-3-
เซินหมิงเฟิ่งขยับตัวยืดออกเพราะรู้สึกเมื่อยขบ เขาหลับไปนานมากหรือยังไงนะถึงไม่รู้สึกง่วงงุนเลยแม้แต่น้อย กลับกัน เขารู้สึกเมื่อยไปทั้งตัวเหมือนนอนในท่าเดิมนานเกินไปเสียมากกว่า ถึงอย่างนั้นสัมผัสที่แผ่นหลังเขาก็เป็นเตียงนอน แสดงว่าเขาหลับไปในรถแล้วใครบางคนอุ้มเขามาที่เตียงงั้นหรือ? น่าแปลก ปกติแล้วการ์ดจะปลุกให้เขากลับมาที่ห้องเองถึงจะถูก เพราะการ์ดและคนรับใช้จะไม่ได้รับอนุญาตให้ขึ้นมาที่ชั้นนี้หากไม่ใช่เรื่องจำเป็นหรือเป็นคำสั่งจากคนที่มีอำนาจสั่งการในบ้าน
เสียงกระดูกลั่นตามแขนขาบ่งบอกได้ดีว่าเขาขดในท่าเดิมมานานแค่ไหน เซินหมิงเฟิ่งขยับตัวจนแน่ใจว่ากระดูกกระเดี้ยวเข้าที่ดีแล้วจึงลืมตาขึ้นแล้วมองไปรอบ ๆ
.....
นี่ไม่ใช่ห้องของเขา...
เซินหมิงเฟิ่งจดจำห้องของตัวเองได้ดี ถึงแม้จะได้นอนที่นั่นเพียงอาทิตย์เดียวนับแต่กลับมาจากอังกฤษ แต่นี่ไม่ใช่ห้องของเขาแน่ ๆ เฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นไม่เหมือนเดิม มันไม่ใช่แค่การเปลี่ยนชุดเฟอร์นิเจอร์ แต่มองอย่างไรก็แน่ใจว่าไม่ใช่ห้องของเขาแน่ ๆ
เกิดอะไรขึ้น?
ชายหนุ่มลุกจากเตียงแล้วเดินไปที่ประตู ก่อนอื่นเขาต้องรู้ก่อนว่าตัวเองอยู่ที่ไหน แต่เมื่อเขาพยายามขยับลูกบิดเขาก็พบว่ามันล็อค ซ้ำยังเป็นลูกบิดแบบไม่มีกลอนกดล็อค มีเพียงรูกุญแจที่อยู่ต่ำลงมาจากตำแหน่งลูกบิดเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งหากจะเปิดย่อมต้องใช้ลูกกุญแจ แต่เมื่อเขามองไปรอบ ๆ ก็ไม่พบลูกกุญแจวางอยู่ที่ใดเลย
เขาล้วงมือลงไปในกระเป๋ากางเกงด้วยความร้อนรน ต้องโทรขอความช่วยเหลือ....แต่มือถือของเขาก็หายไป ในกระเป๋ากางเกงและกระเป๋าเสื้อของเขาไม่เหลืออะไรอยู่เลย ทั้งกระเป๋าสตางค์ โทรศัพท์มือถือ กระทั่งกระเป๋าสำหรับเก็บการ์ดต่าง ๆ เซินหมิงเฟิ่งสูดหายใจเข้าลึกแล้วเดินไปที่หน้าต่าง ห้องนี้มีหน้าต่างเพียงบานเดียวและมันถูกปิดไว้ด้วยม่าน เขาตลบมันออกและได้เห็นว่ามันถูกปิดไว้ด้วยผ้าดำทึบก่อนจะเป็นกระจกอีกชั้นหนึ่ง เซินหมิงเฟิ่งลองขยันกระจกดูและพบว่ามันถูกล็อคเช่นเดียวกัน จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะดึงผ้าดำนั้นออกเพื่อดูสิ่งที่อยู่ภายนอก
ไม่มีอะไรต้องสงสัยแล้ว เขาถูกลักพาตัวอย่างแน่นอน...
เซินหมิงเฟิ่งพยายามเตือนสติตัวเองให้ใจเย็น แต่ก็เป็นเรื่องยากเหลือเกิน เขาไม่เคยมีประสบการณ์ถูกลักพาตัวมาก่อนและไม่เคยคิดอยากจะมีสักครั้ง เขาต้องคาดเดาก่อนว่าคนที่จับตัวเขามามีจุดประสงค์อะไรเพื่อที่จะต่อรองได้สะดวก
เงิน?
อำนาจ?
พวกที่กล้าจับตัวทายาทมาเฟียอย่างเขามาคงไม่ใช่พวกพ่อค้าแรงงานเถื่อนหรืออวัยวะ บางทีเป้าหมายของคนที่ทำเรื่องนี้น่าจะเป็นพ่อของเขา หรือการสั่นคลอนอำนาจของจูเชว่ เขาไม่มีความรู้เรื่องของจูเชว่มากเท่าไหร่ แต่เขาก็รู้ได้ด้วยประสบการณ์สมัยเด็กว่าอำนาจในมือพ่อของเขานั้นยิ่งใหญ่เพียงใด แน่นอนว่ามีคนมากมายไขว่คว้าปรารถนาและพยายามเข้าหาด้วยวิธีต่าง ๆ ทั้งแบบละมุนละม่อมและรุนแรง
แต่ทำไมเขาถึงพลาดท่าได้ล่ะ?
การ์ดที่ทำหน้าที่อารักขาเขาอ่อนประสบการณ์ถึงเพียงนั้นเชียวหรือ? ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะการ์ดทุกคนที่ไปในงานครั้งนี้ต่างเป็นคนเก่าแก่ที่รับใช้มาตั้งแต่อายุยังน้อยและคัดเลือกอย่างดีว่าไม่มีประวัติด่างพร้อยใด ๆ นอกจากนั้นยังมีฝีมือดีอย่างหาตัวจับยากทั้งนั้น
คนที่จับตัวเขามาสามารถฝ่าวงล้อมของการ์ดเข้ามาถึงตัวเขาโดยที่เขาไม่รู้ตัวได้ยังไง?
แทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดเรื่องเช่นนี้ นอกจากว่า....
เซินหมิงเฟิ่งกลั้นหายใจ เขาไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลย
หรือว่าเกลือจะเป็นหนอน...
บ้าจริง....
ชายหนุ่มเผลอขบเล็บตัวเองโดยแรง เพราะหากสถานการณ์เป็นเช่นที่เขาคิด มันจะต้องกลายเป็นเรื่องใหญ่แน่ หากมีคนทรยศ และคน ๆ นั้นเป็นคนในที่ใกล้ชิดกับจูเชว่ ย่อมหมายความว่าคน ๆ นั้นรู้ความเคลื่อนไหวของทางฝ่ายจูเชว่ทุกอย่าง ในขณะที่ตัวเขาไม่รู้อะไรเลยแม้แต่อย่างเดียวและไม่สามารถส่งข่าวบอกทางบ้านได้ว่าเกิดอะไรขึ้น บางทีเขาอาจจะถูกใช้เป็นตัวต่อรองกับตำแหน่งของพ่อก็เป็นได้ เขาจะต้องรู้ให้ได้ก่อนว่าใครคือคนทรยศ จากนั้นค่อยหาวิธีอื่นลักลอบส่งข่าวออกไป
ถ้าเขามีเวลามากพอ....
เซินหมิงเฟิ่งไม่แน่ใจว่าตัวเองจะมีประโยชน์มากพอจะให้อีกฝ่ายไว้ชีวิตหรือไม่ นั่นคือปัญหาหลัก
ไม่สิ ความจริงแล้วทั้งหมดที่เขาคิดอาจจะผิดไปทั้งหมด เพราะเขายังไม่เจอคนที่พาตัวเขามาที่นี่เลย ความจริงแล้วอาจจะไม่ได้ร้ายแรงถึงขั้นนั้นก็ได้
ต้องใจเย็นไว้ก่อน นั่นคือสิ่งที่เซินหมิงเฟิ่งคิดว่าต้องทำ เขาพยายามผ่อนลมหายใจเข้าออกให้เป็นธรรมชาติที่สุด แต่แล้วลมหายใจของเขาก็ต้องสะดุดเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าจากด้านนอก
เซินหมิงเฟิ่งค่อย ๆ หันไปทางประตูช้า ๆ เป็นจังหวะเดียวกับที่ได้ยินเสียงไขกุญแจ
“ไปจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อยก่อน” คนที่อยู่ด้านนอกพูดกับอีกคนหนึ่ง เซินหมิงเฟิ่งได้ยินเสียงตอบรับและเดินจากไป จากนั้นบานประตูจึงเปิดออก ผู้ชายที่เดินเข้ามามีรูปร่างสูงโปร่ง รูปบ่าค่อนข้างกว้างเหมือนคนตะวันตก นั่นไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเพราะในฮ่องกงคงหาคนที่เลือดไม่ผสมยากอยู่สักหน่อย แต่ถึงอย่างนั้นเซินหมิงเฟิ่งกลับรู้สึกสะดุดตากับเรือนผมสีดำสนิทที่รวบไว้ด้านหลังยาวจนถึงเอว เขาไม่เคยเจอผู้ชายที่ไว้ผมยาวขนาดนี้มาก่อน กระทั่งเขาเองสมัยวัยรุ่นก็ไว้เพียงเลยบ่าไปเล็กน้อยเท่านั้น
เจ้าตัวก็เหมือนจะรู้ว่ากำลังถูกมอง จึงเงยหน้าขึ้นสบสายตากลับมา
“คุณเป็นใคร?” เซินหมิงเฟิ่งชิงออกตัวถามก่อน เพราะอีกฝ่ายคงรู้อยู่แล้วว่าเขาเป็นใคร
“ฉินเว่ยหลง หรือหากจะเรียกให้ถูกต้อง คือชิงหลง”
ชิงหลง...
