-3-
จดหมายอิเล็กทรอนิกส์นอนนิ่งอยู่ในกล่องข้อความของผู้รับซึ่งเพิ่งจะตื่นขึ้นมาในตอนเช้าพร้อมท่าทางงัวเงียตามปกติ ภรัณยูมองไปที่คอมพิวเตอร์ของตนเองที่เมื่อวานนี้ลืมปิดมัน แต่เพราะห้องของเขามีเครื่องปรับอากาศ ถึงจะเปิดคอมพิวเตอร์ทิ้งไว้ข้ามคืนก็ไม่ต้องห่วงเรื่องโอเวอร์ฮีทแต่อย่างใด กระนั้นชายหนุ่มก็ไม่อยากให้มันต้องฝืนตัวเองมากเกินไปนักจึงตั้งใจจะเดินไปปิด แต่ก็ไม่รู้ว่าสิ่งใดมาดลใจให้นึกยากลองเปิดเช็คอีเมลของตนเองดูอีกสักทีโดยไม่ได้คาดหวังว่าจะได้รับคำตอบใด ๆ กลับมา
ทว่า...
นั่นมันอะไรกัน...
จดหมายตอบกลับขึ้นเป็นตัวอักษรสีเข้มเหมือนเชิญชวนให้เปิดเข้าไปดูข้างใน และมันถูกส่งมา...จากอีเมลปลายทางซึ่งเขาติดต่อไปเมื่อวานนี้
หัวใจชายหนุ่มเต้นเป็นรัวกลองเพราะสิ่งนี้เหนือความคาดหมายอย่างมาก แต่ไม่นานนักเขาก็สามารถสงบใจได้เมื่อเตือนตนเองว่ามันเป็นเพียงการติดต่อเบื้องต้นเท่านั้นและอาจจะส่งไปผิดตัวก็ได้ ดังนั้นจึงไม่ควรตื่นเต้นตกใจไปก่อน ไว้อ่านจบค่อยตื่นเต้นก็ยังไม่สาย
ภรัณยูคลิกเข้าไปในหัวข้อที่ว่า ก่อนจะมุ่นคิ้ว
‘ผมคือ นภทีป์ ที่คุณกำลังตามหา และถ้าคุณสนใจจะให้ผมแนะแนวทางเกี่ยวกับอาชีพอาร์ตติส ขอให้คุณมาพบผมได้ตามที่อยู่นี้’
หลังข้อความนั้นก็เป็นที่อยู่ของเจ้าตัวก่อนจะจบไปท้ายว่า ‘ผมหวังว่าจะได้พบคุณในเร็ว ๆ นี้’
ภรัณยูอ่านข้อความเหล่านั้นซ้ำไปมาอยู่ประมาณ 3 รอบ เขาไม่แน่ใจนักว่าตนเองกำลังรู้สึกอย่างไรกับข้อความเหล่านี้จึงพยายามอ่านย้ำ จะว่าตื่นเต้น...ก็คงใช่ แต่เหนือกว่านั้นคือความรู้สึกเหมือนว่าทุก ๆ อย่างง่ายเกินไปจนน่าประหลาดใจ ทำไมอีกฝ่ายจึงไม่ถามอะไรเขากลับมาเลยเพราะข้อมูลส่วนตัวที่เขาส่งไปให้ก็มีเพียงคร่าว ๆ เท่านั้น เรียกว่าไม่อาจตรวจเช็คได้ด้วยซ้ำว่าเป็นข้อมูลจริงหรือไม่ แล้วฝ่ายนั้นไว้ใจเขาทันทีถึงขนาดส่งที่อยู่มาให้ง่าย ๆ อย่างนี้เลยหรือ? มันแปลกเกินไปแล้ว
แต่...เขาจะปฏิเสธหรือ?
นี่อาจเป็นโอกาสเดียวที่เขาจะได้พบกับเจ้าของภาพซึ่งทำให้เขาติดอกติดใจจนถอนตัวไม่ขึ้น ซ้ำคน ๆ นั้นยังคงทำงานในวงการนี้อยู่ และดูเหมือนจะยินดีชี้แนะแนวทางให้เขาอย่างเต็มใจ บางทีอาจจะช่วยพลิกฟื้นวิชาให้เขาได้ด้วย ดังนั้น...คงจะต้องลองเสี่ยงสักครั้ง
หากผิดพลาดก็แค่กลับมาที่จุดเริ่มต้นใหม่และลองพยายามด้วยตัวเองจากจุดศูนย์ อย่างไรเขาก็ไม่ใช่ผู้หญิงจึงไม่ต้องกังวลอันตรายมากนัก อีกทั้งรูปร่างแบบนักกีฬาของเขาก็ยังข่มขวัญคนอื่นได้แม้ตัวเขาจะไม่เคยใช้กำลังชกต่อยเลยก็ตาม
ภรัณยูปิดอีเมลหลังจากจดที่อยู่ลงกระดาษเป็นที่เรียบร้อย
และในวันต่อมา...ชายหนุ่มก็ออกจากบ้านพร้อมกระดาษแผ่นนั้น เพราะที่อยู่ของอีกฝ่ายอยู่ในจังหวัดเดียวกันและเป็นเขตที่เรียกว่าใกล้กันคงจะได้ หากจำไม่ผิดมีรถประจำทางที่สามารถนั่งจากบ้านเขาไปถึงที่นั่นได้ด้วย ภรัณยูจึงออกจากบ้านตั้งแต่ตอนสายโดยกะเวลาว่าจะไม่ไปรบกวนฝ่ายนั้นเช้าเกินไป ป้ายรถประจำทางที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านของเขาเป็นป้ายขนาดเล็กที่คนใช้ไม่มากนัก แต่ก็มักจะรับผู้โดยสารมาจากป้ายใหญ่ก่อนหน้าจนแทบจะเต็มคัน แน่นอนว่าสายรถประจำทางที่ต้องโดยสารไปในวันนี้ก็เช่นกัน เมื่อมันมาหยุดนิ่งที่ป้ายที่นั่งที่มีอยู่ก็เต็มหมดแล้วและหลายคนต้องยืนห้อยโหน ภรัณยูเดินขึ้นไปก่อนจับราวที่อยู่เหนือศีรษะไม่มากนักเพื่อพยุงร่างกายขณะรถค่อย ๆ เคลื่อนตัวออกจากจุดจอดของมัน
เป็นครั้งแรกที่ชายหนุ่มใช้รถประจำทางสายนี้เดินทางเพราะสวนใหญ่เขาจะเดินทางแค่บ้านกับมหาวิทยาลัย นอกจากนั้นก็จะไปกับเพื่อนหรือกับครอบครัว ทำให้เขารู้สึกกังวลขึ้นมานิดหน่อยว่าตนเองจะลงรถถูกป้ายหรือไม่ สายตาของเขาจึงเพ่งออกไปด้านนอกเหมือนคนที่เพิ่งเข้ากรุงเป็นครั้งแรกไม่มีผิด แต่ความจริงแม้เป็นคนกรุงแต่กำเนิดก็ยากที่จะชำนาญถนนทุกเส้นได้
เป็นโชคดีของภรัณยูที่พนักงานเก็บค่าโดยสารตะโกนบอกสถานที่เป็นระยะ เมื่อถึงป้ายที่ต้องการเขาจึงลงจากรถและถามคนแถวนั้นถึงสถานที่ที่ตนต้องการไป
คนขับรถมอเตอร์ไซค์รับจ้างชี้เข้าไปในซอยใกล้ ๆ นั้น
“พอเข้าไปสัก 100 เมตรก็เจอแล้วล่ะ”
ก็ไม่ไกลเท่าไหร่นี่นะ...
ชายหนุ่มคิดในใจแล้วเอ่ยขอบคุณผู้บอกทาง และเมื่อเดินเข้าไปในซอยได้ไม่นาน เขาก็พบทางเข้าของคอนโดมิเนียมที่มีชื่อเดียวกับที่อยู่ที่จดไว้ในกระดาษ ภรัณยูมองไปยังตัวอาคารสูงหลายชั้นด้วยความกังขา เพราะเมื่อขึ้นชื่อว่าคอนโดมิเนียมก็มักจะตกแต่งอย่างหรูหราฟู่ฟ่า ทำให้คิดถึงภาพอาคารสีขาวและกระจกหน้าต่างบานใหญ่สะท้อนแสงแวววับ แต่ที่นี่ค่อนข้างห่างไกลจากคำว่าหรูหราไปโขและบริเวณไม่กว้างขวางอย่างที่คิด มองขึ้นไปเห็นระเบียงเล็ก ๆ ของแต่ละห้องซึ่งทำให้เขารู้สึกเหมือนกำลังมองหอพักมากกว่า กระนั้น อย่างน้อยที่นี่ก็มีสระว่ายน้ำซึ่งทำให้สมภาพคอนโดมิเนียมมากขึ้น
บางที...เขาคงจะติดตากับพวกคอนโดมิเนียมหรูใจกลางเมืองมากเกินไป
ภรัณยูเดินเข้าไปในอาคารพลางมองซ้ายขวาและพบลิฟต์ในที่สุด ชั้นที่เจ้าตัวอยู่ค่อนข้างสูง จะเดินขึ้นไปคงไม่ไหวถึงเขาจะมั่นใจในศักยภาพร่างกายของตนก็ตาม
ตัวเลขห้องติดอยู่ข้างประตู ชายหนุ่มเดินไล่ไปเรื่อย ๆ ตั้งแต่ลิฟต์จนเกือบถึงสุดทางก็พบหมายเลขห้องซึ่งตรงกับในกระดาษที่เริ่มยับยู่ยี่จากการพับ ๆ กาง ๆ หลายครั้ง ชายหนุ่มยัดมันกลับลงกระเป๋าก่อนสูดลมหายใจลึกหลายครั้งและยกมือขึ้นกดออด
----------------------------->
วันนี้นภทีป์ตื่นขึ้นด้วยความรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวอย่างประหลาด หากเป็นคนทั่วไปคนเริ่มคิดว่าวันนี้จะต้องมีอะไรที่ไม่พึงประสงค์เกิดขึ้น แต่ชายหนุ่มเป็นคนไม่เชื่อถือโชคลางดังนั้นจึงคิดแค่ว่าตนเองคงจะป่วยหรือส่งสัญญาณว่ากำลังจะป่วย เขาไม่ได้ให้ความสนใจกับอาการประหลาดนั้นมากนักและเดินไปอาบน้ำ แต่งตัว กดน้ำร้อนใส่ซุปสาหร่ายสำเร็จรูปแล้วเอามานั่งกินแทนอาหารเช้า...เกือบเที่ยง
ทุก ๆ วันในระยะนี้ผ่านไปอย่างเงียบเหงาเกินบรรยาย แต่เจ้าของห้องกลับพอใจที่เป็นเช่นนั้น ไม่มีข้อความในโทรศัพท์มือถือ ไม่มีอีเมลรบกวนใจ นอกจากเสียงแจ้ว ๆ ของสิ่งที่เรียกตนเองว่ารติแล้ว ก็ถือว่าทุกอย่างสงบเงียบพอสมควร
แต่แล้วความสงบของเขาก็ถูกกระแทกให้กระเจิงหายไปด้วยเสียงออดยาว
นภทีป์มองไปยังประตูด้วยความสงสัยระคนไม่พอใจว่าใครกันที่มารบกวนในเวลานี้ เขาวางชามใส่ซุปสาหร่ายที่ยังกินไม่หมดลงบนโต๊ะก่อนเดินไปทางต้นเสียงและมองผ่านตาแมวบนบานประตู
ใครน่ะ?
ผู้ชายที่ปรากฏตัวอยู่หลังบานประตูไม่ใช่คนที่ดูคุ้นหน้าคุ้นตาเลยสักนิด ไม่แม้แต่นิดเดียว ดังนั้นจึงไม่ใช่คนที่เขารู้จักอย่างแน่นอนถึงแม้ความจริงแล้วเขาจะเป็นคนที่ความจำสั้นเรื่องเอกลักษณ์บุคคลก็ตาม บางทีอาจจะมากดผิดห้อง ชายหนุ่มคิดเช่นนั้นจึงไม่ได้เปิดออกรับแล้วหมุนตัวเดินกลับมาอย่างเงียบ ๆ ทว่าเสียงออดครั้งที่สองก็ดังขึ้นยาวกว่าเดิมพร้อมกับรติที่อยู่ ๆ ก็บินสวนทางเขาไปทางประตู
“เดี๋ยว นั่นนายจะ...!” พูดยังไม่ทันขาดคำ เจ้าเด็กตัวเล็กที่มีปีกเหมือนเทวดาก็เปิดประตูห้องเองโดยพละการเป็นจังหวะเดียวกับที่นภทีป์เอื้อมมือไปเพื่อห้าม ทำให้มองเผิน ๆ จากภายนอกแล้วเหมือนตัวเขาเป็นคนเปิดประตูเองอย่างไรอย่างนั้น
“ส...สวัสดีครับ” ผู้มาเยือนกล่าวทักทายด้วยความประหม่าก่อนยกมือขึ้นเกาท้ายทอยแก้เขิน “ผมภรัณยูที่ติดต่อมาเมื่อวานซืน”
เมื่อวานซืน?
นภทีป์มุ่นคิ้วเพราะเจ้าตัวจำไม่ได้เลยว่าเคยไปนัดใครตั้งแต่เมื่อไหร่ จะเป็นเมื่อวาน เมื่อวานซืน หรืออาทิตย์ที่แล้วก็ไม่น่าจะมีได้
“นายมาผิดห้องแล้วล่ะ ขอโทษทีนะ” เพื่อตัดบทอย่างรวดเร็ว นภทีป์จึงบอกปฏิเสธและบอกลาไปในตัวก่อนดันประตูปิด
“เดี๋ยวก่อนสิ คุณใช่นภทีป์หรือเปล่า?”
...?
“ใช่...” ทำไมคน ๆ นี้จึงรู้จักชื่อตน นภทีป์ไม่อาจหาคำตอบได้ แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะเจาะจงมีธุระกับเขาโดยเฉพาะ ไม่อย่างนั้นคงไม่ถามชื่อออกมาอย่างนี้
“คือ...เมื่อวานซืน ผมส่งอีเมลมาให้คุณตอนค่ำ แล้วคุณก็ตอบกลับมาว่าอยากพบผมและให้ที่อยู่มาด้วย จำได้หรือเปล่าครับ?”
จำไม่ได้
นภทีป์อยากจะตอบออกไปแบบนั้น แต่เพียงอ้าปากก็คล้ายนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
“...บางทีคงจะเป็นใครสักคนเล่นตลกกับคอมพิวเตอร์ของฉัน เพราะฉันจำไม่ได้เลยว่าเคยอ่านอีเมลฉบับนั้นหรือแม้แต่ตอบมัน” แต่เขาก็เดาได้ว่าใครเป็นคนเล่นตลก ชายหนุ่มมองเข้าไปในห้องของตนเพื่อคาดโทษเจ้าตัวป่วน แต่กลับพบว่าฝ่ายนั้นไม่ได้อยู่ข้างใน
“งั้นเหรอครับ...” ภรัณยูผิดหวังนิดหน่อยแต่ก็คิดอยู่แล้วว่ามันง่ายเกินไป “ถ้าอย่างนั้นผมขอคุยกับคุณหน่อยได้ไหม?”
“ตอนนี้ฉันไม่ว่าง ถ้านายมีธุระก็ส่งอีเมลมาแล้วกัน ถ้าฉันมีเวลาเมื่อไหร่จะเปิดดูเอง”
“เข้าใจแล้วครับ” ชายหนุ่มร่างใหญ่ถอนหายใจ “ถ้าอย่างนั้น..."
โครม!
เสียงของชิ้นใหญ่ตกกระทบพื้นทำให้คนทั้งสองสะดุ้งเฮือกไปตาม ๆ กัน นภทีป์หันกลับเข้าไปในห้องและพบว่ากล่องใส่อุปกรณ์ของเขาตกลงมาจากชั้นวางหนังสือ โดยมีรตินั่งแกว่งขาหัวเราะร่าอยู่แทนที่ ฝากล่องหลุดตอนกระแทกหรือไม่ก็คงเปิดไว้ก่อนตกแล้วทำให้สีโคปิกที่ใส่อยู่ข้างในกลิ้งกระจายไปทั่วบริเวณ มีหลายแท่งที่กลิ้งมาทางประตูและเมื่อเจ้าของกำลังจะก้มลงเก็บ มันก็ถูกหยิบขึ้นมาก่อนด้วยมือกร้านใหญ่ของชายหนุ่มที่เจ้าตัวลืมไปครู่หนึ่งว่ามีตัวตนอยู่ตรงนี้ด้วย
“คือ...นี่...” ภรัณยูส่งมันให้กับเจ้าของแต่ไม่ทันจะถึงมือก็มีอีกกล่องล้มลงมาอย่างไม่มีสาเหตุ คราวนี้กระดาษที่อยู่ข้างในไหลพรูจนทั่วพื้น
ถึงจะรู้ว่าค่อนข้างเสียมารยาท แต่ภรัณยูก็ก้าวเข้าไปในห้องเพื่อช่วยเก็บโดยไม่ได้คิดอะไรมากกว่านั้นโดยนภทีป์ได้แต่มองอึ้งทำอะไรไม่ถูก สิ่งแรกที่เขาอยากทำไม่ใช่การเก็บของแต่เป็นการโยนเจ้าตัวการออกไปจากห้อง กระนั้นกลับไม่สามารถทำได้เพราะอยู่ต่อหน้าคนอื่น
ระหว่างเก็บ สายตาภรัณยูก็กวาดมองภาพเหล่านั้น
มีบางอย่างแปลก ๆ ...
ภาพเหล่านี้มีหลายภาพที่ให้ความรู้สึกอย่างนั้น โดยเฉพาะภาพที่ไหลมาไกลที่สุด มันเป็นภาพยุ่งเหยิงที่มองแล้วเหมือนภาพร่าง แต่เป็นภาพร่างที่ไม่มีจุดหมายชัดเจน แค่เพียงตวัดดินสอไปเรื่อย ๆ จนกลายเป็นภาพอะไรบางอย่างที่จะว่าคนก็ไม่เชิง
แต่ที่แปลกไม่ใช่ตัวภาพแต่เป็นความรู้สึกจากภาพ พวกมันให้ความรู้สึกมืดมนและว่างเปล่าราวกับว่าผู้วาดมีความยุ่งเหยิงอยู่ในใจไม่ต่างกับลายเส้น
ไม่มีพลังอย่างที่เขารู้สึกจากภาพนั้นเลย...
ภรัณยูรวบรวมภาพที่เก็บได้ไปวางไว้กับอีกกองที่นภทีป์รวมไว้แล้ว ก่อนที่จะวางทับลงไปชายหนุ่มก็ต้องมุ่นคิ้วเมื่อสะดุดกับความรู้สึกแปลกบางอย่าง
ตรงนี้กับตรงนั้น...
ภาพในมือเขากับกองที่วางไว้ก่อนไม่เหมือนกัน แม้จะเป็นภาพของเส้นร่างแต่มันกลับสะอาดมีระเบียบและให้ความรู้สึกสว่างไสว
“คือว่า...ภาพพวกนี้...”
“ก็แค่ภาพร่าง แต่มันชักจะเยอะเกินไปแล้ว” นภทีป์มองลังกระดาษที่ตนใช้เก็บพวกภาพร่าง บางทีคงถึงเวลาเอาไปชั่งกิโลขายแล้วกระมัง?
“ที่นี่มีอุปกรณ์วาดเขียนเต็มไปหมดเลยนะครับ” ภรัณยูรู้สึกอึดอัดนิดหน่อยกับท่าทางการแสดงออกที่เย็นชาของอีกฝ่ายจึงชวนคุยเพื่อคลายบรรยากาศ “คุณคงทำงานนี้มานานแล้ว ผม...รู้สึกชื่นชมคุณมากเลยนะ ที่สามารถทำงานที่ตัวเองชอบได้แบบนี้”
“ฉันเลิกแล้ว”
“เอ๋?”
เจ้าของร่างสูงใหญ่หันมองอีกคนหนึ่งซึ่งพูดออกมาด้วยประโยคสั้น ๆ แต่แฝงไว้ด้วยความรู้สึกว่างเปล่า
“ทำไมล่ะครับ? คุณออกจะมีฝีมือ...”
“เพราะฉันทำไม่ได้อีกแล้ว มันก็แค่นั้น”
ใช่...ทำไม่ได้เลย ไม่ว่าจะพยายามมากแค่ไหน ทุกวิธีที่มีคนบอกให้ลองทำเพื่อกำจัดอาการเหล่านี้ พวกมันไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิง กระดาษหลายแผ่นถูกทิ้งขว้างเมื่อละเลงจนมีแต่เส้นสีดำแต่เส้นเหล่านั้นไร้ซึ่งรูปร่างและเป้าหมาย ไม่มีอารมณ์หรือความรู้สึก ในสมองของเขาไม่สามารถจินตนาการภาพได้ด้วยซ้ำไป หรือบางครั้งเมื่อนึกขึ้นได้ลาง ๆ พอลงมือจับดินสอทั้งร่างก็พลันอ่อนล้าและภาพก็เริ่มบิดเบี้ยวไร้รูปทรง กลายเป็นสิ่งที่ไม่อาจจับต้องได้ก่อนที่มันจะจางหายไปโดยที่เขาได้แต่มองกระดาษสีขาวตรงหน้า
ภรัณยูนึกสงสัยว่า ‘ทำไม่ได้’ หมายถึงอะไร จึงก้มลงมองมือของนภทีป์ที่กำลังรวบรวมแท่งโคปิกลงกล่อง มันก็ไม่ได้ดูผิดแปลกอะไร ไม่เหมือนคนที่ประสบอุบัติเหตุจนมือใช้งานเหมือนเดิมไม่ได้อีกแม้แต่น้อย กลับกัน มันยังดูคล่องแคล่วและหยิบจับทุกอย่างได้อย่างสะดวกสบาย
ชายหนุ่มกวาดสายตาไปทางหนึ่งซึ่งดูเหมือนจะเป็นโต๊ะทำงาน สิ่งที่วางอยู่บนนั้นคือกระดาษแผ่นหนึ่งที่ยังไม่ได้วาดอะไรลงไปเลย
“ผมอาจจะพูดอะไรที่เสียมารยาทสักหน่อย...แต่...ถ้าคุณมีปัญหาอะไรที่อยากพูดกับใครสักคน...” เขารู้ว่ามันแปลกที่พูดแบบนี้กับคนแปลกหน้าที่เพิ่งจะรู้จักกันแค่ชื่อกับหน้าตา แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ภรัณยูจึงรู้สึกว่าอีกฝ่ายมีอะไรบางอย่างอยู่ในใจ
นภทีป์หันมองแขกของตนด้วยสายตาเหมือนมองสิ่งที่ประหลาดที่สุดในโลก และสายตานั้นทำให้ผู้ถูกมองเกิดประหม่าขึ้นมาอีกครั้ง
“คือ...หรืออย่างน้อยคุณก็น่าจะกลับไปที่โรงเรียนเก่า...”
...?
สายตาของนภทีป์ฉายความสงสัยออกมาแวบหนึ่ง
“ไม่รู้ว่าคุณจำได้ไหม แต่ว่าที่นั่น...มีรูปที่คุณเคยวาดเอาไว้อยู่รูปหนึ่ง เป็นภาพของทะเลกับท้องฟ้า ครูศิลปะของคุณยังเก็บเอาไว้และเขาก็บอกผมมาว่า เด็กหลายคนกลับไปที่นั่นเพื่อให้กำลังใจตัวเองและก้าวต่อไปข้างหน้า บางทีมันอาจจะช่วยคุณได้ก็ได้” ภรัณยูพูดจบก็เงยหน้าขึ้นมองฝ่ายตรงข้าม แต่กลับพบว่านภทีป์กำลังหลบตามองไปทางอื่นด้วยสีหน้าอึดอัดใจระคนเจ็บปวด
“นายกลับไปได้แล้ว ฉันจะจัดการที่เหลือเอง”
“แต่ว่า...”
“บอกให้ไปก็ไปสิ! ไม่อย่างนั้นฉันจะเรียกยามมาลากนายออกไป!”
ท่าทีที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันของนภทีป์ทำให้ภรัณยูทำอะไรไม่ถูก
“ขอโทษครับ...” เพราะคิดว่าตนเองคงพูดอะไรผิด ชายหนุ่มจึงรีบขอโทษไว้ก่อนแล้วจึงลุกขึ้น “ถ้าอย่างนั้น...เอาไว้ผมจะติดต่อมาอีกครั้ง” เจ้าตัวว่าเช่นนั้นแล้วจึงเดินออกไป
เมื่อเหลือนภทีป์เพียงลำพัง รติก็ปรากฏตัวออกมาแล้วกอดอกถอนหายใจพรืด
“นายน่าจะรับเขาไว้นะ”
“ไม่ต้องมาพูดดี นายเป็นคนเรียกเขามาที่นี่ล่ะสิ” นภทีป์ว่าก่อนโยนก้อนยางลบใกล้มือใส่อีกฝ่าย แต่เจ้าตัวก็หลบอย่างง่ายดายทำให้เจ้าของห้องไม่พอใจมากยิ่งขึ้น “ถ้านายถูกใจเขาก็ไปตามติดเขาแทนฉันสิ”
“เจ้านั่นน่ะ เหมือนนายสมัยก่อนเลยนะ” รติบินมาหยิบจับของที่ตนเองจงใจทำตกใส่กล่อง “ตอนที่นายสนุกกับการวาดเขียนและอยากจะทำให้ดียิ่งขึ้น อยากจะให้ทุกคนภูมิใจในตัวนาย แต่พอนายมาถึงจุดที่คาดหวังแล้วก็กลับตั้งใจจะทิ้งมันไป แต่เจ้าคนนั้นน่ะเพิ่งจะเริ่มต้นก้าวเดินในเส้นทางเดียวกับที่นายผ่านมาแล้ว แค่ช่วยเขานิดหน่อยไม่เห็นจะเป็นอะไรไปนี่นา?”
นภทีป์ไม่ได้ตอบโต้อะไร เขาจัดเรียงสีโคปิกลงกล่องทีละแท่งโดยเรียงตามโทนของมันอย่างบรรจง ทั้งที่พูดออกมาเองว่าจะเลิกวาด แต่อุปกรณ์เหล่านี้เขาก็ยังไม่อาจทำใจทิ้งขว้างมันได้ ราวกับความภายในส่วนลึกของจิตใจก็ยังคงโหยหาอิสรภาพที่ได้รับเมื่อครั้งสร้างสรรค์ผลงานด้วยมือคู่นี้ แต่ในเมื่อไม่อาจทำได้อีกแล้วเขาก็ควรจะเริ่มหางานอื่นทำเสียที ไม่อย่างนั้นเวลาในชีวิตก็คงผ่านไปอย่างสูญเปล่า ซ้ำสายอาชีพนี้ก็ไม่ได้รับเงินเป็นเดือน ๆ แต่ได้ตามจำนวนงาน ซึ่งจะว่าไปก็ไม่มั่นคงนักเพราะสมัยนี้นักวาดเก่ง ๆ ก็ผุดกันเป็นดอกเห็ด พบกันได้ทั่วบ้านทั่วเมือง หากอยู่อย่างนี้ต่อไปคงอดตายแน่ ๆ
พอคิดแบบนี้ทีไร เขาก็มักจะหดหู่มากกว่าเดิมทุกที
ไม่อยากทำอะไรเลย...
“ฟังฉันอยู่หรือเปล่าน่ะ?”
“ไม่ได้ฟัง” นภทีป์ตอบกลับทันทีเมื่อรู้สึกตัวและตื่นจากภวังค์ความคิดของตนเอง “แล้วก็ขี้เกียจฟังด้วย ต่อไปนี้ห้ามยุ่งกับอีเมลของฉันอีก เข้าใจไหม”
“เข้าใจแล้วครับนายท่าน” รติทำท่าตะเบ๊ะด้วยมือเล็ก ๆ ป้อม ๆ ของตนเองก่อนแอบอมยิ้มอยู่คนเดียว เพราะตอนนี้ถึงไม่ต้องใช้อีเมล เขาก็ได้ทำอะไรบางอย่างไปเรียบร้อยแล้ว
------------------------------>