว เขายังพ่วงเครดิตจูเชว่มาด้วย จึงยังไม่กล้าแหย่หนวดเสือมากนัก ซึ่งเขาก็จำต้องปรามคนเหล่านั้นให้อยู่หมัด มิเช่นนั้นหากเขาอ่อนข้อให้ก็รังแต่จะทำให้เหลิงจนกลับมาเหยียบเขาได้ในภายหลัง

“จับตาคนพวกนั้นไว้ก็ดี” เซินเฟยเปรยกับหวางซิง ซึ่งเลขาหนุ่มก็รับคำทันควัน

“จริงสิครับคุณเซิน วันนี้หมอจือแจ้งว่าจะมาตรวจสุขภาพที่บ้านตอนเย็น”

“วันนี้?” เซินเฟยเลิกคิ้ว “ตามกำหนดต้องอีก 5 วันไม่ใช่หรือ?”

“ครับ คุณหมอบอกว่าวันนั้นอาจมีงานอื่นเข้ามาเลยขอเลื่อนวัน ไม่ทราบว่าคุณเซินจะว่ายังไงครับ”

“ตามนั้นก็แล้วกัน ยังไงเย็นนี้ผมก็พอจะกลับเร็วได้” เซินเฟยตอบ หวางซิงจึงรีบขอปลีกตัวไปทำตามคำสั่งที่ได้รับในทันที

เซินเฟยเดินกลับห้องคนเดียว ปากก็พึมพำ...

“หมอจือจะมางั้นหรือ....”

------------------------->

ในตอนที่เซินเฟยกลับถึงบ้าน เขาก็พบว่าหมอจือ หมอประจำตระกูลของเขากำลังนั่งคุยกับอาสะใภ้อย่างออกรส เมื่อเขาเดินเข้าไป หมอจือก็หันมายิ้มให้อย่างสุภาพ

“ยินดีที่ได้พบครับคุณเซิน” หมอหนุ่มกล่าวตามมารยาทแต่ก็เป็นคำที่ฟังดูห่างไกล

เซินเฟยกับจือหยินได้พบกันตั้งแต่ที่เซินเฟยเข้ามาเป็นคนในสายตระกูลหลัก ตอนนั้นซือหยินยังเป็นนักศึกษาแพทย์ที่ตามพ่อมาเรียนรู้งานรับใช้ตระกูลเซินเดือนละครั้ง ความอ่อนโยนของจือหยินที่มีแต่เซินเฟิงซึ่งถูกพรากจากพ่อแม่มาอยู่ในสังคมที่ไม่รู้จักนั้นทำให้เกิดความรู้สึกพิเศษได้ไม่ยาก กระนั้นสำหรับจือหยินแล้ว เซินเฟยก็ยังเป็นจูเชว่ที่เขาต้องให้การปรนนิบัติรับใช้ไม่เปลี่ยนแปลง

“ช่วงนี้งานที่โรงพยาบาลยุ่งหรือครับ” เซินเฟยเดินไปนั่งที่เก้าอี้พลางทักทายตามมารยาทเช่นกัน เขาจำต้องปิดซ่อนความรู้สึกพิเศษที่มีต่ออีกฝ่ายทุกครั้งที่เจอหน้า ถึงจะรู้สึกไม่ดีนักแต่เขาก็ยังดีใจทุกครั้งที่ได้พบหน้าจือหยิน แม้จะแค่เดือนละครั้งก็ตามที

“นิดหน่อยครับ ส่วนหนึ่งก็เพราะเรื่องส่วนตัวด้วย” จือหยินตอบพลางหยิบอุปกรณ์ออกมาเตรียม “ช่วงนี้ไม่ได้รู้สึกผิดปกติใช่ไหมครับ?”

“แค่รู้สึกปวดหัวบ้างนิดหน่อย”

“ถ้าอย่างนั้นอาจเป็นเพราะความเครียด ไม่ได้ปวดมากใช่ไหมครับ?”

“อืม....”

การตรวจสุขภาพเป็นไปอย่างเรียบลื่น ทุกคำสนทนามีแต่เพียงการสอบถามเพื่อประกอบการวินิจฉัย ไม่ได้มากหรือน้อยไปกว่านั้น.....

จือหยินสรุปว่าระยะนี้เขาเครียดมากเกินไปจึงแนะนำให้ออกกำลังกายและหางานอดิเรกง่าย ๆ ทำ เช่น อ่านหนังสือ หรือฟังเพลง จากนั้นจือหยินก็ลากลับโดยไม่ได้พูดคุยอะไรไปมากกว่าเดิม ทั้งที่ก่อนเขาจะมายังคุยกับอาสะใภ้ของเขาอย่างสนุกสนานแท้ ๆ

เซินเฟยพอจะยอมรับได้ในเรื่องนี้ ยังไงก็ยังดีกว่าพวกคนที่เข้ามาประจบประแจงเพื่อเอาผลประโยชน์จากเขาเป็นไหน ๆ

ถึงตอนนี้เขาก็นึกถึงเรื่องคนของไป๋หู่ขึ้นมา คน ๆ นั้นจะเป็นคนประเภทไหนกัน?

ไป๋หู่เคยบอกว่าเป็นคนที่มีความสามารถและทำงานให้องค์กรมานาน คงจะเป็นคนฉลาดใช้ได้และน่าจะเหลี่ยมจัดทีเดียว ยังไงเขาก็คงไว้ใจคน ๆ นี้ไม่ได้มาก

ในขณะที่เซินเฟยคิดหาวิธีจัดการกับคนของไป๋หู่อย่างเหมาะสม เวลาก็ค่อย ๆ ผ่านไปจนถึงวันที่กำหนดเอาไว้…


TBC

zeen11

  • บุคคลทั่วไป
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 1 (13/02/11)
«ตอบ #3 เมื่อ13-02-2011 16:06:08 »

กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดด ตามมาเจิมเรื่องใหม่ติดๆ เลยค่ะ  :mc4: :mc4: :mc4:

samsoon@doll

  • บุคคลทั่วไป
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 1 (13/02/11)
«ตอบ #4 เมื่อ13-02-2011 16:18:02 »

ยังไมไ่ด้อ่านแต่เม้นต์ก่อนซื่อเรื่องเริ่ดมากกกกกกกกกกกกกกกกก

YELLOWSTAR

  • บุคคลทั่วไป
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 1 (13/02/11)
«ตอบ #5 เมื่อ13-02-2011 16:43:50 »

กรี๊ดดดด  ชอบอ่านสไตล์นี้เป็นที่สุดด

ว่าแต่ไป๋หู่คือพระเอกรึปล่าว?? :z1:

samsoon@doll

  • บุคคลทั่วไป
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 1 (13/02/11)
«ตอบ #6 เมื่อ13-02-2011 16:55:41 »

เริ่ด ๆแอบรักคณหมอประจำตละกลด้วย ว่าแต่คนที่จะมาเป็นผ้่วยนี้น่าจะเป็นค่กับ เซินเฟยแน่เลยเนอะ

ออฟไลน์ fannan

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2453
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +141/-6
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 1 (13/02/11)
«ตอบ #7 เมื่อ13-02-2011 16:59:13 »

น่าติดตามครับโลกของมาเฟียอิอิ

humanculus

  • บุคคลทั่วไป
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 1 (13/02/11)
«ตอบ #8 เมื่อ13-02-2011 17:25:34 »




งาม  ภาษางามดีนะ  เลิศ

ออฟไลน์ Rafael

  • เพราะคนเราเกิดมาเพื่อแตกต่าง
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-7
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 1 (13/02/11)
«ตอบ #9 เมื่อ13-02-2011 17:49:24 »

ตามมาเจิมเรื่องใหม่ด้วยคนค่า อิอิ
ว่าแต่เรื่องนี้ใครพระ ใครนายกันนะ ลุ้นจริง

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 1 (13/02/11)
« ตอบ #9 เมื่อ: 13-02-2011 17:49:24 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






lovevva

  • บุคคลทั่วไป
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 1 (13/02/11)
«ตอบ #10 เมื่อ13-02-2011 18:31:33 »

รอติดตามตอนต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ noina

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-0
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 1 (13/02/11)
«ตอบ #11 เมื่อ13-02-2011 18:51:15 »

เชียร์ให้คู่กับคุณหมอไปเลยคุณเซิน


 :really2: :really2: :really2: :really2:

@StaR@

  • บุคคลทั่วไป
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 1 (13/02/11)
«ตอบ #12 เมื่อ13-02-2011 18:57:48 »

ชอบเรื่องแนวแบบนี้อยู่เหมือนกัน
แต่หาอ่านยากไปหน่อยเรื่องนี้ก็ยัง
คงความน่าติดตามเหมือนเดิมเลย
ภาษาก็สวยด้วยอ่านไปก็จินตนาการเพลินเลย
 :กอด1: :L2: :pig4:

ออฟไลน์ Sorso

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 795
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-3
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 1 (13/02/11)
«ตอบ #13 เมื่อ13-02-2011 19:01:25 »

 :mc4: :mc4: :mc4: :mc4: :mc4:

ออฟไลน์ sang som

  • เจ็บจิต!!
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1609
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +108/-6
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 1 (13/02/11)
«ตอบ #14 เมื่อ13-02-2011 19:56:32 »

ชอบแนวนี้มากเลย อิอิ

ออฟไลน์ จันทร์ผา

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2264
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +286/-2
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 1 (13/02/11)
«ตอบ #15 เมื่อ14-02-2011 10:06:15 »

เรื่องใหม่เจิมๆๆ

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 2 (14/02/11)
«ตอบ #16 เมื่อ14-02-2011 12:23:03 »

-2-



ในตอนเช้าเมื่อมาถึงบริษัทเซินเฟยก็ได้รับแจ้งว่ามีคนมารอพบ เขามุ่นคิ้วพลางมองนาฬิกา ตอนนี้เพิ่งจะ 7 โมง ทำไมถึงได้มาเร็วนัก เขาเคยได้ยินว่าไป๋หู่เป็นคนไม่ชอบถูกกำหนดด้วยเวลาจึงคิดว่าลูกน้องก็คงจะเหมือน ๆ กัน แต่นี่มันยิ่งกว่าตรงต่อเวลาเสียอีก

“ไป๋หู่มาด้วยหรือเปล่า?” เขาถามกับพนักงานที่ทำหน้าที่ต้อนรับ

“เขามาคนเดียวค่ะ ดิฉันเพิ่งนำกาแฟไปให้เมื่อครู่นี้ แล้วก็ยังไม่มีใครมาเพิ่มเลยนะคะ” หญิงสาวผู้ทำหน้าที่ต้อนรับแขกตอบ เซินเฟยเพียงพยักหน้ารับแล้วโบกมือให้อีกฝ่ายไปทำงานอื่นต่อได้

ไป๋หู่ไม่ได้มาด้วย....ออกจะผิดมารยาทไปสักหน่อย หรืออีกฝ่ายจงใจจะบอกว่าตัวเขาไม่มีค่าพอจะเสียเวลากันแน่?

“คุณเซิน....” หวางซิงพอมองออกว่าเจ้านายของตนกำลังรู้สึกไม่พอใจ

“ช่างเถอะ” เมื่อเซินเฟยว่าเช่นนั้นเลขาหนุ่มจึงถอนหายใจออกมา

เซินเฟยเดินนำหวางซิงตรงไปยังห้องรับรอง อย่างไรเสียคน ๆ นี้ก็ถูกเสนอตัวมาเพื่อรับใช้เขา ดังนั้นเขาก็ควรจะไปรับด้วยตัวเองจะได้มองผาด ๆ เสียก่อนว่าเป็นคนอย่างไร หากดูเป็นคนเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อล่ะก็ เขาจะเฉดหัวกลับไปซุกอกเจ้านายเก่าอย่างแน่นอน ถึงจะต้องมีปัญหากับไป๋หู่เขาก็ไม่สนใจ

เมื่อถึงห้อง หวางซิงก็รีบเปิดประตูให้จ้านายอย่างนอบน้อม เซินเฟยเดินเข้าไปในห้องก่อนที่หวางซิงจะปิดประตูตามหลังเมื่อตามเข้ามาแล้ว

แขกที่รออยู่ในห้องมีเพียงคนเดียวและคน ๆ นั้นก็รีบผุดลุกขึ้นทันทีที่เห็นว่าคนที่ตนรอมาถึงแล้ว

เซินเฟยพบว่าผู้ชายคนนี้เป็นคนโครงร่างใหญ่พอดู เห็นได้จากความสูงที่อาจจะมากกว่าเขาถึงครึ่งฟุตและลาดไหล่กำยำที่เห็นชัดยิ่งขึ้นเมื่อสวมสูท โครงหน้าของฝ่ายนั้นมีเหลี่ยมมุมดูสมชายกระเดียดไปทางยุโรปแต่ก็ผสมผสานกับโครงหน้าแบบคนตะวันออก เรือนผมสีดำสนิทหยักศกตรงปลายเล็กน้อย ไม่รู้ว่าทำไม แต่เซินเฟยรู้สึกหมั่นไส้อีกฝ่ายขึ้นมาในทันทีแม้จะยังไม่ทันได้พูดคุยเจรจา

“คุณคงเป็นคุณเซิน ผมชื่อฉู่เหวินจือ ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ” ชายหนุ่มยื่นมือออกมาตรงหน้า แต่กลับไม่ได้รับการตอบรับจากคู่สนทนาแม้แต่น้อย เซินเฟยมุ่นคิ้ว ยืนนิ่ง และเงียบอยู่เช่นนั้นจนกระทั่งอีกฝ่ายชักมือกลับไปแนบข้างตัวเช่นเดิม

“คนของไป๋หู่งั้นหรือ?”

“ครับ” เจ้าของนามฉู่เหวินจือแย้มรอยยิ้ม เมื่อมองดี ๆ แล้ว เซินเฟยได้พบว่ารอยยิ้มของอีกฝ่ายดูไม่ค่อยน่าไว้ใจนัก ทั้งยังนัยน์ตาเป็นประกายวาววับนั่นอีก มองอย่างไรก็ไม่น่าใจแม้แต่น้อย

“นี่หวางซิง เลขาของฉัน” เซินเฟยหันไปแนะนำเลขาของตัวเองและให้หวางซิงจับมือทักทายแทนตน

“ยินดีที่ได้รู้จักครับ” หวางซิงทักทายอย่างสุภาพ

“เช่นกันครับ ไหน ๆ ก็จะต้องทำงานด้วยกันแล้ว ยังไงก็ฝากตัวด้วยนะครับ” ฉู่เหวินจือเองก็ตอบกลับอย่างสุภาพไม่แพ้กัน ถึงอย่างนั้นมันก็เป็นคำพูดพื้นฐานของการทักทาย แม้แต่คนต่างประเทศที่เรียนภาษาจีนเบื้องต้นยังพูดเป็น นับประสาอะไรกับคนฮ่องกง และด้วยเหตุนั้นเซินเฟยจึงยังคงท่าทางเย็นชาของตนไว้ ไม่ได้โอนอ่อนไปตามความสุภาพที่อีกฝ่ายบรรจงแสดงให้เห็น

“ไป๋หู่คงบอกนายแล้วเรื่องข้อแม้ของฉัน” เซินเฟยว่า

“บอกแล้วครับ และผมยินดีปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด”

คำตอบนั้นทำให้เขารู้สึกพอใจขึ้นมาบ้าง อย่างน้อยผู้ชายคนนี้ก็ฉลาดมากพอที่จะไม่พูดอวดดีต่อหน้าเขา แต่ถ้ามีลับหลัง....ก็ต้องพิจารณาพฤติกรรมกันอีกที....

“หวางซิงจะเป็นคนแนะนำว่านายควรจะทำอะไรและไม่ควรทำอะไร เมื่อฟังกฎในบริษัทเรียบร้อยค่อยไปหาฉันที่ห้อง” เซินเฟยตัดบทเพียงเท่านั้น เขาไม่อยากเสียเวลาพูดคุยอย่างเปล่าประโยชน์มากเกินไปนัก เรื่องเล็กน้อยอย่างนั้นมีคนอื่นทำแทนเขาอยู่แล้ว ใครกันนะที่บอกเขาว่า เมื่อคนเราอยู่สูงขึ้นก็จะยิ่งทำอะไรเองน้อยลง เมื่อเขามายืนตรงจุดนี้ก็พบว่ามันเป็นความจริงอย่างไม่ผิดเพี้ยน แน่นอนว่ามันไม่ใช่นิสัยส่วนตัวของเขา แต่เป็นเพราะด้วยตำแหน่งแล้วเขา ไม่ควรจะลดตัวลงไปจัดการกับอะไรเองทั้งนั้น มิเช่นนั้นจะมีคนคิดว่าตีตัวเสมอได้ขึ้นมา

แม้จะเป็นคนของไป๋หู่....ก็ใช่จะตีตัวเสมอเขาได้

เซินเฟยเดินออกไปโดยไม่ได้พูดอะไรอีก หวางซิงจึงหันมาหา ‘เด็กฝึกงาน’ ที่ยืนรออย่างใจเย็น

“คุณเซินอารมณ์ไม่ดีหรือครับ?” ฉู่เหวินจือเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าเจ้านายใหม่ของตนเอาแต่ทำหน้าบึ้งตึงและพูดคำตอบคำเหมือนคร้านจะเจรจา

“เปล่าหรอกครับ” หวางซิงหัวเราะฝืด ๆ “คุณเซินเขามีนิสัยอย่างนี้แหละครับ อีกหน่อยคุณจะชินไปเอง ตอนนี้เชิญนั่งก่อนเถอะครับ เราจะได้เริ่มคุยรายละเอียดกัน”

“อ้อ....ครับ เชิญ ๆ” ฉู่เหวินจือว่าพลางผายมือให้อีกฝ่ายนั่งลงเช่นกัน

“ถ้าอย่างนั้นผมเริ่มเลยนะครับ”

------------------------>

เซินเฟยมาถึงห้องทำงานด้วยเวลาไม่นานนัก แต่เมื่อมาถึงก็พบว่ามีการ์ดฉบับหนึ่งนอนนิ่งอยู่บนโต๊ะเหนือกองแฟ้มเอกสารทั้งหมดที่สุมรวมกันแสดงว่าผู้วางตั้งใจจะบอกเขาว่าการ์ดฉบับนี้สำคัญและต้องเปิดดูก่อนจะเริ่มทำงาน เซินเฟยนั่งลงบนเก้าอี้พนักสูง เอนพิงให้สบายแผ่นหลังและหยิบการ์ดมาเปิดดูพลางมุ่นคิ้ว

งานสังคม....

เขาคิดในใจแล้วมองดูหัวข้องาน สถานที่ และเวลา

การเป็นนักธุรกิจ นั่นหมายถึงต้องออกไปพบปะผู้คน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนหน้าใหม่ที่ทุกคนยังคลางแคลงในความสามารถเช่นเขา คนเชิญอาจเชิญด้วยมารยาท แต่แขกในงานคงไม่ได้คิดจะมีมารยาทกับเขาทุกคน แต่อย่างไรด้วยตำแหน่งจูเชว่ก็คุ้มหัวเขาได้มากพอแล้ว

เซินเฟยสอดการ์ดกลับเข้าซอง วางลงในลิ้นชักแล้วเริ่มเปิดแฟ้มเอกสารดูว่าในวันนี้มีอะไรบ้าง

เขาไม่ได้นึกแปลกใจว่าทำไมถึงมีแฟ้มมากองบนโต๊ะมากมายขนาดนี้ เพราะเขาเพิ่งจะสั่งให้แต่ละแผนกไปรวบรวมงามทั้งหมดที่ทำไปภายในสามเดือนมาให้ตรวจดู ตอนนี้ใกล้จะถึงช่วงปิดไตรมาสแล้ว เขาเพิ่งจะเข้ามาบริหารได้เพียงเดือนเดียวย่อมต้องศึกษางานอีกมากก่อนจะถึงช่วงปิดไตรมาสครั้งนี้ เพราะพวกบอร์ดบริหารคงไม่พ้นรอจี้เขาอยู่เป็นแน่หากผลงานออกมาไม่ดีนัก เขาเพียงแต่ต้องหาเหตุผลอธิบายเอาไว้ล่วงหน้าเท่านั้น

หลังจากอ่านผ่านไปได้เพียง 2 ชุด เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น

“เข้ามาสิ” เขาเอ่ยอนุญาตโดยไม่ได้ละสายตาจากงานที่อ่านอยู่ หวางซิงจึงเปิดประตูเข้ามาพร้อมกับฉู่เหวินจือที่น่าจะเข้าใจอะไรได้ดีขึ้นจนไม่ต้องพูดให้มากความ

“ผมจัดการอธิบายให้คุณฉู่ฟังเรียบร้อยแล้ว คุณเซินมีอะไรจะใช้ผมอีกไหมครับ?” หวางซิงเอ่ยถามด้วยหน้าที่และความเต็มใจที่จะทำงานอย่างกะตือรือร้น เป็นสิ่งที่เซินเฟยอดจะชื่นชมเลขาของตนเองไม่ได้ อย่างที่อาสะใภ้เคยบอกเอาไว้ อาของเขามักเอ่ยชมหวางซิงว่าเป็นเลขาที่ยอดเยี่ยมและเขาเองก็ไม่มีความคิดเห็นที่ผิดไปจากนั้น

“ตอนนี้ยังไม่มี ถ้ามีใครมาหาผมก็ช่วยบอกด้วยว่าผมไม่ว่าง” เซินเฟยยังคงพูดโดยอ่านงานไปเรื่อย ๆ

“ครับ”

“อ้อ แล้วก็พอถึงตอนเที่ยงช่วยมาเรียกด้วยนะ”

“ทราบแล้วครับ” หวางซิงดูจะพึงพอใจเมื่อได้รับคำสั่ง เขาจึงได้ถอยออกไป แต่แล้วเมื่อประตูกำลังจะปิด ฉู่เหวินจือกลับแทรกตัวเข้ามาโดยที่หวางซิงเอ่ยห้ามไม่ทัน

เซินเฟยปรายสายตาขึ้นมองพลางมุ่นคิ้ว

“มีอะไรหรือเปล่า?”

“คุณเซินยังไม่ได้สั่งงานผม จะให้ผมออกไปได้ยังไงล่ะครับ?” ฉู่เหวินจือว่าทำให้หวางซิงหน้าซีดเป็นไก่ต้ม เขารีบถลันเข้ามาคว้าแขนชายหนุ่มร่างสูง พยายามจะลากออกไปด้วยกัน

“ขออภัยด้วยครับคุณเซิน! ผมไม่ดีเองที่ไม่ได้อธิบายให้เขาเข้าใจชัดเจน”

“คุณอธิบายชัดเจนแล้วนะหวางซิง ก็คุณบอกผมว่าเลขามีหน้าที่ทำตามคำสั่งของเจ้านายอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง แต่ว่าคุณเซินยังไม่ได้สั่งอะไรผมเลยจะให้ผมทำอะไรได้ล่ะครับ?” ฉู่เหวินจือเถียงด้วยน้ำเสียงเอาจริงเอาจัง เซินเฟยเริ่มจะหงุดหงิดขึ้นมา เขานึกสงสัยครามครันว่าผู้ชายคนนี้สมองเท่าเม็ดถั่วจริง ๆ หรือว่าแกล้งหดสมองตัวเองจนเท่าเม็ดถั่วกันแน่จึงไม่เข้าใจคำพูดของเขา

“เลขาต้องทำตามคำสั่งของเจ้านายใช่ไหม?” เซินเฟยเอ่ยเสียงต่ำ หวางซิงยิ่งหน้าซีดกว่าเดิมเขารีบเขย่าแขนเตือนเพื่อนร่วมงานคนใหม่ด้วยความหวังดี แต่ฉู่เหวินจือก็เหมือนจะยังไม่รู้ตัวว่ากำลังเหยียบกับระเบิด

“ครับ”

“ถ้าอย่างนั้นก็ออกไปยืนกางแขนใต้น้ำพุในสวนนั่น จนกว่าฉันจะส่งคนลงไปเรียกตัวก็แล้วกัน” เซินเฟยว่าจบก็ก้มหน้าลงอ่านเอกสารต่อโดยไม่ได้นึกสนใจอะไรอีก

“คุณเซิน! คือ....คุณฉู่แค่....แค่.....” หวางซิงไม่รู้จะแก้ตัวแทนอย่างไร เขามักถูกสอนให้ทำตามหน้าที่อย่างไม่บิดพริ้วทำให้เขาไม่หาญกล้าขนาดจะหาเหตุผลข้าง ๆ คู ๆ มาเถียงกับเจ้านายได้

“ไม่ได้ยินที่ฉันสั่งหรือยังไง?” เซินเฟยเหลือบตาขึ้นมาอีกครั้ง “หรือจะกลับไปฟ้องไป๋หู่ฉันก็ไม่ว่าหรอกนะ”

“เข้าใจแล้วครับ” ฉู่เหวินจือรับชะตากรรมอย่างง่ายดายเกินคาด เขาไม่ได้ร้องอุทธรณ์ให้ตัวเองแม้แต่คำเดียว แต่กลับเดินออกไปจากห้องอย่างเงียบ ๆ เซินเฟยลุกจากเก้าอี้และเดินไปยังบานกระจกใสที่มองออกไปเห็นสวนหย่อมของบริษัท รออยู่ไม่กี่อึดใจ ร่างสูงใหญ่ในชุดสูทดำก็ปรากฏขึ้นและเดินไปยังน้ำพุในสวนอย่างไม่เกรงกลัว เซินเฟยเห็นฝ่ายนั้นก้าวเข้าไปในสระน้ำพุและยืนกางแขนใต้สายน้ำที่กระเซ็นลงมาจากเบื้องบน มีพนักงานหลายคนที่กำลังเดินเข้ามาทำงานและได้เห็นภาพนั้น พวกเขาต่างชี้ชวนกันหัวเราะด้วยนึกว่าฉู่เหวินจือสติไม่สมประกอบ ซึ่งเป็นเพราะพวกเขาต่างไม่เคยเห็นหน้าค่าตาผู้ชายคนนี้มาก่อน

“คุณเซิน.....นี่มันฤดูร้อนนะครับ แล้วตากแดดตากน้ำแบบนั้น....” หวางซิงยังคงรู้สึกเป็นห่วง เหตุหนึ่งเพราะเขาไม่อยากให้เจ้านายอารมณ์ไม่ดี แต่อีกเหตุหนึ่งก็เพราะคน ๆ นั้นเป็นคนที่ไป๋หู่ส่งมาให้ หากเกิดอะไรขึ้นอาจจะมีปัญหาระหว่างองค์กรก็เป็นได้

“ลงไปบอกหัวหน้ารปภ. ใครจะมาแจ้งอะไรก็ตาม ไม่ต้องลากตัวเขาออกไปจากตรงนั้น” แทนที่จะพิจารณาคำพูดของหวางซิง เซินเฟยกลับสำทับเจตนาของตนอย่างแน่วแน่

“คุณเซิน....”

“อาซิง คุณเป็นเลขาของผมอยู่ใช่ไหม?”

“.....ครับ....ผมเข้าใจแล้วครับ” เสียงของหวางซิงหงอยไปอย่างเห็นได้ชัด เขาเพิ่งจะเคยถูกเจ้านายดุใส่เป็นครั้งแรกในชีวิตเลยก็ว่าได้ ประวัติเลขายอดเยี่ยมของเขามีราคีเสียแล้ว....

หวางซิงจำต้องเดินคอตกออกไปเพื่อทำตามคำสั่งที่ได้รับพลางนึกขอโทษฉู่เหวินจืออยู่ในใจ

เซินเฟยมองลงไปทางหน้าต่าง เห็นฝ่ายนั้นยืนนิ่งตามที่เขาบอกก็รู้สึกพอใจมากขึ้นแต่เขาก็ยังไม่อยากใจอ่อน อย่างไรเสีย เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ไม่ควรจะเกิดขึ้นอีก นี่เพราะอยู่ตามลำพังจึงลงโทษเพียงเท่านี้ หากอยู่ต่อหน้าคนอื่น เขาจะไม่กลายเป็นตัวตลกไปหรอกหรือ? ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องให้ผู้ชายอวดดีคนนั้นหลาบจำเสียแต่ครั้งแรกเพื่อที่จะไม่มีครั้งต่อ ๆ ไป

เขาเลิกที่จะให้ความสนใจกับคนด้านล่าง และหันกลับมาทำงานของตัวเองต่อ

เมื่อใกล้จะถึงเวลาเที่ยง หวางซิงก็โผล่หน้าเข้ามาในห้องอีกครั้งตามคำสั่ง แต่เพราะเพิ่งโดนดุไปเมื่อครู่นี้เจ้าตัวจึงยังดูประหม่าอยู่มาก เซินเฟยเหลือบตามองคนที่อายุมากกว่าตนถึงสิบปีแต่กลับทำตัวเหมือนเด็กโดนดุจนหงออย่างระอาใจ

“ช่วยไปตามฉู่เหวินจือขึ้นมาให้ผมที” เขาเลือกที่จะไม่พูดอะไรให้มากความ จึงเพียงไปสั่งให้นำตัวคที่เขาเกือบจะลืมไปแล้วว่าสั่งลงโทษเอาไว้ขึ้นมาพบ

หวางซิงหายตัวไปอย่างรวดเร็ว เพียงไม่นานนักเขาก็กลับมาพร้อมกับชายหนุ่มร่างสูงที่เปียกม่อล่อกม่อแล่กตั้งแต่หัวจรดเท้า แม้แต่ผมที่เสยเรียบยังปรกลงมาแนบใบหน้า สภาพของฉู่เหวินจือตอนนี้น่าขันและน่าสมเพชไปพร้อมกัน เซินเฟยคิดว่าอีกฝ่ายน่าจะได้บทเรียนแล้ว

“สมองโล่งขึ้นไหม?”

“ครับ” ฉู่เหวินจือเลือกจะสงวนคำพูด

“อยากจะนั่งพักหรือเปล่า?” เซินเฟยกระตุกยิ้มมุมปากเล็กน้อยขณะถามเช่นนั้น

“ไม่เป็นไรครับ” เขาต้องยืนท้าแดดท้าลมอยู่นานเกือบ 5 ชั่วโมง แข้งขาจึงแข็งไปหมด หากนั่งตอนนี้คงไม่พ้นต้องทรุดลงไปกองเป็นแน่

“อีกเดี๋ยวฉันจะมีนัดกินข้าวเที่ยง ในเวลา 10 นาที ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ให้เรียบร้อย อาซิง คุณช่วยหาชุดใหม่ให้เขาด้วย แล้วก็บอกพวกการ์ดให้เตรียมรถไว้” สั่งจบ เซินเฟยก็หมุนเก้าอี้หันหลังให้ทั้งสอง หวางซิงโค้งรับคำสั่งแล้วรีบกึ่งลากกึ่งพยุงฉู่เหวินจือออกไปจากห้อง ถึงอย่างนั้นเซินเฟยก็ยังแว่วได้ยินเสียงบ่นของหวางซิงว่าฉู่เหวินจือไม่น่าหาเรื่องใส่ตัว

ดูไปแล้ว ผู้ชายคนนี้เหมือนจะไม่มีพิษสงมากมายนัก เซินเฟยอดจะสงสัยไม่ได้ว่าอีกฝ่ายจะเก่งกล้าสามารถอย่างที่ไป๋หู่ให้เครดิตจริงหรือเปล่า

เรื่องความสามารถยังน่ากังขา เรื่องจุดประสงค์ยิ่งน่ากังขา ท่าทางเขาจะยังด่วนสรุปมากเกินไปไม่ได้

ระหว่างนี้คงต้องให้ฉู่เหวินจือทำงานข้างตัวไปก่อน เพราะจะปลอดภัยกว่าในการควบคุมพฤติกรรมและป้องกันการลักลอบสืบค้นเรื่องภายในโดยที่เขาไม่รู้ตัว อย่างไรก็มีหวางซิงช่วยอยู่อีกแรง แค่ผู้ชายคนเดียวคงไม่เหนือบ่ากว่าแรงมากนัก ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นก็แค่ส่งตัวกลับไปให้ไป๋หู่จัดการ ระหว่างเสาหลักทั้งสี่มีกฎคั่นกลางอยู่ข้อหนึ่ง ตาต่อตา ฟันต่อฟัน ทำอย่างไรต่อใครก็จะต้องรับสิ่งนั้นตอบแทน ไป๋หู่ยอมไม่อยู่เฉยเป็นแน่หากคนของตนเองทำให้เกิดความเสียหายกับทางจูเชว่ ตราบใดที่กฎข้อนี้ยังคงศักดิ์สิทธิ์ มันก็สามารถรับประกันความสัตย์ซื่อของฉู่เหวินจือ รวมทั้งความจริงใจของไป๋หู่ได้ในระดับหนึ่ง

เซินเฟยลุกขึ้นกระชับเสื้อที่เกิดรอยยับจากการนั่ง ก่อนจะมองนาฬิกาข้อมือราคาแพงระยับที่อาสะใภ้ซื้อให้เป็นของขวัญวันเกิดอายุ 18 ก่อนที่เขาจะเข้าพิธีรับตำแหน่ง เวลาผ่านไป 10 นาทีแล้ว ตอนนี้หวางซิงคงกระวนกระวายยืนไม่ติดแล้วกระมัง พอนึกถึงเลขาผู้ขยันขันแข็งและจริงจังต่อหน้าที่ของตนแล้ว เซินเฟยก็อดถอนหายใจไม่ได้ หากฉู่เหวินจือยังยืนยันที่จะทำตัวทีเล่นทีจริงแบบนั้นต่อไป หวางซิงอาจต้องเหนื่อยมากกว่าเดิมหลายเท่าทีเดียว

เสียงเคาะประตูดังขึ้นหลังจากเซินเฟยคิดในใจกับตนเองเสร็จ หวางซิงเดินเข้ามาพร้อมกับฉู่เหวินจือที่อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย

“รถพร้อมหรือยัง?”

“พร้อมแล้วครับ” หวางซิงตอบอย่างกะตือรือร้น เซินเฟยพยักหน้ารับแล้วเดินนำออกไป

ตอนเที่ยง เซินเฟยมีนัดเจรจาธุกิจเขาจึงจำต้องไปใช้บริการภัตตาคารในพื้นที่ดูแลของตนเอง อย่างไรเสียสำหรับการเจรจาครั้งนี้เขาเองก็มีเครดิตมากกว่า ดังนั้นคู่เจรจาต้องทำตามความต้องการของเขาด้านสถานที่เจรจาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ธุจกิจครั้งนี้เป็นเพียงการเจรจาเล็ก ๆ ที่ไม่สลักสำคัญมากนักหากมองในด้านของเครือตระกูลเซิน แต่กลับเป็นเรื่องชี้เป็นชี้ตายสำหรับอีกฝ่าย เซินเฟยต้องนั่งฟังคู่เจรจาสาธยายถึงความจำเป็นในการได้รับการเกื้อหนุนจากเครือตระกูลเซินและการได้รับผลตอบแทนที่สำหรับเซินเฟยแล้วมันเทียบไม่ได้กับเศษเสี้ยวของรายได้ต่อปีที่เครือบริษัทได้รับ เมื่อฟังไปฟังมา เซินเฟยก็เริ่มหงุดหงิดใจขึ้นมาเมื่อฝ่ายนั้นเอาแต่พูดวกวนจับสาระไม่ได้ นี่อีกฝ่ายคิดว่าเขาเป็นเด็กอมมือที่แค่หยิบยื่นลูกอมมาให้แล้วพูดหยอกเย้านิดหน่อยก็จะรีบวิ่งตามหรืออย่างไรกัน!?

“เรื่องนี้ทางเราจะขอรับไปพิจารณาก่อนแล้วค่อยแจ้งกลับไปอีกทีนะครับ” หวางซิงคาดเดาอารมณ์ผู้เป็นนายได้อย่างรวดเร็วตามเคย เขารีบเอ่ยตัดบทแทนโดยที่เซินเฟยไม่ต้องเอ่ยปากแม้แต่คำเดียวตลอดการเจรจาครั้งนี้

“ถ้าอย่างนั้น ทางเราต้องขอฝากเรื่องเอาไว้ด้วยนะครับ” ดูก็พอจะรู้ว่าคู่เจรจาไม่พึงพอใจที่ได้รับคำตอบเช่นนี้นัก แต่เอาข้อเสนอห่วย ๆ แบบนั้นมาให้ ใครโง่รับไว้ก็บ้าเต็มที ที่หวางซิงพูดว่าจะนำไปพิจารณาก็ถือว่าถนอมน้ำใจมากพอแล้วน่าจะสังวรณ์ตัวเองเสียบ้าง แต่อย่างไรคน ๆ นี้ก็ยังไม่ควรค่าที่เขาจะต้องออกปากด้วยตัวเอง อีกอย่าง บางทีอาจจะลองใช้ประโยชน์จากธุรกิจที่จะล้มมิล้มแหล่นั่นได้ ดังนั้นปล่อยให้เจ้าคนไม่สังวรณ์ตัวเหลิงไปหน่อยก็คงไม่มีปัญหา แต่ถ้ามันไร้ประโยชน์จริง ๆ ค่อยตัดหางปล่อยวัดก็แล้วกัน

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 2 (14/02/11)
«ตอบ #17 เมื่อ14-02-2011 12:23:20 »

ทางคู่เจรจาอาสาออกไปส่งให้ถึงรถ เซินเฟยที่เห็นว่าจบเรื่องเสียทีจึงลุกขึ้นแล้วเดินกลับไปยังรถ ทว่าในตอนที่เซินเฟยหันหลังไปนั้นเอง ชายวัยกลางคนผู้เป็นคู่เจรจาก็คว้ามือฉู่เหวินจือเอาไว้โดยไม่มีใครทันเห็น ก่อนจะยัดบางสิ่งใส่ฝ่ามือ

“ยังไงก็ฝากด้วยนะครับ” ฝ่ายนั้นพูดเสียงหวาด ๆ แต่ก็ยังพยายามฝืนรอยยิ้มกว้างไว้บนใบหน้า ฉู่เหวินจือเลิกคิ้ว เขาไม่จำเป็นต้องก้มลงมองก็รู้ว่าเป็นเช็คฉบับหนึ่ง เขาอดไม่ได้ที่จะนึกขำในใจ พลางคาดเดาว่าธุรกิจที่จวนเจียนจะล่มของคน ๆ นี้จะติดสินบนเขาได้สักกี่หลักก่อนจะกางสิ่งที่อยู่ในมือดู

7 หลักเองหรือ?

ฉู่เหวินจือขำพรืดออกมา

“ม...มีอะไรน่าขำนักหนา!” เจ้าของเช็คทำเสียงฮึดฮัดราวกับเด็กที่โดนขัดใจ ฉู่เหวินจือจึงรีบหุบเสียงแล้วตบบ่าอีกฝ่าย

“เอาเป็นว่าผมจะช่วยให้เท่ากับราคาที่คุณจ่ายก็แล้วกัน” เขาทำพูดเสียงขึงขังแล้วเก็บเช็คฉบับนั้นใส่กระเป๋าก่อนจะเดินตามหลังกลุ่มการ์ดไปยังรถที่จอดรออยู่ด้านนอก แม้ฝ่ายคู่เจรจาจะไม่เข้าใจสิ่งที่ฉู่เหวินจือพูดออกมา แต่เขาก็ได้แต่หวังว่าคนที่เอาแต่นิ่งเงียบด้วยรอยยิ้มคนนี้จะไม่ทำให้เขาผิดหวัง แต่ถ้าหากไม่ได้ดังที่คิด....เขาคงต้องเก็บเจ้านั่นเสีย เพราะจูเชว่จะต้องไม่พอใจแน่หากรู้ว่าเขาติดสินบนเลขาและคนสนิทของตัวเอง

เขาไม่รู้เลยว่า....ฉู่เหวินจือไม่ได้เป็นกระทั่งเลขาเสียด้วยซ้ำ....

-------------------------->

เซินเฟยนั่งอยู่บนรถที่กำลังแล่นกลับบริษัทโดยไม่ได้พูดอะไรออกมา บนตักของเขาคือเอกสารเกี่ยวกับบริษัทคู่เจรจา

ระหว่างที่ทุกอย่างสงบเงียบดีอยู่นั้น ฉู่เหวินจือก็หยิบเช็คขึ้นมาจากกระเป๋าแล้วมองดูจำนวนเลขอย่างนึกตลกไม่หาย

“นี่หวางซิง คุณว่าไอ้เงิน 5 ล้านดอลล่าห์ฮ่องกงนี่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าจะอยากได้ไหม?”

“อะไรนะ....เอ๋.....อ๊ะ! นั่นคุณเอามาจากไหนน่ะคุณฉู่!!!” หวางซิงไม่ทันได้ฟังในตอนแรกแต่เมื่อเงยหน้าขึ้นมาเจอเช็คเงินสด 5 ล้านดอลล่าห์ฮ่องกงก็เบิกตากว้างแล้วร้องโวยวายออกมาทันที “คุณบ้าไปแล้วหรือเปล่า! การรับสินบนแบบนี้มันเสียชื่อจูเชว่ขนาดไหน คุณ...คุณ......” หวางซิงทำหน้าเหมือนโลกกำลังจะถล่ม ถึงกับพูดไม่ออกซ้ำยังทำหน้าราวกับว่าลมถูกตีจนจุกอก

“เขาอุตส่าห์ให้มาทั้งที ถ้าไม่รับก็เสียน้ำใจแย่น่ะสิ จริงไหมครับคุณเซิน?” นอกจากจะไม่รู้สำนึกผิด ฉู่เหวินจือยังหันมายิ้มให้กับผู้เป็นนายพลางโบกเช็คไปมา

“นายคิดว่าจะทำงานให้สมกับเงินที่ได้รับได้หรือยังไง?” เซินเฟยมุ่นคิ้วพลางนึกปรามาสในใจว่าผู้ชายคนนี้ถ้าไม่ใช่โง่ก็น่าจะบ้าจริง ๆ

“หึ ๆ ผมไม่ได้รับของแบบนี้มาแบบไม่ได้คิดหรอกนะ” ฉู่เหวินจือรีบแก้ตัวก่อนจะถูกเข้าใจผิด

“เอาเถอะ....บางทีตอนอยู่กับไป๋หู่เขาอาจจะเลี้ยงนายไม่ค่อยดีถึงได้เป็นคนหิวเงินนัก แต่ทีหน้าทีหลังจะรับสินบนก็ไม่ต้องบอกให้ฉันรู้หรอก” เซินเฟยคร้านจะว่ากล่าวกับคนที่ดูสติไม่ค่อยสมประกอบ แต่ขณะที่กำลังจะละความสนใจจากเรื่องน่าปวดหัว ฉู่เหวินจือก็ถือวิสาสะแย่งเอกสารไปจากหน้าตักของเขาแล้วเปิดหน้าหนึ่งให้ดู

“ดูนี่สิคุณเซิน ที่ดินตรงนี้น่ะไม่คิดว่าทำเลดีหรือครับ?”

เซินเฟยรู้สึกหงุดหงิดใจกับความไร้มารยาทเป็นอย่างยิ่งแต่ก็ยอมมองตามปลายนิ้วนั้นลงไปยังหน้าเอกสารที่เขียนแผ่นที่ประกอบกับภาพถ่ายบริเวณรอบ ๆ เมื่อมองคร่าว ๆ เขาก็รู้สึกสะดุดใจอย่างน่าประหลาด เพราะรอบข้างนั้นดูไม่น่าจะเป็นสถานที่บริษัทใดไปตั้งแล้วจะล่มจมได้ง่าย ๆ เลย นับว่าเป็นทำเลที่ดีต่อการประกอบกิจกรรมอย่างยิ่ง โดยเฉพาะกิจการโรงแรมที่เขากำลังอยากจะลองทำดู

ผู้ชายคนนี้รู้มาก่อนอย่างนั้นหรือ?

เซินเฟยอดจะแปลกใจกับความคิดตัวเองไม่ได้

“ถ้านายคิดแบบนั้น ฉันจะลองพิจารณาดูสักหน่อย” เขาต้องไว้เชิงก่อน เพราะยังไม่ไว้ใจผู้ชายคนนี้อย่างเต็มที่ “ถ้านายสามารถหาข้อมูลที่การคาดการณ์ที่น่าเชื่อถือมาส่งบนโต๊ะของฉันได้ภายในอาทิตย์หน้า”

“ภายในอาทิตย์หน้า ข้อมูลทั้งหมดจะวางบนโต๊ะคุณเซินครับ” ฉู่เหวินจือยิ้มกว้างพร้อมรับคำ

เมื่อสถานการณ์เริ่มมีแนวโน้มจะเป็นไปในทางที่ดี หวางซิงก็ลอบถอนหายใจออกมา เขาคิดว่าจะมีการระเบิดขนาดย่อมในรถเสียแล้ว

พวกเขากลับมาถึงบริษัทในตอนบ่ายแก่ การเจรจาที่ไร้สาระใช้เวลาไปมากกว่าที่คิดไว้ทำให้ไม่มีเวลาทำงานอย่างอื่นต่อมากนัก นับว่าโชคดีที่เซินเฟยไม่มีนัดอะไรต่อในช่วงบ่ายถึงได้พอจะยอมให้กินเวลาไปได้บ้าง

“จะกลับกันเลยไหมครับ?” หวางซิงเอ่ยถามเมื่อเห็นเซินเฟยเก็บเอกสารบนโต๊ะ

“อืม......อีกสักชั่วโมงก็แล้วกัน ตอนนี้คุณจะไปทำอะไรก็ทำเถอะ แต่คอยดูแลฉู่เหวินจือไว้ด้วย ผมยังไม่อยากให้เขาคิดว่าสามารถทำอะไรได้ตามใจมากเกินไป”

“คุณเซิน....ผมบอกตามตรงว่าผมไม่ค่อยไว้ใจเขา คนเอาแต่อารมณ์แบบนั้นส่งคืนไป๋หู่ไปไม่ดีกว่าหรือครับ?”

“ผมก็ไม่ได้อยากจะรับแต่แรกอยู่แล้ว” เซินเฟยว่าก่อนจะนั่งลงแล้วเอนหลังพิงพนัก “แต่ในเมื่อไป๋หู่รับรองอย่างดีว่าเป็นคนมีความสามารถและรู้งานดี ผมก็อยากจะลองใช้งานดูเหมือนกัน เอกสารฉบับนั้นไม่ได้เปิดเลยสักครั้งตอนที่เจรจา เขาได้ยินแค่ชื่อบริษัทเท่านั้นก็รู้ได้ทันทีว่าตั้งอยู่ที่ไหนและน่าสนใจยังไง ผมคิดว่า บางทีคน ๆ นั้นอาจมีอะไรมากกว่าที่เห็น”

“หมายความว่า....คุณจะให้เขาทำงานนี้หรือครับ?” หวางซิงมุ่นคิ้ว เขาไม่เห็นด้วยสักเท่าไหร่ คนในองค์กรนั้นมีอยู่มากมายที่ไว้ใจได้มากกว่าสำหรับโครงการนี้

“ไหน ๆ ผมก็ไม่ได้สนใจแต่แรก นึกอยากจะปฏิเสธด้วยซ้ำไป แต่เขากลับเห็นโอกาสก็ให้ลองดูสักหน่อย ถ้างานเสียมันก็ไม่กระทบกับองค์กรสักเท่าไหร่ แล้วผมยังมีข้ออ้างส่งตัวคืนให้ไป๋หู่ได้ง่ายขึ้นด้วย”

“แล้วถ้ามันประสบผลสำเร็จล่ะครับ?”

เมื่อฟังคำถาม เซินเฟยก็นิ่งเงียบไปนานก่อนจะตอบ

“ถ้าแบบนั้นก็หมายความว่าเขามีค่าพอที่จะใช้ประโยชน์”

หวางซิงอยากจะถอนหายใจออกมาดัง ๆ แต่ก็ทำไม่ได้ แม้เซินเฟยจะทำราวกับว่าเป็นเรื่องเล็ก ๆ แต่เขาก็รู้ว่าความจริงมันไม่ง่ายขนาดนั้น เพราะนี่ถือเป็นการวางเดินพันครั้งสำคัญทีเดียว เซินเฟยเพิ่งจะขึ้นมาบริหารด้วยตัวเองได้เพียงไม่ถึงเดือนดี ซ้ำยังไม่ได้รับความเห็นชอบจากใครสักเท่าไหร่นัก หากล้มก็มีคนพร้อมซ้ำเติมได้ตลอดเวลา นอกจากนี้ เซินเฟยยังแบกศักดิ์ศรีของจูเชว่ไว้บนแผ่นหลัง แม้ภายนอกทุกคนจะให้ความเคารพนับถือ แต่ภายในใจนั้นต่างก็รู้กันดีว่าตำแหน่งจูเชว่เป็นเครื่องป้องกันตัวหนึ่งเดียวที่เซินเฟยมี หากเพียงเสียบัลลังก์นี้ไปแล้ว เซินเฟยก็จะเป็นเพียงคนตัวเปล่าที่พร้อมจะถูกรุมขย้ำได้ตลอดเวลา ด้วยเหตุนั้น ทั้งด้วยหน้าที่หรือความรักตัวเอง เซินเฟยคือคนที่ไม่อาจล้มลงได้ไม่ว่าด้วยเหตุผลใด ๆ

แต่นี่....กลับฝากโอกาสสร้างผลงานครั้งหนึ่งไว้กับคนไม่น่าไว้ใจเช่นฉู่เหวินจือ....

“ผมรู้ว่าคุณเป็นห่วง แต่ไม่เป็นไรหรอก การที่ไป๋หู่ส่งเขามาก็ดีเหมือนกัน” เซินเฟยพูดต่อเพื่อให้หวางซิงสบายใจขึ้น “ผมไม่ใช่คนใสซื่อขนาดจะแบกรับความผิดด้วยตัวเองหรอก”

เซินเฟยหมายความอย่างที่พูดจริง ๆ

การที่เขามอบหมายหน้าที่ให้ฉู่เหวินจือ นอกจากต้องการจะพิสูจน์ความภักดีและความสามารถแล้ว ยังเป็นหลักประกันสำหรับเขาด้วย เพราะหากเกิดสิ่งใดขึ้น เขาจะสามารถโยนความผิดให้กับคนของไป๋หู่ได้ในทันที ถึงตอนนั้นแม้ใครจะคิดเขี่ยเขาก็ทำได้ยาก ซ้ำไป๋หู่ยังต้องมาออกหน้าแทนเสียอีก เพราะการที่คนของตัวเองมาทำให้เกิดความเสียหายในเขตของผู้อื่นนับเป็นการกระทำที่ผิดอย่างมหันต์

หลักประกันความไว้ใจ....

ไป๋หู่เคยอ้างเช่นนั้นในตอนที่ยืนยันจะส่งคนมาจับตาดูเขา เช่นนั้นแล้วก็ทำให้มันเป็นดังที่อีกฝ่ายว่าเลยจะเป็นไร?

ให้ฉู่เหวินจือเป็นหลักประกันความไว้ใจดังที่อีกฝ่ายต้องการ...

หลักประกันว่า....ไป๋หู่จะไม่เล่นตุกติกกับเขา....

“เรื่องนี้ผมควรจะเรียนให้นายหญิงทราบไหมครับ?” หวางซิงคิดว่านายหญิงใหญ่ของบ้านคงจะสังเกตถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นในไม่ช้า และเป็นเขาอีกที่จะถูกคาดคั้นถามด้วยรอยยิ้มนางฟ้าอันเป็นเอกลักษณ์ของนายหญิงใหญ่ซากุระเวลาที่ต้องการล้วงความจริงจากใคร

“ไม่ต้องหรอก อาสะใภ้วางมือจากวงการแล้ว อย่าให้เข้ามายุ่งอีกเลยจะดีกว่า” เซินเฟยตัดสินใจเช่นนั้น เพราะตลอดมาเขาเห็นหญิงสาวที่เลี้ยงดูเขาราวกับลูกในไส้ต้องลำบากตรากตรำกับการดูแลธุรกิจทั้งหมดแทนจูเชว่ที่หายตัวไป เป็นแค่ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ แต่กลับเข้มแข็งจนเขารู้สึกนับถือ เมื่อเขาได้มายืน ณ จุดนี้แล้วจึงไม่อยากให้อาสะใภ้ของตนต้องมาลำบากใจกับเรื่องนี้อีก

แค่การก่อกวนของคนในตระกูลก็น่ารำคาญมากพออยู่แล้ว...

“4 โมงแล้วหรือ? งั้นกลับกันเถอะอาซิง” ในตอนแรกเซินเฟยคิดจะนั่งพักแต่ก็ต้องมาไขความกระจ่างให้เลขาคนสนิท การพักผ่อนอย่างสบายจึงหลุดลอยไป พอรู้ตัวอีกครั้งก็ถึงเวลากลับเสียแล้ว

หวางซิงรับกระเป๋าเอกสารมาถือแล้วเดินตามผู้เป็นนายลงไป แต่เมื่อพวกเขามาถึงรถ ทั้งเซินเฟยและหวางซิงก็ต้องมุ่นคิ้ว

กระเป๋าเดินทางใบไม่ใหญ่นักวางอยู่ใกล้ ๆ กับรถส่วนตัวของเซินเฟย และสารถีก็กำลังจะนำมันขึ้นใส่กระโปรงหลังทั้งที่เขายังไม่ทันรู้ด้วยซ้ำว่าเป็นของใครและมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร

“เดี๋ยวก่อน” เซินเฟยเอ่ยปราม คนขับรถส่วนตัวจึงรีบวางกระเป๋าแล้วหันมาคำนับ “นี่ของใคร?”

“ของคุณฉู่ครับ”

“ฉู่เหวินจือ!?” เซินเฟยได้ยินคำตอบก็ยิ่งสนเท่ห์มากกว่าเดิม ทำไมกระเป๋าเดินทางของฉู่เหวินจือต้องมาอยู่กับรถของเขาด้วย?

“ครับ” คนขับรถเองก็ตอบได้เพียงเท่านั้นเพราะคิดว่าเจ้านายเพียงต้องการย้ำถามให้แน่ใจ

“ฉู่เหวินจืออยู่ที่ไหน!?”

มันชักจะมากเกินไปแล้ว!

เซินเฟยรู้สึกปวดขมับขึ้นมา เจ้าผู้ชายแซ่ฉู่นี่มันอะไรกัน กล้าดียังไงทำราวกับว่ารถของเขาเป็นของสาธารณะ นึกจะเอาของอะไรมาใส่ก็ทำได้โดยไม่ขออนุญาต เขานึกโทษตัวเองที่เผลอคิดไปว่าฝ่ายนั้นคงจะมีสมองขนาดเท่าเมล็ดถั่ว ความจริงขนาดมันอาจจะไม่ได้ใหญ่ไปกว่าเมล็ดงาเสียด้วยซ้ำ

“เรียกผมหรือครับ คุณเซิน?” ตัวต้นเรื่องเดินยิ้มเผล่เข้ามาราวกับไม่รู้ความผิด หางคิ้วเซินเฟยกระตุกเบา ๆ อย่างไม่สบอารมณ์

“คิดว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ ฉู่เหวินจือ?” เซินเฟยกดเสียงต่ำอย่างเคร่งเครียด “น้ำพุในสวนนั่นมันเย็นไม่พอจะทำให้สมองนายทำงานได้อย่างคนปกติใช่ไหม?”

“อ้อ คุณคงหมายถึงเรื่องสัมภาระของผม ถ้าอย่างนั้นผมคงต้องขอเวลาชี้แจงก่อนที่คุณจะเอาผมไปแช่น้ำพุต่อ” ฉู่เหวินจือรีบขอเวลานอกเพื่ออธิบายแต่เสียงของเขาก็ยังฟังดูเย็นใจจนเซินเฟยนึกหงุดหงิดแทน

“มีอะไรก็รีบว่ามา”

“ก่อนหน้านี้ผมเคยอยู่กับท่านไป๋หู่ ผมก็ทำงานข้างตัวตลอด กระทั่งบ้านของท่านไป๋หู่ยังเป็นที่ทำงานของผม ดังนั้นตอนนี้ผมเลยไม่มีที่อยู่เลย ผมคิดว่าท่านไป๋หู่ชี้แจงเรื่องนี้ให้คุณรู้แล้วเสียอีก?”

มุมปากเซินเฟยกระตุก เขานึกอยากจะแค่นยิ้มก็ยิ้มไม่ออก มันเป็นเรื่องตลกที่ร้ายกาจเกินไปสักหน่อยไหมที่จะให้คนเช่นนี้มาอยู่ร่วมบ้านกับเขา?

“เงิน 5 ล้านนั่นไม่พอเช่าห้องใหม่หรือยังไง?”

“มันก็มีเหตุผล แต่ว่าท่านไป๋หู่กำชับให้ผมคอยดูแลรับใช้คุณเซินอย่างใกล้ชิด ดังนั้นถึงจะต้องนอนในสวนบ้านตระกูลเซินผมก็ต้องทำ”

“อ้อ.....” เซินเฟยรับคำเท่านั้นก่อนจะหันไปหาคนขับรถ “เข้าใจล่ะ”

“คุณเซิน!” หวางซิงรีบปราม ทว่าเซินเฟยก็ยกมือห้ามไม่ให้พูดอะไรต่อแล้วมองกลับไปยังฉู่เหวินจือ

“นายว่าไป๋หู่กำชับมาอย่างนั้นสินะ และนายก็พร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อให้บรรลุคำสั่งนั้น?” เหมือนต้องการย้ำความมั่นใจ เซินเฟยจึงถามกลับไป

“ผมดีใจที่คุณเซินเข้าใจ” ฉู่เหวินจือยิ้มรับคำ แต่แล้วก็ต้องมุ่นคิ้วเมื่อเห็นเจ้านายคนใหม่คว้ากระเป๋าของเขาขึ้นมาแล้วยัดใส่อ้อมแขน

“งั้นนายคงต้องให้เวลาฉันจัดเตรียมที่ให้สักหน่อย ระหว่างที่ฉันกำลังคิดว่าจะให้นายนอนที่ไหนของสวน นายก็เดินตามมาก็แล้วกัน” ว่าแล้วเซินเฟยก็หมุนตัวขึ้นรถไปพร้อมออกคำสั่ง “กลับ”

บอดี้การ์ดที่พากันทยอยขึ้นรถต่างมองฉู่เหวินจือด้วยความเห็นอกเห็นใจ ตั้งแต่เกิดมาก็เพิ่งเคยเห็นคนที่กล้าทำให้เซินเฟยหมดความอดทนได้เป็นครั้งแรก ขนาดว่าพวกชอบลอบกัดยังไม่เคยทำให้โมโหได้ถึงขนาดนี้ แต่พวกเขาก็ทำอะไรไม่ได้ ไม่มีใครกล้าโต้แย้งคำตัดสินแม้แต่หวางซิงที่เป็นเลขาคนสนิท แค่เรื่องเมื่อเช้านี้ก็เกือบจะทำให้เครียดจนผมร่วงหมดหัวอยู่แล้ว หวางซิงไม่กล้าเสี่ยงซ้ำสองภายในวันเดียวกัน

รถคันหรูสีดำสนิทเคลื่อนตัวออกไปจากบริเวณนั้น ทิ้งฉู่เหวินจือที่ยังคงยืนถือกระเป๋าเดินทางอยู่กลางลานกว้างอย่างอับจนใจไว้เพียงลำพัง


TBC

samsoon@doll

  • บุคคลทั่วไป
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 2 (14/02/11)
«ตอบ #18 เมื่อ14-02-2011 12:36:02 »

จิ้มๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
 :m20: :m20: :m20: :m20:แย่แน่ๆอาฉ่
 อิอิ ว่าที่ภรรยาโหดฃนาดนี้ ท่าจะสนกแล้วสิเนี้ย :-[ :-[ :-[ :-[ :-[
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-02-2011 12:58:51 โดย samsoon@doll »

lovevva

  • บุคคลทั่วไป
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 2 (14/02/11)
«ตอบ #19 เมื่อ14-02-2011 14:48:35 »

 o18เซินเฟยโหดได้ใจจริงๆ เดินกลับดีๆนะฉู่เหวินจือ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 2 (14/02/11)
« ตอบ #19 เมื่อ: 14-02-2011 14:48:35 »





ออฟไลน์ pu4755

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 181
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 2 (14/02/11)
«ตอบ #20 เมื่อ14-02-2011 15:12:16 »

แค่ 2 ตอนยังมันส์ได้ขนาดนี้ แล้วตอนต่อไปจะขนาดไหนละเนี่ย  

รอ รอ รอ ^__^   :pig4:

YELLOWSTAR

  • บุคคลทั่วไป
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 2 (14/02/11)
«ตอบ #21 เมื่อ14-02-2011 15:33:14 »

555++
เดินกลับเฉยเลย
ร้ายจิงๆเลยน่ะเซินเฟย :impress2:

@StaR@

  • บุคคลทั่วไป
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 2 (14/02/11)
«ตอบ #22 เมื่อ14-02-2011 16:39:51 »

เป็นไงล่ะอาฉู่ชอบกวนดีนัก
เลยโดนเซินเฟยเอาคืนบ้างเลย
 :กอด1: :L2: :pig4:

ออฟไลน์ Rafael

  • เพราะคนเราเกิดมาเพื่อแตกต่าง
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-7
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 2 (14/02/11)
«ตอบ #23 เมื่อ14-02-2011 19:30:45 »

โหดจริงไรจริง สงสารคุณฉู่บ้างสิคะ อิอิ

ออฟไลน์ JJHJJH

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3472
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +293/-2
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 2 (14/02/11)
«ตอบ #24 เมื่อ14-02-2011 23:07:58 »

มาบวกให้เรื่องใหม่จ้า อิอิ
เชียร์อาฉู่ๆ

ออฟไลน์ fannan

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2453
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +141/-6
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 2 (14/02/11)
«ตอบ #25 เมื่อ14-02-2011 23:38:19 »

โอ้โหดได้ใจจริงๆๆ

ออฟไลน์ noina

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-0
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 2 (14/02/11)
«ตอบ #26 เมื่อ15-02-2011 00:24:46 »

จิ้มๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
 :m20: :m20: :m20: :m20:แย่แน่ๆอาฉ่
 อิอิ ว่าที่ภรรยาโหดฃนาดนี้ ท่าจะสนกแล้วสิเนี้ย :-[ :-[ :-[ :-[ :-[


เห็นด้วยอย่างที่สุด


ว่าแต่คุณฉู่นี่น่าสงสัยแฮะ 


แอบคิดนิดๆว่าคนที่ทุกคนเรียกว่าไป๋หู่อาจไม่ใช่ไป๋หู่จริงๆ

แต่อาจเป็นตัวแสดงหลอกแล้วไป๋หู่ตัวจริงก็คือคุณฉู่อ่ะ

สู้ๆ :L2: :L2: :L2:

ออฟไลน์ sang som

  • เจ็บจิต!!
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1609
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +108/-6
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 2 (14/02/11)
«ตอบ #27 เมื่อ15-02-2011 10:15:17 »

^
^
^
^
^
^

เหอๆ นั่นสิเนอะ

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 3 (15/02/11)
«ตอบ #28 เมื่อ15-02-2011 13:40:25 »

-3-



เซินเฟยกลับมาถึงบ้านก็ทำราวกับว่าลืมเรื่องฉู่เหวินจือไปเสียสนิท เขาทำกิจวัตรประจำวันอย่างเป็นปกติเหมือนกับว่าวันนี้ก็เหมือนวันอื่น ๆ ซากุระจึงรู้สึกโล่งใจที่ลูกบุญธรรมของเธอดูจะทำตามที่หมอจือสั่งเอาไว้ว่าให้ปล่อยวางเรื่องเครียด ๆ ลงเสียบ้าง พวกเขาดูข่าวทางโทรทัศน์ด้วยกัน ทานอาหารเย็น และพูดคุยสนทนาสัพเพเหระตามประสาอาหลาน

ทั้งที่ทุกอย่างดูปกติสุขดี คนที่ทำตัวน่าสงสัยกลับเป็นหวางซิงเสียนี่....

ชายหนุ่มเอาแต่กระวนกระวายใจตลอดเวลาและคอยมองไปทางประตูบ่อยครั้งจนหากใครไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นเลขาของมาเฟีย คงจะคิดว่าไปทำอะไรขัดแข้งขาผู้มีอิทธิพลและกำลังโดนตามฆ่าอยู่เป็นแน่

“ทำอะไรของแกน่ะอาซิง!” หวางซื่อ หัวหน้าพ่อบ้านตระกูลเซินเดินเขยกเข้ามาถามหลานชายที่ดูจะกลายเป็นโรควิตกจริตกะทันหัน เพราะแค่ได้ยินเสียงเขาถาม เจ้าหลานขวัญอ่อนก็สะดุ้งโหยงจนตัวลอย

“เปล่าครับ ไม่มีอะไร ว่าแต่คุณปู่เรียกผมทำไมหรือครับ?” หวางซิงรีบปรับอารมณ์ให้เป็นปกติ คิดในแง่ดีว่าฉู่เหวินจืออาจจะนึกยอมแพ้แล้วไปหาเช่าห้องอยู่ก็เป็นได้ ซึ่งหากเป็นแบบนั้นคงจะดี ทั้งไม่ต้องมีปัญหากับไป๋หู่และยังไม่ทำให้เซินเฟยโกรธอีกด้วย ทั้งที่หวางซิงคิดและภาวนาเช่นนั้นอย่างแน่วแน่ ทั้งบนบานในใจว่าจะกินเจไป 1 ปีเต็ม แต่สวรรค์ก็ไม่เข้าข้างเขาสักเท่าไหร่

เพียงไม่ทันจะได้พูดคุยต่อไป เสียงโหวกเหวกโวยวายก็ดังขึ้นจากหน้าประตูใหญ่

“เดี๋ยว! แกเป็นใครน่ะ!” เสียงตะโกนของคนรับใช้ดังลั่นไปจนถึงด้านใน เรียกให้ซากุระและเซินเฟยที่กำลังสนทนากับอย่างสงบสุขต้องโผล่หน้าออกมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น พวกบอดี้การ์ดชุดสูทสีดำรีบวิ่งมารวมกันที่หน้าประตูอย่างรวดเร็วด้วยคิดว่าเป็นผู้บุกรุกคิดจะทำอันตรายกับจูเชว่ ทว่า....

“นี่นาย.....ฉู่เหวินจือ!?” การ์ดคนหนึ่งอุทานขึ้นมาเพราะจำหน้าอีกฝ่ายได้ เพียงแต่ว่าสภาพนั้น....

“ฉันว่าจะเดินมาช้า ๆ อยู่หรอก แต่ก็กลัวคุณเซินจะรอนานก็เลยเร่งฝีเท้าตอนถึงครึ่งทาง หวังว่าคงไม่ได้เร็วจนคุณเซินยังตัดสินใจเรื่องที่นอนของฉันไม่ได้หรอกนะ” ฉู่เหวินจือพูดเล่นลิ้นราวกับสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้เป็นเรื่องเล็ก ๆ

หวางซิงรีบวิ่งออกมาดูเมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นหู เขามองสภาพของฉู่เหวินจือแบบไม่อยากจะเชื่อสายตา เสื้อสูทถูกถอดออกพาดแขน เสื้อเชิ้ตตัวในชุ่มไปด้วยเหงื่อที่ไหลจากไรผมลงมาจนแฉะไปครึ่งตัว ในมือยังถือกระเป๋าเดินทางใบย่อมมาอีกใบหนึ่ง ทั้งที่ตอนเช้าโดนลงโทษที่ยืนกลางแจ้งถึงเกือบ 5 ชั่วโมง ยังมีแรงเดินจากบริษัทมาถึงบ้านด้วยระยะทางร่วม 5 กิโลเมตรได้อีกหรือ!?

ไม่ใช่แต่เพียงหวางซิงที่ตกตะลึง การ์ดที่เห็นเหตุการณ์เมื่อตอนเย็นก็ตกใจด้วยกันทั้งนั้น

“มีเรื่องอะไรกัน?” เซินเฟยรอดูอยู่เฉยไม่ไหวจึงเดินออกมาด้วยตนเองเพราะในเมื่อพวกการ์ดไม่ได้เคลื่อนไหวก็แสดงว่าไม่มีอันตราย เขาปะสายตาเข้ากับร่างสูงใหญ่ที่ดูโทรมจนน่าขันแต่เขากลับขำไม่ออก

“คน ๆ นี้เป็นใครกันน่ะ? อาซิง?” ซากุระที่เดินตามออกมาติด ๆ หันไปถามหวางซิงด้วยความสงสัย เพราะดูท่าทุกคนจะรู้จักผู้ชายแปลกหน้าคนนี้ เว้นแต่เพียงเธอและคนที่อยู่ในบ้านใหญ่ที่ไม่ได้ออกไปไหนเท่านั้น

“เอ่อ....คือ......” หวางซิงรู้สึกอยากจะเป็นใบ้ไปเสียจริง ๆ เขาไม่รู้ว่าควรจะตอบนายหญิงว่าอย่างไรให้ดูเหมาะสมที่สุดในสถานการณ์อย่างนี้ แต่ก่อนที่ใครจะได้ไขความให้กระจ่าง ฉู่เหวินจือก็เดินเข้าประชิดตัวนายหญิงใหญ่ของบ้าน ด้วยสัญชาติญาณ บอดี้การ์ดทุกคนปลดล็อคปืนประจำกายทันที ทว่าสิ่งที่ฉู่เหวินจือทำนั้นเป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมายจนไม่มีใครกล้าชักปืนออกมา

ฉู่เหวินจือก้มตัวลงแล้วจูบบนหลังมือหญิงสาวลูกครึ่งญี่ปุ่นก่อนจะทำตากรุ้มกริ่มเป็นประกาย

“ผมชื่อฉู่เหวินจือ เป็นผู้ช่วยคนใหม่ของคุณเซิน ยินดีที่ได้รู้จักครับคุณผู้หญิง”

เหมือนเวลาหยุดนิ่งชั่วขณะ....ไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมาหรือแม้แต่ขยับตัว แต่กลับมีแรงกระชากหลังคอเสื้อของผู้อุกอาจโดยแรงก่อนที่ฝ่ามือข้างหนึ่งจะฟาดเข้ากับใบหน้าคมคายที่ชุ่มชื้นด้วยหยาดเหงื่อนั้นอย่างแรงจนเหงื่อกระเซ็นจากไรผมเป็นเม็ด ฉู่เหวินจือหันกลับมามองผู้ประทุษร้ายด้วยใบหน้าเรียบเฉยก่อนจะแย้มยิ้มเมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มนามเซินเฟยกำลังยืนคั่นกลางระหว่างตนและหญิงสาวผู้เป็นนายหญิงของบ้าน ฝ่ายนั้นโกรธจนหน้าแดง อกกระเพื่อมขึ้นลงด้วยแรงโทสะ

แรงที่ตบลงไปนั้นไม่ได้น้อย ๆ เลย ฉู่เหวินจือหน้าชาไปเป็นแถบ ตอนนี้แก้มของเขาคงเริ่มขึ้นรอยแดงเป็นแน่

“เจ้าคนแซ่ฉู่! มันจะมากไปแล้วนะ!” เซินเฟยตะคอกเสียงกร้าว

“อะไรกันครับ? ผมเห็นท่านไป๋หู่ทักสุภาพสตรีอย่างนี้ออกบ่อยไป” ฉู่เหวินจือคลายริ้วความเครียดบนใบหน้าก่อนจะตอบโต้อย่างอารมณ์ดี

“ฉันสั่งสอนนายน้อยไปใช่ไหม!” เซินเฟยสติขาดผึงโดนสิ้นเชิง ท้าทายเขายังไม่ร้ายแรงเท่ากล้าล่วงเกินอาสะใภ้ของเขา เซินเฟยกระชากปืนจากมือการ์ดคนหนึ่งจ่อเข้ากับหน้าผากของฉู่เหวินจือคิดจะลั่นไกแล้วส่งศพกลับไปให้เจ้านายเก่าเสียเดี๋ยวนี้เลย

“เดี๋ยวก่อนเสี่ยวเฟย!” ซากุระรีบเอ่ยห้ามแล้วกดมือหลานชายลง “อย่าลืมกฎสิ ถ้าหลานฆ่าเขา หลานก็ต้องสังเวยชีวิตคนของตัวเองคนหนึ่งด้วยเหมือนกัน อย่าให้คนตายโดยเปล่าประโยชน์เลยนะ”

การปรามของซากุระได้ผลกับเซินเฟยเสมอ เขายอมลดปืนลงแต่ยังไม่ราท่าทีต่อต้านอีกฝ่าย

“เอาล่ะ เข้าไปคุยด้านในเถอะ เหล่าซือ ช่วยพาคุณฉู่ไปอาบน้ำใหม่ด้วยนะ” เมื่อซากุระลงมือจัดการเอง ทุกอย่างจึงกลับสู่ความสงบอีกครั้ง คนที่ไม่เกี่ยวข้องต่างทยอยกลับไปทำหน้าที่ของตัวเอง พ่อบ้านหวางเชิญให้ฉู่เหวินจือเดินตามเข้าไปในบ้าน ส่วนซากุระ เซินเฟย และหวางซิงต่างพากันเดินเข้าไปรอในห้องรับแขก

อารมณ์ของเซินเฟยยังคงคุกรุ่นแต่ก็ไม่กล้าแสดงออกมาทางใบหน้าทั้งหมดด้วยเกรงว่าซากุระจะรู้สึกไม่ดี ส่วนหวางซิงก็นั่งตัวตรงแด่วเหมือนคนมีชนักปักหลังไม่มีผิด

ซากุระเองก็มองออกว่าทั้งสองคนไม่อยากจะพูดเรื่องนี้เธอจึงไม่ได้พูดหรือถามอะไรและปล่อยเวลาล่วงเลยไปอย่างเงียบ ๆ เช่นนั้นจนกระทั่งหวางซือพาแขกที่อาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่แล้วเข้ามาหา

ฉู่เหวินจือเลือกที่จะนั่งลงข้างหวางซิงอย่างเงียบเชียบ แก้มของชายหนุ่มปรากฏรอยแดงเป็นปื้นและดูเหมือนจะเริ่มบวมนิด ๆ แสดงให้เห็นว่าเซินเฟยไม่ได้ยั้งมือเลยแม้แต่น้อย

“คุณฉู่ คุณบอกว่าเป็นผู้ช่วยคนใหม่ของเซินเฟย แต่ฉันไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่าจูเชว่รับผู้ช่วยใหม่ ทั้งยังมีหวางซิงอยู่แล้ว ฉันจึงเดาว่าคุณคงเป็นคนที่ถูกส่งตัวมาสินะคะ” ซากุระเป็นฝ่ายเริ่มสนทนาก่อนเมื่อเห็นว่าบรรยากาศในห้องยังคงตึงเครียด เธอรู้สึกเหมือนตนเองเป็นด้ายเส้นบางหนึ่งเดียวที่ยังไม่ขาดสะบั้นและมีหน้าที่เหนี่ยวรั้งทั้งสองฝ่ายเข้าหากัน

“คุณเป็นผู้หญิงที่ฉลาดอย่างที่ท่านไป๋หู่ว่าไว้จริง ๆ ถูกต้องแล้วครับ ผมเป็นคนของท่านไป๋หู่ที่ถูกส่งตัวมาช่วยเหลือจูเชว่คนใหม่” ฉู่เหวินจือกล่าวตอบอย่างตรงไปตรงมาก่อนจะหัวเราะ “ผมเพิ่งจะมาเข้าทำงานวันนี้จึงยังไม่รู้อะไรมาก แต่ดูเหมือนผมจะทำให้คุณเซินเกลียดขี้หน้าเข้าเสียแล้ว”

เซินเฟยเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันโดยไม่ได้พูดอะไร

“ฉันพอจะเข้าใจแล้วค่ะ คุณคงยังไม่มีที่พักสินะคะ ถ้าอย่างนั้นก็พักที่บ้านนี้ก่อนก็แล้วกัน จากนั้นค่อยว่ากันอีกที”

เมื่อนายหญิงใหญ่ของบ้านตัดสินเช่นนั้นจึงไม่มีใครคัดค้านอะไรอีก หวางซิงเป็นคนอาสานำทางฉู่เหวินจือไปยังห้องนอนสำหรับแขกที่ไม่ค่อยจะมีคนมาใช้บริการเท่าใดนัก กระนั้นมันก็ถูกดูแลทำความสะอาดอย่างดีไม่ต่างจากห้องอื่น ๆ ในบ้านหลังนี้

“เฮ้อ ทำไมนะ คุณถึงได้ชอบทำให้คุณเซินขัดใจอยู่เรื่อย” หวางซิงช่วยจัดของไปก็บ่นอุบ ตั้งแต่รับใช้ตระกูลเซินมาเขายังไม่เคยเห็นเซินเฟยโกรธใครเอาจริงเอาจังถึงขนาดนี้มาก่อนเลย “ไม่ตายก็ดีเท่าไหร่แล้ว คุณนี่ท่าทางจะทำบุญมาดีกว่าผมเยอะ” บ่นไปแล้วหวางซิงก็อดค่อนขอดตนเองไม่ได้ ทั้งที่เขาจุดธูปกราบไหว้บรรพชนและเจ้าที่เจ้าทางสม่ำเสมอ ทำไมสวรรค์ถึงไม่ฟังคำขอของเขาเลยนะ

“จูเชว่ดูเป็นคนความอดทนต่ำนะ คุณว......” ไม่ทันไรฉู่เหวินจือก็หาเรื่องเข้าตัวอีกแล้ว หวางซิงรีบโผไปปิดปากแทบไม่ทัน

“อย่าพูดเรื่องแบบนั้นนะครับ!” หวางซิงทำเสียงเข้ม “ถึงแต่ก่อนคุณจะเป็นคนของไป๋หู่ แต่ตอนนี้คุณเป็นคนของจูเชว่แล้ว การนินทาเจ้านายไม่ใช่พฤติกรรมที่ดีหรอกนะครับ”

ฉู่เหวินจือเลิกคิ้วมองท่าทางเอาจริงเอาจังของเลขายอดเยี่ยมประจำตระกูลเซินก่อนจะยกมือยอมแพ้เมื่ออีกฝ่ายยังไม่ยอมปล่อยมือออกจากปากของเขา หวางซิงจึงยอมผละไปจัดของต่อแต่ปากก็ยังบ่นไปเรื่อยจนกระทั่งทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว

“คุณอย่าพยายามออกไปเดินท่อม ๆ ตอนกลางคืนก็แล้วกัน ผมคิดว่าคุณเซินคงไม่ชอบให้คุณยุ่มย่ามกับเรื่องในบ้าน” หวางซิงยังไม่วายทิ้งท้ายก่อนเดินจากไป

ฉู่เหวินจือทิ้งตัวลงบนเตียง การทำโทษของเจ้านายใหม่ทำเอาเขาปวดร้าวไปหมดทั้งตัว ขาแข้งของเขาแทบจะหมดความรู้สึกทันทีที่ลอยขึ้นจากพื้น ถ้าไม่ใช่เพราะเขาขยันออกกำลังและฟิตร่างกายเป็นประจำคงจะหน้ามืดต้องโดนหามส่งโรงพยาบาลไปนานแล้ว

ทั้งที่ฉู่เหวินจือตั้งใจจะปล่อยให้ร่างกายได้พักผ่อน เสียงเคาะประตูก็ยังดังขึ้นจนได้ หวางซิงคงลืมของไว้กระมัง เขาคิดเช่นนั้นก่อนจะเดินไปเปิดประตู แต่คนที่ยืนอยู่ตรงหน้ากลับไม่ใช่คนที่คาดเดาเอาไว้

“น่าแปลกจังที่คุณมาหาผมถึงห้อง”

“ฉันก็ใช่อยากจะมา” เซินเฟยว่า “ฉันแค่จะมาเตือนเอาไว้ ถ้านายกล้ายุ่มย่ามล่วงเกินอาของฉันล่ะก็ ศพนายได้ไปนอนเป็นซากอารยธรรมที่ก้นทะเลแน่”

“ผมเข้าใจแล้ว มีอะไรอีกไหมครับ?”

“พรุ่งนี้ตื่นให้ทัน 6 โมงเช้า” ว่าแล้ว เซินเฟยก็เดินจากไปอีกทางหนึ่ง ฉู่เหวินจือมองตามแผ่นหลังนั้นจนกระทั่งลับตาก่อนแย้มยิ้มลึกลับ เขาปิดประตูลงแล้วเดินกลับไปนอนลงบนเตียง เพียงไม่นานนัก เขาก็หลับไปด้วยความเหนื่อยจากการโดนเด็กกลั่นแกล้งเสียทั้งวัน

---------------------->

นิสัยโดยส่วนตัวของเซินเฟยคือชอบไปถึงที่ทำงานก่อนเวลาเริ่มงานทั้งที่หากเขาจะไปสายหรือไม่ไปเลยก็ไม่มีใครว่าอะไรได้ แค่อ้างว่าติดต่อธุรกิจข้างนอกหรือทำงานที่บ้านก็ไม่มีใครกล้าเอาผิดแล้ว กระนั้นเซินเฟยก็ยังไปบริษัททุกวันก่อนเวลา 7 โมงครึ่ง ด้วยนิสัยนั้นแม้จะทำให้พนักงานรู้สึกเลื่อมใส แต่ก็ทำให้เดือดร้อนเช่นกัน เพราะการที่หัวหน้าไปเร็วหมายความว่าลูกน้องจะต้องเร็วกว่า ตอนนี้เวลาเฉลี่ยการเข้างานจึงอยู่ที่ 7 โมง 15 นาทีแม้ว่าเวลาจริงของการเริ่มงานจะเป็น 8 โมงเช้าก็ตามที

ภาพปกติที่คนทั่วไปเห็นในตอนเช้าคือภาพประธานบริษัทเดินเข้ามาพร้อมกับเลขาคนหนึ่ง แต่วันนี้กลับมีคนเพิ่มเข้ามาอีกคนหนึ่ง แม้ฮ่องกงจะมีลูกครึ่งยุโรปอยู่มาก แต่ผู้ชายคนนี้ก็ยังดูโดดเด่นกว่าคนอื่น ๆ อยู่ดี หากไม่นับแก้มที่บวมเขียวซีกหนึ่ง....

ห้องทำงานของเซินเฟยอยู่ชั้นบนสุดของอาคารหลัก ลิฟต์ที่ใช้ขึ้นลงมีตัวเดียวและต้องใช้รหัสเพื่อขึ้นมาถึงชั้นนี้ หน้าลิฟต์ยังมีการ์ดเฝ้าอยู่ 2 คน เรียกว่ามีการป้องกันจนเกินระดับนักธุรกิจธรรมดา ก็ต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว...ใครเคยบอกว่าจูเชว่เป็นนักธุรกิจธรรมดากัน คนหมายหัวจูเชว่รวมจำนวนทั้งธุรกิจเบื้องหน้าและเบื้องหลังก็มีจำนวนมากพอ ๆ กับคนหมายหัวนายกรัฐมนตรีของประเทศเล็ก ๆ แถบตะวันออกกลางก็ว่าได้

ไม่ใช่เพียงห้องทำงานของจูเชว่เท่านั้นที่อยู่ห้องนี้ แต่ทั้งที่เก็บเอกสารสำคัญต่าง ๆ ของเครือบริษัทก็อยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน เว้นแต่เอกสารของธุรกิจเบื้องหลังจะเก็บไว้ที่บ้านใหญ่ที่มีการคุ้มกันเข้มงวดกว่าหลายเท่า

กิจวัตรหลักตอนเช้าของเซินเฟยที่เขาทำใจให้ชินได้แล้วก็คือการนั่งฟังการบรรยายภารกิจของแต่ละวันโดยหวางซิง ซึ่งในความเป็นจริงแล้วมันก็ไม่ได้มีอะไรมากนอกจากนัดเจรจาธุจกิจหรือไม่ก็รับเชิญไปงานสังคม มีบ้างที่มีคนมาขอพบ ส่วนเวลานอกจากนั้นก็ใช่ว่าว่างงาน เพราะบัญชีของบริษัทต้องตรวจสอบอยู่ตลอดว่ามีการยักยอกหรือไม่ มีส่วนไหนน่าสงสัยหรือไม่ การทำธุรกิจใหญ่ เรื่องเงินทองมันก็ต้องเข้มงวดเป็นธรรมดา ในเมื่อเงินหมุนเข้าออกเป็นหลักสิบล้านพันล้าน ตอนเสียหายก็เสียด้วยจำนวนหลักเท่ากัน ใครบ้างจะปล่อยวางเฉย ๆ ได้ นอกจาบัญชีแล้วก็ยังมีเรื่องพนักงาน เรื่องสินค้าและเครือธุรกิจอื่น ๆ นอกเหนือจากธุรกิจหลัก

ใครเคยบอกว่าการเป็นหัวหน้าคนเป็นเรื่องง่ายกันนะ?

“วันนี้มีเท่านี้ครับ” หวางซิงจบการบรรยายช่วงเช้าด้วยคำพูดที่เหมือนกันทุก ๆ วัน

“แล้วเรื่องที่วุ่นวายอยู่ตอนนี้ ผมยังไม่เห็นใครจะรายงานความคืบหน้าเสียที แค่แก๊งค์อันธพาลแก๊งค์หนึ่งมันเสียเวลามากขนาดนั้นเลยหรือ?” เซินเฟยหวนกลับไปทวงงานที่ยังไม่คืบหน้า เขาไม่ชอบที่สั่งงานไปแล้วไม่มีการตอบสนองอย่างนี้แม้แต่น้อย “เขตนั้นใครเป็นคนดูแล?”

