Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[เปิดขายหนังสือ'แก๊งเกรียนเอเลี่ยน']-30/10/59
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[เปิดขายหนังสือ'แก๊งเกรียนเอเลี่ยน']-30/10/59  (อ่าน 134409 ครั้ง)

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะค่ะ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะค่ะ
สรุปข้อสำคัญดังนี้


1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้าม มิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอ ให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่ นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อ ความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

********************************************************************************************


คุยกันนิดนึง


นิยายเรื่องนี้เริ่มจากการที่หนูแดงไม่เข้าใจถึงความฟินของแนว Mpreg (แนวผู้ชายท้องได้) หนูแดงก็เลยลองมาเขียนเองค่ะ แต่ผู้ชายท้องได้ของหนูแดงอาจจะไม่เหมือนชาวบ้านชาวช่องนิดนึงตรงที่นายเอกไม่ได้ท้องลูกพระเอก ไม่ได้มีความสัมพันธ์ทางกายกับพระเอก แต่ถูกพระเอกวางไข่ (?) แล้วก็คลอดลูกออกมาเป็นพระเอก (งงมั้ยคะ ปล่อยให้งงไปก่อน ฮา)

โดยรวมแล้ว นิยายเรื่องนี้เป็นแนวแฟนตาซี+คอมเมดี้ค่ะ แฟนตาซีตรงที่พระเอก (คีธ) เป็นเอเลี่ยน ส่วนคอมเมดี้ตรงที่นายเอก (กวินทร์) มีสถานะเป็นโฮสท์ให้พระเอกได้วางไข่ ฉะนั้น ใครที่ไม่ชอบหรือแอนตี้แนว Mpreg อ่านได้ค่ะ อ่านแล้วไม่ขัดๆ หรือตะขิดตะขวงใจแต่อย่างใด ส่วนคนที่ชอบแนว Mpreg แท้ๆ หนูแดงต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย

เนื่องจากหนูแดงเขียนแนวๆ นั้นแบบของแท้เลยไม่ได้ค่ะ ขัดความรู้สึกตัวเองเลยพลิกแพลงมาแทน

ปกติลงที่ Dek-d อยู่เป็นประจำค่ะ (ที่นี่นะจ๊ะ -- http://writer.dek-d.com/dek-d/writer/view.php?id=1400290) แต่ลองมาขยายสาขาดูบ้าง ยังใช้งานไม่คล่อง อาจจะมีผิดพลาดไปบ้าง ต้องขออภัยนะคะ

ยังไงก็ขอฝากฝังนิยายเรื่องนี้ไว้ในอ้อมอกอ้อมใจด้วยนะคะ ^^

พูดคุยติดต่อได้ที่ -- https://web.facebook.com/NooDangzzz/
********************************************************************************************
สารบัญ
Prologue
Episode01:Giving Birth
Episode02:The host
Episode 03: Alien’s guru[1]
Episode 03: Alien’s guru[2]
Episode 04: Alien Prince’s casting[1]
Episode 04: Alien Prince’s casting[2]
Episode 05: A porn star[1]
Episode 05: A porn star[2]
Episode 06: Lollipop[1]
Episode 06: Lollipop[2]
Episode 07: Kill him if I can![1]
Episode 07: Kill him if I can![2]
Episode 08: Apologize[1]
Episode 08: Apologize[2]
Episode 09: The prince of Uniquema[1]
Episode 09: The prince of Uniquema[2]
Episode 10: Richard's son is coming
Episode 11: Richard, The murderer[1]
Episode 11: Richard, The murderer[2]
Episode 12: A Hollywood star[1]
Episode 12: A Hollywood star[2]
Episode 13: Sound of exciting[1]
Episode 13: Sound of exciting[2]
Episode 14: About nipples and feelings
Episode 15: Zylen is hungry[1]
Episode 15: Zylen is hungry[2]
Episode 16: Kawin is mine
Special Episode: Santa Keith is coming to Kawin[1]
Special Episode: Santa Keith is coming to Kawin[2]
Episode 17: When Richard is jealous[1]
Episode 17: When Richard is jealous[2]
Episode 18: Time for breeding[1]
Episode 18: Time for breeding[2]
Episode 19: Making a baby[1]
Episode 19: Making a baby[2]
Episode 20: Kawin vs Brooklyn for Keith[1]
Episode 20: Kawin vs Brooklyn for Keith[2]
Episode 21: Relationship between both ‘K’[1]
Episode 21: Relationship between both ‘K’[2]
Special Episode [New Year]: Let bind Kawin tight and give Keith as a gift[1]
Special Episode [New Year]: Let bind Kawin tight and give Keith as a gift[2]
Episode 22: Do not make Keith jealous
Episode 23: Alien’s gala dinner[1]
Episode 23: Alien’s gala dinner[2]
Episode 24: Forgive me right now![1]
Episode 24: Forgive me right now![2]
Episode 25: Is Zylen an alien!?[1]
Episode 25: Is Zylen an alien!?[2]
Episode 26: I love you, Keith[1]
Episode 26: I love you, Keith[2]
Special Episode [Children’s day]: Keta and Kinn are kids…also Keith and Kawin[1]
Special Episode [Children’s day]: Keta and Kinn are kids…also Keith and Kawin[2]
Episode 27: Keith VS Zylen but not for Kawin[1]
Episode 27: Keith VS Zylen but not for Kawin[2]
Episode 28: Is it too late now to say sorry?[1]
Episode 28: Is it too late now to say sorry?[2]
Episode 29: Zylenata[1]
Episode 29: Zylenata[2]
Episode 30: You are my children’s father[1]
Episode 30: You are my children’s father[2]
Episode 31: The 2nd prince of Zanetine[1]
Episode 31: The 2nd prince of Zanetine[2]
Episode 32: Genesis is a prince[1]
Episode 32: Genesis is a prince[2]
Episode 33: Our first baby is Keta[1]
Episode 33: Our first baby is Keta[2]
Episode 34: Almost about time to leave[1]
Episode 34: Almost about time to leave[2]
Episode 35: Ambassador of Uniquema[1]
Episode 35: Ambassador of Uniquema[2]
Episode 36: My smelly hubby is back[1]
Episode 36: My smelly hubby is back[2]
Epilogue
Extra: Kinn is our second kid[1]
Extra: Kinn is our second kid[2]

ตัวอย่างตอนพิเศษที่จะมีเฉพาะในหนังสือค่ะ
[Sample]Special Episode 01 [Kieth & Kawin]
[Sample]Special Episode 02 [Kieth & Kawin]: Father-in-law vs Son(?)-in-law
[Sample]Special Episode 03 [Kieth & Kawin]: Half-Alien kids are all trouble
[Sample]Special Episode 04 [Kieth & Kawin]: Super jealous hubby
[Sample]Special Episode 05 [Aston & Richard]: When a prince crushes on me
[Sample]Special Episode 06 [Aston & Richard]: Big surprise with pajamas
[Sample]Special Episode 07 [Zylen & Brooklyn & Ben]: Half-blood prince & Hulk brothers
[Sample] Special Episode 08 [Zylen & Broolyn & Ben]: I will teach you how to eat your cake
[Sample]Special Episode 09 [Larc & Genesis]: Violent couple
[Sample]Special Episode 10 [Larc & Genesis]: Hit me hard in the bed


[Sample]Alien's Honeymoon คืนน้ำผึ้งพระจันทร์ของเอเลี่ยน
[Sample]Prologue
[Sample]Episode 01: Failed honeymoon[1]
[Sample]Episode 01: Failed honeymoon[2]
[Sample]Episode 02: Love potion

[Sample]Alien's Kids พวกผมเป็นลูกเอเลี่ยน
[Sample] Kyta's Part: Prologue
[Sample] Kyta's Part: Episode 01: The egg from the prince[1]
[Sample] Kyta's Part: Episode 01: The egg from the prince[2]
[Sample] Kyta's Part: Episode 02: I am pregnant with your baby!
[Sample] Kyta's Part: Episode 03: Father or mother?
[Sample] Kyta's Part: Episode 04: Our deep kiss

เปิดขายหนังสือซีรีส์ 'แก๊งเกรียนเอเลี่ยน' รอบปกติแล้วค่ะ
รายละเอียดอื่นๆ อ่านเพิ่มเติมที่นี่นะคะ
https://www.facebook.com/NooDangzzz/photos/a.162822727106922.46922.122468307809031/1111796852209500/?type=3&theater
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-10-2016 18:43:10 โดย NooDangzz »

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
Prologue

‘แบล็กชาโดว์’ คือไนท์คลับใต้ดินซึ่งเป็นแหล่งซ่องสุมอบายมุขชั้นเลิศกลางมหานครนิวยอร์กของบรรดาหนุ่มสาวไฮโซโดยเฉพาะพวกลูกหลานคนมีตังค์ เพราะที่นี่ต้อนรับแต่ลูกค้ากระเป๋าหนักและสมาชิกวีไอพีที่มีปัญญาจะจ่ายเงินแลกกับความสนุกสุดเหวี่ยงเท่านั้น แน่นอนว่านักศึกษาปริญญาโทกระเป๋าแห้งอย่างผมไม่มีทางได้เข้าไปในไนท์คลับแห่งนี้แน่ ถ้าหากว่าผู้หญิงที่ผมกำลังคั่วอยู่ด้วยในตอนนี้ไม่ได้เป็นหนึ่งในสมาชิกของไนท์คลับแห่งนี้
ผมลงจากแท็กซี่ มาหยุดยืนอยู่หน้าทางเข้าที่มีการ์ดร่างยักษ์หลายคนเฝ้าอยู่ ก่อนจะล้วงโทรศัพท์ออกมาโทรหาเอมิเลียเพื่อให้เธอออกมารับ ถึงจะไม่ใช่ครั้งแรกที่มาที่นี่ แต่ด้วยความที่ไม่ได้เป็นสมาชิกวีไอพี ผมจึงไม่สามารถเข้าไปด้วยตัวเองได้ง่ายๆ ไม่นานนัก สาวผมบลอนด์ในชุดเดรสสีดำก็พาเรือนร่างอวบอัดออกมาให้ผมได้เห็น เธอตรงเข้ามากระโดดกอดผมทันทีพร้อมกับหอมแก้มอีกฟอดใหญ่
“คิดถึงจังเลยเควิน นึกว่านายจะไม่ยอมมาหาฉันซะแล้ว เห็นชวนทีไรก็บ่ายเบี่ยงตลอด”
เควิน คือชื่อภาษาอังกฤษของผมที่เพื่อนฝรั่งเรียกกัน จริงๆ แล้วผมชื่อ กวินทร์ ซึ่งแน่นอนว่าผมเป็นคนไทย และที่ผมมาโผล่หัวอยู่ในเมืองฝรั่งแบบนี้ก็เพราะผมเป็นนักศึกษาปริญญาโทของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในนิวยอร์กที่มาเรียนต่อในคณะนิเทศศาสตร์ แต่การมาเรียนอย่างเดียว มันทำให้ผมเครียดเสียจนแทบเป็นบ้า ดังนั้นเป้าหมายในการมานิวยอร์กของผมจึงเปลี่ยนไปตั้งแต่เดือนแรกที่มาอยู่ที่นี่ มันไม่ได้มีแค่การเรียนอย่างเดียว แต่ยังมีปาร์ตีจัดหนักและคั่วหญิงไม่เลือกหน้าอีกด้วย ทั้งหมดนี้ก็เป็นเพราะเพื่อนร่วมคณะที่เป็นคนจีนมันชวนผมมา ทำให้ไลฟ์สไตล์ของผมเปลี่ยนไปตั้งแต่บัดนั้น
“บอกแล้วนี่ว่าฉันติดทำโปรเจ็กต์ก่อนปิดเทอมกับเพื่อน ไม่เข้าใจเลยหรือไง” ผมว่าเหมือนไม่แคร์ แต่จริงๆ แล้วเสียงผมหวานหยดย้อยมากนะ
เอมิเลียยิ้มแห้งๆ เล็กน้อยที่ถูกผมถามในตอนท้าย เธอรู้ดีว่าผมเป็นพวกไม่แคร์ใครนัก ถ้าหากอยากควงผมนานๆ ก็ต้องยอมผม เพราะไม่อย่างนั้น ผมก็พร้อมจะสลัดเธอทิ้งแล้วไปคั่วกับคนใหม่ทันที จริงอยู่ที่ผมเป็นคนเอเชีย ซึ่งดูยังไงก็ไม่น่าจะใช่สเป็กของสาวฝรั่งสักเท่าไหร่ แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ผมถึงได้ป็อปปูล่าร์ในหมู่พวกเธอนัก อาจเป็นเพราะผมมีรูปร่างสูงไม่แพ้ชาวตะวันตก ทว่ามีใบหน้าอ่อนหวานและคมเข้มในขณะเดียวกันด้วยก็ได้มั้ง ถึงทำให้พวกเธอติดผมกันงอมแงมขนาดนี้ ผมก็ไม่แน่ใจนักว่าตัวเองเรียกได้ว่าเป็นคนหน้าตาดีหรือเปล่า แต่คืนไหนที่ผมออกท่องราตรี ผมไม่เคยพลาดที่จะได้เหยื่อกลับมากินเลยแม้แต่ครั้งเดียว เคยได้ยินพวกเธอพูดบ่อยๆ เหมือนกันว่าที่สนใจผมเพราะผมมีเสน่ห์และเซ็กแอพพึลสูง
ผมไม่รู้หรอกมันเป็นยังไง ที่รู้ๆ คือไม่เพียงแต่พวกผู้หญิงฝรั่งเท่านั้นที่สนใจผม บางครั้งก็มีพวกผู้ชายด้วยที่มาเสนอตัวให้ผม ไม่สิ... เรียกว่ามาขอให้ผมเสนอตัวให้จะดีกว่า เพราะพวกนั้นคิดว่าผมเป็นโฮโมฯ จะเข้าใจผิดก็ไม่แปลกแหละ เพราะถึงผมจะมีความสูงถึง 180 เซนติเมตร แต่ก็มีรูปร่างผอมบางแม้จะมีกล้ามเนื้อแน่นไปทุกส่วน ประกอบกับการที่ผมชอบแต่งตัวจัด สำหรับคนที่แต่งตัวธรรมดา มองยังไง ผมก็เป็นโฮโมฯ ชัดๆ ถึงจะเป็นอย่างนั้น ผมก็ไม่เคยอยากจะลองมีอะไรกับผู้ชายด้วยกันหรอกนะ แน่ล่ะว่าผมปฏิเสธไปทุกราย
“เข้าใจสิ แค่นี้ต้องดุด้วยเหรอ” เอมิเลียว่ากระเง้ากระงอดพลางเบียดหน้าอกอิ่มเข้ามาที่แขนผมจนผมต้องกลืนน้ำลายเอื้อก ถึงจะเคยกินเธอไปหลายครั้งแล้ว แต่ก็ต้องยอมรับเลยว่าหุ่นเธอน่าฟัดเป็นบ้า
“ไม่ได้ดุ เสียงฉันฟังดูเหมือนดุตรงไหน” ผมยิ้ม “แล้วนี่จะเข้าไปกันได้หรือยัง”
เอมิเลียนึกขึ้นได้ในตอนนี้เองว่าผมยืนอยู่ตรงนี้นานเกินไปแล้ว ก่อนเธอจะเข้าไปกระซิบบอกการ์ดว่าผมเป็นเพื่อนของเธอ ผมถูกเช็คพาสปอร์ตนิดหน่อยแล้วก็ถูกปล่อยตัวเข้ามาด้านในง่ายๆ
เสียงเพลงอิเล็กทรอนิกส์และเสียงหัวเราะร่วนดังลอดออกมาจากประตูทางเข้าเรียกให้เลือดในกายผมแล่นพล่าน อยากจะเอ็นจอยเต็มแก่ กลิ่นบุหรี่สอดไส้กัญชาลอยคละคลุ้งไปทั่วจนผมอดใจที่จะขอเอมิเลียมาดูดสักตัวไม่ได้ พอได้บุหรี่แล้ว เอมิเลียก็พาผมเข้ากลุ่มเพื่อนสาวของเธอที่นั่งเล่นโป๊กเกอร์ดวดวอดก้าอยู่ยังโซฟามุมห้อง เธอแนะนำผมพอเป็นพิธี ก่อนที่พวกเพื่อนๆ ของเธอจะร้องเสียงขรมด้วยเคยได้ยินกิตติศัพท์ของผมดี
“นี่น่ะเหรอเควินเสือผู้หญิง หล่อสมคำร่ำลือจริงๆ แฮะ” ไวโอเล็ต หนึ่งในเพื่อนของเอมิเลียทักขึ้น ผมจึงหันไปหยักยิ้มให้เธอเล็กน้อย
“ถ้าไม่ติดว่านายมากับเพื่อนฉันล่ะก็ ฉันจะชวนนายเข้าห้องน้ำแบบไม่คิดเลย” เธอว่าขึ้นมาอีก ผมรู้ดีว่าการชวนเข้าห้องน้ำนั้นคืออะไร แน่ล่ะ มันคือการพากันไปฟาดแบบอาหารจานด่วนนั่นเอง
“อย่าแม้แต่จะคิดเชียว คนนี้ของฉัน” เอมิเลียว่าเสียงแข็งเมื่อได้ยินเพื่อนสาวพูดอย่างนั้น เรียกเสียงหัวเราะของคนทั้งกลุ่มให้ดังขึ้น
“ก็แค่พูดเล่นน่า คิดมากไปได้ มาเล่นโป๊กเกอร์กันต่อเถอะ กำลังได้ที่เลย” ไวโอเล็ตรีบเปลี่ยนเรื่องก่อนที่เพื่อนเธอจะคว้าขวดวอดก้ามาฟาดหัวเธอจริงๆ “นายก็เล่นด้วยสิเควิน สนุกนะ”
พอเธอหันมาชวนผม ผมก็ตกปากรับคำทันที และแน่นอนว่าสาวๆ พวกนี้รวมหัวกันโกงให้ผมแพ้เพื่อจะมอมเหล้าผม ผมรู้แต่ผมก็ยอมเพราะกระหายแอลกอฮอล์มาเป็นอาทิตย์แล้ว ทว่าการมอมเหล้าผมไม่ได้ง่ายอย่างที่พวกเธอคิดนัก ยิ่งดื่มเยอะ เลือดนักสังสรรค์ในกายผมก็ยิ่งสูงขึ้นจนผมเริ่มจนผมกลายเป็นตัวสร้างสีสันให้กลุ่ม และนั่นก็ทำให้เอมิเลียออกอาการหวงผมมากขึ้นกว่าเดิมเป็นเท่าตัว พยายามนัวเนียตลอดเวลาจนผมอดใจไม่ไหว กอดรัดฟัดเหวี่ยงเธอต่อหน้าเพื่อนๆ ไปหลายรอบ หากแต่พอเกือบจะเข้าด้ายเข้าเข็ม เอมิเลียก็ดันเมาหลับไปเสียก่อน ผมจึงเปลี่ยนเป้าหมายมาเป็นเพื่อนๆ ของเธอในกลุ่มแทน
อย่างที่บอกว่าผมไม่แคร์ ถ้าใครตอบสนองผมไม่ได้ ผมก็พร้อมที่จะหาคนใหม่มาแทนทันที และใครคนนั้นก็คือไวโอเล็ตที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม เธอส่งสายตาหยาดเยิ้มมาให้ผมอยู่นานแล้ว ทำไมผมจะไม่รู้ว่าสายตานั่นเป็นการเชิญชวน
ผมไล่สายตามองรูปร่างใต้ชุดเดรสสีแดงสดของเธอพลางเลียริมฝีปากยั่ว ไวโอเล็ตหัวเราะเบาๆ พลันยื่นเท้ามาลูบขาผมที่ใต้โต๊ะเป็นสัญญาณให้ผมเตรียมพร้อม ไม่นานนัก เธอก็ลุกขึ้นจากโต๊ะทันทีที่เพื่อนๆ ของเธอเมาคอพับคออ่อน ผมเองก็กำลังเมาได้ที่ แต่พอเห็นโอกาสงามอย่างนั้น ผมก็เลือกที่จะคว้าไว้ ทิ้งจังหวะนิดหน่อยก่อนจะลุกตามไป
พอเลี้ยวมายังหัวมุมทางเข้าห้องน้ำ มือบางของไวโอเล็ตที่ดักรออยู่แล้วก็โอบลำคอผมไปจูบอย่างดูดดื่ม ผมสอดมือเข้าไปใต้กระโปรงเธอ กะว่าจะจัดการให้เสร็จตรงนี้ ทว่าเธอก็คว้ามือผมเอาไว้ก่อน
“ตรงนี้ไม่ได้ เดี๋ยวมีคนมาเห็น” ว่าจบก็ลากผมไปยังประตูหลังไนท์คลับซึ่งเป็นตรอกแคบๆ ร้างไร้ผู้คน มีเพียงแสงไฟสลัวๆ จากหลอดไฟเก่าๆ เท่านั้นที่ส่องมาพอให้มองเห็นบ้าง
มันจะน่าพิศสมัยมากถ้าหากไม่มีถังขยะใบใหญ่ตั้งตระหง่านส่งกลิ่นคลื่นเหียนอยู่ แต่ในเวลาอย่างนี้ อะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับการซุกไซ้ร่างอวบอั๋นตรงหน้าแล้ว ผมดันเธอไปชิดผนัง จัดการบรรเลงตามสัญชาตญาณดิบจนทุกอย่างเข้าที่ ก่อนจะล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงยีนส์ด้านหลัง ล้วงเอาซองพลาสติกทรงสี่เหลี่ยมจัสตุรัสออกมาแล้วฉีกมันออก
ไวโอเล็ตมองยางสีขาวขุ่นทรงยาวแล้วก็หัวเราะออกมาน้อยๆ
“เตรียมพร้อมดีจังนะ”
“รักสนุกก็ต้องรู้จักเซฟ” ผมบอก พลันส่งให้ไวโอเล็ตถือมันไว้ ก่อนจะเลื่อนไปปลดเข็มขัด แต่ก็ต้องส่งเสียงจึ๊ปากอย่างขัดใจเมื่อโทรศัพท์มือถือของไวโอเล็ตที่เหน็บอยู่ในร่องอกเธอดังขึ้นมา
เธอยกมือขึ้นจุปากเป็นสัญญาณให้ผมเงียบ ก่อนกดรับ ผมถอนหายใจออกมาเต็มแรง พร้อมกับไฟราคะเมื่อครู่ที่ค่อยๆ มอดลงทันทีที่รู้ว่าคู่สนทนาของเธอคือแฟนหนุ่มที่โทรมาตามเธอกลับบ้าน
“เดี๋ยวฉันก็กลับแล้ว อีกสักชั่วโมงสองชั่วโมง อะไรนะ มารออยู่ข้างหน้าแล้ว!? โอเคได้ๆ เดี๋ยวฉันออกไป”
พอวางสาย เธอก็หันมายิ้มแหยให้ผม ผมถอนหายใจออกมาอีกครั้งเมื่อรู้ว่าสังเวียนครั้งนี้ถึงเวลาล่มไม่เป็นท่า
“ขอโทษนะเควิน ไว้ครั้งหน้าฉันจะแก้ตัวให้นะ” ว่าพลางส่งถุงยางอนามัยคืนให้ผม
“ไปเถอะ เธอกับฉันคงไม่มีครั้งหน้าแล้ว” ผมตัดบทอย่างไร้เยื่อใย บอกตรงๆ ว่าโคตรจะอารมณ์เสียเลย
ไวโอเล็ตทำท่าจะพูดอะไรกับผม แต่ผมไม่สนใจ คว้าบุหรี่ขึ้นมาสูบ ทำให้เธอตัดใจแล้วหายเข้าไปด้านใน ทิ้งให้ผมยืนหัวเสียตามลำพังอยู่พักใหญ่
“บ้าฉิบ” ผมสบถเบาๆ อารมณ์อยากจะสนุกหายวับไปกับตา
ช่วยไม่ได้ สงสัยวันนี้จะไม่ใช่วันของผมแล้วล่ะ กลับบ้านนอนเลยก็แล้วกัน
ผมโยนก้นบุหรี่ทิ้งลงพื้น ใช้เท้าขยี้มันจนดับ แล้วกำซองถุงยางอนามัยไปทิ้งที่ถังขยะใกล้ๆ หากแต่ก็ต้องชะงักเมื่อสายตามองเห็นเงาตะคุ่มของใครบางคนกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่ข้างๆ ถังขยะใบนั้นในอีกฝั่ง
ผมคิดในใจว่าเขาต้องรู้แน่ว่าเมื่อกี้ผมทำอะไร เพราะถึงจะไม่เห็นแต่ก็ได้ยินเสียงอยู่ดี ทว่าพอเห็นสภาพทรงตัวไม่ได้ของเขาแล้ว ผมก็โล่งใจ สงสัยหมอนี่คงจะเมาไม่รู้เรื่องอะไรแล้วมั้ง
ผมโยนของในมือทิ้ง สายตาก็ยังจับจ้องที่เขา ที่มองไม่วางตาอย่างนี้ก็เพราะเสื้อผ้าที่เขาใส่ดูประหลาดตาจนเกินกว่าจะคนปกติจะใส่ออกมาเดินตามท้องถนนได้ ก็ชุดที่เขาใส่น่ะ มันเป็นชุดบอดี้สูทรัดรูปสีเงินเมื่อม ดูเผินๆ เหมือนกับชุดของสป็อค มนุษย์ต่างดาวในภาพยนตร์เรื่องสตาร์ เทรค ไม่ผิดเพี้ยน ต่างกันก็แค่ตรงสีกับความเงาเท่านั้น ผมเกือบจะหลุดหัวเราะออกมาแล้วถ้าหากว่าจู่ๆ เขาไม่เงยหน้าขึ้นมาให้ผมเห็นเสียก่อน
แสงไฟสลัวตกกระทบใบหน้าเขาทำเอาผมนิ่งค้างไปชั่วขณะ ให้ตายเถอะ ผู้ชายคนนี้หล่อมาก แม้แต่ผมที่ไม่เคยชายตามองผู้ชายด้วยกันมาก่อนยังอดชมไม่ได้ แม้จะเปรอะเปื้อนไปด้วยปื้นดำๆ แต่ก็ไม่สามารถบดบังรูปหน้าสมมาตรได้เลย จมูกเป็นสันคมรับกับแนวกรามเป็นอย่างดี มองอย่างไรก็ไม่ต่างจากเทพบุตรกรีก
ผมทรุดตัวนั่งยอง ปัดปอยผมสีเฮเซลนัทที่ปรกหน้าผากเขาออก พลางถามเสียงเบา
“เฮ้ นายโอเคมั้ย”
เขาค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้นมา และผมก็ต้องตะลึงงันไปอีกรอบเมื่อเห็นดวงตาสีเทาสว่างของเขา
ผู้ชายคนนี้... มีเสน่ห์น่าดูเลยแฮะ นี่ล่ะมั้งที่เรียกว่าเซ็กส์แอพพึล
“จะให้เรียกแท็กซี่ให้มั้ย ดูท่าทางนายจะเมาหนักแล้วนะ”
ผมว่า เดาเอาเองว่าเขาคงจะเป็นลูกค้าของไนท์คลับแห่งนี้เหมือนกัน รูปร่างหน้าตาอย่างนี้ ไม่พ้นเป็นนายแบบไม่ก็ลูกคนรวยที่ไหนสักที่แน่ๆ แต่ผมไม่คุ้นหน้าเขาเลยแฮะ ถ้าเป็นลูกค้าวีไอพีของที่นี่ อย่างน้อยๆ ผมก็ต้องเคยเห็นเขา ไม่ก็ต้องเคยได้ยินสาวๆ พูดถึงบ้างสิ หล่อขนาดนี้จะถูกเมินนี่เป็นไปไมได้เลย
เขาไม่ตอบ มองผมตาปรือ พลันไอโขลกออกมาขนานใหญ่
“เฮ้ ไหวมั้ย” ผมรีบพยุงเขา ก่อนที่มือจะสัมผัสเข้ากับของเหลวบางอย่างที่ไหลซึมมาจากสีข้างของร่างใหญ่ แค่ของเหลวอย่างเดียวยังไม่เท่าไหร่ นี่ยังมีแท่งอะไรบางอย่างปักอยู่บนตัวเขาด้วย
ผมใจหายวาบ รู้ได้ในทันทีว่ามันคือมีด และเขาก็คงจะถูกทำร้ายมา
“เดี๋ยวฉันโทรแจ้งตำรวจให้” ผมรีบบอกเร็วๆ พลันดึงมือออกมา หมายจะล้วงเอาโทรศัพท์โทรหาตำรวจ ทว่าก็ต้องชะงักเมื่อเห็นสีของของเหลวที่เปื้อนมือ
มันไม่ใช่สีแดงอย่างที่ควรจะเป็น แต่มันเป็นสีเขียว... สีเขียวอ่อนซะด้วย!
ผมเบิกตาโพลง กลิ่นคาวของมันทำให้ผมมั่นใจว่ามันคือเลือด แต่สีเขียวอ่อนอย่างนี้ ผมอดคิดไม่ได้เลยว่านี่เป็นการเล่นตลกอะไรของพวกลูกหลานคนไฮโซ เพราะเจ้าคนพวกนี้ชอบแกล้งกันอยู่เนืองนิตย์ โดยเฉพาะพวกที่มาเที่ยวที่นี่
“นี่มันบ้าอะไรเนี่ย!” เท่านั้น ผมก็หัวเสียทันที
เขาไม่ตอบ แต่ยื่นมือมาจับไหล่ผมไว้มั่นแทน
“ขะ...ขอ...” น้ำเสียงขาดห้วงไป ทำเอาผมย่นคิ้วยุ่ง
“อะไร”
“ขอวางไข่หน่อย...”
“อะไรนะ!” ผมถามเสียงดัง ไม่แน่ใจนักว่าสิ่งที่เขาพูดมันใช่ประโยคเดียวกับที่ตัวเองได้ยินหรือเปล่า
“ขอวางไข่...” เขาตอบผมด้วยน้ำเสียงแหบแห้งอีกครั้ง
วางไข่อะไรวะ!
ผมทำท่าจะลุกหนีเพราะเห็นว่าการคุยกับเขามันทำให้ผมหัวเสียกว่าเดิม หากแต่พอผมจะลุกขึ้น มือใหญ่ที่จับไหล่ผมอยู่ก็ออกแรงดึงร่างผมให้เข้าไปใกล้ ก่อนที่เขาจะจรดริมฝีปากหยักลงมาบนเรียวปากผม มิหนำซ้ำ ยังพยายามดุนลิ้นเข้ามาข้างในด้วย ทำให้ผมผลักเขาออกเต็มแรง
“ทำเวรอะไรเนี่ย!”
เขาไม่ตอบเช่นเคย และไม่ยอมปล่อยให้ผมไปไหนด้วย พอผมผละออก เขาก็รีบพยุงตัวเองขึ้น แล้วดึงผมเข้าไปจูบอีกครั้ง การจูบครั้งนี้รุนแรงและหนักหน่วงกว่าครั้งแรกมาก เขาแทบจะไม่รั้งรอที่จะดุนลิ้นนุ่มเข้ามาในโพรงปากผมเลยแม้แต่น้อย ผมพยายามจะสะบัดหน้าหนีแต่ก็รู้สึกเหมือนว่าเขามีตรึงไว้ให้อยู่กับที่จนขยับไม่ได้ ครู่เดียว ผมก็รู้สึกถึงวัตถุทรงกลมบางอย่าง ขนาดเท่าเมล็ดถั่วแมคคาเดเมียในปากผม ผมพยายามจะขย้อนมันออก แต่อีกฝ่ายใช้ลิ้นดันมันเข้ามาลึกเรื่อยๆ จนผมต้องกลืนมันลงไปอย่างไร้ทางเลือก
และพอผมกลืนมันลงไป เขาก็ถอนริมฝีปากออกมา ผมได้สติในตอนนี้ พลันง้างหมัด กระชากคอเสื้อเขาเตรียมจะซัดทันใด
“คิดว่าตัวเองทำอะไรอยู่วะ!”
“วางไข่...” เขาว่ามาเท่านี้ ก่อนที่ดวงตาคู่สวยจะค่อยๆ ปรือและปิดลง พร้อมกับร่างใหญ่ที่อ่อนปวกเปียกทรุดไปกับพื้น
ผมรีบปล่อยมือออกจากเขาทันทีที่เห็นใบหน้าหล่อซีดเผือดราวไร้เลือด ความโมโหเมื่อครู่มลายหายไป เหลือเพียงความตกใจที่จู่ๆ ก็เห็นเขาฟุบแน่นิ่งไป
“นะ...นาย... เฮ้ เป็นอะไรน่ะ” ผมถาม
เขาไม่ไหวติง ผมจึงรวบรวมความกล้า ยื่นมือไปสะกิดเขา แต่ผลลัพธ์ก็เหมือนเดิม ไม่มีการตอบรับใดๆ จากร่างใหญ่แม้แต่น้อย ซ้ำร้าย ร่างนั้นยังค่อยๆ เย็นชืดจนก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายผมเต้นถี่จนแทบจะระเบิดออกมาให้ได้ ผมรวบรวมความกล้า ยื่นนิ้วอันสั่นเทาไปอังจมูกเขาใกล้ๆ
มะ...ไม่หายใจ!
ผมเด้งตัวขึ้นยืนทันที
ฉิบหายละ จูบกันอยู่ดีๆ ก็ตายซะงั้น ซวยแล้วไอ้กวินทร์!
ผมยืนทึ้งหัวตัวเองอย่างตระหนก หันซ้ายหันขวา ไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี ใจหนึ่งก็อยากจะโทรแจ้งตำรวจ แต่อีกใจก็กลัวว่าถ้าโทรแจ้งไป ผมจะกลายเป็นผู้ต้องสงสัยหมายเลขหนึ่งในข้อหาฆาตกรรม เพราะก่อนหน้านี้ ผมเพิ่งจะจับด้ามมีดที่ปักตัวเขาไปหมาดๆ ถ้าเป็นอย่างนั้นล่ะก็ ผมหมดอนาคตแน่
แล้วความเห็นแก่ตัวก็เข้าครอบงำผม ผมรีบถอดเสื้อตัวเองออก เอามาเช็ดรอยนิ้วมือของตัวเองบนด้ามมีดที่ตัวเขา แล้วสวมกลับเหมือนเดิม ก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปในไนท์คลับและมุ่งหน้ากลับบ้านอย่างรวดเร็ว
ใครมันจะอยู่ให้โดนจับกัน! คนที่จะโดนจับคือฆาตกร ไม่ใช่กวินทร์คนนี้เว้ย!

 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-12-2015 14:36:21 โดย NooDangzz »

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
 
Episode 01: Giving birth

6 ชั่วโมงหลังหลบหนี (เวลา 09.00 น.)

ก๊อกๆๆ...
“ใครครับ”
“นักสืบทราวิสจากสำนักงานนักสืบ ผมมีเรื่องอยากจะถามคุณสักหน่อย”
“เรื่องอะไรครับ”
“เรื่องชายนิรนามที่กลายเป็นศพหลังไนท์คลับ คุณตกเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีฆาตกรรม ผมคงต้องขออนุญาตเชิญคุณไปคุยแบบส่วนตัวที่โรงพัก”
“ชะ...ชายนิรนามไหน ผมไม่รู้เรื่อง เฮ้! อย่ามาจับตัวผมนะ! ปล่อย!”
“คุณมีสิทธิ์ที่จะไม่พูด เพราะสิ่งที่คุณพูด เราจะใช้ปรักปรำคุณในชั้นศาลได้ คุณมีสิทธิที่จะเรียกทนายความ หากคุณไม่มีทนาย ทางรัฐจะจัดหาให้ คุณมีสิทธิ์ที่จะไม่ตอบคำถามใดๆ คุณเข้าใจสิทธิที่แจ้งมา เชิญไปโรงพัก”
“ผมไม่เข้าใจอะไรทั้งนั้น! ผมไม่รู้เรื่อง! ปล่อยนะเว้ย!”
ปิ๊บ!
ผมกดรีโมทปิดโทรทัศน์ที่กำลังฉายซีรีย์ชื่อดังที่มีนักสืบหนุ่มหน้าหล่อนามทราวิสเป็นตัวดำเนินเรื่อง พลันใช้นิ้วมือคลึงบริเวณหัวคิ้วอย่างหัวเสีย ทำไมไอ้ซีรีย์บ้านี่ถึงได้มาฉายในเวลาประจวบเหมาะกับเหตุการณ์ที่ผมประสบมาเมื่อคืนด้วยก็ไม่รู้ คนยิ่งกังวลๆ อยู่ว่าจะมีตำรวจตามมาจับตัวถึงบ้านเหมือนกับไอ้อ้วนโง่เง่าในซีรีย์นั่น
ผมลุกขึ้นยืน เดินไปเดินมาทั่วห้องเมื่อนึกถึงภาพชายร่างใหญ่ล้มฟุบหมดลมหายใจไปต่อหน้าต่อมา ตั้งแต่กลับมาจากไนท์คลับเมื่อตอนตีสามและซุกตัวอยู่ที่อพาร์ตเม้นต์ของตัวเองย่านบรูคลิน ผมก็มีอาการพารานอยด์ไม่หยุดจนถึงตอนนี้ ผมไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรต่อจากนี้ดี จะแจ้งตำรวจก็กลัวว่าตัวเองจะซวยเพราะเป็นคนสุดท้ายที่อยู่กับศพนั่น แต่จะเก็บตัวเงียบอย่างนี้ ผมก็วางตัวปกติไม่ได้อีก
คนตายต่อหน้าต่อตาเลยนะ! จะให้ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้ไง!
ผมกดรีโมทเปิดโทรทัศน์อีกครั้ง เปลี่ยนช่องไล่หาช่องข่าวพร้อมกับเหงื่อกาฬที่ผุดพรายขึ้นบนใบหน้า ที่ผมต้องไล่หาข่าวอย่างนี้ทั้งคืนก็เพราะผมอยากจะรู้ว่าป่านนี้มีใครไปเจอศพผู้ชายคนนั้นหรือยัง แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีข่าวของผู้ชายคนนั้นเลยแม้แต่ข่าวเดียว จนผมอดคิดไม่ได้ว่ามันแปลกๆ ที่ไม่มีใครไปเจอศพเขา นี่มันก็ผ่านมาหลายชั่วโมงแล้วนะ อย่างน้อยๆ ก็ต้องมีพวกพนักงานไนท์คลับ ไม่ก็พวกพนักงานทำความสะอาดออกไปทิ้งขยะหลังร้านบ้างสิ
เอ... หรือว่าจะเจอศพแล้ว แต่ตำรวจยังไม่ยอมให้ปล่อยข่าวกัน? แต่ถ้าตำรวจเจอศพแล้ว แสดงว่าตอนนี้คงถึงขั้นตอนเสาะหาตัวคนร้ายแล้วล่ะมั้ง
ผมคิดวุ่นไปทั่ว เผลอยกนิ้วมือขึ้นมากัดเล็บอย่างลืมตัว ก่อนจะสะดุ้งไปเมื่อเสียงโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะหน้าโซฟาร้องลั่น พอตั้งสติได้ ผมก็เอื้อมมือไปคว้ามันมาดูชื่อคนโทรเข้าที่หน้าจอแล้วกดรับอย่างหงุดหงิด
“ว่า?”
[เมื่อคืนนายทิ้งฉันแล้วหนีกลับก่อนได้ยังไง แถมยังปล่อยให้ฉันนอนที่แบล็กชาโดว์จนถึงเช้าอีก นายใจร้ายมากเกินไปแล้วนะ]
เอมิเลียกรอกเสียงขุ่นๆ มาตามสาย ทำเอาผมย่นคิ้วยู่ที่จู่ๆ เธอก็โผล่มาวีนไม่รู้จังหวะ
“ก็เธอเมาพับ แล้วฉันก็เหนื่อยด้วย เลยกลับมาก่อน”
[ไม่ใช่ว่าตอนฉันเมา นายควงคนอื่นไปฟาดกันที่ไหนหรอกนะ]
เอมิเลียทำผมหงุดหงิดมากกว่าเดิมเป็นเท่าตัวเมื่อเธอพูดประโยคนี้ขึ้นมา ผมรู้ว่าเธอระแวง แต่มันใช่เวลาที่จะมาสร้างความรำคาญให้ผมมั้ย
“ถ้าเธอไม่เชื่อใจ ก็ไม่ต้องมายุ่งกัน รำคาญ!” ผมขึ้นเสียงเล็กน้อยตามอารมณ์
อีกฝ่ายชะงักไป ก่อนจะตามมาด้วยเสียงหวานทันควัน
[ฉันก็แค่ถามเฉยๆ ทำไมต้องโมโหด้วย อย่าโกรธกันเลยนะ นายก็รู้ว่าฉันชอบนายมาก ฉันเลยหวงเป็นธรรมดา ขอโทษนะเควิน อยากได้อะไรเป็นพิเศษมั้ยล่ะ เดี๋ยวฉันซื้อไถ่โทษให้]
เธอทักจะเอาสิ่งของมาล่ออย่างนี้ตลอดเวลาทำให้ผมหัวเสีย แต่เอาจริงๆ ผมก็ไม่เคยขอให้เธอซื้ออะไรให้นะ นอกจากเธอจะซื้อให้เอง
“ช่างมันเถอะ” ผมตอบส่งๆ ด้วยไม่อยากจะต่อความยาวสาวความยืด ทว่าเอมิเลียก็ยังไม่หยุด
[งั้นมาเจอกันตอนนี้มั้ยล่ะ เดี๋ยวฉันจะบริการอย่างเต็มที่เลย]
บริการที่เธอว่าก็คือเรื่องเซ็กส์นั่นแหละ
“ไม่ต้อง วันนี้ฉันปวดหัว อยากจะพัก” ผมตอบปฏิเสธโดยแทบไม่ต้องคิด ถ้าเป็นเวลาปกติ ผมคงจะไม่รีรอที่จะตอบรับเธอไปแล้ว
[ไม่ค่อยสบายเหรอ ให้ฉันไปหาที่ห้องมั้ย] เธอเสนอขึ้นมาอีก
“บอกว่าไม่ต้อง ให้ฉันอยู่คนเดียว อย่ามาวุ่นวายกับฉันจนกว่าฉันจะติดต่อกลับไปเองก็พอ”
[เดี๋ยวสิเควิน แต่ว่าฉันอยากเจอ...ตู๊ดๆๆ]
ผมกดวางสายเอาดื้อๆ ไม่สนใจเสียงของเอมิเลียที่ร้องเรียกแต่อย่างใด พลันทรุดตัวลงนั่งบนโซฟา ทึ้งผมตัวเองไปมาอยู่ครู่หนึ่งด้วยความกลัดกลุ้มยังคงเกาะกุมจิตใจ พลันก็นึกขึ้นมาได้ว่าเอมิเลียที่โทรมาหาเมื่อครู่ไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไรกับเหตุการณ์ที่ผมเจอเมื่อคืนเลยแม้แต่น้อย ทำเอาผมฉุกใจ โทรกลับไปหาเธออีกครั้ง
“เอมิเลีย”
[โทรกลับมาอย่างนี้ แสดงว่าจะให้ฉันไปหาสินะ] เธอว่าด้วยน้ำเสียงเริงรื่น
“เปล่า ฉันแค่มีเรื่องจะถาม”
[เรื่องอะไร]
“แบบว่า...” ผมเงียบไปครู่ ชั่งใจว่าจะพูดอย่างไรให้เอมิเลียไม่เอะใจดีว่าผมมีส่วนรู้เห็นกับการตายของผู้ชายคนนั้น
[แบบว่าอะไร] เอมิเลียเร่งเร้า ให้ผมโพล่งออกไป
“แบบว่าที่ไนท์คลับน่ะ มีอะไรแปลกๆ มั้ยตอนที่เธอกลับออกมา”
[อะไรเหรอที่ว่าแปลกๆ]
“ก็แบบ... เรื่องร้ายๆ หรือเรื่องน่าตกใจอะไรประมาณนี้” ผมว่าอ้อมๆ เอมิเลียเงียบไปครู่แล้วก็ตอบกลับมา
[ก็ไม่นะ เรื่องร้ายๆ เรื่องเดียวที่ฉันเจอก็คือตื่นมาแล้วเห็นว่านายหนีกลับไปก่อนนี่แหละ]
พอได้ยินอย่างนี้ ผมก็โล่งใจขึ้นมาเปาะหนึ่ง ถ้าเอมิเลียที่อยู่ในที่เกิดเหตุจนถึงเช้าไม่รู้ ก็แสดงว่ายังไม่มีใครไปเจอศพแหงๆ
[ถามอะไรแปลกๆ นี่มีอะไรหรือเปล่า ให้ฉันไปหาที่ห้องมั้ย]
เธอก็วกกลับมาเรื่องเดิมอีกจนได้ นี่ก็อยากจะมาหาผมให้ได้เลยสินะ
“ไม่ต้อง” สุดท้าย ผมก็ตัดบทโดยการตัดสายไปอีกครั้ง
คงจะต้องรอดูต่อไปอีกสักหน่อยก่อน ไม่แน่ว่าอีกสักพักอาจจะมีข่าวออกมาก็ได้
 
10 ชั่วโมงหลังหลบหนี (เวลา 13.00 น.)

ผมยังคงนั่งประจำที่โซฟา สายตาจับจ้องไปยังจอโทรทัศน์ที่กำลังรายงานข่าวอย่างใจจดจ่อ ไม่นานนัก รายงานข่าวก็จบลงและไร้ซึ่งข่าวที่ผมเฝ้ารออีกเช่นเคย ผมถอนหายใจยาว ไม่รู้ว่าถอนหายใจเพราะโล่งใจที่ไม่ได้เห็นมัน หรือถอนหายใจที่ไม่รู้ชะตากรรมของตัวเองหลังจากนี้สักที
ผมเปลี่ยนช่องหารายการข่าวอีกครั้ง ก่อนจะหยุดลงที่ช่องหนึ่งแล้วเอนหลังพิงพนักโซฟาอย่างไร้เรี่ยวแรง ผมไม่แปลกใจนักว่าทำไมผมมีสภาพเหมือนจะตายให้ได้อย่างนี้ เพราะตั้งแต่กลับมาถึงห้องเมื่อคืน ผมก็ยังไม่ได้นอนเลยแม้แต่งีบเดียว แถมยังไม่ได้กินอะไรด้วย เอาแต่เฝ้าระแวงจนไม่เป็นอันทำอะไร มิหนำซ้ำ ตอนนี้ผมก็เริ่มจะปวดหัวหนึบขึ้นมาด้วยแล้ว ทั้งปวดหัวจากอาการแฮ้งค์เมื่อคืน และปวดหัวเพราะเครียดเรื่องบ้าๆ นี้ด้วย ปวดจนแทบจะระเบิดออกมาให้ได้
ผมหลับตาลง นวดคลึงขมับไปมาด้วยหวังว่าจะทำให้อาการปวดบรรเทาลงได้บ้าง แต่เปล่าเลย นอกจากจะไม่บรรเทาแล้ว ยังจะมีอาการคลื่นไส้แทรกซ้อนขึ้นมาอีก ก่อนตัดสินใจลุกขึ้นมาหายาแก้ปวดกิน ทว่าไอ้สลากยาบนขวดสีขาวมันดันระบุไว้ว่าให้ทานหลังอาหาร ผมก็เลยต้องไปจัดการเปิดตู้เย็น หาอะไรมายัดลงกระเพาะเพื่อรองท้องสักหน่อยก่อน
อาหารแช่แข็งค้างคืนตั้งแต่เมื่อวานก่อนถูกเอามาอุ่นในไมโครเวฟ ผมทรุดตัวนั่งบนเก้าอี้ เตรียมจะจัดการสปาเก็ตตี้ที่เหลืออยู่ครึ่งกล่องเข้าปาก ทว่าพอเปิดกล่องมันออกมา กลิ่นของมันก็ปะทะเข้าจมูกผมอย่างจัง มันก็เป็นกลิ่นสปาเก็ตตี้นี่แหละ แต่ไม่รู้ทำไมผมถึงได้รู้สึกว่ากลิ่นมันชวนคลื่นเหียนอย่างบอกไม่ถูก จนผมต้องหันไปไอโขลกตัวโยนอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะตั้งสติ หันกลับมากลั้นใจตักมันเข้าปาก และพอผมส่งเส้นสปาเก็ตตี้เข้าไปในปากได้ อาการคลื่นไส้ก็รุนแรงขึ้นจนผมต้องรีบวางส้อมลง แล้ววิ่งพรวดไปยังซิงค์ล้างจาน สำรอกมันออกมาในทันใด
พอกลับมาสู่ภาวะปกติ ผมก็เดินกลับมายกกล่องสปาเก็ตตี้นั่นทิ้งลงถังขยะ กระเดือกยาแก้ปวดลงคอโดยไม่สนว่าจำเป็นต้องมีอะไรลงท้องก่อนหรือไม่ แล้วกลับมาที่ห้องนั่งเล่นในสภาพอิดโรย
ให้ตายเถอะ... สงสัยจะเครียดมากเกินไปแน่ๆ
 
15 ชั่วโมงหลังหลบหนี (เวลา 18.00 น.)

ฤทธิ์ของยาแก้ปวดและความอ่อนเพลียที่สั่งสมมาตลอดทั้งคืนทำให้ผมผล็อยหลับไปตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ รู้สึกตัวตื่นอีกทีก็ตอนได้ยินเสียงอินโทรของรายการข่าวจากสถานีโทรทัศน์ช่องหนึ่งดังเข้ามาในหู ผมดันตัวเองขึ้นนั่งตัวตรง สายตาจับจ้องไปยังจอโทรทัศน์อย่างใจจดจ่ออีกครั้ง
และก็เช่นเคย ยังไม่มีข่าวของผู้ชายคนนั้น ไม่ว่าจะเปลี่ยนไปช่องไหนๆ ก็ไร้วี่แววจนผมชักจะเอะใจแล้วว่าสถานการณ์ที่กำลังเผชิญอยู่มันแปลกๆ ไม่แน่ว่า บางทีผู้ชายคนนั้นอาจจะไม่ตายก็ได้ อาจจะหยุดหายใจไปตอนที่ผมอยู่ที่นั่น แล้วก็กลับมาหายใจเหมือนเดิม เดินกลับบ้านหน้าตาเฉยก็เป็นได้
ทว่าคิดเข้าข้างตัวเองไปก็เท่านั้น มันจะเป็นไปได้ยังไงที่หยุดหายใจแล้วกลับมาหายใจเหมือนเดิม ถ้าเป็นอย่างนั้น ก็นิยายแฟนตาซีเกินไปแล้ว!
หรือผมควรจะไปดูให้เห็นกับตาตัวเองดีว่าศพยังอยู่ตรงนั้นหรือเปล่า?
...บ้าแล้ว ถ้าไปแล้วเจอศพอยู่ที่เดิมแล้วผมจะทำอะไรต่อได้ล่ะ ซ่อนศพเหรอ? ไม่มีทางเลย โผล่หัวไปอย่างนั้น รังแต่จะทำให้ตัวเองตกเป็นผู้ต้องสงสัยมากขึ้นเปล่าๆ ทำตัวเฉยๆ รอดูข่าวอยู่ที่บ้านนี่แหละเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้ว
ผมปลอบใจตัวเอง ก่อนจะลุกขึ้นไปในครัวอีกครั้งเมื่อเห็นว่าถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว จริงๆ แล้วผมก็ไม่ใช่คนกินอาหารตรงเวลาอะไรนัก แต่ที่พยายามพาตัวเองไปหาอะไรกินก็เพราะว่าวันนี้ทั้งวันผมยังไม่มีอะไรตกถึงท้อง นอกจากยาแก้ปวดและน้ำเปล่าเท่านั้น
ผมสอดส่ายสายตามองวัตถุดิบในตู้เย็น พิจารณาอยู่ครู่หนึ่งว่าจะทำอะไรกินดี เพราะตอนนี้ไม่มีอาหารกล่องแช่แข็งหลงเหลืออยู่แล้ว ปกติแล้วผมทำอาหารกินเองนะ แต่ส่วนใหญ่จะขี้เกียจเลยชอบซื้ออาหารกล่องแช่แข็งมาแช่ทิ้งเอาไว้มากกว่า มันสะดวกและเร็วดี เหมาะกับคนที่ไม่ชอบอะไรจุกจิกอย่างผม
ระหว่างกำลังเลือกวัตถุดิบและคิดว่าจะทำเมนูอะไร สายตาก็ปะทะเข้ากับเลม่อนสีเหลืองสดลูกโตเข้า พลันน้ำลายในปากก็หลั่งเยอะกว่าปกติจนน่าแปลกใจ มิหนำซ้ำ ยังมีประโยคแปลกๆ ลอยเข้ามาในหัวอีกด้วย
เปรี้ยวปาก...
ผมไม่รู้ว่าอาการนี้มันเป็นผลข้างเคียงจากความเครียดหรือเปล่า แต่ผมก็ไม่สนใจจะหาคำตอบนัก นอกจากเอื้อมมือไปหยิบมะนาวลูกนั้นมาฝานเป็นแผ่นบางๆ แล้วโรยเกลือนิดหน่อย ก่อนจะจับบีบเข้าปากอย่างกระหาย
มันไม่ได้ทำให้ผมอิ่มท้องเลยสักนิด แต่มันช่วยบรรเทาอาการคลื่นไส้ที่ยังหลงเหลืออยู่ได้พอสมควร เพียงเวลาไม่นาน เลม่อนลูกนั้นก็ถูกผมดูดกลืนน้ำไปจนหมดสิ้น ผมมองจานที่มีเลม่อนฝานเหลืออยู่เพียงชิ้นเดียวนิ่งๆ ไม่รู้ตัวเลยว่าผมจัดการมันไปเกือบหมดตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ที่รู้ๆ คือ มันไม่พอ ผมอยากกินอีก ....อยากกินมากกว่านี้
ผมรีบจัดการบีบน้ำรสเปรี้ยวจากเลม่อนชิ้นสุดท้ายเข้าปาก แล้วไปแต่งตัว ออกไปซูเปอร์มาร์เก็ตที่อยู่ใกล้ๆ กับละแวกที่พักทันใด
 
20 ชั่วโมงหลังหลบหนี (เวลา 22.00 น.)

หลังจากที่ผมกลับมาที่ห้องอีกครั้งพร้อมกับเลม่อนกว่าสิบลูก ผมก็ผล็อยหลับไปอีกครั้ง ไม่รู้ทำไมวันนี้ผมถึงอ่อนเพลียมากกว่าปกติเหลือเกิน ทั้งๆ ที่ถ้าอดนอนหรือเมาแฮ้งค์ นอนไม่เกินสิบชั่วโมง ผมก็กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้แล้ว
นี่ต้องเป็นเพราะผมเครียดจัดด้วยแน่ๆ ร่างกายถึงได้มีอาการแปลกๆ แบบนี้
ผมดันตัวขึ้นนั่ง เอื้อมตัวไปคว้ารีโมทที่วางอยู่ข้างจานเลม่อนซึ่งเหลือแต่เปลือกมาเปิดโทรทัศน์ดูข่าวต้นชั่วโมงอีกครั้ง ผลยังคงเหมือนเดิม... ไม่มีข่าว ไม่มีการพูดถึง ไม่มีอะไรเลย
สงสัยจะยังไม่มีใครพบศพจริงๆ...
ผมถอนหายใจอย่างโล่งอก อย่างน้อยๆ ผมก็รอดจากการตกเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีฆาตกรรมหนุ่มหน้าหล่อคนนั้นไปอีกคืน
ผมปิดโทรทัศน์ ลุกขึ้นยืน กะว่าจะไปล้างหน้าล้างตาแล้วเข้านอน พรุ่งนี้ค่อยตื่นมาลุ้นใหม่ ทว่าในจังหวะที่ลุกขึ้น ผมก็เกิดวิงเวียนศีรษะอย่างรุนแรงจนต้องทรุดตัวนั่งลงไปบนโซฟาอีกครั้ง ในจังหวะนี้เองที่ผมสังเกตเห็นว่าร่างกายของตัวเองมันเปลี่ยนไป หน้าท้องภายใต้เสื้อยืดป่องยื่นออกมาทำให้ผมเบิกตาโพลง รีบถลกเสื้อขึ้นดูทันใด ก่อนจะตกใจหนักกว่าเดิมเมื่อเห็นว่าหน้าท้องแบนราบที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามซิกแพ็ค บัดนี้กลายเป็นวันแพ็คเหมือนกับท้องของคนท้องก็ไม่ปาน แถมสะดือยังจุ่นออกมาจนเหมือนจะระเบิดให้ได้อีกด้วยทั้งที่จริงๆ แล้ว ผมเป็นคนสะดือโบ๋
ผมรีบตั้งสติ ข่มความวิงเวียนนั่นทิ้งไปแล้วรีบกลั้นใจวิ่งไปยังห้องน้ำ ถอดเสื้อออกแล้วส่องกระจกมองซ้ายมองขวาด้วยสีหน้าตื่นๆ ทันใด
“อะ...อะไรวะเนี่ย” ผมครางออกมาอย่างไม่เชื่อสายตา
นี่มันท้องของคนท้องชัดๆ เลยให้ตาย! เกิดอะไรขึ้นกับผมเนี่ย! หรือว่าจะเป็นเพราะผมกินเลม่อนแบบไม่บันยะบันยังเข้าไปกัน!? หรือจะป่วย? ท้องผูก? ท้องมาน? มะเร็ง?
เป็นเวรอะไรวะ!
ผมแทบจะร้องไห้ออกมาเมื่อเห็นตัวเองในสภาพที่ไม่น่าดูนัก พระเจ้าเล่นตลกอะไรกับผมหนักหนา แค่เห็นคนตายต่อหน้าแล้วต้องมานั่งกังวลว่าตัวเองจะตกเป็นผู้ต้องสงสัยคดีฆาตกรรมยังไม่พออีกหรือไง ทำไมต้องมาทำให้เรื่องมันยุ่งยากไปมากกว่าเดิมด้วย
“โอเคไอ้กวินทร์ มันก็แค่ท้องอืด... แค่ท้องอืด ขี้ออกเดี๋ยวก็หาย”
ผมสูดหายใจเข้าเต็มปอด ปลอบตัวเองอย่างเต็มที่ ก่อนถอดกางเกงออก ไปนั่งบนโถชักโครกอย่างไม่รีรอ ครึ่งชั่วโมงผ่านไป ไม่มีอะไรหลุดไหลออกมาจากปากประตูหลังเลยแม้แต่น้อย จากที่พยายามปลอบตัวเองในตอนแรกว่าแค่ท้องอืด ตอนนี้ผมคิดเข้าข้างตัวเองไม่ลงแล้วว่ามันเป็นแค่นั้น
พระเจ้าลงโทษผมเข้าให้แล้ว!
ท้องโตขนาดนี้มันไม่ใช่ท้องอืดแล้ว ต้องมีอะไรร้ายแรงกว่านั้นแน่นอน และคนที่จะช่วยผมได้มีเพียงคนเดียวเท่านั้น ซึ่งนั่นก็คือหมอ!
ผมพาตัวเองออกจากห้องน้ำ ไปแต่งตัวในห้องนอนอย่างรนๆ ในจังหวะที่ผมกำลังจะสวมเสื้อนั่นเอง ความเจ็บแปลบก็แล่นพล่านขึ้นมาทั่วหน้าท้องจนผมต้องเบ้หน้า ยกมือกุมท้องตัวเองทันใด
“เป็นเวรอะไรอีกวะ” ผมสบถ พยายามจะใส่เสื้ออีกครั้ง แต่ก็ต้องละความพยายามเมื่อความเจ็บปวดมันเพิ่มมากขึ้นจนผมพยุงตัวให้ยืนไว้ไม่ไหว
ปวดจนหน้ามืดเป็นยังไงรู้ได้ก็ในตอนนี้...
ผมทรุดตัวลงกับพื้น ค่อยๆ คลานพาตัวเองไปที่เตียงอย่างทุลักทุเล พอทิ้งตัวลงนอนได้ ก็ควานหาโทรศัพท์มือถือ กะว่าจะโทรเรียกรถพยาบาลให้มารับเพราะดูท่าทางแล้ว ผมคงจะไปโรงพยาบาลด้วยตัวเองไม่ไหว ก่อนจะตระหนักได้ว่าผมทิ้งโทรศัพท์ไว้ที่หน้าโทรทัศน์ในห้องนั่งเล่น
เวรจริงๆ... พักสักหน่อยแล้วกันแล้วกัน ดีขึ้นเมื่อไหร่แล้วค่อยออกไปโทร
 
24 ชั่วโมงหลังหลบหนี (เวลา 02.00 น.)
จากตอนแรกที่ตั้งใจว่าจะพักแค่ครู่เดียว ก็กลายเป็นว่าผมผล็อยหลับไปอีกแล้ว ตื่นขึ้นมาอีกทีก็ตอนรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างขยับอยู่ใต้ผิวหนังหน้าท้องของผม ผมปรือตาขึ้นอย่างงัวเงีย ยกมือคลำไปยังหน้าท้องก่อนจะรีบชักมือออกเมื่อมีอะไรบางอย่างเคลื่อนไหวมาโดนฝ่ามือเข้าอย่างจัง พลันรีบขยับไปเปิดโคมไฟที่หัวเตียง มองสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองอย่างตื่นๆ
หนะ...หน้าท้องขยับจริงๆ ด้วย!
ใจผมเต้นแรงจนได้ยินเสียงหัวใจตัวเอง แล้วผมก็ต้องตกใจหนักขึ้นกว่าเดิมเมื่อเห็นว่ามีของเหลวสีใสบางอย่างค่อยๆ ซึมออกมาจากสะดือ
ผมทำใจกล้า ค่อยๆ ยื่นมือสั่นเทาไปแตะของเหลวนั้นมาดูใกล้ๆ สัมผัสเหนียวเหนอะของมันทำให้ผมนึกถึงน้ำเมือกอะไรบางอย่าง และมันก็ยิ่งไหลมากขึ้นกว่าเดิม จากที่ซึมๆ ตอนนี้กลายเป็นว่าไหลเป็นเขื่อนแตกก็ไม่ปาน
“อะ...อะไรเนี่ย!” ผมสติแตกเอาในตอนนี้ ร้องโวยวายลั่น พยายามจะพาตัวเองออกไปเอาโทรศัพท์มาโทรเรียกรถพยาบาล แต่การเคลื่อนไหวก็ไม่ได้ทำได้ง่ายดายนัก
ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะน้ำหนักของท้องที่ใหญ่ขึ้นหรือยังไงที่ทำให้ผมไม่อาจลุกขึ้นได้ น้ำเมือกนั่นยังคงไหลออกมาไม่หยุด แย่กว่านั้น สะดือที่ไม่เคยจุ่นเลยตลอดชีวิต นอกจากจะจุ่นอย่างไร้เหตุผลและตรรกะใดๆ แล้ว มันยังค่อยๆ ขยายออกกว้างเป็นรูโบ๋ขนาดเท่าหัวแม่มือและมากยิ่งกว่าเดิม ทำเอาผมเสียสติเข้าไปใหญ่
“อ๊ากกก!”
ผมร้องสุดเสียง ไม่เคยรู้สึกเลยว่าตัวเองจะเหยียบย่างเข้าใกล้ความตายเท่าในตอนนี้มาก่อน
นี่มันหนังสยองขวัญชัดๆ!
แล้วความสยองขวัญก็เพิ่มทวีมากขึ้นเมื่อจู่ๆ ผมก็เหลือบเห็นนิ้วมือซีดขาวโผล่ออกมาจากรูสะดือตัวเองที่ขยายกว้างยิ่งกว่าบ่อน้ำบนถนนลูกรังในประเทศไทย น้ำหูน้ำตาที่ไม่เคยไหลมาตลอดหลายปีไหลพรากยิ่งกว่าน้ำตกไนแองการา สิ่งที่เกิดขึ้นกับผมไม่ได้สร้างความเจ็บปวดเลยสักนิดแต่ผมกลับแหกปากลั่นประหนึ่งหมูถูกเชือด และลั่นยิ่งกว่าเดิมเมื่อสิ่งที่โผล่มาจากสะดือไม่ได้มีแค่นิ้ว แต่มันมาทั้งมือ
มืออย่างเดียวคงไม่สาแก่ใจ ตามมาด้วยแขน ไหล่ และ...หะ...หัว! หัวคนทั้งดุ้นเลยแม่เจ้าโว้ยยย!
ผมหน้ามืดขึ้นมาฉับพลัน ภาวนาให้สิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองเป็นเพียงแค่ฝัน อยากสลบไปให้รู้แล้วรู้รอด ทว่าร่างกายผมในตอนนี้ ต่อให้สมองสั่งการหนักแค่ไหนก็ไม่ปฏิบัติตามแล้ว ผมเอาแต่จ้องสิ่งที่ผุดออกมาจากสะดือผมอย่างตกตะลึง
มะ...มนุษย์ผู้ชาย! มนุษย์ผู้ชายตัวเท่าหมีควายแหกสะดือผมออกมา!
ไอ้นรกนั่นใช้มือทั้งสองข้างเสยผมขึ้นแล้วเงยหน้ามองผมนิ่งๆ ขณะที่ตัวช่วงล่างของมันยังอยู่ในตัวผม แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ผมตกใจได้เท่ากับใบหน้าคุ้นเคยเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อนที่ปรากฏตรงหน้าผมเลยแม้แต่น้อย
ก็ไอ้ตัวบ้านี่มันคือผู้ชายที่ผมเจอหลังไนท์คลับเมื่อคืนนี้น่ะสิ!
ผมอ้าปากค้าง ชี้นิ้วสั่นเทาไปยังหน้าหมอนั่นอย่างพรึงเพริด หมอนั่นมองผมเล็กน้อยโดยไม่ตอบอะไร นอกจากจะใช้มือทั้งสองข้างดันฟูกข้างๆ ดึงตัวส่วนที่เหลือออกมาจากสะดือผม แล้วหย่อนตัวลงมายืนข้างๆ เตียง ปล่อยให้ผมนอนจมกองน้ำเมือกราวผักปลา และชั่ววินาทีเดียว สะดือผมทีหมอนั่นมุดออกมาก็หดกลับมาเป็นสะดือยามปกติเหมือนเดิม ราวกับว่าเป็นยางยืดที่ยืดได้หดได้อย่างไรอย่างนั้น แถมไร้ความเจ็บปวดหรือบาดแผลใดๆ อย่างที่ควรจะเป็นเสียด้วย หน้าท้องเต็มไปด้วยซิกแพ็คก็กลับมาเหมือนเดิมเช่นกัน ไม่มีร่องรอยใดๆ บ่งบอกเลยว่าก่อนหน้านี้มันเคยป่องประหนึ่งคนท้องแม้แต่น้อย
ผมรีบลุกพรวด สำรวจร่างกายตัวเองอย่างรนๆ ทันทีว่ามีตรงไหนสึกหรอไปหรือไม่ ก่อนจะลงจากเตียง ทำท่าจะวิ่งไปแต่งตัวแล้วไปโรงพยาบาลให้หมอตรวจให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยว่ามีร่องรอยบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า เพราะถึงจะไม่เห็นความผิดปกติใดๆ บนร่างกาย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะเป็นปกติ
แน่ล่ะ มันไม่ปกติแน่นอนอยู่แล้ว จู่ๆ ก็มีไอ้บ้าที่ไหนไม่รู้ผุดออกมาจากสะดือ ชาวบ้านที่ไหนมองว่าเป็นเรื่องปกติกันบ้าง! มันไม่ปกติตั้งแต่จู่ๆ ท้องก็ป่องเป็นคนท้องแล้ว!
หมอนั่นมองท่าทางลุกลี้ลุกลนของผมได้ครู่หนึ่ง ก็เอ่ยออกมาเสียงเรียบพร้อมกับดักหน้าผมเอาไว้
“ไม่ต้องตกใจ นี่เป็นเรื่องปกติ”
ปกติบ้านปู่มึง! แหกสะดือชาวบ้านออกมาอย่างนี้ มันไม่ปกติแล้วโว้ย!
ผมมองเขาด้วยสายตาหวาดกลัวระคนโกรธ พยายามเบี่ยงตัวหลบแล้วหนีออกจากห้องให้รวดเร็วที่สุด ทว่าความที่เขาตัวใหญ่กว่า ทำให้ผมหลบได้ไม่ง่ายนัก ก่อนจะสะดุ้งเฮือกเมื่อเขายื่นมือมาคว้าไหล่ผมไว้มั่น
“ขอบใจมากที่ให้ข้าวางไข่”
วะ...วางไข่อะไรอีกวะ!
ผมสะบัดตัวหนีเขาเต็มแรง ใจหนึ่งก็อยากจะถามว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับผมมันคือเรื่องบ้าอะไร แต่ความกลัวในตอนนี้มันมีมากกว่า สัญชาตญาณบอกผมทันทีว่าหมอนี่ไม่ใช่มนุษย์แน่นอน ต้องเป็นผีห่าซาตานอะไรสักอย่างถึงทำเรื่องแบบนี้ได้ หากแต่พอผมหลบเขาออกมาได้จนเกือบจะถึงขอบประตูห้อง เขาก็คว้าข้อมือผมเอาไว้อีกครั้ง
“อย่าเพิ่งเคลื่อนไหว ร่างกายเจ้ายังไม่คืนสภาพ”
“ปล่อยนะโว้ย!”
ผมโวยวายเสียงหลง พยายามดึงมือออกจากการเกาะกุมเต็มกำลัง แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย เพราะเขายังคงยืนจับข้อมือผมอยู่อย่างนั้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย ก่อนที่จะพูดขึ้นมาอีก
“นอนเฉยๆ ก่อนจะดีกว่า ไม่อย่างนั้นเจ้าจะเป็นอันตรายได้”
อยู่เฉยๆ นี่แหละอันตราย ใครจะไปอยู่ให้ใครที่ไหนก็ไม่รู้มุดออกมาจากสะดืออีกรอบกันวะ!
“บอกให้ปล่อย!”
ผมเหวี่ยงหมัดอีกมือหนึ่งใส่หน้าหล่อๆ นั่นทันที กะว่าพอต่อยแล้วเขาหงายหลังไป จะใช้โอกาสนี้หนีเอาตัวรอด หากแต่พอปล่อยหมัดไป เขาก็ใช้มือที่ว่างอยู่รับหมัดหน้าตาเฉย
“นอนพักซะ”
“ปล่อยสิวะไอ้เวรเอ๊ย!”
ผมชักจะหมดความอดทน เหลือบไปเห็นไม้เบสบอลที่วางพิงกำแพงใกล้ๆ พอดีเลยคว้ามาถือ ตั้งใจว่าจะฟาดกระหน่ำไปยังคนตรงหน้าอีกครั้ง ทว่าในวินาทีที่ง้างไม้ขึ้น ความวิงเวียนก็จู่โจมผมโดยไม่ทันตั้งตัว จนผมมองเห็นภาพตรงหน้าเลือนราง เซถลาไปทรุดลงบนพื้น ก่อนที่ทุกอย่างจะดับมืดไปพร้อมกับเสียงสุดท้ายที่ได้ยิน
“บอกแล้วว่าร่างกายเจ้ายังไม่คืนสภาพ เจ้ามนุษย์โลก”
-------------------------------
เป็นการเจอกันครั้งที่ 2 ระหว่างพระเอกกับนายเอกที่น่าประทับใจมากมาย เจอรอบแรก พระเอกตาย เจอรอบสอง พระเอกแหวกสะดือนายเอกออกมา 555 ที่บอกไว้ว่านายเอกถูกพระเอกวางไข่ แล้วคลอดออกมาเป็นพระเอกก็คือแบบนี้นี่แหละค่ะ ส่วนเหตุผลอะไรนั้นเดี๋ยวมาต่อในตอนหน้านะ
กระซิบเบาๆ ว่าเรื่องนี้นายเอกออกแนวหยาบคายกร้านโลกนิดนึงนะคะ ส่วนพระเอกก็มึนๆ อึนๆ เกรียนหน้าตายไปตามเรื่อง
นิยายเรื่องนี้หลุดโลกแปลกๆ นิดนึง เขียนสนองนี้ดคนแต่งล้วนๆ ไม่ได้เขียนนิยายแบบตามใจตัวเองมานาน
นิยายเรื่องนี้ไม่ต้องการเหตุผลทางวิทยาศาสตร์นะคะ เพราะมันเป็นแฟนตาซี (มันมีเหตุผลในตัวของมันอยู่แล้วค่ะ ไม่ต้องห่วง)
หนูแดงพยายามจะเขียนให้ออกมาเป็นคอมเมดี้ อ่านขำๆ ไม่รู้ว่าจะคอมเมดี้มั้ย ส่งฟีดแบ็กกันได้นะคะ ^^
 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-12-2015 14:36:38 โดย NooDangzz »

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
 
Episode 02: The host

ไม่รู้ว่าผมหมดสติไปนานเท่าไหร่ รู้สึกตัวตื่นอีกทีก็ตอนที่มีอะไรบางอย่างเป็นแท่งๆ ยัดลงมาในปากผม และพอผมลืมตาขึ้น ก็เห็นนิ้วชี้ของไอ้คนที่แหกสะดือผมออกมาคาปากอยู่ คาปากเฉยๆ ยังไม่เท่าไหร่ นี่มีน้ำอะไรใสๆ ไหลออกมาจากปลายนิ้วด้วยก็ไม่รู้ แย่ไปกว่านั้นคือ ผมดันดูดอย่างเมามันส์ประหนึ่งดูดจุกนมก็ไม่ปาน
“อะไรวะเนี่ย!”
ผมรีบเด้งตัวขึ้นบ้วนน้ำลายผสมกับน้ำรสหวานปะแล่มที่อบอวลอยู่ในปากทิ้งอย่างไม่ไยดี พลันถอยกรูดไปจนติดหัวนอน หัวสมองคิดทบทวนพลันว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองบ้าง ก่อนจะระลึกได้ว่าก่อนหน้านี้ผมสลบไปหลังจากถูกไอ้หน้าตายที่นั่งอยู่ข้างเตียงแหกสะดือออกมา เท่านั้นก็ตัวสั่นงันงกขึ้นมาเมื่อตระหนักได้ว่าหมอนี่ไม่ใช่มนุษย์
“สารอาหารจากร่างกายข้า มันจะทำให้เจ้ารู้สึกดีขึ้น” หากแต่หมอนั่นไม่สะทกสะท้านกับท่าทางของผม นอกจากชูนิ้วชี้ที่ผมดูดไปเมื่อครู่ขึ้น
น้ำสีใสแจ๋วหยดแหมะออกจากปลายนิ้วเขาตกลงบนผ้าปูเตียงสีขาวเป็นดวง ผมมองแล้วก็เกิดอาการคลื่นเหียนขึ้นมาพลัน
รู้สึกดีกับผี! ขยะแขยงเป็นบ้า! น้ำอะไรของมันเนี่ย!
ผมเอานิ้วล้วงคอแทบจะในทันใด พยายามขย้อนของในกระเพาะออกมาเต็มแรง แต่ก็มีเพียงน้ำลายเท่านั้นที่ออกมา นั่นก็เพราะวันนี้ทั้งวันผมยังไม่ได้กินอะไรไปเลยแม้แต่น้อย ขย้อนจนน้ำหูน้ำตาไหลได้พักหนึ่ง หมอนั่นก็ทำลายความเงียบขึ้นมาอีก
“ไม่เป็นไรหรอก สารอาหารจากร่างกายข้าเข้าได้กับทุกชาติพันธุ์ในจักรวาล”
นี่ไม่รู้จริงๆ เหรอวะว่าที่ผมสำรอกจะเป็นจะตายนี่เพราะอะไร มันไม่ได้เกี่ยวกับเข้าได้หรือไม่ได้เว้ย แต่มันขยะแขยง!
ถึงอย่างนั้น ผมก็ไม่ได้สนใจน้ำบ้าๆ ที่ถูกยัดเยียดเข้าปากตอนไม่รู้สึกตัวเท่าไหร่นัก ที่สำคัญมากกว่านี้ก็คือ หมอนี่เป็นใครและเป็นตัวอะไรต่างหาก!
“นะ...นายเป็นใคร” เท่านั้นผมก็ถามออกไปด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ สายตาก็ปราดมองสำรวจร่างกายเขาไปด้วย
จากการประเมินด้วยสายตาคร่าวๆ แล้ว หมอนี่น่าจะสูงเกือบ 190 เซนติเมตรได้ ร่างกายกำยำสูงใหญ่กอปรกับหน้าตาหล่อชวนฝันทำให้สาวๆ หลงใหลหลงใหลได้ไม่ยาก แถมยังแก้ผ้าล่อนจ้อนอีกต่างหาก ดูดีๆ เนื้อตัวยังมีคราบเมือกแห้งๆ ติดอยู่เลย เห็นแล้วก็ชวนให้อยากล้วงคออีกรอบเป็นบ้า
“ข้าไม่ได้เป็นชาติพันธุ์ของดาวนี้ แต่ข้ามาจากดาวที่ห่างจากดาวของเจ้าสิบห้าพันล้านปีแสง”
หัวสมองผมประมวลผลคำพูดของเขาทันที
ไม่ได้เป็นชาติพันธุ์ของดาวนี้ ก็แสดงว่า...
“มะ...มนุษย์ต่างดาว...” ผมครางออกมาอย่างไม่เชื่อหู
เขาพยักหน้ารับ “ถ้าเป็นภาษาของชาวดาวเคราะห์สีน้ำเงินล่ะก็ใช่ แต่ส่วนใหญ่ เผ่าพันธุ์ในจักรวาลจะเรียกพวกข้าว่าชาวยูนิกม่า เพราะดาวของข้าชื่อว่ายูนิกม่า”
ผมทำหน้าไม่เชื่อพลัน แต่ถึงจะไม่เชื่อก็ต้องเชื่อแล้วล่ะ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นกับผมมันเหนือปรากฏการณ์ธรรมชาติมากหรือทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ใดๆ จะมาอธิบายได้แล้ว นี่ถ้าไม่ได้มาเจอกับตัวล่ะก็ ใครเล่าให้ฟัง ผมก็คงจะด่าว่าบ้าไปแล้ว ร้ายกว่านั้นก็คือ... มันโผล่มาที่โลกทำไม
และเพราะท่าทางของผมแสดงออกชัดเจนว่าหวาดกลัวเขาชัดเจน เขาจึงรีบชิงพูดขึ้นก่อนที่ผมจะได้พูดอะไรออกไป
“ข้ามาเยือนดาวของเจ้าก็เพราะภารกิจบางอย่าง แต่เจ้าไม่ต้องกังวลไป ข้ามาอย่างสันติ ไม่ทำอันตรายคนของดาวเจ้าทั้งนั้น”
“สันติตรงไหนวะ ผุดออกจากสะดือให้เห็นกันจะๆ นี่ ไม่มีใครเรียกว่าสันติแล้ว” ผมพึมพำออกไปอย่างลืมตัว
เขามองหน้าผมนิ่งจนผมต้องเป็นฝ่ายหลบตาด้วยเกรงว่าเขาจะทำอันตรายขึ้นมา พลันคว้าหมอนที่อยู่ใกล้ๆ มากอดแน่นบังร่างตัวเองเอาไว้ เผื่อว่าถ้าถูกจู่โจม อย่างน้อยๆ หมอนก็น่าจะบรรเทาแรงปะทะได้ไม่มากก็น้อย
แต่ผิดคาด เขาไม่ได้จู่โจมใดๆ ทั้งสิ้น นอกจากว่าหน้าตายเท่านั้น
“เรื่องนั้นข้าต้องขออภัยที่เสียมารยาท ปกติชาวยูนิกม่าจะไม่กระทำอย่างที่ข้าทำ เราจะขออนุญาตก่อน เมื่อได้รับการยินยอม เราถึงจะวางไข่ แต่ที่ข้าไม่ได้รอให้เจ้ายินยอมก่อนนั้น เป็นเพราะอยู่ในสถานการณ์วิกฤต ข้าจึงต้องทำเช่นนั้น”
วางไข่อีกแล้ว ถ้าจำไม่ผิด หมอนี่พูดว่าวางไข่ให้ผมได้ยินจนนับครั้งไม่ถ้วนแล้วมั้งเนี่ย
“ละ...แล้วไอ้วางไข่นี่คืออะไร” ผมถามออกไปอย่างกล้าๆ กลัวๆ
“การวางไข่คือวิธีการสืบพันธุ์ของชาวยูนิกม่า” เขาว่าแล้วอธิบายยาว “การสืบพันธุ์ของชาติพันธุ์เราสามารถสืบพันธุ์ได้โดยการวางไข่ผ่านทางปากให้กับอีกฝ่าย อย่างที่ข้าทำกับเจ้า”
ผมนึกถึงวัตถุทรงกลมขนาดเท่าถั่วแมคคาเดเมียที่กลืนลงไปเมื่อคืนขึ้นมาทันที
ยะ...อย่าบอกนะว่าไอ้นั่นคือไข่หมอนี่น่ะ แล้วไอ้ที่จู่ๆ ผมก็พุงป่องขึ้นมาน่ะ ก็คือการตั้งท้องหมอนี่ใช่มั้ย!?
ผมลมแทบจะใส่เมื่อนึกถึงอาการแพ้ท้องที่เกิดขึ้นตลอดทั้งวัน นี่ผมเป็นผู้ชายนะเว้ย มาตั้งทงตั้งท้องอะไร แถมยังตั้งท้องมนุษย์ต่างดาวอีกด้วย กินไข่มันเข้าไปแล้วก็คลอดออกมาเป็นมันอีกที คุณพระคุณเจ้า! ฝันร้ายชัดๆ!
“ไม่ต้องกังวลไป ครั้งแรกก็จะตกใจเช่นนี้ แต่การฟักตัวและคลอดของชาวยูนิกม่าไม่ทำให้ผู้ตั้งครรภ์เจ็บปวดหรือเป็นอันตรายใดๆ ทั้งนั้น เพราะเมือกของตัวอ่อนที่หลั่งออกมาจะทำให้เส้นประสาทที่สัมพันธ์กับความเจ็บปวดเป็นอัมพาตไปชั่วขณะ และยังทำให้ผิวหนังหน้าท้องยืดและหดได้ ทุกอย่างจะกลับคืนเหมือนเดิมเมื่อคลอดออกมาแล้ว อีกทั้งการเจริญเติบโตก็ตัวอ่อนก็มีระดับการเติบโตในครรภ์จำกัด ต่อให้ตัวใหญ่แค่ไหนก็ไม่ใหญ่เกินกว่าผู้ตั้งครรภ์จะรับไหว แต่จะมาขยายใหญ่เมื่อสัมผัสชั้นบรรยากาศด้านนอกอีกครั้ง อย่างไรก็ไม่เป็นอันตราย” เขาโพล่งขึ้นมาเมื่อเห็นว่าผมทำท่าจะร้องไห้ออกมาให้ได้
“ประเด็นมันไม่ได้อยู่ที่อันตรายหรือไม่อันตรายเว้ย มันอยู่ที่จู่ๆ นายที่เป็นตัวอะไรก็ไม่รู้โผล่มาทีละส่วนจากสะดือของชาวบ้านต่างหาก แม่งอย่างกับหนังสยองขวัญเกรดบี ใครไม่เสียสติก็บ้าแล้ว” ผมก่นด่ายาวอย่างลืมตัว “ที่สำคัญ ฉันเป็นผู้ชายเว้ย ท้องอย่างนี้ยังมีหน้ามาเรียกว่าปกติได้อีกเหรอวะ”
แล้วก็ตบท้ายด้วยอาการหัวเสียสุดๆ ที่หมอนี่ทำท่าเหมือนทุกอย่างปกติ
“สำหรับชาวยูนิกม่าแล้ว ไม่ว่าจะเพศชายหรือหญิงก็สามารถวางไข่และตั้งท้องได้ทั้งนั้น เพราะการตั้งท้องของชาวยูนิกม่าไม่จำเป็นต้องอาศัยมดลูกอย่างชาวดาวเคราะห์สีน้ำเงินหรือชาติพันธุ์บางพันธุ์ เพียงอาศัยกระเพาะอาหารซึ่งเป็นอวัยวะหลักของสรีระชาติพันธุ์ในอวกาศทุกพันธุ์ในการดูดซึมอาหารก็เพียงพอต่อการเจริญเติบโตแล้ว”
ผมอ้าปากค้าง มิน่า ทำไมหมอนี่ถึงได้ทำเหมือนกับว่าทุกอย่างเป็นเรื่องปกติ ตั้งครรภ์บ้านมันได้ทั้งชายทั้งหญิง แถมยังโตในกระเพาะอาหาร แม่งมนุษย์ต่างดาวจากดาวโฮโมฯ ชัดๆ!
“และนั่นคือเหตุผลที่ทำให้เจ้าอ่อนเพลียหลังคลอด เจ้าสูญเสียสารอาหารในร่างกายไป ข้าจึงชดเชยคืนให้โดยการให้เจ้าดูดสารอาหารจากข้า” หมอนั่นยังพล่ามต่อ
ผมยกมือขึ้นยีหัวตัวเองอย่างเสียสติทันทีที่นึกถึงน้ำสีใสที่ไหลจากปลายนิ้วชี้ของเขา
“จะบ้าตาย อะไรวะเนี่ย”
เขามองผมนิ่งจนผมต้องละมือลง แล้วปรับสีหน้าให้เป็นปกติที่สุด พลันถามเขาอย่างเอาเรื่อง
“แล้วนี่นายต้องการอะไรถึงได้มาที่โลกมนุษย์”
“ก็บอกแล้วว่ามาเพื่อภารกิจบางอย่าง”
“วางไข่เนี่ยนะ?” ผมย่นคิ้วยู่ หากแต่เขาส่ายหน้าพลัน
“วางไข่เป็นเพียงการเอาตัวรอดในดาวที่มีชั้นบรรยากาศต่างจากดาวของข้ากับขยายเผ่าพันธุ์เท่านั้น ข้ามาเพื่อภารกิจอย่างอื่น”
ผมปวดหัวหนึบขึ้นมาทันที ยิ่งพูดก็ยิ่งไม่เข้าใจว่าหมอนี่กำลังพูดถึงเรื่องอะไร เดี๋ยววางไข่ เดี๋ยวดาวยูนิกม่า เดี๋ยวภารกิจ ยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังจะบ้าเข้าไปทุกทีเลยให้ตาย
“จะอะไรก็ช่าง ถ้านายหมดธุระกับฉันแล้วก็ไสหัวไปซะ จะกลับดาวไปก็ได้ ไปไหนก็ไป ไม่ต้องโผล่มาที่นี่อีก” ผมตัดบทเอาดื้อๆ พลันขับไล่ไสส่งอย่างไร้เยื่อใย
ก็ควรจะไล่อยู่หรอก ขืนให้มันอยู่ต่อ มีหวังมันได้ทำให้ผมช็อคตายแน่
หากแต่หมอนั่นไม่หือไม่อือ เอาแต่มองหน้าผมนิ่งอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะเผยอปากออกมา
“ข้ายังไปไม่ได้”
“แล้วนายต้องการอะไร” ผมย่นคิ้วยู่ เชื่อเลยว่าตอนนี้หน้าผมยับยิ่งกว่าผ้าที่หมกไว้ในตู้และยังไม่ได้รีดไปเรียบร้อยแล้ว
“ข้าไม่ได้ต้องการอะไรจากเจ้านัก เพียงแค่ต้องการพึ่งพาสักระยะเท่านั้น”
พึ่งพา? พึ่งพาอะไรวะ? หมายถึงมาขออยู่ด้วยแบบนี้น่ะเหรอ เหย... ใครมันจะไปยอมวะ แหกสะดือกันซึ่งๆ หน้าแล้วยังมาขออยู่ด้วยหน้าด้านๆ อีก ให้อยู่ด้วยก็บ้าแล้ว!
“ไม่ให้พึ่งพาอะไรทั้งนั้นแหละ จะไปไหนก็ไป ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่ามนุษย์โลกใจร้ายไม่ได้นะเว้ย!” ผมเดือดดาลเอาก็ตอนนี้ หันซ้ายหันขวาหาของมาขว้างใส่เขา พลันสายตาก็ปะทะเข้ากับนาฬิกาดิจิตอลบนโต๊ะข้างหัวเตียง
หากแต่พอขว้างใส่แล้ว หมอนั่นกลับรับมันไว้ได้ทันและออกแรงบีบจนนาฬิกาแตกออกเป็นเสี่ยงด้วยมือเพียงข้างเดียว
ผมอ้าปากค้างพร้อมกับเสียวสันหลังวาบ
นะ...นอกจากจะท้องไม่เลือกเพศแล้ว ยังมีพลังมหาศาลอีกเหรอเนี่ย!?
“ก็บอกว่ายังไปไม่ได้”
“ทะ...ทำไม ก็หมดธุระกับฉันแล้วนี่ ฉันให้นายวางไข่ก็ทำแล้ว คลอดนายก็ทำแล้ว จะเอาอะไรอีก” ผมว่าเสียงเครือ กลัวเหลือเกินว่าหมอนั่นจะเอามือมาบีบกะโหลกผมแหลกคามือ
หมอนั่นยังคงมองผมนิ่งๆ เช่นเคย ก่อนจะว่าออกมา
“อย่างที่บอกว่าข้าต้องพึ่งพาเจ้าสักระยะ ข้าไม่อาจอยู่ในชั้นบรรยากาศของดาวเคราะห์สีน้ำเงินได้เกินเจ็ดวัน จำต้องลอกคราบและฟักตัวใหม่ ไม่เช่นนั้นข้าจะตาย ซึ่งการทำเช่นนั้น ข้าจำเป็นต้องมีร่างฝากเพื่อการเจริญเติบโต และนั่นหมายความว่าข้าต้องพึ่งเจ้า”
ภาพหนังเอเลี่ยนที่มันใช้ลิ้นเจาะฝากไข่กับมนุษย์แล้วตัวอ่อนเจริญเติบโตโดยการกินสารอาหารจากร่างกายมนุษย์ฉายแวบขึ้นมาในหัวผมทันที แต่ในหนังจะน่ากลัวกว่าหน่อยตรงที่เอเลี่ยนพวกนั้นมันแหวกอกคนที่ถูกวางไข่ออกมาหน้าด้านๆ ทว่าหมอนี่ทำแค่แหวกสะดือ แต่ถึงอย่างนั้น การแหวกสะดือนี่ก็ถือว่าเป็นการกระทำที่หน้าด้านและไร้ยางอายเช่นกัน ถึงผมจะพอเข้าใจแล้วว่าที่หมอนี่วางไข่ใส่ผมก็เพราะมันเป็นวิธีการเอาชีวิตรอดของเขาก็ตาม
“ก็ไปหาร่างฝากที่อื่นสิวะ ทำไมต้องเป็นฉันด้วย” ผมโวยวายลั่นถึงจะพอเข้าใจอะไรๆ ขึ้นมาแล้ว
“เจ้าเป็นเพียงคนเดียวที่โผล่มาตอนข้ากำลังจะตาย ข้าจึงจำต้องใช้เจ้า และเจ้าก็เป็นคนเดียวที่รู้ตัวตนที่แท้จริงของข้า ข้าจึงจำเป็นต้องใช้เจ้าต่อไปอีกเช่นกัน การเปิดเผยตัวตนมากจนเกินไปไม่เป็นผลดีกับข้ามากนัก เจ้าไม่ต้องกังวลไป ข้าไม่รบกวนเจ้านานนักหรอก เพียงแค่ยี่สิบสี่ชั่วโมงหลังวางไข่ ข้าก็ฟักตัวแล้ว”
ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่การตั้งท้องยี่สิบสี่ชั่วโมง แต่ปัญหามันอยู่ที่ทำไมผมต้องไปรับอุ้มท้องให้มันด้วย!
“แล้วทำไมไม่ไปฝากร่างกับไอ้คนที่แทงนายตั้งแต่แรกเล่า!” ผมนึกถึงมีดที่ปักอยู่ข้างตัวเขาขึ้นมาได้ฉับพลัน ตอนที่โดนแทงก็น่าจะวางไข่ไปให้สิ้นเรื่องสิ้นราว ถือว่าเอาคืนไปซะก็หมดเรื่อง
“ข้าวิ่งตามไม่ทัน” เขาว่าออกมาหน้าตาย
คำตอบของเขาทำให้ผมแทบจะทึ้งผมตัวเองรัวๆ ไอ้เอเลี่ยนนี่แม่งโคตรจะซื่อบื้อเลย หน้ามึนหน้าด้านยังไม่พอ ยังจะทึ่มอีก!
“แล้วนายไปถูกแทงมาได้ยังไง” ผมพยายามสงบสติอารมณ์ ซักถามเขาออกไป
“ข้าเพิ่งจะมาถึงดาวของเจ้าก่อนจะพบเจ้าเพียงไม่กี่ชั่วโมง พอมาถึง ข้าก็พลัดหลงกับพรรคพวกจึงเตร็ดเตร่ถามทางจนพบกับมนุษย์ผู้นั้น แต่ถูกมนุษย์นั่นถามหาบางสิ่งที่เรียกว่าเงินกับข้า พอข้าบอกว่าไม่มีก็ถูกทำร้ายอย่างที่เห็น”
“จากนั้นนายก็มาโผล่หลังไนท์คลับเนี่ยนะ เข้ามาได้ยังไงวะ” ผมทำหน้างงหนัก ก็ไนท์คลับที่ผมไปเมื่อคืนมันเปิดให้เฉพาะนักท่องราตรีที่เป็นสมาชิกระดับวีไอพีเท่านั้นนี่ ขนาดผมที่ไปบ่อยๆ ยังต้องมีคนพาเข้าเลย ไอ้มนุษย์ต่างดาวนี่เป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีบัตรวีไอพีอะไรเทือกนั้น ต้องมีคนพาเข้ามาเหมือนกันแน่ๆ
แต่แล้วคำตอบของเขาก็ทำให้ผมต้องตีหน้ายุ่ง
“ข้าเห็นมันอยู่ใกล้ที่เกิดเหตุจึงเดินเข้าไปพัก จากการเรียนรู้พฤติกรรมของมนุษย์โลกในดาวข้า ว่ากันว่าหากทำตัวนิ่งๆ และวางท่าเหมือนคุ้นเคยก็จะไม่มีใครสงสัย ข้าจึงเข้ามาได้โดยง่าย เพียงแค่เดินเข้ามาเฉยๆ เท่านั้น”
อีแบบนี้เค้าเรียกทำเนียนหน้าด้านๆ! มิน่าล่ะถึงได้ผ่านมาได้ง่ายนัก แต่ก็อย่างว่าแหละ พวกการ์ดที่นั่นมองรูปลักษณ์ของแขกที่มาเที่ยวเป็นหลัก ถ้าเห็นท่าทางภูมิฐานหน้าตาดีหน่อยก็ไม่เอะใจสงสัยอะไรแล้ว แต่ก็น่าแปลกนะที่พวกการ์ดไม่ได้เอะใจไอ้บอดี้สูทมันๆ เลื่อมๆ ที่เขาใส่ตอนแรกเลยแม้แต่น้อยว่ามันประหลาด หรือว่าเพราะเห็นหน้าหล่อจัดก็เลยปล่อยผ่านไปเฉยๆ? โคตรจะไม่แฟร์กับผมเลยว่ะ ผมแต่งตัวดีทุกครั้งที่ไปที่นั่นนะ แต่ก็ไม่เคยเข้าได้ด้วยตัวเองสักที
“แล้วร่างเก่าของนาย...?” ผมถามเมื่อนึกถึงร่างไร้ลมหายใจของเขาขึ้นมาได้
“ย่อยสลายไปแล้ว หลังจากวางไข่ก็จะย่อยสลายไปในเวลาเพียงหนึ่งชั่วโมง” เขาตอบเรียบๆ
ถึงตอนนี้ผมเข้าใจแล้วล่ะว่าทำไมถึงไม่มีใครมาเห็นร่างของเขา ถ้ารู้อย่างนี้ตั้งแต่แรก ผมคงไม่มานั่งกังวลเป็นบ้าเป็นหลังอย่างนี้ทั้งวันหรอก บัดซบเอ๊ย!
“แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ให้นายมาวางไข่ใส่ฉันอีกไม่ได้ นายจะเป็นจะตายมันก็ไม่ได้เกี่ยวกับฉัน ไสหัวไปได้แล้ว” สุดท้าย ผมก็วกกลับมาเข้าเรื่องอีกครั้งพลันโบกมือไล่เขาอย่างกับหมูกับหมา
แต่ก็อย่างที่รู้กันว่าหมอนี่มันหน้าด้านจะตาย ปฏิเสธหน้ามึน ทำเอาเส้นความอดทนข้างขมัยผมเต้นกระตุกยิกๆ
“ไปไม่ได้ บอกแล้วว่าข้าจะเปิดเผยตัวตนกับมนุษย์โลกมากเกินไปไม่ได้ มันอันตรายต่อข้า”
“แล้วมาวางไข่ใส่ฉันมันไม่อันตรายหรือไงวะ!” ผมแผดเสียง ชักจะหัวเสียมากขึ้นเมื่อหมอนี่ไม่ยอมฟังใดๆ เลย แล้วก็เปลี่ยนเป็นใจหายวาบทันทีที่ถูกขู่
“มันจะอันตรายเมื่อเจ้าไม่ให้ข้าพึ่งพา เพราะข้าจะฆ่าเจ้าทิ้ง รู้ตัวตนของข้าแล้วไม่อาจปล่อยไปได้”
ผมกลืนน้ำลายเอื้อก โดนมันวางไข่ แถมคลอดมันออกมายังไม่พอ ยังโดนขู่ฆ่าด้วย!
สีหน้าหมอนั่นบอกชัดเจนว่าไม่ได้พูดเล่น คิดถึงตอนเห็นหมอนั่นบีบนาฬิกาแหลกคามือแล้ว ผมก็กลัวตายขึ้นมาฉับพลัน และด้วยความกลัวตาย ผมจึงหลุดปากตอบตกลงโดยแทบไม่ทันคิด
“กะ...ก็ได้ แต่อยู่ด้วยกันจะต้องทำตามกฎกติกาของฉันเข้าใจมั้ย”
“ไม่มีปัญหากับข้อเสนอ ขอเพียงอย่างเดียว ขอให้ข้าได้วางไข่เจ้าอาทิตย์ละครั้งก็พอ”
ผมก็ตั้งใจจะบอกว่ากติกาของการอยู่ร่วมกันคือห้ามวางไข่นี่แหละ แต่มันดันชิงพูดออกมาเสียก่อน
“ถ้าสมมตินะ สมมติว่าฉันไม่ยอมให้นายวางไข่ล่ะ” ผมลองแย็บถามเผื่อว่าจะหาทางหนีทีรอดได้
ก็ใครมันจะไปยอมให้หมอนี่ผุดออกจากสะดือเป็นครั้งที่สองกันล่ะ ฝันไปเลย!
“ถ้าไม่ให้ข้าวางไข่ ข้าก็จะตาย บอกไปแล้ว จำไม่ได้รึ”
“อ้อ...” ผมแกล้งลากเสียงยาว ในหัวมีความคิดดีๆ แวบขึ้นมา
ความจริงหนทางกำจัดหมอนี่ก็ไม่ได้ยากอย่างที่คิดเท่าไหร่แฮะ แค่ตอนที่หมอนี่จะวางไข่ ผมก็แกล้งออกจากบ้านแล้วขังหมอนี่ไว้ในบ้านทั้งวัน พอหมอนี่ไม่ได้วางไข่ก็ตาย แค่นั้นผมก็จะเป็นอิสระ
“แต่ถ้าเจ้ามีแผนหนียามข้าต้องวางไข่ล่ะก็ ขอบอกไว้ก่อนเลยว่าข้าจำกลิ่นกายของเจ้าได้ ประสาทสัมผัสของชาวยูนิกม่าดีกว่ามนุษย์โลกหลายเท่านัก ต่อให้เจ้าหนีไปสุดหล้าอวกาศ ข้าก็ตามเจ้าเจอ” แล้วมันก็พูดดักคอผมขึ้นมาอีก
ผมบุ้ยปากด่ามันพึมพำทันใด
หน็อย... ดันมารู้ทันซะได้ งั้นเอาเป็นว่าไม่ยอมให้มันวางไข่ก็แล้วกัน
“และถ้าเจ้าไม่ให้ข้าวางไข่ล่ะก็ ข้าก็จะขืนใจเจ้า” สุดท้ายก็รู้ทันผมอีกอยู่ดี
และคำพูดของหมอนี่ก็ทำให้ผมหันไปมองหน้าหล่อๆ นั่นแบบเหวอๆ
ขืนใจวางไข่นี่มันพิลึกเกินไปแล้ว!
“เออๆ เอาเป็นว่าฉันให้นายอยู่ด้วยก็แล้วกัน เรื่องกฎกติกาอะไรนี่เดี๋ยวฉันคิดได้แล้วจะบอกนายอีกที” ผมตัดบทเอาดื้อๆ ก่อนที่ประสาทจะเสียไปมากกว่านี้ พลันยื่นมือไปให้จับทักทาย
ตอนนี้ยังหาทางหนีมันไม่พ้น ก็ผูกมิตรไปก่อนจะดีกว่า
“ฉันชื่อกวินทร์ จะเรียกเควินก็ได้ ยินดีที่ได้รู้จัก”
หมอนั่นหยักยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย ยอมรับเลยว่าใบหน้าที่แต้มรอยยิ้มนั่นดูดีเป็นบ้า และมันก็เกือบทำให้ผมเป็นบ้าที่พอผมยื่นมือไปให้หมอนั่นจับ หมอนั่นก็คว้ามือผมไปดูดนิ้วชี้ดังจ๊วบ
“ข้าชื่อคีทาเย ซาเคมอร์ฟ ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกัน”
ทักทายบ้านมึงเค้าทำกันแบบนี้เหรอฟะ!
ผมรีบดึงมือกลับมา เช็ดน้ำลายหมอนั่นกับขากางเกงเป็นวรรคเป็นเวร
ให้ตายเถอะ ขยะแขยงเป็นบ้า ทำไมผมต้องมาเจอตัวประหลาดอะไรแบบนี้ด้วยก็ไม่รู้!
 
แต่สุดท้ายก็ได้แค่บ่นในใจเท่านั้น เพราะหลังจากทำความทักทายกันและกันเสร็จ ผมก็มาจัดการหาเสื้อผ้าให้หมอนั่นใส่เป็นที่เรียบร้อย ไม่ต้องถามเลยว่าหมอนั่นใส่เสื้อผ้าผมได้มั้ย
มันก็ต้องไม่ได้อยู่แล้ว รัดปลิ้นไปทุกสัดส่วนตั้งแต่ลิ้นปี่ถึงคอหอยอย่างนั้นไม่เรียกว่าใส่ได้หรอก! ตัวจะใหญ่ไปไหนก็ไม่รู้!
“ฉันว่าเสื้อนั่นไม่พอดีตัวนายเลยแฮะ” ผมชี้นิ้วไปทางเขาหลังจากเอาเสื้อยืดตัวใหญ่ที่สุดเท่าที่ผมมีให้เขาใส่ จากเสื้อที่หลวมโพรกสำหรับผม พออยู่บนตัวเขากลับกลายเป็นเสื้อเอวรัดรูปกึ่งเอวลอย มองยังไงก็เหมือนพวกตุ๊ดแก่ในบาร์เกย์ชัดๆ
“ข้าก็ว่าเช่นนั้น” หมอนั่นเห็นด้วยเมื่อพยายามดึงชายเสื้อลงมาคลุมหน้าท้องเต็มไปด้วยลอนกล้ามของตัวเองแต่ก็ไม่เป็นผล
“งั้นก็ใส่แค่บ็อกเซอร์ไปก่อนแล้วกัน เดี๋ยวฉันหาเสื้อผ้าให้ใหม่”
พอผมพูดอย่างนี้ หมอนั่นก็ถอดเสื้อยืดทิ้งลงพื้น เหลือแต่บ็อกเซอร์เอวย้วยๆ ที่มัดด้วยยางรัดผมข้างเอวเดินร่อนไปร่อนมาทั่วห้องสำรวจโน่นนี่อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่มันจะหันมาหาผม
“ข้าหิวแล้ว”
ผมถอนหายใจพรืดเต็มแรง เหนื่อยใจกับมันฉิบ ไม่รู้ทำไมผมจะต้องมาทำหน้าที่แม่ให้หมอนี่ด้วยก็ไม่รู้ โดนวางไข่ไม่รู้ตัวแล้วคลอดมันออกมา ไม่ได้หมายความว่าจะยอมเป็นแม่ให้ด้วยนะโว้ย!
“หิวก็ไปหาอะไรกินเองในตู้เย็นโน่น ฉันไม่ใช่แม่นายนะถึงต้องมาตามกวาดตามเช็ดงกๆ” ผมโพล่งไปแทบจะในวินาทีนั้น
หมอนั่นย่นคิ้วเล็กน้อย “ข้าก็ไม่ได้บอกว่าเจ้าเป็นแม่ข้า คลอดโดยการฝากไข่เพื่อสร้างร่างใหม่ ชาวยูนิกม่าจะเรียกเจ้าว่าโฮสท์ หากเจ้าถูกวางไข่ที่ผ่านการปฏิสนธิกับน้ำเชื้อแล้ว นั่นถึงจะกลายเป็นแม่พันธุ์เต็มตัว”
ผมจินตนาการภาพตาม... แค่วางไข่ธรรมดาๆ ยังใช้วิธีการป้อนทางปาก แล้วถ้าผสมกับน้ำเชื้อ วิธีการวางไข่ก็ต้องป้อนทางปากอีกเหมือนกันใช่มั้ย? คิดแล้วก็คลื่นไส้ฉิบเป๋ง
“เออ จะเรียกอะไรก็เอาเถอะ เอาเป็นว่าของกินอยู่ในตู้เย็น หากินเองก็แล้วกัน” ผมบอกปัดไปให้พ้นๆ
แต่หมอนั่นกลับไม่เดินไปที่ตู้เย็นในครัว เดินเข้ามาหาผมที่กำลังรวบผมระต้นคอของตัวเองขึ้นแล้วผูกด้วยยางรัดผมแทน
“เดินมาทำไม อย่าบอกนะว่าไม่รู้จักตู้เย็น?” ผมรีบพูดขึ้นก่อนที่หมอนั่นจะเข้ามาใกล้กว่านี้ แต่ไม่ทันแล้ว หมอนั่นมาหยุดยืนตรงหน้าผมเป็นที่เรียบร้อย
“ข้าไม่กินอาหารมนุษย์”
“แล้วจะกินอะไร อาหารหมา?” ผมพ่นคำพูดไปอย่างรำคาญ
“ข้ากินสารอาหารจากโฮสท์” ไอ้คนที่ชื่ออะไรเยๆ ว่า
ผมย่นคิ้วยู่ แล้วยื่นนิ้วชี้ให้มัน “เอ้า ดูดซะ”
หมอนั่นมองหน้าผมงงๆ ไปครู่หนึ่ง
เอ้า! ผิดอะไรล่ะ ก็ตอนที่หมอนี่ให้สารอาหารผม ยังให้ผ่านปลายนิ้วชี้เลยนี่ ตอนกินสารอาหารจากผมก็น่าจะดูดจากทางนี้เหมือนกันนี่หว่า
“สรีระของมนุษย์โลกไม่สามารถหลั่งสารอาหารได้ทางนี้” ในที่สุด เขาก็พูดออกมา
“แล้วจะกินทางไหนฮะ” ผมชักจะหัวเสีย มองหน้าอย่างเอาเรื่อง ก่อนหมอนั่นจะยกมือขึ้นมาประคองใบหน้าผมแล้วดึงเข้าไปใกล้เสียจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ
“ทางนี้” ว่าจบแล้วก็ประกบจูบลงมาทันใด
ผมเบิกตาโพลงเมื่อจู่ๆ ก็ถูกขโมยจูบอย่างไม่ทันตั้งตัว ไม่สิ... นี่ไม่เรียกว่าจูบ เรียกว่าสูบเหอะ! แถมจูบอย่างเดียวไม่พอด้วยนะ ยังดันลิ้นนุ่มเข้ามาในโพรงปากผมอีก ตวัดกลืนกินบางสิ่งในปากผมอย่างคล่องแคล่วจนเพลย์บอยอย่างผมอยากจะชูฮกเลยว่าหมอนี่จูบเก่งเป็นบ้าถ้าไม่ติดว่าผมเป็นผู้ชาย และมันก็เป็นผู้ชาย ที่สำคัญ มันกำลังกินสารอาหารจากร่างกายผมอย่างนี้เนี่ย!
ผมดิ้นขลุกขลัก พยายามหนีออกจากการเกาะกุม แต่ก็สู้แรงจากหมอนี่ไม่ได้เลยแม้แต่น้อย เหมือนกับว่ายิ่งดิ้น เรี่ยวแรงก็หดหาย ซ้ำยังถูกหมอนั่นจูบหนักหน่วงขึ้นอีกด้วย เนิ่นนานทีเดียวที่หมอนั่นจูบผมอย่างดูดดื่ม กว่าจะผละออกมาได้ ผมเล่นเอาผมอ่อนปวกเปียก ไร้เรี่ยวแรงไปทั้งร่าง พอเป็นอิสระ ผมก็เซไปเกาะโต๊ะที่อยู่ใกล้ๆ รอให้อาการวิงเวียนเล็กๆ ที่เกิดขึ้นมาฉับพลันหายไป
หากแต่หมอนั่นเห็นผมเซแท่ดๆ แล้วก็ยังยืนเฉย แถมยังว่าออกมาหน้าตาเฉยอีกต่างหาก
“เดี๋ยวก็หาย เวียนหัวเป็นเรื่องปกติ”
ยังมีหน้ามาพูด! ดูดขนาดนี้ ดูดหัวเข้าไปเลยเถอะพับผ่าเอ๊ย!

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
Episode 03: Alien’s guru [1]

พอหายเวียนหัว ผมก็ต้องถ่อสังขารไปซูเปอร์มาเก็ตใกล้ๆ ที่พักเพื่อซื้อเสื้อยืดกับกางเกงยีนส์ให้หมอนั่น ดีที่ผมซื้อเสื้อผ้าบ่อย แถมยังเป็นคนเลือกให้เพื่อนผู้ชายหลายๆ คนที่ไร้เซ้นส์แฟชั่นอีก แค่ประเมินจากสายตาก็กะขนาดไซส์ของไอ้คนชื่อแปลกนั่นได้แล้ว
ผมรีบกลับมาที่ห้องพร้อมเอาเสื้อผ้าชุดใหม่ให้หมอนั่นใส่ จริงๆ มันก็เป็นแค่เสื้อยืดสีขาวธรรมดากับกางเกงยีนส์ยี่ห้อตลาดๆ ที่ผมไม่ใส่เท่านั้นแหละ แต่ไม่รู้ทำไมพออยู่บนตัวหมอนี่แล้วดูดีเป็นบ้า บอกเลยว่าตอนนี้หมอนี่ไม่เหลือคราบมนุษย์ต่างดาวในชุดบอดี้สูทเงาเลื่อมเลยแม้แต่น้อย ถ้าเดินไปแถวย่านแฟชั่นสักหน่อย ต่อให้เป็นชุดบ้านๆ แบบนี้ ผมก็รับรองได้ว่าต้องมีโมเดลลิ่งมาแจกนามบัตรให้แน่นอน
แต่อะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับการที่ผมมองหมอนั่นแล้วตระหนักได้ว่าหมอนี่เป็นตัวอะไร ผมพอจะทำใจยอมรับได้บ้างแล้วล่ะเรื่องที่หมอนี่เป็นมนุษย์ต่างดาว เพราะก็เชื่ออยู่ลึกๆ อยู่เหมือนกันว่านอกจากโลกแล้ว ก็น่าจะยังมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่บนดาวดวงอื่นอีก แค่ไม่นึกไม่ฝันว่าสักวันจะมาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าผมเท่านั้น
ผมกอดอกมองหมอนั่นเดินว่อนไปมาในห้องอย่างพินิจ
โอเค ในเมื่อต้องอยู่ร่วมกันอย่างปฏิเสธไม่ได้ ผมก็ต้องรู้ข้อมูลของหมอนี่เอาไว้ให้มากที่สุดเพื่อความปลอดภัยของตัวเอง ตอนนี้เท่าที่ผมรู้คือ...
หนึ่ง... หมอนี่อยู่ในชั้นบรรยากาศของโลกได้ไม่เกินหนึ่งอาทิตย์ หลังจากนั้นจะต้องวางไข่โดยใช้มนุษย์โลกเป็นโฮสต์ในการสร้างร่างใหม่ แถมยังเจริญเติบโตได้ภายในยี่สิบสี่ชั่วโมงและคลอดออกมาโดยการแหกสะดือโฮสต์
สอง... หมอนี่ไม่กินอาหารเหมือนมนุษย์ แต่กินสารอาหารจากโฮสต์โดยผ่านทางปาก และแน่นอนว่าการถูกมันดูดสารอาหารอย่างนั้น ทำให้ร่างกายผมอ่อนเพลียและวิงเวียนมากจนต้องซัดอาหารมื้อใหญ่เข้าไปเป็นการชดเชยภายหลัง
สาม... หมอนี่เป็นมนุษย์ต่างดาวโฮโมฯ ท้องได้ทั้งชายและหญิง แถมชายกับชายมีอะไรกันก็ท้องได้อีกด้วย
และสี่... หมอนี่มาที่โลกเพื่อทำภารกิจบางอย่าง
ผมไม่รู้ว่าการที่หมอนี่กับพรรคพวกมาที่โลกมนุษย์นั้นมาเพื่ออะไรกันแน่ ถ้าให้ผมเดานะ เอเลี่ยนอย่างหมอนี่ ถ้าไม่มาแพร่พันธุ์ก็ต้องมายึดโลกแน่นอน ประสบการณ์ของผมจากที่เห็นในหนังมนุษย์ต่างดาวบุกโลกหลายๆ เรื่องมันบอกมา ถึงแม้ว่าหนังเรื่อง ‘อี.ที. เพื่อนรักจากต่างดาว’ ที่เคยดูตอนเด็กๆ จะไม่ได้บุกยึดโลกและมนุษย์ต่างดาวก็ดูหน่อมแน้มก็เถอะ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไอ้ตัวที่อยู่ในห้องผมจะไว้ใจได้นี่หว่า
ปากก็บอกว่ามาอย่างสันติ แต่มาถึงก็วางไข่แล้วพุ่งทะลุสะดือชาวโลกออกมา ดูยังไงก็ไม่สันติสักนิด! ถ้ามันเป็นอย่างเอเลี่ยนที่เคยเห็นในหนังก็คงจะสยองพิลึก อะไรไม่ว่า ผมนี่แหละที่จะโดนมันงาบเป็นคนแรก
ครุ่นคิดอยู่ได้ครู่หนึ่ง ผมก็นึกถึงเพื่อนสนิทในคณะที่เป็นคนจีนขึ้นมา ถ้าจำไม่ผิด ไอ้หมอนี่เป็นพวกคลั่งหนังแนวมนุษย์ต่างดาวกับสัตว์ประหลาด ไปถามเรื่องเอเลี่ยนก็คงจะพอรู้อะไรบ้างแหละว่าพวกมันจะมาที่โลกกันทำไม
เท่านั้นผมก็เดินไปคว้าโทรศัพท์แล้วโทรหามัน
ตู๊ด...ตู๊ด...ตู๊ด...
ไม่รับ
งั้นส่งข้อความไปแล้วกัน
ส่งข้อความบอกไปลวกๆ ว่าจะแวะไปหาเสร็จ ผมก็เดินไปแต่งตัวที่ห้องนอน ตั้งใจว่าจะแวะไปหาสักหน่อย ทว่าพอแต่งตัวเสร็จ ผมก็เดินออกมาปะทะกับไอ้เอเลี่ยนชื่อเรียกยากเข้าอย่างจัง
“จะไปไหน”
“ไปทำธุระ” ผมว่าคิ้วยุ่งๆ หมอนั่นมองผมอย่างจับผิด
“ข้าว่าเจ้าคงจะไปหาใครสักคนคุยด้วยเรื่องข้า”
ทำไมมันรู้ดีจังเลยวะ!
“ก็แค่จะแวะไปหาเพื่อน ถ้าไม่เชื่อจะตามไปด้วยมั้ยล่ะ” ส่วนผมก็ดันเป็นพวกถูกจับได้แล้วไม่ยอมรับ พอโดนรู้ทันอย่างนั้น ผมก็โพล่งออกไปไม่ทันคิด
แล้วอย่าถามนะว่าหมอนั่นจะไปมั้ย... มันก็ต้องไปด้วยแหงอยู่แล้ว!
“ก็ดี ข้าจะได้ไปสำรวจโลกมนุษย์ด้วย”
ปากพล่อยจริงๆ! ถ้ามันไปด้วยอย่างนี้ แล้วผมจะคุยกับเพื่อนได้ยังไง!
“งั้นพอฉันไปถึงอพาร์ตเม้นต์เพื่อน นายก็ไปเดินเล่นแถวๆ นั้นแล้วกัน แยกย้ายกัน ต่างคนต่างไป แล้วค่อยกลับมาเจอกันใต้อพาร์ตเม้นต์อีกสองชั่วโมง” ผมทำเนียนไป เผื่อว่าหมอนี่จะเห็นด้วย
“ไม่” แล้วมันก็แสกหน้าผมเข้าให้อย่างจัง
จริงๆ ก็น่าจะรู้อยู่แล้วล่ะว่าต้องลงเอยอย่างนี้
“แล้วนายจะมาเกาะแกะอะไรฉันหนักหนา ให้วางไข่ก็ให้วางแล้ว คลอดก็คลอดแล้ว แถมยังเป็นเครื่องให้อาหารนายแล้วด้วย ให้ฉันมีเวลาส่วนตัวบ้างเถอะ!” ผมแสร้งทำเป็นเดือดดาล โวยวายใส่ด้วยหวังว่าต่อมสมบัติผู้ดีของมันจะทำงานขึ้นมาบ้าง ถึงจะไม่รู้ว่าไอ้มนุษย์ต่างดาวโฮโมฯ นี่จะรู้จักคำว่าสมบัติผู้ดีหรือเปล่าก็เถอะ
แต่ผมคงจะลืมคิดไปว่าหมอนี่มันหน้ามึนขนาดไหน ขนาดไล่แล้วยังไม่ไป นับประสาอะไรกับขอเวลาส่วนตัวอย่างนี้
“ข้าเพิ่งฟักตัวจากไข่ ยังต้องการสารอาหารจากเจ้าอีกมาก มันยังอ่อนแอ ไม่คืนสภาพดีนัก การปล่อยให้เจ้าไปไหนมาไหนตามลำพังแล้วข้าต้องการสารอาหารเมื่อไหร่ หากไม่ได้รับสารอาหารในทันที อวัยวะภายในของข้าจะเสี่ยงต่อการบาดเจ็บ ต้องรอให้ผ่านไปอีกยี่สิบสี่ชั่วโมงก่อนถึงจะกลับเป็นปกติ”
ผมยกมือขึ้นตบหน้าผากตัวเองพลัน นี่หมายความว่าผมต้องยอมให้มันดูดปากอีกแล้วใช่มั้ยเนี่ย!
“แต่ถ้าเจ้ายืนกรานว่าจะขอเวลาส่วนตัว ข้าก็คงต้องกักเก็บสารอาหารจากเจ้ามาไว้ให้เพียงพอก่อน ถึงจะยอมให้เจ้าไปตามลำพังได้” แล้วหมอนี่ก็พูดขึ้นมาอีก พูดอย่างเดียวไม่พอ ยังเดินเข้ามายกมือประคองใบหน้าผมอีกด้วย
คราวนี้ผมไม่ยอมให้หมอนี่ได้ประกบปากสูบอะไรต่อมิอะไรได้อีก รีบยกมือดันหน้ามันเอาไว้ ก่อนจะรีบร้องบอกอย่างรนๆ
“เออๆ ไปด้วยก็ได้ พอซะที โดนดูดปากจากผู้ชายด้วยติดกันหลายๆ รอบมันไม่น่าพิสมัยนะโว้ย!”
หมอนั่นยอมถอยแต่โดยดี แต่ก็ไม่วายทิ้งท้ายไว้ให้ผมย่นคิ้วยู่
“แต่ถ้าข้าต้องการ เจ้าก็ต้องยินยอม ปฏิเสธไม่ได้”
จำเลยรักชัดๆ เลยแม่ง!
ผมทำปากขมุบขมิบ ก่นด่ามันนิดหน่อย ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องเมื่อนึกขึ้นได้ว่าถ้าพาหมอนี่ไปให้เพื่อนเจอ รับรองเลยว่าต้องถูกเพื่อนถามแน่ๆ ว่าพาใครมา และผมก็เดาได้เลยว่าไอ้เพื่อนสนิทนั่นมันคงจะคิดว่าผมพาคู่ขามาแน่ๆ
ทำไมน่ะเหรอ?
ก็มันน่ะคิดอยู่ตลอดว่าผมเป็นโฮโมฯ ผมไม่ว่าอะไรหรอกเรื่องนั้นเพราะพอเข้าใจอยู่ว่าหน้าตา รูปร่างและการแต่งกายของผมมันส่อไปในทางนั้น แต่ผมก็ไม่ค่อยชอบใจอยู่ดีที่ได้ยินมันล้ออย่างนั้น ฉะนั้น อย่างน้อยๆ ถ้าจะพาไอ้มนุษย์ต่างดาวนี่ไปด้วยก็ต้องเตรี๊ยมกันก่อน
“เออนี่ คีธ...” คิดแล้วผมก็พูดออกไปทันที ทว่าหมอนั่นหันมามองผมแล้วสวนคืนฉับพลัน
“ชื่อเต็มของข้าคือ คีทาเย ซาเคมอร์ฟ”
“เรียกยาก ฉันเรียกนายว่าคีธแล้วกัน” ผมตัดบทเอาลวกๆ
หมอนั่นมองหน้าผมก่อนพยักหน้า “ ภาษายูนิกม่าคงจะไม่คุ้นชินกับมนุษย์โลกมากนัก เรียกอย่างนั้นก็ได้”
ไม่ให้เรียกก็จะเรียกโว้ย ชื่อบ้าบอคอแตกอะไรของมัน เรียกโคตรยาก!
“ถ้าไปถึงห้องเพื่อนฉัน นายอย่าไปพูดมากเชียว อย่าพูดแม้แต่คำเดียวด้วยถ้าถูกถามอะไรแปลกๆ เพื่อนฉันคนนี้ไม่ธรรมดา มันเป็นโปรฯ ด้านมนุษย์ต่างดาว ถ้ามันรู้ว่านายมาจากนอกโลกล่ะก็ รับรองเลยว่าความลับของนายรู้กันไปทั่วแน่” ผมแกล้งขู่นิดหน่อยให้เขาเชื่อฟัง
คีทา... เออ มันชื่อคีธแล้วนี่นา... คีธทำหน้านิ่งแล้วก็ว่าเสียงเรียบ
“ไม่ยาก แค่ฆ่าพวกที่รู้ความลับข้าก็สิ้นเรื่อง”
ผมเบ้หน้าใส่ ไอ้หมอนี่มาอย่างสันติแน่เหรอวะ เอะอะขู่ฆ่าลูกเดียวเนี่ย!
“เอาเป็นว่าอย่าทำอะไรให้มีพิรุธแล้วกัน ฉันขี้เกียจแก้ต่างให้ แล้วถ้ามันถามว่าฉันกับนายเป็นอะไรกัน ก็ไม่ต้องไปตอบอะไรแล้วกัน เดี๋ยวเรื่องจะยาว” ผมดักคอเอาไว้เลย
คีธยอมรับข้อเสนอแต่โดยดี ก่อนที่จะตามผมออกจากห้อง มุ่งหน้าไปยังที่พักของเพื่อนสนิทผมทันใด
 

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
Episode 03: Alien's guru [2]

เพื่อนสนิทผมคนนี้มันชื่อว่า ริชาร์ด หวัง มันเป็นคนจีน แต่สัญชาติอเมริกัน เคยได้ยินมันเล่าว่าพ่อแม่มันพาย้ายมาอยู่ที่อเมริกาตั้งแต่เด็กก็เลยเปลี่ยนสัญชาติไปโดยปริยาย ผมสนิทกับมันเพราะมันเป็นเอเชียคนเดียวในคลาสที่ผมเรียนอยู่ และมันก็ยังเป็นนักปาร์ตี้ตัวยง เรียกได้ว่ามีงานปาร์ตี้ใหญ่ๆ ที่ไหน ต้องเจอมันที่นั่น แถมมันยังเป็นคนพาผมเข้าวงการนี้อีกด้วย
ที่พักของริชาร์ดอยู่ไม่ไกลจากผมมากนัก มันเป็นอีกคนที่ไม่ยอมอยู่หอพักนักศึกษาของมหา’ลัยด้วยเหตุผมเดียวกันกับผมก็คือ หอพักนักศึกษาของมหา’ลัยมีกฎระเบียบเยอะ กำหนดเวลาเข้าออก แถมยังแยกชาย-หญิง และจัดงานปาร์ตี้ไม่ได้ ผมกับมันเลยระเห็จมาอยู่กันข้างนอกแม้ว่าจะต้องจ่ายแพงกว่าก็ตาม แต่ผมไม่อยู่กับมันหรอกนะเพราะผมเป็นพวกชอบความเป็นส่วนตัว บางครั้งหิ้วสาวกลับห้องก็ไม่อยากจะให้ใครมารบกวน ริชาร์ดเองก็เหมือนกัน หมอนั่นก็คงไม่อยากให้ใครมารบกวนตอนกำลังเมากัญชาอยู่แน่
ผมยังไม่ได้บอกใช่มั้ยว่าหมอนั่นน่ะ นอกจากจะเป็นเจ้าพ่อปาร์ตี้แล้ว เหล้ายากัญชาก็ขอให้บอก แทบจะเปิดร้านขายเองแล้วมั้ง เป็นนักปาร์ตี้คนละสายกับผมโดยสิ้นเชิง สำหรับผมน่ะ แค่มีสาวๆ ให้คั่วก็พอใจแล้ว ไม่ลงไปเกลือกกลั้วกับอะไรพวกนี้สักเท่าไหร่หรอก (แต่ก็นานๆ ทีน่ะแล้วแต่โอกาส)
ผมมาหยุดอยู่หน้าห้องของริชาร์ด กลิ่นเหม็นฉุนของบุหรี่ผสมกัญชาลอยคละคลุ้งลอดออกมาจากใต้ประตูทำให้ผมรู้ว่าที่หมอนั่นไม่ยอมรับโทรศัพท์ คงเป็นเพราะเมาอยู่แหง ผมเลยเคาะประตูเรียกไปแล้วรออยู่ครู่หนึ่ง พักใหญ่ทีเดียวกว่าหมอนั่นจะมาเปิดประตูให้
พอประตูเปิดออก ริชาร์ดก็โผล่หน้าตี๋ๆ พร้อมกับดวงตาเรียวเล็กปรือๆ ออกมามอง ในมือหมอนั่นยังคีบบุหรี่ยัดไส้กัญชาไว้อยู่เลย ก่อนที่หมอนั่นจะเอ่ยปากทักเมื่อตระหนักได้ว่าแขกที่มาทำลายเวลาเปี่ยมสุขคือผม
“เอ้า เควิน มีอะไรถึงโผล่หัวมาหาฉันถึงที่ได้ เมื่อวานก็ไม่ไปเรียน เมาค้างยาวเหรอวะ” ริชาร์ดว่าขำๆ
“เออ หนักไปหน่อยก็เลยหยุด” ผมเออออไปตามเรื่อง ไม่อยากจะมาอธิบายว่าที่ไม่ไปเรียนก็เพราะโดนไอ้บ้าที่ยืนอยู่ข้างๆ วางไข่แล้วคลอดมันออกมา “แล้วนี่พี้กัญชาตั้งแต่หัววันเลยเหรอวะ ไม่มีเรียนหรือไง”
ผมทักกลับไปบ้าง ที่ทักอย่างนี้ก็เพราะริชาร์ดไม่ได้เรียนคลาสเดียวกับผมทุกวิชา
ริชาร์ดส่ายหน้าพรืด “ไม่มีอ่ะ ส่งโปรเจ็กต์เสร็จก็ว่างแล้ว มีแต่โครงการหนังสั้นของชมรมที่ต้องนั่งทำสตอรี่บอร์ด”
ผมไม่แปลกใจนักแล้วล่ะว่าทำไมหมอนี่ถึงเมาตั้งแต่หัววัน จำได้ว่าริชาร์ดเคยพูดไว้ว่าไอเดียจะมาก็ตอนที่กำลังเมากรึ่มๆ ได้ที่ นี่คงจะนั่งทำงานอยู่ล่ะมั้งถึงได้เมาตาหวานตั้งแต่ตะวันยังไม่ตกดินอย่างนี้
ผมทำท่าจะพูดต่อว่าผมมาหาเขาทำไม ทว่าริชาร์ดก็ดันเหลือบมาเห็นคีธที่ยืนอยู่ข้างๆ ผมเอาในตอนนี้ เขาหรี่ตาลงจนดวงตาที่เล็กเรียวอยู่แล้วเล็กมากขึ้นไปอีก ดูเผินๆ อย่างกับหลับตา ก่อนที่เขาจะถามออกมาพลางชี้บุหรี่ในมือไปที่หน้าหล่อๆ ของคีธด้วย
“แล้วนี่ใคร”
“ข้าชื่อคีทาเย ซาเคมอร์ฟ” คีธตอบแทบจะในทันที ลืมไปหมดสิ้นว่าตกลงกับผมไว้ว่าอะไร แถมยังบอกชื่อจริงตัวเองไปอีก
“คีอะไรนะ” ริชาร์ดทำหน้าไม่เชื่อหูว่าสิ่งที่ได้ยินจะเป็นชื่อคน
“คีทาเย ซาเค...”
“หมอนี่ชื่อคีธ” ผมรีบชิงพูดก่อนที่หมอนั่นจะพูดชื่อตัวเองขึ้นมาอีกครั้ง
ทั้งคู่หันมามองผมที่ทำหน้าหงุดหงิดแทบจะในทันใด ก่อนจะถูกเบนความสนใจไปยังริชาร์ดอีกครั้งเมื่อเขาพูดขึ้นมา
“แล้วนี่...เป็นเพื่อนหรือคู่ขาคนใหม่ล่ะ เปลี่ยนแนวแล้วเหรอวะเควิน”
ว่าแล้วเชียวว่ามันจะต้องพูดแบบนี้ คิดไว้ไม่มีผิด!
“หุบปากน่า” ผมว่าเสียงขุ่น
ริชาร์ดหัวเราะขำๆ ก่อนจะหันไปหาคีธอีกครั้ง
“เอาเป็นว่ายินดีที่ได้เจอนายแล้วกันคีธ ฉันชื่อริชาร์ด หวัง แต่อย่าเรียกด้วยนามสกุลเลย มันไม่น่าฟังเท่าไหร่” พูดอย่างเดียวไม่พอ ยังยื่นมือข้างที่ไม่ได้ถือบุหรี่ไปข้างหน้าให้คีธจับอีก
คีธก็รับไมตรีเต็มที่ พยักหน้ารับทันใด มีแต่ผมนี่แหละที่ฉุกใจคิดอะไรขึ้นมาได้ พลันหันไปมองคีธตาไม่กะพริบ
“ข้าก็ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกัน ริ...”
พูดยังไม่ทันจะจบ ผมก็ดันเห็นคีธยกมือไปข้างหน้า ทำท่าจะจับมือทักทายริชาร์ด เท่านั้น ผมก็รีบพุ่งเข้าไปคว้ามือคีธเอาไว้ ก่อนจะกดมันลงอย่างรวดเร็ว
“เอ้อ...” ผมว่าแก้เก้อพลางลูบต้นคอตัวเองไปมาเมื่อถูกสองคนนั้นมองหน้าแบบงงๆ
ครู่เดียวเท่านั้น สีหน้างุนงงของริชาร์ดก็แปรเปลี่ยนกลายเป็นยิ้มกะลิ้มกะเหลี่ยทันใด
“หวงกันออกนอกหน้านอกตาแบบนี้ คู่ขาไม่ผิดตัวแน่ๆ”
คู่ขาพร่อม! ปากดีอย่างนี้ รู้งี้น่าจะปล่อยให้ไอ้มนุษย์ดาวโฮโมฯ ดูดนิ้วซะก็ดี!
“ไอ้ริชาร์ด...” ผมกัดฟันแน่น มองหน้าเพื่อนสนิทอย่างเอาเรื่อง ขณะที่มันยังคงหัวเราะร่วนกับท่าทางของผม
“ไม่เห็นจะต้องอาย เป็นไบฯ ก็เป็นสิวะ ฉันไม่ถือหรอกที่นายจะได้ทั้งชายทั้งหญิง เนอะคีธ” มันยังมีหน้ามาพูด ซ้ำยังหันไปพยักเพยิดกับไอ้มนุษย์ต่างดาวนั่น
ร้ายกว่านั้น คีธยังเออออไปกับมันอีก
“เรื่องปกติ จะชายจะหญิงก็ไม่ต่างกัน”
“นั่นน่ะสิ พาไปขึ้นสวรรค์ได้เหมือนกัน ได้ทั้งหน้าได้ทั้งหลังแบบนี้ดีจะตาย พ่อหนุ่มรวยเสน่ห์อย่างนายจะได้ไม่ขัดสน” ว่าแล้วก็หันมาเหล่มองผม
“จะหุบปากได้หรือยัง” ผมแทบอดใจพุ่งเข้าไปกระโดดถีบมันไม่ไหวแม้จะรู้ดีว่ามันล้อเล่นก็ตาม
และเหมือนมันจะรู้ว่าชะตาตัวเองกำลังจะขาด จึงรีบเปิดประตูออกกว้างกว่าเดิมแล้วเชื้อเชิญผมเข้าไปด้านใน
“เข้ามาก่อน ถ่อสังขารมาหาฉันถึงที่อย่างนี้ นายต้องมีเรื่องสำคัญแน่ๆ”
“แน่อยู่แล้ว ถ้าไม่มีจะหาทำบ้าอะไร” ผมว่าอย่างหงุดหงิด เดินนำเข้ามาก่อนเป็นคนแรก ตามด้วยคีธที่เดินหน้านิ่งๆ เข้ามา
ห้องของริชาร์ดยังคงรกเหมือนเคย ผมกวาดตามองไปยังแผ่นดีวีดีหนังของแท้เกลื่อนกระจายหน้าจอโทรทัศน์ที่เปิดหนังเอเลี่ยนอยู่ ก่อนปรายตามองไปยังจานอาหารใช้แล้ววางเรียงเป็นตั้งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ที่เปิดค้างไว้ไม่ไกลนัก รอบข้างมีกองกระดาษและไวท์บอร์ดสำหรับเขียนสตอรี่บอร์ดอยู่ไม่ไกลจากกองขวดเบียร์นับสิบขวด และแน่นอนว่ามันก็กระจายไปคนละทิศละทางเช่นกัน เห็นสภาพแล้วผมก็อดเบ้ปากขึ้นมาไม่ได้
“อยู่ไปได้ยังไงวะเนี่ย อย่างกับกองขยะ”
“ช่วงใช้สมองก็อย่างนี้แหละ หาที่นั่งเอาเองแล้วกัน เอามือปัดๆ หน่อยก็นั่งได้แล้ว” ริชาร์ดว่าอย่างไม่ยี่หระ
แน่นอนว่าผมไม่ไปหาที่นั่งอย่างที่มันว่า เพราะผมไม่ได้มาเที่ยวหามัน มีก็แต่คีธนี่แหละที่จับจ้องไปยังจอโทรทัศน์เขม็ง ก่อนจะเดินไปทรุดตัวลงนั่งบนโซฟา ดูท่าทางหมอนั่นจะสนอกสนใจเป็นพิเศษ ผมก็เลยได้โอกาส รีบคว้าแขนริชาร์ดเข้าไปยังห้องนอนที่อยู่ถัดไปอย่างรวดเร็ว
“อะไรของนายวะเนี่ย บอกไว้ก่อนว่าฉันไม่นิยมทรีซัมนะเว้ย โดยเฉพาะกับผู้ชายด้วยกันหมดเนี่ย” ริชาร์ดโวยน้อยๆ เมื่อจู่ๆ ก็ถูกผมลากเข้ามาไม่มีปี่มีขลุ่ย
ผมแทบจะตบกะโหลกมันทันทีที่มันนึกว่าผมจะรวมร่างกับมันพร้อมกับคีธ แต่ก็อดใจไว้ด้วยต้องใช้ประโยชน์จากมัน จึงได้แค่ชักสีหน้าใส่
“ฉันแค่มีเรื่องจะถาม แล้วก็ไม่อยากให้ไอ้บ้าที่นั่งอยู่ข้างนอกรู้ก็เท่านั้น”
“ไอ้บ้านั่น... หมายถึงคีธน่ะเหรอ”
ผมพยักหน้ารับด้วยสีหน้าเครียดๆ ขณะที่ริชาร์ดทำหน้าสงสัย
“ทำไมวะ หมอนั่นเป็นเพื่อนนายไม่ใช่หรือไง”
“ไม่ใช่เพื่อน”
“งั้นก็คู่ขา”
“ถ้าพูดคำนี้ออกมาอีกครั้ง สาบานได้เลยว่าฉันจะเลาะฟันนายออกมาทีละซี่” ผมย่นคิ้ว
“เพื่อนก็ไม่ใช่ คู่ขาก็ไม่ใช่ แล้วหมอนั่นเป็นใครวะ”
“ก็เอ่อ...”
พอถูกริชาร์ดถามกลับ ผมก็ไม่รู้ว่าจะตอบยังไงดี บอกว่าเป็นมนุษย์ต่างดาวที่มาวางไข่ในตัวผมมันก็ใช่เรื่อง จะบอกว่าเป็นลูกชายเพราะผมคลอดมันออกมาก็ยิ่งไม่ใช่เรื่องเข้าไปใหญ่
ผมอึกอักไปนาน ท่าทางของผมบอกให้ริชาร์ดรู้ทันทีว่าต่อให้ถามไปก็เท่านั้น ถ้าผมไม่อยากบอกก็ไม่มีทางได้รู้ และหมอนี่ก็ไม่ใช่พวกขี้ตื๊อหรือแส่เรื่องของคนอื่นด้วย เลยตัดบทเอาดื้อๆ
“เออช่างเหอะ จะเพื่อนจะคู่ขาหรือจะอะไรมันก็ไม่เกี่ยวกับฉัน ว่าแต่นายมีเรื่องอะไรจะถามถึงได้ถ่อมาอย่างนี้”
ผมรีบหันซ้ายขวา พุ่งตรงไปล็อคประตูห้องด้วยกลัวว่าคีธจะโผล่เข้ามา แล้วกลับไปกระซิบเสียงเบา
“คือว่า... ที่ฉันจะถามก็คือ...”
“คือ?” ริชาร์ดดูตื่นเต้นไปกับท่าทางของผมด้วยจนออกทางสีหน้า
“ส่วนใหญ่เอเลี่ยนมันมาที่โลกเพราะอะไรวะ”
ความตื่นเต้นที่ฉาบพรายบนใบหน้าของริชาร์ดหายวับไปกับตา หมอนั่นผลักหัวผมออกห่างแทบจะทันใด
“ทำซะอย่างกับเป็นเรื่องสำคัญระดับชาติ เรื่องแค่นี้เนี่ยนะ!” แล้วก็ตามด้วยโวยวายเสียงดังจนผมต้องรีบจุปากบอกให้มันเงียบ
“ก็สำคัญถึงได้ลากนายมาคุยกันลับๆ อย่างนี้นี่ไง”
ริชาร์ดยกมือขึ้นกอดอก พ่นลมหายใจเต็มแรง “ปกตินายไม่เคยสนใจเรื่องเอเลี่ยนอะไรพวกนี้นี่หว่า ทำไมจู่ๆ ถึงมาถาม อย่าบอกนะว่าจะเปลี่ยนแนวจากศึกษาหนังอีโรติกมาศึกษาหนังสัตว์ประหลาดแล้ว?”
“ก็ทำนองนั้น” ผมเออออไปตามเรื่อง
ริชาร์ดมองอย่างไม่เชื่อสักเท่าไหร่นัก แต่ก็ยอมอธิบายออกมาแต่โดยดี
“จากที่ดูหนังแนวๆ นี้มา ส่วนใหญ่พวกมันมาที่โลกก็เพื่อครองโลกนะ น้อยครั้งที่จะเห็นบุกโลกมาอย่างสันติ ส่วนใหญ่ก็เพื่อขยายอาณาจักร ครอบครองจักรวาลอะไรงี้ และไอ้การครองโลกมันก็มีหลายแบบ ครองโลกโดยใช้วิธีการขยายพันธุ์ ครองโลกด้วยวิธีการล่า ครองโลกด้วยการใช้วิวัฒนาการและเทคโนโลยีที่เหนือกว่า มันก็ต้องดูว่าสายพันธุ์อะไรถึงจะบอกได้ว่ามันพยายามจะครองโลกด้วยวิธีไหน”
“แล้วไอ้ประเภทพวกที่วางไข่ใส่ร่างมนุษย์ล่ะ” ผมถามอ้อมแอ้ม
ริชาร์ดทำท่าคิดไปครู่ “พวกนั้นก็น่าจะเป็นพวกเอเลี่ยนที่เห็นทั่วๆ ไปในหนัง เป้าหมายของมันก็มีแค่ฆ่ากับขยายพันธุ์ ถ้ามันบุกมาที่โลกก็มีเป้าหมายแค่สองอย่างนี้เนี่ยแหละ”
ผมกลืนน้ำลายเอื้อกทันที ภารกิจที่ว่าของคีธคงจะหนีไม่พ้นเป้าหมายนี้แน่ๆ เพราะหมอนั่นไม่แค่วางไข่ใส่ผม แต่ยังขู่ฆ่าอยู่เนืองๆ ด้วย
“ละ...แล้วถ้าจะกำจัดมันล่ะ นายคิดว่ามีวิธีมั้ย”
“ถ้าเป็นในหนังมันก็มีวิธีของมันจนได้นั่นแหละ แต่ถ้าเป็นเรื่องจริง ต่อให้ยกกองทัพทั่วโลกมาถล่ม ก็รับประกันได้เลยว่าไม่มีวันเอาชนะมันได้แน่ๆ ไอ้พวกนี้ถ้าได้วางไข่ แล้วถ้าไข่มันฟักตัวเป็นเฟซฮักเกอร์จนมาปล่อยน้ำเชื้อในมนุษย์ได้เมื่อไหร่ ก็เตรียมตัวฉายหนังอวสานวันสิ้นโลกได้เลย”
ยิ่งได้ยินริชาร์ดพูด ผมก็ยิ่งใจไม่ดี พลันนึกถึงตัวเฟซฮักเกอร์ที่เป็นตัวอ่อนของเอเลี่ยนที่ฟักออกมาจากไข่ มีอีกชื่อว่าตัวเกาะหน้า ไอ้ตัวนี้จะจู่โจมโดยการเกาะหน้าเหยื่อแล้วสอดงวงเข้าไปทางปาก ทำให้เหยื่อสลบแล้วปล่อยน้ำเชื้อตัวอ่อนลงไปฝังที่อกของเหยื่อ เสร็จแล้วก็ตาย จากนั้นน้ำเชื้อนั่นก็จะโตเป็นเชื้อตัวอ่อนที่เรียกว่าเชสเบิร์สเตอร์หรือตัวทะลวงอกอีกที
แค่คิดก็สยองแล้ว!
“มีอะไรจะถามอีกมั้ย” ริชาร์ดเรียกสติผมเมื่อเห็นผมเอาแต่พึมพำคนเดียวไม่เลิก
“ไม่” ผมสะดุ้ง ตอบปฏิเสธแทบจะในทันที
“มาแค่มาถามเรื่องนี้เนี่ยนะ แปลกชะมัด” ริชาร์ดพึมพำแล้วส่ายหน้า ก่อนหนีออกไปนอกห้อง
ผมเดินตามกลับไปด้วย พลางมองไปยังคีธที่ยังเอาแต่จ้องจอโทรทัศน์ไม่เลิก ภาพหน้าจอกำลังฉายฉากที่ตัวเชสเบิร์สเตอร์แหกอกผู้ชายคนหนึ่งออกมาพอดี ผมทำหน้าแหยพลัน ขณะที่ริชาร์ดหัวเราะน้อยๆ พร้อมหยิบบุหรี่ตัวใหม่ขึ้นสูบแล้วไปนั่งข้างๆ คีธ
“เป็นไงหนังเรื่องนี้ เจ๋งใช่มั้ยล่ะ ฉันชอบภาคนี้ที่สุดละ ดูยังไงก็ไม่เคยเบื่อ ไอ้ตัวเชสบัสเตอร์นี่เจ๋งเป็นบ้า นายว่ามั้ย”
“ข้าไม่เห็นว่าจะประหลาดตรงไหน เรื่องปกติ” คีธว่าเสียงเรียบ
มันก็ต้องปกติอยู่แล้วสำหรับคนที่มันแหกสะดือชาวบ้านอย่างเอ็งน่ะ!
“นายคงหมายถึงว่ามุขเก่าสินะ” ริชาร์ดไม่สงสัยในคำพูดของคีธสักนิด แถมยังร่ายยาวอีกต่างหาก “แต่ฉันว่ามันเจ๋งว่ะ โดยเฉพาะเวลาเห็นวัฏจักรการเจริญเติบโตของมัน ลองคิดดูนะเว้ย ออกมาจากไข่เป็นตัวเฟซฮักเกอร์ เสร็จแล้วก็กลายเป็นตัวเชสเบิร์สเตอร์ จากนั้นก็แหกอกออกมาเป็นตัวโตเต็มวัยแบบซีโนมอร์ฟ ไม่ก็เป็นนางพญา บางครั้งก็เป็นไฮบริดเอเลี่ยนลูกผสม เวลากินเหยื่อก็ใช้ลิ้นเจาะทะลวงเฉาะหัวมนุษย์ กินเลือดกินมันสมองไรงี้ เจ๋งจะตาย”
ฟังแล้วผมก็นึกถึงที่ผมถูกคีธดูดสารอาหารจากร่างกาย พลันเสียววาบไปทั้งร่าง
เสียววาบนี่ไม่ใช่ว่าจูบของหมอนั่นชวนสยิวหรืออะไรหรอกนะ แต่เสียวเพราะกลัวหมอนั่นจะเอาลิ้นมาทะลวงขึ้นไปกินสมองผมมากกว่า ตัวบ้าอะไรวะน่ากลัวฉิบ!
“ถึงรูปร่างและการเจริญเติบโตจะไม่เหมือนเสียทีเดียว แต่พวกนั้นเป็นชาติพันธุ์ผู้รุกราน ในจักรวาลไม่มีใครต้อนรับหรือพิสมัยสักเท่าไหร่นัก โดยเฉพาะพวกชาติพันธุ์ที่อยู่ในกลุ่มฮิวมานอยด์ เพราะเชื่อกันว่าเจ้าพวกนั้นเป็นพวกไร้อารยะ รุกรานไม่เลือกหน้าและเป็นปรสิตชั้นต่ำของห้วงอวกาศ ส่วนพวกฮิวมานอยด์ก็มีลักษณะคล้ายกับมนุษย์โลก ส่วนมากเป็นพวกรักสันติ บางชาติพันธุ์ก็มีบ้างที่ชอบรุกราน แต่ถือว่าเป็นผู้มาอารยะสูงส่งหากเทียบกับปรสิตอวกาศเหล่านั้นและฮิวมานอยด์อย่างมนุษย์โลก” คีธสวนขึ้นมาบ้าง
“ไปเอาข้อมูลพวกนี้มาจากหนังเรื่องไหนเนี่ย ทำไมฉันไม่เคยรู้ว่ามีอะไรแบบนี้ด้วย” ริชาร์ดทำหน้าอึ้งๆ ขณะที่คีธว่าต่อหน้าตาย
“มันไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นจากจินตนาการของมนุษย์โลก หากวิวัฒนาการของพวกเจ้าก้าวหน้ากว่านี้ล่ะก็ เจ้าจะได้รู้เองว่าสิ่งที่พวกเจ้าจินตนาการขึ้นมาในสิ่งบันเทิงเหล่านั้นล้วนเป็นเท็จ”
สีหน้าของริชาร์ดดูงุนงงไปชั่วขณะ จนผมต้องโพล่งออกมา
“หมอนั่นแต่งขึ้นมาเอง”
ริชาร์ดค่อยๆ คลายหัวคิ้วที่ย่นกลางหน้าผาก ก่อนจะตบบ่าแกร่งของคีธเต็มแรง
“เฮ้ยเจ๋งว่ะ มาเป็นนักเขียนบทได้สบายๆ เลยนะเนี่ย ยืมไอเดียนายมาใส่ในหนังสั้นของฉันหน่อยได้มั้ย ฉันกำลังทำหนังเกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาวอยู่พอดี”
คีธทำเพียงพยักหน้า มีแต่ผมเท่านั้นแหละที่ลอบเบ้ปาก
เหอะ... ยืมไอเดียเหรอ ถ้าอยากจะให้มีฉากแหกสะดือสุดสะพรึงล่ะก็เอาเลย
หลังจากนั้น ริชาร์ดก็ชวนคีธคุยเรื่องนี้อยู่อีกครู่ใหญ่ ส่วนใหญ่มีแต่ริชาร์ดที่ถามโน่นนี่ไปตามประสาคนคลั่งหนังเอเลี่ยน กระทั่งเวลาล่วงเลยไปช่วงบ่าย บทสนทนานั่นจึงมีทีท่าว่าจะจบลงสักที
“นายนี่มันไอเดียสุดยอด โคตรชอบเลยว่ะ แต่ฉันว่าฉันจะไม่ให้นายมาเขียนบทให้ละ ฉันจะเขียนเองนี่แหละแต่ยืมไอเดียนายมาปรับหน่อย จะให้นายเปลี่ยนมาแสดงเป็นตัวเอกแทน”
ผมหูผึ่งพลัน จากที่นั่งแกร่วเป็นส่วนเกินอยู่ก็รีบพุ่งเข้าไปหาทั้งคู่ทันที
“จะให้หมอนี่มาเป็นนักแสดงให้นายเนี่ยนะ”
“ก็ใช่น่ะสิ คีธออกจะหล่อ แถมยังมีบุคลิกเข้ากับตัวละครหลักของฉันด้วย ให้มาแคสติ้งเป็นนักแสดงดีกว่า ทำงานเบื้องหลังน่าเสียดายจะตาย นายว่าไงล่ะคีธ สนใจมั้ย ถ้าดังขึ้นมานี่ สาวเพียบเลยนะเว้ย” ริชาร์ดหันมาบอกผม
ผมมุ่ยหน้า สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายความยุ่งยากขึ้นมาทันที ก่อนจะรีบปฏิเสธโดยไม่รอให้คีธตอบ
“ไม่ล่ะ หมอนี่ไม่สนใจหรอก”
“ดักคออย่างนี้แสดงว่าหวงล่ะสิ กลัวสาวๆ จะตามเกาะแกะคู่ขาหรือไง” ริชาร์ดว่าหน้าทะเล้น
ขมับผมกระตุกยิกทันใด “ไม่ได้กลัวเว้ย!”
“ไม่ได้กลัวก็ไม่เห็นต้องหวง” หมอนั่นยักไหล่ วางท่าราวกับอยู่เหนือกว่าผม
เห็นแล้วก็หงุดหงิดชะมัด งั้นก็ช่างแม่ง! ดีเหมือนกัน เผื่อไอ้มนุษย์ดาวโฮโมฯ นี่อยากจะวางไข่ใส่คนอื่น ผมจะได้รอดจากการเป็นร่างกาฝากให้หมอนี่สักที
“แล้วนายล่ะว่าไง สนใจมาแคสติ้งนักแสดงกับฉันมั้ย หนังฉันเป็นแนวโรแมนติก-ไซไฟ เกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาวที่ตกหลุมรักมนุษย์โลกน่ะ” ริชาร์ดให้ความสนใจไปที่คีธอีกครั้ง
“ไม่มีปัญหา ข้าเองก็อยากเรียนรู้อารยธรรมของชาวโลกเหมือนกัน” แล้วคีธก็ตอบรับไปหน้าตาย
“ดีเลย แคสให้ผ่านนะเพื่อน บทพระเอกเรื่องเจ้าชายอวกาศจะได้อยู่ในมือนาย” ไอ้เพื่อนตัวดีหัวเราะร่วน
ผมเบ้ปากเมื่อได้ยินชื่อหนังสั้นของหมอนั่น หนังบ้าบอคอแตกอะไรของมัน ชื่อโคตรจะไม่เมกเซ้นส์ แถมพล็อตคร่าวๆ ยังไม่ต่างจากหนังเกรดบี ไม่สิ... เกรดดี เกรดอี ยันแซดเลยดีกว่า พล็อตอย่างเกร่อ
“จะว่าไปนี่ก็เลยเที่ยงมาแล้วนี่หว่า หิวกันหรือยังล่ะพวกนาย” ริชาร์ดเปลี่ยนเรื่องให้ผมเบนความสนใจไปที่เขาอีกครั้ง
“ไม่ล่ะ เดี๋ยวฉันกลับไปกินที่ห้อง” ผมรีบตัดบทเพราะเห็นว่าอยู่ที่นี่นานเกินไปแล้ว ที่สำคัญ ถ้าเกิดคีธตอบว่าหิวขึ้นมา ผมนี่แหละจะซวยเอา
ทว่าพอผมทำท่าจะลากคีธออกจากห้อง ริชาร์ดก็พุ่งตัวมาขวางเอาไว้
“เฮ้ย กลับอะไร อุตส่าห์พาว่าที่พระเอกมาหาฉันถึงที่ทั้งที ให้ฉันเลี้ยงหน่อยเหอะ เอาเบอร์เกอร์แล้วกันเนอะ ง่ายๆ”
“ไม่เอา” ผมปฏิเสธแทบจะในวินาทีนั้น แต่ไอ้เพื่อนเวรนี่ไม่สน นอกจากจุดบุหรี่ตัวใหม่ขึ้นสูบ
“เอาน่า เดี๋ยวมื้อเย็นค่อยกลับไปกินที่ห้อง พวกนายมาตั้งแต่เช้าแล้วนี่ คีธน่าจะหิวแล้วมั้งฉันว่า” ว่าพลางพยักปลายคางไปยังไอ้หน้าตายที่นั่งมองอยู่
“อืม ข้าหิวแล้ว” แถมมันก็ยังตอบรับหน้าด้านๆ อีกด้วย
“เห็นมะ บอกแล้วว่าต้องหิว รอแป๊บนึงแล้วกัน เดี๋ยวฉันไปซื้อมาให้”
“เฮ้ยเดี๋ยว!” ผมรีบร้องเรียกมันไว้ก่อนที่มันจะออกไปนอกห้อง
แต่ก็ไม่ทันแล้ว ริชาร์ดหายวับไปนอกห้องราวกับติดจรวด ทิ้งให้ผมยืนค้างเป็นหุ่น ก่อนจะเสียวสันหลังวาบขึ้นมาทั้งตัวเมื่อได้ยินเสียงเรียบๆ ดังมาจากทางด้านหลัง
“ข้าหิวแล้ว”
นั่นไง! มันเอาแล้ว!
“กะ...กลับไปกินที่ห้องฉัน” ผมรีบหันไปบอกอย่างลวกๆ แต่เหมือนคีธจะไม่เข้าใจ
“รอไม่ได้ หากหิวแล้วข้าต้องกินเลย ไม่เช่นนั้นอวัยวะภายในของข้าจะบาดเจ็บ”
“รอไม่ได้ก็ไม่ต้องกินโว้ย มากินในห้องเพื่อนฉันอย่างนี้ไม่ได้ เดี๋ยวมันโผล่เข้ามาเห็นก็ได้เข้าใจผิดตาย!” ผมโวยลั่น แน่ล่ะ ที่ผมไม่ยอมไม่ใช่เพราะไม่อยากจะจูบกับมันเพียงอย่างเดียว แต่กลัวว่าไอ้ริชาร์ดจะกลับมาเห็นแล้วล้อผมว่าเป็นโฮโมฯ ไม่เลิกด้วย
แต่ก็อย่างว่า ภาษามนุษย์จะไปทำให้ไอ้มนุษย์ต่างดาวกาฝากนี่เข้าใจลึกซึ้งได้ยังไง พอบอกว่าไม่ หมอนี่คงจะได้ยินว่าใช่ ลุกจากโซฟาเดินเข้ามาหาผมให้ผมถอยกรูดไปจนแผ่นหลังติดกับประตู
“เช่นนั้นข้าจะรีบกินก่อนที่สหายเจ้าจะกลับมาแล้วกัน”
สิ้นเสียง มือใหญ่ก็คว้าหมับเข้าที่ต้นแขนทั้งสองข้างของผมทันใด ผมเบิกตาโพลง ยกขาถีบมันที่กำลังจะโน้มหน้าเข้ามาใกล้เป็นพัลวัน
“ปล่อยนะเว้ย! บอกให้กลับไปกินที่ห้องไม่เข้าใจหรือไง!”
ถีบอย่างเดียวไม่พอ ยังดีดดิ้นเต็มแรงอีกด้วย แต่ไอ้ถึกนี่ไม่สะทกสะท้านกับแรงดิ้นของผมเลยสักนิด แถมยังจับผมแน่นกว่าเดิมจนผมแทบยกแขนตัวเองไม่ขึ้น
“ไม่เกินห้านาที เดี๋ยวก็เสร็จ”
ยัง... มันยังมีหน้ามาต่อรองหน้าด้านๆ
“ห้านาทีก็ไม่ได้! ปล่อย! ได้ยินมั้ยบอกว่าให้ปล่อยเนี่ย!” ผมรวบรวมแรงที่มีอยู่ทั้งหมดดิ้นหนีจากการเกาะกุมอีกครั้ง
เรียวคิ้วสวยของคีธย่นลงเล็กน้อยที่เห็นผมสะบัดสะบิ้งไปมาไม่ยอมให้สูบสารอาหารง่ายๆ ก่อนที่หมอนั่นจะออกแรงยกผมในสภาพที่ยังจับต้นแขนทั้งสองข้างของผมอยู่ ผมลอยหวือไปพร้อมกับสีหน้าเหวอๆ และยิ่งเหวอหนักเมื่อหมอนั่นจับผมเอนนอนลงบนโซฟา แล้วขึ้นมาโถมร่างทับตัวผมไว้ไม่ให้ดิ้น
 “ครู่เดียวเท่านั้น ข้าจะรีบกิน” คีธว่าเสียงเบาพลางโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้ผมจนแทบชิด
ลมหายใจอุ่นๆ ที่เลียโลมใบหน้าผมทำเอาผมพรึงเพริดยิ่งกว่าเดิม แต่ถึงจะดิ้นแรงแค่ไหน ตอนนี้ก็หนีไม่ได้อีกแล้ว อย่าลืมสิว่าหมอนี่มีพละกำลังมากกว่ามนุษย์โลกนะ แถมยังตัวใหญ่กว่าผม ใครจะไปสู้มันได้
“ไม่เอา!” ผมเลยได้แต่ร้องโวยวายเท่านั้น
ทว่าคีธไม่สนใจอะไรแล้ว เลื่อนริมฝีปากหยักเข้ามาใกล้ ก่อนจะวางนาบลงบนเรียวปากผม ผมเม้มปากแน่นแต่ก็ไม่อาจสู้แรงของลิ้นอ่อนนุ่มที่ทะลวงเข้ามาชิมรสหวานในโพรงปากผมได้
นะ...นี่มันขืนใจกันชัดๆ เลยนี่หว่า! ทุเรศเอ๊ย! ทำไมผมต้องมาโดนมนุษย์ต่างดาวขืนใจสูบสารอาหารด้วยวะ!
ผมก็ใช่ว่าจะยอมง่ายๆ ถึงจะรู้ว่าสู้ไม่ได้แต่ก็ยังสู้ ดิ้นหนีจนเสื้อผ้าเริ่มหลุดลุ่ย ขณะที่เรี่ยวแรงเริ่มถดถอยไปทีละน้อย ความวิงเวียนถาโถมเข้ามาจนผมไม่อาจดิ้นหนีอีกต่อไปได้ ผมเลยยอมอยู่นิ่งๆ ให้หมอนี่ดูดกินสารอาหารเร็วๆ จะได้หลุดจากสภาพน่าอดสูนี่เสียที ผมล่ะกลัวไอ้ริชาร์ดกลับมาเห็นจะแย่อยู่แล้ว
ทว่าพระเจ้าคงจะชิงชังผมมาก เพราะไม่ทันที่คีธจะปฏิบัติภารกิจเสร็จ เสียงประตูห้องก็ถูกเปิดออก ตามมาด้วยเสียงของริชาร์ดที่โพล่งเข้ามา
“ลืมกระเป๋าตังค์ว่ะ นายจะฝากซื้ออะไรเพิ่มมั้ยเค...วิน...”
ฉิบหาย!
ผมลืมตาโพลง คีธเองก็ละริมฝีปากออกจากผมเหมือนกัน เราทั้งคู่หันไปมองริชาร์ดด้วยความรู้สึกคนละแบบ แน่นอนว่าไอ้เวรที่คร่อมตัวผมอยู่ยังคงทำหน้าตายเหมือนเดิม ขณะที่ผมทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ส่วนริชาร์ดก็เหวอไปสามโลกแปดโลกที่จู่ๆ ก็เปิดประตูห้องตัวเองเข้ามาเจอเพื่อนกำลังถูกผู้ชายตัวเท่าหมีควายอีกคนลวนลามอยู่
“มะ...ไม่ใช่อย่างที่เห็นนะ” พอได้สติ ผมก็รีบอ้าปากแก้ตัว
ริชาร์ดปิดประตูห้องลง รีบปรับสีหน้าตกใจให้นิ่งเรียบและไม่พูดอะไร นอกจากเดินไปที่ห้องนอนแล้วกลับออกมาพร้อมกับกล่องขนาดเท่าฝ่ามือ ก่อนจะโยนมาใส่ผมกับคีธ
“ใช้ไปก่อน เดี๋ยวฉันไปซื้อใหม่”
ผมปรายตามองกล่องสี่เหลี่ยมคุ้นตาที่ถูกโยนมาบนพื้นข้างโซฟาด้วยตาที่เบิกโต
ถะ...ถุงยางอนามัย! มันเข้าใจผิดไปถึงไหนต่อไหนแล้วเนี่ย!
“ริชาร์ด มันไม่ใช่...” ผมอ้าปากจะแก้ตัวอีกรอบ
แต่ก็ไม่ทันอีกเช่นกัน เพราะริชาร์ดสวนขึ้นมาก่อน
“อีกสองชั่วโมงจะกลับมา จัดการให้เสร็จล่ะ” แล้วมันก็ออกจากห้องไป
ออกไปแล้วยังจะเปิดกลับเข้ามา ล็อคประตูที่ลูกบิดให้ก่อนจะหายออกไปอีกรอบอีก
คุณพระ! นี่ผมกลายเป็นโฮโมฯ จริงๆ ในสายตาเพื่อนไปเรียบร้อยแล้ว!
จะมีก็แต่คีธนี่แหละที่ยังไม่รู้ว่าสถานการณ์ตอนนี้เป็นยังไง พอเห็นริชาร์ดหายออกไป ก็ก้มหน้ามามองผมอีกครั้ง
“สหายเจ้าคงอยากจะกินอาหารข้างนอก งั้นข้าคงไม่จำเป็นต้องรีบร้อนกระมัง”
กินอาหารข้างนอกบ้านเตี่ยมึง! มันคิดว่าเรากำลังจะฟันดาบกันโว้ย! มันเอาสมองส่วนไหนคิดวะเนี่ย!
ผมทำท่าจะปฏิเสธ ไม่ยอมให้คีธได้ทำตามใจอีก แต่ก็อย่างที่บอกแหละว่ามันก็เท่านั้น พอพูดจบ หมอนั่นก็ทิ้งตัวลงมาจูบผมอีก... ไม่สิ สูบเถอะ สูบจนแม่งจะกรอบไปทั้งตัวแล้วเนี่ย!
ชีวิตจะบัดซบเกินไปแล้ว!


ออฟไลน์ igaga

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 241
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
เอาอีกๆๆๆๆๆ

ออฟไลน์ BlueCherries

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4061
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +159/-17
 :mew1:

ฮาชีวิตเควิน

ยังต้องหัวหมุนกับคีธไปอีกนาน~

(ใครจะตกหลุมรักใครก่อนค้าาาาาาาาา?  :hao7:)

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
Episode 04: Alien Prince’s casting [1]

ผมนอนแผ่หลาไม่ต่างอะไรจากปลาขาดน้ำหลังจากถูกคีธสูบสารอาหารเต็มที่ ในเมื่อไม่ต้องรีบร้อน เขาก็ใช้เวลาอย่างคุ้มค่า และดูเหมือนว่าครั้งนี้เขาจะสูบสารอาหารมากกว่าครั้งแรกอยู่มากโข เพราะมันทำให้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่ผมมีอันตรธานหายไปคาตา แม้จะนอนพักไปเกือบสองชั่วโมงแล้ว เรี่ยวแรงก็ยังไม่กลับคืนมาเลยแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำ หัวผมยังวิงเวียนไม่เลิก แถมยังหิวจนท้องกิ่วอีกด้วย
ความรู้สึกเหมือนจะตายให้ได้เป็นยังไง ผมรู้สึกได้ในตอนนี้นี่แหละ
ริชาร์ดที่เพิ่งจะกลับมาหลังจากสองชั่วโมงให้หลัง พอเห็นผมนอนคว่ำหน้าอยู่บนโซฟาในสภาพอิดโรยก็จุปากเป็นจิ้งจกทันใด
“หมดแรงขนาดนี้สงสัยจะโดนหนัก”
“ข้าเผลอตัวไปเลยลืมยั้งมือ แต่จริงๆ ก็แค่รอบเดียวเท่านั้น” ไอ้มนุษย์ต่างดาวหน้าตายว่าสวนขึ้น ทำเอาริชาร์ดหันไปด้วยสายตาเจ้าเล่ห์
“ขนาดแค่รอบเดียวยังทำเอารากเลือดขนาดนี้ แล้วนี่ถุงยงถุงยางก็ไม่ใช้ ระวังเควินเครื่องพังก่อนวัยอันควรนะ”
สาบานเลยว่าคีธไม่รู้จักว่าถุงยางคืออะไร แต่หมอนั่นก็ไม่ได้สนใจ นอกจากพูดสิ่งที่ตัวเองอยากจะพูดเท่านั้น แถมสิ่งที่พูดออกมายังส่อไปในทางสองแง่สองง่ามอีกด้วย แม้ว่าหมอนั่นจะไม่ได้คิดไปในทางนั้นเลยก็ตาม
“ข้าก็ลืมไปว่าสหายเจ้าเพิ่งจะเคย ครั้งหน้าข้าจะระมัดระวังมากกว่านี้”
“ดีแล้วๆ มือใหม่ก็ต้องค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป ไว้คล่องเมื่อไหร่ค่อยจัดเต็ม”
“ได้ ข้าเองก็ไม่ค่อยชอบทำอย่างเบามือเช่นกัน มันไม่ทันใจ”
พวกเอ็งคุยอะไรกันฟะ! คุยกันคนละเรื่องเดียวกันแต่ทำไมมันถึงฟังเหมือนคุยเรื่องใต้สะดือกันชะมัด!
“หุบปากกันได้ละ” ผมพึมพำพลางหันไปมองริชาร์ดตาขวาง
หมอนั่นหัวเราะร่วนที่เห็นผมหัวเสีย “ถ้าไม่อยากให้พูดถึง ทีหลังก็อย่ามาทำกันในห้องเพื่อนสิวะ”
ไปบอกไอ้มนุษย์ต่างดาวนั่นเหอะ! บอกมันแล้วว่าอย่ามาสูบอาหารในนี้ เป็นไงล่ะ โดนเข้าใจผิดเลยแม่ง!
ผมอยากจะตะโกนใส่หน้าริชาร์ดอย่างนั้น ทว่าก็ทำได้แค่มองอย่างโกรธๆ แล้วพยายามดันตัวขึ้นนั่ง แขนทั้งสองข้างที่ยันโซฟาพยุงตัวเองขึ้นสั่นระริกจนสังเกตเห็นได้ชัดเจน แล้วมันก็ทำให้ริชาร์ดแซวออกมาทันควัน
“ท่าจะหนักเอาเรื่องแฮะ สั่นระริกไปทั้งตัวแบบนี้ เป็นไงล่ะพ่อเพลย์บอย ระหว่างนายกับคีธใครแน่กว่ากันวะ”
“ไอ้ริชาร์ด...” ผมคว้าหมอนอิงไปปาใส่มัน แต่ก็ไม่โดนเพราะแรงของผมไม่มากพอจะปาหมอนให้พ้นจากโซฟาได้
พอผมลุกขึ้นมานั่งได้ ริชาร์ดก็เดินหัวเราะไปหยิบขวดเครื่องดื่มชูกำลังมาให้
“เอ้า ดื่มซะ ถ้าอาการไม่ดีขึ้นก็ค้างที่นี่ก็ได้ พรุ่งนี้ค่อยกลับ”
“ไม่ล่ะ ฉันไม่ชอบนอนค้างที่อื่น นี่ก็ยังไม่เย็น พักอีกสักแป๊บก็น่าจะดีขึ้น” ผมว่าขณะพยายามเปิดฝาขวดเครื่องดื่มชูกำลังออก
“เอาน่า ไม่ไหวจริงๆ ก็ค้างเถอะ เดี๋ยวฉันสละห้องนอนให้ รับรองว่าไม่กวน” ริชาร์ดว่า
ตอนแรกก็ยังพอทนฟังคำล้อเลียนของมันได้อยู่หรอก แต่พอชักถี่เข้า ผมก็เริ่มไม่ชอบใจ ตวัดหางตาไปมองดุๆ แล้วพ่นภาษาไทยใส่มัน
“ไอ้เวรริชาร์ด”
“หืม? อย่าพูดภาษาตัวเองสิ ฟังไม่ออก” ริชาร์ดหัวเราะกลบเกลื่อน จริงๆ มันก็พอจะรู้แล้วล่ะว่าผมเริ่มโกรธขึ้นมา มันก็เลยเปลี่ยนเรื่อง หันไปหยิบแฮมเบอร์เกอร์ที่ซื้อมาวางบนโต๊ะข้างหน้าผมแทน
“อีกสักพักนายคงจะหิว ใช้แรงเยอะขนาดนี้ต้องบำรุงกันหน่อย”
สุดท้ายก็ไม่พ้นแซวผมไม่เลิก และก่อนที่ผมจะได้ขว้างขวดเครื่องดื่มชูกำลังใส่มัน มันก็หันไปตบบ่าคีธ
“ดูแลคู่ขานายด้วย เดี๋ยวฉันไปทำสตอรี่บอร์ดต่อละ ตามสบายเลย ฉันจะไปทำในห้องนอน” ว่าจบ มันก็จัดการขนข้าวของหนีเข้าไปในห้องนอน
พอเหลือแค่คีธกับผมเพียงสองคน ความเงียบก็เข้ามาปกคลุมเราทันใด ก็ดีแล้วล่ะ ผมเองก็ไม่อยากจะเสวนากับหมอนี่เท่าไหร่ ยิ่งเหนื่อยๆ อย่างนี้ด้วย จะพานหงุดหงิดขึ้นไปใหญ่ จึงได้แต่ก้มหน้าก้มตาหมุนฝาเครื่องดื่มในมือออกเท่านั้น
ทว่าไอ้ฝาเครื่องดื่มนี่ก็ไม่รู้จะแน่นไปไหน หมุนตั้งนานแล้วก็ไม่มีท่าทีว่าจะออกสักที
ชักจะโมโหแล้วนะแม่งเอ๊ย!
ก็รู้แหละว่าที่เปิดไม่ออกเป็นเพราะเรี่ยวแรงผมไม่มี แต่ก็อดโมโหไม่ได้ ผมเลยทำท่าจะวางมันลงบนโต๊ะ หากแต่คีธที่มองดูอยู่นานก็ตรงเข้ามาหาแล้วยื่นมือมาข้างหน้าเสียก่อน
“ส่งมา ข้าเปิดให้”
ผมยื่นให้หมอนั่นรับแต่โดยดี คีธวางมือข้างหนึ่งลงบนฝาขวด ขณะที่อีกข้างจับตัวขวดไว้แน่น พลันออกแรงบิดเล็กน้อย และ...
เพล้ง!
เปิดมันออกในสภาพคอขวดหัก...
ให้เปิดฝาโว้ย ไม่ใช่ให้พังขวด!
“เอาไป” หมอนั่นยื่นขวดกลับมาให้ผม
ผมพ่นลมหายใจพรืด มองหน้าหมอนั่นอย่างระอา
จะให้ดื่มยังไงวะ คอขวดแตกเป็นปากฉลามอย่างนั้น จะฆ่ากันหรือไง! แล้วก็เชื่อได้เลยว่าในขวดนั่นคงจะมีเศษแก้วแตกๆ หล่นลงไปด้วยแหง
“ไม่ล่ะ ฉันจะกินเบอร์เกอร์” ผมเมินหมอนั่นหน้าตาเฉย แล้วเอื้อมมือไปคว้าเบอร์เกอร์มาแกะออกจากห่อแทน
คีธมองผมเล็กน้อย พลันวางขวดนั่นลงบนโต๊ะแล้วเดินมานั่งบนโซฟาข้างๆ ผม สายตาจับจ้องมายังผมที่กำลังอ้าปากงับ ถ้าจ้องธรรมดา ผมจะไม่อะไรเลย นี่เล่นจ้องชนิดตาไม่กะพริบจนผมต้องลดเบอร์เกอร์ในมือลง หันไปถามอย่างเอาเรื่อง
“จะมองอะไรนักหนา สูบสารอาหารจากฉันไม่พอหรือไง”
“ข้าไม่ได้อยากกินอาหารเจ้า”
“แล้วมองทำไม” ผมว่าเสียงขุ่น พลางงับเบอร์เกอร์เข้าปากไปเคี้ยวตุ้ยๆ
“ข้าเพียงแต่จะบอกว่าข้าได้ยินเรื่องที่เจ้าคุยกับสหายเจ้าในนั้นเกี่ยวกับภารกิจของข้า”
ได้ยินแล้ว ผมก็สำลักทันใด พลันรีบหันไปมองหน้าหมอนั่นด้วยดวงตาเบิกโพลง
“ได้ยินได้ยังไงวะ”
“ก็เคยบอกเจ้าแล้วว่าประสาทสัมผัสของข้าดีกว่ามนุษย์โลกมากนัก ไม่ใช่เพียงกลิ่นกายเจ้าที่ข้าจดจำได้ แต่ข้ายังสามารถได้ยินเสียงในรัศมีสิบกิโลเมตรอีกด้วย”
ฟังแล้วผมก็อึ้งๆ ไป ให้ตายเถอะ นี่เอเลี่ยนหรือหมา ประสาทสัมผัสจะดีเกินไปแล้ว ไม่สิ... ประสาทสัมผัสดีกว่าหมาเสียอีก!
“ในฐานะที่เจ้าเป็นโฮสต์ให้ข้า ข้าก็จะบอกให้เจ้ารู้ว่าข้ามาที่นี่ทำไม แต่รู้ไว้เลยว่าข้าไม่ได้มาที่ดาวของเจ้าเพราะหมายจะรุกราน” คีธโพล่งขึ้น “แต่มาเพื่อขยายเผ่าพันธุ์และหาที่ลงหลักปักฐานใหม่”
ผมเกิดอาการยัดอาหารไม่ลงขึ้นมากะทันหัน ถึงจะไม่ใช่อย่างที่ริชาร์ดพูดเสียทีเดียว ทว่าก็มีส่วนถูกอยู่ และไอ้การที่หมอนี่มาขยายเผ่าพันธุ์รวมถึงลงหลักปักฐาน มันก็หมายความว่าหมอนี่กับพรรคพวกคงจะมีแผนยึดครองโลก แน่นอนว่าการขยายเผ่าพันธุ์ก็คงจะเป็นการวางไข่ใส่มนุษย์อย่างที่ผมโดนนี่แหละ ส่วนลงหลักปักฐานนี่ผมยังไม่แน่ใจนัก แต่เชื่อเลยว่าต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่
ผมรีบเก็บความตระหนกลงไป พลันปั้นสีหน้าให้เป็นปกติที่สุด
“แล้วทำไมไม่ไปที่ดาวอื่น มาที่โลกทำไม”
และสิ่งที่ผมคิดก็จริงเสียด้วยเมื่อหมอนั่นตอบออกมา
“เพราะมนุษย์โลกเป็นสิ่งมีชีวิตในกลุ่มฮิวมานอยด์ที่รักสงบและด้อยพัฒนาที่สุด ซึ่งง่ายต่อการควบคุมของพวกข้า จะทำการอันใดก็ค่อนข้างจะง่ายดายต่อการตบตามากกว่าชาติพันธุ์บนดาวอื่นนัก”
“จ้องจะยึดครองโลกชัดๆ” ผมพึมพำ
“ไม่ได้มายึดครอง เรียกว่าว่าพึ่งพาจะดีกว่า”
ไอ้มนุษย์ต่างดาวปรสิต! อยู่ด้วยลำแข้งของตัวเองไม่เป็นกันหรือไง!
เหมือนคีธจะรู้ว่าผมคิดอะไรจากการมองสีหน้า จึงโพล่งขึ้นมาอีกครั้ง
“พวกเราพึ่งพาพวกเจ้าโดยการวางไข่และพักอาศัยที่ดาว ส่วนพวกเจ้าก็รับวิทยาการจากเราเป็นการแลกเปลี่ยน เทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นบนดาวของเจ้าล้วนมาจากนักคิดของดาวเราทั้งนั้น”
ผมนึกถึงนักวิทยาศาสตร์ในหนังบางเรื่องที่เป็นมนุษย์ต่างดาวแฝงตัวมาทันใด สงสัยพวกของหมอนั่นก็คงจะเป็นอย่างนั้นด้วยล่ะมั้ง แต่อะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับการค่อนแคะหมอนั่นเมื่อนึกขึ้นได้ว่าไอ้มนุษย์ต่างดาวที่ทำตัวสูงส่งนี่ต้องพึ่งพามนุษย์โลกด้อยวิทยาการมากแค่ไหน
“ถ้ามีวิทยาการก้าวหน้านาดนั้น ทำไมไม่สร้างยาที่ทำให้อยู่ได้โดยไม่ต้องไปดูดปากชาวบ้านเค้าวะ”
“มีอยู่ แต่ยาที่พวกข้าเอามาจากดาวมันสูญหายไประหว่างการถูกไล่ล่าและสละยาน แต่เจ้าไม่ต้องห่วง เมื่อข้าตามหาพรรคเจอและไปยังสถานที่ที่มียานั่นอยู่ได้ เมื่อนั้นข้าก็ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาเจ้าโดยการกินสารอาหารและวางไข่เพื่อสร้างร่างใหม่อีกต่อไป”
แต่ขยายเผ่าพันธุ์นี่ยังคงต้องพึ่งอยู่สินะ?
“จะอะไรก็เอาเถอะ ตราบใดที่ไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้โลกของฉันก็พอรับได้” ผมตัดบทด้วยไม่อยากจะคุยเรื่องนี้ให้ปวดหัวอีกต่อไป แต่ก็ฉุกใจนึกขึ้นมาได้ว่าการที่มนุษย์ต่างดาวสักพวกหนึ่งจะอพยพมาตั้งถิ่นฐานใหม่ มันคงต้องมีสาเหตุ ซึ่งไอ้สาเหตุนี่ต้องค่อนข้างหายนะพอสมควรด้วย ไม่อย่างนั้นคงจะไม่ระเห็จกันมาอย่างนี้หรอก
“ว่าแต่พวกนายย้ายถิ่นฐานมากันทำไม ถูกรุกรานหรือไง”
“ใช่” และคำตอบก็ตรงอย่างที่ผมคิดไว้เสียด้วย “อย่างที่ข้าได้บอกกับสหายเจ้าไว้ว่าชาติพันธุ์ในกลุ่มฮิวมานอยด์ ส่วนมากเป็นพวกรักสันติ แต่ก็มีบางพวกที่ชอบรุกรานชาติพันธุ์อื่น ชาติพันธุ์ของข้าได้ชื่อว่าเป็นพวกรักสงบมากที่สุดในกลุ่มนี้หากไม่นับมนุษย์โลก จึงทำให้ถูกรุกรานจากเผ่าพันธุ์นักล่า ถึงวิทยาการจะล้ำหน้าไม่แพ้ชาติพันธุ์ใด แต่ก็นับว่าด้อยอยู่มากหากเทียบกับชาติพันธุ์ที่มารุกรานแล้วเลยต้องอพยพ จริงๆ พวกข้าก็อพยพไปหลายดาวแล้ว ถึงอย่างนั้นก็หนีไม่พ้นการตามล่าสักทีเลยต้องมาที่นี่”
“เป็นตัวซวยของจักรวาลล่ะสิพวกนายน่ะ ไปที่ไหน ที่นั่นฉิบหายวายป่วง” ผมเหน็บ “แล้วเวลาไปที่ดาวอื่นนี่พูดภาษาของดาวนั้นด้วยป่ะ”
ที่ถามอย่างนี้เพราะเพิ่งจะนึกได้ว่าหมอนี่พูดภาษาอังกฤษคล่องเป็นต่อยหอย แม้ว่าสำนวนจะเป็นแบบผู้ดีอังกฤษโบร๊าณโบราณก็ตาม
คีธพยักหน้ารับ ก่อนอธิบาย “สมองของชาวยูนิกม่ามีความซับซ้อนมากและประมวลผลได้ฉับไวกว่าชาติพันธุ์อื่นๆ เพียงแค่ฟังภาษาอื่นไม่กี่นาทีก็พูดได้แล้ว ภาษาของเจ้า ข้าเองก็เพิ่งจะมาเรียนรู้เอาตอนที่ออกเดินทางมาที่นี่ด้วยยานความเร็วเสียงจากสิ่งบันเทิงที่มีภาพเคลื่อนไหวของมนุษย์”
“สิ่งบันเทิงที่ว่าคงจะเป็นหนัง?”
“ถ้าจำไม่ผิด เหมือนสิ่งบันเทิงนั่นจะมีชื่อว่าเดอะ ลอร์ด ออฟ เดอะ ริง ได้ยินว่ามนุษย์โลกยกย่องให้เป็นสิ่งบันเทิงชิ้นเอกของดาวในยุคสมัยนี้ พวกข้าถึงได้ศึกษาภาษาของเจ้าจากสิ่งนี้”
เออ ไม่แปลกหรอกที่จะพูดจาเหมือนหลุดออกมาจากยุคโบราณอย่างนี้ ไปดูหนังโบราณแถมแฟนตาซีอย่างนั้น ก็ต้องสำนวนอย่างนี้แหละ
“ถ้าบอกว่าฟังแค่ไม่กี่นาทีก็พูดได้ งั้นก็หมายความว่านอกจากภาษาอังกฤษแล้ว ภาษาอื่นก็พูดได้งั้นสิ”
“ถ้าได้ฟังก็ไม่มีปัญหา”
ไม่รู้ทำไมผมถึงได้รู้สึกอิจฉาความสามารถของหมอนี่ขึ้นมาตงิดๆ ผมพูดได้แค่สองภาษาเอง แถมกว่าจะพูดภาษาอังกฤษได้คล่องอย่างนี้ยังต้องใช้เวลาเรียนมาเกือบทั้งชีวิต โคตรจะไม่แฟร์เลย
“งั้นถ้านายก็ไปหัดฟังภาษาไทยบ้างนะ ฉันจะได้ไม่ต้องพูดกับนายด้วยภาษาอังกฤษ เวลาด่ามันไม่ถนัดปาก” ผมว่าทีเล่นทีจริง
ทว่าคีธดันเอาจริง “ได้ หาสิ่งบันเทิงที่เป็นภาษานั้นมาให้ข้าฟังก็แล้วกันกวินทร์”
เป็นครั้งแรกที่คีธเรียกชื่อผม แถมสำเนียงยังชัดเจนมากราวกับได้ยินคนไทยมาพูดเอง ถึงชื่อผมจะออกเสียงง่ายสำหรับชาวต่างชาติ แต่ถึงยังไงมันก็ฟังรู้ว่าชาวต่างชาติพูด ไม่เหมือนกับหมอนี่ที่ฟังแล้วไม่รู้เลยว่าเป็นชาวต่างชาติพูดหรือคนไทยพูดกันแน่
แต่ก็ดีเหมือนกัน ผมก็ไม่ได้ยินชื่อจริงๆ ของตัวเองมานานแล้ว
“ไว้จะหาให้” ผมรับปากส่งๆ แล้วจัดการกินเบอร์เกอร์ในมือต่อ
ความเหนื่อยล้าทำให้ผมไม่สามารถกินได้หมดทั้งชิ้น ไม่ถึงครึ่งผมก็จำต้องวางมันลง พลางหันไปมองนาฬิกาบนผนังที่บอกเวลาว่าเกือบจะเย็นแล้ว ผมจึงตัดสินใจว่าจะกลับห้อง ทว่าพอยืนขึ้นเท่านั้น ขาทั้งสองข้างก็สั่นจนผมต้องทรุดตัวนั่งลงมาอีก
ให้ตาย... แค่โดนสูบสารอาหารแค่นี้ถึงกับไปไม่เป็นเลยหรือไงนะ
“หากเจ้าต้องการจะกลับที่พัก ข้าจะพาไป” เสียงของคีธดังขึ้นเรียกให้ผมหันไปมอง
และไม่ทันที่ผมจะได้ตอบรับหรืออะไร หมอนั่นก็ลุกขึ้นยืนแล้วเข้ามาช้อนผมขึ้นอุ้มด้วยสองแขน
“ทำอะไรของนายวะ!” ผมโวยวายทันทีที่รู้ตัวว่าตัวเองอยู่ในท่าถูกอุ้มแบบอุ้มเจ้าสาว
คีธชะงัก ชำเลืองมองหน้าผมเล็กน้อย แล้วปล่อยผมลงยืนดังเดิม
“ไม่สบายตัวรึ เช่นนั้นก็อย่างนี้แล้วกัน”
แล้วมันก็เดินมาข้างหน้าผม ดึงแขนผมไปเกาะคอมันแล้วออกแรงดึงขึ้น กลายเป็นถูกอุ้มด้วยท่าขี่หลังอีก
“ปล่อยนะเว้ยไอ้คีธ!”
คีธปล่อยผมลงยืนบนพื้นอีกครั้ง มองหน้าผมด้วยสายตาจริงจัง
“ร่างกายเจ้ายังอ่อนแอนัก ขืนเคลื่อนไหวมาก เจ้าจะบาดเจ็บได้” ว่าจบ มันก็เข้ามายกผมขึ้นพาดบ่าทันใด
“ไม่ต้องอุ้มโว้ย! เดินเองได้!” ผมตะโกนสุดเสียง เรียกให้ริชาร์ดที่นั่งทำงานอยู่ในห้องนอนออกมาดูเหตุการณ์ทันใด
พอเห็นผมที่อยู่ในสภาพดิ้นไม่หยุด ขณะที่คีธจับผมแน่น ก็ออกปากแซวทันควัน
“ทุบหัวเสร็จแล้ว จะเข้าถ้ำมั้ย เดี๋ยวสละถ้ำให้” ว่าพลางชี้เข้าไปในห้อง
อย่ามาพูดอย่างกับว่าสิ่งที่เห็นมันเกิดขึ้นในยุคหินนะโว้ย!
“ไม่เป็นไร ข้าจะพากวินทร์กลับที่พัก” ไม่ทันที่ผมจะได้อธิบาย คีธก็ว่าขึ้น
“ไปต่อกันที่ห้องคงจะสบายใจกว่าสินะ” ริชาร์ดยิ้มเผล่
“ดูสถานการณ์แล้วเลิกล้อเล่น ไสหัวมาช่วยเพื่อนสักที!” ผมหันไปพ่นภาษาไทยใส่มันรัวๆ
ทว่าริชาร์ดกลับเมินเฉย แล้วหันไปพูดกับคีธ
“จะทำอะไรก็เอาเถอะ แต่อย่าหักโหมมากแล้วกัน เพราะพรุ่งนี้นายต้องมาแคสติ้งกับฉันตอนบ่ายโมง อย่าเลทล่ะ สถานที่ก็ที่ห้องชมรมของมหา’ลัย ให้เควินพามาแล้วกันจะได้มาถูก”
เมินใส่อย่างเดียวไม่ว่า ยังมาสั่งเป็นฉากๆ อีก ผมอยากจะตะโกนใส่หน้ามันเหลือเกินว่า ‘ไม่’ แต่ด้วยความที่ต้องดิ้นให้หลุดจากการถูกจับพาดบ่า จึงทำให้พูดไม่ถนัด คีธเลยแทรกขึ้นมาก่อน
“ได้ ข้าจะย้ำกวินทร์ให้” สิ้นเสียง ก็แบกผมเดินออกจากห้องไปทันทีโดยมีริชาร์ดเปิดประตูออกมาส่ง
“กลับให้ถึงที่ล่ะ อย่าแวะข้างทาง เควินไม่ชอบแบบบุกป่าฝ่าดง ถนอมๆ หน่อย”
ปวดกบาลกับไอ้เพื่อนเวรนี่จริงๆ! เลิกคิดว่าผมกับไอ้มนุษย์ดาวโฮโมฯ นี่จะไปมีซัมธิงกันสักทีเถอะ!




ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
Episode 04: Alien Prince’s casting [2]


สุดท้ายแล้ว การดิ้นรนของผมให้หลุดจากการถูกแบกก็สูญเปล่า แถมยิ่งดิ้นก็ยิ่งทำให้คนมองมากขึ้นอีกต่างหากที่เห็นผู้ชายสองคนอุ้มกันหน้าตาเฉยขณะเดินไปตามถนน และเพราะกลายเป็นจุดสนใจ ผมจึงแกล้งตายตั้งแต่หมอนั่นพาผมออกมาจากอพาร์ตเม้นต์ของริชาร์ด พอถึงห้องถึงได้ฤกษ์วีนใส่คีธ
แต่จนแล้วจนรอด ผมก็สู้หมอนั่นไม่ได้อยู่ดีด้วยถูกหมอนั่นสูบสารอาหารอีกครั้งสำหรับมื้อเย็น แม้หมอนั่นจะบอกว่าเป็นครั้งสุดท้ายของวัน ทว่ามันกลับทำให้ผมรู้สึกว่ามันเป็นครั้งสุดท้ายของชีวิตก่อนที่ผมจะตายยังไงก็ไม่รู้
หลังจากถูกดูดสารอาหาร ผมก็หลับยาวกระทั่งเข้าเที่ยงวันของวันใหม่ ตอนแรกผมก็กะจะเบี้ยวนัดของริชาร์ดอยู่แล้วด้วยยังรู้สึกเหนื่อยล้าจากสิ่งที่เจอเมื่อวาน แต่พอถูกคีธมานั่งจ้องข้างเตียง เร่งให้ผมพาไปแคสติ้งด้วยแล้ว ผมก็รีบลุกพรวดจากเตียงด้วยเกรงว่าถ้าไม่พามันไป มันจะสูบสารอาหารจากผมอีกทั้งๆ ที่ปากมันบอกว่าจะให้ผมพักก็ตาม
และนั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมมายืนอยู่ในห้องชมรมทำหนังของริชาร์ด ชมรมนี้เป็นชมรมที่รวมเอานักศึกษาคณะนิเทศศาสตร์และคณะอื่นทั้งปริญญาตรีและโทที่มีใจรักการทำหนังเอาไว้ด้วยกัน โดยปีนี้มีริชาร์ดเป็นประธาน
ผมไม่ได้เป็นสมาชิกชมรมหรอกแต่ก็มาเยือนบ่อยเพราะบางครั้งริชาร์ดก็ขอให้ผมมาช่วยงานกำกับบ้าง นั่นทำให้มีเสียงทักทายดังขึ้นตั้งแต่ผมเดินเข้ามาในห้องชมรม และตามด้วยเสียงกรี๊ดกร๊าดของสาวๆ เล็กน้อยเมื่อผมพยักหน้ารับคำทักทายนั้น ผมเองก็ป็อปปูล่าร์ในหมู่เด็กในชมรมนี้เหมือนกัน อีกทั้งบางคนก็เคยคั่วกับผมระยะหนึ่งด้วย
จริงๆ แล้วอย่าเรียกว่าบางคนเลย เกือบทั้งหมดที่เป็นเพศหญิงเลยดีกว่า จะมีก็แต่พวกหน้าใหม่บางคนนี่แหละที่ผมยังไม่เคยควง
ทว่าผมในตอนนี้ไม่มีอารมณ์จะสนใจผู้หญิงที่ไหนทั้งนั้น นอกจากเดินตรงไปนั่งกับริชาร์ดที่อยู่หลังจอมอนิเตอร์ของกล้องบันทึกเทปตัวใหญ่
“เมื่อคืนหนักหรือไงถึงได้เป็นผีตายซากอย่างนี้” และนี่คือประโยคแรกที่มันทักผม
ผมหันไปมองมันตาเขียวพลัน “ถ้าอยากจะให้ไอ้เวรคีธแคสฯ กับนายล่ะก็ หุบปากไปเลย”
ริชาร์ดยักไหล่ ก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง “แล้วหมอนั่นไปไหนล่ะ”
ผมพยักปลายคางไปยังบริเวณเก้าอี้มุมห้องที่ถูกจัดให้พวกนักแสดงที่มาแคสติ้งนั่ง ริชาร์ดหันไปมองคีธซึ่งอยู่ในเสื้อยืดสีเทาเข้มที่ผมเพิ่งซื้อจากซูเปอร์มาเก็ตให้เมื่อเช้ากับกางเกงยีนส์ตัวเมื่อวานเล็กน้อย พลันว่าขึ้น
“หมอนี่ตั้งใจมาแคสจริงๆ เปล่าวะ แต่งตัวอย่างกับอยู่บ้าน นายออกจะเซ้นส์แฟชั่นดี ทำไมไม่หาเสื้อผ้าดีๆ ให้หมอนั่นล่ะ”
ก็ถูกของริชาร์ดนั่นแหละหากเทียบกับการแต่งตัวของนักแสดงคนอื่นๆ ที่มาแคสติ้ง แต่ผมก็ไม่ได้สนใจอะไรนัก แค่พามันมาให้ก็ถือว่าเป็นบุญคุณใหญ่หลวงแล้ว
“หน้าตาอย่างมัน ใส่แค่บ็อกเซอร์ตัวเดียวยังดูดีเลย แค่นี้แหละพอแล้ว อย่าเยอะ”
ริชาร์ดเลิกคิ้วอย่างเห็นด้วย ก่อนที่นักศึกษา ป.ตรีคนหนึ่งซึ่งเป็นลูกมือของริชาร์ดจะเข้าไปคุยกับพวกคนที่มาแคสติ้ง พร้อมแจกกระดาษสำหรับบทที่จะต้องพูดต่อหน้าผู้กำกับ
“บทที่ทุกคนจะต้องแคสฯ ในวันนี้เป็นบทของเจ้าชายต่างดาวซึ่งเป็นตัวเอกของเรื่องนะคะ ส่วนฉากที่จะต้องแสดงก็คือ ฉากที่เจ้าชายร้องขอความรักจากหญิงสาวชาวมนุษย์ พูดแค่ประโยคเดียวเท่านั้นค่ะ ส่วนแอคติ้งก็ทำยังไงก็ได้ให้ผู้หญิงคนนั้นรู้สึกอยากจะตอบรักความรักนะ เดี๋ยวทางเราจะให้นักแสดงที่รับบทเป็นหญิงสาวมาเข้าฉากด้วยจะได้สมจริง แล้วก็เตรียมตัวสแตนด์บายได้เลย อีกห้านาทีจะเริ่มแคสติ้งแล้ว” เธอว่ายาว
ผมฉงนใจทันที พลันหันไปหาริชาร์ดที่นั่งไขว่ห้างอยู่ข้างๆ
“แคสฯ แค่นี้เองเหรอวะ”
“อือ แค่นี้แหละ อย่าเยอะ” หมอนี่ล้อเลียนผม พลันส่งกระดาษซึ่งเป็นบทพูดของเจ้าชายต่างดาวอะไรนี่มาให้
ในกระดาษนั้นเขียนแค่ว่า ‘ได้โปรด รับความรักจากข้า’ แค่นี้แล้วก็ไม่มีอะไรอีกเลย
ผมมองหน้าริชาร์ดอย่างขอคำตอบว่าทำไมบทสำหรับการแคสติ้งถึงได้ง่ายนัก แต่ไม่ต้องออกปากถาม ริชาร์ดก็เหมือนจะรู้ว่าผมสงสัยอะไร
“หนังสั้นเรื่องนี้เน้นแอคติ้งของนักแสดงมากกว่าบทพูด เจ้าชายต่างดาวเป็นพวกพูดน้อยแต่แสดงออกด้วยสีหน้ากับสายตาเป็นหลัก อารมณ์แบบพวกแข็งนอกอ่อนใน ฉันเลยให้พูดแค่นี้”
ผมพยักหน้า นึกในใจพลันว่าอย่างคีธเนี่ยคงไม่ผ่านแน่นอน แสดงสีหน้าได้แบบเดียว แถมยังทำสายตาได้แค่แบบเดียวอย่างนั้น ฝันไปเลยว่าจะเข้าตากรรมการ
ไม่นานนัก การแคสติ้งก็เริ่มขึ้น ทุกคนที่มาเข้าแคสติ้งต่างแสดงออกมาได้ดี ทว่าก็ไม่ได้ดีมากนักในความรู้สึกผม ริชาร์ดเองก็คงจะคิดเช่นเดียวกัน เพราะผมเห็นหมอนี่ได้แต่กากบาทรายชื่อนักแสดงที่ไม่เข้าตาออกอย่างเดียว
“แย่ว่ะ บุคลิกไม่ได้เลย แค่นักแสดงหลัก ทำไมมันหายากจังวะ” ริชาร์ดพึมพำด้วยสีหน้าหงุดหงิด
“ถ้าหาไม่ได้ นายก็เปลี่ยนคาแร็กเตอร์ตัวละครสิวะ ไม่เห็นจะยาก” ผมว่าอย่างไม่ใส่ใจนัก สายตาจับจ้องไปยังนักศึกษารุ่นน้องที่เพิ่งจะแสดงจบไป ก่อนจะเบือนไปยังคีธที่ถูกลูกมือของริชาร์ดเรียกให้ออกมา
ริชาร์ดตั้งใจดูหมอนั่นเป็นพิเศษ ในใจก็คงจะหวังว่าคีธคงจะแสดงออกมาได้ดีล่ะมั้ง แต่ขอโทษที่หมอนั่นต้องทำให้ผิดหวังอย่างแรง เพราะนอกจากจะเดินเนือยๆ ออกมาโดยไม่แนะนำตัวหรืออะไรแล้ว ยังพูดออกมาทื่อๆ อีกต่างหาก
“ได้โปรด รับความรักจากข้า”
ริชาร์ดยกมือตบหน้าผากตัวเองในทันใด ขณะที่ผมหัวเราะร่วนที่เห็นหมอนั่นแสดงได้แข็งเป็นท่อนไม้
“ว่าที่พระเอกนายนี่หินเรียกพี่เลยว่ะ”
ริชาร์ดมองผมเคืองๆ เล็กน้อย ก่อนจะยกมือขึ้นเรียกความสนใจของทุกคนที่มองยังคีธอยู่ไป
“ลองแสดงใหม่อีกทีซิคีธ จินตนาการว่าคนที่อยู่ตรงหน้านายเป็นผู้หญิงที่นายรักมากๆ แล้วนายอยากได้มาเป็นแม่ของลูกน่ะ ไม่ต้องเกร็งๆ”
คีธพยักหน้ารับหน้าตาย ก่อนที่จะหันไปมองนักแสดงสมทบอีกครั้ง
และ...
“ได้โปรด รับความรักจากข้า”
...พูดออกมาแข็งทื่อเหมือนเดิม
ผมหยุดหัวเราะไม่ได้ก็ในตอนนี้ “หมอนั่นไม่ไหวหรอกมั้ง ให้แสดงเป็นหินก็ว่าไปอย่าง”
ริชาร์ดพ่นลมหายใจออกมาเต็มแรง ก่อนจะยกแขนมากระทุ้งผม “นายไปโชว์ให้ดูเป็นตัวอย่างหน่อยซิ”
“ฉันเนี่ยนะ” ผมหันไปมองหมอนั่นเหวอๆ รอยยิ้มพร่างพรายบนใบหน้าเลือนหายไปทันที
“นายนั่นแหละ”
“ฉันไม่เคยแสดงนะเว้ย จู่ๆ มาให้ว่าที่ผู้กำกับไปแสดงแบบนี้มันได้ที่ไหน”
“เสือผู้หญิงตัวพ่อไม่ใช่เหรอ แค่นี้คงไม่คณามือหรอกมั้ง”
ไม่รู้ทำไมผมถึงได้รู้สึกว่าถูกริชาร์ดดูแคลนอยู่กลายๆ พอสิ้นเสียง ผมก็ลุกขึ้นยืน
“ก็ได้ๆ เดี๋ยวป๋าโชว์ให้ดูเอง” ว่าจบ ผมก็เดินเข้าไปหาคีธ ขณะที่ริชาร์ดว่าเสียงดัง
“เดี๋ยวฉันจะให้เควินแสดงให้ดูเป็นตัวอย่างนะ”
พอคีธพยักหน้ารับ ผมก็เริ่มการแสดงทันทีโดยการยื่นมือออกไปจับมือของนักแสดงสมทบข้างหน้า ใช้นิ้วโป้งลูบหลังมืออยู่ครู่หนึ่ง แล้วเงยหน้ามองพลางส่งสายตาหวานหยดให้
“ได้โปรด... รับความรักจากข้า”
นักแสดงสมทบถึงกับอึ้งงันเมื่อเห็นสายตาที่ผมมอง ไม่เว้นแม้แต่สาวๆ คนอื่นๆ ที่อยู่รอบนอกซึ่งพากันส่งเสียงกรี๊ดเบาๆ ตามมา ผมรู้อยู่แล้วล่ะว่ามันจะต้องออกมาเป็นอย่างนี้ ก็สายตาของผมน่ะ มันเย้ายวนจนไม่เคยมีผู้หญิงที่ถูกผมมองด้วยสายตาแบบนี้หลุดรอดไปได้สักราย
“เนี่ย แบบนี้เนี่ย ทำได้มั้ย” พอแสดงจบ ริชาร์ดก็ถามคีธ “แต่ไม่ต้องเอาแบบอย่างเควินมันนะ เอาแบบสไตล์นาย เดี๋ยวมันดูไม่เป็นธรรมชาติ”
คีธพยักหน้า พอผมเดินกลับมานั่งที่ หมอนั่นก็แสดงแบบเดิมอีก
“ได้โปรด รับความรักจากข้า”
ริชาร์ดถึงกับกำกระดาษในมือแน่นด้วยหัวเสียขึ้นมานิดๆ ผมหัวเราะในลำคอ สะใจไม่น้อยที่หมอนี่ไม่ได้สมหวังแต่ริชาร์ดไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ดูท่าทางอยากให้คีธได้รับบทนี้เต็มแก่ถึงได้ให้โอกาสแก้ตัวอยู่หลายต่อหลายครั้งแบบนี้ ถ้าเป็นคนอื่นล่ะก็ ป่านนี้หมอนี่เฉดหัวออกจากห้องไปนานแล้ว
“ไปแนะนำมันหน่อยซิว่าควรทำยังไง นายอยู่กับมัน น่าจะรู้ว่ามันเป็นคนสไตล์ไหน”
“ทำไมต้องเป็นฉันวะ” ผมเล่นลิ้น ทว่าริชาร์ดไม่เล่นด้วย
“ถ้าไม่อยากให้เรื่องนายเป็นคู่ขากับหมอนั่นหลุดไปล่ะก็ ไปซะ”
โดนขู่มาอย่างนี้ ผมก็หน้าม้านทันควัน ก่อนจะลุกเดินกระฟัดกระเฟียดเข้าไปหาคีธอีกครั้ง แล้วลากออกมากระซิบกระซาบเป็นการส่วนตัว
“ฟังนะไอ้มนุษย์ต่างดาว เวลาแสดงน่ะ นายก็แค่นึกถึงเวลานายกำลังจะวางไข่เพื่อขยายพันธุ์ แต่ก่อนจะวางไข่ นายต้องขออนุญาตอีกฝ่ายก่อน โอเคมั้ย แบบว่าทำให้อีกฝ่ายรู้สึกว่านายแม่งโคตรเท่ น่าให้นายวางไข่ชะมัดอะไรงี้น่ะ แบบธรรมชาติๆ ของนายอ่ะ ทำได้มั้ยวะ” ผมพูดไปอย่างนี้เพราะนึกขึ้นได้ว่าก่อนที่เผ่าพันธุ์หมอนี่จะวางไข่จะต้องขออนุญาตอีกฝ่ายก่อน
คีธพยักหน้ารับ ผมไม่รู้ว่าที่หมอนี่พยักหน้าเป็นเพราะเข้าใจแน่หรือเปล่า แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจ เดินกลับมานั่งที่เดิม แล้วรอดูการแสดงอีกครั้ง
พอริชาร์ดบอกให้เริ่ม คีธก็เดินมาหยุดตรงหน้านักแสดงสมทบแล้วจ้องหน้าเธอนิ่งอยู่ครู่ใหญ่โดยไม่พูดอะไรออกมา จนนักแสดงสมทบหันมามองริชาร์ดที่ดูงงๆ ไปเหมือนกัน
“มันเป็นอะไรวะ นายไปพูดตัดกำลังใจอะไรมันหรือเปล่าเนี่ย”
“ไม่ได้พูดตัดกำลังใจอะไรสักนิด แค่บอกให้มันเล่นไปตามธรรมชาติ” ผมว่าไปตามตรง
ทว่าไม่ทันจะสิ้นเสียงผมดี คีธก็ขยับตัว ทำให้ริชาร์ดที่กำลังตั้งท่าจะพูดเงียบปากไป มองคีธอย่างตั้งใจ ครู่เดียว คีธก็พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงทื่อๆ อีก
“ได้โปรด รับความรักจากข้า”
ทุกอย่างเหมือนเดิมไม่มีผิดเพี้ยน แต่ที่ต่างออกไปก็คือ พอหมอนั่นพูดจบ มือทั้งสองข้างก็เอื้อมไปจับคอเสื้อแล้วจัดการถอดมันออก เผยให้เห็นกล้ามท้องเป็นลอนสวยเต็มสองตา ที่สำคัญ สีหน้าของหมอนั่นยังเรียบสนิทราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกด้วย ขณะที่ผมเบิกตาโตทันควัน
จะแก้ผ้าหาป้ามึงเหรอ?! ให้ขอความรักจากผู้หญิง ไม่ใช่แก้ผ้าโว้ย!
ทุกคนที่เห็นเหตุการณ์อ้าปากค้าง ความเงียบเข้าครอบงำจนผมแทบได้ยินเสียงลมหายใจของทุกคน และก่อนที่ใครจะได้พูดอะไรขึ้น คีธก็เลื่อนมือไปยังขอบกางเกง ก่อนเริ่ม...
ถะ...ถอด!
เสียงกรี๊ดกร๊าดของสาวๆ ดังขึ้น ผมได้สติในตอนนี้ พลันรีบพุ่งไปคว้าขอบกางเกงหมอนั่นไว้ก่อนที่มันจะลงไปกองกับพื้นหรือเผยให้เห็นอะไรต่อมิอะไร แล้วแหวใส่มันเสียงดัง
“ทำบ้าอะไรเนี่ย!”
“ขอความรัก”
“ขอความรักก็ขอเฉยๆ สิวะ จะแก้ผ้าเพื่อ!?”
“ชาติพันธุ์ข้ายามขออนุญาตวางไข่ ผู้ขออนุญาตจะต้องเผยให้เห็นความแข็งแรงของร่างกาย แสดงให้อีกฝ่ายเห็นว่าแกร่งพอที่จะเป็นพ่อพันธุ์ได้ นี่คือวิธีขอความรักของดาวข้า”
ฟังแล้ว ผมก็แทบจะเอาหัวโขกหน้ามัน ถ้ารู้ว่าวิธีการขออนุญาตวางไข่คือการแก้ผ้าโทงๆ ให้อีกฝ่ายพิจารณาไปทุกสัดส่วนล่ะก็ ผมคงไม่บอกให้มันทำตามธรรมชาติหรอก แม่งโรคจิตชัดๆ!
“รีบใส่เสื้อผ้ากลับไปเลยเร็ว!” ผมออกคำสั่ง
คีธติดตะขอกางเกงเหมือนเดิม พลางเดินมาหยิบเสื้อที่กองอยู่บนพื้นขึ้นสวม ผมมองแล้วก็คิดว่าหมอนี่คงไม่ผ่านแน่นอน ทว่าก็ผิดคาดเมื่อจู่ๆ ริชาร์ดก็ปรบมือพลางหัวเราะลั่นอย่างชอบใจ
“เฮ้ย ถูกใจว่ะ ไอเดียนายโคตรเจ๋งเลย แบบนี้สิถึงจะได้ฟีลเอเลี่ยน ปรับบทนิดหน่อย รับรองว่าได้เรื่องแน่”
แก้ผ้าต่อหน้าฝูงชนมันได้ฟีลเอเลี่ยนตรงไหนวะ!
ผมอยากจะแย้งนะ แต่พอเห็นริชาร์ดร้องบอกทุกคนว่าได้นักแสดงสำหรับบทนี้แล้ว ผมก็ได้แต่ยกมือคลึงขมับตัวเองไปมา
มาถึงขั้นนี้ก็คงต้องปล่อยให้เลยตามเลยแล้ว

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
Episode 05: A porn star[1]

มาคิดดูอีกที การพาคีธไปแคสติ้งกับริชาร์ดมันก็ดีเหมือนกัน เพราะหลังจากที่หมอนั่นได้รับบทเจ้าชายต่างดาวบ้าบอคอแตกอะไรนั่นแล้ว ริชาร์ดก็ไม่ยอมปล่อยให้กลับง่ายๆ รั้งตัวเอาไว้โดยอ้างว่าจะแนะนำนักแสดงคนอื่นๆ ให้รู้จักและเลี้ยงเปิดกล้อง รวมถึงการคุยเรื่องการฟิตติ้งเสื้อผ้าที่จะมีขึ้นในวันมะรืนด้วย ผมก็เลยได้ที ทิ้งมันไว้แล้วรีบชิ่งกลับมาก่อน โดยไม่ลืมสั่งริชาร์ดไว้ว่าคืนนี้ให้คีธไปนอนที่ห้องหมอนั่นแทน
ในใจก็ได้แต่ภาวนานั่นแหละว่าขอให้คีธมันหาเหยื่อสำหรับวางไข่คนต่อไปได้แล้วไม่ต้องโผล่หัวมาหาผมอีก ผมจะได้เป็นอิสระจากมนุษย์ต่างดาวโฮโมฯ นี่สักที
และเพราะผมไม่มีคีธติดสอยห้อยตาม พอกลับมาถึงห้องได้ ผมก็จัดการอาบน้ำแต่งตัว เตรียมไปร่อนที่ไนท์คลับตามประสาหนุ่มโสดทันที ระยะนี้อดอยากปากแห้งมานานแล้ว ขอไปหาเหยื่อแถวๆ นั้นกลับมากินบ้างเถอะ
ผมสวมเสื้อเชิ้ตสีดำกับกางเกงยีนส์เข้ารูป จัดแต่งทรงผมด้วยเจลและฉีดน้ำหอมแบรนด์หรูที่ผู้หญิงคนไหนสักคนซื้อให้ พลางมองตัวเองในกระจกเงา พอเห็นว่าตัวเองอยู่ในสภาพดูดีไม่มีที่ติแล้ว ผมก็ตรงไปยังประตูห้อง เตรียมตัวจะออกไปท่องราตรี คืนนี้ผมคงไปได้แค่ไนต์คลับระดับกลางๆ เท่านั้นแหละ ช่วงนี้ใช้จ่ายมากไม่ได้ อยู่ในช่วงรัดเข็มขัด
ทว่าพอผมเปิดประตูออกไป ผมก็ต้องชะงักเมื่อเห็นร่างระหงของหญิงสาวในชุดเดรสเกาะอกรัดรูป โชว์เรือนร่างอวบอัดอยู่ตรงหน้า
“เซอร์ไพรส์!” เธอตรงเข้ามากระโดดกอดผมทันทีที่สิ้นเสียง
 “เอมิเลีย มาได้ยังไงเนี่ย” ผมย่นคิ้วนิดหน่อยที่เห็นเธอแบบไม่ทันตั้งตัว พลันดึงเธอออกจากตัว
“ก็ขับรถมาน่ะสิ ถามอะไรแปลกๆ” เธอทำหน้ามุ่ยแบบขำๆ แต่ผมไม่ขำด้วย
โอเค ผมรู้ว่าเธอน่ะมีรถและขับรถมา แต่ที่อยากรู้ก็คือ ทำไมจู่ๆ ถึงได้โผล่มากะทันหันต่างหาก
แต่ไม่ทันที่ผมจะได้ถาม เธอก็เหมือนจะรู้ว่าผมอยากรู้อะไรผ่านสีหน้าเคร่งเครียดของผม ทำให้เธอฉีกยิ้มร่า รีบตอบคำถามก่อนที่จะทำให้ผมหงุดหงิดทันที
“ล้อเล่นน่า ฉันก็คิดถึงนายน่ะสิถึงได้มาหา ฉันโทรหานายตั้งหลายครั้งแล้วนะ นายไม่รับสายฉันเลย ส่งข้อความอะไรไปก็ไม่ตอบ ไม่สิ ไม่เปิดอ่านด้วยซ้ำ ฉันก็เลยถ่อมาหาถึงที่นี่แหละ”
ผมพยักหน้ารับ เพิ่งจะนึกขึ้นได้เหมือนกันว่าเอมิเลียทั้งระดมโทร ระดมส่งข้อความมาหาผมหลายรอบแล้ว แต่ผมไม่ได้สนใจเพราะมัวแต่ยุ่งๆ เรื่องคีธอยู่
“แล้วนี่นายจะไปไหนน่ะ แต่งตัวหล่ออย่างนี้ อย่าบอกนะว่าจะออกล่าเหยื่อ” ผมได้สติกลับมาอีกทีเมื่อเธอทักขึ้น
“เปล่า ก็แค่จะออกไปผ่อนคลาย” ผมโกหกหน้าตายด้วยไม่อยากฟังเธอตัดพ้อง้องแง้งเรื่องที่ผมควงเธออยู่แล้ว แต่ยังมีหน้าออกไปหาผู้หญิงคนอื่น
“แน่นะ?”
“อือ”
สายตาเธอบ่งบอกชัดเจนว่าไม่เชื่อสิ่งที่ผมพูดสักนิด
“จริง” พอผมย้ำคำ เธอก็ยิ้มออก
“งั้นก็ค่อยยังชั่วหน่อย ฉันก็นึกว่านายจะนอกใจฉันซะแล้ว”
เอาตรงๆ นะ ผมไม่ได้จริงจังกับเธอตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แถมตกลงกับเธอก่อนจะควงกันแล้วด้วยว่าอย่ามาหึงหวงอะไรเทือกนี้ เพราะผมไม่ได้เป็นแฟนเธอ แต่เหมือนเธอจะลืมไปแล้วล่ะมั้ง
“แล้วเธอมาหาฉันมีธุระอะไร” ผมตัดบทด้วยไม่อยากเสียเวลาสนุกไปมากกว่านี้ เหลือบมองนาฬิกาข้อมือ นี่ก็เกือบจะสองทุ่มแล้วด้วย กว่าจะไปถึง กว่าจะหาเหยื่อได้ เหนื่อยก่อนได้สนุกพอดี
“ก็บอกแล้วว่าคิดถึง คิดถึงนี่ไม่ใช่ธุระหรือไง” เอมิเลียชักสีหน้าใส่ผมพลันที่ถูกถามอย่างนั้น พอผมถอนหายใจพรืดด้วยรำคาญนิดๆ เธอก็พูดออกมาอีก “นอกจากคิดถึงแล้ว ธุระของฉันก็...บริการนายไง”
ไม่พูดเปล่า ยังแกล้งลากเล็บคมๆ ลงบนหน้าอกผมอีก สัมผัสวาบหวิวทำเอาผมขนลุกชันเล็กน้อย และผมก็รู้ได้ทันทีว่าเธอหมายถึงอะไร
“หรือนายอยากให้ฉันกลับ” เธอว่าทีเล่นทีจริง ช้อนสายตามองผมอย่างยั่วยวน แต่แค่นั้นคงยังไม่พอที่จะรั้งผมไว้ เธอยังโน้มตัวลงมาเล็กน้อย ให้ผมเห็นเนินเนื้อนูนที่อยู่ใต้เสื้อเกาะอกตัวจิ๋วของเธออีก
ผมยิ้มเผล่ เอาเถอะ ในเมื่อยั่วขนาดนี้ แถมมาหาถึงที่ ผมก็จะตอบสนองให้แล้วกัน ดีเสียอีกที่ไม่ต้องออกไปข้างนอก ไม่เปลืองเงินดี
“งั้นก็เข้ามาก่อน” ผมผายมือให้เธอเดินเข้าไปในห้อง
ทันทีที่ประตูปิดลงและล็อคเรียบร้อย ผมก็ไม่รอช้า ดึงเธอเข้ามาบดจูบหนักหน่วงทันที เอมิเลียตอบสนองผมอย่างสิเหน่หา เธอเองก็ร้อนแรงไม่แพ้กัน ดึงทึ้งเสื้อผมออกจากตัวอย่างกระหาย ผมกับเธอจูบกันนัวเนีย ประคองกันเข้าไปข้างในอย่างสะเปะสะปะ ก่อนจะมาทิ้งตัวลงบนโซฟาในห้องนั่งเล่น
ผมสอดมือข้างหนึ่งเข้าไปใต้กระโปรงเธอแล้วถลกมันขึ้น ขณะที่มืออีกข้างก็ควานหาเพื่อนคู่ใจที่วางอยู่บนโต๊ะใกล้ๆ
เพื่อนคู่ใจนี่ก็คือถุงยางอนามัยนั่นแหละ เคยบอกแล้วว่าถ้ารักสนุกก็ต้องรู้จักเซฟ ผมก็เลยซื้อมาทิ้งไว้เกลื่อนกลาดเต็มห้อง เวลาจะหยิบใช้จะได้คล่องตัว
พอคว้าตัวช่วยมาไว้ในมือได้ ผมก็ส่งให้เอมิเลียรับไว้ ก่อนจะผละจากเธอไปปลดเข็มขัดที่กางเกงยีนส์ตัวเอง เอมิเลียหัวเราะที่เห็นผมร้อนรนจนอดล้อเลียนไม่ได้
“เร่าร้อนจังเลยนะ อดอยากปากแห้งเหรอ”
ผมเหยียดยิ้มเป็นคำตอบ แกล้งแลบลิ้นเลียริมฝีปากเล็กน้อยให้เธอได้หัวเราะ เอมิเลียเอนตัวนอนอิงโซฟา รอให้ผมได้หรรษากับเรือนร่างของเธอ ทว่ายังไม่ทันที่ผมจะได้ถอดเข็มขัดออกจากตัวดี เสียงดังตึงก็ลั่นเข้ามาในหู ทำเอาผมกับเอมิเลียผละออกจากกันอย่างรวดเร็ว
“เสียงอะไรน่ะ” เธอถามด้วยสีหน้าตื่นๆ ขณะที่ผมก็ตกใจไม่แพ้กัน
จะไม่ให้ตกใจได้ยังไงก็ในเมื่อเสียงที่ได้ยินมันดังมาจากประตูห้องของผม แถมยังดังมากเหมือนกับว่ามีใครพยายามพังประตูเข้ามาอีกด้วย
“เดี๋ยวฉันไปดูก่อน”
เท่านั้นผมก็หย่อนตัวลงจากโซฟา เดินออกจากห้องนั่งเล่นไปยังประตูห้องทันใด แล้วก็ต้องเบิกตาโพลงเมื่อเห็นร่างใหญ่ของไอ้มนุษย์หน้าตายยืนหิ้วลูกบิดประตูผมอยู่ ขณะที่ประตูเปิดอ้าออก
“ไอ้คีธ!”
“ขออภัย ข้าออกแรงมากไปหน่อย ไม่นึกว่าประตูของชาวโลกจะบอบบางถึงเพียงนี้”
หลุดมาทั้งลูกบิดอย่างนี้ บ้านกูไม่เรียกว่าหน่อยแล้ว!
หมอนั่นเดินมาหยุดตรงหน้าผม มือข้างหนึ่งคว้ามือผมออกไปตรงหน้า แล้ววางซากลูกบิดประตูลงมาให้ผมถือ
“ข้าจะชดใช้ให้”
ชดใช้อะไร! กูต่างหากที่ต้องเอาเงินไปจ่ายค่าประตูที่มึงทำพังเนี่ย!
ผมยกมือยีผมตัวเอง ชักสีหน้าไม่พอใจใส่คีธอย่างไม่ปกปิด ยอมรับเลยว่าตอนนี้ผมโคตรจะหัวเสีย ไม่ใช่แค่หัวเสียที่หมอนี่โผล่เข้ามาไม่ได้จังหวะ แล้วก็พังประตูผมเท่านั้น แต่ยังหัวเสียที่เห็นหมอนี่กลับมาที่ห้องทั้งๆ ที่กำชับไอ้ริชาร์ดไปแล้วว่าให้หมอนี่นอนที่ห้องมัน นี่ยังจะปล่อยให้กลับมาอีก!
แต่ไม่ทันที่ผมจะได้ถามอะไร เอมิเลียที่อยู่ในห้องนั่งเล่นก็เดินออกมาเสียก่อน พลางถามด้วยน้ำเสียงตระหนก
“เกิดอะไรขึ้นเหรอเควิน มีใครมา ให้ฉันโทรเรียกตำรวจมั้ย”
ผมแค่มองหน้าเธอ ยังไม่ทันจะได้ตอบ แต่พอเธอเห็นคีธ สีหน้าตกใจก็แปรเปลี่ยนเป็นฉงน ก่อนจะกลายเป็นเย้ายวนทันที
“แล้วนี่... เพื่อนนายเหรอ”
ผมมองหน้าเอมิเลียอย่างระอาที่จู่ๆ ก็แสดงอาการอ่อยออกมาอย่างไม่ปิดบัง ก็แหม ไอ้คีธมันหล่อนี่เนอะ ไม่อ่อยนี่สิถึงจะแปลก แต่มันน่าเจ็บใจตรงที่มาอ่อยต่อหน้าผมทั้งๆ ที่เมื่อกี้ยังนัวเนียกับผมอยู่เลยนี่แหละ
“ไม่ใช่” ผมว่าเสียงห้วน หัวเสียสุดๆ ไปเลยตอนนี้
“เอ้า ไม่ใช่เพื่อนนายแล้วเป็นใคร”
“ข้าชื่อ คีทาเย ซาเค...”
คีธนี่ก็เสร่อ ยัยนั่นไม่ได้ถามก็เสนอหน้าตอบ ทำให้ผมต้องขัดขึ้น
“ไม่ใช่เรื่องของเธอ”
ทั้งคีธ ทั้งเอมิเลียหุบปากฉับ มองหน้าผมพลัน คีธน่ะมองหน้าผมโดยไม่แสดงสีหน้าใดๆ ออกมา ผมก็ดูไม่ออกเหมือนกันว่าหมอนี่คิดอะไร ส่วนเอมิเลียนี่คือหน้าม้านไปแล้ว แต่ผมก็ไม่ได้สนใจนัก นอกจากออกปากไล่
“กลับไปก่อนไป ฉันมีธุระต้องจัดการ”
“ฉันเพิ่งจะมาไม่ถึงชั่วโมงเองนะ” เธอท้วงเสียงแหลม ทำให้หัวคิ้วผมย่นยู่หนักขึ้นไปอีก
“ฉันบอกให้กลับไป”
“แต่ว่า...”
“กลับ-ไป-ซะ”
พอผมหันไปว่าเสียงเขียว เอมิเลียที่ทำท่าเหมือนจะงอนเมื่อครู่ก็ระงับสีหน้าทันใด ยอมเดินออกจากห้องไปโดยดี เหลือแต่ผมกับคีธเท่านั้นที่เผชิญหน้ากันอยู่ จนเขาทำลายความเงียบขึ้นมา
“ไล่นางไปอย่างนั้น ไม่เป็นอะไรรึ”
“ช่างแม่ง ว่าแต่นายเถอะ กลับมาทำไม ฉันบอกริชาร์ดไปแล้วไม่ใช่เหรอว่าให้นายนอนห้องหมอนั่น” ผมเข้าเรื่อง ในใจคิดว่าริชาร์ดคงจะไม่สะดวกให้คีธนอนด้วยหรือเหตุผลจำเป็นอะไรสักอย่างแน่ เพราะคนอย่างริชาร์ด ถ้ารับปากอะไรผมไปแล้ว มักจะทำตามเสมอ ไม่มีมาแคนเซิลทีหลังอย่างนี้หรอก
หากแต่คำตอบของคีธก็ทำให้ผมต้องขมวดคิ้วหนักกว่าเดิม เพราะเหตุผลที่หมอนี่กลับมา ไม่ใช่เพราะริชาร์ด แต่เป็นเพราะหมอนี่นี่แหละ
“ข้าจำเป็นต้องกินสารอาหารจากเจ้า ก็เลยตามกลิ่นเจ้ากลับมา”
เมื่อวานยังสูบไปไม่พออีกเหรอวะ!?
ผมทำหน้าแหยทันที อยากจะปฏิเสธให้รู้แล้วรู้รอด ทว่าคีธก็ดักคอขึ้นมาก่อน
“หลังจากถือกำเนิด ข้าจำเป็นต้องกินสารอาหารจากโฮสต์ทั้งวัน เมื่อผ่านไปยี่สิบสี่ชั่วโมงแล้ว แค่วันละครั้งก็เพียงพอต่อการดำรงชีวิต”
ประเด็นมันไม่ได้อยู่ที่ว่ากี่ครั้งต่อวันเว้ย มันอยู่ที่ทำไมจะต้องยอมให้จูบครั้งแล้วครั้งเล่าต่างหาก!
แถมพอหมอนั่นพูดเสร็จก็ไม่ยอมให้ผมได้พูดอะไร ขยับเข้ามาใกล้ รวบเอวผมเข้าหาอย่างรวดเร็ว
“ดังนั้น ข้าจะขอกินสาอาหารจากเจ้าอีกครั้ง” ว่าจบก็โน้มใบหน้าลงมา
ผมถลึงตาโต รีบยกมือดันหน้ามันเอาไว้ก่อนที่ริมฝีปากหยักจะเข้าครอบครองริมฝีปากผม
“หยุดเลยไอ้คีธ! ถ้าอยากกินล่ะก็ตามฉันมานี่ เดี๋ยวจะพาไปกินของอร่อย!”
ตอนพูดไปก็ไม่ทันได้คิดหรอกว่าของอร่อยที่ว่าคืออะไร แต่มันก็ทำให้คีธยอมหยุดได้
“ของอร่อย?”
“เออ ของกินในโลกมนุษย์เนี่ย เดี๋ยวจะพาไปกิน เข้าเมืองตาหลิ่วก็ต้องหลิ่วตาตามสิวะ จะมากินสารอาหารอย่างนี้ตลอดได้ไง มนุษย์กินแบบไหนก็หัดกินตามบ้าง” ผมว่ายาวแล้วผลักอกหมอนั่นออกห่าง
หมอนั่นมองผมนิ่งๆ เหมือนครุ่นคิดอะไรบางอย่างก่อนจะตอบรับออกมา
“ลองดูก็ได้ พาไปสิ”
อยากจะตะโกนใส่หน้ามันเหลือเกินว่า ‘มึง-สม-ควร-ลอง’ เอะอะก็มาดูดสารอาหารทั้งวันอย่างนี้ เดี๋ยวผมก็ได้แห้งตายก่อนพอดี
“งั้นตามมา จะพาไป”
พูดจบ ผมก็เดินออกจากห้องไปทันที โดยไม่ลืมโทรบอกคนดูแลอพาร์ตเม้นต์ให้ส่งช่างขึ้นมาซ่อมลูกบิดให้ แน่ล่ะว่าผมโดนคนดูแลฯ บ่นนิดหน่อยที่โทรไปรบกวนช่วงกลางคืน แต่เพราะสนิทกัน เธอก็เลยส่งช่างประจำอพาร์ตเม้นต์ขึ้นมาดูให้ พร้อมกับล็อคห้องให้ ผมเลยไม่ต้องกังวลอะไรมากนัก นอกจากพาไอ้มนุษย์ต่างดาวนี่ไปหาอะไรยัดลงท้องเท่านั้น
 