เซินหมิงเฟิ่งรู้สึกอยากจะหัวเราะออกมา ผู้ชายคนนี้คิดจะล้อเขาเล่นหรือยังไง เอาชื่อชิงหลงแห่งฮ่องกงมาล้อเล่นแบบนี้ออกจะเกินไปสักหน่อยแล้ว
“ผมได้ยินว่าชิงหลงติดธุระที่ต่างประเทศ”
“แต่ก็กลับมาได้ สมัยนี้เรามีเครื่องบินใช้ หรือว่าคุณเกิดผิดยุคสมัยกัน” ฉินเว่ยหลงตอบกลับและเหน็บแนมอีกฝ่ายไปด้วย เขาคาดหวังว่าจะได้เห็นทายาทของจูเชว่ที่ดูน่าเกรงขามกว่านี้ ที่ไหนได้ อีกฝ่ายไม่ต่างกับผู้ชายที่เพิ่งพ้นช่วงวัยรุ่นทั่ว ๆ ไปเลย ซ้ำยังไม่คิดจะดิ้นรนเอาตัวรอดแม้แต่น้อยทั้งที่เขาทิ้งไว้ในห้องคนเดียวตั้งนาน อย่างน้อยก็น่าจะหยิบอะไรสักอย่างเป็นอาวุธและพยายามจู่โมเขาไม่ใช่หรือ? หรือว่าอีกฝ่ายกำลังคิดบางอย่างแล้วตบตาเขาด้วยการไม่ตอบโต้ ผู้ชายคนนี้ฉลาดหรือว่าโง่กันนะ?
เซินหมิงเฟิ่งจ้องมองคนตรงหน้าตนเอง เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกประเมินค่าซึ่งไม่ใช่ความรู้สึกที่ดีเลย เขาค่อย ๆ ก้าวเท้าจากจุดเดิมอย่างช้า ๆ เหมือนกำลังสำรวจห้องไปในตัว
“ถ้าอย่างนั้น ชิงหลง คุณต้องการอะไรจากจูเชว่” การที่เขาอ้างชื่อนี้ขึ้นมาไม่ใช้การกล่าวที่เกินเลย เพราะเขาคือทายาทสายตรงเพียงคนเดียว การที่มีใครสักคนคิดจะทำอะไรกับเขานั่นหมายถึงการท้าทายอำนาจของจูเชว่ด้วย ซึ่งตัวเขาก็ไม่เคยคิดว่าหนึ่งในสี่ผู้นำจะสิ้นคิดเช่นนั้น
ชิงหลงเคลื่อนสายตามองตอบกลับมาอย่างเฉยเมย แต่ไม่ได้มีแววของการเย้ยหยันชื่อที่ถูกอ้างถึง
“การทวงถามสิ่งแลกเปลี่ยน”
เซินหมิงเฟิ่งเลิกคิ้วก่อนจะเปลี่ยนเป็นการมุ่นคิ้วในนาทีต่อมา
“ขอโทษด้วยที่ผมไม่เข้าใจ จูเชว่ไปติดหนี้อะไรคุณไว้งั้นหรือ?” เขาลองถามหยั่งเชิง ตอนนี้เขาต้องรวบรวมสิ่งที่ควรรู้ให้ได้มากที่สุดเพื่อที่จะตัดสินใจว่าควรทำอะไรต่อไป การที่ศัตรูคือชิงหลงเป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมาย อีกทั้งอาจจะนำไปสู่ความเสียหายอย่างยิ่งยวดต่อองค์กรทั้งสองหากเขาผลีผลามทำอะไรเกินตัว ถึงอย่างนั้น คนอย่างเขาที่ร้างราจากวงการนี้ไปเป็นคนธรรมสามัญแล้วเพิ่งจะกลับเข้าวงการได้เพียงอาทิตย์เดียว จะมีอะไรต่อกรกับผู้ชายที่เพียบพร้อมด้วยอำนาจและคุณสมบัติอันเหมาะสมกับตำแหน่งได้นะ?
“ดูท่าจะไม่รู้อะไรจริง ๆ สินะ?” นัยน์ตาสีดำแหลมคมตวัดจ้องมองเขาจนรู้สึกเสียวสันหลังวาบ นั่นคือนัยน์ตาของมังกรที่สามารถทำให้คนทุกผู้สยบลงแทบเท้า เซินหมิงเฟิ่งสูดหายใจเข้าลึก เขาเองก็ไม่ได้มีชาติกำเนิดแตกต่างจากอีกฝ่าย แค่ห่างจากวงการนี้ไปชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น
เมื่อคิดเช่นนั้นแล้ว เซินหมิงเฟิ่งจึงหันไปเผชิญหน้าและจ้องตอบดวงตาคู่นั้นโดยตรง
การกระทำเช่นนั้นคล้ายจะจุดรอยยิ้มที่มุมปากของชิงหลงได้เล็กน้อยก่อนที่มันจะเลือนหายไป
“ถ้าอย่างนั้น คุณก็ควรรู้เอาไว้ ว่าพ่อของคุณไม่ใช่คนดีอย่างที่คิดไว้หรอก” ชิงหลงว่าเช่นนั้นพร้อมกับสาวเท้าเข้าไปหาเซินหมิงเฟิ่ง เมื่อประชิดกัน ชายหนุ่มร่างสูงก็เหลือบตาลงมองคนที่ตัวเล็กกว่าเล็กน้อย เซินหมิงเฟิ่งเหลือบตาขึ้นมองตอบความเยือกเย็นนั้นโดยไม่หลบเลี่ยง
“คุณไม่มีสิทธิมาว่าพ่อของผม ในเมื่อคุณเองก็ไม่ได้ดีไปกว่าเขาสักเท่าไหร่”
“ในด้านหน้าที่การงาน ก็คงเป็นแบบนั้น” ชิงหลงไม่ได้แก้ต่างให้ตนเอง เขารู้ดีว่าจุดยืนของตนเป็นเช่นไร และไม่ได้สนใจจะมองให้มันสวยงามกว่าความเป็นจริง
“เรื่องแบบนั้นผมรู้ดีอยู่แล้ว ดังนั้นไม่จำเป็นต้องให้คุณมาตอกย้ำ คุณเพียงแค่เอาตัวผมมาเพื่อพูดเรื่องนี้น่ะหรือ? หรือว่าคุณอยากให้ผมสละตำแหย่งทายาทจูเชว่?”
“เรื่องภายในของจูเชว่ผมไม่มีสิทธิเข้าไปยุ่งอยู่แล้ว”
เซินหมิงเฟิ่งมุ่นคิ้วเข้าหากัน สรุปว่าผู้ชายคนนี้ต้องการอะไรกันแน่?
“เลิกพูดวกไปวนมาเถอะ ผมคิดว่านั่นไม่ใช่นิสัยของคุณหรอกจริงไหม?”
ชิงหลงเงียบไป ไม่ได้พูดอะไรออกมาและทิ้งช่วงความเงียบยาวนานโดยที่ทั้งสองยังจ้องตากันและกันโดยไม่มีใครยอมใคร
ลมหายใจเซินหมิงเฟิ่งเข้าและออกเป็นจังหวะหนัก เขาไม่ได้สงบอย่างที่ภายนอกแสดง แต่เขากำลังเล็งอะไรบางอย่างอยู่และพยายามมุ่งสมาธิไปที่นั่นอย่างแนบเนียน
ดูเหมือนชิงหลงจะมีประสบการณ์กับบรรยากาศกดดันอยู่มาก เป็นเรื่องธรรมดาที่จะเป็นเช่นนั้นเมื่อยืนอยู่ในตำแหน่งสูงสุดขององค์กรหนึ่งซึ่งทรงอิทธิพลล้นฟ้า ด้วยเหตุนั้นจึงหาโอกาสที่เซินหมิงเฟิ่งกำลังรออยูได้ยาก อีกฝ่ายไม่ยอมคลายความตึงเครียดรอบตัวลงแม้แต่นิดเดียว กลับกัน ราวกับจงใจให้มันดำเนินไปเช่นนั้นโดยที่ไม่ได้เพิ่มหรือลดไปกว่าเดิม
ดูเหมือนเขาคงต้องเสี่ยงเองแทนที่จะรอเวลา
“ผมขอถามคุณหน่อยได้ไหม?”
ชิงหลงเลิกคิ้วในเชิงอนุญาต
“การที่ผมมาอยู่ที่นี่ แสดงว่ามีคนทรยศ ผมอยากรู้ว่าคน ๆ นั้นเป็นใคร” เซินหมิงเฟิ่งกัดริมฝีปากเพื่อคิดต่อไปเล็กน้อยว่าควรจะพูดอะไรต่อ เขาไม่ได้คาดหวังให้อีกฝ่ายตอบทันที แต่ต้องการให้ฝ่ายนั้นมีช่วงที่ละความสนใจไปจากเขาสักเล็กน้อยก็พอ “หรือบางที คุณอาจจะไม่อยากบอกผมเพราะเกรงว่าผมจะส่งข่าวไปบอกทางจูเชว่และเก็บคนทรยศผู้ภักดีของคุณ”
ชายหนุ่มร่างสูงมีการเคลื่อนไหวนัยน์ตาเล็กน้อยเหมือนกำลังขำขัน ชั่ววินาทีนั้น เซินหมิงเฟิ่งรู้ว่าเกราะกำบังกายของอีกฝ่ายลดลงเล็กน้อยแล้ว และรีบคว้าโอกาสนั้นไว้อย่างไม่ลังเล เขาพุ่งมือไปยังกระเป๋าเสื้อสูทที่เห็นชิงหลงหย่อนกุญแจห้องเอาไว้ตอนก้าวเข้ามา
แต่ทุกอย่างกลับไม่ได้เป็นอย่างที่คิดไว้
ชิงหลงคาดเดาไว้อยู่แล้ว เขาคว้าเข้าที่ข้อมือของเซินหมิงเฟิ่งแล้วบิดโดยแรงก่อนกระชากอีกฝ่ายให้ล้มคว่ำลงไปบนพื้นอย่างง่ายดาย
“ยังอ่อนประสบการณ์ คุณเซิน” ชิงหลงดึงเสื้อตนเองให้เรียบร้อยพร้อมกับกล่าวตำหนิ
เซินหมิงเฟิ่งพลิกตัวนั่งบนพื้นแล้วจับข้อมือตนเองที่ถูกบิด อีกฝ่ายไม่ยั้งแรงกับเขาเลยแม้แต่น้อย เขาคิดว่ากระดูกข้อจะหลุดซะแล้ว
โอกาสเล็ก ๆ หลุดลอยไปอย่างง่ายดาย เซินหมิงเฟิ่งนึกเจ็บใจตัวเองแต่พูดออกมาไม่ได้ ทำได้เพียงส่งสายตาเจ็บแค้นไปยังอีกฝ่ายและเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่คนเดียว ถึงอย่างนั้นชิงหลงก็ไม่ได้แสดงท่าทีสะทกสะท้านอะไรออกมา เจ้าตัวหยิบกุญแจห้องออกมาจากกระเป๋าเสื้อด้วยท่วงท่าเรียบง่าย ไม่มีท่าทีเย้ยหยันหรือดูแคลนในความพยายามอันสูญเปล่าของคนตรงหน้า
เขาสาวเท้าไปที่ประตูก่อนจะหันกลับมาที่เซินหมิงเฟิ่ง
“เห็นแก่ความพยายาม ผมจะตอบคำถามนั้นให้ก็ได้”
ว่าแล้วชิงหลงก็เปิดประตูออก ทำให้เซินหมิงเฟิ่งได้เห็นคน ๆ หนึ่งยืนอยู่ที่นั่น ใครบางคนที่คุ้นตาเขาอย่างไม่น่าเชื่อ
----------------------------->
เซินจงนั่งอยู่ในห้องโถงของบ้านด้วยสีหน้าเคร่งเครียด การ์ดทุกคนที่ไปงานเลี้ยงในคืนที่ผ่านมาถูกเรียกตัวเข้ามาทั้งหมด แต่ละคนหน้าซีด มองหน้ากันไปมาอย่างไร้ทางออก ข่าวการหายตัวไปของเซินหมิงเฟิ่งถูกแจ้งให้ทราบเมื่อเซินจงกลับมาถึงบ้าน ด้วยความเหนื่อยล้า สุขภาพ และความชราทำให้ชายวัยกลางคนผู้เป็นเสาหลักของบ้านถึงกับทรุดฮวบลงจนต้องให้คนรับใช้ช่วยกันพาไปส่งถึงห้องนอน
ยังไม่ทันเช้าดี เซินจงที่รวบรวมกำลังได้พอสมควรก็ลุกขึ้นมาเรียกประชุมการ์ดทุกคนโดยด่วน สีหน้าของเขายังซีดเซียวและอิดโรยเพราะไม่อาจข่มตาหลับได้แม้แต่วินาทีเดียว
ฝ่ามือกร้านกระแทกลงกับโต๊ะไม้เนื้อแน่น ก่อให้เกิดเสียงดังเฉพาะตัวที่ทำให้ทุกคนสะดุ้งไหว
“ไม่มีใครตอบคำถามฉันได้สักคนเลยเรอะ! แค่ทายาทคนเดียวพวกแกยังดูแลไม่ได้ ฉันจะฝากชีวิตกับพวกแกได้ยังไง!” เซินจงเค้นเสียงเฉียบขาดแล้วมองการ์ดแต่ละคนที่หายใจไม่ทั่วท้อง แต่แล้วบรรยากาศตึงเครียดก็พังทลายลงเมื่อคนรับใช้คนหนึ่งวิ่งเข้ามาในห้องประชุม ทุกสายตาจับจ้องไปยังเด็กสาวที่กำลังหอบหนักเพื่อรอฟังว่าเธอนำข่าวด่วนอะไรมารายงานถึงกล้าเข้ามาในโถงตอนนี้
“พ...พ่อบ้านหวางให้มาเรียนว่า พบรถที่นายน้อยโดยสารและทีมการ์ดที่ไปด้วยแล้วค่ะ”
ทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น เซินจงก็ผุดลุกขึ้นทั้งที่ยังไร้เรี่ยวแรง แต่ก็ฝืนใช้ไม้เท้ายันตัวเองไว้
“พวกมันอยู่ไหน?”
“กำลังกลับมาค่ะ” คนรับใช้สาวหัวหด เสียงของนายท่านต่ำลึกและคล้ายกำลังคำราม ไม่ต้องสงสัยเลยว่ากำลังโกรธได้ที่
“พอพวกมันกลับมาถึง ให้พามาหาฉันทุกคน”
หญิงสาวรีบรับคำแล้วถอยออกไปอย่างรวดเร็วเพราะไม่อยากโดนลูกหลงไปด้วย ทำให้บรรยากาศในห้องโถงกลับมากดดันเหมือนเดิม ถึงอย่างนั้นเซินจงกลับนั่งลงบนเก้าอี้เงียบ ๆ โดยไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก แต่เมื่อไม่มีคำสั่ง ก็ไม่มีใครกล้าขยับออกไปจากที่ตรงนั้น ต่างคนต่างได้แต่รอเวลา….
ครึ่งชั่วโมงถัดมา หวางซือก็เดินเข้ามาในห้องโถงด้วยท่าทีนอบน้อม
“เหล่าซือ ฉันสั่งไปไม่ชัดหรือยังไง”
“ครับนายท่าน”
“แล้วไอ้พวกไร้ประโยชน์พวกนั้นอยู่ไหน!” เซินจงกระแทกฝ่ามือลงบนโต๊ะโดยแรง หวางซือเดินเข้าไปใกล้นายเหนือหัวแล้วกระซิบข้างหูเบา ๆ เรียวคิ้วหนาสีดำเทาขมวดเข้าหากันก่อนที่ชายวัยกลางคนจะค่อย ๆ พยักหน้าอย่างแช่มช้าแล้วพยุงตัวเองลุกขึ้นด้วยไม้เท้าคู่กาย ทั้งสองเดินออกไปจากโถงด้วยกัน การ์ดทุกคนในโถงจึงค่อย ๆ ผ่อนลมหายใจออกมาคล้ายกับว่าตลอดช่วงการรอคอยนั้นพวกเขาไม่ได้หายใจเลยสักเฮือกเดียว จากนั้นคนที่เป็นหัวหน้าทีมจึงเดินตามเซินจงและหวางซือออกไป