“เฉียนหยุนครับ”

“เหล่าเฉียน.....” เซินเฟยทวนพลางไล้ริมฝีปากตนเองอย่างครุ่นคิด สมองของเขาเริ่มปรากฏภาพชายสูงวัยที่มักทำท่าดูแคลนโลกขึ้นมา เขาเคยได้พบอีกฝ่ายตอนอาสะใภ้เรียกประชุมพวกแก๊งค์ใต้ปกครอง ผู้ชายคนนั้นให้ความรู้สึกชัดเจนว่าต่อต้านเขาอยู่

“ผมจะสั่งให้คนไปเร่ง....”

“ไม่ต้องหรอก” เซินเฟยเอ่ยปราม คนที่ไม่คิดจะทำตามคำสั่ง ถึงจะเร่งเร้าไปก็ไร้ประโยชน์ คน ๆ นั้นคงคิดว่าเขาไร้พิษสง ถึงจะไม่ทำตามก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น นั่นอาจเป็นเพราะเขาไม่เคยแสดงความเด็ดขาดให้เห็นถึงได้เหลิงเสียขนาดนี้ บางที....ผู้ชายคนนั้น....อาจจะลองอยากท้าทายเขามากขึ้นหากเขาเองก็นิ่งเงียบเช่นกัน แบบนั้นมันก็น่าสนุกดีเหมือนกัน อาจจะใช้เป็นเยี่ยงอย่างที่ดีได้

“แล้วนายมีอะไรจะพูดไหม?” เขาหันไปถามฉู่เหวินจือบ้าง

“อ้อ...ผมกำลังสนใจคนชื่อเฉียนหยุน ตอนผมอยู่กับท่านไป๋หู่ได้ยินว่าเขาเป็นคนเก่าคนแก่ที่จูเชว่สองรุ่นก่อนหน้านี้ให้ความไว้ใจมาก ผมเลยรู้สึกแปลกใจนิดหน่อย” ฉู่เหวินจือให้ความเห็น

“ไม่เห็นจะน่าแปลกตรงไหน” เซินเฟยทิ้งตัวพิงพนักแล้วประสานมือโดยเท้าศอกบนแท่นพักแขน “เหล่าเฉียนเป็นคนหัวโบราณเหมือนพวกผู้อาวุโสหลายคนในแก๊งค์ เขามักจะพูดเหยียดหยามพวกเด็กใหม่ที่เข้ามาพึ่งพิงอยู่บ่อย ๆ จนต้องย้ายไปสังกัดกับคนอื่นกันหมด จะแปลกอะไรที่กระทั่งหัวดำ ๆ ของฉันเขายังไม่แล”

“พอเถอะคุณฉู่ นี่เป็นเรื่องในองค์กร คุณไม่ต้องกังวลแทนหรอกครับ” หวางซิงเอ่ยขวางเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำท่าจะอ้าปากถามต่อ

“เข้าใจแล้วครับ”

อย่างน้อยการทำโทษอย่างเบาะ ๆ เมื่อวานนี้ก็ทำให้ฉู่เหวินจือรู้จักสงบปากสงบคำมากขึ้น ขาของเขายังล้าไม่หาย ซ้ำแก้มที่ช้ำเขียวก็ยังปวดอยู่นิด ๆ ท่าทางเจ้านายของเขาจะเก่งกาจศิลปะป้องกันตัวอยู่หลายขั้นถึงได้สะบัดข้อมือและหัวไหล่จนเกิดแรงได้ขนาดนั้น

“จริงสิ วันนี้ผมขอออกจากบริษัทก่อนเวลานะ” ฉู่เหวินจือเพิ่งจะนึกอะไรขึ้นมาได้จึงรีบขออนุญาตเสียแต่เนิ่น ๆ

“จะไปทำอะไรล่ะ?”

“คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คน่ะครับ ก่อนหน้านี้ที่ผมเคยใช้เป็นของที่ท่านไป๋หู่ให้โควต้าพนักงาน พอผมออกมาก็เลยต้องคืนเขาไป ตอนนี้ผมก็เลยไม่มีใช้ทำงาน” ชายหนุ่มร่างสูงไหวไหล่ อย่างน้อยเขาก็หาทางใช้เช็ค 5 ล้านดอลล่าห์ฮ่องกงนั่นได้ “ว่าแต่ บ้านของคุณต่ออินเทอร์เน็ตได้ใช่ไหม?”

“ต่อได้แต่เป็นอินทราเน็ตขององค์กร ถึงจะเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตสาธารณะแต่ก็ติดตั้งไฟร์วอลล์เอาไว้ ถ้านายจะใช้ก็ต้องขอรหัสผ่าน” เซินเฟยว่าแล้วมองไปทางหวางซิง

“ผมจะจัดการให้เองครับ” เลขาผู้รู้งานยังคงอ่านสายตาเจ้านายได้อย่างแม่นยำ

“ก่อนออกไปก็บอกด้วยแล้วกัน” ว่าจบ เซินเฟยก็โบกมือให้คนทั้งสองออกไปจากห้องเพื่อที่เขาจะได้สะสางงานต่อ วันนี้ไม่มีประชุมหรือนัดเจรจางานใด ๆ เขาจึงวางแผนว่าจะกินข้าวในออฟฟิศพร้อมกับดูเอกสารพวกนี้ไปด้วย

ก่อนถึงเวลาเลิกงานครึ่งชั่วโมง ฉู่เหวินจือก็ขอตัวออกไปตามที่บอกเอาไว้ เซินเฟยจึงเรียกหวางซิงมาหาแล้วให้สั่งคนตามฉู่เหวินจือไปเงียบ ๆ ดูว่าอีกฝ่ายไปซื้อของจริง ๆ หรือมีการกระทำอื่นแอบแฝง

เซินเฟยกลับมาถึงบ้านก่อนที่ฉู่เหวินจือจะกลับมาที่บริษัท หวางซิงจึงโทรบอกให้อีกฝ่ายไม่ต้องย้อนกลับไปที่บริษัทอีก พวกเขารออยู่ไม่นานฉู่เหวินจือก็มาถึงบ้านพร้อมด้วยคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คเครื่องใหม่เอี่ยมและยังไม่ได้ลงกระทั่ง os แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องปกติสำหรับคอมพิวเตอร์ที่จะนำมาช้านในองค์กรเฉพาะด้าน ระบบปฏิบัติอการหรือกระทั่งโปรแกรมจะต้องลงโดยคนในที่มีหน้าที่ดูแล

หวางซาน พ่อของหวางซิงที่ทำหน้าที่เป็นคนประสานจัดการเรื่องภายในพ่วงหน้าที่นี้เข้าไปด้วย เขารับคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คของฉู่เหวินจือไปจัดการตามคำสั่งของเซินเฟย

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: บัลลังก์ปีกหงส์ ตอนที่ 3 (15/02/11)
«ตอบ #29 เมื่อ15-02-2011 13:40:58 »

ใช้เวลาเพียงไม่นาน ฉู่เหวินจือก็ได้คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คส่วนตัวมาใช้รวมทั้งรหัสสำหรับเข้าถึงอินทราเน็ตขององค์กรตระกูลเซิน กระนั้นเพราะเป็นรหัสที่หวางซิงทำการขอเป็นมาพิเศษสำหรับคนนอก ซึ่งเป็นรหัสที่พนักงานบริษัททั่วไปใช้กัน มันจึงทำได้เพียงเชื่อมต่อกับภายนอกผ่านระบบป้องกันของอินทราเน็ต แต่ไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลภายในองค์กรได้ เซินเฟยจงใจให้เป็นเช่นนี้เพื่อไม่ให้ฉู่เหวินจือเข้ามาแทรกแซงเรื่องภายในมากเกินไปนัก เพราะอย่างไรเสีย อีกฝ่ายก็เป็นคนของไป๋หู่ เขายังไม่ไว้เนื้อเชื่อใจถึงขนาดยอมรับเข้ามาเป็นคนของตนเอง

อย่าว่าแต่ฉู่เหวินจือเลย...กระทั่งในองค์กร คนที่มีรหัสเข้าถึงข้อมูลภายในจริง ๆ ก็มีแต่เขา อาสะใภ้ และผู้บริหารแก๊งค์ระดับรองลงไปเท่านั้น

ดูเหมือนงานที่เขามอบหมายให้ ฉู๋เหวินจือจะตั้งใจทำอย่างดี เขาเห็นอีกฝ่ายนั่งจ้องหน้าจอและเลื่อนดูข้อมูลเกี่ยวกับพื้นที่แถบที่มองเอาไว้อย่างเอาจริงเอาจัง

คนที่ขยันและเอาใจใส่งานก็นับว่ามีข้อดีในตัวเอง เซินเฟยจึงไม่ได้ยื่นมือเข้าไปก้าวก่ายในเรื่องนี้ ด้านหนึ่งเพราะอยากเห็นฝีมือของฉู่เหวินจือ อีกด้านก็เพราะอย่างที่เคยบอกไป หากฉู่เหวินจือรับผิดชอบคนเดียว การโยนความผิดเมื่อเกิดความเสียหายก็ง่ายขึ้น....

“บัตรเชิญฉบับนี้อยู่ในกระเป๋าของคุณเซิน ไม่ทราบว่าจะให้ผมบันทึกไว้ไหมครับ?” หวางซิงถามเมื่อเขาเปิดกระเป๋าเพื่อหยิบเอกสารให้เจ้านายแต่มันกลับตกลงมาที่ปลายเท้า

“บันทึกเอาไว้ด้วย”

ตามจริงแล้วเซินเฟยไม่อยากจะออกงานสังคมมากนัก เขาเกลียดการเป็นเป้าสายตาเกินจำเป็น แต่ด้วยฐานะของเขาทั้งฉากหน้าและหลังยังคงไม่มั่นคงนัก การจะหลีกเลี่ยงคงจะไม่ได้เป็นผลดีกับเขาและตระกูลเซินรวมถึงตำแหน่งจูเชว่ เขาที่ตอนนี้ยังเป็นแค่นกตัวเล็ก ๆ จะต่อกรกับคนอื่น ๆ จำต้องดึงความไว้ใจและความยำเกรงมาให้ได้ไม่ว่าจะในฐานะประธานเครือธุรกิจตระกูลเซินหรือจูเชว่ก็ตาม

--------------------->

ฉู่เหวินจือทำงานได้ดีจนน่าแปลกใจ อาทิตย์ต่อมาเอกสารเกี่ยวกับที่ดินผืนนั้นทั้งหมดก็มากองรวมกันบนโต๊ะทำงาน เซินเฟยกวาดสายตาผ่านข้อมูลและรายละเอียดยิบย่อยที่ดูไม่สลักสำคัญ แต่ไหนแต่ไรมา ประสาทตาและสมองของเขาทำงานสัมพันธ์กันได้อย่างดีเยี่ยม เมื่อใดก็ตามที่พบสิ่งที่น่าสนใจสายตาจะหยุดการกวาดผ่านและอ่านข้อความเหล่านั้นอย่างรวดเร็ว แต่ฉู่เหวินจือก็ยังมีน้ำใจไฮไลท์สีตรงจุดที่คิดว่าเขาควรจะอ่านเอาไว้ให้ด้วย

แต่มองอีกแง่....มันก็เหมือนทฤษฎีการชี้นำ การไฮไลท์หรือเน้นย้ำให้มอง ณ จุดใดจุดหนึ่งจะทำให้ผู้มองไม่ได้สังเกตสิ่งรอบข้างเพราะสายตาถูกชี้นำให้มองจุดที่เน้นย้ำเอาไว้ ดังนั้น เซินเฟยจึงไม่ได้สนใจจุดที่ถูกชี้นำให้อ่านเลยแม้แต่น้อย เขายังคงเชื่อสมองตัวเองมากกว่าการชี้นำของผู้อื่นอยู่ดี แต่อย่างไรเขาก็ต้องยอมรับว่าฉู่เหวินจือทำงานได้ดีกว่าที่เขาคิดเอาไว้ มีกระทั่งรูปภาพที่ถ่ายจากสถานที่จริงและภาพถ่ายภายในตัวอาคารที่ตั้งทับพื้นที่เจ้าปัญหา ผู้ชายคนนี้พยายามเพื่อตอบแทนเงิน 5 ล้านดอลล่าห์ฮ่องกง หรือว่าเพื่อให้เขาเชื่อใจกันนะ?

อย่างไรก็ตาม ทำเลตรงนั้นก็น่าสนใจจริง ๆ ซ้ำรอบ ๆ ยังเกื้อหนุนต่อธุรกิจเป็นอย่างมาก ทั้งห้างสรรพสินค้า แหล่งบันเทิง หากเขาจำไม่ผิด เลยจากนั้นไปอีก 2 บล็อกก็มีแหล่งเริงรมย์ใต้ดินในอาณัติของจูเชว่อยู่ เรียกได้ว่าเกื้อหนุนทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังทีเดียว

ฉู่เหวินจืออาจทำผลงานได้จริงก็เป็นได้....

