「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก (End.) : ตอนพิเศษ : วานเลนไทน์ปีนี้ - (2/11/60)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: 「Behind the Scene」 #ข้างหลังฉาก (End.) : ตอนพิเศษ : วานเลนไทน์ปีนี้ - (2/11/60)  (อ่าน 195478 ครั้ง)

ออฟไลน์ zongpei96

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 76
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +39/-0
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม






****


Behind the scene

จากคู่จิ้นจะเปลี่ยนมาเป็นคู่จริงได้ไหมนะ...





start : 161219

twitter : @zongpei96


#ข้างหลังฉาก

ตอนที่ 10 - l

****


เป็นวายไทยเรื่องแรก ฝากด้วยนะค้า ^ - ^
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-11-2017 18:49:27 โดย zongpei96 »

ออฟไลน์ oiruop

  • เ รื่ อ ง โ ง่ โ ง่ นี่ ฉ ล า ด นั ก ⊙﹏⊙∥
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 470
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-0
    • https://www.facebook.com/book.yaoi?fref=ts

ออฟไลน์ zongpei96

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 76
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +39/-0

ตอนที่ 1



   ในชีวิตคนเราจะเคยทำอะไรที่ฝืนใจตัวเองมากๆ สักกี่อย่างกัน


   แต่ที่แน่ๆ ผมไม่คิดจะฝืนใจตัวเองในเรื่องใหญ่ๆ อย่างเรื่องเรียน เพราะมันจะมีผลกระทบต่อชีวิตในระยะยาว แต่ถ้าเป็นเรื่องเล็กน้อยที่ผมสามารถฝืนเพื่อทำให้คนที่ผมรักได้ ผมก็จะทำ


   แต่ผมรู้สึกว่ามันชักจะไม่เล็ก…แล้วล่ะ


   “เหมาะมาก! คนนี้ใช่มากๆ!” หญิงสาวหน้าตาน่ารักคนหนึ่งพูดขึ้นเสียงดัง แว่นทรงกลมของเธอหล่นลงมาอยู่ปลายจมูก ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ผมอย่างสำรวจตรวจตรา “การแสดงปรับปรุงได้แต่คาร์แร็คเตอร์นี้ต้องน้องซีนเท่านั้น!”


   “ต..แต่ผมว่า…”


   “เราเลือกน้องซีนค่ะ! ดีใจด้วยนะคะ” พี่ปุ้ยหัวเราะฮิฮะเสียงแหลม หันไปดี๊ด๊ากับสาวแว่นเมื่อครู่ เธอชื่อบัว เป็นนักเขียนนิยายที่กำลังดังอยู่ในขณะนี้ ผลงานของพี่บัวได้รับความนิยมมากจนกำลังจะถูกนำมาสร้างเป็นซีรีส์ ซึ่งมีผมแสดงเป็นตัวเอก


   ผมไม่เคยคิดอยากข้องเกี่ยวกับงานประเภทนี้ เรียกง่ายๆ ว่าไม่สนใจ พี่ปุ้ยรู้จักกับม้าของผมเพราะเป็นรุ่นน้องที่มหาลัย ม้าเคยเป็นดารามาก่อน กำลังจะดังเพราะได้รับเล่นเป็นนางเอกในละครของผู้กำกับมากรางวัล แต่เฮียคัท พี่ชายของผมดันชิ่งมาเกิดเสียก่อน ม้าเลยตัดสินใจออกจากวงการบันเทิงถาวร


   เดือนก่อนพี่ปุ้ยมาเยี่ยมม้าที่บ้าน เจอผมกำลังนั่งชันเข่าโซ้ยมาม่าอยู่หน้าทีวี พี่ปุ้ยแหกปากลั่นบ้าน วิ่งปรี่เข้ามาหาผมหมุนซ้ายหมุนขวา หลังจากนั้นก็หายเข้าไปในห้องรับแขกกับม้าสองต่อสองจนป๊ายังอดระแวงไม่ได้ ผ่านไปเกือบชั่วโมงก็เดินหน้าตาเบิกบานออกมาทั้งสองคน


   ม้าตื่นเต้นมากที่จะให้ผมไปแคสเป็นพระเอกของเรื่อง หว่านล้อมผมไม่หยุดซึ่งในตอนแรกผมก็ยืนกรานว่าไม่เด็ดขาด จนกระทั่ง…


   ‘เพราะซีนรีบมาเกิด ม้าเลยต้องล้มเลิกความฝัน ซีนจะไม่รับผิดชอบหน่อยเหรอ’


   ‘เฮีนคัทเกิดก่อนผมอีกนะม้า ให้เฮียไปแคสดิ’


   ‘คัทอยู่ต่างประเทศ ตอนนี้ม้าก็เหลือแค่ซีน ปุ้ยขอร้องเองเลยด้วย โอกาสอย่างนี้ไม่ได้หาง่ายๆ นะลูก’


   เล่นบทโศกเข้าใส่ผมก็ไปไม่เป็นสิครับคุณหญิงแม่


   ‘นะคะน้องซีน ไปลองดูก่อนนะ นะนะ’


   ‘ผมไม่เคยแสดงมาก่อนนะครับ’


   ‘ถ้าแคสไม่ได้ยังไงค่อยว่ากัน แต่ลองไปดูเถอะนะ นะคะ’
พี่ปุ้ยเป็นสาวประเภทสองร่างบึกบึน แลดูทนทานต่อทุกสิ่ง แต่ตอนนี้พี่แกแทบหลอมละลายลงไปกับพื้นหากผมปฏิเสธ


   ‘งั้น…ก็ได้ครับ’


   และแล้ว…จากประสบการณ์การแสดงเป็นก้อนหินตอนมัธยมต้นและเป็นต้นไม้ตอนมัธยมปลายก็ทำให้ผมแคสผ่านจนได้มานั่งอยู่ตรงนี้แหละครับ ขอเสียงปรบมือหน่อย ถุย!


        ไหนบอกว่าแค่ลองไง หลอกกูไปเชือดชัดๆ!


         พี่ปุ้ยจงใจจะเลือกผมอยู่แล้วและให้ไปเรียนการแสดงเอาทีหลัง


         แผนสูงนักนะ! ไม่เล่นก็ไม่ได้ด้วยรับปากม้าเอาไว้แล้วว่าถ้าแคสผ่านผมเล่นแน่นอน เห็นม้ามีความสุขก็ขัดไม่ลง ความกตัญญูมันค้ำคอ แม้ผมต้องฝืนกล้ำกลืนต่อไปอีกหลายเดือนก็เถอะ


         ฮือออ ปฏิเสธทันไหมวะ ไม่เอาแล้ว ไม่อยากทำ อยากงอแงใส่ม้าแบบที่ชอบทำแต่เรื่องนี้เป็นเรื่องเดียวจริงๆ ที่ม้าจะเป็นฝ่ายงอแงใส่ผมคืนมั่ง


         ได้เป็นตัวเอกมันก็น่าดีใจอยู่หรอก มันเป็นนิยายแนวรักใสใสหัวใจสี่ดวงนี่แหละครับ ติดตรงที่ว่า…มันเป็นนิยายวาย!


         “แล้วไหนพี่บอกผมเป็นพระเอก”


         “ใช่ค่ะ มันเป็นชาย-ชาย ก็มีพระเอกสองคนไง” ถึงจะไม่ค่อยรู้เรื่องพวกนี้เท่าไหร่ แต่ผมก็มีเพื่อนที่ค่อนข้างสนิทเป็นสาววายด้วยนะครับ บทผมมันนายเอกไม่ใช่เรอะ…


         “แต่น้องซีนเป็นรับแค่นั้นเอง”


         แค่นั้นเองโพ่ง…


         “เขาดูตามสรีระมั้งครับ” คนที่นั่งอยู่นานพูดขึ้น ผมหันไปถลึงตาใส่มัน


         “ขาสั้นไม่ได้แปลว่าอย่างอื่นจะสั้น!”


         หน็อย แค่สูงกว่าเกือบสิบเซนทำมาเป็นพูด!


         มันคือโซล รับบทพระเอกของเรื่อง เป็นรุ่นน้องที่มหาลัยแต่คนละคณะ และเป็นอีกเหตุผลที่ทำให้ผมไม่อยากเล่นเรื่องนี้      ถ้าถามว่าทำไมถึงเหม็นขี้หน้ามันน่ะเหรอ เหอะ ผมเคยเจอมันมาแล้วสองครั้ง…


        ครั้งแรก…


   เอี๊ยดด!


   ผมเหยียบเบรกสุดแรงจนหัวโขกกับพวงมาลัย ใจเต้นโครมครามเหมือนจะกระเด็นออกมา ตั้งแต่ขับรถเป็นยังไม่เคยชนหรือเกิดอุบัติเหตุอะไรเลยนะเว้ย แล้วนี่ในมหาลัยด้วย ผมเกือบชนคนไปแล้ว!


   “เป็นอะไรหรือเปล่า” ถามคนที่กำลังลุกขึ้นมาจากพื้นปัดฝุ่นตามตัว เสื้อนักศึกษาสีขาวมีรอยดำเป็นแถบจากการสไลด์ตัวอย่างสวยงามเมื่อสักครู่


   “เจ็บนิดหน่อยครับ”


   “เฮ้อ ก็ดีไป”


   คนตรงหน้าไม่สนใจแผลที่ข้อศอกตัวเองด้วยซ้ำ เขาเอาแต่ลูบหัวปลอบขวัญลูกหมาในอ้อมกอด


   “แล้วนี่อยู่คณะอะไร บัญชีป่ะ? จะได้ติดรถไปด้วยกัน” ผมว่าแล้วยกนาฬิกาขึ้นดู สิบโมงห้านาทีเลยเวลาเพื่อนนัดไปเรียบร้อย


   “เปล่าครับ เรียน…”



   Rrrrrrrr



        มันอ้าปากพูดไม่ทันจบโทรศัพท์ผมก็สั่นเป็นเจ้าเข้า หน้าจอโชว์เป็นชื่อไอ้จั๊มพ์ เพื่อนสนิทที่เคร่งครัดเวลามากโดยเฉพาะเวลานัดกินข้าว


   (ไส้จะขาดแล้ว! อย่าบอกนะว่าเพิ่งตื่น)


   “เพิ่งตื่นบ้าอะไร อยู่ในมอแล้ว เกิดอุบัติเหตุนิดหน่อย”


   (อ้าวเฮ้ย! เป็นไรวะ แล้วมึงเป็นไรเปล่า อยู่ไหนเดี๋ยวกูไปหา)


   “จั๊มพ์มึงใจเย็นก่อน กูไม่สึกหรอตรงไหน เดี๋ยวเล่าให้ฟัง แค่นี้แหละ”


   (กูเป็นห่วงนะเชี่ยซีน รีบมาเลย พีมรอ เจ๊ก็มาละ)


   “พีมมาแล้ว?! เออๆ จะรีบไป” ผมเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋า มองผู้ชายตัวสูงตรงหน้าด้วยสายตาที่เริ่มหงุดหงิด เพราะความเป็นคนดีเกินเหตุของหมอนี่ทำให้ผมไปสาย พีมมารอแล้วด้วย อย่างนี้ผมเสียคะแนนแหงม


   “เอาเป็นว่าขอโทษแล้วกัน แต่ทีหลังก็อย่าทะเล่อทะล่าโดดมาขวางหน้ารถคนอื่นอีกล่ะ ดีนะที่เบรกทัน”


   “ก็คุณเกือบชนมันหนิครับ”


   หล่อไปอีก…กูเลยดูเหมือนฆาตกรใจโฉดไปเลยใช่ไหม


   แอบกรอกตาในใจแล้วบอกมันว่า “เออๆ ขอโทษที่ขับรถอยู่บนถนนดีๆ ก็ผิด” ไม่ได้ประชดนะเว้ย “แต่ตอนนี้รีบ อยากให้ทำยังไงก็ว่ามา”


   คนตรงหน้าเงียบ ผมเลยถามออกไปอีกครั้ง “ให้จ่ายค่าเสียหายไหมหรือยังไง” …ก็บอกมาสิวะครับ กูรีบ!


   “ไม่เป็นไรหรอกครับ คุณรีบไปเถอะ”


   เออ ก็แค่นั้น


   แต่ใครจะไปรู้ว่ามันจะเจ้าคิดเจ้าแค้น เมื่อผมมาเจอกับมันครั้งที่สอง…


        “ถ่อมาที่นี่ทำไมวะเด็กบัญชี”


        “เพื่อนหายหัว เลยมาดูว่าตายยัง”


        โรงอาหารคลาคล่ำไปด้วยผู้คน แต่โดยส่วนใหญ่จะเป็นเด็กคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ผมนั่งลงข้างไอ้ทิม ส่วนไอ้จั๊มพ์นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ข้างๆ มันคือไอ้โฟร์ ครบทีมก๊วนเพื่อนสมัยมัธยม


        “มาหลีหญิงก็บอกเหอะ”


        “ไร้สาระ กูไม่ใช่พวกมึงนะ” ผมว่าหน่ายๆ สายตาสอดส่องหาร้านข้าวที่คนน้อยที่สุด เหมือนจะคิดผิดที่มาที่นี่ โรงอาหารคณะผมคนยังไม่เยอะเท่านี้เลย วุ้ย


        “แต่กูว่าอย่างไอ้ซีนหลีใครไม่เป็นหรอกว่ะ มีแต่ผู้ชายอ่ะหลีมัน” หัวเราะครืนกันทั้งโต๊ะ แท็กมือกันสนุกสนาน


        “พวกเชี่ยนี่!” ผมเตะขาไอ้ทิมไปทีนึงเพราะมันอยู่ใกล้สุด


        “โอ้ย! ล้อเล่น อย่าฟ้องเฮียคัทนะมึง ตอนเด็กๆ เคยแกล้งมัน เฮียมันเกือบฆ่ากู” มันเปิดเรื่องรำลึกความหลัง


        ผมเรียนที่เดียวกับไอ้ทิมมาตั้งแต่สมัยประถม ไอ้ทิมตัวใหญ่กว่าเด็กคนอื่น แต่ที่ชอบแกล้งผมเป็นพิเศษเพราะผมตัวเล็กกว่าใครเขาแล้วก็ดูอ่อนแอเหยาะแหยะเหมือนลูกคุณหนู แถมคุณครูยังชอบโอ๋อีก มันเลยหมั่นไส้


        ถ้าจำไม่ผิดน่าจะ ป.6 วันนั้นขึ้นมาเล่นกับเพื่อนที่สระว่ายน้ำ แบ่งเป็นสระเด็กกับสระผู้ใหญ่ ลูกบอลกระเด็นไปที่ขอบสระผู้ใหญ่ผมจึงขึ้นจากสระเด็กไปเอา แต่มันเล่นพิเรนทร์ กะจะผลักผมเล่นๆ แต่คว้าเอาไว้ไม่ทัน



        ตู้ม!...เกิดเป็นโกโก้ครั้นช์



        กลืนน้ำไปหลายอึก ลืมตาอีกทีก็เห็นหน้าเฮียคัทและไอ้ทิมที่สะอึกสะอื้นอยู่ข้างๆ ผมคิดว่ามันรู้สึกผิดและกลับตัวกลับใจได้เลยไม่แกล้งผมอีกเลยหลังจากนั้นมา แต่เปล่าเลย พอสนิทกันมันถึงเพิ่งมาเล่าว่ามันถูกเฮียคัทจับกดน้ำ สำลักน้ำหูน้ำตาเล็ดกว่าจะยอมปล่อย ตอนนั้นเฮียคัท ม.2 เองมั้ง โคตรเถื่อนเลยเฮียกู


        “กูโตแล้วนะ ตอนนั้นมึงก็นิสัยไม่ดีเอง”


        “ก็มึงน่าแกล้งนี่หว่า เอ้า! ไอ้โซล” ยังว่าไม่ทันจบมันก็เอ่ยทักผู้ชายตัวสูงคนนึง เอ…แต่ผมว่ามันคุ้นๆ แฮะ


        “หวัดดีพี่” พอเดินเข้ามาใกล้แล้วชัดเลย เป๊ะเลย ไอ้คนรักหมาคนนั้นไม่ผิดแน่!


        “เป็นไงมั่ง หายหัวนะมึง”


        “โหยพี่ จะตายแล้วเนี่ย”


        “อย่างมึ…”


        “แผลหายยัง” โพล่งออกไปตามใจคิด ทั้งโต๊ะเงียบกริบ หันมามองผมเป็นจุดเดียว


        “มึงรู้จักกันเหรอ”


        “คนนี้ไงที่กูเกือบชนอ่ะ” พวกมันรู้เรื่องกันหมดแล้วจากการโพนทะนาของไอ้จั๊มพ์ ก็เลยพยักหน้าร้องอ๋อยาวไปถึงคณะบัญชีที่อยู่อีกฟากนึงของมหาลัย


        “มันชื่อโซล ปี 2 รุ่นน้องกูเอง”


        “โซ?”


        “โซล ที่แปลว่าจิตวิญญาณน่ะครับ”


        มันกระดกลิ้น แถมมีอวดคำแปลด้วย แล้วดูของผมสิ scene ใครๆ ก็รู้ว่าแปลว่า ฉาก


        ทำไมสั้น!


        “แล้วได้ไปหาหมอไหม” ผมถาม ไม่ได้ห่วงอะไรมันหรอก แต่จิตสำนึกอันดีงามของผมมันร่ำร้องให้ผมแสดงความเป็นคนดีออกไปบ้าง ถึงตอนนี้ผมจะโคตรหมั่นไส้มันฉิบหายเลยก็เถอะ


        “ไม่ครับ แผลนิดเดียว”


        “ก็ดีแล้…”


        “ขอบคุณที่เป็นห่วงครับ”


        มันยิ้มอ่อน


        ผมสตั๊นไป 1.234 วินาทีโดยประมาณ ลองย้อนอ่านขึ้นไปข้างบนกูเพิ่งบรรยายไปว่าไม่ได้ห่วงมึง อ่านสิอ่าน!


        “มึงทำน้องคณะกูเจ็บ ชดใช้ค่าเสียหายโดยการเลี้ยงข้าวพวกกูมาซะดีๆ อย่าให้พี่ใช้กำลัง!” ไอ้โฟร์ลุกขึ้นตบโต๊ะดังป้าบ เพื่อนอีกสองตัวพยักหน้าเห็นดีเห็นงาม เฮ้ย กูไม่ผิด รุ่นน้องมึงกระโดดมาให้ชนเองนี่หว่า


        “ส่วนมึงไอ้โซล ทำเพื่อนที่กูฟูมฟักเหมือนไข่ในหินใจหายใจคว่ำ เอาเงินไปซื้อข้าวมาให้พวกกูเลย”


        กระเป๋าตังค์ผมไปอยู่ในมือไอ้ทิมตอนไหนไม่รู้ มันควักแบงก์ห้าร้อยยัดใส่มือไอ้เด็กนั่น แล้วชี้ไปที่ร้านข้าวมันไก่ “ทอด 4”


        คุยกันมาสักพัก โรงอาหารคนเริ่มซาลง ไม่นานข้าวมันไก่ร้อนๆ น้ำมันเยิ้มๆ ก็มาเสิร์ฟ มันวางจานให้ทีละคนเหมือนเป็นบริกรร้านอาหาร ผมคนสุดท้าย มันเดินอ้อมมาหาเอาจานวางลงตรงหน้าแล้วเอ่ยพร้อมรอยยิ้มอ่อนของมัน “ทานให้หมดนะครับ”
       

        ครับผม…ถุย!


        “ถ้าผมทำให้พี่ซีนตกใจ ก็ขอโทษด้วยจริงๆ ครับ” ผมชักจะเบื่อพ่อคนดีของมวลมนุษย์และสรรพสัตว์แล้วนะวะครับ เรียกคะแนนสงสารจากเพื่อนกูเหรอหืม


        “โอ้ยน้อง ไอ้ซีนต่างหากต้องขอโทษ” นั่นไง เพื่อนจั๊มพ์ผู้ผดุงความยุติธรรม “มันขับรถไม่ค่อยแข็งอยู่แล้วด้วย ต้องขอบคุณน้องแหละที่ไม่เอาเรื่องมัน”


        รอยยิ้มแห่งชัยชนะปรากฏอยู่บนใบหน้ามันเรียบร้อย ผมอมข้าวไว้เต็มปากมองมันตาขวาง ถ้ายังยืนยิ้มอยู่กูจะพ่นใส่หัวให้


        “ผมผิดเองจริงๆ ครับ แค่กลัวลูกหมามันจะวิ่งไม่พ้นรถพี่ซีนก็เลยวิ่งไปช่วย ยังไงก็ขอโทษอีกครั้งนะครับ”


        “ไม่เป็นไรน้อง ไม่เป็นไร”


        จั๊มพ์ มึงเปลี่ยนชื่อตอนไหน ไม่เห็นบอกกูเลย


        “งั้นก็ขอตัวก่อนนะครับ หวัดดีพี่” มันพยักหน้าให้เพื่อนมันที่อยู่ไกลๆ บอกลารุ่นพี่คณะมันแล้วหันมาพูดกับผมเบาๆ ให้ได้ยินกันแค่สองคน “อย่าอมข้าวเล่นสิครับ”


        พรวด!


        “แค่กๆๆๆ”


        “เป็นไรของมึงเนี่ย”


        “น้ำๆๆ”


        ไอ้จั๊มพ์วิ่งไปซื้อน้ำด้วยความเร็วแสง ไอ้ทิมตบหลังผมดังอั้กๆ ไอ้โฟร์พยายามป้อนน้ำซุปให้ผมไปพลางๆ


        “มันหน้าแดงหมดแล้ว หายใจออกไหมวะหรือข้าวติดหลอดลม”


        “ไอออกมาแรงๆ”


        ป้าบ!


        จะช้ำในตายเพราะมึงนั่นแหละไอ้ทิม!


        เย็นวันนั้นผมท้องเสียอย่างหนัก นอนหมดแรงไปสองวันตัวแห้งกว่าเดิม จะเป็นฝีมือใครไปได้นอกจากไอ้คนเสิร์ฟข้าวมันไก่ มันต้องเอายาถ่ายบดเป็นผงๆ โรยใส่ข้าวจานผมเหมือนในละครแน่ๆ ร้าย…มันร้าย!


        ผมนอนแค้นอยู่บนเตียง นั่งแค้นอยู่ในห้องน้ำ สักวันต้องหาทางเอาคืนมันให้ได้ ขอสาบานด้วยเกียรติ์ของพี่ซีน หนุ่มฮอตคณะบัญชี!



        กลับมาสู่เหตุการณ์ปัจจุบันทันด่วน


        แล้วคือผมต้องมาเล่นจี๋จ๋ากับมัน…แค่คิดก็ยี๊แล้ว


        “น้องโซลเองก็เหมาะมากเลยค่ะ ตอนพี่เห็นน้องโซลแวบแรกพี่ก็...บลาๆๆ” อวยสารพัดจะอวย พี่บัวทำหน้าเพ้อ พี่ปุ้ยมองมันด้วยแววตาพราวระยิบ


        มันก็แค่สูง หุ่นดี หล่อ รวย แค่นั้นเอ๊ง พี่บัวบอกว่ามันโคตรจะพระเอกนิยาย ตรงตามที่ต้องการ พี่ปุ้ยตามตื้อเป็นเดือนก็เอาแต่ปฏิเสธ เรียนสถาปัตย์เวลานอนแทบจะไม่มี มันเอานู่นเอานี่มาอ้างก็แล้วพี่ปุ้ยก็ยังคงคอนเซ็ปตื้อเท่านั้นที่จะครองโลก เรื่องนี้ถ่ายตอนปิดเทอม มันคงไม่รู้จะเอาอะไรมาอ้างแล้วมั้ง แต่พี่ปุ้ยบอกว่าวันหนึ่งอยู่ดีๆ มันก็ติดต่อไปหาพี่ปุ้ยเองเฉยเลย


        “แล้วทำไมมึงถึงยอมมาเล่น”


        “ช่วงนี้ช็อตครับ”


        ช็อตโพ่ง...


        แล้วเบนซ์ตรงลานจอดรถน่ะของใคร!


        เราต้องเข้าเรียนการแสดง โดยเฉพาะตัวผมเอง เพราะนอกจากหินกับต้นไม้ก็ไม่เคยแสดงเป็นอย่างอื่นเลย ลองขอพี่บัวเล่นเป็นต้นไม้ในเรื่องแล้วนะแต่พี่บัวไม่ยอม

 
        ไอ้โซลเคยแสดงละครเวทีของคณะมัน ผมรู้จากปากพี่ปุ้ยอีกที ข้อมูลพี่เขาเยอะมาก เอ่ยชมมันไม่ขาดปาก ตอนแคสมันก็แสดงดี สื่ออารมณ์เก่ง โม้จนผมรู้สึกตัวเล็กลงๆ จนจะมุดรูไปอยู่กับจิ้งจกได้แล้ว ละครเวทีกับซีรีส์ที่พวกผมต้องแสดงอาจแตกต่างกันก็จริง แต่อย่างน้อยมันก็เคยท่องบท เคยฝึกซ้อม เคยแสดง มีประสบการณ์มาก่อนอยู่ดี


        เข้ามาคุยเรื่องนี้กันตั้งแต่ตอนเย็น ตอนนี้ก็ค่ำแล้ว หอบบทละครปึกหนาออกมาจากลิฟต์ก็เจอแต่ความมืด


        ชิบลอส...ไฟดับ!


        แล้วดับอะไรชั้นที่ผมจอดรถวะครับ


        เปล่าเลยไม่ใช่คนกลัวสิ่งลี้ลับ แค่เป็นคนตกใจง่าย ถ้าโผล่มาคือหัวใจวายแน่โอเคไหม


        ยกมือสวดมนต์ก่อนแปบนึงแล้วถึงคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดโหมดไฟฉาย แต่พอยกโทรศัพท์จะส่องทางเท่านั้นแหละ


        “เชี่ย!”


        “โอ้ย!”


        ซัดมือออกไปเต็มแรง ร้องโอดโอยอยู่ที่พื้นแบบนั้นไม่ใช่ผีแน่ ผมเอาโทรศัพท์จ่อหน้ามันดูถึงกับอยากอุทานเป็นคำหยาบอีกรอบ


        “เจ็บนะพี่ ต่อยมาได้”


        “ก็ใครใช้ให้มึงย่องมาเงียบๆ ล่ะวะ”


        “ไฟมันดับก็เลยรีบเดินตามพี่มาเนี่ย”


        “ป๊อด?”


        “คนไม่ป๊อดไม่สวดมนต์ดิ”


        อยากเอาบทละครในมือกระแทกหัวมันสักทีให้ชื่นใจ


        “มันเลยเวลาสวดมนต์กูมาแล้ว ปกติตอนนี้กูต้องเข้านอนเว้ย”


        “หูย ธรรมะธรรมโม” มันยิ้มยียวน หรือผมจะใช้โอกาสตอนที่ไฟกำลังดับฟาดหัวมันดีนะ กล้องจะเห็นไหม เกิดมาไม่เคยมีประวัติด่างพร้อยเลย ลองสักครั้งเป็นสีสันของชีวิตดีไหมนะ


        ระหว่างที่เดวิลกับแองเจิลในตัวผมกำลังทะเลาะกันอยู่นั้น ไฟก็สว่างขึ้น พอสายตาผมชินกับแสงก็เห็นไอ้โซลชัดๆ ยืนอยู่ตรงหน้า ในมือมีบทละครเล่มหนาเหมือนกัน


        “ถอยดิ”


        “เราจะไม่ทำความคุ้ยเคยกันหน่อยเหรอครับ”


        “ทำไมต้องทำ” ต่อให้มีเหตุผลร้อยแปดก็ไม่อยากคุ้ยเคยกับมึงโว้ย!


        “ต้องแสดงด้วยกันไงครับ”


        “ต่างคนต่างแสดงให้มันจบๆ ไปเหอะ”


        “ไว้ว่างๆ มาลองซ้อมบทกันนะครับ”


        ไม่ได้ยินที่กูพูดเลยใช่ไหมเนี่ย แล้วถาปัดมันว่างมากเหรอ พูดไม่ดูตัวเองเลย ผมชักหงุดหงิด "ไม่ซ้อม"


        “อยากถ่ายหลายๆ เทคก็ได้นะครับ ผมไม่มีปัญหา” พ่อคนเก่งลอยหน้าลอยตา โอ้โห ผมก็หัวร้อนสิครับ มึงไม่มีแต่กูมีเว้ยย


        ยิ่งเรื่องนี้พอได้อ่านบทมันไม่ใช่รักใสใสหัวใจสี่ดวงแล้วอ่ะ ผมกับไอ้โซลต้องเล่นเป็นเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อกัน สกินชิพเยอะชิบหาย แล้วยังมีฉาก...


        “จูบ...ต้องซ้อมไหมครับ”


        “ซ้อมไปคนเดียวเถอะมึง!” กระแทกไหล่มันออกมา โพ่งโพ่งโพ่งงงง! ชีวิตผู้ชายอกสามสอกอย่างผมต้องมาตกอับอะไรถึงเพียงนี้ เกิดมาแฟนยังไม่มีเลยสักคน อนาคตแฟนก็กำลังจีบอยู่ จะติดแหล่ไม่ติดแหล่ยังไม่รู้แน่ชัด


        บอกตัวเองว่าให้คิดถึงม้า คิดถึงม้าเอาไว้ เพื่อความฝันของม้า ผมจะปาบทละครทิ้งไม่ได้ จะเอาไปฟาดหัวพระเอกของเรื่องก็ไม่ได้ เดี๋ยวถูกจับเข้าคุกแล้วจะไม่ได้แสดงเรื่องนี้ ม้าต้องเสียใจมากแน่ๆ ผมจะรับทำหน้าที่ลูกที่ดีนี้ให้มันจบๆ ไป


        แค่สามเดือนเท่านั้น!





****

เป็นวายไทยเรื่องแรกที่แต่งและเพิ่งเคยลงที่นี่
ติชมได้นะค้า
ขอบคุณค่า ^ - ^

#ข้างหลังฉาก



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-07-2017 22:26:19 โดย zongpei96 »

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ชอบบบบ  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
ไรท์ เขียนไหลลื่นดีนะ
โซล ซีน  :mew1: :mew1: :mew1:
ที่โซล ยอมมาเล่นละคร
เพราะรู้ว่าซีนมาเล่นด้วยหรือเปล่า
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
คนหนึ่งกวน อีกคนก็ขึ้นง่าย

ออฟไลน์ kyungploy

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 335
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
โซลแอบชอบพี่ซีนแน่ >_<
ปล.เรื่องน่ารักมากเลยค่า

ออฟไลน์ zongpei96

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 76
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +39/-0
ตอนที่ 2







ท่องบทไม่ง่ายแต่ก็ไม่ได้ยากขนาดนั้น ลองอ่านดูหลายๆ รอบก็จำได้แต่พอลองพูดออกมามันเหมือนผมกำลังท่องกลอนอะไรสักอย่าง



ป๊าหัวเราะท้องแข็ง ส่วนม้าพยายามกลั้นหัวเราะ



‘ซีนต้องทำความเข้าใจตัวละครนั้นให้ดี และซีนต้องอินกับมัน’



เปิด ‘friend or fan’ หรือ ‘เพื่อนกันมันส์ดี’ นิยายของพี่บัวขึ้นมาอ่านรอบที่สอง บทที่จะทำเป็นซีรีส์ไม่ต่างจากในนิยายมาก มีแค่บางฉากที่ถูกเพิ่มเติมเข้าไปหรือปรับเปลี่ยนเล็กน้อย ไม่ได้มีผลต่อลักษณะตัวละคร



ตัวละครนั้นเป็นเด็กมหาลัยเหมือนกับผม มีเพื่อนที่สนิทด้วยกันมาตั้งแต่ปี 1 ก็คือพระเอกของเรื่อง อยู่มาวันหนึ่งทั้งสองคนก็เพิ่งรู้ตัวว่าความรู้สึกที่มีต่อกันมันมากกว่าเพื่อน



อ่านไปก็เริ่มน้ำตาคลอ ม้าคิดว่าผมเริ่มจะอินกับมันเข้าแล้ว เปล่าเลย แค่กำลังคิดว่าผมต้องแสดงจริงๆ เหรอ ต้องไปเล่นกุ๊กกิ๊กกับผู้ชายเนี่ยนะ ซ้ำยังเป็นไอ้โซล คนที่มันวางยาถ่ายผมนะม้า! ทำได้แค่ทึ้งหัวตัวเองอยู่คนเดียว วันนั้นถ้าขึ้นไปทำงานอยู่บนห้องไม่อู้ลงมานั่งดูทีวีข้างล่างก็ไม่ต้องเจอกับพี่ปุ้ย แล้วก็ไม่ต้องมาแสดงซีรีส์นี่ด้วย!



อีกอย่างคือการเรียนการแสดงเป็นอะไรที่ทรมานสำหรับผมมาก ต้องแสดงเป็นนู่นเป็นนี่ พูดคนเดียวบ้างล่ะ เอาตามตรงคือผมอาย มองไปเห็นไอ้โซลนั่งกลั้นหัวเราะก็ยิ่งเซ็ง ดีที่ตอนนี้มันไม่ได้มาเรียนแล้วเพราะมันไม่ค่อยว่าง การแสดงมันอยู่ในขั้นโอเคก็เลยรอดไป ต่างกับผมที่เป็นไฟท์บังคับเพราะการแสดงอยู่ในขั้นวิกฤต



‘น้องซีนลองไปซ้อมกับน้องโซลก่อนก็ได้นะคะ ทำความคุ้ยเคยกันเอาไว้ เวลาเล่นมันจะได้เข้ากันได้’



พี่ปุ้ยมาบ้านอีกครั้ง ให้คำแนะนำต่างๆ นานาแล้วก็กลับไป จริงๆ ม้าก็ช่วยได้มากอยู่ แต่มันติดที่ตัวผมเองที่ทำใจไม่ได้ ผมต้องเล่นเป็นรับให้ผู้ชายเลยนะเว้ยยย



‘มันก็แค่การแสดงน่าลูก’



ถือเป็นคำปลอบใจที่ไม่ช่วยอะไรผมเลย ม้าบอกมันเป็นบทที่ท้าทายมากสำหรับนักแสดง แต่ผมไม่ใช่นักแสดงนี่หว่า!



“หน้าตามึงอมทุกข์มาก” ไอ้จั๊มพ์วางชาเขียวลงตรงหน้าให้ผม ส่วนมันดูดกาแฟเข้าอึกใหญ่ “กำลังจะได้เป็นดารา ยิ้มแย้มหน่อยสิเพื่อน”



“อ่ะๆ อย่าพ่นนะ กูอุตส่าห์เดินไปซื้อมาให้ หวังว่าสักวันที่เพื่อนดังจะได้ไม่ลืมกัน”



กลืนชาเขียวสุดที่รักลงคอแล้วถอนหายใจใส่หน้ามันไปทีนึง “ไม่หยุดนะมึง”



“โถ่ เพื่อนรักครับ เลิกเครียดได้แล้ว หน้ายับไม่ขึ้นกล้องไม่รู้ด้วยนา”



“ก็ดี จะได้เปลี่ยนคน”



“มึงนี่พูดยากพูดเย็น ขนาดมึงแสดงห่วยแตกเขายังเลือกมึง แสดงว่าต้องเป็นมึงเท่านั้น เขาเจาะจงมึง”



จากที่อ่านนิยายพี่บัวมา… สูงน้อย ขาว ร่างบาง คือนิยามตัวผมสินะ เขาเรียกผอมไหม!? ก็คนมันระบบเผาผลาญดี! หรือว่าจะไปออกกำลังกาย เอาให้ล่ำกว่าไอ้โซล เห็นชอบคนเป็นรับร่างน้อยดูมุ้งมิ้งน่ารักกัน ถ้าผมตัวบึ้กกล้ามโตก็จะหลุดคาแร็คเตอร์ พี่ปุ้ยจะได้หาคนใหม่



“มึงเคยบอกว่ามีญาติเป็นเทรนเนอร์ใช่ไหม”



“ขี้เกียจออกกำลังกายอย่างมึงอย่าคิดจะฟิตกล้ามเลย ไปยืนแบ๊วๆ หน้ากล้องเหอะ”



ความหวังดับสูญ เนื้อตัวอ่อนเปลี้ย ผมเอาหน้าแนบลงกับโต๊ะ ชาเขียวในแก้วเริ่มละลายเหมือนกับความร่าเริงในตัวผมที่ลดระดับลงเรื่อยๆ ในหัวมีแต่ นิยายวาย ผมเป็นรับ และไอ้โซล



“รออะไรกันอยู่เหรอ” เสียงนุ่มๆ ดังขึ้นบนหัวของผม พีมนั่งลงข้างๆ รอยยิ้มหวานถูกส่งมาให้เหมือนวันแรกที่เรารู้จักกันเปี๊ยบ



“นั่งเล่นน่ะ” ผมเด้งตัวขึ้น ส่งยิ้มหวานเจี๊ยบกลับคืนไป พีมเป็นผู้หญิงหน้าตาน่ารักเหมือนตุ๊กตา นิสัยดี เรียบร้อย ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มตลอด ใจดีและจริงใจกับทุกคน ผมจีบพีม เราคุยกันเรื่อยๆ ไม่เร่งรัด…จนตอนนี้ปี 3 แล้วเนี่ย



“เปิดกล้องเดือนหน้าใช่ไหมซีน”



“อ..อื้ม” มาประเด็นนี้ยิ้มหวานก็กลายเป็นยิ้มแห้งๆ ตอนพีมรู้เรื่องนี้พีมดูดีใจและตื่นเต้นมาก ผมอยากจะแก้ตัวว่าผมไม่ใช่อย่างนั้นแต่พีมไม่ว่าอะไรกลับดูสนับสนุนเรื่องนี้เสียอีก หรือพีมอยากมีแฟนเป็นดารา?



“ช่วงนี้ก็เรียนการแสดงด้วยใช่ไหม น่าสนุกเนอะ”



“อ้อใช่ สนุกมากเลย ฮะๆ” ชวนคุยไม่ถูกเลยถ้ายังคุยเรื่องนี้กันอยู่ ได้แต่เออออตามพีมไป



“อีกหน่อยคนต้องคนจีบตรึมแน่เลย”



“ไม่หรอกน่า”



“โหย ซีนน่ารักจะตาย” เจอคำนี้เข้าไปก็รู้สึกหูอื้อตาลาย ไอ้จั๊มพ์ที่เป็นส่วนเกินอยู่แล้ว ตอนนี้ผมไม่เห็นมันนั่งอยู่ในโต๊ะด้วยซ้ำไป พีมกำลังจะสื่ออะไรกับผมหรือเปล่า หึง? หวง? หรือทั้งสอง?



“น่าถีบด้วยนะบางที” สีชมพูหายวับไปกับตา ผมกัดฟันหัวเราะแหะๆ ตามน้ำไปกับพีม ไอ้มารผจญยักคิ้วจึกๆ ให้



“อ๊ะ เดี๋ยวเราต้องไปแล้ว” พีมมองนาฬิกาก่อนจะลุกขึ้น “สู้ๆ นะซีน เรารอดูซีนอยู่นะ”



มองตามพีมไปจนลับสายตา คำพูดเมื่อกี้เป็นเหมือน M-150 ที่ทำให้ผมมีกำลังฮึกเหิมขึ้นมาทันที!



“จั๊มพ์ กูจะสู้!”



“ห๊ะ? เดี๋ยวๆ อะไรเข้าสิง”



“ที่พีมพูดเมื่อกี้ไง พีมรอดูกูอยู่”



“รอดูมึงเป็นรับให้ผู้ชายอ่ะนะ”



เพล้ง!



กำลังใจแตกสลาย ผมลืมเรื่องนี้ไปได้ยังไง M-150 หมดฤทธิ์ ผมเอาหัวจุ่มโต๊ะลงไปเหมือนเดิม เหลือบมองหน้าจอโทรศัพท์ที่สว่างวาบขึ้น ...พีมส่งไลน์มา



peem : เห็นช่วงนี้ซีนดูเครียดๆ เรื่องที่ต้องแสดงหรือเปล่า

peem : เราเชื่อว่าซีนทำได้ อย่ากังวลไปเลยนะ

peem : เมื่อกี้เรารีบออกมาเลยลืมบอกน่ะ สังเกตซีนมาหลายวันแล้ว



เป็นห่วงกันขนาดนี้อย่าเรียกเพื่อนกันอีกเลยครับคนสวย



ดั่งได้กระทิงแดงชโลมจิตใจ ยิ้มจนเมื่อยปาก ฟันแห้งแล้วแห้งอีก ซีรีส์วายก็ซีรีส์วายเถอะ นอกจอพี่แมนๆ มีแฟน(ในอนาคต)น่ารักก็แล้วกัน! อุวะฮ่าฮ่า 



“มาเป็นคู่ซ้อมให้กูหน่อยดิ เย็นนี้เลย”



“ไปซ้อมกับโซลเองดิ น้องเขาก็รอมึงอยู่ไม่ใช่เหรอ”



“มึงก็รู้ว่ากูไม่ชอบมัน มันไม่ชอบกู”



“อย่าขี้ตู่ไปเองสิวะ น้องมันยังไม่ได้ทำอะไรมึงเลย”



“มึงจะไปรู้อะไร อยู่ต่อหน้าพวกมึงมันก็แอ๊บเป็นคนดีใสใสอ่ะ!”



“ไอ้ทิม ไอ้โฟร์ก็สนิทกับน้องมันยังไม่เห็นว่าอะไรเลย อ้อ เรื่องยาถ่ายนั่นก็หยุดเพ้อเจ้อได้แล้ว วันนั้นเราไปกินส้มตำกันมาจำไม่ได้เหรอ กูก็ท้องเสีย”



พวกมันเป็นพี่น้องที่คลานตามกันออกมาใช่ไหม สงสัยตั้งแต่ที่โรงอาหารถาปัดแล้ว เข้าข้างกันดีจริงๆ เลย!



“ไม่ต้องทำหน้างั้นเลย จะนัดน้องเลยป่ะเดี๋ยวโทรหาไอ้โฟร์ให้ รีบตัดสินใจ เดือนหน้าน้องมันไม่มีเวลามาซ้อมกับมึงแน่” เดือนหน้าไฟนอล เวลานอนมันมีหรือเปล่าเถอะ



ยังไงผมก็เลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว เหมือนโดนล็อคหน้าเอาไว้ให้มองตรง เดินตรงไปอย่างเดียว จุดหมายปลายทางข้างหน้ามีไอ้โซลยืนรออยู่ ยิ้มของมันเย็นยะเยือกพร้อมขยับปากเป็นคำพูดว่า ‘เอากี่เทคดีครับพี่’



เชี่ยยย หลอน!



การแสดงผมก็ดีขึ้นอยู่มากถ้าไม่ได้คิดไปเอง ยิ่งพีมตั้งหน้าตั้งตารอดูอย่างนี้ผมยิ่งต้องพยายามให้มากขึ้น อีกอย่างถ้าเล่นแข็งเป็นหินไม่ได้อายแค่ไอ้โซลหรือพีม แต่อายคนทั้งมหาลัยด้วย เดินออกไปไหนเผื่อคนจำได้คงจะกระซิบกระซาบกันว่าไอ้นี่ไงที่แสดงเป็นหิน ผมไม่อยากชื่อน้องสโตนนะเว้ย! 



“อ้าว กำลังจะโทรหาเลย” ไอ้จั๊มพ์มองเลยไปข้างหลัง ผมหันไปก็เจอไอ้ทิม ไอ้โฟร์และไอ้โซล เดินเรียงหน้ากระดานเป็นบอยแบนด์มาเลย ผู้หญิงโต๊ะข้างๆ ละจากหนังสือเรียนสะกิดเพื่อนกันใหญ่ ผมนั่งอยู่ตรงนี้ตั้งนานยังไม่เห็นสนใจเลย ผมก็คนหล่อของคณะนะ!



“โซล ไอ้ซีนอยากซ้อมด้วยอ่ะ ช่วงนี้ว่างไหม”



“มาทำไม”



สองคำถาม สามคนงง



ไอ้โซลนั่งลงข้างไอ้จั๊มพ์พรรคพวกของมัน ส่วนไอ้ทิมกับไอ้โฟร์นั่งประกบผมเหมือนผมเป็นบอส หึ คนมากกว่าเห็นๆ




“เปลี่ยนใจแล้วเหรอครับ” มันยิ้มกริ่ม



ที่เคยบอกไอ้โซลว่าต่างคนต่างแสดงเป็นแค่คำพูดที่อยากสื่อออกไปเฉยๆ ว่าไม่อยากข้องเกี่ยวด้วย



ตอนก่อนเข้าฉากเห็นว่าจะมีคนคอยซ้อมบทให้แต่ซ้อมกันไว้ก่อนก็น่าจะดีกว่า ผมอยากได้แบบเทคเดียวผ่านเลย รีบถ่ายรีบจบ อีกอย่างผมต้องเข้าฉากกับมันเยอะมาก เป็นทั้งเพื่อนสนิทตัวติดกัน แล้วต้องมารักกันอีก มีแค่ฉากดราม่าที่ต่างคนต่างหลบไปทบทวนความรู้สึกตัวเองนั่นแหละ ถึงจะได้ถ่ายเดี่ยว



หันไปทางไหนก็เจอแต่มัน หมดแรง หนียังไงก็หนีไม่พ้น สู้พุ่งชนมันไม่ดีกว่าเหรอ!



“อือ ว่างวันไหน”



“ผมยังไม่แน่ใจ”



“เอาเบอร์มันไปดิ” จั๊มพ์ ผู้จัดการส่วนตัวของชีวิตผมเสนอขึ้น มันเคยรู้ใจผมทุกอย่างจนกระทั่งไอ้โซลเข้ามา ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป เรื่องมันเศร้าขอเหล้าเข้มๆ



มันยื่นโทรศัพท์ไอ้โซลให้ผม “หนุ่มขอเบอร์จ้า”



โพ่ง…



ทำหน้าหงุดหงิดใส่ก็ไม่สะเทือน กดเบอร์เสร็จก็ส่งโทรศัพท์คืนให้เจ้าของ



“ไว้จะโทรหานะครับ”



“อือ”



“ต้องก่อนสองทุ่มไหมครับ เผื่อพี่ซีนสวดมนต์”



“ไม่ต้อง” กัดฟันแน่นมาก เพื่อนสามตัวทำหน้างงแต่ผมไม่อธิบาย ปล่อยให้ไม่รู้เรื่องต่อไปนั่นแหละดีแล้ว “จะโทรตอนไหนก็โทร!”



“อ่า เข้าใจแล้วครับ”



“ในจอเป็นเพื่อนรัก นอกจอไม่ชอบขี้หน้ากัน มึงว่าตอนจบจะเป็นยังไงวะ”



“กูว่าได้ลงเอยเหมือนในจอว่ะ” แท็กมือกันฮาเฮ ไม่แคร์ที่ผมนั่งอยู่ตรงกลางระหว่างพวกมันเลย ลงเอยบ้าอะไรล่ะ! แค่คิดก็ขนลุกแล้วโว้ย



“หยุดเลย จะมาป่วนก็กลับไป”



“โอ๋…” ไอ้โฟร์ลากเสียงยาว เอาแขนมาคล้องคอ ไอ้ทิมจับปลายคางผมเหมือนกำลังหยอกล้อสาวน้อย “อย่าหน้ามุ่ยสิจ้ะ พวกพี่ล้อเล่น”



ที่เคยบอกว่ามันเลิกแกล้งผมแล้ว ขอถอนคำพูด!



“พวกมึงนี่ มันยิ่งเครียดๆ อยู่” ไอ้จั๊มพ์พูดขึ้น แต่เมื่อกี้ผมยังเห็นมันหัวเราะถูกอกถูกใจอยู่เลย



เพื่อนแม่งไว้ใจไม่ได้สักคน!















สองทุ่มตรงเสียงโทรศัพท์ก็ดัง หน้าจอโชว์เบอร์แปลกชวนให้ไม่อยากกดรับ ยิ่งคิดว่าคือไอ้โซลยิ่งอยากตัดสายทิ้ง แต่ผมก็ไม่ได้ทำ



“ว่ามา”



(รับเร็วจัง รอผมอยู่เหรอครับ)



“มือเผลอไปโดนเว้ย บอกวันเวลามาเร็วๆ”



(อ่า เสาร์นี้ครับ กี่โมงก็ได้)



“ที่ไหน”



(ห้องผมไหม?)



เบ้หน้าตอนมันบอกว่าให้ไปห้องมัน เคยไปห้องไอ้ทิมกับไอ้โฟร์ กระดาษชานอ้อยเกลื่อนเต็มพื้น สกปรกทั่วทุกมุมห้อง



“เข้าได้แน่นะ”



ถามย้ำให้แน่ใจ ถึงแม้ผมจะเห็นด้วยไปแล้วก็เถอะ เพราะถ้ามาบ้านผมก็ไม่อยากให้ป๊าม้าเห็น ถ้าเข้าไปในห้องนอนผมก็ไม่อยากให้มันเข้า



(มาแล้วจะรู้เองครับ)



พูดจาน่าพังโมเดลมึงมาก…



(จะมากี่โมงก็ตามใจพี่เลยนะ)



“กูจะไปหกโมงเช้า”



เสียงหัวเราะดังมาตามสาย ก่อนมันจะบอกที่อยู่ของมันให้ เป็นคอนโดไม่ใกล้ไม่ไกลจากมหาลัย ถ้าไปถึงให้โทรหามันอีกที ผมจึงกะเวลาไว้ว่าจะไปประมาณ 10 โมง ต้องบอกเอาไว้ก่อน ไม่งั้นไปถึงแล้วมันไม่ตื่นผมก็ได้รอน่ะสิ



“แค่นี้แหละ”



(รีบไปสวดมนต์เหรอคร้าบ)



“กวนตีน”



(ฮ่าๆ ผมล้อเล่นน่า เจอกันครับ)



มันดูอารมณ์ดีเนอะ เหมือนไม่เครียด ไม่ปฏิเสธอะไรเลย ทั้งที่จริงงานมันก็เยอะยังมาเพิ่มภาระให้ตัวเองอีก ไฟนอลจบก็เริ่มถ่าย เวลาพักไม่กี่วันของมันก็ต้องจำบท ผมยังหาเหตุผลที่มันรับแสดงเรื่องนี้ไม่ได้เลย จะว่าชอบก็ไม่ใช่ ไม่งั้นตอนแรกจะปฏิเสธพี่ปุ้ยทำไม



แล้วผมจะมาสนใจเรื่องของมันทำไมวะ?



“เออออ” ผมว่าแล้วกดตัดสาย





หลังจากซีรีส์เรื่องนี้คอนเฟิร์มว่านักแสดงนำคือผมกับไอ้โซล โซเชียลต่างๆ ของผมก็มีฟอลโลเวอร์เพิ่มขึ้นหลายพัน ไม่รู้ว่ามันดีไหมแต่ส่วนตัวผมคิดว่าไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่ ผมไม่ได้สนใจยอดไลค์หรือคนที่มาชื่นชอบ ผมคิดแค่ว่าต่อไปนี้ชีวิตผมจะไม่เป็นส่วนตัวอีกต่อไป



แต่ถึงอย่างไรผมก็อดไม่ได้ที่จะเข้าไปเช็คดูความคิดเห็นของคนที่อ่านนิยายเรื่องนี้ ผมจึงไปเช็คที่ทวิตเตอร์ พี่ปุ้ยบอกว่ามีแฮชแท็กของเรื่องนี้อยู่ด้วย ให้เข้าไปดูในแท็กเลยจะได้ตามง่ายๆ



@nongwaii

ซีนน่ารักมากกกกกกกกกกกกกก โซลก็หล่อมากกกกกกกก ฟ้ด่ดาฟาหกเหสหฟาก่ฟาฟฟ #fof




@iammeoww

เหมาะมากกกกกก ถึงแม้นายเอกจะเตี้ยไปหน่อยแต่น่ารักดีค่ะ #fof




เหมือนถูกไม้ฟาดเข้ากลางกระหม่อม จะชมหรือด่า เลือก!



เข้าใจนะว่าในนิยายนายเอกสูงไล่ๆ กับพระเอก ก็ใครใช้ให้ไอ้โซลมันสูงกว่าผมเยอะกันเล่า ผมมาตรฐานชายไทยนะเว้ย!



@tttt007

อดใจไม่ไหวล้าวว อยากดูฉากในห้องครัว!! >,,,,< #fof



@fanclubpbua

แอร๊ยยยยย ซีนมิ้งมั่กกกกกกกก ใครมีประวัติสองคนนี้โยนมาทางนี้หน่อยค่า #fof



@kungpeuak

รุ่นพี่มอเราเองค่า พี่ซีนบัญชีปี 3 พี่โซลถาปัดปี 2 ไม่มีแฟนทั้งคู่ เค้าคบกันได้ค่ะ ฮิๆๆๆๆ /แนบรูป #fof




ตรรกะไหนวะครับคุงเผือกๆ อะไรเนี่ย ไม่มีแฟนทั้งคู่ใช่ว่าต้องคบกันไหมล่ะ แล้วนี่แคปรูปผมมาจากไอจีด้วย รูปไอ้โซลก็น่าจะเหมือนกัน



@tingjating

อยู่ด้วยกันต้องน่ารักมากแน่ๆ เลยอ่า พี่ซีนหน้าเด็กจัง มันน่ากหฟกสฟดฟววฟงดกวอฟว #fof



@ishipyounaokay

เคยเจอพี่ซีนที่มอโคตรน่ารัก โคตรเคะ ใสซื่อหน้าหลอกล่อมากกก ส่วนพี่โซลตัวจริงหล่ออิ๊บอ๋าย ลุ้นให้รักกันนอกจอเลยได้มั้ยคะๆ >////////< #fof #โซลซีน




ไม่ได้ครับน้อง!!



ลุ้นไปก็ผิดหวัง ผมเมนชั่นหาได้ไหมเนี่ย แล้วแท็กหลังคืออะไร๊! นี่แค่คอนเฟิร์มนักแสดงนะ ไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าซีรีส์ฉายไปจะขนาดไหน อีกอย่างคือผมหล่อ ไม่ได้น่ารักมุ้งมิ้งนะเว้ยย!



@oohhoo

กรี้ดดดดดดดด เราอยู่บ้านใกล้กับพี่ซีน ติ่งมานานมากกกก บางวันเห็นจูงหมาออกมาเดินเล่นโคตรน่าฉุดดด #fof




น…น่ากลัว



ผมรีบเดินไปปิดม่านทันที รู้สึกเสียวสันหลังแปลกๆ เกิดมาเพิ่งรู้ว่าผู้หญิงน่ากลัวขนาดนี้!



ผมกดออกจากทวิตเตอร์ด้วยอาการหน้าซีด น้องอู้วหูวอะไรนี่ทำเอาผมไม่อยากออกจากบ้านเลย



หลังจากนั้นสักพักไอ้โซลก็ฟอลผมมาทั้งไอจีทั้งทวิตเตอร์ ด้วยความที่เราต้องแสดงด้วยกันและหนีไม่พ้นการสร้างกระแสที่พี่ปุ้ยก็เปรยๆ กับพวกผมอยู่บ้าง ผมเลยต้องฟอลมันกลับไปอย่างช่วยไม่ได้



ท่องบทไปก็จำได้บ้างจำไม่ได้บ้าง พอคิดว่าต้องไปยืนพูดต่อหน้าไอ้โซลก็เกิดทำใจขึ้นมาไม่ได้อีก เลยสไลด์บทละครให้ไปไกลๆ สายตาแล้วหันมาจับโทรศัพท์แทน กดเข้าแอพสีน้ำเงินของคุณมาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก พีมก็อัพบ่อยๆ แต่ส่วนมากจะเป็นรูปไปกินข้าวกับเพื่อน หรือทำกิจกรรมอะไรบ้างวันๆ แค่นี้ ไม่มีสเตตัสอินล้งอินเลิฟมั่งเล้ย อย่างน้อยผู้หญิงต้องแสดงอะไรออกมาบ้างสิ แต่ผมก็เริ่มชินแล้ว พีมอาจเป็นพวกให้ความสัมพันธ์เป็นเรื่องของเราสองคน ไม่จำเป็นต้องเปิดเผยอะไรเทือกนั้น ไถดูเพลินๆ แอพสีเขียวก็เด้ง เป็นไอ้คนที่เพิ่งวางสายไปเมื่อชั่วโมงที่แล้วนี่เอง



soul.kr : พี่ซีน



แนวมากป่ะ แม่งเอาโซล (soul) ไปพ้องกับโซล (seoul) เมืองหลวงของประเทศเกาหลี รู้ว่าหล่อแต่ไม่ต้องเสนอตัวขนาดนี้ก็ได้ไหม



sscene : อะไรอีก



soul.kr : เห็นในทวิตยัง กระแสดีเนอะ



ดีกะผีน่ะสิ คนโดนชมว่าหล่อมันก็พูดได้นี่!



sscene : ตอนแสดงคนอาจไม่ชอบก็ได้



soul.kr : นั่นสินะครับ งั้นเราต้องซ้อมให้มากๆ



ตอนนี้พวกเขาอาจชื่นชอบรูปร่างหน้าตาของผมกับไอ้โซลก็จริง แต่ถ้าแสดงออกมาห่วยไม่โดนด่ายับเหรอ ยิ่งนิยายสนุกและดังขนาดนี้ แฟนคลับก็ต้องคาดหวังมากอยู่แล้วว่าซีรีส์จะออกมาสนุกเหมือนในนิยายหรือเปล่า โอยตาย งานนี้ผมว่ามันไม่ยากแล้วล่ะ แต่ยากโคตรๆ เลยต่างหาก



sscene : ถ้ามึงมีเวลาน่ะนะ



soul.kr : เวลามีให้อยู่แล้วแหละครับ



sscene : เออๆ ก็นัดมาแล้วกัน กูไปนอนละ



soul.kr : ฝันดีครับ



ขนลุกเกรียวเลย ใครสอนให้พิมพ์หาผู้ชายด้วยกันแบบนี้วะ ผมส่งสติกเกอร์รูปมูนโมโหหน้าแดงไป  ไม่ได้การต้องแคปให้ไอ้จั๊มพ์ดู เด็กมึงกวนตีน ดูเลยดู!



แต่เหมือนผมจะคิดผิด ลืมไปเลยว่ามันพวกเดียวกัน กดบล็อกเพื่อนตัวเองจะเป็นอะไรไหม…







Jumper : จีบไรเบอร์น้านน



sscene : พ่องสิ!







****
 :mew3:
#ข้างหลังฉาก
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-01-2017 11:10:01 โดย zongpei96 »

ออฟไลน์ Babelilong

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 304
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
    • Facebook  เข้ามาขอเป็นเพือนได้เลย

ออฟไลน์ zongpei96

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 76
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +39/-0



ตอนที่ 3







วันเสาร์แสนสดใสก็มาถึง เมื่อคืนผมเตรียมตัวไว้ดีมาก พูดคนเดียวเกือบทั้งคืน ผลปรากฏว่า…หลับคาบทละคร! ยิ่งกว่าอ่านหนังสือสอบอีก ผมวิ่งกระหืดกระหอบลงจากบ้าน ไม่ชอบขี้หน้ามันแต่การตรงต่อเวลาก็เป็นเรื่องสำคัญ ไอ้จั๊มพ์ฝึกผมมากับมือ



ไอ้โซลลงมารับผมข้างล่าง เพิ่งเห็นมันใกล้ๆ ว่ามีหนวดขึ้นรำไร ทำให้หน้าตาพระเอกเกาหลีของมันดูห่ามขึ้นแต่ยังหล่อเหมือนเดิม



ไม่ได้อิจฉานะ ไม่ได้อิจฉา!



“กินอะไรก่อนไหมครับ”



“ไม่ต้อง เอาเลย”



“รีบเหรอครับ ผมไม่หนีไปไหนหรอกน่า”



“มึงก็ลีลา” เวลายิ่งน้อยๆ จะมานั่งกินขนมชมวิวได้ยังไงเล่า เผื่อวันอื่นมันไม่ว่างอีกก็ไม่ได้ซ้อมน่ะสิ



แต่ไอ้โซลเดินหายเข้าไปในห้องครัว ก่อนออกมาพร้อมกับของในมือที่ทำผมตาค้าง จ้องไม่วางตา



“แม่ผมไปญี่ปุ่นเลยซื้อมาให้”



สารพัดขนมรสชาเขียว! ที่ไทยก็มีขาย ที่บ้านผมก็มีเป็นกอง แม่ซื้อตุนเอาไว้ให้เพราะเห็นว่าผมชอบมาก คิทแคทห่อใหญ่วันเดียวก็กินหมดแล้ว!



“เพิ่งมาถึง ผมว่าเรานั่งคุยกันก่อนดีไหม”



ม…ไม่



ไม่ปฏิเสธ!



“ตามสบายเลยนะครับ ยังมีอีกเยอะ”



งั้นไม่เกรงใจแล้ว! เรื่องซ้อมเอาไว้ก่อน ชาเขียวสำคัญที่สุด ถ้ามีอย่างนี้ทุกครั้งที่มาห้องไอ้โซลก็สวรรค์ของผมดีๆ นี่เอง ผมนั่งกินขนมตรงหน้าอย่างเอร็ดอร่อย ไม่สนใจไอ้เจ้าของห้องที่นั่งเท้าคางอยู่ฝั่งตรงข้าม ไม่ใช่แพนด้านะเว้ยมานั่งมองเวลากินทำไม



“ไม่กินอ่ะ” พวกขนมจุกจิกที่บ้านมีเยอะแล้วผมเลยหันมาจัดการบราวนี่ชาเขียวที่ไม่มีชื่อร้านก่อน และตอนนี้กำลังจะต่อด้วยไอศกรีมชาเขียว แต่มันส่ายหน้า



 “บราวนี่ซื้อที่ไหน อร่อยขนาดนี้ทำไมกูไม่เคยลอง”



“แม่ผมทำเอง”



“จริงดิ!” ก็ว่าแล้วเชียว ร้านไหนเด็ดไม่เคยซ่อนผมได้หรอก รู้สึกอยากฝากตัวเป็นลูกศิษย์แม่มันขึ้นมาทันที เนื้อบราวนี่ชาเขียวเข้มข้นยังติดอยู่ที่ปลายลิ้นอยู่เลย



“แต่แม่หวงสูตรมาก ถ้าไม่ใช่คนในครอบครัวก็เอาสูตรไปจากแม่ไม่ได้” มันยิ้มแปลกๆ เหมือนอ่านใจผมได้ ผมยู่หน้า แค่แอบเสียดาย ของดีแบบนี้ต้องถูกเก็บไว้เป็นความลับระดับชาติ ถ้าเปิดร้านผมว่าแม่มันรุ่งแน่ แล้วก็จะมีผมนี่แหละที่เป็นลูกค้าประจำ



“แม่ทำไม่บ่อย ถ้าทำอีกจะเอามาให้พี่แล้วกัน” ผมพยักหน้าหงึกหงัก พูดดีทำดีแล้วไอ้น้อง อย่างนี้ค่อยคบกันได้หน่อย



“พี่ซีนดูจะชอบมาก”



“ที่สุดอ่ะ นี่ขนาดเฮียคัทยังชอบไปด้วยเลย”



“พี่ชายเหรอครับ”



“ช่าย แต่ตอนนี้ไม่อยู่ ต่อโทอยู่ต่างประเทศ มึงล่ะ” ผมว่าแล้วตักไอติมเข้าปาก มันใกล้จะหมดเลยต้องละเลียดตักทีละนิด รู้ว่ามันคงมีอีกเยอะแต่ผมก็ฟาดขนมมันไปเยอะแล้วเหมือนกัน



“ลูกคนเดียวครับ”



“จริงดิ ไม่เหงาเหรอ”



“ทำไม จะมาช่วยคลายเหงาเหรอครับ”



“แค่ก!” ถึงกับสำลักไอติม ...ยุบหนอพองหนอ... ผมไม่ได้มองหน้ามัน ตั้งหน้าตั้งตากินต่อไป ยิ่งพูดมันยิ่งกวน ถ้ากูเป็นมะม่วงป่านนี้กูเละไปละ



“ถ้าปิ๊กมี่ได้กินก็ต้องชอบแน่ๆ” สุดท้ายผมก็อดพูดขึ้นไม่ได้อยู่ดี ของกินมันอร่อยโดนใจอ่ะ ยิ่งเป็นของชอบด้วย แปบๆ ก็อารมณ์ดีแล้วลืมไปเลยว่าไม่อยากคุยกับมัน



“ปิ๊กมี่?”



“อืม หมากูเอง”  เฮียคัทเอามาให้เป็นของขวัญที่สอบเข้ามหาลัยได้ ผมดูแลและฝึกมันมากับมือ ดีที่เฮียคัทมีเพื่อนเป็นสัตวแพทย์ด้วย แรกๆ ก็คอยปรึกษาพี่หมอตลอด เวลาผมกินอะไรก็อยากให้มันกินด้วยแต่พี่หมอบอกว่ามันไม่ดี หมากินของหวานบางตัวอาจไม่ดุ ไม่ก้าวร้าว แต่ยังไงก็สี่ยงต่อโรคเบาหวานแล้วก็โรคอื่นที่จะตามมาอยู่ดี ผมเลยต้องใจแข็งต่อสายตาละห้อยของมัน




“ทำไมชื่อนี้ล่ะครับ”



“พันธุ์คอร์กี้น่ะ”



“อ๋อ…” มันกลั้นขำ ก่อนจะโบกไม้โบกมือว่าไม่มีอะไร



ด่าผมในใจแหงมๆ!



แต่ไอศกรีมชาเขียวคำสุดท้ายนุ่มลิ้น รสชาเขียวเต็มคำมากเลยดับอารมณ์กรุ่นๆ เอาไว้ได้พอดี



นั่งกินจนเพลิน รู้ตัวอีกทีก็ผ่านมาเป็นชั่วโมงแล้ว ผมเผลอตัวนั่งฝอยกับมันนานขนาดนั้นเลยเหรอวะเนี่ย พอของชอบเข้าปากก็กลายเป็นคนเฟรนลี่เลย แล้วมันก็นั่งมองผมโดยไม่แตะขนมเลยสักคำ



“มองอะไรนักหนา”



“ปกติไม่ค่อยเห็นผู้ชายชอบกินของหวาน”



“อร่อยก็กินหมดแหละ ผู้ชายก็คนนะเว้ย” แม้ตอนแรกจะอายหน่อยๆ ที่เดินเข้าไปสั่งเค้กชาเขียวคนเดียวก็เถอะ เพื่อนผู้ชายผมแทบทุกคนไม่มีใครชอบกินของหวานเลย คือผมก็ไม่ได้ชอบทุกอย่างนะ ผมชอบแค่ที่เป็นรสชาเขียว อย่างไอ้จั๊มพ์นี่ชอบอะไรขมๆ แต่ก่อนเวลาเห็นผมกินอะไรเกี่ยวกับชาเขียวทีไรแม่งเบ้ปากใส่ทุกที มันก็ไม่ได้หวานมากเปล่าวะ - -*





ผมกับไอ้โซลตกลงกันว่าจะกินข้าวเที่ยงมันเลยแล้วกัน ไหนๆ ก็เลยเวลามาขนาดนี้แล้ว ผมที่ว่างอยู่แล้ว เห็นไอ้โซลไม่มีท่าทีเดือดร้อนกับเวลาที่เสียไปก็เลยปล่อยเลยตามเลย



“ไม่ต้องห่วงครับ” มันว่า ยืนพิงกรอบประตูมองผมหาวัตถุดิบที่จะเอามาทำอาหาร เหตุที่ผมต้องลงมือทำเองเพราะ หนึ่ง มันทำไม่เป็น สอง ถ้าสั่งจะนาน ผมกับมันทนหิวไม่ไหวเลยว่าจะทำอะไรง่ายๆ กินกันเอง ถึงจะกินขนมไปเยอะแต่สำหรับผมแล้ว ของหวานกับของคาวแยกกระเพาะกันครับ



“ข้าวผัดแล้วกัน ง่ายสุด” ดีที่ห้องมันยังมีฮอทดอกสำหรับเวฟ ไข่ แล้วก็ข้าว นอกนั้นก็มีแต่อาหารแช่แข็งกับมาม่า ถ้าผมไม่หัดทำอาหารจากม้ามาบ้างวันนี้คงได้นั่งกินข้าวกล่องเซเว่นกับมันแล้วแหละ ขนาดแต่ก่อนแค่ทอดไข่ผมยังกลัวน้ำมันกระเด็นใส่เลย



กลิ่นข้าวผัดหอมฉุย ผมปิดแก๊สกำลังจะหันหลังไปหยิบจานแต่ไอ้คนที่ยืนพิงกรอบประตูเมื่อสักครู่เดินมาอยู่ด้านหลังผมเมื่อไหร่ไม่รู้ มันทาบตัวลงมาใช้สองแขนกักผมเอาไว้ตรงเคาน์เตอร์



“หอมจัง” ผมตัวแข็งทื่อ ตกใจจนพูดไม่ออก ตัวมันที่แนบลงมาทำให้ผมไม่กล้าขยับ



ทำบ้าอะไรวะ!



ที่ว่าหอมคือข้าวผัดใช่ไหม แต่มึงมาดมซอกคอกูทำไม!



 “ใส่นี่แล้วโคตรเซ็กซี่เลยรู้ไหม” มันพ่นลมหายใจรดต้นคอจนผมต้องห่อไหล่ “แต่จะดีกว่านี้…ถ้าเหลือแต่ผ้ากันเปื้อน”



เคล้ง!



“จะทำอะไรวะ!”



ผมหันไปผลักมันออก มองมันตื่นๆ หน้ามันไม่ได้มีแววหื่นกามหรือโรคจิตอย่างที่คิดเอาไว้แต่กลับเป็นใบหน้าที่กลั้นขำแบบสุดๆ



“ซ้อมบทไงครับ” ว่าหน้าตาเฉย “จำฉากนี้ไม่ได้เหรอ ในนิยายก็มีนะ”



ฉ…ฉากนี้?



น…ในห้องครัว?



จำได้ลางๆ ว่าเป็นฉากที่ผมเปิดอ่านข้ามๆ เพราะหลังจากนี้มัน…เอ่อ…เป็นฉากอัศจรรย์ที่ในซีรีส์ก็มีแต่จะไม่ลงรายละเอียดเหมือนในนิยาย



“กินข้าวเสร็จก่อนสิวะ! แล้วก็ให้กูเตรียมตัวด้วย แม่ง ตกใจหมดเลย” มันพยักหน้าอืออา แต่เหมือนพูดแล้วเข้าหูซ้ายทะลุหูขวามันยังไงไม่รู้ ผมตักข้าวใส่จาน มือยังสั่นอยู่เลย โอย ขวัญเอ๊ยขวัญมา



“ผมช่วย”



“ไม่ต้อง! มึงไปนั่งรอเฉยๆ เลย” เดี๋ยวก็มาแกล้งกูอีก มิตรภาพชาเขียวของกูกับมึงจะจบลงตรงนี้แหละ เกือบญาติดีกันอยู่แล้วเชียว!





ผมนั่งอ่านบทระหว่างรอมันล้างจาน เปิดเจอฉากในห้องครัวก็รู้สึกแค้นขึ้นมาอีกครั้ง ทำเอาเสียวสันหลังไม่หาย อย่าให้ผมได้เล่นเป็นพระเอกมั่งแล้วกัน!



เราเริ่มจากฉากง่ายๆ กันก่อน และแค่ต่อบทกันธรรมดาเท่านั้น เอาจริงๆ แค่จำบทแล้วพูดให้เป็นธรรมชาติยังยากสำหรับผมเลย



“พี่ลองคิดว่าผมเป็นเพื่อนสนิทพี่ดูสิ”



ผมมองหน้ามัน หน้ามันไม่ได้เหมือนไอ้จั๊มพ์ ไอ้ทิม และไอ้โฟร์ มันคงรู้ว่าผมยังทำใจมองมันเป็นเพื่อนสนิทไม่ได้ มันเลยวางบทลงกับโต๊ะตัวเล็กตรงหน้าโซฟาที่พวกเรานั่งอยู่แล้วหันหน้ามาหาผมตรงๆ



“ดูอย่างผมนะ…” ผมพยักหน้า มันลังเลนิดหน่อยก่อนจะพูด



“ซีน” หืม…ว่าไงนะ “มึงจะอ้ำอึ้งอีกนานไหม”



“ในเรื่องกูไม่ได้ชื่อซีน”



“ผมทำเป็นตัวอย่างให้ดูเฉยๆ น่า” มันหัวเราะแหะๆ “แต่ประโยคหลังมีในบทนะครับ”



ที่จริงมันง่ายสำหรับผมอย่างนึงคือผมพูดแบบนี้กับมันอยู่แล้ว เพียงแต่จะแอบอารมณ์ขึ้นเวลาที่มันเรียกผมคืนบ้างนี่แหละ ถึงแม้จะเป็นการแสดงก็เถอะ!



เพราะไอ้โซลชอบทำหน้าตาเหมือนมีลับลมคมใน เหมือนมีอะไรบางอย่างต่อผมซึ่งผมไม่รู้ว่าดีหรือไม่ดี บางทีมันก็เหมือนไม่มีพิษภัยอะไร แต่พอมาดูจากที่โรงอาหารถาปัดแล้วก็ในห้องครัวเมื่อกี้… ผมเลยยังตะขิดตะขวง ไม่รู้จะเป็นมิตรหรือไม่ชอบขี้หน้ามันต่อไปดี


เราต่อบทกันไปเรื่อยๆ ตอนแรกผมอาจจะเกร็งไปหน่อย แต่พอไอ้โซลเข้าโหมดเป็นการเป็นงานเลยทำให้ผมจริงจังไปด้วย ผมไม่คิดว่าไอ้โซลเป็นเพื่อนคนใดคนหนึ่งในชีวิตจริงของผม แต่ผมพยายามคิดว่าตัวผมคือตัวละครตัวนั้นที่เป็นเพื่อนสนิทกับมันแทน และอาจเพราะผมเริ่มคุ้นเคยกับมันบ้างแล้ว การต่อบทเลยไม่มีปัญหาอะไร



“เราลองมาแสดงกันดูไหม”



“อืม ก็ดะ…”



“ฉากในห้องครัวเป็นไงครับ”



ป้าบ!



ผมเอาบทละครฟาดแขนมัน มันหัวเราะพลางลูบแขนตัวเองไปด้วย



“แหม ล้อเล่นครับ เอาง่ายๆ ก่อนเนอะ”



“ก็เออสิ”



ฉากที่ว่าไม่มีอะไรมาก คือผมต้องโมโหมันโดยที่ไม่รู้ตัวว่ากำลังหึง… แสดงไม่น่ายากแต่รู้สึกกระดากมากกว่า แหวะ ใครจะไปหึงคนอย่างมันฮะ!



ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ มันยืนอยู่นิ่งๆ เพราะผมต้องเริ่มก่อน



พอทำสมาธิได้ผมก็ขยับเข้าไปกระชากคอเสื้อมันเข้ามา



“มึงไปไหนมา!”



“…”



“กูถามว่ามึงไปไหนมา!” มันมองหน้าผมนิ่งก่อนจะเสสายตาหลบ เอาลิ้นดันกระพุ้งแก้ม



โอ้ย หมั่นไส้เว้ย! ทำโมโหแบบเท่ๆ เหรอวะมึง



“ไปกับน้ำ”



“แล้วทิ้งกูไว้คนเดียวน่ะเหรอ!”



“มึงหยุดบ้าก่อน”



“มึงก็ตอบมาสิวะ!” ผมตะคอกใส่ไม่พอยังกำคอเสื้อมันแน่นขึ้นด้วย มันเลยยกมือขึ้นมาจับมือผมเอาไว้ทั้งสองข้าง



ไอ้โซลถอนหายใจ จ้องผมด้วยสายตาจริงจังจนผมที่เล่นบทนี้อยู่ชักกลัวขึ้นมาหน่อยๆ มึงจะต่อยกูไหม กูผิดเองที่กระชากคอมึงแรงมากเพราะความหมั่นไส้ล้วนๆ ไม่มีแรงหึงผสม



“งั้นมึงก็ตอบมาให้ได้ก่อน…ว่าโกรธที่กูทิ้งมึงเอาไว้คนเดียว หรือมึงหึงที่กูไปกับน้ำกันแน่” น้ำเสียงมันราบเรียบแต่แฝงอารมณ์คุกกรุ่นเอาไว้



เออ แสดงดีอ่ะ ยอมรับก็ได้



“พี่ทำให้ผมทึ่งนะเนี่ย ไหนบอกไม่เคยแสดงมาก่อน”



“เรียนมาแล้วก็ต้องเอามาใช้ไหม” ยิ่งถ้าเป็นฉากต้องต่อยมันผมจะทำได้ดีกว่านี้อีก มองมือที่โดนมันจับอยู่ก็รีบชักออกมา



“แต่เล่นแรงนะครับ”



“สมจริงป่ะล่ะ” ผมว่า ยิ้มเล็กๆ ให้มันที่ลูบบริเวณคอที่มีรอยแดงอยู่จางๆ



“หึหึ จริงสินะ…เราต้องเล่นให้มันสมจริง”



รู้สึก…เสียวสันอีกแปลกๆ อีกแล้วนะว่าไหม…







“ทำไมเลือกเอาแต่ฉากแบบนี้ฮะ”



“หรือจะเอาแบบในห้องครัว”



“ฝัน!”



“สักวันมันจะกลายเป็นความจริงครับ”



“แต่วันนั้นยังมาไม่ถึง!”



แล้วก็ไม่อยากให้มาถึงด้วย! ผมเบือนหน้าหนีรอยยิ้มของมัน ยังไงมันก็เป็นคนกวนตีน(ผม)อยู่ดี



“พูดมากอยู่ได้ เริ่มได้ยัง”



“นี่ผมผิด... โอเคครับ ผมพร้อมแล้ว” ไอ้โซลนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามผม บนโต๊ะมีจาน ช้อนส้อมและแก้วน้ำประกอบฉากเพื่อให้สมจริง



ผมต้องโมโหมัน...อีกแล้ว



ดูมันเลือกมาแต่ฉากที่ต้องอารมณ์ขึ้นตลอด แล้วก็เป็นผมที่ต้องใส่อารมณ์กับมัน ผมก็เหนื่อยนะเว้ยยย



ป้าบ!



“โอ้ยยยยยย” ผมสะบัดมือไปมาไล่ความเจ็บ เมื่อกี้ใส่เต็มแรง ผมจะอินกับบทไปไหมหืมมมม



“ถ้ามีฉากต้องต่อย พี่คงใส่ผมไม่ยั้งเลยสินะ”



รู้ตัวก็ดีแล้ว!



ผมไม่ตอบโต้ ตั้งสมาธิแล้วเอาใหม่



ป้าบ!



ตบโต๊ะมันเบาๆ พอ



“มึงทำแบบนี้หมายความว่าไงวะ!”



“...”



“มึงไม่พูดอ่ะ”



“มีบทผมด้วยเหรอ”



“ก็ต้องมีสิ มึงเป็นพระเอกนะไม่ใช่ธาตุอากาศในเรื่อง”



มันก้มลงไปดูในบทแล้วขอโทษขอโพย ตอนนี้เริ่มเย็นๆ แล้ว เราซ้อมกันมาตั้งแต่บ่าย ไอ้เหนื่อยมันก็เหนื่อยอยู่หรอกแต่มันดูเพลียๆ มากกว่าผม สติสตังเริ่มไม่โฟกัสกับการแสดงแล้ว ผมบอกให้พอก่อนค่อยมาซ้อมใหม่ มันเลยให้ฉากนี้เป็นฉากสุดท้าย



“เอาใหม่”



ป้าบ!



“มึงทำแบบนี้หมายความว่าไงวะ!”



“อย่าแกล้งไม่เข้าใจสิวะ”



“ไอ้เหี้ย! มึงมันเหี้ย!”



ผมหมุนตัวจะเดินหนี แต่มันคว้าแขนเอาไว้



“จะไปไหน”



“ไปให้พ้นจากคนเหี้ยๆ แบบมึงไง!”



“กูไม่ให้ไป”



“ปล่อย!”



มันดันผมติดกับขอบโต๊ะ โน้มหน้าลงมาใกล้ “แค่ชอบมึงมันเหี้ยตรงไหน”



จะเน้นคำว่าชอบไปไหนวะ… แล้วก็เข้ามาใกล้ไปแล้วโว้ยย



“ทั้งๆ ที่มึงมีผู้หญิงคนอื่นอยู่แล้วน่ะนะ? ไอ้คนเห็นแก่ตัว!” ผมผลักมันออกและมันก็ยอมถอยแต่โดยดี มันควรจะจบแค่นั้นแต่ผมคว้าแก้วน้ำที่ผมรินน้ำใส่จนเต็มและ…







ซ่า!!





เกิดความเงียบระหว่างผมกับมันไปเกือบนาที… มันดูอึ้งไปก่อนจะลูบน้ำออกจากหน้า แต่ผมนี่กลั้นขำสุดฤทธิ์



“…ไม่มีในบทนี่ครับ”



“แหม มันก็ต้องนอกบทบ้าง อารมณ์มันพาไปอ่ะ” อันนี้พูดจริงๆ นะเว้ย ก็ในเรื่องมันคบควบสองนี่นา อีกอย่างผมเห็นมันดูง่วงๆ ด้วย ...เป็นไง ตื่นเลยอ่ะดิ๊



ผมจะชักมือกลับแต่มันไม่ยอมปล่อย



“นอกบทเหรอครับ... อารมณ์พาไป...?”



“ก..ก็เออน่ะสิ”



“ได้ครับ…ได้”





มันยิ้มเย็น...เห็นนะว่ากัดฟันแน่นมาก





และจากสายตาที่มันมองมาทำให้ผมรู้เลยว่า…กูโดนเอาคืนแน่นอน!







****

สวัสดีปีใหม่(ย้อนหลัง)ค่า♡

ขอให้เป็นปีที่ดีของทุกคนนะค้า

#ข้างหลังฉาก

ออฟไลน์ Secret_Deer

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 35
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
สวัสดีปีใหม่นะคะ ❤❤❤

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ zongpei96

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 76
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +39/-0



ตอนที่ 4







“ซ้อมเป็นไงมั่ง”



“ก็ดี”



“ดีแบบไหน”



“มึงต้องการอะไร”



“ก็แบบ…ได้…ด๊วฟๆ..กันป่ะ” ไอ้จั๊มพ์ทำปากจู๋พะงาบๆ เหมือนปลาทองเวลากินอาหาร



ด๊วฟๆ โพ่ง...



“ฉากแบบนั้นใครจะไปซ้อมกันล่ะ!”



ผมพยายามไม่คิดถึงฉากนั้น รู้ว่ามันต้องเกิดสักวัน แต่ผมต้องผ่านมันไปให้ได้ในเทคเดียว!



“อ่า ไม่ก็ไม่” ไอ้จั๊มพ์ยกนาฬิกาขึ้นดู “แล้วนี่จะไปเลยหรือเปล่า”



“ไปเลยก็ได้ มึงจะเอาของไปให้ไอ้โฟร์ด้วยไม่ใช่เหรอ”



ผมติดรถไอ้จั๊มพ์ไปเพราะเมื่อคืนมันมานอนบ้านผม ตอนเช้าเลยมากับมัน ลืมไปเลยว่านัดไอ้โซลซ้อมวันนี้



“มึงกับน้องมันดีกันแล้วใช่ไหม”



“เด็กมึงโคตรน่าหมั่นไส้” ผมมองออกไปนอกหน้าต่าง คณะไอ้โซลกับคณะผมอยู่ห่างกันเป็นโยชน์ อยู่คนละฝากของมหาลัยเลยด้วยซ้ำ



“เด็กกูอะไร”



“ก็เห็นเข้าข้างกันดี”



“มึงนั่นแหละที่อคติ”



มีผมคนเดียวใช่ไหมที่เห็นความกวนตีนของมัน



“มันแกล้งกู”



“ใครไม่แกล้งมึงบ้าง”



“พวกมึงไปอยู่ด้วยกันให้หมดเลย!!”



“ฮ่าๆๆๆๆๆ”



มันจอดรถ เปิดประตูลงไปทั้งที่ยังหัวเราะตัวงอก่อนจะเดินเข้ามาหาผมที่ทำหน้าบูด



“ป่ะๆ ไปหาพระเอกของมึงกัน”



จะสะบัดตัวออกแต่มันก็ล็อคตัวผมแล้วก็ลากให้เดินเข้าไปใต้อาคารเเล้ว



ใต้คณะมีนักศึกษานั่งอยู่ประปราย แต่ที่จะเห็นเป็นกลุ่มใหญ่ๆ ก็...พวกไอ้โซล



ผมเดินเข้าไปทางเด็กกลุ่มใหญ่นั้นทันทีเพราะเห็นว่าไอ้ทิมกับไอ้โฟร์ก็นั่งอยู่ด้วย ไอ้โซลเห็นผมก็เดินเข้ามาหา



“อ้าว ผมว่าจะไปรับพี่”



“กูมาหาเพื่อนกู”



“อ่าครับ... ยังไงก็รอแปบนึงนะ ผมขอคุยงานก่อน”



และแน่นอนว่าผมต้องติดรถไปกับมันอย่างช่วยไม่ได้ ผมนั่งลงโต๊ะข้างๆ พวกไอ้โซลที่มีเพื่อนผมนั่งอยู่ก่อนแล้ว มันเป็นโต๊ะที่เอามาต่อรวมกันเป็นโต๊ะใหญ่ ฉะนั้นพวกมันพูดอะไรผมก็ได้ยิน



“นี่พี่ซีนใช่ป่ะ”

“เล่นเป็นเมียมึงในเรื่องน่ะเหรอ”

“ตัวบ๊างบาง”

“คนนี้ที่มึงบอกว่า...”



ประโยคหลังผมไม่ค่อยได้ยินเพราะพวกมันกระซิบกระซาบกัน



ไหนบอกว่าคุยงานไง



แล้วเมียเมออะไร!!!



“เฮ้ย! พวกมึงนินทาเพื่อนกูเหรอวะ” เป็นไอ้ทิมที่โพล่งขึ้น



“เปล่าพี่ แค่พูดถึง”



“อย่าซุบซิบสิวะ จะพูดอะไรก็มาพูดต่อหน้า เพื่อนกูไม่กัด” ผมสะกิดไอ้ทิมจะบอกว่าไม่เป็นไร จริงๆ ก็แค่ทำตัวไม่ถูกเฉยๆ ที่ตกเป็นเป้าสายตาและเป็นหัวข้อบทสนทนาใหม่แบบสดๆ ร้อนๆ แต่เพื่อนไอ้โซลคนนั้นก็เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าผมแล้ว



“สวัสดีครับพี่ซีน ผมชื่อกัน เป็นเพื่อนไอ้โซล เมื่อกี้แค่พูดถึงจริงๆ นะครับ เพราะคำว่าน่ารักฉิบหายไม่ใช่คำนินทานี่นา”



เสียงโห่แซวดังมาจากกลุ่มเด็กโต๊ะข้างๆ ส่วนผมนี่ใบ้แดก ไอ้เพื่อนตัวดีแม่งก็ร่วมไปกับเขาด้วย เออ รุ่นน้องมึงทำดี แต่กูเพื่อนมึงนะ!



ผมส่งยิ้มแหยๆ ไปให้แม้จะรู้สึกปวดสมองตุบๆ คือมันยิ้มกว้างจริงใจมาก จะให้ด่าก็ด่าไม่ลง มันอาจถูกเพื่อนสั่งมา มันอาจใสซื่อจริงๆ ก็ได้...มั้ง



“ไป...คุยงานกับเพื่อนไหม” พวกนั้นมองจ้องมาที่ผม ผมเลยคิดว่าคงรอไอ้น้องกันนี่กลับไปคุยงานต่อ



“เพื่อนกูไล่น่ะ”



“ไม่ใช่นะเว้ย”



“ใช่สิ กูรู้จักมึงมานาน กูรู้น่า” ผมเหยียบเท้าไอ้ทิมให้ฟังผมแล้วแต่มันไม่หือไม่อือ มารยาทน่ะรู้จักไหม รักษาน้ำใจเด็กมันหน่อย!



“ไม่เป็นไรพี่ ผมไม่ซี”



มันยิ้มเหมือนเดิมแต่มีอะไรแปลกๆ ไป





“ไอ้โซล!” เด็กตรงหน้าตะโกนขึ้นทั้งที่เจ้าของชื่อก็ไม่ได้ยืนอยู่ไกลเลย “น่ารักจริงๆ ด้วยว่ะ” ว่าแค่นั้นก่อนจะเดินจากไป



ทิ้งให้ผม...ใบ้แดกอีกรอบ



รู้แล้ว...



รอยยิ้มมัน...เหมือนเพื่อนมันไม่มีผิด!



หลังจากนั้นเสียงเด็กโต๊ะข้างๆ ก็ดังขึ้นอีกครั้ง



“โดนกูมาก”

“ว่าแล้วทำไมมึง...”

“ยิ่งมองใกล้ๆ นี่แม่ง...”

“ไอ้สัด ของเพื่อนมึงท่องเอาไว้!”

“โห ขอกูไปเล่นกับพี่เขามั่งได้ไหม”

“หยุดเลยพวกมึง!” ผมไม่ได้หันไปมองพวกนั้นอีกแต่ผมรู้ว่านี่คือเสียงไอ้โซล

“ขึ้นแล้วเหรอวะ แหมม”

“หุบปากน่า”

“โอเคๆ เดี๋ยวเหยื่อรู้ตัวเนอะ หึหึ”



พวกมัน...พูดเรื่องอะไรกัน






นั่งไปได้สักพักไอ้โฟร์กับไอ้ทิมก็กลับไปทำงานที่หอต่อ ไอ้จั๊มพ์ก็มีธุระด้วยเหมือนกัน...



“อยู่ได้นะ”



“ได้อยู่แล้ว”



“ญาติกูเสือกอยากเซอร์ไพร์ส”



“เออๆ มึงไปเถอะ” ผมโบกมือไล่มัน มันต้องรีบไปรับญาติมันที่สนามบิน ไม่ใช่ผมอยู่คนเดียวไม่ได้ ถึงแม้ว่าเราจะตัวติดกันตลอดก็จริงอยู่ แต่ที่มันกังวลคงเป็นเพราะผมต้องนั่งอยู่ท่ามกลางเด็กคณะอื่นล่ะมั้ง ก็แค่รู้สึกแปลกๆ ผมไม่ค่อยชอบอยู่กับคนที่ไม่รู้จักเท่าไหร่ ในที่นี้ก็รู้จักไอ้โซลแค่คนเดียว



“มึงไม่ต้องห่วงน่า” ไอ้จั๊มพ์พยักหน้า เหมือนจะเข้าใจนะถ้ามันไม่...




“ไอ้โซล ฝากดูเพื่อนกูด้วย!”



ตะโกนหาสวรรค์อะไรวะเพื่อน โว้ยย มันหันมามองกันทั้งกลุ่มเลย



ไอ้โซลปลีกตัวออกมาหาผมทันที ไอ้จั๊มพ์เห็นอย่างนั้นก็เลยเดินออกไปอย่างสบายใจ ปล่อยให้ผมนั่งตัวลีบอยู่ตรงนี้ที่เดิม



“ไปรอที่ห้องผมก่อนไหม เอารถผมไป”



ผมส่ายหน้า เราไม่ได้สนิทกันถึงขนาดนั้น เห็นแบบนี้ผมก็เกรงใจมันนะครับ



“งั้นรออีกแปบนะครับ” แปบตั้งแต่กูมา แปบของมันเป็นชั่วโมง รอจนจะหลับแล้วเนี่ย



“เอาน้ำป่ะ”



ผมก็ส่ายหน้าอีก



แล้วมันจะถามผมทำไมถ้าพอปฏิเสธแล้วมันก็เดินไปทางร้านขายน้ำแบบนั้นน่ะ!





“หายคอแห้งก็คุยกับผมหน่อย” ชาเขียวปั่นวางอยู่ตรงหน้า... ผมเห็นแก่ที่มันเดินไปซื้อมาให้หรอกนะเลยหยิบมาดูดไปสองอึก





“พอใจยัง”














ที่บอกว่าคุยเรื่องงาน ผมนึกว่าจะคุยเรื่องโปรเจคไรแบบนี้กันซะอีก แต่ได้ยินเหมือนจะเป็นงานเลี้ยงอะไรก็ไม่รู้ คุยกันไม่ได้จริงจังเลยด้วยซ้ำ เหมือนว่าไอ้โซลจะปลีกตัวออกมาหลายครั้งแต่เพื่อนมันดึงเอาไว้ ผมไม่ได้หันไปมองหรอกแค่ได้ยินพวกมันพูดกัน



ผมนั่งดูนู่นดูนี่ในโทรศัพท์ไปเรื่อย แบตก็จะหมด จะเอาหนังสือขึ้นมาอ่านก็ไม่มีอารมณ์ จะให้มานั่งท่องบทตรงนี้มันก็ดูจริงจังเกินไปหน่อย แต่ถ้าจะให้นั่งอยู่เฉยๆ ก็ทำไม่ได้ เพราะพวกเด็กโต๊ะข้างๆ หันมามองผมบ่อยมาก ยิ่งผมนั่งคนเดียวแบบนี้ยิ่งทำตัวไม่ถูกเข้าไปกันใหญ่



ผมเป็นตัวประหลาดหรือไงวะ



พอเริ่มหงุดหงิด ผมเลยระบายโดยการจิ้มหน้าจอโทรศัพท์แรงๆ



เลิกมอง เลิกมอง เลิกมองเดี๋ยวนี้!!





“ผมจะถามอีกครั้งว่ากลับก่อนไหม”



ผมเงยหน้าขึ้นมองคนที่วางกุญแจรถเอาไว้ให้ตรงหน้า



“มาครับ เดี๋ยวพาเดินไปที่รถ”



“ไม่เอา”



“ผมรู้ว่าพี่เบื่อ”



“กูรอได้จริงๆ” แม้ว่าแปบของมันจะเลยครึ่งชั่วโมงมาแล้วก็เถอะ...



“ไม่ต้องเกรงใจจริงๆ”



ยอกย้อน…



ผมวางโทรศัพท์ลงแล้วพูดกับมันจริงจัง



“ไว้ใจกูขนาดไหน มึงไม่กลัวกูปล้นห้องมึงหรือไง”



เราเพิ่งรู้จักกันไม่นาน ถึงไม่กลัวว่าผมจะขโมยอะไรแต่ให้คนที่เพิ่งรู้จักเข้าไปอยู่ในพื้นที่ส่วนตัวแบบนี้ผมว่ามันไม่โอเค แม้ว่ามันอาจจะทำไปตามมารยาทหรืออะไรก็ตามแต่



แต่มันกลับเหมือนไม่ได้ใส่ใจอะไรและตอบกลับผมมาด้วยสีหน้าจริงจังไม่แพ้กัน





“ปล้นอะไรก็ปล้นไปเถอะครับ อย่าปล้นหัวใจผมก็พอ”





ผมไม่รู้ตัวว่าพวกเพื่อนไอ้โซลจ้องมันตั้งแต่มันเดินออกมาหาผมแล้ว พอมันพูดประโยคนี้จบ คงเดากันได้ใช่ไหมครับว่าเกิดอะไรขึ้น...




“ฮิ้วววววววววว”

“โอ้ววว ว้าววๆๆๆๆ”

“มันออกโรงเองเลยว่ะ”

“เพื่อนกูหายกากแล้วเหรอวะ”

“ไม่เล่นนะครัชงานเน้”





เหมือนไฟที่กำลังลุกโชน แล้วก็มีไอ้น้องกันเป็นคนราดน้ำมันลงไปซ้ำ...






“อ้าว! ก็ไม่ใช่ว่าเต็มใจให้ปล้นเหรอวะ”






นั่นแหละครับ ไฟก็เลยแทบจะเผาหัวผมอยู่รอมร่อ ไอ้เด็กตรงหน้าแม่งก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่



เออ สะใจมากไหม แกล้งให้ผมขายหน้าท่ามกลางพรรคพวกมันน่ะ แล้วผมนี่มีอย่างที่ไหน ถ้ารอที่คณะตัวเองก็ไม่ต้องมาเป็นเป้านิ่งให้พวกมันเล่นสนุกกันแล้ว



แต่ที่น่าอารมณ์เสียที่สุดคืออะไรรู้ไหม...นอกจากพวกมันจะทำให้ผมหัวร้อนแล้ว





มันยังทำให้ผมหน้าร้อนอีกด้วย!



ฮึ้ยยยยยยยยย!




กลายเป็นหงุดหงิดคูณสอง อาจเพราะผมแสดงสีหน้าออกมากไปไหมก็ไม่รู้ หลังจากนั้นไอ้โซลก็ปลีกตัวออกจากเพื่อนได้สำเร็จ ผมแทบจะไม่คุยกับมันแม้ว่าเราจะแวะหาอะไรกินก่อนไปถึงคอนโด รู้สึกหงุดหงิดสู้อะไรมันไม่ได้สักอย่าง



อยากบอกไอ้จั๊มพ์ว่าผมคงญาติดีกับเด็กมันไม่ได้หรอก ผมไม่ใช่คนใจแข็งอะไร ถ้าใครมาทำดีด้วยหน่อยผมก็มองว่าเขาเป็นคนดีแล้ว แต่กับไอ้โซลไม่ใช่อย่างนั้น เราเจอกันไม่ประทับใจเอามากๆ ที่มันคอยแกล้งก็เพราะอยากเอาคืนที่ผมขับรถเกือบชนมัน แม้จะมีบางทีที่มันทำดีกับผมก็ตาม แต่สุดท้ายก็จะวนกลับมาแกล้งใหม่ มันเหมือนตบหัวแล้วลูบหลัง…



“พี่ซีน โกรธเหรอที่ผมพูดแบบนั้น”



“…”



“พวกเพื่อนมันก็แซวเล่น”



“…”



“ผมขอโทษ”





เรานั่งอยู่ในร้านอาหาร ผมมองหน้าที่เซื่องซึมของมันก็รู้สึกตกใจ …ไม่ใช่แค่กำลังรู้สึกผิดแต่สีหน้าของมันเหมือนคนกำลัง…ผิดหวัง…



ผมไม่เข้าใจ



จริงๆ แล้วคิดว่าผมนี่แหละที่ผิดและเราควรคุยกันให้รู้เรื่องไปเลย ไหนๆ ก็ต้องทำงานกับมันตั้งหลายเดือนอยู่แล้ว



“กูต่างหากที่ต้องขอโทษ”



“ครับ?”



“วันที่เกือบชนมึงกูไม่ทันได้มอง ตอนนั้นรีบด้วยแล้วก็คิดว่ามึงไม่ได้เป็นอะไรมากเลยไม่ได้สนใจเท่าที่ควร”



หน้ามันดูงงๆ แต่ผมก็พูดต่อ “กูยอมรับแล้วว่ากูผิด กูขอโทษ จริงๆ กูไม่ได้เกลียดมึงนะ แต่ถ้ามึงจะเกลียดกูต่อก็ไม่เป็นไร”



ผมหมายความตามนั้นจริงๆ  ผมไม่ใช่พวกชอบมีเรื่องหรือมีอะไรติดค้างในใจกับใครอยู่แล้ว ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปการทำงานด้วยกันจะยิ่งยากเข้าไปอีก ก็ใช่อยู่ที่ว่าผมไม่พอใจที่ถูกมันกลั่นแกล้งโดนการหยามศักดิ์ศรีลูกผู้ชายอย่างตอนที่อยู่ในห้องครัวหรือตอนที่มันกับเพื่อนแซวผมอย่างกับผมเป็นผู้หญิงแบบนั้น แต่ยังไงจุดเริ่มต้นมันก็มาจากผมอยู่ดีนั่นแหละ



ผมตั้งหน้าตั้งตากินอาหารตรงหน้า ไอ้โซลยังคงนั่งนิ่ง ผมไม่รู้ว่ามันคิดอะไร นานพอสมควรกว่ามันจะอ้าปากพูดออกมา



“พี่…บอกว่าผมเกลียดพี่เหรอ” มันทำหน้าไม่อยากจะเชื่อ “ทำไมถึงคิดแบบนั้นล่ะครับ”



นี่มันกำลังเล่นลิ้นหรืออะไร ถึงแม้หน้ามันจะดูจริงจังก็เถอะ



“ถ้าจะบอกว่าที่ผมแกล้งพี่เป็นเพราะผมเกลียดพี่น่ะ พี่คิดผิดแล้ว”



“หรือมันไม่จริง”



“โถ่ พี่ทิมแกล้งพี่ออกจะบ่อย”



“นั่นเพื่อนกู”



ผมวางช้อนส้อมหลังจากกินไปได้นิดเดียว ส่วนไอ้โซลยังไม่แตะสักนิด



“ถ้าผมเกลียดพี่ ผมไม่ยุ่งด้วยหรอกนะ…” มันทำหน้าลังเลอยู่พักนึงเหมือนกำลังตัดสินใจอะไรสักอย่าง อาจกำลังหาข้อแก้ตัวที่ทำให้ผมสบายใจก็ได้



“แต่นี่น่ะ…เพราะชอบ”



ผมชะงักไปกับสายตาที่ไม่มีแววล้อเล่นของคนตรงหน้า ที่มันพูดมายังไม่จบประโยคใช่ไหม…



 “...ชอบแกล้ง?”



“ชอบมาก”



“ชอบแกล้งมากๆ”



“ก็ได้ครับ...แบบนั้นก็ได้”



ผมถอนหายใจออกมาอย่างโล่งออกราวกับลุ้นอะไรสักอย่าง น่าจะเพราะเราเข้าใจกันแล้วแหละ...มั้ง คิดถูกที่พูดกันตรงๆ ไปเลย ตอนนี้ผมจะได้มองมันเป็นรุ่นน้องคนนึงที่ไม่มีพิษมีภัย ไม่ใช่คู่กรณีที่ต้องคอยระวังตัวเวลาอยู่ด้วย



อยากขอโทษเรื่องที่สาดน้ำใส่นะแต่ถือว่าแก้แค้นที่มันทำกับผมไว้ในห้องครัวแล้วกัน!



ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นระหว่างที่คนตรงหน้าจัดการกับอาหาร ถึงแม้คนในร้านจะเยอะและเสียงดังขนาดไหนแต่ผมกลับได้ยินเสียงของมัน





“ผมไม่มีทางเกลียดพี่ได้หรอก”


















“ผมทำให้พี่รู้สึกแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ”



ผมเกือบอ้าปากตอบหลายครั้งแต่ก็ไม่รู้จะตอบว่ายังไง ไอ้โซลพึมพำอยู่แบบนี้ตั้งแต่ออกจากร้านจนมาถึงคอนโดมัน



“เกลียดพี่เนี่ยนะ” มันหัวเราะให้ลำคอราวกับว่ามันเป็นเรื่องตลกร้าย



ทุกคนช่วยหาอะไรอุดปากไอ้เด็กที่ยืนข้างๆ ผมตอนนี้ได้ไหมครับ ...เพราะเมื่อผมตั้งสติได้ (ตอนอยู่ร้านอาหารรู้สึกเบลอๆ) ...ทำไมผมพูดออกไปแบบนั้นฟะ!! โคตรเสียฟอร์ม! เหมือนสารภาพบาปกับมันยังไงก็ไม่รู้ แถมยังหน้าแตกยับเพราะเข้าใจผิดว่ามันไม่ชอบผมอีก



แต่ไอ้คนที่ควรจะได้ใจกลับเงียบ พึมพำอยู่ประโยคเดิมๆ อย่างกับคนบ้า มันจะซีเรียสอะไรขนาดนั้นผมไม่เข้าใจ แต่อยากให้หยุดพูดเรื่องนั้นได้แล้วเพราะผมอายโว้ย!!!



แต่คิดไปคิดมาผมพูดออกไปก็ดีแล้ว ...รู้สึกสบายใจแปลกๆ









ผมไม่ได้มาห้องมันเพื่อเล่นเกมจ้องตาหรอกนะ



แต่ไอ้เด็กนี่ไม่ขยับไปไหนเลย และสายตาของมันทำให้ผมไม่รู้จะต้องพูดอะไรออกไปด้วย



มันต้องการอะไรจากผมวะครับ!



“พี่ซีน”



“…”



“สมมตินะครับ…”



ผมครางอืออารับ



“สมมติว่าพี่ชอบคนคนนึงอยู่ แอบมองเขามานาน พอวันนึงพี่มีโอกาสได้รู้จัก ได้อยู่ใกล้ๆ พี่ก็พยายามแสดงออกว่าชอบแต่เขากลับไม่รู้ตัว แถมคิดว่าเราไม่ชอบเขาอีก เป็นพี่พี่ยังจะพยายามต่อไหม”



ผมตกใจนิดหน่อย ไม่คิดว่ามันจะปรึกษาผมเรื่องนี้แล้วก็ไม่คิดว่าไอ้เด็กตัวโตหน้าหล่อก็ทุกข์ใจเรื่องความรักกับคนอื่นเขาเป็นด้วย อย่างมันผู้หญิงไม่น่าปฏิเสธเลยนะ แต่ผมไม่พูดออกไปหรอก!



“ก็ทำให้รู้ตัวสิ”



“ผมกลัวเขาไม่ชอบผมน่ะสิ”



“ยากจังวะ อืม…งั้นก็ค่อยๆ ทำให้รู้ตัว อย่ารุกเยอะ ไม่รู้ดิ มันแล้วแต่คนด้วยมั้ง”



“แล้วถ้าเป็นพี่ล่ะ”



“กูยังไงก็ได้ ถ้าชอบก็คือชอบ”



“จริงเหรอครับ”



“อืม มึงก็พยายามกว่านี้หน่อยสิ แอบมองมานานไม่ใช่เหรอ ถ้าจนแล้วจนรอดเขาไม่รู้ตัวก็สารภาพไปเลย ตอนนั้นผลจะเป็นยังไงก็ช่าง แต่มึงจะไม่เสียใจที่อย่างน้อยมึงก็พยายามจนถึงที่สุดแล้ว”



ไอ้โซลพยักหน้ารับ รอยยิ้มมันเผยออกมานิดๆ



“พี่เคยชอบใครป่ะ”



“ชอบดิ ตอนนี้ก็จีบอยู่...”



“พอแล้ว ผมไม่อยากรู้”



“ฟาย”



ขัดอารมณ์มาก หน้าสวยๆ ของพีมกำลังลอยขึ้นมาเลย



ไอ้เด็กตรงหน้าหัวเราะออกมาในรอบหลายชั่วโมง ดูเหมือนมันจะสบายใจแล้วล่ะมั้ง



“แกล้งพี่สนุกดีนะครับ”



“อ้าว” เฮ้ย...ไม่เหมือนที่คุยกันไว้นี่หว่า... ยังไงมันก็ยังเป็นมันอยู่วันยังค่ำสินะ



แต่ต่างกันออกไปตรงที่ผมไม่ได้รู้สึกไม่ดีอย่างเดิม รู้สึกว่าไอ้โซลก็คล้ายๆ พวกเพื่อนของผม



...เป็นคนที่ไว้ใจได้



“พี่โมโหแล้วตลกดี อีกสักหน่อยผมคงเป็นโรคซีนลิซั่ม”



“ลิซึ่มไหม ไม่หยุดกวนตีนนะมึง”



ไอ้โซลรับหมอนที่ผมปาใส่มันได้ ยกมือสองข้างเหมือนจะบอกว่ายอมแพ้ทั้งที่หัวเราะร่าก่อนมันจะเดินหายเข้าไปในห้องครัว และออกมาพร้อมกับจานใบเล็กที่มีเค้กอยู่บนนั้น...



“แม่ผมทำมาให้”







บอกแล้วว่าไอ้โซลน่ะ...ชอบตบหัวแล้วลูบหลัง!!

 









****

พี่ซีนบอกให้โซลพยายามต่อใช่มั้ยคะ /ด้ายยยยยยยยยยยยย

5555555555555

ฝากติชมด้วยนะค้า #ข้างหลังฉาก ^-^

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
จะสงสารโซลดีไหม จีบเขาทั้งที เขาดันคิดว่าชอบแกล้งซะงั้น

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
โซล สารภาพรักไปเล้ย ซีนเปิดทางให้แล้ว
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ kyungploy

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 335
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
โซลลลลล แอบจีบไปเรื่อยๆนะ เดี๋ยวพี่ซีนเขาก็หวั่นไหวเอง

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
โซล นิสัยไม่ดีเลยนะ  :m16:

ออฟไลน์ zongpei96

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 76
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +39/-0

ตอนที่ 5




*** ครึ่งแรกต่อจากตอนที่ 4 นะคะ ***







“ผมเมื่อยคอแล้วนะ”



“อย่าเพิ่งขัดสิ ทำสมาธิอยู่”



“ปวดหลังด้วยเนี่ย”



“กูก็ต้องเขย่งเหมือนกันนั่นแหละ!”



นี่ก็ปวดน่องจะแย่แล้ว ใครใช้ให้มันสูงกว่าผมเยอะนักล่ะ



“ให้ผมทำเองดีกว่า”



“ไม่เอา!”



ผมยกมือขึ้นปิดปากแล้วกระโดดถอยห่างออกมาหลายก้าวทันที เมื่อไอ้โซลโน้มหน้าลงมาจะจูบผม



อ่านไม่ผิดหรอกครับ



เรากำลังซ้อมฉากจูบ!







ย้อนกลับไปเมื่อชั่วโมงที่แล้ว…



การซ้อมเกือบถูกยุติลงไปแล้วเนื่องจากผมนั่งกินเค้กซะเพลิน…



แต่ก็ทำอย่างนั้นไม่ได้ ใกล้จะไฟนอลแล้วพวกผมเลยต้องยิ่งประหยัดเวลา แต่ไอ้โซลนี่สิดูไม่ทุกข์ร้อนอะไรเลย แทนที่จะเตือนว่ามันค่ำแล้ว กลับปล่อยให้ผมดื่มด่ำไปกับเค้กของแม่มันอยู่ได้ ผมเลยบอกให้มันหาว่าจะซ้อมฉากไหน



ไอ้โซลนั่งเปิดดูบทไปเรื่อยๆ สักพักก็เงยหน้าขึ้นมาพูดกับผมด้วยสายตาจริงจัง



 “เราต้องจูบจริง”



“รู้แล้ว จะย้ำหาอะไร!”



“ผมว่าเทคเดียวไม่ผ่านหรอก”



“ต้องผ่าน!”



“ไม่ผ่าน”



“เอ๊ะ จะยากอะไรก็แค่ปากแตะปาก!”



“งั้นเราลองเอาปากมาแตะกันดู”



“ไม่!!”



ฉากที่ผมไม่อยากเล่นที่สุดถูกมันขุดขึ้นมาพูดกรอกใส่หูและบอกว่าอยากซ้อม… ฉากอื่นมีตั้งมากมายทำไมไม่เลือก!



“พี่ลองคิดดูนะ เราซ้อมกันสักรอบก็ได้ ดีกว่าไปเล่นครั้งแรกต่อหน้าคนทั้งกองถ่ายแบบนั้นน่ะ มันจะตื่นเต้นกว่านี้อีกนะ”



มันก็น่าคิดแฮะ… แต่ไม่เอาเว้ยย



“ดีไม่ดีฉากแรกที่เราต้องถ่ายอาจเป็นฉากจูบก็ได้”



แล้วจะพูดให้กลัวทำไมวะ...



“หลายเทคตั้งแต่ฉากแรก มันคงเป็นการเริ่มต้นที่แย่มากเลยเนอะ”



ก็เรามือใหม่นี่หว่า แต่แคสผ่านมาเพื่อจะแสดงขนาดนี้แล้ว อ่านบทก็แล้ว เขาก็ต้องคิดว่าผมยอมรับกับฉากพวกนี้แล้วอ่ะดิ… ผมก็ต้องทำให้ดีป่ะ ไม่ใช่จะมาอิดออดให้คนอื่นเขาเสียงานเสียการ



“มาลองซ้อมกันเนอะ”



“อืม”



อ้าว กูเผลอ



“จริงดิพี่! เอาฉากไหนดี ที่ผมจูบหรือพี่จูบ!”








นั่นแหละครับ... เค้กคำสุดท้ายนุ่มลิ้น ผมเลยตกปากรับคำเอาด้วยกับมันจนได้!



ฉากนี้ในเรื่องมีประมาณสามครั้งได้ แต่หนึ่งในสามนี้มีครั้งนึงที่ผมต้องเป็นฝ่ายยื่นหน้าเข้าไปก่อน



ผมเลือกซ้อมฉากที่ต้องยื่นหน้าเข้าไปหามันก่อนเพราะผมจะได้เตรียมตัวเตรียมใจ เหมือนกับการโดดบันจี้จัมพ์…โดดเองดีกว่ามีคนผลักโดยไม่ทันตั้งตัวล่ะวะ



“พี่ทำสมาธิมาชั่วโมงนึงแล้วนะครับ ไหนบอกแค่ปากแตะปาก”



เด็กตรงหน้ายืนกอดอก จ้องผมเหมือนกับว่าถ้าความอดทนของมันหมดลงแล้วล่ะก็ มันจะเป็นคนเอาปากมาแตะกับปากผมให้มันจบๆ ไปซะที



ทำไมมันดูไม่ทุกข์ร้อนอะไรกับการต้องจูบผู้ชายเลยฟะ!



สายตาของมันทำให้ผมลุกลี้ลุกลนยิ่งกว่าเดิม ผมรู้ว่ามันเป็นแค่การแสดง และถ้าผมยังเป็นอยู่อย่างนี้จะกลายเป็นตัวถ่วงของทุกคนไปด้วย แต่นี่ก็แค่ซ้อมนะ ทำไมไอ้โซลต้องจริงจังขนาดนี้ แต่ถ้าคิดอีกแง่นึง แค่ซ้อมผมก็ทำไม่ได้แล้วถ่ายจริงผมจะไปรอดเหรอ



หลากหลายความคิดกำลังตีกันในหัวของผม ไม่ทันได้รู้ตัวว่าไอ้โซลก้าวมาประชิดตัวแล้ว



“พี่ซีน”



ผมสะดุ้งเมื่อมือหนาแตะลงบนไหล่ทั้งสองข้าง



“ผมจูบนะ”



“คือ…” ผมยังไม่พร้อม





“รังเกียจผมเหรอ”







ทุกสิ่งรอบตัวเงียบสงัด ผมนิ่งอึ้งกับคำถามนั้น คนตรงหน้าก็หยุดนิ่งเพื่อรอคำตอบ





ผมไม่ได้นึกถึงคำนี้ด้วยซ้ำไป ...ไม่มีอยู่ในหัวเลย...ความรู้สึกนี้



ผมก็แค่ไม่กล้า มันก็แค่กระดากอายที่ต้องมาจูบกับคนคนนึงทั้งที่เราไม่ได้เป็นอะไรกัน หนำซ้ำตั้งแต่เกิดมาผมยังไม่เคยจูบใครเลยนะ...



“เปล่า”



เด็กตรงหน้าถอนหายใจเหมือนโล่งอก



“แต่...”



ถึงไม่ได้รังเกียจ ก็ไม่ได้หมายความว่าผมจูบมันได้เดี๋ยวนี้ วินาทีนี้สักหน่อย!



“คือ...หนวด…ใช่! มึงไปโกนหนวดก่อน นี่ไม่ได้โกนมากี่ชาติฮะถึงเหมือนโจรแบบนี้ ถ้าจูบกูก็เจ็บน่ะสิ!”



“เร้าใจดีออก”



“ไอ้บ้านี่!”



ผมดันตัวมันออก หนวดมันไม่ได้รกครึ้มอะไรแบบนั้นหรอกครับ ไม่ได้เหมือนโจรด้วย แต่ตอนนี้ผมยังไม่พร้อมจริงๆ หาอะไรมาถ่วงเวลาไว้ก่อน ขอให้มันโกนหนวดนานๆ



ให้เวลาผมทำใจอีกสักหน่อยเถอะ!



“ก็ได้ครับ ก็ได้”



ไอ้โซลยอมอย่างว่าง่าย พอขายาวๆ ก้าวหายเข้าไปในห้องนอนผมก็ทรุดลงบนโซฟาทันที ยืนเป็นชั่วโมงจนขาแข็งไปหมด ในหัวผมกำลังวุ่นวายสับสน ใจนึงก็บอกให้ทำไปเลยให้มันจบๆ แต่อีกใจมันก็คอยรั้งไว้ไม่ให้ทำ



ผมทำใจจูบกับคนที่ไม่รู้สึกอะไรด้วยไม่ได้หรอก ขนาดพีมผมยังไม่เคยคิดเรื่องแบบนี้ด้วยเลยนะ แล้วไอ้โซลเป็นใคร





มันก็เป็นแค่รุ่นน้องที่รู้จักคนนึง





“ทำใจได้ยัง ผมเลิกเป็นโจรแล้วนะ”



เสียงทุ้มดังขึ้นตรงหน้าทำให้ผมเด้งตัวลุกขึ้นทันที มันเสร็จเร็วไปไหม ไปโกนหนวดนะเว้ยควรนานกว่านี้หน่อยสิ แต่นี่เหมือนมันเดินเข้าไปส่องกระจกเฉยๆ แล้วก็เดินออกมา ผมยังไม่ทันได้เริ่มทำใจด้วยซ้ำ!



“จับดูก็ได้นะครับ” ไอ้โซลยื่นหน้าเข้ามาใกล้มากเหมือนอยากจะแกล้ง จมูกโด่งที่เฉี่ยวหน้าผมไปทำให้ผมรีบเอามือตะครุบปากมันเอาไว้



เกือบโดน!



สัมผัสลื่นมือและลมหายใจอุ่นๆ ที่รินรดมือผมอยู่ทำให้ผมรีบชักมือออก ก่อนจะเป็นฝ่ายก้าวถอยหลังซะเอง



ผมขบริมฝีปากอย่างคนคิดไม่ตก เด็กตัวสูงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ไม่เอ่ยคำเร่งเร้าใดใดอีกต่อไป





“รังเกียจผมเหรอ”





อยู่ๆ ประโยคนี้ก็ดังขึ้นมาในหัวอีกครั้งราวกับย้ำความคิดของคนตรงหน้า และเพราะการแสดงออกของผมนั่นเองที่ทำให้มันคิดแบบนั้น



ทั้งที่มันไม่ใช่เลย



ผมขยับเข้าไปหาไอ้โซลทีละนิด เพื่ออยากจะบอกว่าผมไม่ได้รังเกียจ



แต่ผมทำไม่ได้



ผมวางมือลงบนไหล่กว้างๆ นั่น เห็นได้ชัดว่ามือผมกำลังสั่น



ยังไงก็ทำไม่ได้



ผมเขย่งตัวขึ้น ในขณะที่คนตรงหน้าก็ก้มลงมา



ผมจูบคนที่ไม่ได้รักไม่ได้







“เอาแค่นี้ไปก่อนแล้วกัน”







ผมผละออกมา ไอ้โซลยกมือจับข้างแก้มตรงที่ถูกริมฝีปากผมสัมผัสและมองมาอย่างอึ้งๆ





ใจผมที่เต้นช้าลงเพราะความประหม่าได้หายไปแล้วกลับเต้นรัวเร็วขึ้นใหม่เมื่อมองเห็นหูที่ขึ้นสีของมัน และอยู่ๆ หัวใจผมก็เต้นหนักขึ้นจนเหมือนเสียงทุ้มหนักของกลองที่เด็กตรงหน้าฟาดไม้มาเต็มแรง เมื่อมันเผยรอยยิ้มที่แฝงอะไรบางอย่าง...ก่อนจะเอ่ยประโยคที่ทำให้ผมแทบล้มทั้งยืน







“นอกบทอีกแล้วนะครับ J”







เท่านั้นแหละความเห่อร้อนก็พุ่งขึ้นมาที่หน้าและยังลามไปที่หัวอีกด้วย





ผมไปหอมแก้มมันทำไม!!!





ไม่จูบก็ไม่จูบสิ แต่ไปหอมแก้มมันได้ยังไง! ผมทำไปทำไม!




“อินกับบทแบบนี้บ่อยๆ ก็ดีสิ” ไอ้คนตรงหน้าพึมพำ



ไม่ได้อินเว้ย!



ก็เพราะมันกดดันผมนั่นแหละ แถมน้ำเสียงตอนพูดประโยคนั้นยังทำให้ผมแอบรู้สึกผิดอีกด้วย เหมือนว่าผมเป็นคนรักของมันจริงๆ แต่ไม่ยอมแสดงความรักกับมันเลยทำให้มันเสียใจ ผมเลยคิดแต่ว่าต้องจูบ ต้องจูบ ต้องจูบ แต่เมื่อผมยังทำไม่ได้ผมก็เลยหอมแก้มไปก่อนเพื่อให้มันรู้ว่าผมไม่ได้รังเกียจจริงๆ



เชี่ยยยยยยยย!



“กูจะกลับแล้ว!”



 ผมรีบร้อนคว้าสัมภาระตัวเองออกมา วันนี้ทำตัวเองอับอายมาสองรอบจนผมไม่กล้าจะสู้หน้ามันแล้วนะ ไม่เกลียดมันหรอก เกลียดตัวเองนี่แหละ!!



ผมเร่งฝีเท้าเมื่อได้ยินเสียงตึงตังตามมาด้านหลัง ให้เดามันคงเข้าไปเอากุญแจรถในห้องนอนและรีบตามออกมา



จะตามมาทำไมเล่า!



“รอด้วยดิ ผมจะไปส่ง”



มันตะโกนไล่หลังมา



ไม่ต้องมามีน้ำใจตอนนี้ กูจะกลับแท็กซี่!



“เฮ้ย พี่วิ่งหนีทำไมเนี่ย!”



ก็อายน่ะสิโว้ยยยยยย













****















เข้าสู่เดือนแห่งการสอบปลายภาค



หลังจากวันนั้นผมก็ไม่ได้ซ้อมกับไอ้โซลอีกเลยเพราะต่างคนก็วุ่นๆ กับเรื่องเรียน ยิ่งช่วงนี้อย่าหวังจะได้เจอไอ้เด็กถาปัดคนนั้นเลย



วันนั้นมันเป็นคนไปส่งผมอยู่บ้านจนได้ จะโทษขาที่ยาวน้อย(กว่าไอ้โซล)ของตัวเองดีไหมที่ก้าวได้ช้าจนมันตามมาทันตั้งแต่ที่เพิ่งออกตัววิ่งไปไม่ถึงตัวลิฟต์ด้วยซ้ำ



“ผมเข้าใจ อารมณ์มันพาไป”



เป็นคำพูดที่อยากหามีดมากรีดรถเบนซ์คันงามของมันซะจริงๆ สักพักมันก็เลิกยิ้มแปลกๆ ทำตัวปกติธรรมดาเข้าใส่เหมือนผมไม่ได้ทำอะไรน่าอายเกิดขึ้น ซึ่งก็ทำให้ผมสงบสติตัวเองลงไปได้พอสมควร พอส่งผมเสร็จผมก็ไล่มันกลับทันทีเพราะตอนนั้นก็ดึกมากแล้ว



หลังจากนั้นก็ไม่ได้เจอมันอีกเลย มีไลน์คุยกันนิดหน่อยเรื่องซ้อมแต่หาเวลาว่างไม่ตรงกันสักที แต่วันนี้ยังไงมันก็ต้องโผล่หัวมาเพราะเป็นวันฟิตติ้ง



ผมมาถึงสตูดิโอก่อนเวลาเล็กน้อย พอเข้าไปก็เห็นนักแสดงคนอื่นมากันบ้างแล้ว อย่างที่เคยบอกไปว่าผมมักจะทำตัวไม่ถูกเมื่ออยู่ท่ามกลางคนที่ไม่รู้จัก นั่นเลยทำให้ผมอยากโทรหาไอ้โซลทันทีเมื่อรู้ว่ามันยังไม่มา แต่ผมก็หยุดมือที่กำลังจับโทรศัพท์ขึ้นมาเพราะมีคนเดินเข้ามาคุยกับผมซะก่อน



“หวัดดีซีน”



“หวัดดี...เฟิร์ส” ผมยิ้มกลับไปตามมารยาท แล้วก็ไม่ค่อยมั่นใจด้วยว่าจำชื่อถูกไหม... แต่ดูจากที่หมอนี่ยิ้มรับก็น่าจะถูกแหละ



“กินข้าวยัง”



“กินแล้ว มานานแล้วเหรอ” ผมไม่ใช่คนคุยเก่งกับคนที่ไม่สนิท แต่ก็เลือกจะถามกลับไปบ้างไม่ให้น่าเกลียดจนเกินไป ยังไงก็ต้องทำงานด้วยกันอยู่แล้ว



“ก่อนซีนแปบเดียวเอง”



ผมพยักหน้าเล็กน้อย เฟิร์สเป็นหนึ่งในนักแสดงในเรื่อง รับบทเป็นเพื่อนที่รู้จักกันห่างๆ และยังเป็นคนที่มาชอบผมอีกด้วย แล้วก็เป็นเชื้อเพลิงชั้นดีที่ทำให้พระเอกของเรื่องหึงและแสดงความรู้สึกออกมานั่นเอง



คือในเรื่องไม่มีคนอื่นแล้วเหรอ ให้มาชอบกันไปชอบกันมาอยู่ได้เนี่ย



ผมนั่งคุยกับเฟิร์สไปเรื่อยๆ แต่ส่วนมากเฟิร์สจะเป็นคนชวนคุยมากกว่า



“ซีนเลี้ยงหมาด้วยเหรอ”



“อืม คอร์กี้น่ะ”



“ที่ขาสั้นๆ อ่ะน่ะ เฮ้ยน่ารัก”



“แต่โคตรซน”



คนข้างๆ เปิดรูปสัตว์เลี้ยงของตัวเองให้ผมดู ผมเลยเปิดเจ้าปิ๊กมี่ของผมให้ดูบ้าง



“มีแต่คนว่าไซบีเรียเป็นหมาปัญญาอ่อน ไม่เชื่อนะแต่พอมาเลี้ยงถึงได้รู้ว่าจริง”



“ฮ่าๆ อากาศมันร้อนหรือเปล่า” ผมเคยคิดจะเลี้ยงพันธุ์นี้นะ ดูเท่ดีแต่เฮียคัทเอาหมาขาสั้นมาให้ก่อนเลยอดไป ตัวเดียวก็เหนื่อยแทบตาย



พอคุยเรื่องที่ไปกันได้ผมก็ค่อยผ่อนคลายลงหน่อยแต่ก็ยังอดมองหาไอ้โซลไม่ได้อยู่ดี



มันจะมาตรงเวลาเป๊ะเลยหรือยังไง!



พอนึกถึงมันก็โผล่หัวมา แต่พอเห็นผมนั่งอยู่กับเฟิร์สมันก็ทำหน้าหงิกทันที



“ดูอะไรน่ะครับ”



“ปิ๊กมี่ไง”



“อ่า วันหลังถ้าไปบ้านพี่อีกต้องไปเล่นด้วยซะหน่อยแล้ว” ไอ้โซลทำท่าทางเหนือกว่าใส่เฟิร์ส ซึ่งเฟิร์สทำแค่ถอนหายใจและหันหน้าไปทางอื่น



คืออย่างงี้ครับ สองคนนี้เขม่นกันมาตั้งแต่วันที่แคสติ้งแล้ว อาจเพราะทีมงานเล็งเอาไว้ว่าไม่คนใดคนนึงจะได้บทพระเอกแน่นอน แต่บทนั้นไอ้เด็กที่เดินมานั่งลงข้างๆ ผมตอนนี้ได้ไป บทพระรองเลยตกเป็นของเฟิร์สนั่นเอง แต่ดูเหมือนไอ้โซลจะไม่ชอบขี้หน้าเฟิร์สมากกว่าอีก



ในจอต้องตีกันอยู่แล้ว นอกจอยังจะมาตีกันอีก



จริงๆ ผมก็อยากได้บทพระเอกเหมือนกัน แต่หาอะไรไปสู้กับสองคนนี้ไม่ได้เลย



“แล้วนี่มานานยังครับ”



“สักพักแล้ว มึงมาตรงเวลาไปป่ะ”



“ทำหน้าดุทำไมเนี่ย ผมไม่ได้มาสายซะหน่อย”



ก็เพราะว่ามันมาตรงเวลามากจนทำให้ผมต้องนั่งอยู่ท่ามกลางคนไม่รู้จักน่ะสิ!



“ทำไมไม่โทรหาผมล่ะ ผมจะได้รีบมา” มันชูโทรศัพท์ขึ้นให้ดูว่านี่เพิ่งเก้าโมงตรงเป๊ะ และไม่มีเบอร์โทรหรือข้อความอะไรเข้าสักอย่าง



ก็จริง...ผมกำลังจะโทรตามมันแต่เฟิร์สเดินเข้ามาคุยก่อน อีกอย่างมันคงพยายามจะมาให้เร็วที่สุดแล้วล่ะ ดูจากใต้ตาคล้ำๆ ของมันแล้วก็สงสาร



“กลัวเด็กแถวนี้นอนไม่พอว่ะ”



“ฮั่นแน่ เป็นห่วงกันอ่ะดิ๊”



แล้วอารมณ์เห็นอกเห็นใจก็หมดลงไปอย่างรวดเร็ว ผมดันนิ้วชี้ของมันที่ชี้ผมล้อๆ ก่อนจะได้วางมวยกันสักยกพี่ทีมงานก็มาเรียกไปลองชุดกันแล้ว



ด้วยความที่ตัวละครในเรื่องเป็นเด็กมหาลัยวัยเดียวกันกับพวกผม ชุดเลยไม่มีอะไรมาก มีแค่ชุดนักศึกษาและชุดเล่นทั่วไปที่เป็นสไตล์ของตัวละครในเรื่อง แต่ก็เหนื่อยอยู่เหมือนกันเพราะต้องลองหลายชุด ถอดๆ ใส่ๆ อยู่นั่นแหละ



“กางเกงของน้องซีนต้องเอาเอวเข้าอีกหน่อย หูย เอวบางจังลูก”



พูดแต่ปากมืออย่าต้องได้ไหมครับพี่!



“พี่ครับของผมมันคับไปหน่อย”



“ไหนคะน้องโซล”



แล้วพี่แกก็เบี่ยงไปหาไอ้พระเอกทันที ฟู่ว ค่อยยังชั่ว



เราลองชุดกันทั้งวัน ส่วนใหญ่ของผมต้องเอาไปแก้ไซส์เพราะผมผอมเกินทั้งๆ ที่ช่วงนี้รู้สึกกว่ากินเยอะกว่าปกติแล้วเชียว อ่านหนังสือดึกๆ ก็ต้องหาอะไรใส่ปากตลอด



พี่ๆ ทีมงานคงเห็นพวกเราเกร็งๆ กันก็พยายามทำให้พวกเราผ่อนคลายโดยการแตะนิดแตะหน่อยตามตัวพวกเราบ้างเวลามาดูชุดให้(ไม่รู้ว่าใครกันแน่ที่ผ่อนคลาย) แต่เวลาผมโดนลูบๆ ไอ้โซลจะเรียกพี่แกไปหาตลอดทำให้มันโดนเยอะกว่าผมมาก หรือมันชอบแบบนั้นเรอะ...





“ลงตัวมาก!” เสียงห้าวใหญ่โพล่งขึ้นเสียงดังจนพวกผมสะดุ้ง พี่แกชื่อโป้ง เป็นผู้กำกับที่กำลังรุ่งและอายุยังน้อย การพูดการจาติดจะกระโชกโฮกฮากและเป็นกันเองสุดๆ



“พวกมึงเหมาะกับบทนี้มากเลยรู้ป่ะ ใครถอนตัวกูจะแช่งให้!!”  ประโยคหลังหันมามองผมนิดหน่อยก่อนจะเดินไปหาคนอื่น



ผมที่กำลังขอพรในใจให้ผู้กำกับอยากเปลี่ยนตัวนายเอกชะงักทันที มาถึงขนาดนี้แล้วใครจะไปขอถอนตัวล่ะครับ รับปากม้าไว้แล้วด้วย แต่ถ้าลองชุดแล้วไม่เหมาะไม่เข้ากับเรื่องก็อาจถูกเปลี่ยนตัวได้แต่ดันมาชมซะอย่างนั้น...เซ็งเป็ด



หลังจากเปลี่ยนเป็นชุดนักศึกษาและแต่งหน้าทำผมเสร็จสรรพก็ถึงเวลาถ่ายรูป จะมีแบบที่ต้องถ่ายเดี่ยว ถ่ายกับไอ้โซลสองคน และมีถ่ายสามคนคือมีเฟิร์สเพิ่มเข้ามาด้วย



แรกๆ ก็เกร็งอยู่เหมือนกัน เกร็งมากๆ เลยด้วย ผมไม่เคยทำอะไรอย่างนี้มาก่อนในชีวิต ถ่ายเดี่ยวแม้จะอาย(ไม่)นิด แต่ก็ผ่านไปด้วยดี



ถ่ายคู่กับไอ้โซลก็ไม่มีปัญหาอะไร จะเอาท่าไหนพี่เขาก็เดินมาจับๆ ผมกับไอ้โซลไม่ก็ตะโกนบอกแค่นั้นเอง



“ซีนขยับเข้าไปหาโซลอีก...อีกนิด...อีกนิดนึงๆ...อ่า ดีครับ” บอกให้มันมายืนซ้อนหลังผมก็จบ



และพี่เขาก็ได้ภาพที่ไอ้โซลเอามือกอดคอผมเอาไว้ ส่วนผมก็เอนหัวพิงไหล่มันด้วยท่าทีสบายๆ เหมือนเพื่อนถ่ายรูปกันเฉยๆ



ส่วนรูปสามคนไอ้โซลจะกอดคอผมเอาไว้อย่างเดิม แต่มันจะยืนคั่นกลางระหว่างผมและเฟิร์สที่มองมาทางพวกเรา สายตาที่ไอ้โซลใช้มองกล้องโคตรหงุดหงิดเหมือนไม่พอใจไอ้เฟิร์สที่มายุ่งกับผมจริงๆ จนพี่ตากล้องชมแล้วชมอีก



แต่อยากบอกว่าผมโคตรเซ็ง มันใช่เรื่องไหมที่ผมต้องมายืนท่ามกลางผู้ชายสองคนที่ทำท่าจะแย่งผมน่ะ





มันไม่ได้ฟินเลยนะเว้ยย!















****















ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะกดเข้าไปในแอพนกสีฟ้าหลังจากที่ไอ้โซลไลน์มาบอกว่ารูปโปรโมทที่เพิ่งถ่ายไปถูกเผยแพร่สู่สายตาประชาชีทั้งหลายแล้ว ไม่ได้อยากแสดงอะไรมากมายแต่ก็อดตื่นเต้นไม่ได้อยู่ดี



@fanclubpbua

กราบคนเลือกนักแสดงค่ะ เหมาะกว่านี้ก็โซลซีนชุบแป้งทอด #fof



@kungpeuak

พี่ซีนออกมิ้งกว่าในนิยายมากแต่พออยู่กับพี่โซลแล้วเหมาะกันเหลือเกิน รักกันจริงเลยเถอะค่ะ T v T #fof




น้องเผือกๆ อะไรนี่อีกเชียร์ให้คบกันอีกแล้ว บอกว่าอย่าหวังไงครับ อยู่คณะไหนพี่จะไปคุย!!



@khonkeeship                       

ชิปสิคะ รออะไรอยู่ #โซลซีน #fof



@ishipyounaokay

คว้าไม้พายขึ้นมาเร็วพวกพ้อง!! เดือนที่แล้วเราเห็นพี่ซีนไปนั่งรอพี่โซลใต้ตึกถาปัดด้วย!!! #fof #โซลซีน




ผมไปนั่งรอไอ้โซลที่ใต้ตึกคณะมันแล้วเกี่ยวอะไรกับที่พวกน้องจะไปพายเรืออ่ะครับ?



@mimi888

พระเอกก็หล่อ พระรองก็น่ากิน อยากสิงพี่ซีนเลยย งื้อออออ #fof




น้องเป็นผีเหรอครับ! แต่ถ้าเป็นไปได้ยอมให้แลกร่างกันเลยสามเดือน ในขณะที่ผู้หญิงหลายคนอิจฉาผม แต่จะมีใครรู้บ้างไหมว่าผมถูกบังคับให้มาแสดง!



ผมกดออกจากทวิตเตอร์เพราะมีแต่ตัวอักษรกรี้ดกร้าดเต็มไปหมด บางทีก็ไม่ค่อยเข้าใจที่พวกสาวๆ พูดกันเท่าไหร่ด้วย แต่โดยรวมแล้วแฟนนิยายพอใจผมก็โล่งอก แต่ก็กดดันในเวลาเดียวกัน มีแต่คนบอกจะตั้งตารอ นั่นทำให้ผมอยากหยิบบทละครมาซ้อมซะจริงๆ



แต่ก็ทำอย่างนั้นไม่ได้ ผมเลิกคิดเรื่องซีรีย์ที่จะเริ่มถ่ายทำในอีกสองอาทิตย์ข้างหน้านี้และหันมาโฟกัสกับชีทวิชาสุดหินที่จะสอบในวันพรุ่งนี้ดีกว่า



เฮ้อ ไฟนอลก็เหนื่อยแล้วก็ต้องไปเหนื่อยต่อที่กองถ่ายอีก



เอาเถอะ เพื่อคุณแม่สุดที่รัก ผมจะสู้!





 

****



อ่านมาถึงตรงนี้ก็รู้แล้วใช่มั้ยคะ(แต่เหมือนจะรู้กันตั้งแต่ตอนแรกแล้ว)ว่าทำไม behind the scene ไม่เติม s

ฮี่ๆๆๆๆๆๆ  :z2:

ร่วมด้วยช่วยกันให้กำลังใจโซลด้วยนะคะ 5555555

ฝากติชมด้วยเน้อออออ ^-^
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-01-2017 19:07:57 โดย zongpei96 »

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
ก็คงต้องเอาใจช่วยสินะ

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
สนุกมากเลยค่ะ น่ารักกกก เชียร์น้องโซลให้จีบติด  :katai2-1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-01-2017 16:25:47 โดย Snowermyhae »

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ซีน มีหนุ่มสองคนแย่งกัน  :ling1: :ling1: :ling1:

ออฟไลน์ ma-prang

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 469
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
ชอบเรื่องนี้เข้าแล้ววววว  :-[

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ P-Rawit

  • The beginner of writing world
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 80
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-0
มาเป็นกำลังใจให้ครับบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ  น่าสนใจมากกกกก

 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

ออฟไลน์ Petit.K

  • Petit parapluie
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 840
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
 :z13: :z13: :z13:
มาจิ้มไว้ก่อนน้าาาา

ออฟไลน์ Honeyhoney

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 403
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-2
 :hao7: สนุกมาก ชอบมาก ๆ. บทไหลลื่นดี

ออฟไลน์ PrInceZz

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
น่ารักมากกกก  :pig4:

ออฟไลน์ wonderbe

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 754
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-2
สนุกมากค่ะ รอตอนต่อไป :pig4:

ออฟไลน์ Mura_saki

  • แค่เรารู้จักกัน...มันก็ดีที่สุดแล้ว :)
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +179/-9
พี่ซีนน่ารัก

ออฟไลน์ MSeraph

  • This too shall pass
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1751
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-3
ความน่ารักกกนี้อะ
รอค่าาาา
เรื่องนี้เหมือนแบบ มโนในหัวเวลาดูซีรี่วายอะไรแบบนี้เลย
55555555 เราก้จิ้นเราก้ฟินได้แค่นั้นเวลาดูอะ
อยากให้เรียลๆมันเป็นแบบนี้บ้างง

ออฟไลน์ janehh

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 252
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-1
น่ารักมากกกก รอนะคะ

ออฟไลน์ aunszMT

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 132
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-1
โอ้ยยย ขอชิปอีกคนสิคะ จับไม้พายย

ออฟไลน์ zongpei96

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 76
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +39/-0



ตอนที่ 6







“อยากหมุนนาฬิกาให้บ่ายเร็วๆ จริงโว้ย!”



“ทำดิ แต่บ่ายแค่นาฬิกามึงนะ นาฬิกาประเทศไทยยังสิบเอ็ดโมงเหมือนเดิม” ผมว่าแล้วพยายามเลื่อนแขนไอ้จั๊มพ์ให้มันออกไปจากหนังสือผม



“จะอ่านอะไรนักหนา หลับตาทำยังถูก” มันยังคงเอาแขนพาดทับหนังสือผมอยู่อย่างงั้น จะให้ผมดึงออกมาเลยก็ไม่ได้เดี๋ยวหนังสือขาด



ไฟนอลเหลือตัวสุดท้ายแล้ว วิชานี้เป็นวิชาตัวช่วยที่กว่าจะแย่งลงได้ก็สวดมนต์จบไปหลายบท มันง่ายจริงแต่ไม่ขนาดที่หลับตาทำแล้วจะถูกอย่างไอ้จั๊มพ์ว่า การสอบวิชาง่ายๆ แบบนี้หลังจากผ่านวิชาหฤโหดมาแล้วแถมยังต้องมานั่งรออีกสองชั่วโมงเลยทำให้พวกเรารู้สึกหงุดหงิดหน่อยๆ ทั้งๆ ที่เข้าไปทำแป๊บเดียวก็เสร็จ เห็นคนอื่นสอบเสร็จเกาะกลุ่มกันคุยเสียงดังก็เกิดอาการอิจฉา อยากทำตัวลัลล้าบ้างแล้วเหมือนกัน



แต่ที่ผมยังอ่านอยู่ถึงแม้ว่ามันจะง่ายเป็นเพราะผมเอาเวลาไปทุ่มกับวิชาอื่นหมด เพิ่งจะมาเริ่มอ่านวิชานี้เมื่อวาน ถึงจะอ่านมาทั้งคืนแล้วก็เถอะแต่เพราะง่ายเลยไม่อยากสะเพร่าให้เสียดายหลังเกรดออก แต่ไอ้จั๊มพ์นี่สงสัยจะเทแล้ว



“เอาแขนออกไป”



“คุยกับกูหน่อย กูเหงา”



“มึงเป็นบ้าเหรอ”



“เลิกอ่านเหอะน่า มันทำให้กูรู้สึกผิด” สุดท้ายหนังสือของผมก็ตกไปอยู่ในมือมัน ผมพยายามจะแย่งกลับมาแต่มันก็ยัดหนังสือลงกระเป๋าของมันหน้าตาเฉย



“รู้สึกผิดก็อ่านสิวะ!” มันเบ้หน้าก่อนจะอ้าปากหาวแล้วฟุบลงไปกับโต๊ะ



แล้วไหนใครบอกให้คุยด้วยวะ มันนอนแบบนี้ผมก็นั่งเฉยๆ ไม่มีอะไรทำน่ะสิ ผมเลยลุกขึ้นเดินไปนั่งเก้าอี้ฝั่งเดียวกับมันแล้วค้นเอาหนังสือของผมในกระเป๋ามันขึ้นมาอ่านต่อ



“ดื้อด้าน!”



“จะนอนก็นอนไป” ผลักหัวมันไปทีนึง ไอ้จั๊มพ์ทำเสียงจิ๊จ๊ะ ผมปล่อยตัวเองให้จมลงไปในหนังสืออีกครั้ง แม้แทบจะไม่ได้นอนทั้งคืนแต่ผมกลับรู้สึกตื่นตัว แต่เป็นการตื่นตัวแบบล้าๆ ถ้าสอบเสร็จจะหลับยาวจนถึงเช้าอีกวันเลยคอยดู



แล้วอย่างพวกเด็กถาปัดนี่ทำได้ยังไงนะ ผมเห็นพวกไอ้ทิมไอ้โฟร์ไม่ได้นอนสองวันเลยก็มี ขนาดผมได้นอนมาสองสามชั่วโมงยังเพลียขนาดนี้เลย



แล้วป่านนี้ไอ้โซลจะเป็นยังไงบ้าง…?



ผมนึกถึงเด็กนั่นขึ้นมาเพราะว่ามันเพิ่งไลน์หาผมเมื่อตอนตีสี่นี่เอง ทำให้ผมรู้ว่ามันต้องส่งโปรเจควันนี้เหมือนกัน   แต่ก็ยังมีอารมณ์มากวนผมได้





soul.kr : พี่ควรนอนได้แล้ว

soul.kr : พรุ่งนี้สอบสองวิชาไม่ใช่เหรอ

soul.kr : อ่านเอา A+ เลยเหรอครับ



มันเป็นพ่อผมเหรอวะ...



ป๊ายังไม่ว่าอะไรผมซักคำ(เพราะหลับตั้งแต่สี่ทุ่ม)



sscene : กูจะนอนพร้อมมึง

sscene : นอนสิ



แน่นอนว่ามันทำไม่ได้อยู่แล้ว โปรเจคค้ำคอ



soul.kr : ผมไม่จบพี่รับผิดชอบนะ

soul.kr : ยกชีวิตผมให้พี่เลย



ผมย่นจมูกใส่ทั้งที่มันมองไม่เห็นหรอก ขนาดมาแค่ตัวอักษรยังทำให้รู้สึกหมั่นไส้ได้ตลอดเวลา 



sscene : เดี๋ยวก็ได้ไม่จบจริงๆ หรอก

sscene : ไปนอนแล้ว คุยกับมึงแล้วปวดหัว



ไอ้โซลส่งสติกเกอร์หน้ายิ้มมา ...สุดท้ายก็สมใจมันจนได้



soul.kr : ฝันดีครับ



ถ้าเป็นแต่ก่อนผมคงคิดว่ามันกวนตีน จริงๆ ตอนนี้ก็ยังคิดอยู่... แต่มือผมกลับพิมพ์ตอบกลับไป



sscene : ฝันดี



น่าตีมือตัวเองจริงๆ!






“ไม่ต้องอ่านแล้ว” เสียงไอ้จั๊มพ์ดังขึ้นอีกครั้ง เหลือบมองมันก็เห็นว่าไม่ได้ฟุบหน้าลงกับโต๊ะแล้วแต่มองตรงไปข้างหน้าแทน



“เลิกกวนได้แล้ว กูไม่คุยกับมึงหรอก”



“เออ ไม่ต้องคุยกับกู แต่คุยกับพระเอกของมึงโน่น” ไอ้คนข้างตัวเอามือดันหน้าผากให้ผมเงยหน้าขึ้นซะจนเกือบหงายหลังตกเก้าอี้ ผมปัดมือมันออก เห็นไอ้โซลกำลังเดินมาทางนี้พร้อมกับเพื่อนมันอีกหนึ่งคนที่ผมไม่รู้ว่าชื่ออะไร...จะว่าไปผมก็รู้จักแค่ไอ้น้องกัน



พอมันเดินเข้ามาใกล้ไอ้จั๊มพ์ก็โบกมือทักทายเด็กมันทันที เจอกันก็ไม่บ่อยแต่ทำเหมือนว่าสนิทกันมาแต่ชาติปางก่อน เข้าข้างกันมากกว่าผมที่รู้จักมันมาเกือบสิบปี พอพี่น้องที่พลัดพรากทักทายกันเสร็จไอ้โซลก็หันมาถามผม



“สอบเสร็จบ่ายสามใช่ไหมครับ”



ผมพยักหน้า “แล้วนี่มาทำไม”



“ผมมารอพี่”



“รอทำไม กูเอารถมา” เมื่อคืนคุยกับมันก็จริงแต่ไม่ได้นัดอะไรไว้สักหน่อย หรือผมลืมเปิดอ่านไลน์ เมื่อเช้ายิ่งรีบๆ อยู่ด้วย



“พี่อ่านหนังสือทั้งคืน ผมไม่อยากให้พี่ขับ”



คำตอบที่ไม่ได้คาดหมายทำเอาผมนิ่งไปไม่เว้นแม้แต่ไอ้จั๊มพ์ มันคงไม่ได้ถ่อมาถึงคณะบัญชีเพียงเพื่อจะกวนผมหรอกเพราะคณะผมกับคณะมันห่างกันมาก...และแววตาของมันก็ไม่มีแววล้อเล่นเลยด้วย



“ให้ผมรอนะ”



อีกสองชั่วโมงผมเข้าห้องสอบ แล้วมีเวลาทำข้อสอบอีกสองชั่วโมง อาจไม่ถึงแต่ยังไงก็นานอยู่ดี “ตั้งหลายชั่วโมง มึงกลับไปนอนเถอะ”



“ผมยังไหว”



เด็กตรงหน้าพูดขึ้นทันที สภาพมันย่ำแย่กว่าผมมากยังมาบอกว่าไหว ไหวแต่ปากน่ะสิ ส่งโปรเจคเสร็จมันควรกลับไปพักผ่อนไหม ขนาดเพื่อนที่มาด้วยยังทำหน้าเพลียละเหี่ยใจใส่มันเลย



“มึงไม่ได้นอนมากี่คืน เอากุญแจรถมึงมาแล้วให้เพื่อนไปส่ง” ผมว่าอย่างนั้นเพราะดูแล้วคงไม่ได้อยู่คณะเดียวกับไอ้โซล อาจเป็นเพื่อนคณะอื่นหรือมหาลัยอื่นที่สอบเสร็จก่อนแล้วเพราะมันใส่ชุดเล่น ซึ่งเพื่อนมันก็พยักหน้าเห็นด้วยทันที



“เผื่อพี่วูบทำไง ผมรอแหละดีแล้ว”



“กูไหว ขับได้ หรือถ้าไปชนอะไรกูจ่ายให้มึงได้น่า ไม่ต้องห่วง”



“ห่วงสิ พี่มีคนเดียวนะครับ”



ผมปิดหนังสือลงเมื่อเห็นว่าเด็กตรงหน้าทำท่าจะไม่ยอมท่าเดียว ผมชักจะฉุนแล้วนะ ถ้าคุยไม่รู้เรื่องผมจะเดินหนี!



มีหน้ามาห่วงคนอื่น ไม่ดูตัวเอง!



แล้วมึงมีหลายคน? เอากุญแจมาเร็วๆ กูจะอ่านหนังสือต่อแล้ว”



ไอ้โซลมีสีหน้าลำบากใจ เห็นได้ชัดว่ามันไม่ยอมรับในการตัดสินใจของผม มันมีเหตุผลที่จะรอ แต่ผมก็มีเหตุผลที่ไม่ให้มันรอเหมือนกัน



ผมกับมันต่างคนต่างจ้องกันอย่างไม่มีใครยอมแพ้ เหมือนมันอยากจะพูดอะไรสักอย่างแต่รู้ว่าคงโดนผมปฏิเสธมันเลยเอาแต่ยืนนิ่ง สุดท้ายเป็นไอ้จั๊มพ์ที่ทนไม่ไหว



“เดี๋ยวกูขับให้เอง จบไหม”



ไอ้โซลขมวดคิ้ว มองไอ้จั๊มพ์เหมือนกำลังประเมินว่าไว้วางใจได้มากแค่ไหน นั่นทำให้เพื่อนผมชักจะฉุนตามผมไปอีกคน



“เมื่อคืนกูนอนสามทุ่ม ตื่นเจ็ดโมง นอนไปตั้งสิบชั่วโมง ขับรถแข็งกว่าไอ้ซีน ให้กุญแจรถกับกูได้ยัง!”



ไอ้จั๊มพ์ตบโต๊ะแล้วยื่นมือออกไปข้างหน้า



พอได้ยินอย่างนั้น เด็กตรงหน้าก็ดูเหมือนจะอ่อนลง ไอ้โซลถอนหายใจก่อนจะยอมยื่นกุญแจรถให้กับไอ้จั๊มพ์ไปอย่างช่วยไม่ได้



“ถ้าอย่างงั้นก็ฝากด้วยครับ”



ผมมองตามแผ่นหลังกว้างที่ถูกเพื่อนลากห่างออกไปเรื่อยๆ ดีนะที่วันนี้ไอ้จั๊มพ์ไม่ได้เอารถมาเพราะญาติมันยืมไปใช้ ไม่อย่างนั้นเด็กนั่นคงตื้อจนได้นั่งรอจริงๆ



ผมเมินความรู้สึกที่ดิ้นขยุกขยิกอยู่ข้างใน ก่อนจะละสายตามาสนใจหนังสือเรียนต่อ



“บทสนทนาแปลกๆ เนอะ” เสียงเพื่อนตัวดีทำเอาผมชะงัก



“อะไร”



“ไปสนิทกันขนาดนี้ตั้งแต่ตอนไหน”



“ก็ต้องซ้อมด้วยกันเปล่าวะ”



“อ้อ...เหรอ” มันลากเสียงยาว ฟังดูยียวนกวนประสาท มันเหมือนจะไม่เชื่อ แต่ผมก็ไม่ได้โกหกนี่… ผมตอบไปเท่าที่รู้ ถ้ามันอยากรู้นอกจากนั้น...ก็ไปถามเด็กนั่นเองสิ



ผมไม่ได้สงสัยด้วยซะหน่อย















****

           













“เชี่ย ทำไมยาก!”



“ก็ออกตามที่อาจารย์บอกนะ เป๊ะเลย”



ไอ้จั๊มพ์ยกมือขยี้หัว “ไม่น่าขี้เกียจเลยโว้ยยยยย”



ก็พูดแบบนี้ทุกเทอม...ไม่เห็นสำนึกซะที



“ไม่เป็นไรมันผ่านไปแล้ว” ไม่ใช่คำพูดของผม... เพื่อนคนนี้สามารถทำตัวเองเจ็บ โวยวาย และฮีลตัวเองได้โดยที่ผมไม่ทันได้คิดประโยคปลอบใจเลยด้วยซ้ำ



เราเดินตรงไปยังที่จอดรถของคณะ มองหารถไอ้โซลไม่นานผมก็เจอ



“กูขับก็ได้นะ”



“ไม่ได้ กูรับปากมันไว้แล้ว”



ผมยักไหล่ ยอมเปิดประตูขึ้นไปนั่งข้างคนขับแต่โดยดี เอาจริงๆ ก็เพลียมากอยู่เหมือนกัน



ตอนนี้เพิ่งจะบ่ายสามกว่าๆ ผมอยากเอารถไปคืนไอ้โซลเลยแต่คิดว่ามันคงยังนอนอยู่เลยไม่อยากรบกวน โชคดีที่กิ๋ง เพื่อนของพีมยืมรถผมไปพอดี แล้ววันนี้ก็มีนัดกันหลังสอบเสร็จอยู่แล้วด้วย ผมเลยกะว่าหลังกินข้าวกับพวกนี้เสร็จถึงจะเอารถไปคืนมัน



“คุยกับพีม?”



“เปล่า”



“ไอ้โซล?”



“ไลน์ไปบอกเฉยๆ ว่าตื่นแล้วให้บอกจะได้เอารถไปคืน”



ไอ้จั๊มพ์พยักหน้า ส่งเสียงอือฮึพร้อมกับเบ้ปากนิดๆ อย่างน่าหมั่นไส้ ตอนนี้ผมขี้เกียจจะต่อล้อต่อเถียงด้วย มันจะคิดยังไงก็ปล่อยไปก่อน



พวกผมมาถึงก็เห็นกิ๋งกับพีมนั่งรอในร้านก่อนอยู่แล้ว จะว่าไปช่วงนี้ก็ไม่ค่อยได้คุยกับพีมสักเท่าไหร่ ปกติจะคุยไลน์กันบ้าง...ก็จีบอยู่นี่ครับ



“เริ่มถ่ายวันไหนน่ะ” กิ๋งถามขึ้นทันที กิ๋งเป็นเพื่อนสนิทของพีมผมเลยสนิทไปด้วย และกิ๋งเป็นสาววาย... คำถามจึงไม่พ้นเรื่องนี้อยู่วันยังค่ำ แต่ผมก็เริ่มทำใจได้บ้างแล้วแหละ มาถึงขนาดนี้แล้ว



“อาทิตย์หน้า พรุ่งนี้บวงสรวง”



“โหย ตื่นเต้นอ่ะ แล้วนี่ได้ข่าวว่ามีไปซ้อมกับน้องโซลด้วย เป็นไงมั่ง”



บอกผมทีว่าแววตาเป็นประกายแบบนั้นของกิ๋งต้องการอะไรจากผม ผมกลืนอาหารที่เคี้ยวอยู่ลงคอแล้วจิบน้ำ



“ก็ดี”



ตอบเหมือนตอนตอบคำถามไอ้จั๊มพ์เป๊ะ หวังว่ากิ๋งจะไม่ถามคำถามต่อไปแบบมันหรอกนะ ผมไม่อยากพูดถึงฉากนั้นด้วย...เพราะมันทำให้ผมนึกถึงวันนั้น!



“มีอะไรก็อัพเดตเพื่อนบ้างน้า” ผมรู้ว่ากิ๋งหวังอยู่หน่อยๆ ว่าระหว่างผมกับไอ้โซลต้องมีอะไรมาให้แม่คุณฟินบ้าง ใครจะเล่ากันล่ะ! ...แต่จริงๆ แล้วก็ไม่มีอะไรให้เล่าสักหน่อย!



“ก็วันนี้ไง...”



มือผมชะงักกลางอากาศขณะที่กำลังตักอาหารให้พีม ไอ้จั๊มพ์บอกเล่าเรื่องราวที่ไอ้โซลมาหาผมที่คณะวันนี้อย่างรวดเร็วและครบถ้วนทุกประโยค



สาวผมบ๊อบที่นั่งตรงข้ามผมทำตาโต “ขนาดนั้นเชียว!!”



“ชู่ว จะตื่นเต้นทำไม”



“ก็นี่มัน...ไม่แปลกเหรอ!”



“ไม่”



...ไม่รู้...



“เรื่องเรากับไอ้โซลเป็นไปไม่ได้หรอก อย่าหวังเลย...เรารู้ว่ากิ๋งคิดอะไร” ผมพูดประโยคสุดท้ายเพราะหญิงสาวตรงหน้าทำท่าจะเถียงขึ้นมา



“ซีนอ่ะ!” เจ้าตัวทำหน้ายู่ “เรามโนเอาเองก็ได้ ชิ!” 



หลังจากนั้นก็ไม่มีใครพูดเรื่องนี้อีก แม้กิ๋งจะพยายามหว่านล้อม...ครับ หว่านล้อมให้ผมคบกับไอ้โซลต่างๆ นานา แต่ก็ติดจะเล่นๆ ไม่ได้จริงจังอะไร ซึ่งพีมที่นั่งฟังก็หัวเราะคิกคัก แถมบางทีเออออไปกับเขาด้วย เฮ้ย...นี่แฟน(ในอนาคต)กำลังถูกจับคู่กับคนอื่นอยู่นะ อารมณ์เสียมั่งสิ หรือจะโมโหหึงเลยก็ได้ ผมยอมง้อเลย



พอจัดการอาหารคาวแล้วสาวๆ ก็อยากไปต่อของหวาน พวกผมก็ตามใจ หนังท้องตึงจะแย่ หนังตาก็ไม่ต่างกันแต่ไอ้จั๊มพ์ดันอยากดูหนังเรื่องใหม่ที่ปากต่อปากบอกว่าสนุกโคตร...แต่ผมหลับ



พอหนังจบไอ้จั๊มพ์ก็ปลุกผมพร้อมบ่นอีกนิดๆ ว่าไม่ยอมดูหนังเป็นเพื่อนมัน



กิ๋งคืนกุญแจรถให้ผม พวกเราแยกกันตรงหน้าโรงหนัง สองสาวมีนัดกินเลี้ยงกับเพื่อนอีกกลุ่มต่อ ผมกับไอ้จั๊มพ์เลยขับรถคนละคันไปที่คอนโดไอ้โซล ตอนนี้ก็สามทุ่มกว่าแล้ว ระหว่างที่หลับในโรงหนังมันตอบข้อความผมพอดี



ผมกดกริ่ง รอสักพักประตูก็เปิด เด็กตัวสูงตรงหน้าอยู่ในชุดเสื้อสีขาวและกางเกงขายาวสบายๆ ที่คาดว่าน่าจะเป็นชุดนอน หน้าตาก็อิดโรย ใต้ตาคล้ำหน่อยๆ ...แต่ทำไมยังดูดี



ชิท! ผมไม่ได้อิจฉาเลยจริงๆ



“เข้ามาก่อนไหมครับ”



“ไม่เป็นไร ดึกแล้ว เดี๋ยวต้องไปส่งไอ้จั๊มพ์อีก” ผมพยัดเพยิดไปทางคนข้างตัวที่กำลังหาวอยู่ มันยักคิ้วให้โซลแทนการทักทาย



“ให้ผม...” คำพูดนั้นชะงักไปเหมือนมันกำลังคิดว่าควรจะพูดออกมาดีหรือไม่ ไอ้โซลกำกุญแจรถที่ผมให้ไปเอาไว้...แล้วใบหน้าล้าๆ นั่นก็มองผมอยู่อย่างนั้นโดยไม่เอ่ยอะไรต่อ



ผมเม้มปาก นึกถึงเหตุการณ์เมื่อตอนกลางวันขึ้นมาซะอย่างนั้น...เด็กตรงหน้าทำหน้าหงอยทำไม มันเหนื่อย มันเครียดเรื่องโปรเจคที่เพิ่งส่งไป หรือมันนอนไม่พอ ต้องการจะไปนอนต่อ อย่างงั้นผมควรไป...ใช่ไหม?



ผมก็แค่คิดว่ามันเหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่าง...



...แต่มันไม่กล้า



“กูงีบในโรงหนังแล้ว”



ผมเลยตัดสินใจพูดออกไปแทน



“เดี๋ยวถึงบ้านแล้วบอก”





เท่านั้นแหละ...



เท่านั้นจริงๆ ...ที่คนตรงหน้ายิ้มออกมา



...ผมก็รีบเดินหนีทันที



เป็นไปได้อยากจะกระโจนลงบันไดหนีไฟให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยด้วยซ้ำ



อีกครั้งแล้วที่ผมทนเห็นสีหน้าแบบนี้ของมันไม่ได้จนต้องหาทางทำอะไรสักอย่าง...ผมก็แค่เป็นคนขี้สงสาร ขี้ใจอ่อน...แล้วบังเอิญว่าผมเดาถูกซะด้วยว่ามันเป็นอะไร



แล้วมันจะห่วงอะไรนักหนาเล่า เป็นคนดีเกินไปหรือเปล่า!



เสียงไอ้จั๊มพ์เรียกชื่อผมตามหลังมา ผมไม่รู้ว่าตัวเองเดินเร็วขนาดไหน เพื่อนที่สูงกว่าผมอย่างมันถึงได้ตามไม่ทัน





ไม่รู้...ผมแค่ไม่อยากได้ยินคำพูดของมัน...





“กูว่ามันแปลกจริงๆ นะ...เฮ้ย วิ่งทำไม!”

     





     

****

มีเด็กงอแงข่าทุกโคนน555555

ตอนนี้สั้นแฮะ ; - ;

บางคนแสดงออกหนัก แต่กลับบางคนก็ไม่รู้หนักเช่นกัน (...)

แต่พี่ซีนไม่โกงน้องน้า ห่วงมาห่วงกลับน้า ฮี่_ฮี่



ขอบคุณทุกคอมเม้นค่ะ <3

#ข้างหลังฉาก ^-^

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด