ตอนที่ 4“ซ้อมเป็นไงมั่ง”
“ก็ดี”
“ดีแบบไหน”
“มึงต้องการอะไร”
“ก็แบบ…ได้…ด๊วฟๆ..กันป่ะ” ไอ้จั๊มพ์ทำปากจู๋พะงาบๆ เหมือนปลาทองเวลากินอาหาร
ด๊วฟๆ โพ่ง...
“ฉากแบบนั้นใครจะไปซ้อมกันล่ะ!”
ผมพยายามไม่คิดถึงฉากนั้น รู้ว่ามันต้องเกิดสักวัน แต่ผมต้องผ่านมันไปให้ได้ในเทคเดียว!
“อ่า ไม่ก็ไม่” ไอ้จั๊มพ์ยกนาฬิกาขึ้นดู “แล้วนี่จะไปเลยหรือเปล่า”
“ไปเลยก็ได้ มึงจะเอาของไปให้ไอ้โฟร์ด้วยไม่ใช่เหรอ”
ผมติดรถไอ้จั๊มพ์ไปเพราะเมื่อคืนมันมานอนบ้านผม ตอนเช้าเลยมากับมัน ลืมไปเลยว่านัดไอ้โซลซ้อมวันนี้
“มึงกับน้องมันดีกันแล้วใช่ไหม”
“เด็กมึงโคตรน่าหมั่นไส้” ผมมองออกไปนอกหน้าต่าง คณะไอ้โซลกับคณะผมอยู่ห่างกันเป็นโยชน์ อยู่คนละฝากของมหาลัยเลยด้วยซ้ำ
“เด็กกูอะไร”
“ก็เห็นเข้าข้างกันดี”
“มึงนั่นแหละที่อคติ”
มีผมคนเดียวใช่ไหมที่เห็นความกวนตีนของมัน
“มันแกล้งกู”
“ใครไม่แกล้งมึงบ้าง”
“พวกมึงไปอยู่ด้วยกันให้หมดเลย!!”
“ฮ่าๆๆๆๆๆ”
มันจอดรถ เปิดประตูลงไปทั้งที่ยังหัวเราะตัวงอก่อนจะเดินเข้ามาหาผมที่ทำหน้าบูด
“ป่ะๆ ไปหาพระเอกของมึงกัน”
จะสะบัดตัวออกแต่มันก็ล็อคตัวผมแล้วก็ลากให้เดินเข้าไปใต้อาคารเเล้ว
ใต้คณะมีนักศึกษานั่งอยู่ประปราย แต่ที่จะเห็นเป็นกลุ่มใหญ่ๆ ก็...พวกไอ้โซล
ผมเดินเข้าไปทางเด็กกลุ่มใหญ่นั้นทันทีเพราะเห็นว่าไอ้ทิมกับไอ้โฟร์ก็นั่งอยู่ด้วย ไอ้โซลเห็นผมก็เดินเข้ามาหา
“อ้าว ผมว่าจะไปรับพี่”
“กูมาหาเพื่อนกู”
“อ่าครับ... ยังไงก็รอแปบนึงนะ ผมขอคุยงานก่อน”
และแน่นอนว่าผมต้องติดรถไปกับมันอย่างช่วยไม่ได้ ผมนั่งลงโต๊ะข้างๆ พวกไอ้โซลที่มีเพื่อนผมนั่งอยู่ก่อนแล้ว มันเป็นโต๊ะที่เอามาต่อรวมกันเป็นโต๊ะใหญ่ ฉะนั้นพวกมันพูดอะไรผมก็ได้ยิน
“นี่พี่ซีนใช่ป่ะ”
“เล่นเป็นเมียมึงในเรื่องน่ะเหรอ”
“ตัวบ๊างบาง”
“คนนี้ที่มึงบอกว่า...”
ประโยคหลังผมไม่ค่อยได้ยินเพราะพวกมันกระซิบกระซาบกัน
ไหนบอกว่าคุยงานไง
แล้วเมียเมออะไร!!!
“เฮ้ย! พวกมึงนินทาเพื่อนกูเหรอวะ” เป็นไอ้ทิมที่โพล่งขึ้น
“เปล่าพี่ แค่พูดถึง”
“อย่าซุบซิบสิวะ จะพูดอะไรก็มาพูดต่อหน้า เพื่อนกูไม่กัด” ผมสะกิดไอ้ทิมจะบอกว่าไม่เป็นไร จริงๆ ก็แค่ทำตัวไม่ถูกเฉยๆ ที่ตกเป็นเป้าสายตาและเป็นหัวข้อบทสนทนาใหม่แบบสดๆ ร้อนๆ แต่เพื่อนไอ้โซลคนนั้นก็เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าผมแล้ว
“สวัสดีครับพี่ซีน ผมชื่อกัน เป็นเพื่อนไอ้โซล เมื่อกี้แค่พูดถึงจริงๆ นะครับ เพราะคำว่าน่ารักฉิบหายไม่ใช่คำนินทานี่นา”
เสียงโห่แซวดังมาจากกลุ่มเด็กโต๊ะข้างๆ ส่วนผมนี่ใบ้แดก ไอ้เพื่อนตัวดีแม่งก็ร่วมไปกับเขาด้วย เออ รุ่นน้องมึงทำดี แต่กูเพื่อนมึงนะ!
ผมส่งยิ้มแหยๆ ไปให้แม้จะรู้สึกปวดสมองตุบๆ คือมันยิ้มกว้างจริงใจมาก จะให้ด่าก็ด่าไม่ลง มันอาจถูกเพื่อนสั่งมา มันอาจใสซื่อจริงๆ ก็ได้...มั้ง
“ไป...คุยงานกับเพื่อนไหม” พวกนั้นมองจ้องมาที่ผม ผมเลยคิดว่าคงรอไอ้น้องกันนี่กลับไปคุยงานต่อ
“เพื่อนกูไล่น่ะ”
“ไม่ใช่นะเว้ย”
“ใช่สิ กูรู้จักมึงมานาน กูรู้น่า” ผมเหยียบเท้าไอ้ทิมให้ฟังผมแล้วแต่มันไม่หือไม่อือ มารยาทน่ะรู้จักไหม รักษาน้ำใจเด็กมันหน่อย!
“ไม่เป็นไรพี่ ผมไม่ซี”
มันยิ้มเหมือนเดิมแต่มีอะไรแปลกๆ ไป
“ไอ้โซล!” เด็กตรงหน้าตะโกนขึ้นทั้งที่เจ้าของชื่อก็ไม่ได้ยืนอยู่ไกลเลย “น่ารักจริงๆ ด้วยว่ะ” ว่าแค่นั้นก่อนจะเดินจากไป
ทิ้งให้ผม...ใบ้แดกอีกรอบ
รู้แล้ว...
รอยยิ้มมัน...เหมือนเพื่อนมันไม่มีผิด!
หลังจากนั้นเสียงเด็กโต๊ะข้างๆ ก็ดังขึ้นอีกครั้ง
“โดนกูมาก”
“ว่าแล้วทำไมมึง...”
“ยิ่งมองใกล้ๆ นี่แม่ง...”
“ไอ้สัด ของเพื่อนมึงท่องเอาไว้!”
“โห ขอกูไปเล่นกับพี่เขามั่งได้ไหม”
“หยุดเลยพวกมึง!” ผมไม่ได้หันไปมองพวกนั้นอีกแต่ผมรู้ว่านี่คือเสียงไอ้โซล
“ขึ้นแล้วเหรอวะ แหมม”
“หุบปากน่า”
“โอเคๆ เดี๋ยวเหยื่อรู้ตัวเนอะ หึหึ”
พวกมัน...พูดเรื่องอะไรกัน
นั่งไปได้สักพักไอ้โฟร์กับไอ้ทิมก็กลับไปทำงานที่หอต่อ ไอ้จั๊มพ์ก็มีธุระด้วยเหมือนกัน...
“อยู่ได้นะ”
“ได้อยู่แล้ว”
“ญาติกูเสือกอยากเซอร์ไพร์ส”
“เออๆ มึงไปเถอะ” ผมโบกมือไล่มัน มันต้องรีบไปรับญาติมันที่สนามบิน ไม่ใช่ผมอยู่คนเดียวไม่ได้ ถึงแม้ว่าเราจะตัวติดกันตลอดก็จริงอยู่ แต่ที่มันกังวลคงเป็นเพราะผมต้องนั่งอยู่ท่ามกลางเด็กคณะอื่นล่ะมั้ง ก็แค่รู้สึกแปลกๆ ผมไม่ค่อยชอบอยู่กับคนที่ไม่รู้จักเท่าไหร่ ในที่นี้ก็รู้จักไอ้โซลแค่คนเดียว
“มึงไม่ต้องห่วงน่า” ไอ้จั๊มพ์พยักหน้า เหมือนจะเข้าใจนะถ้ามันไม่...
“ไอ้โซล ฝากดูเพื่อนกูด้วย!”
ตะโกนหาสวรรค์อะไรวะเพื่อน โว้ยย มันหันมามองกันทั้งกลุ่มเลย
ไอ้โซลปลีกตัวออกมาหาผมทันที ไอ้จั๊มพ์เห็นอย่างนั้นก็เลยเดินออกไปอย่างสบายใจ ปล่อยให้ผมนั่งตัวลีบอยู่ตรงนี้ที่เดิม
“ไปรอที่ห้องผมก่อนไหม เอารถผมไป”
ผมส่ายหน้า เราไม่ได้สนิทกันถึงขนาดนั้น เห็นแบบนี้ผมก็เกรงใจมันนะครับ
“งั้นรออีกแปบนะครับ” แปบตั้งแต่กูมา แปบของมันเป็นชั่วโมง รอจนจะหลับแล้วเนี่ย
“เอาน้ำป่ะ”
ผมก็ส่ายหน้าอีก
แล้วมันจะถามผมทำไมถ้าพอปฏิเสธแล้วมันก็เดินไปทางร้านขายน้ำแบบนั้นน่ะ!
“หายคอแห้งก็คุยกับผมหน่อย” ชาเขียวปั่นวางอยู่ตรงหน้า... ผมเห็นแก่ที่มันเดินไปซื้อมาให้หรอกนะเลยหยิบมาดูดไปสองอึก
“พอใจยัง”
ที่บอกว่าคุยเรื่องงาน ผมนึกว่าจะคุยเรื่องโปรเจคไรแบบนี้กันซะอีก แต่ได้ยินเหมือนจะเป็นงานเลี้ยงอะไรก็ไม่รู้ คุยกันไม่ได้จริงจังเลยด้วยซ้ำ เหมือนว่าไอ้โซลจะปลีกตัวออกมาหลายครั้งแต่เพื่อนมันดึงเอาไว้ ผมไม่ได้หันไปมองหรอกแค่ได้ยินพวกมันพูดกัน
ผมนั่งดูนู่นดูนี่ในโทรศัพท์ไปเรื่อย แบตก็จะหมด จะเอาหนังสือขึ้นมาอ่านก็ไม่มีอารมณ์ จะให้มานั่งท่องบทตรงนี้มันก็ดูจริงจังเกินไปหน่อย แต่ถ้าจะให้นั่งอยู่เฉยๆ ก็ทำไม่ได้ เพราะพวกเด็กโต๊ะข้างๆ หันมามองผมบ่อยมาก ยิ่งผมนั่งคนเดียวแบบนี้ยิ่งทำตัวไม่ถูกเข้าไปกันใหญ่
ผมเป็นตัวประหลาดหรือไงวะ
พอเริ่มหงุดหงิด ผมเลยระบายโดยการจิ้มหน้าจอโทรศัพท์แรงๆ
เลิกมอง เลิกมอง เลิกมองเดี๋ยวนี้!!
“ผมจะถามอีกครั้งว่ากลับก่อนไหม”
ผมเงยหน้าขึ้นมองคนที่วางกุญแจรถเอาไว้ให้ตรงหน้า
“มาครับ เดี๋ยวพาเดินไปที่รถ”
“ไม่เอา”
“ผมรู้ว่าพี่เบื่อ”
“กูรอได้จริงๆ” แม้ว่าแปบของมันจะเลยครึ่งชั่วโมงมาแล้วก็เถอะ...
“ไม่ต้องเกรงใจจริงๆ”
ยอกย้อน…
ผมวางโทรศัพท์ลงแล้วพูดกับมันจริงจัง
“ไว้ใจกูขนาดไหน มึงไม่กลัวกูปล้นห้องมึงหรือไง”
เราเพิ่งรู้จักกันไม่นาน ถึงไม่กลัวว่าผมจะขโมยอะไรแต่ให้คนที่เพิ่งรู้จักเข้าไปอยู่ในพื้นที่ส่วนตัวแบบนี้ผมว่ามันไม่โอเค แม้ว่ามันอาจจะทำไปตามมารยาทหรืออะไรก็ตามแต่
แต่มันกลับเหมือนไม่ได้ใส่ใจอะไรและตอบกลับผมมาด้วยสีหน้าจริงจังไม่แพ้กัน
“ปล้นอะไรก็ปล้นไปเถอะครับ อย่าปล้นหัวใจผมก็พอ”ผมไม่รู้ตัวว่าพวกเพื่อนไอ้โซลจ้องมันตั้งแต่มันเดินออกมาหาผมแล้ว พอมันพูดประโยคนี้จบ คงเดากันได้ใช่ไหมครับว่าเกิดอะไรขึ้น...
“ฮิ้วววววววววว”
“โอ้ววว ว้าววๆๆๆๆ”
“มันออกโรงเองเลยว่ะ”
“เพื่อนกูหายกากแล้วเหรอวะ”
“ไม่เล่นนะครัชงานเน้”
เหมือนไฟที่กำลังลุกโชน แล้วก็มีไอ้น้องกันเป็นคนราดน้ำมันลงไปซ้ำ...
“อ้าว! ก็ไม่ใช่ว่าเต็มใจให้ปล้นเหรอวะ”นั่นแหละครับ ไฟก็เลยแทบจะเผาหัวผมอยู่รอมร่อ ไอ้เด็กตรงหน้าแม่งก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
เออ สะใจมากไหม แกล้งให้ผมขายหน้าท่ามกลางพรรคพวกมันน่ะ แล้วผมนี่มีอย่างที่ไหน ถ้ารอที่คณะตัวเองก็ไม่ต้องมาเป็นเป้านิ่งให้พวกมันเล่นสนุกกันแล้ว
แต่ที่น่าอารมณ์เสียที่สุดคืออะไรรู้ไหม...นอกจากพวกมันจะทำให้ผมหัวร้อนแล้ว
มันยังทำให้ผมหน้าร้อนอีกด้วย!
ฮึ้ยยยยยยยยย!
กลายเป็นหงุดหงิดคูณสอง อาจเพราะผมแสดงสีหน้าออกมากไปไหมก็ไม่รู้ หลังจากนั้นไอ้โซลก็ปลีกตัวออกจากเพื่อนได้สำเร็จ ผมแทบจะไม่คุยกับมันแม้ว่าเราจะแวะหาอะไรกินก่อนไปถึงคอนโด รู้สึกหงุดหงิดสู้อะไรมันไม่ได้สักอย่าง
อยากบอกไอ้จั๊มพ์ว่าผมคงญาติดีกับเด็กมันไม่ได้หรอก ผมไม่ใช่คนใจแข็งอะไร ถ้าใครมาทำดีด้วยหน่อยผมก็มองว่าเขาเป็นคนดีแล้ว แต่กับไอ้โซลไม่ใช่อย่างนั้น เราเจอกันไม่ประทับใจเอามากๆ ที่มันคอยแกล้งก็เพราะอยากเอาคืนที่ผมขับรถเกือบชนมัน แม้จะมีบางทีที่มันทำดีกับผมก็ตาม แต่สุดท้ายก็จะวนกลับมาแกล้งใหม่ มันเหมือนตบหัวแล้วลูบหลัง…
“พี่ซีน โกรธเหรอที่ผมพูดแบบนั้น”
“…”
“พวกเพื่อนมันก็แซวเล่น”
“…”
“ผมขอโทษ”
เรานั่งอยู่ในร้านอาหาร ผมมองหน้าที่เซื่องซึมของมันก็รู้สึกตกใจ …ไม่ใช่แค่กำลังรู้สึกผิดแต่สีหน้าของมันเหมือนคนกำลัง…ผิดหวัง…
ผมไม่เข้าใจ
จริงๆ แล้วคิดว่าผมนี่แหละที่ผิดและเราควรคุยกันให้รู้เรื่องไปเลย ไหนๆ ก็ต้องทำงานกับมันตั้งหลายเดือนอยู่แล้ว
“กูต่างหากที่ต้องขอโทษ”
“ครับ?”
“วันที่เกือบชนมึงกูไม่ทันได้มอง ตอนนั้นรีบด้วยแล้วก็คิดว่ามึงไม่ได้เป็นอะไรมากเลยไม่ได้สนใจเท่าที่ควร”
หน้ามันดูงงๆ แต่ผมก็พูดต่อ “กูยอมรับแล้วว่ากูผิด กูขอโทษ จริงๆ กูไม่ได้เกลียดมึงนะ แต่ถ้ามึงจะเกลียดกูต่อก็ไม่เป็นไร”
ผมหมายความตามนั้นจริงๆ ผมไม่ใช่พวกชอบมีเรื่องหรือมีอะไรติดค้างในใจกับใครอยู่แล้ว ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปการทำงานด้วยกันจะยิ่งยากเข้าไปอีก ก็ใช่อยู่ที่ว่าผมไม่พอใจที่ถูกมันกลั่นแกล้งโดนการหยามศักดิ์ศรีลูกผู้ชายอย่างตอนที่อยู่ในห้องครัวหรือตอนที่มันกับเพื่อนแซวผมอย่างกับผมเป็นผู้หญิงแบบนั้น แต่ยังไงจุดเริ่มต้นมันก็มาจากผมอยู่ดีนั่นแหละ
ผมตั้งหน้าตั้งตากินอาหารตรงหน้า ไอ้โซลยังคงนั่งนิ่ง ผมไม่รู้ว่ามันคิดอะไร นานพอสมควรกว่ามันจะอ้าปากพูดออกมา
“พี่…บอกว่าผมเกลียดพี่เหรอ” มันทำหน้าไม่อยากจะเชื่อ “ทำไมถึงคิดแบบนั้นล่ะครับ”
นี่มันกำลังเล่นลิ้นหรืออะไร ถึงแม้หน้ามันจะดูจริงจังก็เถอะ
“ถ้าจะบอกว่าที่ผมแกล้งพี่เป็นเพราะผมเกลียดพี่น่ะ พี่คิดผิดแล้ว”
“หรือมันไม่จริง”
“โถ่ พี่ทิมแกล้งพี่ออกจะบ่อย”
“นั่นเพื่อนกู”
ผมวางช้อนส้อมหลังจากกินไปได้นิดเดียว ส่วนไอ้โซลยังไม่แตะสักนิด
“ถ้าผมเกลียดพี่ ผมไม่ยุ่งด้วยหรอกนะ…” มันทำหน้าลังเลอยู่พักนึงเหมือนกำลังตัดสินใจอะไรสักอย่าง อาจกำลังหาข้อแก้ตัวที่ทำให้ผมสบายใจก็ได้
“แต่นี่น่ะ…เพราะชอบ”ผมชะงักไปกับสายตาที่ไม่มีแววล้อเล่นของคนตรงหน้า ที่มันพูดมายังไม่จบประโยคใช่ไหม…
“...ชอบแกล้ง?”
“ชอบมาก”
“ชอบแกล้งมากๆ”
“ก็ได้ครับ...แบบนั้นก็ได้”
ผมถอนหายใจออกมาอย่างโล่งออกราวกับลุ้นอะไรสักอย่าง น่าจะเพราะเราเข้าใจกันแล้วแหละ...มั้ง คิดถูกที่พูดกันตรงๆ ไปเลย ตอนนี้ผมจะได้มองมันเป็นรุ่นน้องคนนึงที่ไม่มีพิษมีภัย ไม่ใช่คู่กรณีที่ต้องคอยระวังตัวเวลาอยู่ด้วย
อยากขอโทษเรื่องที่สาดน้ำใส่นะแต่ถือว่าแก้แค้นที่มันทำกับผมไว้ในห้องครัวแล้วกัน!
ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นระหว่างที่คนตรงหน้าจัดการกับอาหาร ถึงแม้คนในร้านจะเยอะและเสียงดังขนาดไหนแต่ผมกลับได้ยินเสียงของมัน
“ผมไม่มีทางเกลียดพี่ได้หรอก”
“ผมทำให้พี่รู้สึกแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ”
ผมเกือบอ้าปากตอบหลายครั้งแต่ก็ไม่รู้จะตอบว่ายังไง ไอ้โซลพึมพำอยู่แบบนี้ตั้งแต่ออกจากร้านจนมาถึงคอนโดมัน
“เกลียดพี่เนี่ยนะ” มันหัวเราะให้ลำคอราวกับว่ามันเป็นเรื่องตลกร้าย
ทุกคนช่วยหาอะไรอุดปากไอ้เด็กที่ยืนข้างๆ ผมตอนนี้ได้ไหมครับ ...เพราะเมื่อผมตั้งสติได้ (ตอนอยู่ร้านอาหารรู้สึกเบลอๆ) ...ทำไมผมพูดออกไปแบบนั้นฟะ!! โคตรเสียฟอร์ม! เหมือนสารภาพบาปกับมันยังไงก็ไม่รู้ แถมยังหน้าแตกยับเพราะเข้าใจผิดว่ามันไม่ชอบผมอีก
แต่ไอ้คนที่ควรจะได้ใจกลับเงียบ พึมพำอยู่ประโยคเดิมๆ อย่างกับคนบ้า มันจะซีเรียสอะไรขนาดนั้นผมไม่เข้าใจ แต่อยากให้หยุดพูดเรื่องนั้นได้แล้วเพราะผมอายโว้ย!!!
แต่คิดไปคิดมาผมพูดออกไปก็ดีแล้ว ...รู้สึกสบายใจแปลกๆ
ผมไม่ได้มาห้องมันเพื่อเล่นเกมจ้องตาหรอกนะ
แต่ไอ้เด็กนี่ไม่ขยับไปไหนเลย และสายตาของมันทำให้ผมไม่รู้จะต้องพูดอะไรออกไปด้วย
มันต้องการอะไรจากผมวะครับ!
“พี่ซีน”
“…”
“สมมตินะครับ…”
ผมครางอืออารับ
“สมมติว่าพี่ชอบคนคนนึงอยู่ แอบมองเขามานาน พอวันนึงพี่มีโอกาสได้รู้จัก ได้อยู่ใกล้ๆ พี่ก็พยายามแสดงออกว่าชอบแต่เขากลับไม่รู้ตัว แถมคิดว่าเราไม่ชอบเขาอีก เป็นพี่พี่ยังจะพยายามต่อไหม”
ผมตกใจนิดหน่อย ไม่คิดว่ามันจะปรึกษาผมเรื่องนี้แล้วก็ไม่คิดว่าไอ้เด็กตัวโตหน้าหล่อก็ทุกข์ใจเรื่องความรักกับคนอื่นเขาเป็นด้วย อย่างมันผู้หญิงไม่น่าปฏิเสธเลยนะ แต่ผมไม่พูดออกไปหรอก!
“ก็ทำให้รู้ตัวสิ”
“ผมกลัวเขาไม่ชอบผมน่ะสิ”
“ยากจังวะ อืม…งั้นก็ค่อยๆ ทำให้รู้ตัว อย่ารุกเยอะ ไม่รู้ดิ มันแล้วแต่คนด้วยมั้ง”
“แล้วถ้าเป็นพี่ล่ะ”
“กูยังไงก็ได้ ถ้าชอบก็คือชอบ”
“จริงเหรอครับ”
“อืม มึงก็พยายามกว่านี้หน่อยสิ แอบมองมานานไม่ใช่เหรอ ถ้าจนแล้วจนรอดเขาไม่รู้ตัวก็สารภาพไปเลย ตอนนั้นผลจะเป็นยังไงก็ช่าง แต่มึงจะไม่เสียใจที่อย่างน้อยมึงก็พยายามจนถึงที่สุดแล้ว”
ไอ้โซลพยักหน้ารับ รอยยิ้มมันเผยออกมานิดๆ
“พี่เคยชอบใครป่ะ”
“ชอบดิ ตอนนี้ก็จีบอยู่...”
“พอแล้ว ผมไม่อยากรู้”
“ฟาย”
ขัดอารมณ์มาก หน้าสวยๆ ของพีมกำลังลอยขึ้นมาเลย
ไอ้เด็กตรงหน้าหัวเราะออกมาในรอบหลายชั่วโมง ดูเหมือนมันจะสบายใจแล้วล่ะมั้ง
“แกล้งพี่สนุกดีนะครับ”
“อ้าว” เฮ้ย...ไม่เหมือนที่คุยกันไว้นี่หว่า... ยังไงมันก็ยังเป็นมันอยู่วันยังค่ำสินะ
แต่ต่างกันออกไปตรงที่ผมไม่ได้รู้สึกไม่ดีอย่างเดิม รู้สึกว่าไอ้โซลก็คล้ายๆ พวกเพื่อนของผม
...เป็นคนที่ไว้ใจได้
“พี่โมโหแล้วตลกดี อีกสักหน่อยผมคงเป็นโรคซีนลิซั่ม”
“ลิซึ่มไหม ไม่หยุดกวนตีนนะมึง”
ไอ้โซลรับหมอนที่ผมปาใส่มันได้ ยกมือสองข้างเหมือนจะบอกว่ายอมแพ้ทั้งที่หัวเราะร่าก่อนมันจะเดินหายเข้าไปในห้องครัว และออกมาพร้อมกับจานใบเล็กที่มีเค้กอยู่บนนั้น...
“แม่ผมทำมาให้”
บอกแล้วว่าไอ้โซลน่ะ...ชอบตบหัวแล้วลูบหลัง!!
****
พี่ซีนบอกให้โซลพยายามต่อใช่มั้ยคะ /ด้ายยยยยยยยยยยยย
5555555555555
ฝากติชมด้วยนะค้า #ข้างหลังฉาก