“อาซิง ผมอยากคุยกับฉู่เหวินจือ ให้เขาขึ้นมาพบผมที่ห้องทำงานตามลำพัง” เซินเฟิงสั่งผ่านอินเตอร์โฟนของบริษัทที่นาน ๆ ครั้งจะได้หยิบใช้ เนื่องจากหวางซิงมักเข้ามาในเวลาที่เขาต้องการเสมอ

และในเวลานี้ ฉู่เหวินจือก็นั่งอยู่ต่อหน้าเซินเฟย ในมือของเด็กหนุ่มยังคงถือเอกสารที่ถูกนำมาให้พิจารณาอยู่ อีกข้างมีเอกสารที่คู่เจรจาให้มาในตอนแรกเปิดเทียบกัน

“ดูเหมือนคุณหวู่จะจงใจปกปิดหลายอย่าง” เขาเปรยขึ้นมาขณะพลิกเปิดเอกสารสองชุดควบคู่กัน เห็นได้ชัดว่าข้อมูลในเอกสารชุดแรกแทบจะไม่เอ่ยถึงทำเลข้างเคียง มีแต่กล่าวถึงสิ่งที่กิจการกำลังประสบและเหตุที่ต้องขอความช่วยเหลือรวมทั้งผลประโยชน์ที่ทางเครือธุรกิจจะได้รับ

“เท่าที่ผมลองลงพื้นที่และสืบจากคนใน ดูเหมือนคุณหวู่จะมีหนี้สินจากการลงทุนและเล่นหุ้น ยิ่งทำหนี้ก็ยิ่งบานปลาย ก็เลยหันมาพึ่งคุณเซินนี่แหละครับ”

เซินเฟยเหลือบตาขึ้นมองอีกฝ่ายราวกับคำพูดนั้นทำให้รู้สึกผิดหู

ดูเหมือนฉู่เหวินจือฉลาดพอที่จะหลีกเลี่ยงพูดถึงเรื่องก่อนที่ฝ่ายนั้นจะหันมาพึ่งเขา แต่ไม่ต้องพูดเขาก็รู้อยู่ เจ้าคนแซ่หวู่นั่นเป็นหนี้จนแทบล้มละลายมานานแล้ว คงวิ่งวุ่นหัวปั่นหาคนพยุงแล้วก็ถูกตัดหางมาหลายต่อหลายครั้ง มาถึงตัวเขา คงจะคิดว่าเป็นเด็กมือใหม่ หยิบยื่นผลประโยชน์ให้ก็ตะครุบทันที

เจ้าคนแซ่หวู่นี้เขาได้ยินกิตติศัพท์มาบ้างนิดหน่อย ทำตัวเป็นปลิงดูดเลือด กินท่อน้ำเลี้ยงของคนที่ตัวเองไปเกาะจนอ้วนพี กว่าคนโดนเกาะจะรู้ตัวก็เสียหายไปหลายหลัก คงจะดูดเลือดปลาตัวเล็กมาเยอะแล้วกระมังจึงกล้ามาท้าทายปลาตัวใหญ่เช่นจูเชว่

หารู้ไม่....ก่อนเขาจะเข้ามาบริหารด้วยตัวเอง เขาก็ช่วยอาสะใภ้ดูแลเรื่องภายในมาตั้งแต่เข้าบ้านใหญ่เลยก็ว่าได้

กับคนที่บริหารกิจการเล็ก ๆ ยังไม่เป็นโล้เป็นพาย ขืนยอมให้เกาะก็รังแต่จะทำให้ตัวเลขติดตัวแดงมากขึ้น ๆ เท่านั้น นั่นยังไม่ร้ายแรงเท่ากับการที่เขาต้องถูกมองว่าเป็นเด็กไร้ความสามารถมองคนไม่เป็น ให้ลิงกังถือแก้วไว้มันก็แตกเสียเปล่า ๆ สู้เขาฮุบมาจะได้ประโยชน์มากกว่า

“นายว่ายังไง?” ถึงจะคิดอย่างนั้นแต่เซินเฟยก็ยังถามความเห็นของฉู่เหวินจือเพราะไหน ๆ เขาก็ยกเรื่องนี้ให้จัดการแล้ว อยากจะดูผลงานจนถึงที่สุดเหมือนกัน

“ผมคิดว่า ถึงจะยื่นมือเข้าไปช่วย คุณหวู่ก็คงทำให้ขาดทุนอีกอยู่ดี อีกอย่าง ที่ตรงนั้นยังทำอะไรได้อีกเยอะ คุณเซินจะคิดยังไงถ้าเราเทคโอเวอร์มาเสียเลย?”

เซินเฟยเท้าคางฟังอีกฝ่ายพูด ในใจเขานึกเห็นด้วยตั้งแต่แรกแต่ก็ยังตีหน้าขึงขังเสมือนต้องการให้ฉู่เหวินจือคิดให้รอบคอบกว่านี้

“คุณเซินครับ ดูบริเวณรอบ ๆ ให้ดีสิ ซ้ำยังพื้นที่มีบริเวณขนาดนี้ ถ้าลองทำธุรกิจโรงแรมน่าจะรุ่งนะครับ” ฉู่เหวินจือยังคงอธิบายต่อไปแล้วพลิกหน้ากระดาษประกอบการอธิบาย “ใกล้ ๆ นั้นมีโรงแรมที่บริหารโดยคนต่างชาติอยู่ที่หนึ่ง ถ้าโรงแรมของเราล้มที่นั่นลงได้ ก็จะได้พื้นที่มาอยู่ในอาณัติเพิ่ม ยิงนัดเดียวได้นกสองตัวแบบนี้ คุณไม่คิดว่าคุ้มค่าที่จะลงมือทำหรือครับ?”

เด็กหนุ่มอดจะเลิกคิ้วไม่ได้ นี่มองการณ์ไกลถึงขนาดนั้นเชียวหรือ?

จะว่าไป พื้นที่ที่โรงแรมนั้นตั้งอยู่มันก็ทำให้อำนาจของจูเชว่เข้าไปจัดการได้ยาก เขานึกอยากจะกำจัดออกไปอยู่แล้วแต่ไม่ได้รีบร้อนถึงขนาดนั้น อย่างไรก็แค่โรงแรมที่นักธุรกิจธรรมดาตั้งขึ้น ยังไงก็จัดการได้ง่ายกว่าโรงแรมของพวกมาเฟียต่างชาติอยู่หลายขุม

แต่ในเมื่อโอกาสมาถึง...จะทิ้งไปก็เสียเปล่า...

ถ้าฉู่เหวินจือทำได้อย่างว่าจริง พวกผู้บริหารน่ารำคาญพวกนั้นคงจะเงียบกันไปได้ระยะหนึ่ง

“ทำเรื่องแรกให้เสร็จก่อนก็แล้วกัน” เซินเฟยว่าเช่นนั้น เขาหมายถึงเรื่องการเทคโอเวอร์กิจการของคนแซ่หวู่ เมื่อได้พื้นที่มาแล้วค่อยคิดเรื่องขยายเขตก็ยังไม่สาย

“ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวไปดำเนินการเลยนะครับ” ฉู่เหวินจือว่าก่อนจะถอยออกไป

“เดี๋ยวก่อน ให้คนของฉันไปด้วยคนหนึ่ง” ว่าแล้ว เซินเฟยก็ใช้อินเทอร์โฟนลงไปสั่งให้จัดคนให้ฉู่เหวินจือ แม้ชายหนุ่มจะดูไม่ค่อยพอใจนักที่ต้องถูกจับตาดู แต่ก็ต้องทำใจเมื่อตัวเองยังไม่ใช่คนของทางนี้เต็มตัว

ฉู่เหวินจือเดินออกมาจากห้องของเซินเฟย เขาสวนทางกับหวางซิงที่กำลังจะนำอาหารเที่ยงไปให้พอดี

“เอ๋ จะออกไปข้างนอกหรือ? ไม่กินอะไรก่อนล่ะ?”

“ไม่ล่ะครับ เดี๋ยวผมว่าจะไปทานกับคุณหวู่ ป่านนี้เขาคงจะรออย่างใจจดใจจ่อแน่ ๆ” ฉู่เหวินจือพูดไปก็ยิ้มอย่างมีเลศนัย หวางซิงได้แต่ยืนกระพริบตาปริบ ๆ นึกสงสัยว่าใครกันที่จะยินดีเมื่อพบว่ากิจการที่ตัวเองใช้เป็นข้ออ้างกินเงินธุรกิจที่เข้ามาช่วยเหลือกำลังจะสลายไปจนไม่เหลือแม้แต่เถ้า

หวางซิงไหวไหล่อย่างไม่นึกใส่ใจ เขารับใช้จูเชว่มาจนถึงตอนนี้ก็เห็นมานักต่อนักแล้ว พวกที่ไม่เจียมกะลาหัว แบกหน้ามาเสนอผลประโยชน์โดยไม่สำเหนียกถึงกำลังอันน้อยนิดของตัวเอง ปลาใหญ่กลืนปลาเล็กมันเป็นสัจธรรมของวงการ จะวงการธุรกิจหรือมาเฟียก็เหมือน ๆ กัน แล้วปลิงอย่างคนแซ่หวู่นั่นมีหรือจะรอดเมื่อกล้าเสนอหน้ามาต่อรองกับหนึ่งในปลาที่ใหญ่ที่สุดในฮ่องกง

------------------------>

ฉู่เหวินจือไม่ได้นัดคู่เจรจาออกไปพบกันข้างนอก แต่มาพบถึงที่เพราะเขาไม่อยากให้เรื่องบานปลายจนวุ่นวาย คนที่ติดตามเขามาดูจะไม่พอใจที่เขาลดเกียรติของจูเชว่ลงมาโดยยอมเข้าพบคนที่ฐานะต่ำกว่าด้วยตัวเอง กระนั้นผู้ติดตามก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาระหว่างที่พวกเขาเดินเข้าไปในอาคารหลังหนึ่ง

จนถึงตอนนี้ พวกเขาก็มานั่งอยู่ต่อหน้าคนแซ่หวู่ที่จัดการต้อนรับพวกเขาอย่างดีทั้งขนมนมเนยก็เตรียมมาวางพรักพร้อม มีเลขาสาวสวยเดินยั่วสายตาพร้อมบริการอยู่ไม่ห่าง เธอดูจะให้ความสนใจกับฉู่เหวินจือไม่น้อยจึงเอาแต่จับจ้องแทบไม่วางตาแม้ขณะที่เสิร์ฟกาแฟก็ยังจงใจก้มต่ำเสียจนเห็นทรวงอกเต็มตึงผ่านเสื้อคอที่คว้านจนลึก

“เอ่อ....ทางคุณพิจารณาแล้วว่ายังไงบ้างครับ?” ชายวัยกลางคนร่างท้วมพูดไปก็ยิ้มกว้าง เพราะเมื่อคนมาหาเป็นฉู่เหวินจือ แสดงว่าเงิน 5 ล้านดอลล่าห์ฮ่องกงคงไม่เสียเปล่า ได้อิงกับเครือธุรกิจใหญ่แบบนั้นคงจะดึงเงินมาใช้ได้สบายไปอีกพักใหญ่

“เจ้านายของผมสนใจที่นี่มากทีเดียว” ฉู่เหวินจือตอบอย่างหน้าชื่นตาบาน ทำให้ผู้ฟังพลอยดีใจไปด้วย

“ถ้าอย่างนั้นทำสัญญากันเลยนะครับ!” คนแซ่หวู่ดูกะตือรือร้นอย่างเห็นได้ชัด เขารีบร้อนสั่งให้เลขานำสัญญาที่ทำเตรียมไว้ออกมาทันที

“เดี๋ยวก่อน ทางผมเตรียมหนังสือสัญญามาแล้ว” ฉู่เหวินจือว่าก่อนจะเปิดกระเป๋าเอกสารที่นำมาด้วย เขาหยิบซองสีน้ำตาลออกมาและยื่นให้ผู้ที่นั่งฝั่งตรงข้าม “กรุณาอ่านให้ละเอียดด้วยนะครับ”

แม้คู่เจรจาจะดีใจจนเนื้อเต้น แต่ก็ยอมทำตามคำเตือนที่แฝงความหวังดีนั้น

เงื่อนไขในหนังสือสัญญาไม่ได้มีอะไรมากมาย แต่ผู้อ่านกลับหน้าซีดลงทุกบรรทัดก่อนจะเปลี่ยนเป็นสีแดงจัดและเขียวคล้ำเหมือนคนขาดอากาศ ดวงตาทั้งคู่เหลือกถลนอย่างไม่เชื่อสายตา สัญญานี้ไม่ใช่สัญญาร่วมธุรกิจ แต่เป็นสัญญาซื้อขายบริษัททั้งหมด

“น....นี่มันหมายความว่ายังไงกัน!”

“ก็ช่วยเหลือกิจการของคุณยังไงล่ะครับ คุณบอกว่ากิจการของคุณกำลังย่ำแย่หนัก ผู้ถือหุ้นก็ถอนตัวไปหมดแล้ว แถมผลกำไรก็แทบไม่มี ผมกับท่านประธานปรึกษากันแล้วจึงได้ข้อสรุปว่า....” ฉู่เหวินจือทิ้งระยะคำเล็กน้อยแล้วฉีกรอยยิ้ม “.....จะซื้อกิจการ....ไม่สิ....ซื้อพื้นที่นี้ทั้งหมดมาทำอย่างอื่นที่ได้ประโยชน์มากกว่าแทน คุณว่าจะดีกว่าหรือเปล่าครับ คุณหวู่?”

“ก....กล้าดียังไง! แกรับเงินฉันไปแล้วนะ! คิดจะหักหลังฉันงั้นเรอะ!” ชายร่างท้วมขว้างหนังสือสัญญาลงบนโต๊ะด้วยโทสะ กิจการนี้เขาสู้อุตส่าห์ตั้งขึ้น ดึงคนมาร่วมธุรกิจเพื่อสูบเอาเงินพวกนั้นมาหมุน ถ้าขายมันไปตอนนี้เขาก็มีแต่จะขาดทุนยับเยินเท่านั้น

“ผมไม่ได้หักหลังเสียหน่อย แต่ผมบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าจะทำให้แค่สมกับราคาที่คุณจ่าย ผมทำให้คุณเซินสนใจพื้นที่ของคุณได้ถึงขนาดนี้ยังไม่คุ้มค่าอีกหรือ?” ฉู่เหวินจือไม่ได้ใส่ใจอารมณ์ของอีกฝ่ายแม้แต่น้อย เพราะจะด้วยความเต็มใจหรือจำใจ ผู้ชายคนนี้ก็ต้องยอมขายถ้ายังรักชีวิต คิดจะเล่นกับมาเฟียมันก็ต้องโดนอย่างนี้

“ฉันไม่ขาย! ให้ตายฉันก็ไม่ขาย! ออกไปจากตึกของฉันเดี๋ยวนี้!”

ฉู่เหวินจือกระตุกยิ้ม ความจริงก็น่าโกรธอยู่หรอก ก็จำนวนเงินที่เขาเสนอซื้อตึกและพื้นที่ทั้งหมดมันถูกแสนถูก ไม่ต่างจากราคาบ้านงามหลังหนึ่ง สำหรับกิจการที่ขาดทุนยับเยินแบบนี้ ลงทุนมากไปก็เสียดายเม็ดเงิน แต่เขาก็อยากรู้นักว่าถึงตายก็ไม่ขายจริงหรือเปล่า....

“คุณผู้หญิง คุณช่วยออกไปก่อนก็แล้วกันนะ ผมมีเรื่องต้องคุยกับหัวหน้าของคุณ” เขากันไปบอกกับเลขาสาวที่ยังรั้งอยู่ในห้อง เธอจึงรีบโค้งแล้วเดินออกไปเพราะเห็นท่าชักไม่ค่อยดี ฉู่เหวินจือหันกลับมายังตัวปัญหา ปล่อยตัวเองให้นั่งในท่าสบายก่อนจะแสยะยิ้มเยือก แม้แต่คนติดตามของเซินเฟยที่ไม่ได้หันมองยังรู้สึกขนลุกจนถึงต้นคอ

“เอาล่ะคุณหวู่....ไหนช่วยยืนยันความตั้งใจของคุณกับผมอีกสักทีสิ”


TBC

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด