【*...สุดที่รักษ์...*】
บทที่ 01 : ลูกผู้ชายตัวจริงอนุรักษ์เคยได้ยินมาว่าประเทศไทยมีสามฤดู คือ ร้อน ร้อนมาก ร้อนนรกแตก
วันนี้อุณหภูมิตอนเที่ยงตรงอยู่ค่อนไปทางสองฤดูหลัง ขณะรีบเร่งลงจากรถเมล์ คลื่นความร้อนระอุฉาบบนถนนจนสัมผัสได้ ถ้ามีใครเผลอทำไข่ตกแตกคงได้กินไข่ดาวภายในสามนาที ทว่าทันทีที่เขาผลักประตูบานกระจกของตึกสำนักงานขนาดใหญ่ ไอเย็นเฉียบกลับปะทะผิวกาย เปลี่ยนอุณหภูมิแบบทะเลทรายซาฮาร่า ให้กลายเป็นขั้วโลกใต้ได้อย่างน่าอัศจรรย์
"สวัสดีครับ ไม่ทราบติดต่อธุระอะไรครับ"
กระทั่งพนักงานรักษาความปลอดภัยยังสวมเครื่องแบบสีกรมท่าแขนยาวติดกระดุมถึงคอ คล้ายอากาศร้อนด้านนอกไม่มีสิทธิกร่ำกรายเข้ามาหากไม่ได้รับการอนุญาต
และอาจรวมถึงตัวเขาเอง...
อนุรักษ์รู้สึกได้ว่า ดวงตาของรปภ.วัยเกินสี่สิบกำลังสำรวจอย่างระแวดระวังปนความสงสัย ไล่ตั้งแต่ผมสีดำยาวระคอยุ่งเหยิงไม่เป็นทรง ใบหน้าชื้นเหงื่อเม็ดโต รูปร่างผอมสูงของผู้ชายอายุยี่สิบเอ็ด และโลโก้ประจำซูเปอร์มาร์เก็ตดังบนเสื้อยูนิฟอร์มพนักงานแคชเชียร์
เมื่อเทียบกับหนุ่มออฟฟิศใส่เชิ้ตเรียบกริบ กางเกงแสล็กกลีบโค้ง รองเท้าหนังมันปลาบที่เดินสวนผ่านเข้าไป สภาพปอนๆ ของเขาคงกระเด้งโดดออกมาจนเห็นได้ชัด
เข้าใจดีว่าตนเองกำลังอยู่ผิดที่ผิดทาง แต่ไม่ใช่เวลามาพะวง
...เพราะตอนนี้เขากำลังอยู่ในสถานการณ์ฉุกเฉิน!
"ขอโทษครับ ห้องน้ำไปทางไหนครับ"
โพล่งออกไปทั้งอย่างนั้น ลุงยามชะงักขมวดคิ้วตึงเล็กน้อย คงนึกด่าอยู่ในใจว่า นี่มันสำนักงานหรูหราใหญ่โต ไม่ใช่ปั๊มน้ำมันจะได้มีส้วมสาธารณะไว้ให้ใครเข้าออกก็ได้ แต่พอสังเกตเห็นมือที่พยายามปิดเป้ากางเกงประกอบกับสีหน้าร้อนรนของเขา สายตาอีกฝ่ายก็เปลี่ยนเป็นเห็นใจปนเวทนา แปลความหมายออกมาได้ว่า
...โธ่ น่าสงสาร ไอ้น้องนี่คงจะปวดหนักจนกลั้นไม่ไว้สินะ
"เดินเลยลิฟต์ไปทางซ้ายมือครับ"
อนุรักษ์รีบบอกขอบคุณ แม้ใจจริงอยากจะหยุดยืนอธิบายเป็นเรียงความสองหน้ากระดาษเหลือเกินว่า ลุงครับเข้าใจผมผิดแล้ว!
ลูกผู้ชายแมนๆ อย่างไอ้รักษ์ จะปวดหนัก ปวดเบา ก็เดินเข้าห้องน้ำอย่างองอาจสง่าผ่าเผยไม่หวั่นแม้วันมามาก แต่ไอ้ที่เห็นท่าทางกระมิดกระเมี้ยน เดินหนีบขาเป็นปู เพราะมันดันเกิดเหตุสุดวิสัย ซ้ำยังเป็นเหตุที่ทำให้อับอายจนอยากแทรกแผ่นดินหนี
...ต้องขอเล่าย้อนความกลับไปเมื่อห้านาทีก่อน
เขากำลังนั่งอยู่บนรถเมล์ปรับอากาศ ฝ่าถนนอันจอแจและรถติดเป็นปกติของกรุงเทพ ช่องแอร์เป่าอยู่เหนือศีรษะเย็นสบายชวนให้เคลิ้มหลับ คิดถูกที่ตัดสินใจเพิ่มค่าโดยสาร เพื่อแลกกับการไม่ต้องทนเดินในสภาพอากาศร้อนจัดเสมือนอยู่ในกระทะทองแดง
สะลึมสะลือสัปหงกตั้งใจจะงีบระหว่างรอจนถึงจุดหมาย แต่กลางทางกลับมีคนทยอยขึ้นมาเรื่อยๆ ผู้โดยสารเริ่มเต็มขั้นรถ รายล่าสุดเป็นเด็กน้อยน่าจะอยู่ชั้นอนุบาลจูงมือมากับคุณแม่
ในฐานะที่อนุรักษ์เป็นสุภาพบุรุษที่ดี เขาจึงตัดสินใจลุกขึ้นยืน เสียสละเก้าอี้ให้เด็กนั่ง คุณแม่ยังสาวเอ่ยขอบคุณเขา แล้วสะกิดให้น้องผู้หญิงผูกผมเปียพูดขอบคุณบ้าง หากเด็กน้อยกลับเอาแต่กระตุกชายเสื้อแม่ยิกๆ ไม่หยุด ดวงตากลมโตใสแจ๋วจ้องมองบางสิ่งพลางพูดเจื้อยแจ้ว
"แม่ๆ กางเกงในโผล่!"
ทีแรกอนุรักษ์ไม่แน่ใจว่าคำพูดนั้นหมายถึงตัวเอง กระทั่งนิ้วเล็กๆ ชี้มายังเป้ากางเกงแสล็กสีดำ ซึ่งอยู่ตรงสายตาของเด็กน้อยพอดี
คนรู้ตัวสะดุ้งโหยงเอามือกุมเป้าทันควัน พร้อมๆ กับที่แม่ของเด็กร้องว๊าย! รีบปิดตาลูกสาวเอาไว้ และเสียงนั้นเรียกความสนใจจากทุกคนบนรถให้จ้องมาที่เขาเป็นจุดเดียว
อนุรักษ์ลนลานดึงซิปรูดขึ้นมาปิด แต่นรกคงชังสวรรค์คงแกล้ง ตะเข็บซิปดันปริแตกโชว์รอยแยกให้เห็นกางเกงในสีขาวเด่นชัด เขาไม่ละความพยายามรูดซิปขึ้นลงหลายครั้ง ท่าทางชักมือขึ้นๆ ลงๆ แถวเป้ากางเกงต่อหน้าเด็กผู้หญิงวัยอนุบาล เริ่มส่อแววอนาจารเข้าไปทุกที ผู้โดยสารต่างหันไปซุบซิบ ก่อนกระเป๋ารถเมล์หนุ่มจะออกโรงตวาดด่าดังลั่น
"เฮ้ย! มึงทำอะไรวะ! กับเด็กตัวเล็กๆ มึงยังกล้า ไอ้โรคจิต!"
"ปะ..เปล่า ผมไม่ได้..."
อนุรักษ์ละล้ำละลักอธิบาย มือเผลอยกขึ้นปฏิเสธโดยอัตโนมัติ ทำให้สิ่งที่พยายามปกปิด โผล่หน้าออกมาเยี่ยม
"นั่นไง! หลักฐานเห็นอยู่ทนโท่ ยังจะกล้าเถียง จับได้คาหนังคาเขาขนาดนี้ คนอะไรวะหน้าตาก็ดีแต่เสือกเป็นโรคจิต มึงไสหัวรถจากรถไปเลยนะ ไม่งั้นกูจะแจ้งตำรวจ ไป๊!"
ถูกตะคอกไล่ พอดีกับที่รถเมล์จอดเทียบป้าย แม้รู้ทั้งรู้ว่าเป็นความเข้าใจผิด แต่โดนจัดหนักขนาดนี้ เขาก็ไม่อยู่เสียเวลาแก้ตัว รีบเผ่นลงจากรถ แล้วมุ่งหน้าหาห้องน้ำใกล้ที่สุด ซึ่งก็คือตึกบริษัทใหญ่โตที่เห็นอยู่ตรงหน้า
...ไม่ต้องพูดถึงความอับอายว่ามีมากแค่ไหน โดนกล่าวหาว่าเป็นคนโรคจิตทั้งๆ ที่ตัวเองเสียสละเก้าอี้นั่งให้เด็ก เวรกรรมอะไรกันหนอทำให้เขาหยิบกางเกงตัวนี้ขึ้นมาใส่
ความจริงเขาเพิ่งถอยมันมาเมื่ออาทิตย์ก่อนนี่เอง ป้าคนขายโฆษณาใหญ่โตว่าเนื้อผ้าจากเกาหลี ใส่นิ่มสบาย ซักแล้วไม่มีหด เขาลังเลอยู่นาน หากมาใจอ่อนยวบ เพราะโดนคุณป้าปากหวานชมว่าหล่อๆ อย่างเขาใส่ขึ้น แถมลดราคาให้ด้วย
สุดท้ายคนหน้ามืดหลงคารมเลยตกเป็นเหยื่อโดนเอาคืนเสียเจ็บแสบ!
อนุรักษ์รีบเร่งสาวเท้าไปยังห้องน้ำด้วยท่าทางมือกุมเป้าเลียนแบบไมเคิล แจ็กสัน ยิ่งเห็นสีหน้าแปลกๆ ของกลุ่มพนักงานหญิงหน้าตาน่ารักสามสี่คนซึ่งเดินสวนมาก็ยิ่งอยากให้ธรณีสูบตัวเองหายลงไปกับพื้น ระยะทางที่ลุงรปภ.บอกดูจะไกลเป็นกิโลในความรู้สึก
และแล้วในที่สุดเขาก็มาถึงเส้นชัย
คนรีบร้อนผลักบานประตูแปะรูปสัญลักษณ์ผู้ชายเข้าไป ห้องน้ำในบริษัทนี้สะอาดเรียบร้อย ตกแต่งด้วยสุขภัณฑ์หรูสีขาวตัดกับพื้นกระเบื้องสีดำคลาสสิกประหนึ่งห้องน้ำในโรงแรมไฮโซ มีคนใช้บริการบริเวณโถปัสสาวะสองคน กำลังล้างมืออยู่อีกหนึ่ง
อนุรักษ์เผ่นเข้าห้องแรกสุดอย่างไม่สนใจจะเดินเฉียดใกล้โถ ปิดประตูลงกลอนดังปัง ท่ามกลางสายตางงๆ ของคนอื่น ซึ่งคงสรุปออกมาเหมือนกันว่า ผู้ชายคนนี้คงถูกข้าศึกบุกทะลวงจู่โจมประชิดใกล้แตกพ่าย
แต่โดนกล่าวหาว่ารีบวิ่งแจ้นเข้าห้องน้ำเพราะเหตุนั้น ยังดีกว่าโดนใส่ความว่าเป็นไอ้โรคจิตชอบโชว์
เขาลงมือถอดกางเกงเนื้อผ้าเกาหลีตัวต้นเหตุ สำรวจดูซิปซึ่งปริรอยแตก พยายามรูดขึ้นหรือรูดลง แงะหัวซิปค่อยๆ ใส่กลับให้เป็นปกติทีละด้าน หากทั้งดึง กระชาก กระทุ้ง จนปวดนิ้ว ซิปก็ไม่ได้ประสานสามัคคี ยังคงแยกทางราวกับโกรธกันแต่ชาติปางก่อน
...ซวยอะไรกันหนักกันหนา!
ขยี้ผมตัวเองด้วยความหัวเสีย ก่อนนั่งบนชักโครกอย่างหมดแรง
แล้วทีนี้เขาจะออกไปข้างนอกได้ยังไง หรือต้องเดินกุมเป้าไปตลอดทาง มีหวังคงถูกตำรวจจับข้อหาอนาจารจริงๆ แน่
หนทางออกมีเพียงต้องซ่อมซิปให้ได้เท่านั้น เอาแค่พอทนๆ ให้เขาขึ้นรถเมล์ก่อน ถ้าเจอที่นั่งเมื่อไร ต่อให้มีเด็ก สตรี คนชรามายืนต่อหน้า พลเมืองดีเด่นอย่างไอ้รักษ์ก็จะไม่ยอมเสียสละลุกให้เด็ดขาด
ตัดสินใจแน่วแน่ได้ก็เริ่มลงมือแก้ไขสถานการณ์ต่อทันที คราวนี้ลองกวาดตาทั่วห้องน้ำ เผื่อจะมีอุปกรณ์มาช่วยงัด ทว่าสายตาดันสะดุดเข้ากับบางสิ่งบนชั้นวางของซึ่งยื่นมาเหนือชักโครก
...ไม่ใช่สิ่งที่ช่วยให้ซ่อมซิปได้แน่ๆ แต่เป็นสิ่งเกินความคาดหมายไปไกล
บนชั้นวางของปูกระเบื้องสีดำมันปลาบ 'สมาร์ทโฟนสีดำ' นอนนิ่งสนิทกลมกลืนอยู่ อาจเพราะมัวพะวงกับกางเกงด้วย จึงไม่แปลกที่ไม่สังเกตเห็นตั้งแต่แรก
แต่ตอนนี้เขาเห็นแล้ว จะให้ใจจืดใจดำมองข้ามก็คงเกินไปหน่อย แน่นอนว่าเขาไม่ได้คิดจะขโมย (ไม่อยากเพิ่มข้อหาต่อจากการอนาจารของตัวเองอีกกระทง) และถึงตอนนี้ตัวเองกำลังเจอวิกฤตหนักหน่วง สามัญสำนึกส่วนดีก็ร้องเตือนว่า เขาต้องเอาโทรศัพท์ไปคืนเจ้าของ...
...แล้วเจ้าของเป็นใคร?
ก่อนหน้านี้เห็นคนใช้ห้องน้ำอยู่สามคน อาจเป็นใครคนหนึ่งในนั้น จะว่าไปเขาขังตัวเองอยู่ในห้องน้ำมาเกือบสิบนาทีแล้ว ถ้าคนลืมนึกขึ้นได้จริงๆ ก็น่าจะมาเคาะประตูบอกเขา แต่นี่เสียงในห้องน้ำกลับเงียบสนิท
อนุรักษ์ลองปลดล็อกกลอนเปิดประตูแง้มๆ เพราะตัวเองยังไม่ได้ใส่กางเกงให้เรียบร้อย เป็นไปตามคาด
ภายในห้องน้ำหรูเหลือเขาเพียงคนเดียว...
กลับมานั่งพิจารณาของในมืออีกครั้ง สมาร์ทโฟนแบรนด์ดัง ไม่ใช่รุ่นใหม่ล่าสุด น่าจะปล่อยออกมาเกือบสองปีแล้ว มองปราดเดียวก็รู้ว่าผู้ใช้ค่อนข้างรักษาของ ตัวเคสและเครื่องไม่มีร่องรอยการขีดข่วน เทียบกับโทรศัพท์ของเขาซึ่งตกยุคไปสามชาติเศษ สภาพยับเยินทนทึกชนิดปาหัวหมาไม่แตก ช่างต่างกันราวฟ้ากับนรก
หากแม้จะมีเทคโนโลยีไฮเทคราคาหลายหมื่นอยู่ตรงหน้า คนโลโซกลับไม่ได้ตื่นเต้นอะไรมากนัก อานิสงค์จากการมี 'ไอ้ทัต' เพื่อนสนิทเปิดร้านรับซ่อมขายโทรศัพท์ เขาโดนมันเรียกใช้ให้ไปเฝ้าร้านบ่อยๆ จึงมีบุญจับโทรศัพท์เทพๆ ทุกรุ่น และใช้งานแอพพลิเคชั่นต่างๆ จนคล่องแคล่ว
สำหรับสมาร์ทโฟนรุ่นนี้ โดยปกติแล้ว ผู้ใช้มักตั้งรหัสล็อกหน้าจอเอาไว้ ขืนไม่รู้รหัสกดเดาสุ่มมั่วๆ หน้าจอจะล็อกอัตโนมัติ ทำให้ไม่สามารถงานใช้ได้อีกจนกว่าเวลาผ่านไปสามสิบนาที
ดังนั้น ถ้าล็อกหน้าจอก็จบ เขาคงต้องฝากให้รปภ.หรือประชาสัมพันธ์ช่วยตามหา ซึ่งก็คงเป็นใครคนหนึ่งในพนักงานของบริษัทนี้ แต่ถ้าไม่ได้ล็อกหน้าจอล่ะก็...
นิ้วดันไปไวกว่าความคิด รู้ตัวอีกทีเขาก็เผลอกดลงไปตรงปุ่มโฮม
หน้าจอสีดำสว่างวาบขึ้นมาทันที พื้นหลังเป็นรูปเรียบๆ ที่ตั้งมากับตัวเครื่อง บ่งบอกได้ว่าเจ้าของไม่ใส่ใจจะตกแต่งอะไรเพิ่มเติม
จากประสบการณ์ที่เคยเห็นเพื่อนซ่อมโทรศัพท์ ลูกค้าส่วนใหญ่มักจะตั้งหน้าจอเป็นรูปตัวเองบ้าง รูปแฟนบ้าง หรือรูปอื่นๆ ตามรสนิยมความชอบ
ในยุคสมัยนี้ สมาร์ทโฟนเพียงเครื่องเดียวก็สามารถบ่งบอกบุคลิกและตัวตนของเจ้าของ เราเก็บข้อมูลทุกอย่างลงไปในโทรศัพท์เครื่องเล็กๆ ราวกับมันเป็นไดอารี่ แถมเป็นไดอารี่ที่พร้อมจะประกาศความลับให้ชาวบ้านรู้อย่างง่ายดาย
ไอ้ทัตเคยเล่าว่า คนซ่อมโทรศัพท์มือถือสามารถดึงทุกๆ สิ่งออกมาได้เพียงไม่กี่คลิก ทั้งรูปภาพที่ถูกลบทิ้ง ข้อความแชท กล่องอีเมล์เข้าออก เว็บไซต์ที่เคยเปิดดู หากมันไม่เคยเอามาแพร่งพรายเพราะถือจรรยาบรรณในวิชาชีพ แต่ถ้าเป็นคนอื่นก็ไม่แน่ นิสัยของมนุษย์ช่างสอดรู้สอดเห็นเรื่องชาวบ้านอยู่แล้ว
...และตอนนี้เขาเองก็กำลังจะเป็นหนึ่งในนั้น
แต่เดี๋ยวก่อน...เขาทำไปด้วยความหวังดีอยากจะช่วยตามหาเจ้าของโทรศัพท์ต่างหาก ไม่ได้คิดอยากล้วงข้อมูลความลับอะไรเลยสักนิด สาบานก็ได้เอ้า!
อนุรักษ์ชูสามนิ้วตามสัญลักษณ์ลูกเสือสามัญแสดงความซื่อสัตย์ในใจ ขณะที่นิ้วในความจริงเลื่อนสไลด์หน้าจอ ลุ้นกับภาพการเปลี่ยนแปลงที่ปรากฏ
...ไม่ได้ล็อกไว้
แอพพลิเคชั่นต่างๆ ผุดเด้งขึ้นมาเรียงติดกัน บางอันก็คุ้นเคย บางอันก็ไม่เคยเห็นมาก่อน ที่แปลกคือในนั้นไม่มีแอพพลิเคชั้นยอดนิยม ประเภทเฟซบุ๊ค ไลน์ ทวิตเตอร์ หรืออินสตราแกรม ตรงข้ามเขาดันเจอแอพธนาคาร แอพเช็คราคาหุ้น และแอพเฉพาะของสำนักข่าวต่างประเทศ
อนุรักษ์เพิ่งเคยเห็นสมาร์ทโฟนที่จืดชืดไร้ชีวิตชีวาแบบนี้เป็นครั้งแรก เกมสักเกมยังไม่มีดาวน์โหลดลงไว้ สงสัยเจ้าของคงเป็นคนบ้างานหน้าดำคร่ำเครียดไม่เข้าสังคม หรือไม่ก็เป็นนักธุรกิจรุ่นลุงระดับพันล้านที่วันๆ ต้องตรวจดูหุ้นกับโอนเงินเข้าออกในธนาคารเป็นประจำแน่ๆ
ถ้ากดดูอัลบั้มรูปส่วนตัวก็อาจเห็นภาพเจ้าของเครื่องถ่ายเก็บเอาไว้ แต่เขายั้งมือไม่ให้ทำ เห็นแบบนี้เขาก็มีจรรยาบรรณของคนที่มีเพื่อนเป็นช่างซ่อมโทรศัพท์เหมือนกัน และไม่ลืมจุดประสงค์หลักว่าตนเองต้องการอะไร
วิธีแก้ปัญหาง่ายๆ เมื่อไม่รู้ว่าใครเป็นเจ้าของสมาร์ทโฟน คือให้กดไปยังเบอร์โทรล่าสุดที่มีการสนทนาด้วย เพื่อติดต่อขอให้อีกฝ่ายเป็นคนมารับโทรศัพท์คืน หรือแจ้งกับเจ้าของที่แท้จริง
อนุรักษ์ทำตามขั้นตอนทันที รายชื่อปรากฏยาวเป็นแถวซึ่งตัวอักษรทุกตัวล้วนเป็นภาษาอังกฤษ
...คงไม่ใช่ว่าเจ้าของเป็นคนต่างชาติหรอกนะ ระดับภาษาอังกฤษของเข้าอยู่ในเกณฑ์ Yes No OK Thank you แค่นั้น
แต่พอเพิ่งดูดีๆ บางคำก็คล้ายจะอ่านออก อย่างเช่นเบอร์โทรล่าสุดที่ระบุว่าเพิ่งวางสายไปเมื่อชั่วโมงก่อน
'NAMTAN'
...น้ำตาล น่าจะเป็นชื่อผู้หญิงสักคน เผลอๆ อาจเป็นแฟนก็ได้
สรุปเองเออเองเสร็จสรรพ พร้อมกับกดโทรหา รอสัญญาณเพียงครู่เดียว ปลายสายก็รับ
"ฮัลโหล"
"สะ..."
ยังไม่ทันที่เขาจะทักทายสวัสดี เสียงหวานแหลมเล็กก็สวนเข้ามาทันควัน
"บอกแล้วไงคะว่าไม่ต้องโทรหาน้ำตาลอีก!"
อนุรักษ์รีบยกเครื่องมือสื่อสารออกห่างหู ขมวดคิ้วงง
...อยู่ๆ ก็ถูกโมโหใส่ อย่าบอกนะว่าคุณเจ้าของเครื่องดันเพิ่งทะเลาะกับแฟนมา
"แต่..."
"หยุด! ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น"
กำลังจะอ้าปาก คนคุยกลับไม่ยอมเปิดช่อง สาดกระสุนคำพูดใส่รัวๆ ราวกับระบายความอัดอั้น
"น้ำตาลไม่อยากฟังอะไรจากคุณอีกแล้ว! คุณไม่เคยทำตามที่รับปากน้ำตาลได้เลยสักอย่าง คุณลืมวันครบรอบของเรา ลืมวันเกิดน้ำตาล คนบ้างานอย่างคุณเคยเห็นน้ำตาลสำคัญบ้างไหม!"
...โอโห...อย่างน้อยเขาก็เดาถูกว่าเจ้าของเครื่องเป็นคนบ้างานจริงๆ แต่ลืมแม้กระทั่งวันเกิดแฟนตัวเองได้ลง คุณเธอจะปรี๊ดแตกก็คงไม่แปลกแล้ว
"หึ แต่ช่างมันเถอะ ตอนนี้น้ำตาลมีคนอื่นที่เขาดูแลน้ำตาลดีกว่าคุณแล้ว ลองทายสิคะว่าใคร จำโรเบิร์ตได้ไหมคะ เพื่อนร่วมงานที่นิวยอร์กของคุณไง ใช่ค่ะ น้ำตาลคบเขาซ้อนกับคุณมานานแล้ว ทีนี้ไม่ต้องติดต่อมาอีกนะคะ น้ำตาลจะบล็อกเบอร์คุณด้วย เชิญมีความสุขกับงานบ้าๆ ของคุณต่อไปเถอะ ลาก่อนค่ะ คุณชาย!"
กระแทกใส่ส่งท้าย ก่อนสัญญาณจะถูกตัดทิ้ง
อ้าวเฮ้ย! ยังไม่ทันบอกเลยว่าเขาเก็บโทรศัพท์ได้ และที่สำคัญเขาไม่ใช่แฟนเธอด้วย ถึงจะมาประชดสารภาพว่านอกใจตอนนี้เขาก็ไม่ได้ทุกข์ร้อน อาจรู้สึกผิดนิดหน่อย ตรงที่เผลอไปฟังเรื่องส่วนตัวเข้า แต่ช่วยไม่ได้มันเป็นกรณีฉุกเฉิน แถมอีกฝ่ายยังออกงิ้วใส่ฉอดๆ ไม่ยอมให้เขาพูดครบประโยคเลยด้วยซ้ำ
อนุรักษ์พยายามกดโทรออกเบอร์เดิมอีกครั้ง คราวนี้ตั้งใจชิงอธิบายก่อนจะโดนแย่งพูด หากมีเพียงเสียงบริการฝากหมายเลขตอบรับ สงสัยคุณน้ำตาลเป็นประเภทขู่จริง ทำจริง จัดการบล็อกเบอร์อดีตแฟนไปเรียบร้อยแล้ว
นึกสงสัยว่าตัวเองไปสร้างความร้าวฉานเพิ่มรึเปล่า ถึงก่อนหน้านี้มันจะปริแตกอยู่แล้วก็ตาม ไอ้เขาไม่ได้ร่วมยินดีเป็นพยานในการเลิกกันของคนสองคนหรอกนะ แถมข้อมูลที่ได้มาเหมือนจะไม่มีประโยชน์เพิ่ม
'คุณชาย'
...เป็นชื่อจริง หรือคำเรียกประชด
เดาจากอารมณ์ของฝ่ายหญิงอาจหมิ่นเหม่ไปในทางข้อหลัง สรุปแล้วเขาก็ยังไม่รู้ว่าเจ้าของเป็นใครอยู่ดี
อนุรักษ์จึงสไลด์รายชื่อดูเบอร์โทรล่าสุดอีกครั้ง พยายามมองหาชื่อผู้ชายมากกว่าผู้หญิง (ใครจะรู้คุณชายอาจจะซ่อนกิ๊กเอาไว้อีกก็ได้) ในลำดับการโทรเมื่อสองชั่วโมงก่อนปรากฏตัวอักษร
'LEO'
...ชื่อเหมือนแบรนด์แอลกอฮอล์ยี่ห้อดัง แต่อาจจะเป็นใครสักคนที่เป็นเพื่อนของคุณชายก็เป็นได้
เขากดโทรออก ภาวนาในใจว่าชื่อฝรั่งจ๋าขนาดนี้ คนรับคงไม่ได้พ่นภาษาอังกฤษใส่จนเขาไม่ทันบอกอะไรอีก หากความกังวลล่วงหน้ากลับหมดไป หลังได้ยินภาษาไทยชัดเปรี้ยะ
"ไงคุณชาย บอกไว้ก่อนเปลี่ยนใจมาตอนนี้ก็ไม่ทันแล้วนะ"
เสียงนุ่มระรื่นหูราวกับพระเอกทีมพากย์หนังพันธมิตร ทำเอาฟังเพลินไม่กล้าขัดเมื่อปลายสายยังคงพูดต่อ
"เฮ้ยล้อเล่น...เอ็งมาเหอะ งานไม่กร่อยอย่างที่คิดหรอก เชื่อดิ ทุกคนอยากเห็นเอ็งทั้งนั้น นานๆ ทีจะรวมตัวกันได้ครบนะเว้ย จะไม่ยอมมาหาเพื่อนเลยเหรอวะ"
...เดาถูกอีกอย่างแล้ว เจ้าของเครื่องไม่ชอบเข้าสังคม เผลอๆ อาจไม่ค่อยพูด เพราะทุกคนเล่นพูดแทนหมด และถ้าเขายังไม่สามารถหาช่องแทรกเข้าบทสนทนาตอนนี้ คงไม่มีทางดึงเข้าประเด็นหลักแน่นอน
"ตกลงจะมาใช่ไหม จะได้บอกคนอื่น"
"เปล่าครับ คือ...ผมไม่ใช่เจ้าของเครื่อง"
ในที่สุดก็บอกออกไปได้เสียที เสียงพากย์พระเอกเงียบไปคล้ายชะงัก เปลี่ยนเป็นคำถามงงๆ
"อ้าว แล้วนั่นใครอ่ะครับ"
"ผมบังเอิญเก็บโทรศัพท์เครื่องนี้ได้จากในห้องน้ำครับ เลยอยากเอาไปคืนเจ้าของ คุณช่วยติดต่อบอกเขาได้ไหมครับ"
พุ่งเข้าประเด็นหลักแบบไม่อ้อมค้อม หวังเต็มเปี่ยมว่าเป็นเพื่อนกันก็น่าจะมีช่องทางอื่นติดต่อได้รวดเร็ว แต่ผลลัพธ์กลายเป็นตรงข้าม เมื่อคู่สนทนาทอนเสียงเป็นเชิงลำบากใจ
"...ไอ้ได้มันก็ได้อยู่หรอก แต่อาจจะช้าหน่อย ตอนนี้ผมอยู่บนเครื่องกำลังจะเทคออฟ คงต้องปิดสัญญาณโทรศัพท์ก่อน แอร์มองผมตาเขียวแล้ว"
...อะไรนะ?
กำลังจะถามซ้ำ แต่ได้ยินเสียงเรียกจากผู้หญิงแทรกขึ้นมาเบาๆ ‘คุณผู้โดยสารคะ...’
"เดี๋ยวจะบอกให้ล่ะกัน แค่นี้นะ"
พี่พระเอกพูดรัวเร็วคล้ายพากย์หนังตอนกำลังรีบวิ่งไปช่วยนางเอก แล้วสายก็ตัดไปทั้งอย่างนั้น...
บอกตามตรง อนุรักษ์ชักจะเริ่มหงุดหงิดหน่อยๆ แล้ว
อุตส่าห์โทรไปตั้งสองสายยังช่วยตามหาเจ้าของมือไม่ได้อีก อยากจะแกล้งทำเป็นลืมวางมือถือทิ้งไว้ตรงที่เก่า รอให้ป้าแม่บ้านหรือใครสักคนมาเก็บไปแทน ก็ไอ้เขาไม่ได้ว่างขนาดมานั่งอยู่ในห้องน้ำกดจิ้มโทรศัพท์ทั้งวัน นี่ละมือจากการซ่อมซิปกางเกงมาช่วยก็บุญเท่าไรแล้ว
แต่ไหนๆ ก็มาถึงขั้นนี้ จะลองเสี่ยงโทรไปหาอีกสักคน ถ้ายังไม่ได้เรื่องอีกคงต้องฝากให้ลุงรปภ. ทีหลัง
อนุรักษ์สไลด์ดูสมาร์ทโฟนสีดำเรียบหรูอีกครั้ง เขาไม่เลือกกดไปเบอร์โทรล่าสุด หากเปลี่ยนเป็นกดสารบัญรายชื่อที่เม็มไว้แทนเพื่อมองหาใครคนหนึ่ง
'DAD'
คิดว่าคนเป็นพ่อน่าจะรู้อะไรๆ มากกว่า อย่างน้อยก็ถือเป็นคนในครอบครัวมีความใกล้ชิดเจ้าของที่สุดคงพอหาทางติดต่อได้แน่ๆ แต่หลังได้ยินประโยคทักแรก เขานึกก็เสียใจที่คิดแบบนั้น
"แกดูจะรู้ตัวช้าไปนะว่าเรื่องที่พ่อแกพูดไว้เป็นความจริง"
ถ้าสายเมื่อครู่เป็นพระเอกหนังมาพูด สายนี้ก็คงเป็นเจ้าสัวประธานบริษัทใหญ่ยักษ์พันล้าน น้ำเสียงจึงทรงอำนาจแฝงความเย็นชาเด็ดขาด จนคนฟังต้องรีบอธิบายตะกุกตะกัก
"ขะ..ขอโทษครับ คือผมไม่ใช่เจ้าของโทรศัพท์ ผมบังเอิญเก็บเครื่องนี้ได้จากในห้องน้ำครับ เลยกดโทรหาคุณจากในรายชื่อ เออ...ยังไงรบกวนคุณช่วยติดต่อเขาได้ไหมครับ"
"งั้นหรอกหรือ ผมต้องขอโทษด้วยที่ลูกชายไม่ได้เรื่องของผมไปสร้างความลำบากให้คุณ"
พอได้ยินว่าทักผิดคน ประโยคก็เปลี่ยนเป็นทางการทันที โดยไม่ลดความน่ายำเกรงลงไปด้วย ทำเอาเขาเผลอเกร็งอัตโนมัติ
"ระ...เรื่องแค่นี้เอง ไม่ลำบากหรอกครับ"
"ไม่ใช่เรื่องแค่นี้! โทรศัพท์ของตัวเองยังไม่มีความรับผิดชอบรักษาไว้ได้ แล้วต่อไปจะจัดการเรื่องใหญ่ๆ ได้ยังไง!"
คำตำหนิไม่ได้ส่งถึงเขา แต่ก็เล่นเอาหน้าชา ไม่อยากนึกเลยถ้าเป้าหมายตัวจริงโดนเข้าไปจะเจ็บขนาดไหน ทว่าเรื่องบาดหมางภายในครอบครัวก็ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเขา
"เออ ถ้างั้นคุณช่วย..." เตรียมลากเข้าจุดประสงค์เดิม เสียงทรงอำนาจก็แทรกมาอีก
"เสียใจด้วยครับ ผมคงติดต่อเขาไม่ได้ ลูกชายไม่คุยกับผมมาเป็นปีๆ แล้ว"
ถึงจะเดาถูกว่าเจ้าของมือถือบ้างาน ไม่เข้าสังคม แต่เรื่องไม่ถูกกับครอบครัวตัวเอง ...อันนี้เขาไม่ได้คาดการณ์ล่วงหน้าเอาไว้
"งั้นไม่เป็นไรครับ ไว้ผมจะหาทางอื่นเอง ขอบคุณมากนะครับ"
อนุรักษ์เลือกเป็นฝ่ายวางสายด้วยท่าทีเกรงใจ ทั้งที่ไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้นเลย เพราะเขาอยู่ในฐานะคนช่วยเหลือ ไม่ได้เป็นฝ่ายเดือดร้อน หากมีสักแห่งที่ไหนในใจทำให้เขารู้สึกแปลกๆ
เมื่อเช้า เขาคิดว่าวันนี้ชะตาชีวิตของตัวเองเฮงซวยแล้ว แต่ดูเหมือนจะมีคนซวยบัดซบมากกว่า ...ซิปเป้ากางเกงแตกเทียบไม่ได้เลยกับการทั้งถูกแฟนบอกเลิก ไม่ได้ไปเที่ยวกับเพื่อน แล้วยังจะตัดขาดจากพ่อตัวเองอีก
กระนั้นจะโทษโชคชะตาอย่างเดียวก็คงไม่ถูก
...เขาไม่ได้เลือกให้ซิปเป้ากางเกงแตก แต่เจ้าของมือถือเครื่องนี้เป็นคน 'เลือก' ผลักไสทุกสิ่งทุกอย่างออกไปเอง
อนุรักษ์ถอนหายใจ วางสมาร์ทโฟนสีดำไว้บนแท่นวางของเหนือชักโครกให้กลืนไปเป็นส่วนหนึ่งในห้องน้ำเหมือนเดิม ตอนนี้เขาชักอยากเห็นหน้าของ 'คุณชาย' ขึ้นมาจริงๆ ซะแล้ว ติดตรงที่ว่าเขาต้องสะสางปัญหาของตัวเองก่อน
กางเกงแสล็กยังคงวางพาดอยู่กับขา ต่อให้พยายามไป ลำพังเขาคงไม่มีทางซ่อมซิปที่แตกได้ แต่ถ้าลองดึงกางเกงให้เอวสูงขึ้นมาหน่อย ปลายเสื้ออาจยาวพอจะปิดตรงเป้า แล้วค่อยไปซื้อเข็มกลัดจากร้านสะดวกซื้อแถวนี้มาติดเอาทีหลัง
เป็นวิธีแก้ปัญหาเฉพาะหน้าง่ายๆ ทำไมก่อนหน้านี้ถึงนึกไม่ออก หรือคงเพราะกำลังลนลาน พอตั้งสติด้วยการไปแก้ปัญหาใหญ่โตน่าปวดหัวของคนอื่น เลยมองเห็นหนทางออกของตัวเอง
อนุรักษ์จึงจัดการลุกขึ้นสวมกางเกงให้เรียบร้อยอีกครั้ง แต่เพียงแค่สอดขาเข้าไปหนึ่งขา เสียงบรรเลงเปียโน Cannon In D จากอุปกรณ์แสนไฮเทคหนึ่งเดียวในห้องน้ำก็ดังลั่น
...มีสายเข้า
เขารีบเอี้ยวตัวเอื้อมไปหยิบสมาร์ทโฟน ขณะกางเกงคาตัวค้างครึ่งๆ กลางๆ สภาพคงอุบาทว์น่าดู แต่ตอนนี้เขาไม่สนใจ เพราะไม่แน่ว่าคนโทรมาอาจเป็นคนเดียวกับที่กำลังพยายามตามหา
"ฮัลโหล"
ไม่รู้ทำไมหลังจากพูดไปแล้ว ตัวเองถึงเผลอกลั้นหายใจ ระยะเวลาเพียงชั่วสามวินาทีราวกับผ่านไปสามชั่วโมง ในที่สุดเขาก็ได้ยินประโยคเกริ่นสั้นๆ
ตั้งแต่ได้สมาร์ทโฟนเครื่องนี้มา อนุรักษ์ลองคาดเดาบุคลิกของแต่ละคนผ่านทางน้ำเสียงมาตลอด
...เสียงหวานเล็กติดโทนแหลมของคุณน้ำตาล เสียงทุ้มนุ่มรื่นของเพื่อนชื่อลีโอ หรือเสียงเต็มเปี่ยมด้วยอำนาจของผู้เป็นพ่อ
และล่าสุด... เสียงของคนที่ถูกแฟนทิ้ง ไม่เข้าสังคม ตัดขาดจากครอบครัว
เป็นเสียงราบเรียบแทรกผ่านอากาศคล้ายมากระซิบอยู่ข้างหู
"...ของของผมขอคืนด้วยครับ"
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
TBC
สวัสดีค่ะ หายไปนานเลย คิดถึงเล้ามากจริง ๆ 
มาเปิดเรื่องใหม่ ทั้งๆ ที่เรื่องเก่าก็ค้างไว้อยู่สองเรื่อง ต้องขอโทษด้วยค่ะ //ก้มกราบเบญจางคประดิษฐ์
เรื่องนี้สารภาพตามตรง เราเองก็ไม่มั่นใจว่าปลายทางจะเป็นยังไง (โห...เล่นพูดซะดักคอ)
แต่จะพยายามไปให้สุดเท่าที่จะทำได้ค่ะ ดังนั้น อยากให้ช่วยชี้แนะและติดตามกันต่อไปนะคะ
สำหรับตอนแรก ออกตัวแรงว่าเป็นแนวเลิฟคอมเมดี้ ฮาาา เราอยากให้อ่านกันขำ ๆ เพลิน ๆ
รู้สึกสนุกดีที่ได้เขียนเรื่องของนายอนุรักษ์ค่ะ ส่วนคุณชาย เราเองก็สงสัยเหมือนอยู่กันว่าจะเป็นคนแบบไหนกันนะ
แต่ที่แน่ ๆ ทั้งสองคนคงจะมีเรื่องวุ่นวายคาบเกี่ยวกันอีกเป็นกระบุง
ภาษาอ่านจะต้องเคาะสนิม ไม่ได้เขียนมาเกือบจะครึ่งปีแล้ว ก็ค่อยๆ แก้กันไป ตรงไหนแปลก ๆ บอกได้นะคะ
ขอบคุณมากค่ะ
BitterSweet