ร้านอาหารจีนข้างถนนละแวกที่พักเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในยามกลางคืนแบบนี้ จริงๆ มันก็มีตัวเลือกอื่นนั่นแหละ แต่เพราะร้านนี้เป็นร้านประจำของผมเวลาที่ผมกลับจากไนท์คลับตอนดึกๆ แถมผมยังสนิทกับอาแปะเจ้าของร้าน ผมก็เลยเลือกที่นี่เป็นที่ฝากท้อง ที่สำคัญ ยังราคาถูก ประหยัดเงินในกระเป๋าผมไปได้พอสมควรถ้าคีธเกิดกินแบบยัดห่าขึ้นมา
พอเข้าไปในร้าน ผมก็จัดการสั่งบะหมี่ผัดสองที่สำหรับผมกับคีธทันที จริงๆ ไม่ทันจะได้สั่งเลย แค่ลูกจ้างหนุ่มชาวจีนของอาแปะเห็นหน้าผม เขาก็รู้แล้วว่าผมจะกินเมนูอะไร แค่ชูสองนิ้วบอกจำนวนที่ต้องการให้เท่านั้น
ไม่นาน บะหมี่ผัดสไตล์จีนในกล่องกระดาษก็มาเสิร์ฟตรงหน้า ผมคว้ากล่องบะหมี่มาถือ พลางถามหาใครบางคนเมื่อตระหนักว่าไม่เห็นเขาอยู่ที่นี่
“อาแปะไปไหนล่ะวันนี้”
“อ๋อ เข้าห้องน้ำอยู่น่ะ วันนี้ลุงแกท้องเสีย ไม่รู้ไปกินอะไรมา เดี๋ยวอีกสักพักก็คงจะออกมา”
ผมพยักหน้ารับ ส่วนอาแปะที่ว่าก็คือเจ้าของร้านนี่แหละ เขาเป็นชายจีนแก่ๆ ร่างเล็กที่ชอบให้คนอื่นเรียกว่า ‘ลีโอนาร์โด’ เหตุผลก็เพราะนามสกุลเขาคือ ‘แซ่หลี่’ แต่ถ้าถูกฝรั่งเรียก มันจะเพี้ยนเสียงกลายเป็น ‘ลี’ ซึ่งฟังเหมือนเป็นนามสกุลของชาวเกาหลีและเขาไม่ชอบ แต่ดูจากสภาพหนังหน้ากับความเหี่ยวของเขาแล้ว ผมก็ทำใจเรียกลีโอนาร์โดไม่ไหว เลยเลี่ยงไปเรียกว่าอาแปะแทน เขาก็โอเคนะ อนุโลมให้ผมเรียกได้คนเดียวเท่านั้น เพราะเขาบอกว่าผมหล่อเหมือนเขาตอนหนุ่มๆ แม้ว่าเบ้าหน้าจะต่างกันคนละโยชน์เลยก็ตาม
ผมทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ใกล้ๆ จัดการคีบบะหมี่ด้วยตะเกียบเข้าปากอย่างคล่องแคล่ว หากก็ต้องชะงักเมื่อเห็นคีธถือกล่องบะหมี่ขึ้นมาด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนอีกมือถือตะเกียบด้วยท่าทางเก้ๆ กังๆ เขาเหลือบมองผม ผมก็เลยยื่นมือที่ถือตะเกียบอยู่ไปตรงหน้า โชว์ให้ดูว่ามนุษย์โลกเขาใช้ตะเกียบกันยังไง
แต่จนแล้วจนรอด คีธก็ไม่สามารถคีบไม้แท่งเล็กๆ สองแท่งได้อยู่ดี พอทำท่าจะคีบบะหมี่ปุ๊บ ตะเกียบก็หลุดมือ ทำเอาผมที่มองอยู่ถึงกับถอนหายใจ วางกล่องบะหมี่กับตะเกียบในมือตัวเองลงแล้วหันไปจับมือเขา
“นี่ๆ มันจับแบบนี้” ว่าพลางจัดระเบียบตะเกียบให้ไปพลาง
ใช้เวลาไม่นานนัก คีธก็สามารถจับตะเกียบได้สมใจหมาย นี่คงจะเป็นสกิลการเรียนรู้อีกอย่างหนึ่งของเขาล่ะมั้งถึงได้ทำตามได้เร็วขนาดนี้ แต่สุดท้ายก็ทำได้แค่จับแหละนะ พอจะคีบบะหมี่เข้าปาก ตะเกียบก็กระเด็นกระดอนไปคนละทางจนผมชักรำคาญขึ้นมาตงิดๆ
“เฮ้ นายมีส้อมบ้างมั้ย” ผมร้องถามลูกจ้างของอาแปะทันที
หมอนั่นส่ายหน้าเป็นพัลวัน “ส้อมพลาสติกหมดแล้วเฮีย วันนี้แปะยังไม่ได้ใช้ให้ไปซื้อใหม่เลย”
ผมลืมบอกไปสินะว่าถึงร้านอาหารจีนนี่จะเปิดเป็นร้านนั่ง แต่ก็เป็นแค่ร้านเล็กๆ ขนาดแมวดิ้นตาย อุปกรณ์อะไรต่างๆ ก็เน้นเป็นของที่ใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง
ผมก็เลยต้องกลับมาแก้ปัญหาด้วยตัวเองอีกครั้งเมื่อคีธพูดสวนขึ้นมา
“ข้าไม่กินก็ได้ ไว้รอกินสารอาหารจากเจ้า”
“ไม่ต้องเลย กินไม่ได้เดี๋ยวจะป้อน” ผมว่าเสียงขุ่น พลันคว้ากล่องบะหมี่ของเขามาตรงหน้าแล้วจัดการคีบมันไปจ่อตรงปากเขา “อ้าปากสิ”
คีธมองบะหมี่อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยอมเปิดปากรับมันเข้าไปแต่โดยดี
“อืม รสชาติประหลาดนัก แต่ก็อร่อยดี”
“อร่อยก็กินๆ เข้าไปให้หมดเร็วๆ เข้า” ผมเร่ง เพราะรู้สึกว่าตอนนี้ผมกับหมอนี่เหมือนคู่รักเกย์ยังไงพิกล ยิ่งเห็นสายตาลูกจ้างของร้านมองมาที่ผมอย่างงงๆ เป็นระยะๆ แล้ว ผมก็แทบจะจับไอ้คีธแหกปากแล้วเทบะหมี่ทั้งกล่องลงไปให้จบๆ ในทีเดียวชะมัด
 ไม่นานนัก บะหมี่ในกล่องของเขาก็ถูกจัดการจนเกือบหมด ช่วงเวลาแห่งการเป็นคู่รักโฮโมฯ กับหมอนี่ถึงได้จบสิ้นสักที ผมส่งกล่องบะหมี่คืนให้คีธแล้วหันมาจัดการกับบะหมี่ของตัวเองบ้าง ทว่ากินไปได้ไม่กี่คำ อาแปะที่แทบจะเข้าไปนอนหลับในห้องน้ำก็โผล่หน้าออกมา เขาเดินตรงไปยังอ่างล้างมือหน้าห้องน้ำ ทำท่าจะใช้มันแต่ก็ชะงักเมื่อหันมาเห็นผม เปลี่ยนใจจากล้างมือเป็นเดินเข้ามาหาผมแทน ก่อนทักทายอย่างเคยด้วยภาษาอังกฤษสำเนียงจีน พร้อมยิ้มตาหยี
“ไม่เห็นหน้าตั้งหลายวันแน่ะอาเควิน ช่วงนี้นอนเร็วหรือไง” ประโยคที่เขาถามก็เป็นประโยคเดิมๆ อีกเช่นกัน ส่วนเรื่องที่ว่าผมนอนเร็ว ก็หมายถึงวันไหนที่ผมไม่ได้ออกไปไนท์คลับ ผมก็ไม่ได้แวะมาหาอะไรกินที่ร้านของเขานั่นแหละ
“ช่วงนี้ยุ่งๆ ก็เลยเพลาๆ ลงก่อนน่ะ” ผมตอบอย่างขอไปที ก่อนจะเบนความสนใจไปยังคีธที่วางกล่องบะหมี่เปล่าในมือลง จ้องหน้าอาแปะนิ่งๆ ข้างราวกับคิดอะไรบางอย่าง ผมรู้เพราะเห็นหัวคิ้วของเขายู่ลงน่ะ
อาแปะเองก็เพิ่งจะสังเกตในตอนนี้ว่าผมไม่ได้มาคนเดียว แต่ยังมีผู้ชายแปลกหน้าตัวยักษ์มาด้วย ทำให้เขาเบนความสนใจไปยังคีธทันที
“แล้วนี่เพื่อนใหม่ลื้อเหรอ ไม่เคยเห็นหน้าเลย”
ผมส่ายหน้า พลันตอบเสียงห้วน “กาฝาก”
อาแปะทำหน้าไม่เข้าใจ ทว่าไม่ทันที่ผมจะได้อธิบายว่ากาฝากคืออะไร คีธก็โพล่งขึ้นมาก่อน
“ข้าได้กลิ่นชาวโอนิซิสจากเจ้า”
รอยยิ้มพร่างพรายบนใบหน้าเหี่ยวย่นหายวับไปกับตาแทบในวินาทีนั้น ดวงตาเรียวเบิกโตอย่างตกใจจนผมต้องชะงักมือที่กำลังคีบเส้นบะหมี่เข้าปากอีกครั้งเหลือบมองท่าทางแปลกๆ ของเขา ผมเดาเอาไว้ในใจเลยว่าไอ้ชาวโอนิซิสอะไรที่หลุดออกมาจากปากคีธเมื่อครู่คงจะเป็นชื่อมนุษย์ต่างดาวอีกพันธุ์หนึ่งแน่ๆ พลันสงสัยว่าอาแปะลีโอนาร์โดที่ผมรู้จักคงจะไม่ใช่มนุษย์โลก ก็จริงเสียด้วยเมื่ออาแปะโน้มหน้าเข้าใกล้คีธ แล้วถามเสียงเบาจนแทบกระซิบ
“ลื้อเป็นใคร”
“ชื่อของข้า คีทาเย ซาเคมอร์ฟ” คีธยังคงรักษาระดับน้ำเสียงไว้ได้อย่างคงเส้นคงวา
สิ้นเสียง สีหน้าของอาแปะก็ดูตกใจมากขึ้นไปอีก ก่อนเขาจะครางออกมา
“ลื้อคือ...ผู้พิทักษ์แห่งยูนิกม่า”
คีธพยักหน้ารับ เท่านั้น จากสีหน้าตกใจก็แปรเปลี่ยนเป็นสีหน้ายินดีทันที
“ได้ยินชื่อเสียงทั่วจักรวาลมานาน เพิ่งจะเคยเห็นตัวจริงก็คราวนี้ อั๊วชื่อลีโอเธ”
ก่อนหน้านี้ยังชื่อลีโอนาร์โดอยู่เลยไม่ใช่เหรอวะ
ผมอยากจะท้วงอย่างนี้นะ แต่พอเห็นอาแปะยื่นมือไปให้คีธจับทักทายแล้ว ผมก็เบิกตาโพลงพลัน
เดี๋ยว! เมื่อกี้เพิ่งออกมาจากห้องน้ำใช่มั้ย!? มือก็ยังไม่ได้ล้างด้วยมั้งรู้สึก!
“เอ่อ...คีธ...”
ผมทำท่าจะบอกเขาว่าอาแปะนี่เพิ่งจะเช็ดประตูหลังมาสดๆ ร้อนๆ แถมยังไม่ได้ล้างมือด้วย แต่ไม่ทันแล้ว แค่ผมอ้าปาก ไอ้คีธมันก็คว้ามืออาแปะไปดูดดังจ๊วบเป็นที่เรียบร้อย
“ยินดีที่ได้รู้จัก ท่านผู้เฒ่าลีโอเธ”
อะ...เอิ่ม... ช่างแม่งก็แล้วกัน
ผมทำหน้าสะอิดสะเอียน ความอยากกินบะหมี่หมดไปทันตา พอวางมันลงบนโต๊ะ อาแปะก็หันมาให้ความสนใจกับผมอีกครั้ง
“ลื้อจะไม่ถามหน่อยเหรอว่าชาวโอนิซิสคืออะไร แล้วผู้พิทักษ์แห่งยูนิกม่าคืออะไร แล้วอั๊วรู้จักท่านผู้พิทักษ์นี่ได้ยังไง” ที่ถามอย่างนี้คงเพราะเห็นผมไม่แสดงท่าทีตกใจอะไรออกมาที่ได้เจอมนุษย์ต่างดาวตัวที่สองแบบไม่ได้ตั้งใจล่ะมั้ง
“ไม่อ่ะ”
พอผมปฏิเสธ คิ้วยุ่งๆ ของอาแปะก็ยุ่งกว่าเดิมอีก
“ไม่ตกใจเลยรึ”
“แค่รู้ว่าตัวจริงของแปะเป็นมนุษย์ต่างดาวน่ะไม่น่าตกใจเท่าถูกไอ้บ้านี่แหวกสะดือออกมาหรอก”
อาแปะร้องอ๋อแล้วหัวเราะร่วนออกมาทันที
“ที่แท้ลื้อก็เป็นโฮสต์ให้ท่านผู้พิทักษ์น่ะเอง มิน่าถึงได้ดูไม่ตกใจที่รู้ว่าตัวจริงของอั๊วเป็นใคร เออ ไอ้หมอนั่นก็เป็นชาวโอนิซิสเหมือนกันนะ” ว่าจบ เขาก็หันไปชี้นิ้วที่ลูกจ้างของตัวเอง ก่อนที่ลูกจ้างนั่นจะหันมายิ้มให้ผมพร้อมเผยตัวตนให้เห็นแวบหนึ่ง
จากที่ไม่ตกใจ ผมก็ต้องตกใจในตอนนี้เมื่อได้เห็นใบหน้าแหลมเล็กสีม่วงเข้มและดวงตาปูดโปนฉาบแวบขึ้นมาแทนใบหน้าของมนุษย์โลกทั่วๆ ไป พออาแปะเห็นดวงตาเบิกโตของผมก็ระเบิดหัวเราะลั่น
“ตกใจแล้วสินะ”
“ตกใจสิแปะ ไม่ตกใจก็บ้าแล้ว แล้วนี่ไปเอาหนังมนุษย์ที่ไหนมาใส่น่ะ” ผมถามอย่างนี้เพราะคิดว่ามนุษย์ต่างดาวพันธุ์ของอาแปะนี่น่าจะมีสกิลในการถลกหนังหรืออะไรเทือกนี้
ทว่าเขาส่ายหน้าปฏิเสธ “ชาวโอนิซิสมีความสามารถในการลอกเลียนรูปร่างของชาติพันธุ์อื่นๆ ไม่ได้ไปเอาหนังมนุษย์มาใส่ตบตา ไม่ต้องห่วง”
“แล้วแปะมาที่โลกทำไม” ผมถามแบบนี้เพราะรู้อยู่แล้วล่ะว่าการที่มนุษย์ต่างดาวมาที่โลก ต้องมีเหตุผลบางอย่างเหมือนกับคีธ และดูท่าทางเหตุผลนั้นจะเหมือนกับคีธเสียด้วย
“โดนไล่ล่าน่ะ ก็เลยอพยพมา”
เห็นมั้ย เหมือนอย่างที่ผมคาดเดาไม่มีผิด!
ผมพ่นลมหายใจออกมาเต็มแรง ปวดหัวหนึบๆ ขึ้นมาเล็กน้อยที่จู่ๆ ก็มาอยู่ในดงมนุษย์ต่างดาวโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านี้ อาแปะเรียกคีธว่าอะไร เลยหันไปถามหมอนั่นที่นั่งหน้าตายอยู่ข้างๆ
“เห็นแปะเรียกนายว่าเป็นผู้พิทักษ์ ผู้พิทักษ์นี่คืออะไร ใช่แบบพวกอัศวินอะไรแบบนี้ป่ะ”
คีธพยักหน้าน้อยๆ “ถ้าเป็นภาษาของมนุษย์โลกน่ะใช่ ข้าเป็นอัศวิน ผู้ปกป้องเชื้อพระวงศ์ของยูนิกม่า”
เพิ่งจะรู้ในตอนนี้นี่แหละว่าดาวดวงอื่นก็มีระบอบกษัตริย์ แต่อะไรก็ไม่สำคัญเท่าการที่อาแปะบอกว่าเคยได้ยินชื่อหมอนี่มาก่อน นั่นก็หมายความว่าเขาคงจะเป็นพวกฝีมือดีน่าดู ถึงได้เป็นที่รู้จักอย่างนี้
ทว่าไม่ทันจะได้ปริปากถาม อาแปะก็โพล่งขึ้นมาก่อน
“ท่านคีทาเยน่ะเป็นหนึ่งในผู้พิทักษ์ที่โด่งดังมากเลยนะ มีวีรกรรมเด็ดๆ อย่างเยอะ ทั้งปราบพวกปรสิตอวกาศ ทั้งรับมือกับพวกฮิวมานอยด์สายพันธุ์รุกราน ไหนจะช่วยพวกชาติพันธุ์อื่นที่ถูกรุกรานอีก จนได้ชื่อว่าเป็นผู้พิทักษ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในยูนิกม่าเลยล่ะ”
เรื่องแข็งแกร่งน่ะไม่เถียง จากที่เห็นก็น่าจะพอรู้อยู่
“ว่าแต่ทำไมท่านผู้พิทักษ์ถึงมาอยู่ที่โลกมนุษย์ได้ล่ะ” ว่าจบก็หันไปถามคีธ
“ยูนิกม่าถูกพวกเซนไทน์รุกราน เลยต้องอพยพไปที่ดาวดวงอื่น ข้าได้รับมอบหมายให้มาสมทบกับพรรคพวกที่มายังดาวเคราะห์สีน้ำเงินก่อนหน้า แต่ถูกพวกไซนไทน์ไล่ล่าทันเลยต้องสละยานกลางครัน ข้าก็เลยพลัดหลงกับพวกพ้อง”
อาแปะพยักหน้ารับราวกับเข้าใจเรื่องราวได้เป็นอย่างดี มีแต่ผมนี่แหละที่ทำหน้างงๆ
“อย่างนั้นตอนนี้ท่านก็กำลังตามหาพรรคพวกอยู่ล่ะสินะ”
คีธพยักหน้าอีกครั้ง “แล้วท่านผู้เฒ่าเห็นพรรคพวกของข้าบ้างหรือไม่”
“ถ้าถามถึงแถวนี้ล่ะก็ ไม่เคยเห็นนะ แต่เคยได้ยินมาว่ามีพวกยูนิกม่าอยู่ในอเมริกาเหมือนกัน”
“ที่ไหนรึ”
“จำไม่ผิดก็น่าจะฮอลลีวูดล่ะมั้ง”
ผมย่นคิ้วพลัน มนุษย์ต่างดาวบ้าอะไรจะไปโผล่อยู่ในฮอลลีวูด แต่ดูท่าทางคีธคงจะเชื่อไปแล้วเรียบร้อย
“แล้วข้าจะไปที่นั่นได้อย่างไร”
“นั่งรถไป ขึ้นเครื่องบิน ไม่ก็ให้อาเควินพาไป”
ความซวยตกมาอยู่ที่ผมทันที คีธมองหน้าผมก่อนจะพูดออกมา
“พาข้าไปหน่อย”
“มันใช่ธุระกงการอะไรของฉันมั้ยเนี่ย” ผมแผดเสียงน้อยๆ ที่จู่ๆ ก็ถูกลากเข้าไปวุ่นวายกับเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องของตัวเอง ทว่าก็ต้องเงียบเสียงเมื่อถูกคีธขู่
“หากเจ้าไม่ต้องการเป็นโฮสต์ให้ข้าไปชั่วชีวิต ก็จงช่วยข้า”
เวรเอ๊ย... นี่ผมจะเอาชนะหมอนี่สักครั้งไม่ได้เลยหรือไง
“เอาน่าอาเควิน แค่พาท่านผู้พิทักษ์ไปส่งที่ฮอลลีวูดแค่นี้ ไม่ได้หนักหนาเท่าไหร่หรอก”
“ไม่หนักหนาบ้าไรแปะ พาไปส่งก็ต้องใช้เงิน แถมฮอลลีวูดก็ไม่ใช่เล็กๆ พาไปหาใครก็ยังไม่รู้เลย แม่ง ปวดกบาลฉิบ” ปลายประโยคนี่ผมบ่นเองคนเดียวเบาๆ ทำให้อาแปะเอื้อมมือเหี่ยวย่นมาตีบ่าผมน้อยๆ
“ถือว่าช่วยเหลือในฐานะโฮสต์ก็แล้วกัน เราเป็นสายพันธุ์ฮิวมานอยด์ประเภทรักสันติเหมือนกัน ช่วยๆ กันไปน่ะดีแล้ว ลื้อควรจะยินดีด้วยซ้ำที่ได้เป็นโฮสต์ของท่านผู้พิทักษ์ มนุษย์โลกอย่างลื้อน่ะไม่รู้หรอกว่าชาวยูนิกม่าสูงส่งแค่ไหน แทบจะเรียกได้ว่าเป็นชาติพันธุ์ที่สูงส่งที่สุดในจักรวาลเลยก็ได้มั้ง”
ยินดีกับผีเหอะ! โดนมันวางไข่ คลอดมันออกมา เป็นแหล่งอาหารให้มัน แถมยังถูกมันขู่ฆ่า ใครมันจะไปยินดีวะ!
แต่จนแล้วจนรอด ผมก็ได้แต่เบ้หน้าเมื่ออาแปะตัดบทเอาดื้อๆ
“ไหนๆ ก็ได้เจอกับท่านผู้พิทักษ์โดยบังเอิญแล้ว มื้อนี้อั๊วจะเลี้ยงก็แล้วกัน กินเยอะๆ นะท่าน ไม่ต้องเกรงใจ” ว่าจบ ก็หันไปสั่งลูกจ้างให้ทำบะหมี่กล่องใหม่มาเสิร์ฟเพิ่ม
พอบะหมี่มาวางอยู่บนโต๊ะ เขาก็ขอตัวไปทำความสะอาดหลังร้าน ทิ้งให้ผมกับคีธนั่งมองหน้ากันเงียบๆ แน่นอนแหละว่าผมทำหน้าบอกบุญไม่รับ ขณะที่หมอนั่นมองหน้าผมนิ่ง แล้วก็ทำลายความเงียบขึ้นมา
“ป้อนหน่อย”
“เป็นง่อยหรือไง กินเองไม่ได้ก็ไม่ต้องกิน” ผมหลุดบ่นออกมาเป็นภาษาไทย
เหมือนเขาจะฟังรู้เรื่องนะ เพราะพอผมพูดจบ เขาก็หันไปคว้าตะเกียบมาจัดการคีบบะหมี่เข้าปากอย่างทุลักทุเล ผมมองได้ครู่หนึ่งก็คว้ากล่องบะหมี่มากินบ้าง
ดีเหมือนกัน ในเมื่ออาแปะนี่มัดมือชกกันแบบนี้ จะกินฟรีให้ร้านเจ๊งแม่งไปเลย
หากแต่ผมกินเข้าไปได้ไม่กี่คำ คีธก็วางกล่องบะหมี่กับตะเกียบลง แล้วหันมาจับไหล่ผมด้วยสองมือให้หมุนเข้าหาตัว
“กินด้วยวิธีแบบมนุษย์โลกมันลำบาก”
ผมถลึงตาในวินาทีนั้น ปากกลืนเส้นบะหมี่ลงคออย่างยากลำบากฉับพลัน
พูดมาอย่างนี้ ยะ...อย่าบอกนะว่า...
“ขอกินสารอาหารจากเจ้าหน่อย”
“เดี๋ยว! อุ๊บ!”
ห้ามไปก็ไม่ทันแล้ว ไม่ทันจะพูดจบ ไอ้บ้าคีธก็ดึงผมเข้าไปจูบทันใด ร่างกายผมสั่นเทา อ่อนปวกเปียกไปภายในเวลาไม่ถึงนาที ความวิงเวียนเข้าจู่โจมผมจนแทบทรงตัวไม่อยู่ จังหวะเดียวกับที่อาแปะกับลูกจ้างเดินออกมาจากหลังร้านพอดี พอเห็นผมกำลังถูกคีธสูบอย่างดูดดื่ม ก็พากันถอยกลับเข้าไปหลังร้านอีกครั้ง
ถึงจะรู้ว่าพวกนั้นรู้ว่านี่คือการกินสารอาหารของคีธ แต่ผมก็อดคิดไม่ได้เลยว่า แม่ง! ถูกเข้าใจผิดว่าเป็นโฮโมฯ อีกแล้ว!


ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
 Episode 05: A porn star[2]

เพราะถูกดูดสารอาหารติดต่อกันมากเกินไป ร่างกายเลยปรับตัวไม่ทัน พอกลับมาถึงห้อง ผมก็มีอาการครั่นเนื้อครั่นตัวขึ้นมาทันที ผมอัดยาแก้ไข้แล้วรีบเข้านอนด้วยหวังว่าอาการจะทุเลาลงบ้าง แต่จนแล้วจนรอด อาการที่คาดว่าจะเบาลงก็ไม่ได้เบาลงเลยแม้แต่น้อย กลับหนักขึ้นด้วยเมื่อเวลาล่วงเลยเข้าช่วงกลางดึก
ผมนอนเหงื่อแตกพลั่กทั้งๆ ที่รู้สึกหนาวไปถึงกระดูก ร่างกายหนักอึ้งและตัวร้อนฉ่าดุจเปลวไฟทำให้ผมรู้ว่าอาการของตัวเองไม่ใช่เล่นๆ แล้ว พรุ่งนี้คงจะไปเรียนไม่ไหวแน่ ผมเลยฝืนตื่นขึ้นมาส่งข้อความไปบอกริชาร์ดลวกๆ ว่าไม่สบาย แล้วล้มตัวลงนอนต่อ
หากแต่พอผมพยายามข่มตาหลับ อาการปวดหัวก็แล่นพล่านขึ้นมาจนผมหลับไม่ลง กลายเป็นดิ้นไปมาบนเตียงอย่างทรมานแทน
สงสัยต้องอัดยาเพิ่มอีก...
ผมพยายามดันตัวขึ้นนั่งเพื่อจะคว้ากระปุกยาพาราเซตามอลมากิน แต่โลกของผมก็หมุนติ้วจนผมไม่อาจจะทรงตัวได้ ต้องทิ้งตัวลงนอนเหมือนเดิมอย่างไร้ทางเลือก
ผมล่ะเกลียดที่สุดเลยเวลาป่วยเนี่ย เพราะนอกจากมันจะทรมานชวนน่ารำคาญแล้ว ยังช่วยเหลือตัวเองได้ไม่เต็มที่อีก
ทว่าสวรรค์ก็เหมือนจะเมตตาผม ในจังหวะที่ผมทิ้งตัวลงนอน ประตูห้องก็ถูกเปิดเข้ามาด้วยฝีมือของคีธ เขาเดินมาเปิดไฟเพดานอย่างถือวิสาสะจนผมต้องแหวใส่
“เปิดไฟทำบ้าอะไร”
“ข้าจะเช็ดตัวให้”
“จะทำอะไรนะ”
“เช็ดตัว” หมอนั่นว่าเสียงเรียบ “ได้ยินมาว่าหากมนุษย์โลกป่วยด้วยไข้ การดูแลอาการในขั้นแรกคือการทำให้ตัวเย็นลง”
ผมหรี่ตาขึ้นมองหมอนั่นทันที แล้วก็เห็นว่าในมือหมอนั่นมีกะละมังใส่น้ำในมือและผ้าเช็ดตัวผืนเล็กพาดบ่าอยู่ ผมอยากจะบอกให้มันไสหัวไปฉิบเป๋ง แต่ก็ไม่ทันเพราะหมอนั่นพูดจบ ก็เดินเข้ามาวางกะละมังบนโต๊ะข้างหัวเตียง ทิ้งตัวนั่งข้างผมเป็นที่เรียบร้อย
“เออ จะทำอะไรก็ทำเหอะ เร็วๆ เข้าล่ะ ฉันจะได้นอน” สุดท้าย ผมก็ต้องยอมจำนน
คีธพยักหน้า เอื้อมมือไปชุบผ้าเช็ดตัวแล้วบิดหมาด ผมปิดเปลือกตาลง ไม่ได้ฉุกใจคิดเลยแม้แต่น้อยว่าไอ้มนุษย์ต่างดาวนี่จะเช็ดตัวเป็นหรือไม่ และการที่ผมละเลยข้อสงสัยนี้ไป คีธก็ทำสิ่งที่สร้างความพรึงเพริดให้ผมเป็นอย่างมาก เพราะทันทีที่ผมหลับตา หมอนั่นก็เอื้อมมือไปจับขากางเกงขายาวที่ผมใส่นอน แล้วดึงมันออกอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียว กางเกงขายาวก็หลุดไปกองยังข้อเท้า เหลือแต่กางเกงบ็อกเซอร์ที่ยังปิดบังส่วนสำคัญเอาไว้
ถอดทำเตี่ยมึงเหรอ! แค่ถลกขากางเกงขึ้นมาก็ใช้ได้แล้วมั้ง!
“เดี๋ยวๆ!” ผมร้องห้ามทันทีเมื่อเห็นว่าคีธกำลังจะโปะผ้าเช็ดตัวเปียกลงไป
เขาชะงัก มองหน้าผมแล้วเลิกคิ้วสูง
“ถามจริงจะถอดทำไมวะ เลิกขากางเกงขึ้นมาก็พอแล้ว”
“ข้าเกรงว่าจะคลายความร้อนในตัวเจ้าได้ไม่หมดจึงจำเป็นต้องเปลื้องผ้า”
เหตุผลโคตรปัญญาอ่อนเลย!
“ไม่ต้องเลย ขาไม่ต้องเน้น บ้านนายเช็ดตัวลดไข้กันนี่เน้นที่ขาเหรอวะ เค้าเน้นกันที่ช่วงตัวเว้ย หน้าอก คอ หลังอะไรแบบนี้ ไม่ใช่ขา” ผมว่าเสียงขุ่น ขณะที่เขายังคงทำหน้าตาย
ให้ตายเหอะ ขนาดผมป่วยอย่างนี้ หมอนี่ยังทำให้ผมหัวเสียจนแทบเป็นบ้าได้ มันจะสามารถเกินไปแล้ว!
แต่ยังดีที่หมอนี่เชื่อฟัง พอสิ้นเสียงผม เขาก็ดึงกางเกงขึ้นมาใส่ให้เหมือนเดิม แล้วขยับมาถลกชายเสื้อผมขึ้น ถลกอย่างเดียวไม่พอ ยังกระชากจนเสื้อออกจนผมที่นอนอยู่เด้งไปตามแรงกระชาก รู้ตัวอีกที เสื้อก็หลุดออกจากตัวไปแล้ว
ถอดล่างไม่ได้ก็เลยมาถอดบนหรือไงฟะ!?
ผมจนปัญญาจะด่า ได้แต่ถอนหายใจแล้วปล่อยให้หมอนั่นวางผ้าเช็ดตัวแหมะลงบนแผงอก แล้วก็ต้องหงุดหงิดขึ้นมาอีกเมื่อหมอนนั่นไม่ได้เช็ดตัวแบบปกติที่คนทั่วไปทำกัน แต่ดันวางฝ่ามือทั้งสองข้างลงบนผ้าแล้วถูไปมาอย่างกับถูพื้น
ถูอย่างเดียวไม่เท่าไหร่ เน้นถูหัวนมอีก ถูจนจะเงาเป็นกระจกส่องหน้ามันได้อยู่แล้วเนี่ย!
ผมกัดฟันแน่น พยายามข่มอารมณ์ที่คุกรุ่นขึ้นมา รอให้มันทำให้เสร็จจะได้หลับๆ ไป ใช้เวลาพอสมควรทีเดียว พอเสร็จแล้ว เขาก็คว้าเสื้อมาใส่คืนให้ผม ผมรีบโบกมือไล่ทันที
“เสร็จแล้วก็ออกไป ที่นอนนายอยู่ข้างนอก”
คีธพยักหน้า แต่ยังไม่ยอมออกไป ทำให้ผมต้องจ้องเขาเขม็ง
“อะไรอีก”
“ร่างกายเจ้าอ่อนแอนัก หากไม่รีบฟื้นฟู เจ้าจะเป็นอันตรายได้”
“งั้นก็ส่งยามา จะได้กิน” ผมชี้นิ้วปัดๆ ไปยังกระปุกยาข้างๆ เตียง ทว่าสิ่งที่คีธส่งกลับมาก็คือนิ้วชี้ของเขา
“กินสารอาหารจากข้า ยาของเจ้าไม่ช่วยให้หายไวนัก”
ผมเหลือบมองปลายนิ้วชี้ที่ครั้งหนึ่งเคยดูดตอนสลบก็เบ้หน้าทันที
ฝันไปเถอะ! ใครมันจะไปยอมดูดกันวะ!
“ฉันจะกินยา” สุดท้าย ผมก็ปัดมือหมอนั่นทิ้ง ทำท่าจะลุกขึ้น เอื้อมมือไปหยิบยา
หากแต่ถูกคีธคว้าข้อมือเอาไว้ แล้วดันตัวลงไปให้นอนเหมือนเดิมโดยรั้งข้อมือข้างนั้นไว้เหนือหัวผม ไอ้กดลงนอนน่ะไม่เท่าไหร่ แต่นี่มันดันไปคว้าข้อมืออีกข้างมารวบกับอีกข้างไว้ด้วยมือเดียวเนี่ยมันคืออะไร!? อย่าบอกนะว่าขืนใจกินสารอาหารยังไม่พอ จะขืนใจบังคับให้ผมกินสารอาหารจากเขาอีกน่ะ!?
ผมดิ้นขลุกขลัก หนีการพันธนาการทันใด แต่ด้วยสังขารไม่เอื้ออำนวยทำให้ไม่อาจหลุดพ้นไปได้ ความจริงแล้ว ต่อให้สังขารเป็นปกติ ผมก็สู้แรงเขาไม่ได้อยู่แล้ว ทว่าถึงอย่างนั้นก็ต้องสู้ ไม่งั้นถูกหมอนี่บังคับดูดนิ้วแน่ๆ
แล้วสิ่งที่ผมไม่อยากให้เกิดก็ดันเกิดจริงๆ เสียด้วย เมื่อเขาว่าเสียงเรียบ
“หากเจ้าไม่กินแล้วเจ้าป่วยยาว เมื่อนั้นข้าจะลำบากเพราะเจ้าเป็นแหล่งอาหารของข้า รีบกินเสียจะได้พักผ่อน”
“ไม่เอาเว้ย!” ผมแหกปากลืมป่วยในนาทีนั้น แต่ไอ้จังหวะที่แหกปากนี่แหละ คีธก็ส่งปลายนิ้วชี้เข้าปากผมทันใด
“หากเจ้ากัดนิ้วข้า ข้าจะฆ่าเจ้า” บังคับอย่างเดียวไม่พอ ยังขู่ด้วย ทำเอาผมกลืนน้ำลายเอื้อก
“ดูดซะ อย่าต้องให้ข้าใช้กำลังไปมากกว่านี้”
ไม่รู้ทำไมผมถึงได้รู้สึกว่าหมอนี่ไม่ได้พูดเล่นแต่เอาจริง ผมจึงสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่
ดูดก็ดูดวะ!
คีธเหยียดยิ้มเล็กน้อยที่เห็นผมยอมจำนนแต่โดยดี บอกตรงๆ ว่าหมอนี่ตอนยิ้มเนี่ยดูดีเป็นบ้า ดีกว่าตอนทำหน้าตายเป็นไหนๆ แต่มันควรจะยิ้มในช่วงเวลาปกติต่างหากเว้ย ไม่ใช่ตอนกำลังบังคับขืนใจผมให้ดูดนิ้วแบบนี้!
น้ำรสหวานไหลเข้าปากผมทีละน้อย จริงๆ รสชาติมันก็ไม่ได้แย่อะไรหรอก ออกจะอร่อยด้วยซ้ำ คล้ายๆ กับน้ำหวานเฮลบลูบอยละลายน้ำอะไรเทือกนั้น แต่พอผมเหลือบไปเห็นสภาพตัวเองในกระจกเงาบานใหญ่บนตู้เสื้อผ้าที่อยู่ข้างเตียง ไอ้ความอร่อยก็อันตรธานหายไปทันที
เหมือนนางเอกหนังเอวีญี่ปุ่นที่กำลังถูกผู้ชายหื่นบังคับให้ดูดนิ้วฉิบเป๋งเลยเว้ย!
ผมอยากจะร้องไห้ออกมาก็ในตอนนี้ หมดกันศักดิ์ศรีหนุ่มเพลย์บอยที่สะสมมาทั้งชีวิต ทำไมผมต้องมาถูกไอ้มนุษย์ต่างดาวโฮโมฯ นี่จับกดด้วยก็ไม่รู้!
โอย...พระเจ้า ชีวิตจะแย่ไปไหน!
แต่ก็ต้องยอมรับว่าการกินสารอาหารจากเขาแบบนี้ มันทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นจริงๆ เรี่ยวแรงที่หดหายไปในตอนแรกเหมือนจะคืนกลับมาเล็กน้อย ทว่าผมก็ต้องได้สติเมื่อคีธโน้มหน้ามามองผมเสียใกล้จนลมหายใจอุ่นร้อนของเขาคลอเคลียอยู่บนหน้า
“ดีขึ้นมั้ยกวินทร์” เขาถามเสียงต่ำ ให้ผมพยักหน้ารับพร้อมกับความรู้สึกประหลาดที่โผล่มาในกายผมโดยไม่ทันตั้งตัว
จะ...ใจเต้น... ยิ่งเห็นใกล้ๆ อย่างนี้ หมอนี่หล่อไม่มีที่ติชะมัด หล่อจนขนาดผมที่เป็นผู้ชายยังอดชื่นชมไม่ได้ โดยเฉพาะดวงตาสีเทาสว่างนั่นที่จับจ้องผมอยู่ ดูยังไงก็เซ็กซี่เป็นบ้า... เอ๊ะเดี๋ยว! นี่ผมโดนหมอนี่ถ่ายทอดเชื้อโฮโมฯ ให้เข้าแล้วใช่มั้ยถึงได้คิดอะไรไร้สาระแบบนี้!?
ผมพยายามจะสะบัดหน้าหนีทันทีด้วยตกใจกับตัวเองที่คิดอะไรฟุ้งซ่าน แต่คีธก็ไม่ยอมให้หนี กระทั่งผ่านไปครู่ใหญ่ เขาถึงเป็นฝ่ายดึงมือออกเอง แล้วปล่อยผมออกจากพันธนาการ
“สีหน้าเจ้าดีขึ้นแล้ว แดงเรื่ออย่างนี้ แสดงว่าระบบเลือดหมุนเวียนดีขึ้น”
“เสร็จแล้วก็ออกไปได้แล้ว!” ผมแหวใส่ทันที ก่อนจะรีบตวัดผ้าห่มมาคลุมโปงแล้วพลิกตัวหนี
คีธมองผมอยู่ครู่หนึ่ง ก็เก็บข้าวของออกไป พอเสียงประตูดังขึ้นพร้อมกับแสงไฟที่ดับลง ผมก็โผล่หน้าออกจากผ้าห่ม ข่มก้อนเนื้อข้างซ้ายที่เต้นแรงเมื่อกี้ให้เป็นปกติเป็นพัลวัน
บ้าจริง... เผลอไปใจเต้นกับหมอนั่นได้ยังไงกันนะ

ออฟไลน์ zeroj

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 565
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
อย่าลืมแปะกฏของเล้าด้วยนะคะ  คนเขียน  >_<

ออฟไลน์ Rabity

  • #slytherinforlife
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 523
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-8
มาต่อๆชอบๆ

ออฟไลน์ rabiaang

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 16
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
สนุกมากกกกกกกกกกก

มากกกกกกกกก ค่ะ

ชอบทั้งพล็อต ภาษา คาแรคเตอร์ของหนุ่มๆ

ชอบมากค่ะ

มาต่ออีกเรื่อยๆนะคะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ  :katai4:

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
Episode 06: Lollipop[1]

ดูดนิ้วของหมอนั่นแค่ครั้งเดียวก็เกินจะเหลือรับประทาน แต่นี่ดูดถึงสองครั้ง! สองครั้งที่มาจากการยัดเยียดให้ดูดตอนผมไม่ได้สติในครั้งแรก และครั้งที่สองจากการถูกบังคับ ซึ่งไม่ว่าจะครั้งไหน มันก็คือการขืนใจทั้งสิ้น!
ผมสาบานกับตัวเองไว้ตั้งแต่ผ่านคืนมหาวิปโยคนั้นไว้เลยว่าจะไม่มีทางกลายร่างจากหนุ่มเพลย์บอยเป็นนางเอกหนังเอวีอีกแล้ว แม้ว่าไอ้น้ำใสๆ ที่ไหลจากปลายนิ้วหมอนั่นจะทำให้ผมมีอาการดีขึ้นกว่าเดิมก็ตาม แต่ก็ดีขึ้นนิดเดียวเท่านั้นแหละ พอวันใหม่มาถึง ผมก็นอนแห้งเป็นผักจนหมอนั่นต้องมายัดเยียดให้ผมดูดนิ้วอีกเป็นครั้งที่สาม
ถามว่าผมดูดมั้ย... บอกเลยว่าไม่...
ไม่เหลือ! โดนมันจับยัดปากแถมขึงพืดอย่างนั้น ใครมันจะไปสู้ได้! ใช้ให้มันไปซื้ออาหารให้ มันก็ไม่ไป เอะอะก็จะให้ดูดนิ้วอย่างเดียว ดูดจนมันจะเอานิ้วทะลวงไปยังคอหอยได้อยู่แล้ว!
แต่การป่วยมันก็ดีอยู่อย่างนึงตรงที่พอผมไม่สบาย หมอนั่นก็เลยยกเลิกการดูดสารอาหารจากผมไปชั่วคราว ผมก็เลยไม่ต้องถูกมันบังคับให้ดูดนิ้ว แล้วก็ถูกมันดูดปากควบคู่กันไป และไอ้การรับสารอาหารจากหมอนั่นนี่แหละที่ทำให้ผมแงะตัวเองออกจากเตียงได้ กระนั้นอาการก็ยังไม่ดีขึ้นมากนัก แค่อยู่ในระดับที่พาตัวเองออกไปสูดอากาศนอกห้องได้เท่านั้น และเหมือนริชาร์ดจะรู้ดีเสียด้วยว่าผมอาการดีขึ้นแล้ว เพราะพอรุ่งเช้ามาถึง หมอนั่นก็โทรสายตรงมาเร่งผมทันที เรื่องที่เร่งก็คือการพาคีธไปฟิตติ้งเสื้อผ้านั่นแหละ ผมก็เลยต้องระเห็จพาหมอนั่นไปที่ห้องชมรมหนังมหา’ลัยเพื่อไปลองเสื้อผ้า
พอมาถึงห้องชมรม เสียงเอะอะเจี๊ยวจ๊าวของสมาชิกชมรมที่ดังลอดประตูออกมาก็ทำให้ผมรู้เลยว่าตอนนี้ทุกคนวุ่นวายกันเพียงใด ยิ่งไปกว่านั้นคือพอเปิดประตูเข้าไป คนจำนวนมากที่อยู่ฝ่ายคอสตูมก็วิ่งวุ่นจัดเสื้อผ้าให้บรรดานักแสดงลองใส่กันจ้าละหวั่น ผมปรายตามองห้องชมรมที่วันนี้ถูกจัดฉากเป็นห้องลองเสื้อผ้าเล็กๆ เหมือนในห้างอย่างไม่สนใจนัก ก่อนจะเรียกรุ่นน้องผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งจำได้ดีว่าเป็นคนเดียวกับลูกมือของคีธที่บรีฟบทให้นักแสดงที่มาแคสติ้งบนเจ้าชายต่างดาวในวันนั้น แล้วฝากคีธที่เดินตามหลังมาไปให้เธอจัดการต่อ ก่อนจะปลีกวิเวกมานั่งหลบมุมด้วยรู้สึกว่าตัวยังรุมๆ
สีหน้าบอกบุญไม่รับและท่าทางอิดโรยของผมทำให้ไม่มีใครคนไหนกล้าเข้ามาทักทายผมเลยแม้แต่น้อย มันก็ดีสำหรับผมนั่นแหละเพราะผมจะได้ไม่ต้องรำคาญใจ แค่คีธคนเดียวก็ทำผมจะประสาทเสียจะตายอยู่แล้ว
หากแต่นั่งได้ไม่เท่าไหร่ คีธที่ถูกพาตัวไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องลองเสื้อเล็กๆ ก็กลับมาพร้อมกับรุ่นน้องของริชาร์ดคนนั้น ผมเหลือบมองเขาแล้วก็ต้องส่ายหน้ากับความประหลาดของเสื้อผ้า ก็เสื้อผ้าที่เขาใส่เป็นหลักมันเป็นชุดบอดี้สูทสีดำที่มีผ้าคลุมยาวสีแดงปกคอตั้งและรองเท้าบูทหนังสีดำยาวเต็มแข้งเป็นองค์ประกอบ ดูยังไงก็น่าจะเป็นชุดสำหรับรับบทเป็นแดร็กคิวล่ามากกว่าเจ้าชายต่างดาว แถมยังไร้เซ้นต์ด้านแฟชั่นสุดๆ จัดมาได้ยังไง สีโทนเดียวกันทั้งชุด ดีที่รองเท้าบูทยังมีดิ้นทองพอให้มีลวดลายแปลกตาบ้าง แล้วหน้าตาคีธก็ดีพอที่จะกลบความบกพร่องของชุดนั้นไปได้ ยิ่งผ่านการแต่งหน้าทำผมมาแล้ว ก็ยิ่งดูดีอย่างไม่มีที่ติ ไม่อย่างนั้น ผมคงไม่รอช้า ไปด่าคนจัดเสื้อผ้าให้รู้แล้วรู้รอดไปแล้ว
“เควินคะ เดี๋ยวช่วยรับช่วงพาคีธไปที่ห้องสตูดิโอข้างๆ ได้มั้ยคะ จะได้ถ่ายรูปไว้ทำโปสเตอร์น่ะค่ะ” ลูกมือของริชาร์ดไหว้วานผมหน้าตาเฉยโดยไม่ดูสีหน้าผมเลยว่าอยู่ในอารมณ์อยากช่วยหรือเปล่า
พอผมไม่ตอบรับ เอาแต่มองหน้าเธออย่างเคืองๆ เธอก็ย้ำขึ้นอีกครั้งจนผมต้องชักสีหน้าใส่
“แล้วไอ้ริชาร์ดมันไปไหน”
“ไปประชุมเรื่องโลเคชั่นที่ใช้ถ่ายทำน่ะค่ะ อีกสักพักคงจะไปที่สตูดิโอ”
ผมล่ะอยากจะด่าไอ้เพื่อนเวรนี่จริงๆ งานก็ไม่ใช่งานผมแต่ต้องมารับผิดชอบโน่นนี่อย่างกับเป็นงานของตัวเอง
ผมอยากจะปฏิเสธลูกมือของริชาร์ดเหมือนกัน แต่พอเห็นเธอถูกเรียกซ้ายทีขวาทีแล้ว ผมก็อดสงสารไม่ได้ ยอมรับปากส่งๆ ไป
“เออๆ เดี๋ยวจะจัดการให้”
“ขอบคุณมากค่ะ!” ยัยนั่นตอบรับดีใจเสียงหลง ก่อนจะขอตัวไปจัดการธุระปะปังในส่วนอื่นต่อ ทิ้งให้ผมกับคีธมองหน้ากันอยู่ครู่หนึ่งกระทั่งหมอนั่นทำลายความเงียบออกมา
“เสื้อผ้ามนุษย์ต่างดาวในสายตาของชาวดาวเคราะห์สีน้ำเงินช่างล้าสมัยนัก เสื้อผ้าของชาวยูนิกม่าทันสมัยกว่าเป็นไหนๆ”
“เออ ทันสมัยมาก ทันสมัยจนล้ำอนาคตไปไกลละไอ้ชุดบอดี้สูทสีเงินเลื่อมของนายน่ะ ถ้ามีปีกด้วย ฉันคงเข้าใจว่านายเป็นแมลงทับแทนมนุษย์ต่างดาวไปแล้ว” ผมค่อนแคะ
คีธย่นคิ้วไม่เข้าใจเล็กน้อยว่าแมลงทับหมายถึงอะไร แต่ผมไม่สนใจ นอกจากผุดลุกขึ้นแล้วเดินนำเขาออกจากห้องให้เขาเดินตามต้อยๆ เท่านั้น
 
ห้องสตูดิโอที่ลูกมือริชาร์ดว่าอยู่ข้างๆ ห้องชมรมนั้น จริงๆ แล้ว บ้านผมไม่เรียกว่าข้างๆ เพราะมันอยู่ห่างกันคนละโยชน์ เรียกได้ว่าเดินออกจากห้องชมรมมา ก็ต้องเดินเลาะไปตามทางเดินไปจนสุดทางของตึกแล้วเลี้ยวขวาถึงจะเจอห้องสตูดิโอ ผมอยากกลับถ่อสังขารกลับไปกระชากยัยนั่นมาตะคอกใส่หน้าเหมือนกันว่า ‘นี่เรียกว่าข้างๆ บ้านหล่อนเหรอ!’ แต่ผมไม่ลงทุนขนาดนั้น ได้แต่บ่นในใจไปตามเรื่องแล้วผลักประตูบานเขื่องเข้าไป
ข้างในก็เหมือนกับห้องสตูดิโอทั่วๆ ไป ห้องสีดำ มีฉากสีขาวและไฟสำหรับถ่ายภาพอยู่กลางห้อง ผมแปลกใจนิดหน่อยที่ข้างในไม่มีใครอย่างที่คิดไว้ในตอนแรก ผมเลยต้องรับหน้าที่มาเปิดห้องเปิดไฟให้อีก รับรองเลยว่าถ้าไอ้ริชาร์ดโผล่หน้ามาล่ะก็ ผมด่ามันเปิงไม่ไว้หน้าแน่ที่ทำให้ผมต้องมาลำบากขนาดนี้
พอจัดการกับห้องเสร็จ ผมก็พาตัวเองเดินมาทรุดตัวนั่งบนเก้าอี้มุมห้อง ความวิงเวียนและพิษไข้ยังคงเล่นงานเล่นงานผมอย่างต่อเนื่องจนผมชักจะรู้สึกว่าร่างกายตัวเองเริ่มฝืนสังขารไม่ไหวแล้ว
แย่ชะมัด นี่คงเป็นผลพวงจากการเที่ยวกลางคืนหนักสินะ ไม่สิ... ไม่ใช่เที่ยวกลางคืนหนัก เป็นเพราะถูกไอ้บ้าหน้าตายนั่นดูดปากหนักไปต่างหาก!
ผมก้มหน้าลง ยกแขนข้างหนึ่งขึ้นวางบนหัวเข่าแล้วเอายันหน้าผากตัวเองไว้ ผมไม่เคยรู้สึกว่าหัวตัวเองหนักได้เท่าตอนนี้เลย อยากกลับห้องไปนอนชะมัด
และเพราะท่าทางจะเป็นจะตายของผม ทำให้คีธที่ยืนมองอยู่ต้องทำลายความเงียบออกมา
“อาการป่วยของเจ้าดูไม่ค่อยดีนัก”
“เพราะใครล่ะ” ผมว่าเสียงเขียวเบาๆ ซึ่งแน่นอนว่าเป็นคำถามที่ไม่ได้ต้องการคำตอบ หากแต่คีธกลับตอบออกมาหน้าตาเฉย
“เพราะข้า”
“ไม่ได้เล่นเกมยี่สิบคำถามนะเว้ย อย่ามากวน” ผมเงยหน้าว่าเสียงดุๆ ทว่าก็ไม่ได้ทำให้คีธสำนึกได้สักนิด มิหนำซ้ำ ยังพูดประโยคที่ทำให้ผมต้องย่นคิ้วขึ้นมาอีก
“หากเจ้าอยากหาย ก็จงรับสารอาหารจากข้าซะ” ไม่ว่าเปล่า มันยังยื่นนิ้วชี้มาตรงหน้าผมอีกด้วย
ผมเงยหน้ามองนิ้วชี้เรียวที่ดูดไปแล้วนับครั้งไม่ถ้วนด้วยสีหน้าพะอิดพะอมเล็กน้อย ก่อนจะมองเลยขึ้นไปยังใบหน้าหล่อๆ อย่างหัวเสีย
“บอกเลยว่าฉันไม่ดูดนิ้วนายอีกแล้ว ดูปากนะ ไม่-ดูด!” ผมตะคอก ก่อนจะไอโขลกจนตัวโยน
คีธมองผมนิ่ง แวบหนึ่งที่ผมเห็นสีหน้าเป็นห่วงเป็นใยก่อนที่มันจะหายไปในพริบตา
“ก็เลือกเอาแล้วกันว่าจะดูดเองหรือต้องให้บังคับอีก”
ได้ยินคำว่า ‘บังคับ’ ความมึนในหัวผมก็อันตรธานหายไปทันใด ผมมองหน้าหมอนั่นพลางเบิกตาโต ขณะที่หมอนั่นยังคงไม่แสดงสีหน้าใดๆ ออกมา แต่ก็รับรู้ได้ว่าหมอนั่นพูดจริง แล้วก็เอาจริงด้วยถ้าผมไม่ยอม ดูจากวันอื่นๆ ก็น่าจะรู้แล้วว่าผมจะตกอยู่ในชะตากรรมแบบไหนในอีกไม่กี่นาทีต่อไป
ไอ้ดูดในห้องน่ะมันไม่เท่าไหร่ แต่ไอ้ดูดนอกสถานที่นี่มันก็เกินไปมั้ง!
“แต่นี่มันห้องสตูดิโอนะเว้ย!” ผมก็เลยอ้างเรื่องสถานที่ไป
หากแต่มันไม่ได้ผล เพราะคีธยังคงมองผมด้วยสายตาแบบเดิมแล้วว่าออกมาเรียบๆ
“ที่ไหนก็บังคับได้ถ้าข้าจะทำ”
“แล้วถ้ามีคนมาเห็นจะทำยังไง” ผมเริ่มโวยวาย แต่ก็อย่างที่บอกว่าโวยวายไปก็เท่านั้นแหละ เพราะหมอนั่นไม่ฟัง พูดแต่สิ่งที่ตัวเองอยากจะพูดเท่านั้น
“เลือกมาว่าจะดูดหรือไม่ดูด”
ผมเม้มปากแน่น มองหน้าหมอนั่นที่ดูก็รู้ว่าถ้าผมไม่ตัดสินใจว่าจะดูดเอง ผมต้องโดนมันขืนใจให้ดูดนิ้วอีกแน่ ผมเลยต้องรับปากไปอย่างไร้ทางเลือก
“เออ! ดูดก็ดูด”
สิ้นเสียง คีธก็ส่งนิ้วเข้าปากผมทันใด ผมรีบคว้ามือหมอนั่นไว้ก่อนที่ปลายนิ้วจะพุ่งเข้าไปในปาก แล้วว่าอย่างหงุดหงิด
“ไม่ต้องยัด เดี๋ยวจัดการเอง”
คีธเลิกคิ้วเล็กน้อย ชูนิ้วชี้รอให้ผมดูด ผมช่างใจครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็ยอมอ้าปากงับเอาปลายนิ้วหมอนั่นเข้าไปอยู่ดี รสหวานปะแล่มไหลเข้าปากทีละน้อย มันทำให้ผมรู้สึกมีกำลังขึ้นกว่าเดิมพอสมควร กระนั้นก็ไม่ได้ทำให้น้ำหนักที่หัวเบาลงได้เลย ดูดไปได้สักพัก ผมก็ต้องยกแขนข้างหนึ่งขึ้นมาวางบนเข่าแล้วยันหัวตัวเองเอาไว้อีกครั้ง
ตอนแรกผมก็ดูดไปแบบไม่คิดอะไร แต่พอรู้สึกว่าคีธขยับตัวเข้ามาใกล้ ผมก็รู้สึกตัวเอาในตอนนี้ว่าระดับสายตาตัวเองอยู่กับระดับเป้ากางเกงเขาพอดี
จะเลื่อนเป้าเข้ามาหากูเพื่อ!?
ผมลำสักน้ำลายตัวเอง คายปลายนิ้วหมอนั่นออกจากปากทันใด
“ทำบ้าอะไรของนาย!” ผมโวยวายทันที
“ข้าเห็นเจ้าดูดไม่ถนัดก็เลยกระเถิบเข้ามาใกล้ๆ” หมอนั่นดูเหมือนจะรู้ว่าผมโวยวายเรื่องอะไรเลยตอบออกมาหน้าตาย ขณะที่ผมผลักหมอนั่นออกห่างทันใด
“เอาเป้ามาใกล้จนจะเกยหน้าฉันแบบนี้ เดี๋ยวคนอื่นทะเล่อทะล่าเข้ามาเห็นก็นึกว่าฉันกำลังกินโลลิป๊อปของนายอยู่พอดี”
“โลลิป๊อป?”
“เออ โลลิป๊อปนั่นแหละ” ผมไม่อยากจะอธิบายเลยว่าไอ้โลลิป๊อปที่หมายถึงคือจุ๊กกรู้ของหมอนั่น เลยได้แต่บอกปัดๆ ไป
ทว่าหมอนั่นก็ทำให้ผมเกือบจะลืมไปว่าตัวเองป่วยทันใด เมื่อจู่ๆ ก็ดึงมือที่ให้ผมดูดกลับแล้วเลื่อนไปชี้เป้าตัวเอง
“โลลิป๊อป?”
มึงไม่ต้องย้ำก็ได้!
ผมปวดกะโหลกหนักกว่าเดิมก็ในตอนนี้ รีบดึงมือหมอนั่นออกจากเป้ากางเกงแล้วเอากลับมาดูดเพื่อกลบเกลื่อนสิ่งที่พูดไปเมื่อครู่ทันใด
ดีที่คีธไม่ถามอะไรต่อ ปล่อยให้ผมดูดนิ้วดังเดิม หากแต่ครั้งนี้ผมดูดด้วยท่าทางหวาดระแวง เหลือบมองไปยังประตูเป็นระยะๆ ไปด้วย ที่หวาดระแวงก็ไม่ใช่อะไรหรอก กลัวว่าจะมีคนโผล่ทะเล่อทะล่าเข้ามาเห็นแล้วเข้าใจผิดว่าผมกำลังกินโลลิป๊อปของหมอนี่อยู่นั่นแหละ คีธก็คงจะเห็นผมมีท่าทีแปลกๆ ไปก็เลยโพล่งขึ้น
“หากเจ้าเป็นกังวล ข้าจะกำบังให้” แล้วมันก็ใช้มือข้างที่ว่างดึงชายผ้าคลุมขึ้นมาคลุมหัวผมเอาไว้
ผมรีบดึงผ้าคลุมนั่นออก แล้วแหวใส่หมอนั่นทันที
“ทำบ้าอะไรของนายเนี่ย!”
“ก็เจ้าเป็นกังวล ข้าก็เลยกำบังให้”
“ถ้าจะกำบังอย่างนี้ล่ะก็ไม่ต้องเลย คลุมไว้แบบนี้นี่คนเข้ามาเห็นจะได้ยิ่งเข้าใจผิดไปใหญ่”
“ก็ยังดีกว่าให้คนอื่นมาเห็นเจ้าจังๆ แล้วกัน” หมอนั่นไม่ฟัง แถมยังยอกย้อน
ยอกย้อนอย่างเดียวไม่พอ ยังตลบชายผ้าคลุมมาคลุมหัวผมอีกรอบ ผมทำท่าจะมุดออก แต่ไม่ทันแล้ว หมอนั่นเอามือข้างที่ว่างกดหัวผมผ่านผ้าคลุมให้ลงต่ำ ขณะที่อีกมือหนึ่งใต้ผ้าคลุมเลื่อนมายัดปลายนิ้วเข้าปากผม ตอนนี้สภาพผมก็เลยกลายเป็นผีผ้าคลุมกินโลลิป๊อปไปเรียบร้อย
แน่นอนว่าผมไม่ยอมตกอยู่ในสภาพน่าสังเวชอย่างนี้แน่ โดยเฉพาะอยู่ข้างนอกที่รโหฐานอย่างนี้!
ผมขืนตัว พยายามสะบัดหัวตัวเองออกจากฝ่ามือใหญ่ แต่ไม่ว่าจะออกแรงยังไงก็ไม่อาจสู้แรงของคีธได้ ผมเลยตัดสินใจว่าจะกัดนิ้วเขาให้เขายอมปล่อย ทว่าคีธดันรู้ทัน พูดขึ้นมาก่อน
“เคยบอกไว้แล้วว่าถ้ากัดนิ้วข้า ข้าจะฆ่าเจ้า”
งั้นก็ฆ่ากูเลยเถอะ ข่มเหงกันถึงขนาดนี้แล้วอย่าไว้ชีวิตกันอีกเลย!
ถูกขู่อย่างนั้น ผมก็เลยไม่กล้ากัด เอาแต่ฝืนเงยหน้าขึ้นจากมาแทน จนกลายเป็นว่าพอผมผงกหัวขึ้น คีธก็กดหัวผมลงมาอีก แล้วก็เป็นอย่างนี้อยู่ครู่ใหญ่จนผมชักจะคิดว่าสภาพของตัวเองในตอนนี้ เหมือนกับกำลังถูกคีธบังคับให้ทำอะไรกับโลลิป๊อปของเขาอยู่ก็ไม่ปาน
มันจะอุบาทว์เกินไปแล้ว!
ผมสู้สุดกำลัง พยายามคายนิ้วของเขาที่อยู่ในปากออกจนน้ำลายเปรอะเปื้อนใบหน้าไปหมด ขณะที่คีธเองก็ไม่ยอมปล่อยผมไปง่ายๆ ซ้ำยังย้ำขึ้นมาอีก
“ดูดจนกว่าเจ้าจะมีอาการดีขึ้น อย่าขัดขืน”
มันควรจะขัดขืนมั้ยเล่า! อยู่ในสภาพนี้เนี่ย!
แล้วสวรรค์ก็ยังไม่สาแก่ใจกับความอุบาทว์ที่ประทานให้ผม ยังส่งใครบางคนเปิดประตูผางเข้ามาตอนที่ผมกำลังถูกคีธกดหัวลงอีก
เสียงพูดคุยนั้นหยุดชะงักทันที จังหวะเดียวกับที่คีธคลายแรงจากการกดเพื่อหันไปมอง ผมสะบัดตัวหลุดออกจากผ้าคลุมก็ในตอนนี้ พอเห็นว่าเป็นริชาร์ดกับลูกมืออีกสองคนที่ทะเล่อทะล่าเข้ามา ผมก็อ้าปากค้าง ขณะที่พวกหมอนั่นก็อ้าปากค้างไปเหมือนกัน
อ้าปากค้างอย่างเดียวไม่พอ ใครบางคนยังทำเอกสารที่ถืออยู่ในมือตกลงพื้นเพราะอึ้งงันอีกด้วย
ริชาร์ดได้สติเป็นคนแรก รีบดันคนในทีมให้ออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว พอเสียงประตูปิดดังขึ้นเท่านั้น ผมก็ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ขึ้นมาทันที ทว่ายังไม่ทันจะได้หลั่งน้ำตา ริชาร์ดก็เปิดประตูกลับเข้ามาอีกครั้ง พร้อมกับชี้นิ้วไปที่มุมปากของตัวเองแล้วชี้มายังผม เป็นสัญญาณให้รู้ว่าผมควรจะเช็ดอะไรบางอย่างออกจากปาก
ซึ่งอะไรบางอย่างเนี่ย มันคือน้ำลายผมเอง แต่ไอ้ริชาร์ดมันคิดว่าเป็นอย่างอื่นไปถึงไหนต่อไหนแล้วโว้ย!
ริชาร์ดชูมือขึ้นห้านิ้วเป็นสัญญาณให้รู้ว่าอีกห้านาทีจะกลับมา แล้วก็ออกไป ทิ้งผมไว้กับคีธราวกับบอกว่าให้รีบจัดการให้เสร็จอย่างไรอย่างนั้น
“บ้าฉิบ...” ผมยกมือขึ้นลูบหน้าลูบตา สบถออกมาอย่างเหลืออด
หากแต่คีธยังไม่รู้สึกตัว ยังมีหน้ามาชูนิ้วชี้มาให้อีก
“ดูดต่อสิ เจ้ายังอาการดีขึ้นไม่มากไม่ใช่รึ”
ผมสะบัดหน้าหนี ไม่อยากจะคุยกับมันเลยให้ตาย กี่ครั้งแล้วก็ไม่รู้ที่ถูกมันทำอะไรบ้าๆ จนคนอื่นเข้าใจผิดอย่างนี้ หากแต่การที่ผมปฏิเสธนั้น กลับทำให้คีธย่นคิ้วแล้วว่าเสียงเนือยๆ
“บอกแล้วว่าหากเจ้าไม่ดูดเอง ข้าจะบังคับ”
แล้วมันก็บังคับจริงๆ ด้วย สิ้นเสียง มันก็เอามืออีกข้างคว้าท้ายทอยผมให้โน้มต่ำลงมา ขณะที่มืออีกข้างก็จัดการยัดนิ้วเข้าปาก ผมอยากจะร้องไห้ลั่นก็ตอนนี้
อนาคตนางเอกเอวีญี่ปุ่นแท้ๆ เลย บัดซบเอ๊ย!
 

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
Episode 06: Lollipop[2]

ริชาร์ดไม่ได้กลับมาในห้านาทีให้หลังอย่างที่บอก ผมเพิ่งเข้าใจตอนนี้ว่าที่หมอนั่นยกมือขึ้นอย่างนั้น ไม่ได้หมายความว่าห้านาที แต่เป็นห้าสิบนาทีต่างหาก หมอนั่นคงจะคิดว่าหลังจากผมกินโลลิป๊อปเสร็จแล้ว ผมคงจะเปิดสตูดิโอถ่ายหนังผู้ใหญ่ต่อล่ะมั้งถึงได้มาช้าขนาดนี้ และพอหมอนั่นกลับเข้ามาพร้อมกับพรรคพวก ทุกคนที่เห็นเหตุการณ์สุดอัปยศก็ทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกทันที ผมเองก็เช่นกัน
ก็จะให้ไปบอกพวกมันยังไงว่าไม่ได้ทำอะไรอย่างที่พวกมันคิดในเมื่อท่าทางมันให้ซะขนาดนั้นน่ะ!
โชคดีที่เจ้าพวกลูกมือของริชาร์ดเป็นผู้ชายและสนิทกับผมพอสมควร ผมเลยมั่นใจได้ว่าพวกนั้นคงจะไม่เอาเรื่องที่เห็นไปบอกใคร ยิ่งมีริชาร์ดคอยกำชับแกมขู่ว่าจะไล่ออกจากชมรมหากแพร่งพรายความลับด้วยแล้ว ผมก็เบาใจขึ้นมาเล็กน้อย แต่กระนั้นก็กระอักกระอวลอยู่ดีที่ต้องทำทีวางเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งๆ ที่มันมีบางอย่างเกิดขึ้นน่ะ จะมีก็แต่ริชาร์ดกับคีธนี่แหละที่ปรับตัวได้เร็ว สำหรับคีธน่ะ มันไม่เคยรู้สึกรู้สากับสิ่งที่ตัวเองทำอยู่แล้ว แต่สำหรับริชาร์ด หมอนั่นคงพยายามทำให้ผมไม่อึดอัดล่ะมั้ง
พวกนั้นใช้เวลาไม่นานในการถ่ายฟิตติ้ง ผมก็นั่งตัวลีบ มองคีธกับนักแสดงคนอื่นๆ ถ่ายรูปกันไป ทั้งๆ ที่ในใจโคตรอยากจะหนีกลับ ไม่ก็มุดดินหนีไปที่ไหนสักที่แทบแย่ เพราะถึงลูกมือของริชาร์ดจะไม่พูด แต่สายตาที่มองมายังผมเป็นระยะๆ ก็ทำให้ผมอยากเข้าไปตบกะโหลกคีธสักป้าบสองป้าบ โทษฐานทำชาวบ้านชาวเมืองเข้าใจผิด
เข้าใจผิดว่าเป็นโฮโมฯ นี่ยังไม่เจ็บเท่าถูกเข้าใจผิดว่าเป็นโฮโมฯ ฝ่ายรับนะ รู้สึกเสียศักดิ์ศรีชะมัด
นานพอดูกว่าการถ่ายภาพฟิตติ้งสำหรับทำโปสเตอร์จะสิ้นสุดลง ริชาร์ดสั่งให้นักแสดงทุกคนแยกย้ายกันกลับได้ ขณะที่หมอนั่นเรียกทีมงานบางคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเขียนบทมาประชุมต่อในสตูดิโอนั้น
“ฉันกลับก่อนนะ” พอเห็นว่ากลับได้แล้วก็ไม่รอช้า ไปบอกลาริชาร์ดที่กำลังกางบทไว้บนโต๊ะตัวหนึ่งทันที
“เฮ้ย กลับแล้วเหรอ ฉันยังไม่ได้คุยกับนายเลย” หมอนั่นทำหน้าตกใจเล็กน้อยที่ผมไม่อยู่รอคุยด้วย
ใครมันจะไปอยู่คุยด้วยไหววะ โดนเห็นในสภาพแบบนั้นคงจะมีอารมณ์อยู่เสวนาด้วยหรอก
“ฉันไม่ค่อยสบาย จะกลับไปนอน” ผมว่าส่งๆ ก่อนที่ริชาร์ดจะหรี่ตาลงอย่างเจ้าเล่ห์
“กลับไปนอน หรือว่าจะกลับไปต่อ”
“ต่อบ้านมึงเถอะไอ้เจ๊ก” ผมสวนเป็นภาษาไทยกลับไปทันที ก็ไอ้ต่อที่หมอนั่นว่ามันหมายถึงเรื่องใต้สะดือน่ะสิ
ริชาร์ดหัวเราะในลำคอน้อยๆ ไม่รู้หรอกว่าผมพูดว่าอะไร แล้วก็ไม่สนใจด้วย ก่อนหันไปให้ความสนใจกับคนอื่น คนอื่นที่ว่าก็คือลูกทีมของหมอนั่นที่มาเห็นผมกับคีธนั่นแหละ พวกนั้นก็ดูท่าไม่อยากจะให้ผมอยู่ต่อสักเท่าไหร่นัก คงจะทำตัวไม่ถูกเหมือนกันที่จู่ๆ เห็นรุ่นพี่ที่ได้ชื่อว่าเป็นเพลย์บอยก้มๆ เงยๆ อยู่หน้าเป้าพระเอกหนังของพวกมันน่ะ
“เอาเป็นว่าฉันกลับก่อนแล้วกัน” ผมตัดบทเอาดื้อๆ ไม่สนใจริชาร์ดแต่อย่างใด หากแต่ริชาร์ดก็คว้าแขนผมเอาไว้ ก่อนจะว่าขึ้น
“ขอห้านาที ฉันอยากปรึกษาเรื่องบทกับคีธสักหน่อย”
แล้วมันเกี่ยวอะไรกับกูวะ!
ผมเกือบจะตะโกนใส่หน้ามันแล้ว ถ้าหากว่าคนที่หมอนั่นอยากคุยด้วยไม่เดินผ่าเข้ามากลางวงเสียก่อน ริชาร์ดเลยผละจากผมไปให้ความสนใจคีธทันที
“เออคีธ ว่าจะถามความเห็นหน่อยน่ะ”
“ความเห็น?”
“เรื่องรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ของเจ้าชายต่างดาว” ริชาร์ดว่า
คีธเลิกคิ้วข้างหนึ่งเล็กน้อยเป็นเชิงให้หมอนั่นถาม ก่อนที่ริชาร์ดจะคว้ากระดาษที่จดข้อมูลต่างๆ ออกมาร่ายยาว
“ฉันเขียนว่าเจ้าชายต่างดาวเนี่ยมาจากดาวที่มีวิทยาการสูงที่สุดในจักรวาล ดาวของเจ้าชายอยู่ห่างจากโลกไปประมาณพันล้านปีแสง เดินทางมาที่โลกด้วยยานอวกาศที่มีความเร็วเหนือแสง ความเร็วในการเดินทางในห้วงอวกาศของยานอยู่ที่ประมาณหนึ่งปีแสงต่อวัน นายว่าเป็นไงบ้าง”
คีธนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะว่าเสียงเรียบ “ความเร็วยานเหนือแสงที่เดินทางได้แค่หนึ่งปีแสงต่อวันช้ามากนะเจ้ามนุษย์ หากเจ้าท่องอยู่ในอวกาศด้วยยานความเร็วเท่านั้น จากดาวดวงนั้นกว่าจะมาถึงดาวของเจ้า มีหวังคงได้สิ้นอายุขัยก่อนจะมาถึงแน่”
“งั้นเหรอ แต่ฉันว่ามันเร็วแล้วนะ” ริชาร์ดทำท่าคิด ให้คีธได้ว่าขึ้นมาอีก
“เร็วสำหรับพวกเจ้าที่วิทยาการยังไม่ก้าวหน้า ข้าพอรู้ว่ามายานของพวกเจ้าที่เรียกว่าจรวดสามารถเดินทางในอวกาศด้วยความเร็วประมาณ 27,000 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งนั่นหมายความว่าการเดินทางต่อวัน พวกเจ้าสามารถเดินทางด้วยความเร็วแค่ 648,000 กิโลเมตรเท่านั้น  การเดินทางด้วยความไวแสงเพียงหนึ่งปีแสง หากเทียบกับยานจากดาวที่มีวิทยาการสูงที่สุดในจักรวาล เรียกได้ว่าวิทยาการนั่นเชื่องช้ากว่าการเคลื่อนไหวของปรสิตอวกาศเสียอีก ความเร็วระดับนั้น เชื่อได้เลยว่าเจ้าคงหนีแรงดึงดูดจากหลุมดำไม่พ้น อย่าว่าแต่หลุมดำเลย แม้แต่ปรสิตอวกาศก็อาจจะหนีไม่พ้นด้วยซ้ำ”
“ก็จริงแฮะ คิดไปคิดมาก็คงจะช้าอย่างที่นายพูด” ริชาร์ดทำท่าเหมือนจะคิดได้ “แล้วนายคิดว่าฉันควรจะเปลี่ยนแปลงยังไงดี เอาแบบที่คนดูดูแล้วรู้สึกเชื่อว่าเจ้าชายมาจากดาวที่มีวิทยาการสูงที่สุดในจักรวาลจริงๆ น่ะ”
พอเปิดทางให้แบบนี้ คีธก็ได้ทีร่ายยาวออกมาเป็นมหากาพย์พลัน
“จริงๆ แล้ว ดาวยูนิกม่าของข้าได้ชื่อว่าเป็นดาวที่มีวิทยาการสูงที่สุดในจักรวาล ดังนั้น ยานของดาวข้าจะมีความเร็วอยู่ที่หนึ่งพันปีแสงต่อวัน ขณะที่ยานขนาดเล็กจะมีความเร็วอยู่ที่หนึ่งร้อยปีแสงต่อวัน ส่วนความไกลของดาวข้าและดาวของเจ้าห่างกันอยู่สิบห้าพันล้านปีแสง กระนั้นการเดินทางมาดาวของเจ้า ความเร็วเหนือแสงขนาดนั้นก็ไม่อาจมาถึงดาวของเจ้าในเร็ววันได้ พวกข้าจำต้องใช้รูหนอนในการเดินทาง กว่าข้าจะมาถึงดาวของเจ้าได้ ข้าต้องเดินทางในรูหนอนเพื่อย่นระยะเวลา รูหนอนที่มีพิกัดอยู่ใกล้ดาวของเจ้าที่สุดอยู่ห่างไปสี่หมื่นปีแสง ฟังดูเหมือนจะไม่ไกล แต่ข้าก็ต้องใช้เวลาถึงปีครึ่งในการมาถึงที่นี่ หากไม่รวมระยะเวลาที่ร่อนเร่อยู่ในอวกาศอีกสองปีครึ่ง รวมทั้งสิ้น ข้าเดินทางในอวกาศมายังดาวของเจ้าเป็นเวลาสี่ปี สรุปได้ว่า ต่อให้มีวิทยาการสูงเพียงใด การเดินทางในอวกาศก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก หากเจ้าต้องการจะใช้ข้อมูลของดาวที่มีวิทยาการสูงสุดในจักรวาลแล้ว ข้อมูลจากดาวข้านับเป็นข้อมูลที่ดีและสมจริงที่สุด เสียดายนักที่ข้าไม่รู้ข้อมูลของพวกเซนไทน์ ไม่อย่างนั้นคงจะแนะนำเจ้าได้มากกว่านี้เพราะพวกนั้นก็มีวิทยาการสูงไม่ต่างจากพวกข้าเช่นกัน”
สิ้นเสียง ทั้งริชาร์ด ทั้งผมและลูกทีมที่ฟังอยู่ก็อ้าปากค้างไปทันที
สำหรับผม บอกได้เลยคำเดียวว่าอ้วกแตก! พูดอะไรของมันวะ ไม่เห็นจะเข้าใจสักนิด!
แต่สำหรับกูรูเอเลี่ยนอย่างริชาร์ดแล้ว หมอนั่นก็อึ้งได้แค่แป๊บเดียวเท่านั้นแหละ ก่อนจะยิ้มร่าแล้วตบบ่าคีธเป็นการใหญ่
“เจ๋งว่ะเฮ้ย คำนวณเป๊ะแบบนี้เอาใจไปเลย ขอยืมข้อมูลมาใช้เลยนะ”
คีธพยักหน้ารับพลางหยักยิ้มขึ้นน้อยๆ ก่อนจะอธิบายสิ่งที่พูดไปเมื่อกี้ซ้ำอีกรอบ ให้ริชาร์ดกับพรรคพวกจดตามเป็นพัลวัน
ผมยืนรออยู่พักใหญ่ ริชาร์ดก็ยอมปล่อยตัวคีธออกมาได้ แถมยังมีหน้ามากำชับผมอีกว่าให้ดูแลคีธให้ดีๆ เพราะหมอนั่นเป็นผู้มีพระคุณอย่างใหญ่หลวงต่อหนังสั้นเรื่องนี้ โดยเฉพาะการตอบสนองเรื่องอย่างว่า
“บริการให้ดีๆ ล่ะคืนนี้น่ะ เดี๋ยวฉันออกค่าถุงยางให้” ริชาร์ดว่าไล่หลังขณะที่ผมกำลังจะออกจากสตูดิโอ
ผมหันไปมองหน้ามันอย่างเอาเรื่อง พลันชูนิ้วกลางให้
“เก็บเงินไว้เป็นค่าทำแผลปากนายเหอะ” ผมว่าเสียงขุ่น
ริชาร์ดไม่ถือสา นอกจากหัวเราะร่วนแล้วหันกลับไปสนใจกับงานของตัวเองต่อ ผมเลยเดินออกจากห้องมา ปล่อยให้คีธเดินตามหลังต้อยๆ
“เดี๋ยวนายไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องชมรมนะ ฉันจะรออยู่ข้างนอก” ผมว่าส่งๆ ขณะที่คีธหยุดเดินให้ผมหันกลับไปมอง
“อะไร” ผมถามเสียงขุ่นพลัน
“เจ้าไม่คิดจะถามข้าหน่อยรึว่าสิ่งที่ข้าพูดไปมันคืออะไร”
“จำเป็นต้องรู้มั้ย”
“ก็ไม่จำเป็น เพียงแต่ข้าอยากจะตอบแทนที่เจ้าสอนให้ข้ารู้ศัพท์ใหม่ของมนุษย์โลกก็เท่านั้น”
หัวผมประมวลผมทันทีว่าผมไปสอนศัพท์ใหม่ให้หมอนั่นตอนไหน ก่อนที่จะนึกขึ้นได้เมื่อหมอนั่นพูดขึ้น
“ข้าเพิ่งจะรู้ว่ามนุษย์โลกเรียกสิ่งนี้ว่าโลลิป๊อป” ว่าแล้วก็ชี้ไปที่เป้ากางเกงตัวเอง
ผมรีบเข้าไปตะครุบมือหมอนั่นแล้วดึงออกห่างกลางลำตัวทันทีด้วยเห็นว่ารอบข้างมีคนเดินผ่านไปผ่านมาพลุกพล่านพอสมควร
“ไม่ต้องระบุพิกัด” ผมกัดฟันว่า หมอนั่นเลยยอมลดมือลง
“ตกลงเจ้าอยากจะถามอะไรข้าหรือไม่”
“ไม่” ผมปฏิเสธแทบจะในทันที ใจนี่อยากจะกลับห้องเต็มแก่แล้ว หากแต่คีธก็พูดขึ้นมาอีก
“ไม่ถามรึว่าเหตุใดข้าต้องดูดนิ้วอีกฝ่ายยามทักทายกัน”
ผมชะงักขึ้นมาในตอนนี้ จะว่าไปผมก็สงสัยมาพักหนึ่งแล้วเหมือนกัน ก็เลยยกมือขึ้นกอดอก เชิดหน้าถามกลับ
“แล้วดูดนิ้วทำไม”
“การทักทายโดยการดูดนิ้วอีกฝ่ายถือว่าเป็นการแสดงความเคารพอย่างสูงสุดของชาวยูนิกม่า เพราะการดูดนิ้วนั้นถือว่าเป็นการสร้างชาวเราขึ้นมาให้เติบใหญ่ การแสดงความเคารพเช่นนี้มีต้นกำเนิดมาจากการเจริญเติบโตของทารกชาวยูนิกม่าที่ล้วนได้รับการเลี้ยงดูจากพ่อและแม่ผ่านทางสารอาหารจากปลายนิ้ว”
ผมพยักหน้าเข้าใจ มิน่าล่ะ ทำไมหมอนี่ถึงได้ขยันดูดนิ้วชาวบ้านไปทั่วเหลือเกิน
“อยากจะถามอะไรต่อหรือไม่” พออธิบายเรื่องแรกจบ ก็ถามขึ้นมาอีก
ผมส่ายหน้าดิก “ไม่ล่ะ ไม่อยากรู้”
“เรื่องอายุข้าก็ไม่อยากรู้รึ”
พอถูกถามแบบนี้ จากที่ไม่อยากรู้ก็อยากรู้ขึ้นมาทันควัน
“เออ แล้วนายอายุเท่าไหร่”
“สี่สิบสี่”
ผมอ้าปากค้าง “สี่สิบสี่เนี่ยนะ ทำไมดูอย่างกับรุ่นราวคราวเดียวกับฉันเลยวะ”
“สี่สิบสี่ปียูนิกม่า เท่ากับยี่สิบสองปีของมนุษย์โลก ชาวยูนิกม่ามีอายุมากกว่ามนุษย์โลกสองเท่า”
ผมร้องอ๋อทันใด “งั้นก็อายุเท่ากันกับฉัน ฉันก็ยี่สิบสอง”
คีธพยักหน้าโดยไม่พูดอะไร ใจจริงผมก็มีเรื่องอยากจะถามต่อล่ะนะ แต่ดันได้ยินเสียงเรียกของผู้หญิงที่เป็นลูกมือของริชาร์ดที่ดูแลด้านเสื้อผ้าดังขึ้นเรียกให้คีธไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียก่อน ผมก็เลยเก็บคำถามนั้นไว้ในใจ แล้วโบกมือไล่หมอนั่นแทน
“รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าไป ฉันจะได้กลับไปนอน”
คีธไม่ตอบรับ นอกจากหมุนตัวไปยังห้องชมรม หากแต่ก็ชะงักขา แล้วเดินวนกลับมาหาผมอีกครั้ง
“เมื่อกลับถึงที่พักของเจ้า ข้ามีเรื่องอยากจะขอร้อง”
“อะไร” ผมมุ่นคิ้วแทบผูกกันเป็นโบว์ ก่อนหมอนั่นจะพูดขึ้น
“ข้าสงสัยนักว่าโลลิป๊อปของมนุษย์โลกจะเหมือนกับของชาวยูนิกม่ามั้ย เมื่อกลับไปถึงที่พักแล้ว ข้าอยากจะขอดูโลลิป๊อปของเจ้าสักหน่อย”
“คะ...ใครเค้ามาขอดูกันหน้าด้านๆ แบบนี้บ้างวะ!” หน้าผมร้อนฉ่าขึ้นมาทันที
จะสองแง่สองง่ามมากเกินไปแล้ว!
“หากเจ้าให้ข้าดู ข้าจะให้ดูของข้าเป็นการตอบแทน”
ยังๆ มันยังไม่หยุดอีก!
“ไม่ดูเว้ย! รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเลยไป๊!” ผมรีบโบกมือไล่หมอนั่นเป็นพัลวันขณะที่ความร้อนไม่ได้แล่นพล่านแค่ที่หน้า แต่ดันแล่นไปทั่วทั้งกายพร้อมกับก้อนเนื้อข้างซ้ายที่เต้นระทึกขึ้นมาเมื่อนึกถึงครั้งแรกที่คลอดหมอนั่นในสภาพเปล่าเปลือย
จะว่าไปตอนนั้นผมก็เห็นโลลิป๊อปของหมอนั่นนี่หว่า... มะ...แม่ง! นี่ผมคิดอะไรอยู่เนี่ย!
สิ้นเสียงผม คีธก็เลิกคิ้วเล็กน้อย ทำท่าราวกับว่าไม่รู้สึกรู้สาว่าพูดอะไรออกไป ทว่าในจังหวะที่หมอนั่นหมุนตัวกลับไปยังห้องชมรม ผมดันแอบเห็นเสี้ยวหน้าของหมอนั่นมีรอยยิ้มแต่งแต้มขึ้นที่มุมปากเล็กน้อย เท่านั้นผมก็รู้เลยว่าถูกหมอนั่นแกล้งเข้าให้แล้ว
หน็อย... อีแบบนี้มันแกล้งโง่นี่หว่า! ไอ้มนุษย์ต่างดาวโฮโมฯ นี่ชักจะลามปามมากเกินไปแล้ว!

-----------------------------------------------
ยิ่งเขียนยิ่งรู้สึกว่าคู่นี้ไม่ได้เกรียนอย่างเดียว แต่ยังหื่นแบบมึนๆ ด้วย 555 อันนี้ตัวละครยังมาไม่ครบนะ มาครบเมื่อไหร่ ทั้งเกรียนทั้งหื่นหนักกว่าเก่า ฮาาา

หนูแดงยังงงๆ ระบบของเล้าเป็ดอยู่นะคะ อาจจะเมาๆมึนๆไปบ้าง ใช้งานยังไม่ค่อยคล่องมือ ต้องขออภัยด้วยค่ะ

ออฟไลน์ BlueCherries

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4061
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +159/-17
 :pighaun:

อยากเห็นโลลิป๊อบของคีธค่า 5555+


จะสงสารเควินนิดๆ เจอเอเลี่ยนกวนประสาทเข้าไป
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-12-2015 22:24:06 โดย BlueCherries »

ออฟไลน์ punnicha

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 108
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-1
น่าติดตามมากค่าา :hao6: :hao7:

ออฟไลน์ Candy CAT

  • ชิบหาย!!!........ไปหมดแล้วสมงสมองกู- -''
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 17
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
เกาะเรื่องนี้ค่าาา  :hao6:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ wnkth

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-2
แวะมาติดตามโลลิป๊อบ เอ้ย ติดตามเนื้อเรื่องครับ

ออฟไลน์ GBlk

  • ขอให้สรรพสัตว์จงมีความสุข
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1432
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +82/-43
ขอดู lollipop ด้วยคน

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
 
Episode 07: Kill him if I can![1]

อาการผมดีขึ้นตามลำดับ ไม่กี่วันให้หลังก็หายดีเป็นปลิดทิ้ง แถมยังมีกำลังวังชายิ่งกว่าเดิมเป็นเท่าตัวราวกับดูดม้ามาก็ไม่ปาน เดาเอานะว่าคงเป็นเพราะน้ำใสๆ จากปลายนิ้วของคีธนั่นแหละที่ทำให้ผมกระปรี้กระเปร่าได้ขนาดนี้
และแน่นอนว่าพอผมหายดีปุ๊บ คีธก็ได้ทีเอาคืนทันใด จับผมมาสูบอาหาร เป็นแหล่งพลังงานให้หมอนั่นเหมือนเคย ยังดีที่ในตอนนี้หมอนั่นรับสารอาหารจากผมวันละครั้ง ผมก็เลยยื่นคำขาดว่าให้กลับมาดูดสารอาหารที่ห้องเท่านั้น ห้ามเอาท์ดอร์ ห้ามกลางแจ้ง ห้ามโฉ่งฉ่างกลางที่สาธารณะเป็นอันขาด หมอนั่นก็ยอมทำตามดี ไม่ได้มีปัญหาอะไร ผมก็ยังมีอาการวิงเวียนหลังจากโดนดูดสารอาหารบ้างนิดหน่อย แต่ก็พอจะปลงได้แล้วกับวงจรอุบาทว์แบบนี้ โดยเฉพาะการถูกหมอนั่นประกบปากดูดอย่างกับจะดูดหัว
ก็นะ ในเมื่อหนีไม่พ้น ผมก็ควรจะต้องทำให้ยอมรับมันนั่นแหละแม้ว่าไอ้การยอมรับนี่จะไม่ใช่สิ่งที่ผมอยากจะทำเลยก็ตาม
แต่ช่วงนี้ดีอย่างที่คีธต้องไปซ้อมบทกับริชาร์ดที่ห้องชมรมของมหา’ลัยแล้วก็เริ่มถ่ายทำเกือบทุกวัน ผมก็เลยไม่ต้องตัวติดกับหมอนั่นตลอดเวลา ไปเรียนได้อย่างสบายใจ เจอกันแค่ช่วงเย็นที่กลับมาที่ห้องเท่านั้น มีบ้างที่บางครั้งถูกไอ้เพื่อนตัวดีเรียกไปช่วยงานกำกับ ซึ่งผมก็ไปบ้าง ไม่ไปบ้าง แล้วแต่อารมณ์ หากแต่วันนี้ริชาร์ดดันมีคิวถ่ายฉากเปิดตัวพระเอกของเรื่องโดยมีฉากเป็นดาวของพระเอก แล้วต้องใช้ห้องสตูดิโอในการถ่ายทำ ความยุ่งยากมันเลยอยู่ที่การจัดองค์ประกอบของฉากและนักแสดงให้สมดุลกัน เพราะพอถ่ายทำเสร็จก็ต้องเอาไปใส่คอมพิวเตอร์กราฟฟิกทีหลังอีก ผมก็เลยถูกริชาร์ดขอร้องให้มาช่วยกำกับด้วย เนื่องจากหมอนั่นอ้างว่าดูแลคนเดียวอาจไม่ทั่วถึง ผมเลยรับปากส่งๆ ไปอย่างไม่มีทางเลือก
ห้องสตูดิโอที่ใช้ในการถ่ายทำหนังสั้นคือห้องสตูดิโอขนาดใหญ่ ไม่ใช่ห้องสตูดิโอสำหรับถ่ายภาพอย่างที่ผมเคยพาคีธไปในวันนั้น พอผมเข้ามาในห้อง ความวุ่นวายของทีมงานริชาร์ดก็ปรากฏสู่สายตาทันใด ทุกฝ่ายล้วนง่วนอยู่กับหน้าที่ของตัวเองจนไม่ได้สังเกตเห็นผมเลยสักนิด แต่ผมก็ไม่สนใจพวกนั้นนักนอกจากเดินตรงไปหาริชาร์ดที่นั่งอยู่หลังจอมอร์นิเตอร์กล้องวิดีโอตัวใหญ่ แล้วทรุดตัวนั่งลงข้างๆ หมอนั่น
“ไง” ผมทัก
ริชาร์ดละสายตาจากตัวหนังสือบนบทหนังขึ้นมาเห็นผมก็ในตอนนี้
“มาช้าชะมัดเลยนายน่ะ จะถ่ายกันอยู่แล้ว” แล้วคำบ่นของหมอนั่นก็คือประโยคแรกที่ทักผม
“แล้วมันใช่ธุระกงการอะไรของฉันที่จะต้องมาช่วยนายมั้ยเนี่ย” ผมยอกย้อนอย่างไม่แคร์ ทำเอาริชาร์ดหุบปากฉับเพราะรู้ว่าการมาช้าของผมนั้น อย่างไรเสียมันก็ดีกว่าไม่มาเป็นไหนๆ
“เออๆ เอาเถอะ นายรู้แล้วใช่มั้ยว่าฉากแรกที่จะถ่ายเป็นฉากอะไร” ริชาร์ดเข้าเรื่องให้ผมว่าอย่างรำคาญ
“รู้น่า นายย้ำจนแก้วหูจะทะลุอยู่แล้ว”
“รู้แล้วก็ดี จะได้เริ่มกันเลย อ่ะ นี่บทแล้วก็รายละเอียดองค์ประกอบฉาก ช่วยฉันดูหน่อยแล้วกันว่ามันโอเคมั้ย” ว่าจบ ริชาร์ดก็ยื่นปึกกระดาษในมือตัวเองให้ผม ก่อนที่จะไปคว้าปึกกระดาษอีกชุดหนึ่งมาถือแทน
ผมไล่สายตาอ่านคร่าวๆ จริงๆ มันก็ไม่มีอะไรมากหรอก แค่เป็นฉากที่ให้คีธเดินออกมาจากหอคอยพระราชวัง แล้วพูดกับประชากรของดาวว่า ‘ข้าคือเจ้าชายของพวกเจ้า’ แค่นั้น แล้วก็ปล่อยให้ไอ้พวกที่เหลือที่เป็นตัวประกอบร้องเฮสรรเสริญกันไป ผมพอเข้าใจแล้วว่าทำไมริชาร์ดถึงอยากให้ผมมาช่วยนัก ก็เล่นเขียนรายละเอียดฉากซะอลังการ แต่นักแสดงหลัก รวมนักแสดงประกอบฉากนี้มีแค่สิบกว่าคน ดูก็รู้เลยว่าลำบากฝ่ายคอมพิวเตอร์กราฟฟิกแน่นอน
“เดี๋ยวจะเริ่มกันแล้วนะ นักแสดงทุกคนเข้าฉากได้” เสียงริชาร์ดดังขึ้น เรียกให้ทีมงานทุกคนเตรียมพร้อม พอหมอนั่นนับสาม การถ่ายทำก็เริ่มต้นขึ้นทันที
ผมนั่งมองคีธที่โผล่หน้ามาจากฉากหอคอยปลอมๆ ในชุดที่เคยใส่เมื่อวันฟิตติ้งเล็กน้อย พอหมอนั่นเดินมาถึงจุดที่กำหนด ก็ยกมือขึ้นข้างหนึ่งแล้วพูดออกมาทื่อๆ
“ข้าคือเจ้าชายของพวกเจ้า”
พูดเท่านั้น เสียงเฮจากตัวประกอบก็ดังขึ้น ผมถึงกับถอนหายใจที่เห็นหมอนั่นแสดงได้ไร้อารมณ์เช่นเคย บอกตรงๆ นะว่าขอนไม้ยังแสดงดีกว่าเลย แต่เหมือนริชาร์ดจะชอบใจนะเพราะไม่ได้สั่งคัตหรืออะไร ดูท่าคงจะเปลี่ยนคาร์แร็กเตอร์บทของคีธให้เข้ากับบุคลิกเขาไปเรียบร้อยแล้วมั้ง
การถ่ายทำฉากแรกในส่วนของนักแสดงไม่มีปัญหา มามีปัญหาตรงที่เรื่องของมุมกล้องกับองค์ประกอบฉากบางส่วนที่มีจุดบกพร่องเล็กน้อย ทำให้ริชาร์ดต้องสั่งเทคใหม่ ผมก็ช่วยโน่นนี่ไปตามเรื่อง ผ่านไปหลายชั่วโมงกับการสั่งเทคใหม่ไม่ต่ำกว่าสิบรอบ ทำเอาผมเริ่มจะเบื่อขึ้นมาน้อยๆ ที่ต้องนั่งฟังเสียงเรียบๆ และการแสดงทื่อๆ ของคีธซ้ำไปซ้ำมา กระทั่งริชาร์ดสั่งเทคครั้งล่าสุด ผมถึงได้สังเกตเอาในตอนนี้ว่าคีธมีบางอย่างผิดปกติไป
“ข้าคือ...เจ้าชายของพวกเจ้า” เสียงของคีธขาดๆ หายๆ ใบหน้าก็ดูอิดโรยจนริชาร์ดที่ดูผ่านจอมอนิเตอร์อยู่ต้องกระซิบถามผม
“หมอนั่นดูไม่สดชื่นเลยว่ะ นายว่าฉันสั่งเทคมากเกินไปหรือเปล่าวะ”
“ก็นายเล่นสั่งเทคแบบไม่ให้พักติดต่อกันเป็นชั่วโมงๆ แบบนี้ เป็นใครก็เหนื่อยวะ ถึงไอ้บ้านั่นจะพูดแค่ประโยคเดียวก็เถอะ” ผมว่าส่งๆ ริชาร์ดก็เลยสั่งคัตแล้วสั่งพักกองทันใด
“เดี๋ยวพักกันก่อนสักครึ่งชั่วโมงนะ”
พอมีเสียงสั่งพักกองเท่านั้น เสียงของทีมงานก็ดังเฮมาให้ได้ยินแทบจะในวินาทีนั้น ผมลุกขึ้นทำท่าจะไปเข้าห้องน้ำล้างตาล้างตาบ้าง เพราะไอ้การมาช่วยงานริชาร์ดแบบนี้มันก็สร้างความเหนื่อยล้าให้ผมพอตัวเหมือนกัน ทว่าในจังหวะที่ผมลุกขึ้นยืน ผมก็เหลือบไปเห็นคีธซึ่งกำลังเดินลงจากฉากหอคอยปลอมเซถลาไปเกาะราวบันไดเหล็ก จนทีมงานที่ช่วยพาเขาลงร้องอุทานลั่น เท่านั้นผมก็หรี่ตามองไปยังจุดเกิดเหตุ
“ไหวมั้ยคีธ” ทีมงานคนหนึ่งถาม ขณะที่คีธพยักหน้าโดยไม่พูดอะไร แล้วพยุงตัวเองเดินลงมา
ผมรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ เลยเปลี่ยนทิศทาง เดินเข้าไปหาเขาแทน
“เป็นอะไรของนาย” ผมโพล่งถามไปพลางโบกมือไล่ทีมงานที่เดินตามเขามาให้ไปทางอื่นเมื่อเห็นว่าคีธชำเลืองหางตาไปมอง
พอทีมงานคนนั้นเดินจากไป เขาก็เผยอปากกระจับขึ้น
“วันนี้ครบหนึ่งอาทิตย์ที่ข้าถือกำเนิดแล้ว”
“แล้ว?”
“ข้าต้องวางไข่เพื่อสร้างร่างใหม่ จำได้หรือไม่ว่าข้าเคยบอกเจ้าว่าข้าจำเป็นต้องวางไข่อาทิตย์ละครั้ง”
ผมย่นคิ้วทันควัน ความทรงจำในวันแรกๆ ที่เจอหมอนี่หวนกลับมาราวกับน้ำในเขื่อนไหลทะลัก
เวรแท้ๆ ผมก็ลืมไปสนิทเลยว่านอกจากจะต้องถูกหมอนี่ดูดปากสูบเอาสารอาหารแล้ว ยังจะต้องเป็นยอมให้มันวางไข่แล้วก็คลอดมันออกมาอีก ผมเบ้หน้าเหยเกเมื่อคิดถึงตอนคลอด แหกสะดือพุ่งทะลุออกมาพร้อมกับน้ำเมือกเหนียวๆ แค่คิดก็สยองแล้ว
“ดังนั้น ข้าจึงขอวางไข่...”
ผมได้สติกลับมาเมื่อคีธพูดขึ้นอีกครั้ง พูดอย่างเดียวไม่ว่า นี่มันยังเสนอหน้าเข้ามาใกล้ ผมรีบดันหน้ามันออกห่างอย่างรวดเร็ว
“วางไข่บ้าบออะไรตรงนี้ เดี๋ยวคนก็ได้แตกตื่นกันทั้งบางหรอก” ผมว่าเสียงเขียว สายตามองซ้ายมองขวาอย่างหวาดระแวง ขณะที่ลูกทีมของริชาร์ดเองก็เหลือบมองมายังผมด้วยท่าทีสงสัยเช่นกัน
“แต่หากข้าไม่ทำ ข้าก็จะตาย อีกไม่กี่ชั่วโมง ข้าก็จะหมดอายุขัยแล้ว ร่างกายข้าตอนนี้เริ่มอ่อนแอเช่นกัน จำเป็นต้องรีบทำอย่างเร่งด่วน” หมอนั่นว่าเสียงเรียบ พลางย่นคิ้วลงเล็กน้อย  ย่นคิ้วแบบชวนให้น่าสงสาร มองเผินๆ เหมือนลูกหมาร้องขอความเห็นใจ
หากแต่ผมไม่เห็นใจสักนิด แถมความคิดชั่วร้ายก็ยังผุดพรายขึ้นมาอีก
ดี! ในเมื่อกำลังจะตายอย่างนี้ ผมก็ไม่ยอมให้วางไข่ซะก็สิ้นเรื่อง จะได้เป็นอิสระจากมันสักที
ทว่าก็ได้แค่คิดเท่านั้นแหละ พอยิ้มมุมปากด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ได้ไม่กี่วินาที คีธก็ดักคอขึ้นพลัน
“หากข้าตาย ข้าจะไม่ยอมตายคนเดียว”
จะลากกูไปด้วยล่ะสินะ!
ผมบุ้ยปากด่ามันเล็กน้อยที่รู้ทันผมตลอดเวลา ก่อนจะเออออส่งๆ ไป
“วางไข่ก็วางไข่ แต่ไม่ใช่ที่นี่ โอเค้ กลับไปวางที่ห้อง ไม่งั้นพอนายวางไข่เสร็จแล้วนายทิ้งร่างเดิมไว้ที่นี่ มีหวังได้แตกตื่นกันทั้งมหา’ลัยแน่”
คีธพยักหน้าช้าๆ ก่อนจะเอื้อมมือมาคว้าแขนผมไว้หมับ
“เช่นนั้นข้าคงต้องขอสูบสารอาหารจากเจ้าก่อน ตอนนี้ร่างกายข้าอ่อนแอเกินไป”
“สูบสารอาหารบ้าบออะไรก็ทำตรงนี้ไม่ได้เว้ย ถ้าจะทำก็ไปหาที่ลับตา” ผมแหวใส่ แทบไม่อยากจะเชื่อว่าผมจะเป็นคนพูดประโยคนี้ ฟังดูแล้วราวกับกำลังชวนหมอนั่นไปทำเรื่องอย่างว่ายังไงก็ไม่รู้
“งั้นห้องน้ำแล้วกัน จะได้ไม่มีผู้ใดรบกวน” พูดจบ มันก็ลากผมออกจากสตูดิโอไปทันที ปล่อยให้ผมทำหน้าเอือมระอาใส่ที่สู้อะไรมันไม่ได้สักอย่าง
 
หลังจากให้คีธสูบสารอาหารเสร็จ หมอนั่นก็ดูมีเรี่ยวมีแรงขึ้นมาทันตา ขณะที่ผมดูอ่อนเพลียไปจากเดิม พอกลับเข้ามาในสตูดิโอได้ คีธก็จัดการไปบอกกับริชาร์ดว่าจะถ่ายต่ออีกแค่เทคเดียวเท่านั้น แล้วจะกลับที่พักโดยอ้างว่าเพิ่งทำผมอ่อนเพลียมา ไอ้ริชาร์ดก็ยิ้มกะลิ้มกะเหลี่ยทันที แล้วก็อนุญาต แถมยังแซวว่าที่หายไปตอนพักนี่คงไปด้วยกันมาแน่ แล้วก็เน้นย้ำว่าอย่าให้หนักนัก
อ่อนเพลียที่ว่านี่คือมันดูดสารอาหารจากกูไปโว้ย! แม่งคิดไปเป็นเรื่องใต้สะดือตลอด!
และพอถ่ายทำเทคสุดท้ายเสร็จจนเราทั้งคู่ออกจากสตูดิโอมาได้ คีธก็ทำลายความเงียบขึ้นขณะที่เราเดินตรงไปยังสถานีรถไฟใต้ดินที่อยู่ใกล้กับมหา’ลัย
“ที่ข้าบอกสหายเจ้าว่าเจ้าอ่อนเพลียนั้น แท้จริงมันคือข้ออ้าง”
“ไม่บอกก็รู้” ผมว่าเสียงขุ่น ก่อนจะชะงักเมื่อหมอนั่นพูดขึ้นมาอีก
“จริงๆ ข้ามีเวลาเหลืออีกไม่มาก จึงอยากกลับที่พักไปวางไข่ให้เร็วที่สุด”
“เหลือเวลาอีกไม่มากนี่ประมาณเท่าไหร่”
“ราวๆ ห้าชั่วโมง”
ผมลอบยกยิ้ม... งั้นก็แกล้งกลับช้าๆ ซะเลย มันจะได้แห้งตายไปก่อนจะได้วางไข่
“หากเจ้าคิดว่าจะถ่วงเวลาเพื่อให้ได้กลับที่พักช้าๆ ล่ะก็ ข้าไม่หลงกลเจ้าหรอกนะ”
แล้วทำไมมึงจะต้องรู้ทันทุกทีว่ากูคิดอะไรอยู่ด้วยวะ!?
ผมตวัดสายตาไปมองหมอนั่นตาเขียว แต่ก็ครู่เดียวเท่านั้นเมื่อจู่ๆ ก็มีแผนชั่วบางอย่างผุดพรายขึ้นมาในหัว แผนชั่วนี่ก็คือแผนกำจัดไอ้มนุษย์ต่างดาวโฮโมฯ ให้ออกไปจากชีวิตผมนั่นแหละ ถึงผมจะรู้ว่าการสู้กับหมอนั่นในตัวเป็นๆ จะไม่มีทางสู้ได้โดยเฉพาะในด้านของพละกำลัง แต่ถ้าหมอนั่นไม่ได้อยู่ในสภาพตัวเป็นๆ แบบนี้ล่ะ จะเป็นยังไง?
ไม่ได้อยู่ในสภาพตัวเป็นๆ ก็แน่นอนล่ะว่าหมายถึงอยู่ในสภาพที่เป็นไข่หรือตัวอ่อน ซึ่งถ้าผมต้องการให้หมอนั่นเป็นแบบนั้น ผมต้องยอมให้หมอนั่นวางไข่ก่อน หลังจากนั้นค่อยหาทางกำจัด การกำจัดก็มีอยู่แค่หนทางเดียวเท่านั้น นั่นก็คือ...การทำให้มันแท้ง
ฟังดูเหมือนจะโหดร้ายและไร้มนุษยธรรม ผมเองก็ไม่ได้เห็นดีเห็นงามกับวิธีการนี้สักเท่าไหร่ แต่สำหรับไอ้แมลงที่รบกวนชีวิตผมตลอดเวลาอย่างคีธเนี่ย ไม่จำเป็นต้องมีคุณธรรมด้วยแล้ว อีกอย่าง หมอนี่ก็ไม่ใช่มนุษย์โลก มันเป็นมนุษย์ต่างดาว การกำจัดมันทิ้งไปก็เท่ากับการปกป้องโลกให้พ้นภัยจากการคุกคามของมนุษย์ต่างดาวเลยนะ
งั้นตกลงเอาวิธีนี้แหละ! ยอมให้มันวางไข่ไปก่อน แล้วจัดการมันให้สิ้นซากทีหลัง
ตัดสินใจได้อย่างนั้น ผมก็รีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติ หันไปถามคนข้างๆ ที่ยืนมองผมหน้าตายอยู่ทันใด
“นายว่านายยังเหลือเวลาอีกห้าชั่วโมงใช่มั้ย”
“อืม”
“งั้นก็ดี ก่อนกลับห้องไปให้นายวางไข่ ฉันอยากจะไปซื้อของที่ซูเปอร์ฯ สักหน่อย ตอนที่ถูกนายวางไข่ครั้งแรก ฉันแพ้ท้องจะเป็นจะตาย ท้องครั้งนี้เลยอยากจะเตรียมพร้อมไว้ก่อน” ผมอ้างไปเรื่อย
คีธมองผมนิ่งโดยไม่อาจรู้ได้เลยว่าคิดอะไรอยู่ ผมแอบเสียวเล็กน้อยว่าจะถูกจับพิรุธได้ว่าผมมีแผนอะไร จนผมต้องย้ำคำขึ้นอีกครั้ง
“ของบำรุงครรภ์น่า ไปซื้อเร็วเข้า เดี๋ยวนายก็ได้ตายก่อนวางไข่กันพอดี” ผมกลบเกลื่อนโดยการคว้ามือหมอนั่นออกเดิน
คีธเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจเล็กน้อยที่จู่ๆ ผมก็มีท่าทางกระตือรือร้นขึ้นมา ทว่าก็ไม่พูดอะไร นอกจากเดินตามมาแต่โดยดี
 
ซูเปอร์มาร์เก็ตใกล้อพาร์ตเม้นต์คือสถานที่ที่ผมมาเพื่อซื้อของเตรียมความพร้อม ผมไม่ได้สนใจคีธที่ดูตื่นเต้นกับการได้เห็นแหล่งชอปปิงของมนุษย์โลกเลยแม้แต่น้อย นอกจากเดินไปคว้ารถเข็นมา แล้วยืนคิดอยู่ครู่หนึ่งว่าอะไรบ้างที่กินเข้าไปแล้วเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์ ก่อนจะนึกขึ้นมาได้ว่าไอ้ของพวกนั้นมันจะมีฉลากคำเตือนอยู่ด้านหลังสินค้า เท่านั้นผมก็ตั้งหน้าตั้งตาเข็นรถเข็นเลาะไปตามซอกชั้นสินค้า หาไอ้ของที่ว่านั่นทันที
อันดับแรกเลยที่ได้มาคือ เครื่องดื่มชูกำลัง... ด้านหลังขวดระบุชัดเจนว่าห้ามดื่มเกินวันละสองขวด เด็กและสตรีมีครรภ์ไม่ควรดื่ม แม้จะไม่ใช่สตรีมีครรภ์ ผมก็หยิบใส่รถเข็นมาสองโหลทันใด
เดินไปอีกหน่อย สายตาก็เหลือบไปเห็นชั้นแอลกอฮอล์เด่นหรา พลันสายตาก็ปะทะเข้ากับชั้นวิสกี้ที่เรียงรายกันเป็นตับ มองปราดเดียว นักท่องราตรีอย่างผมก็รู้เลยว่ายี่ห้อไหนที่แรงที่สุด ถึงราคาจะแพงชวนกระเป๋าฉีก แต่การที่เคยได้ยินมาว่าถ้ากินเหล้าหนักๆ ก็มีสิทธิแท้งได้ ผมก็ไม่รีรอที่จะจัดมาสองกลมทันใด
พอจะเดินไปจ่ายตังค์ ก็เหลือบไปเห็นชั้นบุหรี่หลากยี่ห้ออีก
โอเค... ควันบุหรี่เป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์ งั้นเหมาแม่งหมดแผงเลยแล้วกัน
เดินวนกลับไปหยิบยาย้อมผมด้วยดีกว่า เห็นว่าสารเคมีจากยาย้อมผมก็อาจก่อให้เกิดอันตรายกับทารกในครรภ์ได้เหมือนกัน ถึงจะไม่รู้แน่ชัดนักว่าก่อให้เกิดอันตรายด้วยสาเหตุอะไร แต่มือผมก็คว้าเอากล่องยาย้อมผมสีน้ำตาลประกายแดงใส่ลงรถเข็นเป็นที่เรียบร้อย ตอนนี้สีผมที่เคยย้อมไว้ก็เริ่มจะมีโคนดำงอกมาให้เห็นประปรายแล้วด้วย ย้อมๆ ไปเลยก็ดีเหมือนกัน จะได้ได้ประโยชน์สองต่อ สีผมสวย แถมกำจัดไอ้มนุษย์ต่างดาวหน้าตายได้ กำไรเห็นๆ
หากแต่พอผมตั้งท่าจะหยิบกล่องยาย้อมผมใส่รถเข็นเพิ่มอีกกล่องด้วยคิดว่ากล่องเดียวคงจะย้อมไม่พอ คีธที่เดินตามหลังผมต้อยๆ อยู่นานก็ทำลายความเงียบขึ้นมา
“ข้าเห็นเจ้าซื้อแต่ของไม่มีประโยชน์ต่อร่างกายมนุษย์โลกทั้งนั้น นี่เจ้าตั้งใจจะเตรียมพร้อมก่อนตั้งครรภ์ข้าแน่รึ”
“เออ นี่แหละเตรียมพร้อม” ผมว่าอย่างมั่นใจพลางแสยะยิ้ม
เตรียมพร้อมจะแท้งเอ็งนั่นแหละบักคีธ!
“แต่ข้าเคยศึกษามาเมื่อครั้งร่อนเร่อยู่ในอวกาศนะว่าของที่เจ้าหยิบมาพวกนี้ล้วนเป็นอันตรายต่อร่างกายมนุษย์โลกทั้งนั้นหากรับเข้าสู่ร่างกายเป็นปริมาณมาก”
“ข้อมูลผิดพลาดได้น่า ไปอ่านจากตำราไหนมา พวกนี้แหละของบำรุงครรภ์บอกไว้เลย” ผมโกหกหน้าด้านๆ สายตาที่คีธมองมา ดูก็รู้เลยว่าไม่เชื่อที่ผมพูดสักนิด แต่ผมไม่สนใจแล้ว เดินหนีไปจ่ายเงินเป็นที่เรียบร้อย
แต่เอ... ที่นิวยอร์กนี่มียาสตรีขายด้วยมั้ยนะ น่าซื้อมากระดกดื่มแทนน้ำชะมัด เผื่อมันจะช่วยให้ได้ผลเร็วๆ
 


ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
Episode 07: Kill him if I can![2]

ความคิดที่จะซื้อยาสตรีมาด้วยเป็นอันต้องยกเลิกไปเมื่อผมไม่สามารถหาสินค้าได้ ไม่แน่ใจว่ามันมีหรือไม่มีขาย แต่ก็ช่างมันเถอะ แค่ของที่ซื้อมาพวกนี้ก็น่าจะเพียงพอต่อการกำจัดคีธเวอร์ชั่นตัวอ่อนได้แล้ว
ผมจัดการเก็บข้าวของเข้าชั้นแล้วไปอาบน้ำอาบท่า เตรียมความพร้อมก่อนถูกวางไข่ในขั้นสุดท้าย คีธดูจะงงๆ ไปเหมือนกันว่าผมไปกินอะไรมาถึงได้คึก อยากถูกหมอนั่นวางไข่เต็มแก่แบบนี้ ทว่าก็ไม่ได้ถามอะไรเพราะดูเหมือนตอนนี้เขากำลังเริ่มอ่อนแอลงอีกครั้ง
และตอนนี้ผมก็กำลังนั่งประจันหน้ากับหมอนั่นบนพื้นห้องนั่งเล่นโดยไม่พูดอะไร ก่อนจะคว้าขวดเครื่องดื่มชูกำลังที่วางอยู่ใกล้ๆ มาดื่มย้อมใจทีเดียวรวด แล้ววางขวดเปล่ากระแทกลงพื้นเป็นสัญญาณให้รู้ว่าถึงเวลาอันสมควรต่อการวางไข่แล้ว
“มา ฉันพร้อมละ” ผมว่าอย่างมั่นใจ
“เจ้าแน่ใจนะ”
“แน่สิวะ มาถึงขั้นนี้แล้วก็ต้องแน่ใจอยู่แล้ว” ผมย้ำอีกครั้ง ขณะที่ผมสะบัดมือ สะบัดคอไปมาประหนึ่งนักมวยกำลังวอร์มร่างกายก่อนขึ้นสังเวียน
“ข้าว่าเจ้ากระตือรือร้นเกินไปจนน่าประหลาด” แล้วมันก็จับผิดผมขึ้นมาจนได้
ผมรีบโบกมือไปมา หัวเราะกลบเกลื่อนพิรุธทันใด “กระตือรือร้นอะไร ปกติน่าปกติ”
“ไม่ปกติ” มันว่าสวน “ถ้าปกติของเจ้าคือต้องปฏิเสธ ไม่ก็ทำท่าเหมือนจะเป็นจะตายให้ได้ต่างหาก”
“นั่นเพราะนายมาบังคับฉันโดยที่ฉันไม่ได้เต็มใจนี่หว่า จะมีท่าทางต่อต้านอย่างนั้นก็ไม่แปลก” ผมอ้างไปเรื่อย
คีธหรี่ตาลง เอียงคอน้อยๆ สายตาบ่งบอกชัดเจนว่าไม่เชื่อ ยังไงก็ไม่เชื่อ จนผมต้องเปลี่ยนเรื่องก่อนจะถูกจับได้
“อย่ามัวมาชวนคุยโน่นนั่นน่า อีกไม่ถึงชั่วโมงนายก็จะตายแล้วไม่ใช่หรือไง วางไข่สักที มา!”
ท่าทางกระเหี้ยนกระหือรืออยากโดนวางไข่เต็มแก่ทำให้คีธนิ่งไป ก่อนจะพยักหน้าน้อยๆ
“เช่นนั้นข้าคงต้องขออนุญาตวางไข่”
ว่าจบ มันก็เลื่อนมือไปถอดเสื้อออกแล้วโยนไปข้างๆ แล้วก็เลื่อนไปยังส่วนล่างของร่างกาย ผมเบิกตาโพลง รีบเอื้อมมือไปคว้ามือมันที่เลื่อนลงไปจับขอบกางเกงไว้อย่างรวดเร็ว
“จะวางไข่ก็วางเร็วๆ เข้า ไม่ต้องแก้ผ้า”
“มันเป็นธรรมเนียมของดาวข้า”
“จะวางหรือจะโชว์ฮะไข่เนี่ย ลีลานักก็ไม่ต้องวางแม่ง”
พอผมว่าเสียงขุ่น เชื่อเลยว่าคีธไม่รู้ว่าไอ้โชว์ที่ว่านั่นคืออะไร ผมไม่อธิบายแล้วเหมือนกันว่ามันคือส่วนต่อเติมของโลลิป๊อป ดีที่คีธก็ไม่ถาม นอกจากยอมปล่อยมือจากขอบกางเกง ย้ายมาประคองใบหน้าผม
“เช่นนั้นข้าคงต้องขอรบกวนด้วย กวินทร์...”
ผมกลืนน้ำลายเอื้อก สบดวงตาสีเทาสว่างนิ่งด้วยใจเต้นระทึก
มะ...มา! มึงมา! วางไข่มาเลย!
ผมหลับตาปี๋ รออย่างใจจดใจจ่อให้คีธเลื่อนใบหน้าเข้ามาประกบปาก หากแต่ความระทึกนั้นก็ต้องสะดุดลงเมื่อน้ำเสียงแหบห้าวดังขึ้นอีก
“แต่ข้าว่าเจ้าดูแปลกๆ”
มึงอย่าสงสัยเยอะ! กูลุ้นจนเหงื่อพุ่งทะลุออกจากรูขุมขนเป็นน้ำพุแล้วเนี่ย!
และเพราะความลุ้นระทึกถูกขัด ผมก็เลยหัวเสียขึ้นมา ดึงมือใหญ่ที่ประคองใบหน้าตัวเองอยู่ออก แล้วยื่นมือไปคว้าหน้าหมอนั่นแทน
“ยืดยาด ชักช้า เสียเวลา!”
ว่าจบ ผมก็ประกบปากหมอนั่นทันใด พี่ไม่ต้อง น้องทำเองเป็นยังไง บักคีธมันรู้ได้ก็ในตอนนี้ เหมือนคีธจะตกใจหน่อยๆ ด้วยที่จู่ๆ ก็ถูกผมจู่โจม นี่นับเป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ที่ผมเต็มใจจูบกับหมอนั่นร้อยเปอร์เซ็นต์ ก็แน่ล่ะ มันเป็นแผนนี่นา ไม่เต็มใจก็กำจัดมันไม่ได้น่ะสิ
 “อย่าเฉยสิ เฟรนช์คิสน่ะเฟรนช์คิส ปิดปากอย่างนี้มันทำไม่ได้” ผมผละออกจากริมฝีปากหยักเล็กน้อยเมื่อคีธไม่ยอมเปิดปาก เอาแต่นิ่งอึ้ง พูดไปแล้วก็รู้สึกว่าตัวเองเชื้อเชิญหมอนั่นชะมัด
ครู่เดียว คีธได้สติ พยักหน้ารับก่อนจะยกมือขึ้นรั้งท้ายทอยผมเข้ามา แล้วเป็นฝ่ายดึงผมเข้าไปจูบอีกครั้ง พลันสอดลิ้นอ่อนนุ่มเข้ามาในโพรงปากผม จูบของหมอนี่ยังคงเจ๋งเหมือนเดิม เจ๋งจนผมเกือบจะเคลิ้มไปตามรสจูบนั่นแล้ว ส่วนสิ่งที่เพิ่มเติมกว่าความเจ๋งของสกิลการจูบแล้ว ก็คือนอกจากลิ้น ยังมีวัตถุทรงกลมขนาดเท่าถั่วแมคคาเดเมียถูกดันเข้ามาในปากผมด้วย ผมเกือบจะขย้อนมันออกมาอย่างเผลอตัวแล้วถ้าไม่ตระหนักได้ว่ามีแผนการชั่วบางอย่างที่จะต้องจัดการอยู่ จึงหลับหูหลับตากลืนมันลงไป ก่อนที่คีธจะเป็นฝ่ายผละออกจากผมด้วยสีหน้าอิดโรย
“แล้วเจอกันกวินทร์” นั่นเป็นประโยคสุดท้ายที่หลุดออกจากปากหมอนั่นก่อนที่ร่างใหญ่จะทรุดฮวบลงไปพื้น
ผมนิ่งงัน อ้าปากอย่างเหวอๆ ที่จู่ๆ ก็เห็นไอ้บ้านี่ตายต่อหน้าต่อตาอีกเป็นครั้งที่สอง ถึงจะรู้ว่ามันเป็นการเปลี่ยนร่าง แต่ก็ยังอดตกใจไม่ได้อยู่ดี พอเอานิ้วมือไปอังที่ปลายจมูกแล้วสัมผัสไม่ได้ถึงลมหายใจ ผมก็ตระหนักได้อีกครั้งว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่สมควรจะมาตกใจ ตอนนี้คือเวลาแห่งการโด๊ปทุกสิ่งอย่างที่ซื้อมาเพื่อกำจัดไอ้ตัวที่อยู่ในกระเพาะผมต่างหาก
เท่านั้น ผมก็ทิ้งร่างเย็นชืดนั่นไว้บนพื้น แล้วรีบลุกไปคว้าเครื่องดื่มชูกำลังอีกขวดขึ้นกระดกเพื่อย้อมใจ ก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไปทันใด
สิ่งแรกที่ผมทำเลยคือการย้อมผม เครื่องดื่มชูกำลังก็ดื่มเพิ่มไปอีกขวด แต่การที่หัวใจเต้นแรงจนแทบจะระเบิดออกมาข้างนอกได้นั้นทำให้ผมล้มเลิกความคิดที่จะดื่มเพิ่มไปทันใด ถ้าดื่มเพิ่มล่ะก็ รับรองเลยว่าผมนี่แหละที่จะถูกกำจัดก่อนไอ้เวรข้างในท้องผมนี่
ผมใช้เวลาเกือบสองชั่วโมงในการย้อมผม พอสระผมเสร็จเรียบร้อยก็กลับออกมาที่ห้องนั่งเล่นอีกครั้ง ในตอนนี้ ร่างเย็นชืดของคีธได้อันตรธานหายไปแล้ว เหลือแต่เพียงเสื้อผ้าที่หมอนั่นสวมใส่ก่อนหน้าเท่านั้น ให้เดานะ มันคงจะย่อยสลายด้วยกระบวนการเหนือธรรมชาติบางอย่างเหมือนกับที่หมอนั่นเคยว่า แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ผมจะต้องสนใจ สิ่งที่ควรสนใจก็คือ ไปโด๊ป! โด๊ปให้ไอ้ตัวประหลาดนี่มันแท้งต่างหาก!
ผมถอดเสื้อโยนทิ้ง คว้าขวดวิสกี้และบุหรี่ซองหนึ่งไปนั่งบนโซฟา เปิดฝาขวดออกแล้วกระดกอึ้กๆ โดยไม่สนใจที่จะผสมน้ำหรือโซดาอะไรแต่อย่างใด ก่อนจุดบุหรี่ขึ้นสูบ หัวก็คิดไปด้วยว่าถ้าแผนชั่วนี่สำเร็จขึ้นมา ไอ้อาการแท้งจะเป็นยังไง บอกตรงๆ นะว่าผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ก็เดาเข้าข้างตัวเองตามความน่าจะเป็นว่าถ้ามันคลอดโดยการแหวกสะดือออกมา ตอนแท้งก็น่าจะเป็นซากแหวกสะดือออกมา ถ้าเป็นแบบที่คิดก็ไม่น่าเป็นห่วงเท่าไหร่ อาจจะสยองขวัญนิดหน่อย แต่ถ้ามันแท้งแล้วไม่แหวกสะดือออกมานี่สิ ผมได้กลายเป็นผีตายท้องกลมแน่นอน
กระนั้น ผมก็ไม่อยากจะคิดฟุ้งซ่าน เอาให้มันตายก่อนเถอะ ถึงเวลานั้นค่อยลากสังขารไปโรงพยาบาล ให้หมอผ่าออกให้ก็ได้
ผมใช้เวลาเกือบค่อนคืนก็จัดการวิสกี้ที่ซื้อมาสองกลมนั่นหมด แค่สองกลมมันยังไม่พอ ผมยังไปซื้อเพิ่มมาอีกเป็นลัง แต่คราวนี้เป็นวิสกี้ระดับล่างซึ่งมีรสชาติบาดคอและดีกรีความแรงค่อนข้างสูง แต่ก็ดื่มต่อได้แค่ครึ่งขวดเท่านั้นก็ต้องยอมแพ้ ต่อให้ได้ชื่อว่าคอแข็งขนาดไหนก็เถอะ ถ้าดื่มเป็นน้ำเปล่าอย่างที่ผมทำแบบนี้ ไม่จมกองอ้วกตายก็เมาเรื้อนอยู่ข้างถนนแน่นอน
และเพราะว่าเมา ผมก็เลยงีบหลับไปก่อน รู้สึกตัวตื่นอีกทีก็ตอนที่เสียงนาฬิกาที่ตั้งปลุกก่อนจะผล็อยหลับไปดังขึ้น ผมงัวเงียดันตัวเองขึ้นนั่งพร้อมกับความปวดหนึบไปทั้งหัว ตอนนี้เข้าชั่วโมงที่ยี่สิบแล้ว ท้องผมใหญ่ขึ้นประหนึ่งคนท้องไปเรียบร้อย
พอเห็นสภาพตัวเองในตอนนี้ก็หวั่นใจขึ้นมา ไม่รู้ทำไมผมถึงได้รู้สึกว่าการกระดกวิสกี้เพียวๆ ขวดแล้วขวดเล่า มันไม่น่าจะได้ผลในการกำจัดคีธที่อยู่ในท้องได้ก็ไม่รู้ บุหรี่นี่ผมก็สูบจนควันท่วมห้องแล้วด้วย สูบมากจนลำคอแห้งผากและแสบไปหมด นี่ถ้าสูบอีกนิดนี่มีหวังห้องข้างๆ ได้เรียกรถดับเพลิงแน่ แต่มันก็ยังไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ตอบสนองให้ผมรู้สึกว่าคีธมันตายแหงแก๋ไปแล้วเลยแม้แต่น้อย
อีกสี่ชั่วโมง... สี่ชั่วโมงเท่านั้นกว่าจะได้รู้ว่าคีธมันจะอยู่หรือจะไป
แน่อยู่แล้วล่ะว่าผมไม่ปล่อยให้เวลาสี่ชั่วโมงนี่มันสูญเปล่า พอตั้งสติได้ ผมก็จัดการคว้าขวดวิสกี้ที่ดื่มค้างไว้มาดื่มต่อ ทว่าพอสาดน้ำขมเฝื่อนลงคอไปได้ไม่ทันหมดขวดดี ของเก่าที่ซัดไปก่อนหน้าก็ทำท่าจะพุ่งออกปาก จนผมต้องรีบวางขวดวิสกี้ลง แล้วหันไปคว้ากระถังน้ำที่เตรียมไว้สำหรับรองของเก่ามาจ่อปากตัวเองทันที
น้ำสีเดียวกับวิสกี้ที่ดื่มเข้าไปก่อนหน้าไหลออกจากปากเป็นลิตรๆ ผมเองก็เหมือนคนโรคจิต ยิ่งอ้วกก็ยิ่งดื่มหนัก พอยิ่งดื่มก็อ้วกหนักกว่าเดิม บางจังหวะไม่ได้ดื่มก็อ้วก จนผมไม่แน่ใจนักว่าที่ทำท่าพะอืดพะอมนี่เป็นเพราะแพ้ท้องหรือเมาจัดกันแน่
ผ่านไปร่วมชั่วโมง ร่างกายผมก็ไม่สามารถรับแอลกอฮอล์ได้อีกต่อไป ผมนอนแผ่หลาบนโซฟาอย่างหมดแรง โลกทั้งโลกหมุนคว้างและมีภาพซ้อนเยอะแยะไปหมด จนผมไม่อาจฝืนตาให้เปิดอยู่ได้เลยผล็อยหลับไปอีก
กระทั่งครบยี่สิบสี่ชั่วโมง ความปวดหนึบบริเวณหน้าท้องก็ปลุกให้ผมตื่น ผมฝืนลืมตาขึ้นขณะที่อาการเมายังไม่สร่างแม้แต่น้อย ทว่าพอเห็นบางอย่างใต้ผิวหนังหน้าท้องขยับแล้ว ความมึนเมาก็แทบจะมลายหายไป กลายเป็นเบิกตาโพลงที่เห็นว่าคีธยังมีชีวิตอยู่แทน
ยะ...อย่าบอกนะว่าไม่ได้ผล!?
ก็ไม่ได้ผลจริงๆ นั่นแหละ แค่คิดจบเท่านั้น น้ำเมือกสีใสก็ปริไหลจากสะดือผมทีละน้อย ก่อนจะมาพรั่งพรูออกมาเป็นน้ำตกไนแองการา อึดใจเดียว ความสยองขวัญก็บังเกิดกับผมเมื่อนิ้วขาวซีดโผล่ออกมาจากสะดือ ถึงจะเคยเห็นมาก่อนหน้านั้นแล้ว ผมก็ยังอดขวัญผวาไม่ได้ แถมครั้งนี้มันไม่ทะลุพรวดขึ้นมาทีเดียวจบเหมือนครั้งแรกด้วย ค่อยๆ โผล่มาทีละนิ้วสองนิ้ว กว่าจะมาครบทั้งมือ ผมก็อ้าปากจนกรามแทบค้าง
หากแต่ความสยองขวัญมันไม่จบแค่นี้เมื่อหัวของคีธโผล่มา รอบนี้หมอนั่นไม่ได้โผล่ออกมาแบบหน้าตาย แต่โผล่มาในสภาพเหมือนจะตาย ใบหน้าขาวซีดและดวงตาปรือๆ ของหมอนั่นใต้คราบเมือกเหนียวหนืดที่กำลังค่อยๆ เหยียดมือไต่มายังหน้าอกผมในท่าคลานอย่างเชื่องช้าทำเอาผมขนหัวลุกขึ้นมาฉับพลัน
“อ๊ากกก! อึก... อ้วก!” ความสยองขวัญบังเกิดหนักขึ้นเมื่อผมทั้งแหกปากร้องชนิดลืมเมา ทั้งหันไปอ้วกพร้อมๆ กัน
ทรมานคืออะไร วินาทีนี้แหละคือคำตอบ! ตกลงมึงเป็นมนุษย์ต่างดาวหรือจูออน! ตอบ! สยองขวัญสั่นประสาทเกินไปแล้ว!
ผมแหกปากร้องจนเหนื่อย แต่หมอนั่นก็ไม่ยอมออกจากสะดือผมมาสักที ค่อยๆ กระดึ๊บๆ มาได้เพียงครึ่งตัว ก็ฟุบหน้าลงนอนบนแผงอกผมอย่างไร้เรี่ยวแรง พลางพึมพำเสียงต่ำ
“มึนหัว...”
มึงก็ออกมามึนข้างนอกสะดือกูได้มั้ยเล่า! จะค้างเป็นฝาแฝดอินจันไปถึงไหน!
ผมสร่างเมาโดยไม่ต้องรอให้ใครเอาน้ำมาสาด จากที่เป็นฝ่ายรอให้คีธออกจากตัวผม ก็กลายเป็นว่าผมต้องงัดหมอนั่นออกจากสะดือตัวเอง ความที่หมอนั่นตัวใหญ่ สภาพในตอนนี้ก็เลยทุลักทุเลและอุบาทว์ไปพร้อมๆ กัน กว่าจะเขี่ยหมอนั่นออกจากร่างได้ก็เล่นเหนื่อยจนหอบ
คีธนอนแผ่กับพื้นอย่างหมดรูป ตาทั้งสองข้างปิดสนิทขณะที่ปากยังพึมพำอยู่
“ข้า...รู้สึกเหมือนกำลังจะตาย...”
ผมหูผึ่งก็ในตอนนี้ หันไปมองหมอนั่นทันใด และสภาพของหมอนั่นก็ดูจะจริงอย่างที่พูดเสียด้วย เพราะทั้งใบหน้าและสีผิวยังคงดูซีดขาว ไม่ต่างจากตอนที่สละร่างเก่าทิ้งหลังจากวางไข่ใส่ผมเลยแม้แต่น้อย
หรือว่ามนุษย์ต่างดาวนี่จะแพ้แอลกอฮอล์?
“กวินทร์... ขะ...ข้ากำลังจะตาย...”
เสียงของคีธดังขึ้นมาอีกครั้งอย่างแผ่วเบา ก่อนที่มันจะเงียบไปพร้อมกับแผ่นหน้าอกที่ค่อยๆ กระเพื่อมเบาลงและนิ่งไป
ผมมองหมอนั่นอย่างตะลึงงัน ก่อนจะค่อยๆ พยุงตัวเองเข้ามามองใกล้ๆ
“คีธ...” ผมเปล่งเสียงเรียก หากแต่ไร้การตอบสนอง ผมก็เลยเอาเท้าลองเขี่ยๆ ดู ปรากฏว่าไม่ไหวติงอีก เท่านั้นความดีใจก็ลิงโลดขึ้นมาฉับพลัน
ตายแล้ว... คีธตายแล้ว ผมฆ่าหมอนั่น... สะ...สำเร็จแล้ว! ถึงจะผิดแผนไปหน่อยที่ไม่ได้แท้งหมอนี่  แผนชั่วนี่ใช้ได้ผลจริงๆ
เป็นอิสระสักทีไอ้กวินทร์!
กระนั้นผมก็ยังไม่มั่นใจดีว่าหมอนั่นจะตายเพราะเหล้าจริงๆ เลยว่าจะก้มลงไปพิสูจน์ลมหายใจที่จมูก ทว่าความมึนเมาและความอ่อนเพลียจากการคลอดหมอนั่นออกมาก็มาเล่นงานผมเอาในตอนนี้ พอผมโน้มตัวลงปุ๊บ โลกของผมก็ดับวูบไปราวกับมีคนมาปิดสวิตซ์ไฟ ก่อนที่เสียงดังตึงของร่างผมที่ล้มลงกับพื้นจะดังเข้ามาในหูให้ได้ยินเป็นเสียงสุดท้าย แล้วภาพทุกอย่างก็ตัดฉับไปทันตา
---------------------------------
กวินทร์! นังเมียชั่ว! เดี๋ยวเป็นหม้ายขึ้นมาไม่รู้ตัวหรอก 555 วางแผนชั่วงี้ เดี๋ยวตอนหน้ารู้เลย ...รู้เลยจริงๆ ฮาาา

ออฟไลน์ BlueCherries

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4061
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +159/-17
กวินทร์อยากเป็นโสดก็ไม่บอก


คีธจะฟื้นขึ้นมายังไงน้ออออ?  :mew1:

ออฟไลน์ Chompooiriza

  • ~ Good Morning Sunshine ~
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +43/-0
สวัสดีคร้า~

หลงตามกลิ่นเอเลี่ยนเข้ามา

แรกก็เฉยๆนะคะ แต่พอถึงฉากแหวกสะดือเท่านั้นแหละ!

อือฮือๆ ไม่เคยเจอ แปลก แต่ชอบค่ะ แปลกดี~ คริๆๆ

อย่าหายไปนะคะ แต่งต่อไปจนจบนะคะ ติดตามๆค่ะ

ออฟไลน์ angel_Z4

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 784
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-1
กวินทร์เด็กดื้อ.....ทำตัวไม่ดีอย่างนี้ต้องมีลงโทษกันบ้างล่ะ คีธจัดไป!!!ฮ่าๆ :hao7:

ออฟไลน์ GBlk

  • ขอให้สรรพสัตว์จงมีความสุข
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1432
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +82/-43
เมาทั้งคู่

ออฟไลน์ darinsaya

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1

ออฟไลน์ cheyp

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1536
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +49/-0
โอ๊ยยยย หมดคำพูดจริงๆ
ฮ่าๆๆๆ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด